ความต่างระหว่างบาปและกรรม

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย phuang, 15 เมษายน 2008.

  1. phuang

    phuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,033
    ค่าพลัง:
    +10,040
    (y) ความต่างระหว่างบาปและกรรม

    [​IMG]

    หลายครั้งที่จิตของเราคิดไปต่างๆ ตามแรงกระตุ้นภายในตัวเราและแรงกระตุ้นจากภายนอก ก่อให้เกิดการกระทำตามมาเป็นกระบวนการสืบเนื่อง แต่บางคนสามารถหยุดจิตของตนได้ไว้แค่คิด

    ดึกวันหนึ่งของวันพฤหัสบดี หลายเดือนที่ผ่านมา จิตของผมถูกกระตุ้นอย่างหนักจากการบอกเล่าประสบการณ์ตรงในอาชีพพี่เลี้ยงนักโทษประหารจากปากผู้ที่เรียกขนานนามตัวเองว่า "ยุทธ บางขวาง" ผ่านรายการเจาะใจ

    ตอนหนึ่งของการบอกเล่า "ผมรู้สึกตื่นเต้นมากในงานแรกที่ผมได้รับผิดชอบทำหน้าที่พี่เลี้ยงนักโทษประหาร มือไม้สั่นไปหมด พอๆ กับนักโทษ เมื่อนำนักโทษออกจากแดนขังเพื่อนำสู่แดนประหาร พร้อมจบลงด้วยการเอาร่างนักโทษออกจากหลักประหาร"

    "หลังจากเสร็จหน้าที่ผมได้กลิ่นคาวเลือดตลอดเวลา มันติดจมูกผมไปทุกที่ไม่ว่าจะทำอะไร และภาพที่ติดตา ผมไม่สามารถนอนหลับได้เป็นเวลา 3 วัน ผมแทบทนไม่ไหวจนเพื่อนพาผมไปหาพระท่านหนึ่ง ท่านบอกว่าโยมสิ่งที่โยมทำถือเป็นหน้าที่ไม่ถือว่าเป็นบาปแต่เป็นกรรม ให้ทำบุญกับสิ่งที่ตนกระทำ หลังจากได้ฟังพระท่านสอน กลิ่นคาวเลือดที่ผมได้กลิ่นอยู่ตลอดเวลาหายไป ซึ่งผมคิดว่าอาจเป็นเพราะใจของผมที่คิดไป"

    "ไม่เป็นบาปแต่เป็นกรรม" คือคำพูดที่มากระตุ้นจิตของผมให้คิดตามคำสอนของพระท่านนั้น ผมเชื่อว่าหลายคนที่ดูรายการวันนั้นคงเกิดความสงสัยว่าไม่เป็นบาปแต่เป็นกรรมหมายความว่าอย่างไร เพราะเรามักจะได้ยินผู้ใหญ่สั่งสอนเวลาทำอะไรไม่ดีว่าอย่าทำจะบาปกรรม จนเราหลงคิดไปว่าเป็นคำๆ เดียวกัน

    คืนนั้นจิตของผมสั่งการให้ผมกระทำการอ่านหนังสือเพื่อหาข้อสรุปที่แน่ชัดระหว่าง "บาป" กับ "กรรม" มันต่างกันอย่างไร

    กรรม คือการกระทำ ได้แก่ เจตนา (ความจงใจ ความตั้งใจ) ที่เป็นกุศล (บุญ) หรืออกุศล กิเลส) เป็นเหตุให้ทำกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมทางกาย ทางวาจา และทางใจ เมื่อได้กระทำกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมสำเร็จไปแล้ว กุศลหรืออกุศลกรรมนั้นจะเป็นปัจจัยให้เกิดผลตามสมควรแก่กรรมนั้นๆ การให้ผลของกรรมนั้น จะให้ผลได้ในชาติที่กระทำก็ได้ หรือจะให้ผลในชาติหน้าหรือชาติต่อๆ ไปก็ได้ ไม่ใช่กรรมทุกกรรมจะให้ผลได้ทั้งหมดในชาติที่กระทำกรรม เพราะกรรมสามารถติดตามไปให้ผลได้ ตราบใดที่ยังไม่ได้ให้ผลหรือยังให้ผลไม่หมด เนื่องจากกรรมจะสะสมสืบต่ออยู่ในจิตทุกๆ ขณะที่จิตเกิดดับสืบต่อกันไป

    บาป คือ ความเสียของจิต การที่ใจมีคุณภาพต่ำลง โดยอาการเสียของจิตเรียกได้หลายอย่าง ทั้งจิตเศร้าหมอง จิตเหลวไหล ใจร้าย ใจดำ ใจขุ่นมัว ไม่ว่าจะเสียในแง่ไหนก็เรียกว่าบาปทั้งสิ้น

    ดังนั้นตามความเห็นของพุทธศาสนา บาปจึงเกิดที่ตัวคนทำเอง คือเกิดที่ใจของคนทำ ใครไปทำชั่วเข้าบาปก็กัดกร่อนใจของคนนั้นให้เสียคุณภาพ เศร้าหมอง ขุ่นมัวไป ทำให้เกิดความทุกข์ทรมานไป ไม่เกี่ยวกับคนอื่นในขณะที่กรรมเป็นการกระทำที่ไปกระทบทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ซึ่งแล้วแต่ว่าจะเป็นการกระทำที่ดีหรือไม่ดี

    ด้วยความต่างของบาปและกรรมตามหลักพระพุทธศาสนานี้ทำให้การทำหน้าที่พี่เลี้ยงของคุณยุทธ บางขวางจึงไม่เป็นบาปเพราะไม่ได้เกิดจากจิต แต่เป็นกรรมเพราะมีการกระทำเกิดขึ้นจากหน้าที่ที่ตนต้องรับผิดชอบ อาการเหม็นกลิ่นคาวเลือดที่ตามมาหลอกหลอนจึงหายไปเพราะเกิดจากจิตอุปทาน

    เราจึงมักได้ยินผู้ใหญ่พูดบ่อยๆ ว่า "แค่คิดก็บาปแล้ว"

    [​IMG]

    สังคมทุกวันนี้มีตัวกระตุ้นมากมายทำให้จิตเราเสีย หลายคนอาจจะวิตกว่าแล้วจะทำอย่างไรที่จะรักษาจิตที่เสียนั้น ลองตรวจสอบพุทธพจน์นี้ครับพร้อมกับตรวจสอบจิตของเราไปด้วยในตัว

    สมมติว่าเรามีเกลืออยู่ช้อนหนึ่ง ใส่ลงไปในน้ำ 1 แก้ว เมื่อคนให้ละลาย แล้วลองชิมดู ผลเป็นอย่างไร "ก็เค็ม" ถ้าเอาน้ำแก้วนี้ใส่ลงไปในถังน้ำ แล้วเติมน้ำให้เต็ม หชิมดูเป็นอย่างไร "ก็แค่กร่อยๆ" ถ้าเอาน้ำถังนี้ ใส่ลงในแท้งค์น้ำฝนใบ ใหญ่ ชิมดูเป็นอย่างไร "ก็จืดสนิท" เกลือหายไปไหนหรือเปล่า "แล้วทำไมไม่เค็ม" เพราะน้ำมันมีปริมาณมาก เจือจางจนกระทั่งเกลือหมดฤทธิ์ เราจึงไม่รู้สึกถึงความเค็ม พระท่านเรียก อัพโพหาริก แปลว่า มีเหมือนไม่มี คือเกลือนั้นยังมีอยู่แต่ว่าหมดฤทธิ์เสียแล้ว

    เหมือนกันครับกับวิธีล้างบาปในพุทธศาสนาก็คือ การตั้งใจทำความดีสั่งสมบุญให้มากเข้าไว้ ให้บุญกุศลนั้นมาเจือจางบาปลงไป การทำบุญ อุปมาเสมือนเติมน้ำ ทำบาปอุปมาเสมือนเติมเกลือ เมื่อเราทำบาป บาปนั้นก็ติดตัวเราไป ไม่มีใครไถ่แทนได้ แต่เราจะต้องหมั่นสร้างบุญกุศลให้มาก เพื่อมาเจือจางบาปให้หมดฤทธิ์ลงไปให้ได้

    แต่คนเราทุกวันนี้ชอบที่จะเติมเกลือเข้าไปในจิต มากกว่าเติมน้ำ เรื่องยุ่งเหยิงในสังคมจึงเกิดขึ้นเพราะจิตที่เสียครับ


    From MGR Online
    http://www.bbznet.com/scripts2/view.php?user=ppbbz&board=6&id=14&c=1&order=numtopic
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 เมษายน 2008
  2. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,612
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    ขออนุโมทนาสำหรับบทความดีๆครับคุณผึ้ง
     
  3. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,612
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    คงต้องรบกวนขอข้อมูลอ้างอิงเพิ่มเติมนิดนึงครับ เพราะอ่านแล้ว "งง" เหมือนกัน เกรงว่า คนมาอ่านทีหลังจะเข้าใจผิดครับ

    ถ้าใครมีเวลาว่าง รบกวนค้นข้อมูลมาเพิ่มเติมจะดีมากๆครับ

    ขออนุโมทนา
     
  4. ThesLong

    ThesLong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +827
    ถ้าเป็นหน้าที่ แต่จิตใจ ไม่ได้ชอบหรือติดใจกับการฆ่า ก็ธรรดา
    แต่ถ้าจิตใจรู้สึกชอบ ที่เหลือคิดเอาเอง(เราก็คิดไม่ออก6- -)
     
  5. darkphoenix

    darkphoenix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    370
    ค่าพลัง:
    +608
    อย่างไรรึ?

    ผมอ่านกระทู้นี้แล้วผมก็ยังงงๆอยู่ดีฮะ
     
  6. Komodo

    Komodo หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11,612
    กระทู้เรื่องเด่น:
    145
    ค่าพลัง:
    +104,605
    ต้องให้เจ้าของกระทู้ลองไปค้นดูครับว่า พระสารีบุตรท่านกล่าวไว้จริงหรือไม่ และท่านกล่าวทั้งหมดว่าอย่างไร บางครั้งการยกบางคำมาอ้าง อาจทำให้เข้าใจความหมายผิดได้ครับ

    ขออนุโมทนา
     
  7. Ball ^_^

    Ball ^_^ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2008
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +49
    อนุโมทนาครับ

    เรื่องพระสารีบุตรน่าจะเกี่ยวกับตอนโปรดโจรเคราแดง จำไม่ค่อยจะได้แล้ว
    แต่รู้สึกว่าท่านจะเทศน์ให้โจรเคราแดง หมดกังวลก่อนจะใส่บาตร ฟังธรรม

    ตามนี้ครับ เอามาจาก http://www.thaihomemaster.com/webboard-readtopic.php?id=34

    ฆ่าคนเป็นหมื่น แต่ได้สำเร็จมรรคผล
    จอมโจรองคุลิมาลเป็นที่เลื่องชื่อลือลาในพระพุทธศาสนาว่าเป็นโจรที่เหี้ยมโหดฆ่าคนไป 999 คน แต่ในที่สุดก็ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน บวชในพระพุทธศาสนา แต่ยังมีอีกคนหนึ่งที่ฆ่าคนมากกว่าองคุลิมาลคือ จอมโจรเคราแดงที่มีตาเหลือกและเหลือง ฆ่าคนเป็นหมื่นๆ คน ต่อได้ฟังธรรมจากกัลยาณมิตรก็ได้สำเร็จมรรคผลไปสู่สุคติ
    เริ่มเรื่องมีอยู่ว่า โจรกลุ่มหนึ่งมีสมาชิกอยู่ 499 คน ทำการโจรกรรมปล้นฆ่าชาวบ้านอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ต่อมามีกระทาชายนายหนึ่งมีเคราแดง ตาเหลืองและเหลือกมาสมัครเป็นสมาชิกกองโจร แต่หัวโจรไม่รับเพราะว่า นายเคราแดงนี้เป็นคนโหดร้าย สามารถกัดนมแม่ให้ตายหรือฆ่าปาดคอพ่อแล้วกินเลือดได้ ฯ แต่เขาก็ไม่ละความพยายาม เมื่อเข้าหาหัวหน้าไม่ได้ ก็เข้าหาลูกน้องโจร ด้วยการรับใช้ช่วยเหลือลูกน้องสนิทของหัวหน้าโจร ต่อมาลูกน้องโจรก็นำเขาสมัครเข้าเป็นสมาชิกกองโจรได้อย่างสมใจนึก(บางลำพู)
    ต่อมาวันหนึ่งทางการส่งกำลังทหารมากวาดล้างและจับโจรได้ทั้งหมด นำไปขึ้นศาล ศาลพิพากษาลงโทษประหารชีวิตสถานเดียว ด้วยการตัดหัว แต่หาเพชฌฆาตไม่ได้ จึงถามหัวหน้าโจรให้ทำหน้าที่เพชฌฆาตแล้วจะปล่อยให้มีชีวิตรอด แต่หัวหน้าโจรไม่ทำเพราะว่าตนเป็นลูกพี่จะฆ่าลูกน้องไม่ได้ โจรที่เหลือก็ไม่รับหน้าที่นี้ จนกระทั่งถึงนายโจรเคราแดง ตาเหลือกตาเหลือง ก็ตกลงใจรับทำหน้าที่เพชฌฆาตจัดการฆ่าตัดหัวพวกโจร จึงได้ชีวิตรอดและได้รับตำแหน่งเพชฌฆาตประจำเมืองตลอดมาถึง 55 ปี
    จำนวนคนที่เขาฆ่ามีประมาณเท่าไร
    1 ปี มี 365วัน 55 ปีมี 365X 55 = 20,075 วัน
    ถ้าฆ่าวันละคน มีจำนวนโจรที่เขาฆ่า 20,075 คน (แต่บางวันก็อาจจะมีมากกว่า 2 คน หรืออาจจะเป็นจำนวนสิบหรือจำนวนร้อยต่อวันก็ได้) สรุปว่ามีจำนวนมากว่า 20000 คน มากกว่าจอมโจรองคุลิมาลถึง 20 เท่า
    ต่อมาเมื่อเขามีอายุมากขึ้น ก็ไม่สามารถฆ่าโจรได้ด้วยการตัดหัวครั้งเดียวให้ขาดกระเด็นได้(ไม่มีกำลังยกขวาน) ต้องตัดถึงสองหรือสามครั้ง พวกโจรได้รับความทรมาน ทางการจึงปลดเขาออกจากตำแหน่ง
    ในวันที่เขาถูกปลดจากตำแหน่ง ทางการได้ให้รางวัล ๔ อย่างคือ ผ้านุ่งเนื้อดี ข้าวต้มราดด้วยเนยใสใหม่ พวงดอกมะลิสำหรับประดับร่างกาย และการประดับร่างกายด้วยเครื่องสำอาง และให้คนใช้ประจำตำแหน่งคนหนึ่ง และเขาสั่งคนใช้ให้ต้มข้าวเพื่อเขา นายเพชฌฆาตถือผ้าและแป้งไปอาบน้ำ นุ่งผ้าใหม่ ประแป้งแต่งตัวกลับมาบ้านเพื่อรอที่จะกินข้าว
    ในเวลานั้น พระสารีบุตรเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติและเห็นว่าควรจะเดินทางไปแสดงธรรมแก่นายเพชฌฆาต เพราะเขาจะได้บุญมากและสามารถบรรลุธรรมได้ จึงเดินไปยังบ้านของเขา เขาเห็นพระเถระเดินมาจึงนิมนต์ให้เข้าบ้านและถวายข้างต้มแด่พระเถระและนั่งพัดพระเถระ ฯ พระเถระทราบว่า เขาต้องการกินข้าวต้มเพราะไม่ได้กินมานาน จึงเรียกเขามาแล้วให้ข้าวต้มแก่เขา ฯ เขากินข้าวอิ่มแล้ว ร่างกายก็สดชื่นเข้ามานั่งใกล้ๆ พระเถระ ฯ พระเถระจึงแสดงธรรมแก่เขา แต่เขามัวนึกถึงแต่การฆ่าคนจำนวนมาก ใจไม่สงบ ไม่สามารถเข้าใจธรรมที่พระเถระแสดงได้ ฯ
    พระเถระจึงถามเขาว่า อุบาสกท่านฆ่าคนตามอำเภอใจของท่านหรือใครสั่งให้ท่านทำหรือ
    อุบาสก พระราชารับสั่งให้ทำ ขอรับ
    พระเถระ ถ้าอย่างนั้น ท่านไม่บาป เพราะทำตามคำสั่งคนอื่น ฯ
    อุบาสกก็ดีใจนั่งฟังธรรม จิตสงบและได้สำเร็จธรรมชั้นโสดาบันฯ พระเถระอนุโมทนาแล้วจึงกลับวัดพระเชตวัน อุบาสกเดินตามมาส่งพระเถระ ตอนกลับจึงวัวขวิดตายกลางถนน ตายไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
    จอมเพชฌฆาตเคราแดงได้กัลยาณมิตรที่ดี คือพระสารีบุตร และท่านพระสารีบุตรได้แสดงธรรมที่ดีมีประโยชน์ ทำให้เขาเข้าใจและบรรลุธรรมได้
    “คำพูดที่ดี เพียงคำเดียวก่อให้เกิดความสงบ ดีกว่าคำพูดตั้งพันคำแต่ไม่มีประโยชน์”
     
  8. Sir-Pai

    Sir-Pai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +3,358
    สุดยอด !! เป็นบทความที่กินใจมากๆเลยครับ

    ผมขออนุโมทนาบุญด้วยศรัทธาอันแรงกล้านะครับ
     
  9. พลรัฐ

    พลรัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    610
    ค่าพลัง:
    +1,111
    ...บาป คือผลของการกระทำที่ชั่ว

    ...กรรม คือการกระทำ

    ...บาปกรรม คือการกระทำที่ชั่ว
     
  10. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,828
    ค่าพลัง:
    +5,414

    ใน สมัยพุทธกาลนั้นได้มีโจรกลุ่มหนึ่งมีสมาชิกทั้งหมด ๔๙๙ คน ครั้งหนึ่งได้มีคนเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกใหม่กับโจรกลุ่มนั้น คนที่เข้ามาสมัครใหม่นั้นมีลักษณะตาเหลือกเหลือง มีเคราสีแดง ซึ่งผู้นั้นได้เดินเข้าไปหาหัวหน้าโจร แจ้งความประสงค์ของตนว่าจะขอเข้ามาร่วมแก๊งเป็นพรรคพวกด้วย แต่เมื่อหัวหน้าโจรดูลักษณะคนที่มาสมัครใหม่แล้วก็คิดว่าคนผู้นี้ไม่น่าไว้ ใจ อีกทั้งในใจยังคิดว่า คนผู้นี้ดูมันกักขฬะนัก ดูจากลักษณะของมันแล้ว ไอ้คนนี้มันคงสามารถตัดนมแม่ของมันเองกับมือ หรือนำเลือดในคอของพ่อตัวเองมาดื่มได้ หัวหน้าโจรจึงได้กล่าวปฏิเสธไม่ยอมรับบุรุษเคราแดงเข้าพวก แต่กระนั้นบุรุษเคราแดงก็ไม่ยอมละทิ้งความตั้งใจที่จะเป็นพวกโจรให้ได้ พยายามจะหาช่องทางอื่นในการเป็นสมาชิกใหม่ให้ได้ โดยไปเอาใจลูกน้องโจรคนหนึ่งในกลุ่ม เพื่อหวังว่าลูกน้องโจรคนนั้นจะฝากฝังตนกับหัวหน้าโจร จนลูกน้องโจรผู้นั้นเห็นถึงความดี จึงไปพูดกับหัวหน้าโจรว่า คนเคราแดงนี้เป็นคนดี ขอให้หัวหน้าโจรช่วยสงเคราะห์รับเขาไว้เป็นพวกด้วยเถิด หัวหน้าโจรเห็นว่าพวกตนขอให้รับบุรุษเคราแดงนี้ไว้ ก็เลยรับบุรุษเคราแดงไว้เป็นพวก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาบุรุษเคราแดงจึงได้เป็นพรรคพวกกับโจรกลุ่มนี้

    เหตุการณ์ได้ผ่านไปจนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง ชาวเมืองทั้งหลายร่วมมือกับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ล้อมจับโจรกลุ่มนี้ได้ทั้งหมด ครั้นจับโจรกลุ่มนี้ได้ทั้งหมดก็ส่งไปให้อำมาตย์ผู้ตัดสินคดีวินิจฉัยความ ผิด เมื่อผลการตัดสินออกมา โจรทั้งหมดโดนตัดสินประหารชีวิตด้วยการถูกบั่นคอด้วยขวาน แต่ก็มีปัญหาอยู่ตรงที่ว่าแล้วใครละจะเป็นผู้รับหน้าที่ตัดคอโจรกลุ่มนั้น ดังนั้นจึงมีการคัดเลือกผู้ที่เหมาะสมจะเป็นเพชฌฆาต โดยทำการคัดเลือกผู้ที่จะรับหน้าที่เพชฌฆาตจากพวกโจรที่โดนจับได้ก่อนที่จะ หาจากคนนอก จึงทำการถามพวกโจรว่าใครจะกล้าทำบ้าง ถ้าใครทำก็จะไว้ชีวิตให้อีกทั้งก็จะได้รับการนับถืออีกด้วย มีใครสนใจจะรับหน้าที่นี้บ้าง โดยถามไปที่หัวหน้าโจรก่อน และไล่ไปถึงลูกน้องโจรทั้ง ๔๙๙ คนไปตามลำดับ แต่พวกโจรทั้ง ๔๙๙ คน ยอมตายเสียดีกว่าทำการประหารชีวิตพวกเดียวกัน จนคำถามมาถึงนายตัมพทาฐิกะ (เคราแดง) ว่าจะยอมทำหน้าที่ประหารหรือไม่ ซึ่งโจรเคราแดงก็ตกปากรับคำว่าเราจะเป็นผู้รับหน้าที่ประหารชีวิตโจรพวกนี้ เอง และได้ทำการประหารชีวิตโจรทั้งหมด ๔๙๙ คน หลังจากนั้นโจรเคราแดงจึงได้รอดชีวิตและได้รับความนับถือมีชื่อเสียงนับ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

    เวลาต่อมา ชาวเมืองได้ล้อมจับโจรจากทิศใต้ของเมืองได้อีก ๕๐๐ คน ซึ่งโจรที่โดนจับมาใหม่ก็โดนตัดสินเหมือนกับโจรกลุ่มแรก คือประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะ ก็เหมือนเดิมอีกนั่นแหละว่า ใครจะเป็นผู้ทำหน้าที่ตัดคอโจรกลุ่มนี้ จึงได้ถามหัวหน้าโจร ไล่ไปจนถึงลูกน้องโจรว่าใครจะทำหน้าที่เพชฌฆาตบ้าง ถ้าใครทำจะไว้ชีวิต แต่ก็ไม่มีผู้ใดยอมทำ เมื่อไม่มีผู้ใดยอมทำ จึงมีเสียงจากชาวเมืองถามหา ผู้ที่ประหารโจรกลุ่มแรกเป็นใคร และอยู่ที่ไหน เรื่องทำหน้าที่ประหารชีวิตโจรก็ได้กลับไปที่บุรุษเคราแดงอีกครั้ง ชาวเมืองจึงได้ไปตามบุรุษเคราแดงมาจัดการ บุรุษเคราแดงก็ยอมทำหน้าที่ประหารชีวิตโจรเหล่านั้น

    ครั้งนั้นชาวเมืองจึงปรึกษากัน และแต่งตั้งบุรุษเคราแดงเป็นผู้ทำหน้าที่ประหาร ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา บุรุษเคราแดง จึงได้รับตำแหน่งเพชฌฆาตทำหน้าที่ประหารพวกโจร หลังจากนั้นพวกชาวเมืองก็จับโจรได้ครั้งละ ๕๐๐ จากทิศเหนือ ทิศตะวันตก และโจรกลุ่มดังกล่าวทั้งหมดก็ได้ถูกนำไปให้บุรุษเคราแดงประหาร บุรุษเคราแดงได้ทำการประหารโจรทั้งหมดทั้งสิ้นเป็นจำนวน ๒,๐๐๐ คน ในเวลาไล่เลี่ยกัน หลังจากนั้นเป็นต้นมา เขาก็ได้ทำงานในตำแหน่งเพชฌฆาต โดยทำการประหารชีวิต วันละคนหรือสองคนบ้าง

    วันเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จากปีเป็นสิบปี จากสิบปีเป็นห้าสิบห้าปี เพชฌฆาตเคราแดงได้ทำหน้าที่เพชฌฆาตเป็นระยะเวลาทั้งหมด ๕๕ ปี เมื่อเพชฌฆาตเคราแดงได้ชราภาพลง เรี่ยวแรงก็ถดถอย ไม่สามารถประหารชีวิตผู้ต้องโทษให้ตายในดาบเดียวได้ ชาวเมืองจึงลงความเห็นและให้เขาเกษียณออกจากตำแหน่ง

    นายตัมพทาฐิกะ (เคราแดง) ทำหน้าที่เพชฌฆาตมาเป็นระยะเวลายาวนานถึง ๕๕ ปี โดยไม่ได้มีการนุ่งผ้าใหม่ ทานอาหารที่ดี ประดับแต่งตัวทาด้วยของหอมเลย ดังนั้นในวันที่เกษียณออกจากตำแหน่ง นายตัมพทาฐิกะ (เคราแดง) จึงขอให้ชาวเมืองจัดหาเสื้อผ้าใหม่ อาหาร ยาคูเจือด้วยน้ำนมที่ปรุงด้วยเนยใสใหม่ การประดับดอกมะลิ การทาด้วยของหอม ซึ่งชาวเมืองก็ดำเนินการจัดเตรียมสิ่งที่เขาต้องการไว้ในเรือน ส่วนนายตัมพทาฐิกะนั้นก็ได้เดินทางไปยังแม่น้ำ อาบน้ำชำระตัวให้สะอาด นุ่งผ้าใหม่ แล้วประดับด้วยดอกไม้ ตัวก็ทาด้วยของหอม เมื่อทำทุกอย่างเรียบร้อย ก็เดินทางกลับมาสู่เรือน แล้วค่อยๆ นั่งลง ชาวเมืองก็นำอาหารอันโอชะมา และวางยาคูเจือน้ำนมที่ปรุงด้วยเนยใสใหม่ข้างหน้าเขา อีกทั้งยังนำน้ำสำหรับล้างมือมาให้นายตัมพทาฐิกะ

    ก่อนที่นายตัมพทาฐิกะจะทำการรับประทานอาหารที่เขารอคอยมานาน ขณะนั้นเองนายตัมพทาฐิกะพลันเหลือบไปเห็นพระสารีบุตรยืนถือบาตร แสดงตนยืนอยู่ที่ประตูเรือนของนายตัมพทาฐิกะ (อ้างอิง๑) นายตัมพทาฐิกะเมื่อเห็นพระสารีบุตรแล้วก็มีจิตคิดเลื่อมใสว่า เราเองก็กระทำการฆ่าโจรเป็นเวลาช้านาน ได้ฆ่ามนุษย์เป็นอันมาก ซึ่งในบัดนี้ที่เรือนของเราก็มีอาหารอยู่พอดี พระเถระก็มายืนอยู่หน้าประตูเรือนของเรา เราจะถวายไทยธรรมแด่พระคุณเจ้าเสียในกาลบัดนี้ จึงได้เลื่อนอาหารยาคูที่วางอยู่ ณ เบื้องหน้าออกไป แล้วเข้าไปหาพระเถระ ทำการไหว้ นิมนต์ให้นั่งภายในเรือน ได้ทำการเกลี่ยยาคูเจือน้ำนมลงในบาตร ราดเนยใสใหม่ลงไป อีกทั้งนายตัมพทาฐิกะยังได้ทำการยืนพัดพระเถระอยู่ใกล้ๆ ขณะนั้นเองความอยากของนายตัมพทาฐิกะที่จะดื่มยาคูเจือน้ำนมเกิดมีกำลังขึ้น มาเนื่องเพราะไม่ได้ทานของดีมาเป็นเวลาช้านาน พระสารีบุตรรู้อัธยาศัยของนายเคราแดง จึงพูดกับนายเคราแดงว่า “อุบาสก ท่านจงดื่มยาคูของตนเองเถิด” นายเคราแดงจึงส่งพัดให้แก่บุรุษอื่น เพื่อรับหน้าที่พัดพระเถระแทนตน และได้ลงมือดื่มยาคูของตน พระสารีบุตรบอกกับบุรุษผู้ทำหน้าที่พัดว่า ท่านจงไปพัดแก่นายตัมพทาฐิกะเถิด หลังจากนายเคราแดงได้รับประทานอาหารจนอิ่มแล้ว ก็กลับมาทำหน้าที่ยืนพัดพระสารีบุตรต่อ เมื่อพระสารีบุตรฉันอาหารเสร็จแล้ว นายตัมพทาฐิกะก็คอยรับบาตรจากพระสารีบุตร พระสารีบุตรจึงได้อนุโมทนากถา ให้นายเคราแดงฟัง แต่นายเคราแดงไม่อาจกระทำจิตไปตามอนุโมทนากถา ของพระสารีบุตรได้ พระสารีบุตรสังเกตเห็นจึงถามว่า เหตุไร นายเคราแดงจึงไม่อาจทำจิตไปตามอนุโมทนากถาได้

    นายตัมพทาฐิกะ ตอบว่า “ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้ากระทำกรรมหยาบช้ามานาน มนุษย์เป็นอันมากถูกข้าพเจ้าฆ่าตาย ข้าพเจ้ามัวระลึกถึงกรรมของตนนั้นอยู่ จึงไม่อาจทำจิตให้ไปตามเทศนา ของพระคุณเจ้าได้”

    พระสารีบุตรคิดว่า “เราจักลวงบุรุษนั้น” จึงถามนายเคราแดงว่า “ท่านกระทำตามชอบใจตน หรือถูกคนอื่นให้กระทำเล่า? ”

    ตัมพทาฐิกะ “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระราชาให้ข้าพเจ้าทำ”
    พระสารีบุตรกล่าวว่า “อุบาสก เมื่อเป็นเช่นนั้น อกุศลจะมีแก่ท่านอย่างไรเล่า?”
    นายตัมพทาฐิกะเป็นคนธาตุทึบ ถูกพระเถระกล่าวอย่างนั้น ก็มีความสำคัญว่า
    “อกุศลไม่มีแก่เรา” จึงกล่าวว่า “ท่านผู้เจริญ ถ้ากระนั้น ขอท่านจงกล่าวธรรมเถิด”
    ตอนนั้นเอง นายเคราแดง มีจิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ฟังอนุโมทนากถาแล้วบรรลุเป็นพระโสดาบัน ณ ที่นั้นเอง


    หลังจากนั้นพระสารีบุตรหมดธุระ ก็ออกจากเรือน ส่วนนายตัมพทาฐิกะตามไปส่งระยะทางหนึ่งแล้วเดินทางกลับ แต่ในระหว่างเดินทางกลับนั้น นายตัมพทาฐิกะโดนแม่โคขวิดที่อก นายเคราแดงได้เสียชีวิตลง ณ ที่นั้นเอง หลังจากที่นายเคราแดงเสียชีวิต นายเคราแดงได้ไปเป็นเทพบุตรบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต

    ระหว่างนั้นภิกษุทั้งหลาย ได้สนทนากันในโรงธรรมว่าบุรุษฆ่าโจร กระทำกรรมหยาบช้าเป็นเวลาถึง ๕๕ ปี เขาพ้นจากตำแหน่งนั้นในวันนี้ พร้อมกับได้ถวายอาหารแก่พระเถระในวันนี้ อีกทั้งก็ได้ตายในวันนี้ ทั้งสามเหตุการณ์นั้นได้บังเกิดขึ้นในวันเดียวกันนี้เอง หลังจากที่เขาตายแล้วจะไปบังเกิดที่ไหนหนอ

    ขณะนั้นพระศาสดาเสด็จมา แล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่าได้สนทนาเรื่องอะไรอยู่ ภิกษุเหล่านั้นจึงกราบทูลเรื่องที่คุยกันอยู่ให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเฉลยว่า บุรุษเคราแดงผู้นั้นได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต

    ภิกษุทั้งหลายเมื่อฟังดังนั้นแล้ว ถึงกลับประหลาดใจเป็นอันมาก จึงทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าต่อไปว่า “พระองค์ตรัสว่าอะไรนะ ? บุรุษผู้นั้นได้ใช้เวลายาวนานฆ่ามนุษย์ตั้งมากมาย แต่กลับไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตได้อย่างไร พระเจ้าข้า”

    เมื่อได้ยินคำถามนั้น พระศาสดาจึงตรัสตอบกลับไปว่า “เนื่องจากบุรุษผู้นั้นได้พบกัลยาณมิตรผู้ใหญ่ ดังเช่น พระสารีบุตร และได้ฟังอนุโมทนากถาจากพระสารีบุตร จึงได้ไปเกิดในวิมานชั้นดุสิต”

    ภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่า “ธรรมดาแค่อนุโมทนากถานั้นก็มีกำลังเพียงแค่ประมาณหนึ่งเท่านั้น แต่บุรุษผู้นั้นกระทำอกุศลกรรมไว้ตั้งมากมาย เขาได้บรรลุคุณวิเศษขนาดนั้นด้วยเหตุเพียงแค่ฟังอนุโมทนากถาได้อย่างไร”

    พระศาสดาตรัสตอบว่า “ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงอย่าถือประมาณแห่งธรรมที่เราแสดงแล้วว่า ‘น้อยหรือมาก’ เพราะว่า แม้วาจาคำเดียวที่อาศัยประโยชน์ ประเสริฐโดยแท้”

    จึงตรัสพระคาถานี้ว่า:-
    “ หากวาจาแม้ตั้งพัน ไม่ประกอบด้วยบทที่เป็น
    ประโยชน์ไซร้, บทที่เป็นประโยชน์ บทเดียว
    ซึ่งบุคคลฟังแล้วสงบระงับได้ ประเสริฐกว่า ”
    หลังจากจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย
    มีโสดาปัตติผลเป็นต้น

    ถ้าอ่านตามนี้จะเข้าใจการทำหน้าที่เพชรฆาตตามหน้าที่ไม่ใช่ว่าจะไม่บาป แต่ที่พระสารีบุตรกล่าวถามไปเพราะต้องการให้เพชรฆาตนั้นคิดไปเองว่าไม่บาปจะได้เกิดความสบายใจ เมื่อสบายใจจะได้ละนิวรณ์ในใจได้แล้วบรรลุเป็นพระโสดาบัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2012
  11. Sir-Pai

    Sir-Pai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +3,358
    น่าเสียดายถ้าโจรเคราแดงทำบุญไว้เยอะๆ บาปกรรมอาจลดลง และอาจได้ขึ้นสวรรค์ชั้นสูงๆ
     
  12. ถิ่นธรรม

    ถิ่นธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    1,828
    ค่าพลัง:
    +5,414
    ฮ่า ๆ ๆ ได้ไปสวรรค์ชั้นดุสิตนี่สูงมาอย่างไม่น่าเชื่อแล้วนะครับสำหรับนายเคราแดง แต่อย่างว่าและครับ กรรมที่ได้เป็นพระโสดาบันนี่เป็นมหัคตกุศลส่งผลก่อนกรรมอื่นๆ แถมได้ถวายทานแด่พระอรหันต์อย่างพระสารีบุตรอีก บุญสองอย่างนี่แซงบาปที่ฆ่าคนมาหลายสิบปีได้ มันน่าอัศจรรย์ใจในอานุภาพของบุญเป็นอย่างยิ่ง นายเคราแดงเป็นพระโสดาบันแล้วไม่เกิน 7 ชาติก็จะเข้านิพพานอย่างแน่นอน บางทีบาปที่ทำไว้อาจไม่มีโอกาสได้ช่้องส่งผลเลย
     
  13. Sir-Pai

    Sir-Pai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +3,358
    พี่ๆในกระทู้นี้มีความรู้กันมากมาย ขอคาราวะ

    อยากให้ลองแสดงความคิดเห็นในกระทู้ผมจัง
    http://palungjit.org/threads/ตำรวจ-ฆ่าคนเพื่อปกป้องคนดีไว้-บาปไหม-แล้วจะได้ขึ้นสวรรค์ไหม.342058/

    รบกวนหน่อยนะครับ ผู้รู้ :cool:
     
  14. เปาชุนไหล

    เปาชุนไหล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +2,240
    ขอเสริมนิดนึงนะครับ ตามความคิด ของผม

    เมื่อนายเคราแดง เป็นพระโสดาบันแล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต

    แล้วต้องมีเกิดบนโลกมนุษย์อีก อย่างมาก 7 ชาติ
    (ซึ่งหมายความว่า อาจจะไม่ถึง 7 ชาติก็ได้ )

    จึงจะบรรลุพระอรหันต์ และเข้าสู่พระนิพพาน

    แต่ในขณะที่มาเกิดนั้น กรรมน่าจะส่งผลมายังชาติที่มาเกิดในโลกมนุษย์

    ได้แก่ ทำกรรมดีแรงเอาไว้คือ ได้ถวายทานแก่พระสารีบุตร ซึ่งท่านเป็นพระอรหันต์ ทำให้เกิดมาอย่างสุขสบาย
    และกรรมที่ฆ่าคน มามาก ก็คงต้องส่งผล ให้ประสบกับเหตุที่ถูกทำร้าย หรือ ถูกฆ่า ดังเช่น พระโมคัลลานะ ท่านก็เป็นพระอรหันต์ ก็ยังถูกรุมทำร้าย เพราะแรงกรรมเก่าของท่าน

    ตัวนายเคราแดง เอง ก็ ยังได้รับกรรมควายขวิด แม้จะบรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว

    แม้กระทั่งพระพุทธเจ้า ท่านยังมี บุพกรรม ที่ได้รับในชาติสุดท้ายของท่าน
     

แชร์หน้านี้

Loading...