ความเกิด ความดับ.....ธรรมะของหลวงปู่เทศก์

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย Kob, 14 ตุลาคม 2005.

  1. Kob

    Kob เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    6,159
    ค่าพลัง:
    +19,883
    ความเกิด ความดับ


    จงพากันตั้งใจฟังธรรมเทศนา วันนี้จะอธิบายหัวข้อ ๒ เรื่อง คือ ความเกิดกับความดับดูเหมือนของง่ายๆ นิดเดียว แต่หากกินความกว้างขวาง หมดทั้งโลกนี้มีแต่เกิดกับดับเท่านั้น คำว่าเกิดก่อนหรือดับก่อน ดับแล้วจึงค่อยเกิด หรือเกิดแล้วจึงค่อยดับ ให้พิจารณาดู อะไรเกิดก่อน อะไรดับก่อน ถ้าหากว่ายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ เกิดกับดับก็ราคาเท่ากัน แต่โดยมากคนเรานั้นชอบเกิดไม่ชอบดับ เห็นอะไรเกิดขึ้นใหม่เข้าใจว่าของใหม่ ชอบอกชอบใจ อย่างเด็กเกิดขึ้นมา ชอบอกชอบใจจูบชม มันไม่ดีหรอก แต่เวลาดับละเศร้าโศกเดือดร้อนวุ่นวาย การไม่เห็นความเป็นจริงมันต้องเป็นอย่างนั้น ความเป็นจริงแล้วถ้าไม่ดับมันก็ไม่เกิด มันดับเสียก่อนแล้วจึงค่อยเกิด เราทุกคนที่นั่งอยู่นี่ทั้งหมดนี่แหละ พิจารณาให้ถี่ถ้วนแล้ว มันดับทั้งหมด พูดกันง่ายๆว่าตายทั้งนั้น ต้นไม้ ต้นหญ้า ภูเขาสารพัดทุกอย่างอะไรๆ ทั้งหมดที่เกิดในพื้นปฐพีแผ่นดินนี้ล้วนแต่เป็นของดับทั้งนั้น ควรพิจารณาให้ดี ถ้าพิจารณาไม่ดีก็เพลิดเพลินลุ่มหลงมัวเมาแต่ก้อนของความเกิดนั่นแหละ เกิดแล้วมันตั้งอยู่ ไปยินดีกับความอยู่ของความเกิดนั่น แต่แท้ที่จริงแล้วมันเสื่อมทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นในวันนั้นมันก็เสื่อมเลยในวันนั้น เวลานั้น ขณะนั้น เสื่อมไปในตัว แต่เสื่อมทีละน้อยๆ ถ้าหากพิจารณาเห็นความเสื่อมของตัวอย่างนี้แล้วเราจะไม่ประมาท ให้พิจารณาความเสื่อมความสิ้นไปของสังขารร่างกายของเราและของคนอื่น และสิ่งอื่นทั้งหมดในโลกนี้ ให้เห็นเป็นสภาวะอยู่อย่างนั้นทั่วทุกตัวคนจะไม่ประมาท จะมีสติอยู่ทุกเมื่อ


    เราพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ตัวของเรานี่แหละไป พิจารณาความเสื่อม หากไม่เห็นให้พิจารณาของภายนอกเสียก่อน เอาอย่างง่ายๆ เช่น ต้นไม้ล้มลุก ต้นพริก ต้นมะเขือ ต้นมะละกอ มันเกิดง่ายใหญ่โตเร็ว พอเกิดขึ้นมามันก็แก่ไปหาความเสื่อม ทีแรกมันเกิดมามีใบนิดเดียวแตกออกมา ใบมันก็ค่อยแก่ขึ้นจนเป็นต้นเป็นลำ และแตกเป็นกิ่งเป็นงาออกไป มันแก่ไป คำว่าแก่นั้น สมคำว่าแก่จริง คือมันแก่ไปหาความตาย แก่ไปหาความดับความสิ้นสูญ จึงเรียกว่า แก่ ในภาคอีสานที่เรียกแก่นะ คือลากไป ชักไป ลากไปไหน ไปหาความตาย ไปหาที่สุดเหมือนกัน เอาต้นไม้เป็นตัวอย่างเสียก่อน ที่เห็นง่ายๆแล้วพิจารณาลึกเข้าไปเอาที่มันถาวรกว่านั้นเข้าไปอีก ต้นไม้มันมีหลายชนิด เช่น ต้นไม้ล้มลุก ต้นไม้ยืนต้น ก็แก่เหมือนกัน แก่ไปโดยลำดับจนกระทั่งมีกระพี้ มีแก่น จนกระทั่งมีลูก มีผล แล้วพิจารณามาหาตัวเรา ถ้าหากไม่เห็นตัวของเราก็ให้เห็นความแก่คนอื่น เอาความแก่ที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนั่นแหละสาวไปหาแต่เมื่อเด็กเมื่อยังหนุ่ม เสื่อมไป แปรปรวนไป สภาพชำรุดทรุดโทรมไป แล้วจึงค่อยมาพิจารณาถึงตัวเรา ถึงอย่างไรๆ ก็ดี ถ้าหากไม่ทำความเพียรภาวนา ก็ไม่เห็นความจริงเด็ดขาด


    คราวนี้พูดถึงเรื่องภาวนา ถ้าไม่เกิดความรู้จากภาวนาแล้วไม่ได้เห็นตามเป็นจริงเลย พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เห็นตามเป็นจริง เบื้องต้นท่านให้ภาวนา ให้จิตสงบเสียก่อน อบรมให้เป็นสมาธิเสียก่อน เมื่อเป็นสมาธิแล้ว มันคิดพิจารณาไปเอง เกิดสลดสังเวชขึ้นในตัวของเรา สลดคืออะไร ใจมันหดหู่ แต่ไม่ใช่ใจเศร้าหมอง ใจเศร้าหมองกับใจหดหู่มันต่างกัน ใจหดหู่นั้นมันสลดสังเวชแล้วมันคิดถึงตัวของเราจะต้องเป็นอย่างนั้นแล้ว มันหดหู่ลงไป ส่วนใจเศร้าหมองนั้น คิดถึงเรื่องความแก่ความตาย แล้วเศร้าโศกเสียใจอาลัยอาวรณ์กลัวเราจะเป็นอย่างนั้น เรียกว่าเศร้าโศก จิตไม่ตั้งมั่นอยู่ในที่เดียว ส่วนหดหู่นั้นจิตใจยิ่งตั้งมั่นลงไป แล้วเกิดความสลดสังเวชในตัวของตน เราเกิดมาได้ของไม่ดี ซึ่งเราหลงไหลมานมนานแล้ว เข้าใจว่าได้ของดี จะมีอายุยืน จะมีสุขภาพดี แท้ที่จริงมันได้ของตาย ของอสุภะปฏิกูล ของชำรุดทรุดโทรมทั้งนั้น เราบำรุงบำเรอรักษาทุกเมื่อ แต่ว่ามันก็ชำรุดไปทุกวัน ทุกเวลา ทุกนาที ไม่มีอะไรจะมั่นคงถาวรอยู่ได้ มันจึงค่อยเห็นความจริงว่ามันต้องทรุดโทรมไปทุกวัน เป็นเหตุให้ได้คิด เกิดสลดใจว่า ตนลืมตนหลงตัว เพิ่งมารู้เดี๋ยวนี้เอง เวลาล่วงเลยมานานไม่เกิดความรู้ความเข้าใจตามความเป็นจริงของสังขาร เหตุนั้นจึงว่า การทำสมาธิภาวนามีอานิสงส์มาก ทำให้เห็นชัดตามความเป็นจริง ถ้าเห็นตามความเป็นจริงแล้วสิ่งทั้งหลายนี้จะแปรปรวนก็ตาม จะดับสูญสิ้นไปก็ตาม อัตภาพมันเป็นอยู่อย่างนั้น ใครห้ามไม่ได้ใครบอกก็ไม่ฟัง มันเกิดขึ้นมาแล้วมันต้องแปรปรวนไปอย่างนั่นเอง


    พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เห็นตามความเป็นจริง พิจารณาตามเป็นจริง พระพุทธศาสนาสอนของจริง สอนตามความเป็นจริง มนุษย์คนเราเข้าใจผิดไปไม่เห็นตามเป็นจริง เอาตัวของเรานี่แหละเป็นตัวอย่างอธิบายให้ฟัง ความเสื่อม ความสิ้นไปเป็นธรรมดาของสังขารทั้งปวงของมนุษย์ที่เกิดมาเป็นอย่างนั้น แต่มันไม่เห็นตามเป็นจริง เพราะจิตไม่เป็นสมาธิภาวนา คนที่เป็นสมาธิภาวนาแล้วเห็นชัดตามเป็นจริง ไม่มีหวั่นไหว การพิจารณาความเกิดกับความดับพิจารณาด้วยอาการอย่างนี้

    วันนี้อธิบายถึงเรื่อง ความเกิด ความดับ เพียงแค่นี้ เอวํฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2005
  2. Kob

    Kob เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    6,159
    ค่าพลัง:
    +19,883
    ขอมอบสิ่งดีๆ ให้แก่เพื่อนๆ คะ...........

    ขอบคุณทุกๆท่านที่มาอ่านธรรมะที่ kob ให้ และร่วมอนุโมทนาบุญ ขอให้ทุกท่านมีความสุขมากๆ นะคะ......

    [music]http://palungjit.org/attachments/a.30407/[/music]​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 ตุลาคม 2005
  3. Kob

    Kob เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    6,159
    ค่าพลัง:
    +19,883
    เชิญชวนอ่านธรรมะคะ......

    เชิญชวนอ่านธรรมะ คะ

    ท่านเจ้าคุณนรรัตน
    อย่าเลี้ยงความไม่สบายใจ
    จงหมั่นเจริญสติ
    อย่าทำผิดซ้ำซาก
    จงเข้าถึงสุขอันยิ่ง

    หลวงพ่อแพร วัดพิกุลทอง
    กรรมเวรกถา
    การกระทำกรรม
    กฏแห่งกรรม...หลวงปู่มั่น

    หลวงปู่สิม
    หลวงปู่สิม ฝากไว้.....
    มดแดงไต่ขอบด้ง
    กบเฝ้ากอบัว
    หมาไล่เนื้อ
    พระพุทธบาท ๔ รอย

    หลวงปู่แหวน
    ตัณหาเป็นเชือกผูกคอ ปอผูกศอก โซ่ล่ามขา
    ปัจจุบันธรรม
    มรณานุสสติ
    ธรรมโอวาทครั้งสุดท้าย
    เจตนาคือตัวกรรม
    ให้ตั้งสัจจะ
    ไตรสิกขา คือ ไตรทวาร
    กัมมัฏฐาน ๕ เป็นที่ตั้งของกาม

    หลวงปู่เทศก์
    ความเกิด ความดับ
    ความแก่
    กรรมฐาน
    ทุกข์
    ธาตุสี่
    นั่งสมาธิ
    ทำบุญ-ทำทาน
    วันคืนล่วงไป...เราทำอะไรอยู่
    จิต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2005

แชร์หน้านี้

Loading...