ความเข้าใจที่อาจคลาดเคลื่อน อันเนื่องมาจากกรณี ''พ่อปลาบู่"

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย karan20, 8 มกราคม 2012.

  1. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    ความเข้าใจที่อาจคลาดเคลื่อน อันเนื่องมาจากกรณี ''พ่อปลาบู่"

    1. พระอชิตะไม่ได้เป็นพระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์
    2. พระศรีอาริยเมตไตรโพธิสัตว์บารมีเต็มแล้ว ไม่ลงมาเกิดแล้ว
    รอเพียงอุบัติเป็นพระพุทธเจ้าชาติสุดท้ายเท่านั้น


    ขณะนี้ได้มีบางท่านเอาเรื่องความผิดพลาดของ 'พ่อปลาบู่' มาเป็นความผิดพลาดของ 'ปลาบู่'
    ทั้งที่ตามความเป็นจริงแล้วเรื่องของเด็กชายปลาบู่นั้นอาจจะ....

    1. เป็นเรื่องแต่งขึ้น
    1.1 เจตนาโกหก
    1.2 ไม่ได้เจตนาโกหก แต่จิตหลอน หรือเป็นโรคประสาท

    2. เป็นเรื่องจริง
    2.1 แต่มีความผิดพลาดจากความทรงจดจำที่คลาดเคลื่อน
    2.2 แต่เป็นการตีความผิดพลาดของพ่อปลาบู่และการเผยแพร่ข่าว

    3. เป็นเรื่องจริง บางส่วน
    3.1 มีการแต่งเติมบางส่วนเพื่อพยายามทำให้คนเชื่อ
    3.2 มีการเปลี่ยนแปลงหรือคลาดเคลื่อนเรื่องเวลาในการเกิดเหตุการณ์

    โปรดทราบว่าผู้เขียนไม่ได้ยืนยันว่าเด็กชายปลาบู่เป็นพระโพธิสัตว์หรือไม่
    ผู้เขียนมีแหล่งข้อมูลที่อยู่นอกเหนือจากวิทยาศาสตร์ที่อาจเชื่อได้ว่าเราไม่ควรไปปรามาสเรื่องนี้
    แต่นั่นก็เป็นเพียงคำเตือนขอให้ท่านผู้อ่านใช้วิจารณญาณ
    และรับผิดชอบในการตัดสินใจของท่านเองที่จะเลือกเชื่ออย่างไร

    พูดถึงความเชื่อ บางท่านมักอ้างเรื่อง กาลามสูตร ว่าไม่ควรด่วนเชื่อ
    แต่ท่านเหล่านั้นก็อาจลืมไปว่า 'การไม่เชื่อนั้นเอง' ก็เป็นความเชื่ออันหนึ่ง
    หรือพูดอีกแบบก็คือ
    [FONT=&quot]กลุ่มหนึ่งก็เชื่อว่า เรื่องเด็กชายปลาบู่เป็นเรื่องจริง
    กลุ่มหนึ่งก็เชื่อว่า เรื่องเด็กชายปลาบู่เป็นเรื่องไม่จริง
    [/FONT]

    [FONT=&quot]คลิกที่นี่...'กาลามสูตร' กับความเชื่อเรื่องภัยพิบัติ[/FONT]

    เราทั้งหลายต่างก็เป็นผู้ที่ไม่ได้รู้แจ้ง
    ทั้ง 'กลุ่มเชื่อว่าจริง' และ 'กลุ่มที่เชื่อว่าไม่จริง' นั้นต่างก็อาศัยจากการคาดคะเนเอาตามข้อมูลของตนทั้งสิ้น
    บางท่านก็ใช้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เป็นหลัก
    แต่บางท่านก็อาจมีข้อมูลที่นอกเหนือจากนั้นมาใช้พิจารณาประกอบร่วมกันด้วย

    ในโลกนี้ยังมีคนอีกกลุ่มที่นอกเหนือจากทั้ง 'กลุ่มเชื่อว่าจริง' และ 'กลุ่มที่เชื่อว่าไม่จริง'
    กลุ่มนี้เราอาจเรียกว่า 'กลุ่มที่ยังไม่ด่วนสรุปเชื่อว่าจริงหรือไม่จริง'
    และผู้เขียนเองขอสมัครเป็นสมาชิกในกลุ่มหลังนี้ด้วย




    ผู้เขียนได้เคยนำเสนอไว้ตั้งแต่วันที่ 2/11/2554 ว่า
    ให้ระวังการตีความที่ผิดพลาดในกระทู้
    วิเคราะห์เรื่องเด็กชายปลาบู่และภัยพิบัติ พ.ศ. 2555 - 2556


    และย้ำอีกครั้งในวันที่ 27/12/2554 ในกระทู้
    คำทำนายของเด็กชายปลาบู่ (อาจ) ไม่ได้หมายถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2554


    โดยขอยกข้อความบางส่วนมาแสดงว่า....

    คำทำนายของเด็กชายปลาบู่ (อาจ) ไม่ได้หมายถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2554

    เราตั้งสมมติฐานก่อนว่า เด็กชายปลาบู่เป็นเรื่องจริง
    เราต้องแยกออกเป็น 3 ประเด็นคือ คำทำนาย การตีความ และการบอกเล่าต่อ

    1. คำทำนาย คือสิ่งที่เด็กชายปลาบู่พูดเอง
    2. การตีความ คือสิ่งที่คุณลุงทองใบพูด
    3. การบอกเล่าต่อ คือสิ่งที่คนบอกเล่าพูดกันต่อ ๆ ไป และสิ่งที่สื่อต่าง ๆ เผยแพร่


    1. คำทำนาย
    โปรดทราบว่าข้อมูลคำทำนายที่เด็กชายปลาบู่บอกกับคุณลุงคือ
    " แต่อีก 38 ปี (2555) จะเกิดอาเพศรุนแรง แผ่นดินไหวรุนแรงเกือบทั่วโลก จะโดนทั้งไทย พม่า ฯลฯ
    กรุงเทพฯจมดินจมน้ำ เขื่อนที่จังหวัดตากก็พัง
    "ในเวลายามสองในคืนปีใหม่ คนไทยฉลองกันสนุกสนาน
    เกิดแผ่นดินไหวมีคนตายมากมาย"

    ข้อมูลที่คุณลุงจำได้มีเพียงเท่านี้

    2. การตีความ
    ข้อมูลจากในคลิป คุณลุงไม่ได้อัดเสียงหรือบันทึกไว้ในตอนที่เด็กชายปลาบู่พูด
    แต่ข้อมูลที่นำมาเล่าเป็นการจดบันทึกในภายหลัง
    และคุณลุงได้ตีความว่าคำทำนายออกเป็น 2 ทาง คือ
    2.1 อาจจะเป็นปีใหม่ไทย คือวันสงกรานต์ 13 เมษายน 2555
    2.2 อาจจะเป็นปีใหม่สากลคือในวันที่ 31 ธันวาคม 2554

    3. การบอกเล่าต่อ และสิ่งที่สื่อต่าง ๆ เผยแพร่
    ตอนนี้การบอกเล่าและสื่อต่างๆ เกือบทั้งหมดตัดประเด็นข้อ 2.1 ทิ้ง
    ต่างระบุว่าเป็นข้อ 2.2 คือเด็กชายปลาบู่ทำนายว่าจะเกิดภัยพิบัติในวันที่ 31 ธันวาคม 2554

    แต่มีผู้วิเคราะห์ซึ่งเป็นเสียงส่วนน้อยวิเคราะห์ว่า
    31 ธันวาคม 2554 ตั้งแต่เวลา 22.00 - 23.59 ยังเป็นปี 2554 ไม่ใช่ ปี 2555
    คำทำนายของเด็กชายปลาบู่อาจจะหมายถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ต่างหาก
    หากเป็นเช่นนี้ก็คือการพยายามยัดเยียดว่าเด็กชายปลาบู่พูดทั้งที่เด็กชายปลาบู่ไม่ได้พูด


    เราจึงอยากย้ำว่า
    เด็กชายปลาบู่ไม่ได้ทำนายว่าจะเกิดภัยพิบัติัในวันที่ 31 ธันวาคม 2554
    สิ่งที่กำลังเผยแพร่ในขณะนี้คือการตีความซึ่งอาจตีความผิดหรือถูกก็ได้
    แล้วคนก็บอกเล่าต่อ ๆ กันไป
    สื่อต่าง ๆ ก็เผยแพร่ออกไป

    ถามว่าหากวันที่ 31 ธันวาคม 2554
    ไม่มีภัยพิบัติเกิดขึ้นตามการตีความของคุณลุงทองใบ
    และตามการบอกเล่าต่อ ๆ กันไป ตลอดจนตามที่สื่อเผยแพร่ออกไปจะเกิดอะไรขึ้น

    คนที่ติดตามข่าวจากเฉพาะสื่อต่าง ๆ โดยไม่ได้วิเคราะห์ ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่
    ก็จะวิพากษ์วิจารณ์ว่าไปในแง่ลบ และมีความประมาท
    การระวังเหตุร้ายในปีต่อไปคือปี 2555 ก็จะลดลง
    จะมีแต่บางกลุ่มที่ติดตามและวิเคราะห์ หรือผู้ที่ไม่ประมาทจึงจะระวังเตรียมรับมือกับภัยที่จะเกิดในปี 2555
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงปลายปี คือตั้งแต่ 21 ธันวาคม 2555 เป็นต้นไป


    ข้อมูลจากพระอาจารย์รัตน์ท่านว่า ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเกิดในวันที่ 21 ธันวาคม 2555 วันนั้นวันเดียว
    แต่ให้ระวังตั้งแต่ 21 ธันวาคม 2555 - 14 กุมภาพันธ์ 2556
    ซึ่งถ้าหากจะเกิดภัยพิบัติในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ก็ย่อมมีความเป็นไปได้
    เพราะอยู่ในระยะอันตรายตามข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และคำทำนายของพระและผู้เตือนหลาย ๆ ท่าน

    ประวัติและผลงานของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ
    แสงสว่างที่ปลายทางรอด...พลังพีระมิด - พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ



    (ยังไม่จบ...โปรดติดตาม)



    ติดตามทาง Facebook กาขาว

    รวมบทความและกระทู้โดย 'กาขาว'

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มกราคม 2012
  2. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    หมายเหตุ : เนื้อหามีความเกี่ยวเนื่องจากกรณีการเตือนภัยพิบัติ
    แต่ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าเนื้อหานี้จะเหมาะสมกับห้องนี้หรือไม่
    ขอทีมงานที่ดูแลเรื่องเนื้อหาโปรดพิจารณาครับ
    และขออภัยหากตั้งกระทู้ไม่สอดคล้องกับห้องในเว็บบอร์ด




    จากกรณี
    ' พ่อปลาบู่ ' ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงผลกระทบด้านลบของการเตือนภัย
    และยังมีประเด็นที่ต่อเนื่องมาจากการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องพ่อปลาบู่
    โดยได้มีการอ้างว่า
    เรื่องของ 'เด็กชายปลาบู่' นั้นเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงอย่างแน่นอน
    โดยบางท่านให้เหตุผลประกอบว่า

    1. พระอชิตะไม่ได้เป็นพระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์

    2. พระศรีอาริยเมตไตรโพธิสัตว์บารมีเต็มแล้ว ไม่ลงมาเกิดแล้ว
    รอเพียงอุบัติเป็นพระพุทธเจ้าชาติสุดท้ายเท่านั้น


    ขอได้โปรดทราบว่านี่ไม่ใช่การมาแก้ตัว
    แทนเด็กชายปลาบู่และพ่อ
    แต่ต้องการนำเสนอเพื่อแก้ไขความเข้าใจที่อาจคลาดเคลื่อนเรื่อง
    พระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์



    (ยังไม่จบ...โปรดติดตาม)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2012
  3. ZZ

    ZZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    5,375
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,652
    ภัยพิบัติและการเตรียมการ น้ำท่วม
    [​IMG] เกี่ยวกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติและมนุษย์ เช่น น้ำท่วม มีทั้งทางแนว วิทยาศาสตร์ พลังจิต และโหราศาสตร์



    เป็นห้องที่รวบรวมเรื่องเกี่ยวกับภัยพิบัติ...ทุกชนิด...ครับ

    รออ่านการวิเคราะห์ของ....ท่าน Karan ครับ


    .
     
  4. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    ก่อนอื่นเราต้องยอมรับว่าพวกเราต่างก็ไม่ใช่ผู้รู้แจ้ง
    แม้มีข้อมูลหลักฐานมากมายเพียงใดก็ยังเป็นเพียงความเชื่อ หรือการเชื่อตามท่านผู้รู้เท่านั้น ไม่ใช่การรู้แจ้ง
    การใช้หลักกาลามสูตร คือ ไม่ตัดสินใจด่วนเชื่อว่าจริง หรือด่วนเชื่อว่าไม่จริง
    ผลที่ได้ไม่ว่าจะออกมาเป็นเช่นไร ก็เพียงสรุปได้ว่า มีน้ำหนักน่าเชื่อว่า.....
    ไม่ใช่การสรุปว่าความเห็นตามความเชื่อของตนนั้นถูกต้อง 100 เปอร์เซ็นต์
    หรือสรุปว่าใครไม่เชื่อเหมือนตนนั้นเห็นผิดไป เป็นคนมุสาวาทไปเสียหมด

    ประเด็นเรื่องพระอชิตะไม่ได้เป็นพระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์
    ความเชื่อนี้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม

    กลุ่มที่หนึ่ง คือ กลุ่มท่านผู้คงแก่ตำรา

    กลุ่มนี้ท่านยึดเอาตามพระไตรปิฎกเท่านั้นนอกเหนือจากนั้นท่านมีความเห็นว่าเป็นเรื่องไม่จริง

    กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มเพิ่งเริ่มศึกษา
    กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่สงสัย และเมื่ออ่านหรือฟังความเห็นจากกลุ่มที่หนึ่งก็เชื่อตาม

    ไม่ว่าจะโต้แย้งกันมากมายเพียงไร แต่หากลองจับประเด็นดูจะพบว่า
    เหตุผลหลักเพียงประการเดียวของกลุ่มท่านผู้คงแก่ตำราคือ

    " ไม่มีอยู่ในพระไตรปิฎก "

    ตรรกะศาสตร์ที่ท่านถือคือ ' ไม่มีในพระไตรปิฎก = ไม่เป็นความจริง '

    ทั้งที่ในความเป็นจริงพระไตรปิฎกอาจบันทึกไว้แต่ความจริง
    แต่ทุกความจริงไม่ได้บันทึกไว้ในพระไตรปิฎก ดังเรื่อง ' ใบไม้ในกำมือ '

    การไม่มีอยู่ในพระไตรปิฎกนั้นสรุปได้เพียงว่า 'ไม่มีอยู่ในพระไตรปิฎก'
    (อาจเพราะไม่ได้ถูกบันทึกไว้ตั้งแต่แรก หรือเพราะถูกตัดทอนไปในภายหลัง)
    แต่ไม่ใช่การไปสรุปเอาเองว่า 'ไม่มีจริง หรือไม่เป็นความจริง'
    ใครพูดเกินจากนี้โกหกหมด

    ชาวพุทธเราพูดคุยกันเองยังไม่ค่อยเขินเท่าไหร่
    แต่หากท่านที่นับถือศาสนาอื่นมาเห็นเข้าคงบอกว่าทำไมชาวพุทธมี ' ความจริงที่คับแคบเหลือเกิน '
    ทั้งที่พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญาและการพิสูจน์
    แต่กลับมีสาวกบางคนบอกว่าอะไรไม่มีใน 'ตำรา' ถือว่าเป็นเรื่องเหลวไหลไปหมด
    บางท่านก็ถึงกับกล่าวว่าแม้แต่พระศรีอาริยเมตไตรย์ก็เป็นเรื่องแต่ง

    ดังนั้นการอ้างว่า พระอชิตะ ไม่มีจริง หรือแม้แต่พระศรีอาริยเมตไตรยไม่มีจริง
    ก็เป็นเพียงความเห็นที่สรุปบนข้อมูลหรือตรรกศาสตร์ที่ว่า 'ไม่มีในพระไตรปิฎก'

    แทนที่จะด่วนสรุปง่าย ๆ แบบนั้น
    คำถามที่น่าสนใจคืออะไรคือข้อมูลที่สนับสนุนว่า พระอชิตะที่เป็นพระโพธิสัตว์นั้นอาจมีอยู่จริง

    แนวทางการค้นหาของเรื่องนี้คือ
    1. ข้อมูลจากเอกสารหรือคัมภีร์ต่าง ๆ ในทางพระพุทธศาสนา
    2. ข้อมูลจากพระอริยสงฆ์ที่ท่านพิสูจน์รู้ได้จากการปฏิบัติของท่านเอง
    ท่านเห็นจริงและยืนยันตามข้อมูลของเอกสารหรือคัมภีร์ในข้อที่ 1.



    (ยังไม่จบ...โปรดติดตาม)

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2012
  5. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    ข้อมูลจากเอกสารหรือคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา
    ข้อมูลส่วนนี้ได้มีท่านผู้เรียบเรียงค้นคว้าไว้แล้ว
    ผู้เขียนขอคัดลอกและยกมาแสดงดังนี้ ลิงค์อ้างอิง
    (ใจความสำคัญอยู่ในข้อที่ 4)


    เรื่องพระอชิตะที่จะตรัสรู้เป็นพระศรีอาริยเมตไตรย์ แสดงไว้ในคัมภีร์ใด

    ตอบคำถามจากกระทู้ ลิ้งค์อ้างอิง

    --------------------------------------------------------------

    โดยขออธิบายเป็นลำดับดังนี้นะครับ

    --------------------------------------------------------------

    1. ในเบื้องต้น โปรดทราบว่า มีพระอสีติมหาสาวกท่านหนึ่ง
    ชื่อว่า พระอชิตะเช่นกัน ดังที่แสดงไว้ในอชิตเถราปทาน ลิ้งค์อ้างอิง

    พระอชิตะท่านนี้เป็นพระอรหันต์มหาสาวก
    ดังนั้นโปรดเข้าใจว่าต้องเป็นคนละองค์กับกรณี อชิตะภิกษุที่เป็นพระโพธิสัตว์


    --------------------------------------------------------------

    2. เรื่องเหตุการณ์ พระอชิตะภิกษุที่เป็นพระโพธิสัตว์ ไม่มีแสดงรายละเอียดใน
    พระไตรปิฎกอรรถกถา แต่เรื่อง พระศรีอาริยเมตตรัย มีแสดงโดยตรงใน จักกวัตติสูตร ลิงค์อ้างอิง

    --------------------------------------------------------------

    3. เรื่องเหตุการณ์ พระอชิตะภิกษุ นั้น แสดงไว้ใน ปฐมสมโพธิกถา
    และคัมภีร์อนาคตวงศ์ โดยเล่าขยายเหตุการณ์ตอนที่ พระนางมหาปชาบดีโคตมีทรงถวายทาน และแสดงใน

    ทักษิณาวิภังคสูตร ลิ้งค์อ้างอิง
    อรรถกถา ลิ้งค์อ้างอิง

    --------------------------------------------------------------

    4. ความใน ปฐมสมโพธิกถาและคัมภีร์อนาคตวงศ์ แสดงไว้ว่า

    อชิตะ๒,(โพธิสัตว์)โอรสพระเจ้าอชาตศัตรู

    พระอชิตะ คือ พระราชโอรสของพระเจ้าอชาตศัตรู ประสูติแต่
    พระนางกาญจนาเทวี ซึ่งเป็นพระมารดา
    เป็นผู้มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้พาบริวาร
    ๑,๐๐๐ คน ออกบวชเป็นภิกษุ
    คราวที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จสู่กรุงกบิลพัสดุ์ครั้งที่สอง
    พระอชิตะเมื่อบวชใหม่ ๆ ได้เป็นผู้รับยุคลพัสตร์(ผ้า ๒ ผืน)
    ของ พระนางมหาปชาบดีโคตมี ซึ่งมีความพิสดารอย่างย่อว่า
    พระนางมหาปชาบดีโคตมีทรงเสียพระทัย ที่ตั้งใจจะถวาย
    ให้แด่พระพุทธองค์ แต่พระพุทธองค์ไม่ทรงรับเพราะเพื่อ
    อนุเคราะห์แก่สงฆ์ในอนาคต เพื่อให้ชนทั้งหลายซึ่งเกิด
    ภายหลังให้เกิดจิตคิดการกระทำเคารพสงฆ์ให้จงมาก และ
    ทรงอนุเคราะห์แก่พระนางเอง เพราะทานที่ให้แด่สงฆ์โดย
    มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขย่อมมีพลานิสงส์มากกว่า
    พระนางมหาปชาบดีโคตมีไม่ทรงทราบดำริของพระพุทธองค์
    จึงเข้าไปหาพระอานนท์ ให้พระอานนท์ทูลถามว่า สาเหตุใดจึง
    ไม่ทรงรับยุคลพัสตร์(ผ้า ๒ ผืน) นั้น
    กาลต่อมา พระอานนท์ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
    มีสาเหตุใดที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงไม่รับทรงรับยุคลพัสตร์(ผ้า ๒ ผืน)
    นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงปาฏิบุคลิกทักษิณาทาน
    โดยพิสดาร แล้วตรัสเทศนาทักษิณาวิภังคสูตร จำแนกประเภท
    แห่งปาฏิบุคลิกทาน แลสังฆทาน โดยพิสดาร แก่พระอานนท์.
    เมื่อพระนางมหาปชาบดีโคตมีได้ทรงทราบในเทศนา
    ทักษิณาวิภังคสูตรในภายหลังแล้ว จึงทรงถือซึ่งภูษาทั้งคู่เข้าไป
    หาพระสารีบุตรท่านก็ไม่ได้รับ เข้าไปหาพระมหาโมคคัลลานะ
    ท่านก็ไม่ได้รับ แม้ในที่สุดแห่งพระอสีติมหาสาวกก็ไม่พระรูป
    ใดรับไว้เลย จนกระทั่งองค์สุดท้ายซึ่งเป็นพระนวกะชื่อพระอชิตะ
    ท่านจึงรับไว้.
    ในเวลานั้นพระนางปชาบดีโคตมีก็ทรงน้อยพระทัยว่า
    พระนางตั้งใจในการทำผ้าทั้งคู่นี้ด้วยว่า จะถวายแด่พระผู้มีพระภาค
    แต่ก็ไม่ทรงรับ แม้นพระอสีติมหาสาวกรูปใดรูปหนึ่งก็ไม่ทรงรับ
    แต่มาบัดนี้ พระภิกษุหนุ่มซึ่งเป็นพระนวกะมารับซึ่งผ้าของพระนาง
    พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นพระนางเสียพระทัย จึงทรง
    พระดำริว่า จะทำให้พระนางบังเกิดโสมนัสในวัตถุทานนี้ จึงมี
    พระพุทธดำรัสเรียกพระอานนท์ว่า
    ท่านจงไปนำบาตรของตถาคตมา แล้วทรงพุทธาธิษฐานว่า
    พระอัครสาวกและสาวกทั้งปวงอย่าได้ถือบาตรนี้ได้เลย ให้
    พระอชิตภิกษุหนุ่มนี้จงถือซึ่งบาตรของตถาคตได้ แล้วทรงโยน
    บาตรนั้นขึ้นไปบนอากาศ แลบาตรนั้นก็ลอยขึ้นไปในกลีบเมฆ
    อันตธานไปมิได้ปรากฏ
    ในลำดับ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ และพระอสีติสาวก
    ทั้งหลาย ก็อาสานำบาตรนั้นกลับคืนมา แต่ก็หาไม่พบ
    พระผู้มีพระภาคจึงตรัสสั่งพระอชิตภิกษุว่า ท่านจงไปนำบาตร
    ของตถาคตมา
    ในลำดับนั้น พระอชิตะได้มีดำริว่า
    ควรจะเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก พระอสีติมหาสาวกนี้ ล้วนเป็นพระ
    อรหันต์มีฤทธาอานุภาพมาก แต่มิอาจนำบาตรมาถวายแด่พระพุทธ
    องค์ได้ แลอาตมะนี้ไซร้มีจิตอันกิเลสครอบงำอยู่ แลเหตุไฉน
    พระบรมครูจึงตรัสสั่งอาตมาให้แสวงหาซึ่งบาตรนั้น จะต้องมี
    เหตุอันใดอันหนึ่งเป็นมั่นคง จึงรับอาสาที่จะนำบาตรนั้นคืนมา
    พระอชิตะได้ไปยืนในที่สุดบริษัท มองขึ้นไปบนอากาศแล้ว
    กระทำสัตยาธิษฐานว่า
    อาตมาบรรพชาในพระพุทธศาสนา ไม่ได้หวังซึ่งลาภยศทั้ง
    หลาย แต่อาตมาบวชประพฤติพรหมจรรย์เพื่อประโยชน์ที่จะ
    ตรัสรู้ซึ่งธรรมทั้งปวง อันอาจสามารถรื้อสัตวโลกให้พ้นจาก
    สงสารทั้งสิ้น หากว่าศีลของอาตมามิขาดทำลายและด่างพร้อย
    บริสุทธิ์อยู่เป็นอันดี ขอให้บาตรของพระผู้มีพระภาคเจ้าจงมา
    สถิตในมือของอาตมาด้วยเทอญ
    พระอชิตะทรงตั้งสัตยาธิษฐานแล้ว จึงเหยียดมือออกไป
    ขณะนั้น บาตรก็ปรากฏตกลงจากอากาศ ประดิษฐานอยู่ที่มือ
    ของพระอชิตะ
    พระอัครมหาสาวกและพระอสีติมหาสาวก ได้มีดำริว่า
    บาตรนี้ควรแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ควรแก่มหาสาวกทั้งหลาย
    แลภิกษุรูปนี้จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลเป็นแน่.
    พระนางประชาบดีโคตมีได้ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็
    มีความปิติโสมนัสเป็นกำลังด้วยวัตถุทานที่ถวายให้แก่พระอชิตะ
    แล้วกราบทูลลาพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จคืนพระราชนิเวศน์สถาน
    เมื่อพระอชิตะได้รับผ้าคู่นั้นมาแล้ว เห็นว่า ไม่ควรแก่ท่าน
    จึงนำผ้าผืนหนึ่งไปปูบนเพดานบนพระคันธกุฎี แห่ง
    พระผู้มีพระภาคเจ้า อีกผืนหนึ่งแบ่งเป็น ๔ ท่อน ผูกเป็นม่าน
    ห้อยลงในที่สี่มุมแห่งเพดานนั้น แล้วอธิษฐานว่า ขอให้เป็น
    พระพุทธเจ้าในอนาคต.
    พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ว่า ท่านอชิตภิกษุรูปนี้เป็น
    พระโพธิสัตว์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระเมตไตรย พุทธเจ้าในอนาคต(๑)
    ในอนาคตวงศ์(๒) เล่าว่า ในภัททกัลปนี้ ชาติสุดท้ายคือ
    ชาติที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น พระเมตไตรยพุทธเจ้า
    เมื่อยังมิได้ทรงผนวชก็ทรงพระนามว่า อชิตะ

    ๑. ปฐม. แปล. -/๓๑๕-๓๒๘ ๒. อนาคตวํส. -/๔๓-๕๖

    (จาก สารานุกรม ใน cd พระไตรปิฏกฉบับธรรมทาน)

    -------------------------------------------------------------------------

    5 เทียบจากประวัติของพระพุทธเจ้าสมณโคดมยุคเรานั้น
    แม้ในกาลของพระกัสสปพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าองค์ก่อน

    พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันครั้งท่านเป็นพระโพธิสัตว์
    ก็ได้บำเพ็ญบารมีเสวยพระชาติเป็น โชติปาละมาณพในกาลนั้น

    ดังนั้นก็ แม้พระศรีอาริยเมตโตรโพธิสัตว์ก็น่าจะ
    มาบำเพ็ญบารมีในพุทธกาลในยุคที่ผ่านมาเช่นกัน

    -------------------------------------------------------------------------


    6 อนึ่ง ขอให้มีความมั่นใจ และศรัทธาในพระพุทธเจ้าและเหล่าพระมหาสาวก
    แห่งที่สังคายนานะครับ ว่าท่านจัดระบบการแสดงข้อมูลต่างๆไว้ดีแล้ว

    ท่านอาจจะประสงค์จะยังไม่ประกาศคุณแห่ง พระโพธิสัตว์พระศรีอาริย์ให้มากเกินไป
    หรืออาจจะมีเหตุผลบางใดๆก็ตามที่ไม่ได้แสดงไว้ในพระไตรปิฎกอรรถกถาโดยตรงก็ได้

    ซึ่งอยากให้พิจารณาจากบทหนึ่ง ที่พระนาคเสนทรงตอบปัญหาใน มิลินทปัญหาดังนี้นะครับ

    -------------------------------------------------------------------

    พระเจ้ามิลินท์ภูมินทราธิบดีมีพระราชโองการตรัสว่า ภนฺเต นาคเสน ข้าแต่พระ
    นาคเสนผู้ปรีชาญาณ บุรุษนั้นบริโภคอาหารอิ่มหนักอยู่แล้ว จักขืนบริโภคเข้าไปอีกเล่า เห็น
    เต็มที ก็หน้าที่บุรุษผู้นั้นจะต้องทนทุกข์ให้จุกรากต่างๆ ไม่มีความสบาย
    พระนาคเสนจึงถวายพระพรว่า มหาราช ขอถวายพระพรบพิตรพระราชสมภาร
    ข้อความที่เปรียบประการฉันใด หมื่นโลกธาตุทรงไว้ซึ่งคุณสมเด็จพระบรมโลกนาถแต่พระ
    องค์เดียวก็เต็มที่อยู่แล้ว ถ้าแม้สมเด็จพระโลกนาถจักตรัสพร้อมกันเป็น ๒ พระองค์นั้น ก็จะ
    ป่วนปั่น หวั่นไหวทรุดเซไปมิอาจต้านทานได้ ตถา มีครุวนาดุจบุรุษอันบริโภคอาหารเกินการณ์ฉะนั้น ลิ้งค์อ้างอิง
    -------------------------------------------------------------------

    7 อีกประการหนึ่ง ผมเข้าใจว่า การแสดงเรื่อง พระโพธิสัตว์พระศรีอาริย์ ให้ชัดเจน
    มากเกินไปในพระไตรปิฎกอรรถกถา อาจจะส่งผลให้ บางท่านเกิดความประมาท
    ด้วยเห็นว่ายังมีพระโพธิสัตว์พระศรีอาริย์อยู่ จึงทำให้ประมาทนิ่งนอนใจมิได้รีบ
    กระทำความเพียรขวนขวายให้สำเร็จถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงอาจจะ
    แยกแสดงออกมาเป็นคัมภีร์ในส่วนอื่น เพื่อประโยชน์เฉพาะแก่ บุคคลบางท่านผู้มีอัธยาศัย
    ที่ปรารถนาการบรรลุธรรมในอนาคตกาลต่างๆกันไป



    (ยังไม่จบ...โปรดติดตาม)


    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2012
  6. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    กล่าวโดยสรุปคือ ข้อมูลจากเอกสารหรือคัมภีร์ต่าง ๆ ในทางพระพุทธศาสนา
    ที่ยืนยันเกี่ยวกับพระอชิตะและพระศรีอาริยเมตไตรยเท่าที่มีผู้ค้นคว้าได้คือ

    1. ปฐมสมโพธิกถา

    2. คัมภีร์อนาคตวงศ์



    .

     
  7. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    ข้อมูลจากพระอริยสงฆ์ที่ท่านพิสูจน์รู้ได้จากการปฏิบัติของท่านเอง
    ท่านเห็นจริงและยืนยันตามข้อมูลของเอกสารหรือคัมภีร์


    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)
    จากรวมคำสอนหลวงพ่อ เรื่องไตรภูมิ ลิ้งค์อ้างอิง

    ความจริงพระศรีอาริยเมตตรัยนี่ สมัยพระพุทธเจ้า ท่านบวชเป็นพระมีนามว่า อชิตะภิกขุ เดิมทีเป็นลูกศิษย์ของพราหมณ์พาวรี ท่านองค์นี้ไปบวชเพื่อสร้างเสริมบารมีต่อมาเมื่อพระนางกีสาโคตมีได้ทอจีวร ด้วยมือของตนเอง ปรารถนาจะถวายพระพุทธเจ้า เมื่อเวลาพระนางไปถวาย พระพุทธเจ้าเรียกพระมาหมด นั่งเรียงแถวกันตามลำดับอาวุโสและคุณสมบัติ เมื่อพระนางกีสาโคตมีถวายผ้าแก่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ส่งให้พระสารีบุตร ท่านพระสารีบุตรก็ส่งในพระโมคคัลลาน์ พระโมคคัลลาน์ก็ส่งต่อๆๆ กันไปผลที่สุด พระทุกองค์ก็ส่งต่อกันไปหมดจนถึงองค์สุดท้าย คือท่านอชิตะภิกขุไม่รู้จะส่งให้ใคร เพราะนั่งอยู่ท้ายบาหลี เป็นอันว่าท่านก็รับไว้ พระนางกีสาโคตมีเสียใจว่าอุตส่าห์ทำเอง เลือกด้ายชั้นดีมาทอกับมือเอง ถวายพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าไม่รับ กลับไปให้พระที่ไม่ได้แม้แต่ฌานสมาบัติมากมายอะไรนัก คือว่ายังเป็นพระปุถุชนคนธรรมดา ทีนี้สมเด็จพระบรมศาสดาทรงทราบอัธยาศัยจึงเทศนาโปรด ว่าพระองค์สุดท้ายน่ะไม่ใช่ใคร ไม่ใช่พระธรรมดา คือท่านอชิตะภิกขุผู้นี้ต่อไปข้างหน้าจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง มีนามว่า พระศรีอาริยเมตตรัย


    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)
    จาก หนังสือ ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน
    เรื่องที่ 41 พระศรีอาริยเมตไตรยปรารถนาพระโพธิญาณจึงไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต ลิ้งค์อ้างอิง

    "..พระศรีอาริยเมตไตรย ในสมัยพระพุทธเจ้าท่านบวชเป็นพระมีนามว่า อชิตะภิกขุ เดิมทีท่านเป็นลูกศิษย์ของพราหมณ์พาวรี ท่านไปบวชเพื่อสร้างเสริมบารมี ต่อมาเมื่อ พระนางกีสา โคตมี ได้ทอจีวรด้วยมือของตนเองปรารถนาจะถวายพระพุทธเจ้า เมื่อเวลาพระนางไปถวาย พระพุทธเจ้าเรียกพระมาหมด นั่งเรียงแถวกันตามลำดับอาวุโสและคุณสมบัติ เมื่อพระนางกีสาโคตมีถวายผ้าแก่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ส่งให้พระสารีบุตร ท่านพระสารีบุตรก็ส่งให้พระโมคคัลลาน์ ท่านพระโมคคัลลาน์ก็ส่งต่อๆ กันไปหมดจนถึงองค์สุดท้ายคือท่านอชิตะภิกขุ ท่านไม่รู้จะส่งให้ใครเพราะนั่งอยู่ท้ายสุด เป็นอันว่าท่านก็รับไว้ พระนางกีสา โคตมีก็เสียใจว่าอุตสาห์ทำเองเลือกด้ายชั้นดีมาทอกับมือเองเพื่อถวายพระ พุทธเจ้า แต่พระองค์ไม่รับกลับไปให้กับพระที่ไม่ได้แม้แต่ฌานสมาบัติมากมายอะไรนัก คือว่ายังเป็นพระปุถุชนคนธรรมดา องค์สมเด็จพระบรมศาสดาทรงทราบอัธยาศัยจึงเทศนาโปรดว่า พระองค์สุดท้ายไม่ใช่พระธรรมดา ท่านอชิตะภิกขุผู้นี้ต่อไปข้างหน้าจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง มีพระนามว่า "สมเด็จพระศรีอริยเมตไตรย"
    ปัจจุบัน นี้ท่านมาเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต วิมานท่านสวยสดงดงามมาก ท่านมีรัศมีกายสว่างมาก หน้าตาผ่องใสยิ้มระรื่นน่าชื่นใจ ท่านได้บอกกับอาตมาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๙ ว่า นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป อีก ๑ ล้านกับ ๒ ปี ท่านจะลงมาเกิดในเมืองมนุษย์แล้วเป็นปุโรหิต หลังจากนั้นเกิดความเบื่อหน่ายก็ออกแสวงหาพระโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า ถ้าจะเทียบพื้นที่ในสมัยนี้ พระองค์จะตรัสทางทิศเหนือของพม่า แต่ตามตำราเขาไม่ได้เขียนไว้






     
  8. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เทศน์ช่วงก่อนทำกรรมฐาน ณ บ้านอนุสาวรีย์
    เดือนตุลาคม ๒๕๕๑


    ลิ้งค์อ้างอิง

    พระศรีอาริยเมตไตรยมีระบุไว้ชัดเจนในทักขิณาวิภังคสูตร พระสุตตันตปิฎกว่า พระนางปชาบดีโคตมีตั้งใจทอจีวรถวายพระพุทธเจ้า ท่านเริ่มตั้งแต่ปลูกเลย เตรียมดินที่จะปลูกฝ้าย ให้ช่างตะไบผงทองผสมไปด้วย แล้วก็เอาเมล็ดฝ้ายปลูก รดด้วยน้ำนมวัว คอยดูแลจนกระทั่งฝ้ายตกยวง แล้วก็เก็บมาปั่นเป็นเส้นด้าย ทอด้วยมือท่านเอง ด้วยความที่ท่านตั้งใจและอาจจะเป็นเพราะว่ามีแร่ธาตุทองคำเยอะ ท่านบอกว่าเนื้อผ้าออกมาสีเหมือนทองคำเลย ท่านทอได้สองผืน ก็เอาไปถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ารับแล้วก็ส่งให้พระสารีบุตร พระสารีบุตรก็ส่งให้พระโมคคัลลาน์ ไล่ไปเรื่อย.... จนถึงพระใหม่ชื่อพระอชิตะ นั่งอยู่ ไม่รู้จะส่งต่อให้ใครก็ต้องรับไว้

    พระนางปชาบดีโคตมีเสียใจ นั่งร้องไห้เลย พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสให้ฟังว่า ถ้าท่านรับไว้เองก็จะเป็นเพียงปาฏิบุคลิกทาน เป็นทานเฉพาะพระองค์ อานิสงส์จะน้อย แต่ว่าที่ส่งให้ท่ามกลางสงฆ์ ผู้ที่เหมาะสมจะได้รับไป คือถ้าใครรู้ตัวว่ามีจีวรเก่าก็รับไป นั่นถือว่าเป็นสังฆทาน แล้วท่านก็ตรัสบอกไว้ว่า ให้ทานที่ให้แก่สัตว์เดรัจฉาน ๑๐๐ ครั้งไม่เท่ากับให้มนุษย์ ๑ ครั้ง ให้แก่มนุษย์ ๑๐๐ ครั้ง ก็ไม่เท่ากับให้สมมติสงฆ์ ๑ ครั้ง ไล่ไปเรื่อย... จนกระทั่งถึง ถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง ไม่เท่ากับถวายทานแก่พระพุทธเจ้า ๑ ครั้ง ถวายทานแก่พระพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้งไม่เท่ากับถวายสังฆทาน ๑ ครั้ง

    ประกอบกับพระพุทธเจ้าอยากแสดงอานุภาพของพระอชิตะให้ทุกคนทราบ จึงอธิษฐานให้บาตรของพระองค์ท่านลอยหายเข้าไปในกลีบเมฆ แล้วตรัสให้พระสารีบุตรไปค้นหา พระสารีบุตรเหาะไปค้นหาก็ไม่เจอ พระโมคคัลลาน์ก็ไม่เจอ ไล่ไปตามลำดับ... จนกระทั่งถึงท้ายแถว พระอชิตะออกไปยืน ไม่ได้เหาะไป เพียงแต่ท่านอธิษฐานว่า ถ้าหากท่านจะบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณในอนาคตกาลจริง ขอให้บาตรพระพุทธเจ้าลอยเข้ามาอยู่ในมือ ปรากฏว่าบาตรลอยกลับมา แบมือรับเลย เพราะพระพุทธเจ้าอธิษฐานไว้แล้วว่าให้พระอชิตเถระเท่านั้นที่หาได้ เมื่อเป็นดังนั้นพระนางปชาบดีก็ร้องไห้อีกรอบ คราวนี้ร้องไห้ด้วยความดีใจ

    พระอชิตะพอท่านรับผ้ามา ท่านก็ไม่ได้ใช้เอง ท่านเอาไปทำเป็นผ้าขึงเพดานหนึ่งผืนสำหรับพระพุทธเจ้า และเป็นผ้าปูที่นอนหนึ่งผืน และก็อธิษฐานขอเข้าถึงพระโพธิญาณในอนาคตกาล ช่วงที่ท่านเอ่ยปากขอให้การปรารถนาพระโพธิญาณนั้นสำเร็จ ท่านบอกว่ามีฉัพพรรณรังสีเปล่งออกจากเขี้ยวแก้วของท่าน ปรากฏสว่างให้เห็นอยู่ทั่วไป แสดงว่าทั้ง ๆ ที่ท่านเป็นเพียงพระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมี แต่กำลังของท่านสูงมหาศาลเลย


    หมายเหตุจากผู้เขียนบทความหรือกระทู้นี้

    ตามที่บางท่านได้แย้งว่า ในทักขิณาวิภังคสูตร พระสุตตันตปิฎก
    ไม่ปรากฏว่ามีการระบุถึงชื่อพระอชิตะนั้น ผู้เขียนยอมรับว่าไม่มีการระบุเช่นนั้นจริง
    แต่เข้าใจว่าที่หลวงพ่อ พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ ท่านนำมาเทศนานั้น เป็นการกล่าวโดยรวบลัด
    คืออ้างถึงเหตุการณ์ในทักขิณาวิภังคสูตร แล้วอธิบายต่อเนื่องกันไปเป็นเชิงอธิบาย
    เป็นการเล่าเรื่องเป็นเชิงอรรถกถาธิบายต่อเนื่องกันไป
    เพื่อยืนยันว่าข้อมูลตรงตามปฐมสมโพธิกถา และคัมภีร์อนาคตวงศ์

    (ปฐมสมโพธิกถา และคัมภีร์อนาคตวงศ์ เป็นการบรรยายเพิ่มเติมถึงเหตุการณ์ใน ทักขิณาวิภังคสูตร)

    เนื่องจากลูกเป็นผู้ด้อยปัญญา จึงขอยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก
    หากไม่เดินตามหลังครูบาอาจารย์ ไม่อ้างอิงครูบาอาจารย์ ลูกก็ไม่รู้จะอ้างอิงใครได้อีก
    หากการอ้างอิงนี้เป็นเหตุให้มีผู้ปรามาสหลวงพ่อและพระอริยงฆ์ทุกท่าน
    ลูกขอขมาต่อพระรัตนตรัยโดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
    ขอได้โปรดอดโทษแก่ลูกและเขาเหล่านั้นด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา
    ขอได้โปรดอดโทษนับตั้งแต่บัดนี้ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ


    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2012
  9. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    พระอนาคตวงศ์ กัณฑ์ที่ ๑
    - พระศรีอาริยเมตไตร(พระอชิตเถระ)


    ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระสรรเพ็ชญ์พุทธเจ้าเสด็จยับยั้งอาศัยใกล้กรุงสาวัตถีมหานคร วสนฺโต เมื่อสมเด็จพระชินวรผู้ทรงญาณสำราญพระอิริยาบถ เข้าพรรษาอยู่ในบุพพาราม อันพระวิสาขา สร้างถวายสิ้นทรัพย์ ๒๗ โกฏิฯ

    ครั้งนั้น พระองค์ทรงปรารภซึ่งพระอชิตเถระ ผู้หน่อบรมพุทธางกูรอริยเมตไตรยเจ้าให้เป็นเหตุ พระโลกเชษฐ์จึงตรัสพระธรรมเทศนา สำแดงซึ่งพระโพธิสัตว์ทั้ง ๑๐ องค์ อันจะมาตรัสเป็น องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลฯ ครั้งนั้น พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถรเจ้า จึงกราบทูลอาราธนา พระองค์ก็นำมาซึ่งอดีตนิทาน แห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าทั้ง ๑๐ พระองค์ ที่จะลงมาตรัสในอนาคตกาลเบื้องหน้าต่อไป.......

    อ่านเพิ่มเติมจาก ลิ้งค์อ้างอิง
     
  10. Super V.I.P

    Super V.I.P สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +18
    ชักเริ่มเบื่อหน่ายนักวิชาการ Google อ่านมากๆชักเริ่มเอียน+เลี่ยน

    แต่ข้อดีของ Google ก็คือ ทำให้เกิดนักวิชาการเฉพาะกิจขึ้นอย่างง่ายดาย แม้กระทั่งเด็ก ป.1 ก็สามารถเป็นนักวิชาการได้ เพียงท่านมี Google

    เพราะท่านไม่จำเป็นต้องมีการศึกษาอะไรมากมาย เพียงท่านสามารถใช้คำสั่ง CTRL+C และ CTRL+V ท่านก็สามารถเป็นนักวิชาการ Google ได้แล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2012
  11. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    ไม่เพียงพระศรีอาริยเมตไตรยเท่านั้นที่มาเกิดในสมัยพุทธกาลหรือเกิดในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเรา
    ลิ้งค์อ้างอิง

    ในคัมภีร์อนาคตวงศ์นั้น ได้กล่าวถึงพระพุทธเจ้าในอนาคต 10 พระองค์ที่จะบังเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ดังนี้ <sup id="cite_ref-1" class="reference">[2]</sup>






    หลวงพ่อทูลเขียน
    หนังสือเรื่อง "พุทธวงศ์ อายุขัยของมนุษย์ ภัยธรรมชาติ"

    ขอยกตัวอย่างในภัทรกัปปัจจุบันนี้มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ร่วมสมัยมี ๕ พระองค์ด้วยกัน แต่ละพระองค์
    ได้มาอุบัติเกิดขึ้นในโลกนี้มีอายุขัยไม่เท่ากัน


    ....พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๑ พระกกุสันโธ พระองค์ได้มาอุบัติเกิดขึ้นในโลก ช่วงนั้นมนุษย์
    มีอายุขัย ๔ หมื่นปี เมื่อพระองค์ทำพุทธกิจเสร็จแล้วก็เข้าสู่พระนิพพาน จากนั้นมาเป็นสุญกัป เป็น
    กัปที่ว่างจากพระพุทธศาสนา อายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้นมี ๔ หมื่นปี ๑๐๐ ปีอายุขัยของมนุษย์ดลดลง
    ๑ ปี ลดลงเรื่อยๆจนถึงมนุษย์ในยุคต่อมา มีอายุขัย ๓ หมื่นปี ในยุคนี้มี พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๒
    พระโกนาคมะโน ได้มาอุบัติเกิดขึ้นในโลก เมื่อพระองค์ทำพุทธกิจเสร็จแล้วก็ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน

    ....จากนั้นมาก็เป็นสุญกัป เป็นกัปที่ว่างจากพระพุทธศาสนา อายุขัยของมนุษย์ลดลง ๑๐๐ ปี ​
    อายุขัยของมนุษย์ลดลง ๑ ปี ลดลงเรื่อยๆ ในยุคต่อมามนุษย์มีอายุขัย ๒ หมื่นปี ในยุคนั้นมี ​
    พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓ พระกัสโป ได้มาอุบัติเกิดขึ้นในโลก เมื่อพระองค์ทำพุทธกิจเสร็จแล้ว
    ก็ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน อายุขัยของมนุษย์ก็ลดลงเรื่อยๆ ๑๐๐ ปีลดลง ๑ ปี จนถึงอายุขัยของ ​
    มนุษย์ในยุคนั้น ๑๐๐ ปีเป็นอายุขัย ในยุคนี้ มี พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๔ พระสมณโคดม (องค์ปัจจุบัน)
    ได้มาอุบัติเกิดขึ้นในโลก เมื่อพระองค์ทำพุทธกิจเสร็จแล้วก็ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน ​

    ....พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ได้วางศาสนาต่อเอาไว้อีก ๕ พันปี ขณะนี้พระพุทธศาสนามาถึง ๒๕๕๐ ปี ​
    อีก ๒๔๕๐ ปี พระพุทธศาสนาจะสูญไปจากโลกนี้ จากนั้นจะเป็นสุญกัปเป็นกัปที่ว่างจากพระพุทธศาสนา ​
    ยาวนาน คำว่า "ว่าง" คือไม่มีใครรู้ในพุทธวจนะ ไม่รู้ในคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นเอง
    ถึงพระพุทธศาสนาจะหมดไปจากโลกนี้แล้วก็ตาม แต่สัจธรรมคือความจริงยังมีอยู่ในโลกนี้ แต่ไม่มีใครรู้
    เหมือนยุคสมัยก่อนที่พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้ ในยุคนั้นมีสัจธรรมอยู่ประจำโลก แต่ก็ไม่มีใครรู้ ​
    เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว จึงนำเอาสัจธรรมคือความจริงนั้นๆมาประกาศให้คนได้รู้ในภายหลัง ​
    เป็นอันว่าในภัทรกัปนี้ มีพระพุทธเจ้าได้มาตรัสรู้โปรดสัตว์แล้ว ๔ พระองค์ (พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ ​
    คือ พระศรีอาริยเมตไตรย์ ยังไม่มาอุบัติในช่วงนี้)

    พระป่ากรรมฐาน อัฐิธาตุกลายเป็นพระธาตุ หลวงพ่อทูล ขิปปปัญโญ กล่าวถึงภัยพิบัติ


    https://sites.google.com/site/watpalan54/1/1
     
  12. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    เอาล่ะหากเราเชื่อว่าพระอชิตะมีตัวตนจริง และพระศรีอาริยเมตไตรยมีอยู่จริง
    เราก็มาพิจารณาต่อไปถึงความเห็นที่ว่า

    " พระศรีอาริยเมตไตรโพธิสัตว์บารมีเต็มแล้ว ไม่ลงมาเกิดแล้ว
    รอเพียงอุบัติเป็นพระพุทธเจ้าชาติสุดท้ายเท่านั้น "

    หากเราใช้ตรรกะศาสตร์ที่ว่า ' ไม่มีในพระไตรปิฎก = ไม่เป็นความจริง '
    ดังนั้นหากไม่มีพระไตรปิฎกระบุว่า
    " พระโพธิสัตว์ที่บารมีเต็มแล้วมีหน้าทีเพียงอยู่เฉย ๆ รออุบัติเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น "
    เราก็ต้องถือว่าความเห็นดังกล่าวไม่เป็นความจริง

    นั่นคือพระโพธิสัตว์บารมีเต็มแล้วท่านก็ยังลงมาเกิด

    แต่ถ้าเราไม่ใช้ตรรกศาสตร์แบบนั้น
    ถึงตรงนี้บอกได้ว่ามีเพียงแค่ความเชื่อเท่านั้น


    การที่บอกว่าพระศรีอาริยเมตไตรยยังไม่ลงมาอุบัติในช่วงนี้นั้น
    ผู้รู้ท่านว่าหมายถึงยังไม่อุบัติลงมาเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น แต่ท่านอาจยังมีกิจอื่น ๆ ที่ต้องทำหรือสงเคราะห์

    เปรียบได้กับคุณครูที่เรียนใกล้จบและรอบรรจุตำแหน่ง
    ก็อาจมีจิตอาสาทำประโยชน์โดยสอนหนังสือในชนบทต่าง ๆ เมื่อมีเวลาว่าง
    หรือคุณครูปลดเกษียณที่กินเงินบำนาญ
    แต่ก็ยังอาจมีจิตอาสาสอนหนังสือฟรีโดยไม่เรียกร้องค่าตอบแทนใด ๆ
    เหล่านี้คือการเป็นครูจากจิตวิญาณ เกิดจากความเมตตาอย่างแท้จริง


    พระโพธิสัตว์ที่หวังพระโพธิญาณคือเป็นพระพุทธเจ้านั้นก็เพราะมีเมตตาแก่สรรพสัตว์หาที่เปรียบประมาณมิได้
    แล้วพระโพธิสัตว์ เช่น พระศรีอาริยเมตไตรย ที่บำเพ็ญบารมีประเภทวิริยะธิกพุทธเจ้า
    เป็นพระพุทธเจ้าประเภทใช้เวลาบำเพ็ญบารมีนานมากที่สุดนั้นเล่าจะมีพระเมตตามากมายขนาดไหน
    ใครจะหยั่งน้ำพระทัยของพระองค์ได้

    ไม่ต้องดูอื่นไกลพระโพธิสัตว์ในยุคปัจจุบันคือในหลวงของเรา ท่านก็ไม่เคยอยู่นิ่งเฉย

    (วิริยะธิกพุทธเจ้า คือพระพุทธเจ้าที่สร้างบารมีโดยใช้ความเพียรเป็นตัวนำ
    ใช้เวลาบำเพ็ญบารมีนานที่สุด คือ 80 อสงไขยกับอีก 100,000 มหากัปป์)


    ตามที่หลาย ๆ ท่าน ทราบกันคือ
    พระศรีอาริยเมตไตรยโพธิสัตว์นั้น ไม่เพียงเป็นพระภิกษุในสมัยพุทธกาล
    แม้ในหลังพุทธกาลแล้วท่านก็ลงมา เท่าที่รับทราบกันคือ
    1. หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด
    2. หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ


    นี่เฉพาะที่มีผู้ยืนยันรับรองกันแล้วในหมู่นักปฎิบัติและพระอริยสงฆ์
    ยังมีที่ไม่สรุปยืนยันหรือรู้กันเฉพาะในวงจำกัดอีก



    "หลวงปู่ครับ หน่อพุทธภูมิที่บารมีเต็มแล้ว ท่านก็ไม่ต้องมาเกิดแล้วใช่ไหม รอการตรัสรู้เลยที่ชั้นดุสิต หรืออย่างหลวงปู่ก็ไม่ต้องมาเกิดแล้วใช่ไหมครับ"

    หลวงปู่ตอบว่า
    "กำลังของพุทธภูมิมีหน้าที่ที่จะทำให้มหาชนมีความสุข ถ้ามีคนเรียกร้องหรือบ้านเมืองเกิดยุคเข็ญก็ต้องลงมาช่วย จะคิดเอาแต่สบายได้ยังไง นั่นไม่ใช่ความคิดของหน่อพุทธภูมิ อย่างนี้พระอรหันต์สำเร็จแล้ว ท่านก็ไม่ต้องยุ่งกับใคร ไม่ต้องทำอะไรแล้วซิ"


    อ่านเพิ่มเติมได้จาก


    หลวงพ่อดู่ พรหมปัญโญ พระผู้เมตตาแห่งกรุงศรีอยุธยา

    การลงมาโปรดสัตว์โลกของเหล่าพระโพธิสัตว์

    พระโพธิสัตว์ - หน่อพุทธภูมิ - การแบ่งภาค โดย หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ



    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มีนาคม 2012
  13. koncheen

    koncheen Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2008
    โพสต์:
    81
    ค่าพลัง:
    +30
    ไมได้ประมาทนะครับผมเชื่อในทางวิทยาศาสตร์ภัยธรรมชาติมันย่อมเกิดขึ้นแน่นอนครับที่ขัดกับความรู้สึกมากก็คือการที่เคยเกิดเป็นนั้นเป็นนี่มันอยากท่ี่จะยอมรับครับแต่ก็เป็นความเชื่อส่วนบุคคลครับเชื่อไว้ไม่เสียหลายเอาแค่แต่พอดีครับจะได้ไม่ทุกข์
     
  14. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379

    การเขียนบทความนั้นก็ต้องมีทั้งส่วนวิเคราะห์และส่วนการอ้างอิง
    ซึ่งส่วนการอ้างอิงนั้นก็ต้องมีการคัดลอกข้อความและบอกแหล่งที่มา

    ในส่วนการวิเคราะห์นั้นเป็นการนำข้อมูลที่มีอยู่มากมายมาแจกแจงนำเสนอและวิจารณ์

    ข้อดีของ Google คือทำให้เราหาข้อมูลได้ง่าย
    แต่ไม่ได้แปลว่าทำให้เราวิเคราะห์ได้ง่ายขึ้น
    บางครั้งเกิดสภาพข้อมูลท่วมหัว ไม่รู้จะเชื่อใครดี

    Goole ทำให้เราหาคำตอบที่ดีได้ก็จริง
    แต่ปัญหาคือเราต้องรู้จักวิธีตั้งคำถามที่ดีด้วย
    ถ้าเราใส่คำถามแย่ ๆ หรือใส่ความคิดแย่ ๆ ลงไป
    ก็เป็นเรื่องยากที่เราจะได้คำตอบที่ดี



    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2012
  15. krr66

    krr66 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +2
    เรียน คุณ karan20
    ขอบคุณสำหรับข้อมูลและการวิเคราะห์ที่นำมาเสนอนะครับ



     
  16. Leeporter

    Leeporter สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +9
    คุณ Karan

    ก่อนที่จะไปไกลถึงขั้นวิเคราะห์ว่าผู้คนตีความคำพูดของปลาบู่ผิดหรือเปล่า

    ผมว่า พิสูจน์ให้ได้ก่อนเหอะว่าทั้งหมดนั้นมาจากปากเด็กชายปลาบู่จริงๆ

    หากกระดุมมันผิดตั้งแต่เม็ดแรก ที่เหลือมันก็ผิดหมดแล้ว ไม่มีอะไรให้น่าเชื่อถือแล้วครับ
     
  17. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379

    ลองอ่านดูที่ข้อความแรกของผมนะครับ
    ผมได้เขียนไว้ว่า.....เรื่องของเด็กชายปลาบู่นั้นอาจจะ....

    1. เป็นเรื่องแต่งขึ้น
    1.1 เจตนาโกหก
    1.2 ไม่ได้เจตนาโกหก แต่จิตหลอน หรือเป็นโรคประสาท

    2. เป็นเรื่องจริง
    2.1 แต่มีความผิดพลาดจากความทรงจดจำที่คลาดเคลื่อน
    2.2 แต่เป็นการตีความผิดพลาดของพ่อปลาบู่และการเผยแพร่ข่าว

    3. เป็นเรื่องจริง บางส่วน
    3.1 มีการแต่งเติมบางส่วนเพื่อพยายามทำให้คนเชื่อ
    3.2 มีการเปลี่ยนแปลงหรือคลาดเคลื่อนเรื่องเวลาในการเกิดเหตุการณ์

    -----------------------------------------------------------------------

    แสดงว่าท่านกำลังเข้าใจจุดยืนของผมผิดครับ
    กาลามสูตรที่หลายคนชอบอ้างนั้นพระพุทธองค์ท่านสอนว่าไม่ให้ด่วนเชื่อ

    ผมจึงไม่ใช่กลุ่มคนที่ด่วนสรุปเชื่อว่าปลาบู่เป็นเรื่องจริง
    และก็ไม่ใช่กลุ่มคนที่ด่วนสรุปเชื่อว่าปลาบู่เป็นเรื่องไม่จริง
    ผมไม่ได้สุดโต่งด้านใดด้านหนึ่ง

    การที่ผมวิเคราะห์ถึงการตีความว่าอาจจะผิดพลาดนั้น
    เพราะผมเห็นเป็นเรื่องที่เห็นได้เด่นชัด วิเคราะห์ง่าย
    แต่แปลกใจที่ในตอนนั้นไม่มีใครพูดถึงเลย
    (ลองดูจากวันที่ของการโพสต์ข้อความนะครับ)

    ที่ว่าวิเคราะห์ได้ง่ายเนื่องจากเป็นแค่เพียงการวิเคราะห์จากคำพูดและการตีความ
    เราก็ลองตั้งสมมุติไว้ทางหนึ่งก่อนว่าถ้าเรื่องเด็กชายปลาบู่เป็นเรื่องจริง
    คำว่าสมมุติก็บอกอยู่แล้วว่ายังไม่แน่นอนว่าจะจริงหรือเปล่า
    เป็นเรื่องต้องรอการพิสูจน์

    ส่วนประเด็นเรื่องว่าเด็กชายปลาบู่พูดจริงหรือเปล่านั้น
    มันเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ยาก เพราะเหตุการณ์ก็ล่วงเลยมานาน
    ผมไม่มีความสามารถที่จะวิเคราะห์ได้ครับ

    เรื่องผ่านมาตั้ง 38 ปี เทปก็ไม่ได้บันทึกไว้
    การวิเคราะห์ก็เพียงทำได้ แค่สงสัยว่าคนนั้นคนนี้อาจจะโกหก
    สุดท้ายสรุปได้แค่เพียงว่า "ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเด็กชายปลาบู่พูดจริง"
    ซึ่งนั่นก็ไม่ได้เป็นหลักฐานยืนยันว่า "เด็กชายปลาบู่ไม่ได้พูด"

    การพิสูจน์นั้นหนักแน่นจริงจังกว่าการวิเคราะห์
    ต้องลงพื้นที่จริง ๆ รวบรวมข้อมูลหลักฐานจริง ๆ
    ไม่ใช่การนั่งอยู่หน้าแป้นคีย์บอร์ดแบบนี้
    เอาเข้าจริง ๆ แล้ว พวกเราที่อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ต่างก็เป็นเพียงคนที่คาดคะเนเอาอย่างมีหลักการแต่ไม่ได้มีหลักฐาน

    อันที่จริงโดยส่วนตัวผมไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าปลาบู่จะพูดเองหรือเปล่า
    เพราะไม่ได้ต้องการหรือมีหน้าที่จะจับผิดหรือจับโกหกใคร
    เรื่องติดกระดุมเม็ดแรกผิดจึงอาจไม่สำคัญกับผมแต่ควรใช้กับการสืบสวนคดี
    เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ ที่จะต้องพิสูจน์ ไม่ใช่วิเคราะห์

    หน้าที่ของผมคือการเตือนเรื่องภัยพิบัติ
    และแก้ไขความเข้าใจผิดเกี่ยวกับธรรมะบางประการ
    เท่าที่ผมจะมีสติปัญญาและความสามารถทำได้

    ในความเห็นของผมถ้าเด็กชายปลาบู่ไม่มีตัวตน หรือเด็กชายปลาบู่ไม่ได้พูด
    หรือคุณลุงทองใบมีเจตนาแต่งเรื่องหลอกลวง
    ผมก็ถือว่ากรรมเป็นของคุณลุงทองใบที่จะต้องรับไป
    เพราะผมเชื่อในกฏแห่งกรรม และเชื่อว่าเจตนาคือกรรม

    การจะเชื่อเรื่องเด็กชายปลาบู่ไว้บ้างก็ไม่เห็นจะเสียหาย
    เช่นเตรียมพร้อมอุปกรณ์ยังชีพไว้
    รัฐควรติดตั้งสัญญาณเตือนภัยหรือตรวจเช็คว่ามันยังทำงานได้ไหม
    อบรมให้ความรู้ประชาชนในการเตรียมตัว ให้ความรู้ว่าไม่ต้องตื่นตระหนก
    ซักซ้อมการอพยพ ทำแผนที่ตำแหน่งที่ปลอดภัย จำลองสถานการณ์ว่าน้ำจะไหลไปทางใด
    พากันสวดมนต์ข้ามปี เร่งรัดการปฏิบัติธรรมและอื่น ๆ
    คงดีกว่าการไม่เชื่อแล้วไปจัดงานรื่นเริงกันบนเขื่อน หรือบอกประชาชนว่า " เอาอยู่ "

    การไม่เชื่อเรื่องเด็กชายปลาบู่ ผมเห็นมีข้อดีเท่าที่นึกได้ก็คือ สบายใจดี
    หลงระเริงไปกับโลก มุ่งหน้าตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินให้ร่ำรวยมาก ๆ

    แต่จากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ เช่น รอยเลื่อนแผ่นดินไหว สถิติการเกิดแผ่นดินไหวในบริเวณใกล้เคียง
    ปรากฏการณ์พายุสุริยะที่จะเกิดในช่วงปลายปี 2555 จนถึง กลางปี 2556
    ประกอบกับข้อมูลที่นอกเหนือจากวิทยาศาสตร์อื่น ๆ อีกมากมายคอยเตือนว่าเราต้องไม่ประมาท

    ขอถามนะครับ ใครที่เข้าวัดปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะสายปฏิบัติ สายพระป่า
    สายกรรมฐาน แล้วครูบาอาจารย์ไม่มีเตือนให้ระแคะระคายเรื่องภัยพิบัติบ้าง
    ผมว่าหายากมาก ๆ ครับ นอกจากท่านไม่เข้าวัดแนวปฏิบัติเลย

    ในทางกลับกันถ้าเกิดว่าเด็กชายปลาบู่พูดไว้จริง แล้วเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นจริง
    แต่พวกเราตีความผิดพลาด หรือประมาทไป
    หากวันนั้นมาถึงผมไม่รู้ว่าท่านและผมจะรู้สึกผิด หรือได้มีโอกาสรู้สึกผิดไหม

    ผมไม่เห็นว่าตัวเองจะมีความรู้สึกดีใจหรือรู้สึกภูมิใจตรงไหนที่จับผิดพ่อปลาบู่ได้
    แต่ผมจะดีใจและภูมิใจมากที่บทความหรือคำเตือนของผมกระตุ้นเตือนให้หลาย ๆ คน ไม่ประมาท เร่งปฏิบัติธรรม
    และไม่เผลอไปปรามาส (ถ้าเด็กชายปลาบู่เป็นเรื่องจริง)

    การไปมัวจับผิดผู้อื่นมีแต่ขาดทุนกับเท่าทุน ที่ได้กำไรนั้นไม่เห็นมี
    แต่การไม่ประมาท ระลึกถึงความตายเป็นมรณานุสติ เร่งปฏิบัติธรรมนั้นมีแต่กำไร


    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มกราคม 2012
  18. พลน้อย

    พลน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +473
    เทศนาของพระโพธิสัตว์ปาเดนโดรเจหลังจากนั่งสมาธิ6ปี

    พ่อปลาบู่ เล่าว่าปลาบู่บอกว่าโลกเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดแผนดินไหว ลองมาดูคำเทศของรามะน้อยกัน ที่ดูเหมือนว่า พระศรีอริยะเมตตรัย จะลงมาช่วงการเปลี่ยนแปลงนี้ และคอยคุ้มครองให้ชาวโลกปลอดภัย นี้ คือเทศนาของรามะน้อยครับ

    เทศนาของพระโพธิสัตว์ปาเดนโดรเจหลังจากนั่งสมาธิ6ปี

    <hr style="color:#FFFFFF; background-color:#FFFFFF" size="1"> <ins style="display:inline-table;border:none;height:250px;margin:0;padding:0;position:relative;visibility:visible;width:300px"><ins id="aswift_0_anchor" style="display:block;border:none;height:250px;margin:0;padding:0;position:relative;visibility:visible;width:300px"></ins></ins>
    <center>[​IMG]</center>
    พระโพธิสัตว์ปาเดนโดรเจ

    ขอนอบ น้อมแด่พระอวโลกิเตศวร ขอนอบน้อมแด่พระอริยไมตรี ขอให้ศาสนาทุกศาสนามีเมตตา เราจะแนะนำทางที่บริสุทธิ์ เพื่อสันติภาพแก่ชาวโลก เพื่อผู้มีบุญบารมีในชาติก่อน ซึ่งวันนี้ก็เป็นวันดีที่นั่งสมาธิครบ 6 ปีแล้ว ในยุคแห่งความวุ่นวาย และความเปลี่ยนแปลงของโลกนี้ ด้วยอานุภาพของพระอริยไมตรีจะคุ้มครองให้ชาวโลกรอดปลอดภัย ชาวโลกไม่รู้ว่าพระอริยไมตรีเคยเกิดขึ้นมาแล้ว 4 ครั้ง และได้ให้คำสอนไว้กับชาวโลก หลังจากที่ข้าพเจ้านั่งสมาธิผ่านไปได้ 10 เดือนโดยไม่ลุกไปไหน รู้สึกได้ถึงความร้อน ความหนาว ฝนตก ซึ่งร่างกายมีเพียงผ้าบางๆ มองไปด้านหลังช้าๆก็เห็นปลวกขึ้นผ้า


    ไม่ ควรแยกชนชั้นวรรณะ เพศ สิทธิของผู้หญิง ผู้ชาย สีผิว เชื้อชาติและศาสนา ไม่ควรดูถูกศาสนาว่า ศาสนาใดสูงหรือต่ำกว่ากัน ไม่ควรลบหลู่ศาสนาต่างๆ อย่าแบ่งแยกประเทศ ว่าเป็นศัตรูหรือมิตร อย่าเห็นผิดเป็นชอบ อย่าไปเปรียบเทียบว่าคนนี้ดี คนนี้ไม่ดี อกุศล 10 อย่างและบาปทุกอย่างต้องละเว้น ฝึกให้มีศีล สมาธิ ปัญญา ช่วยเหลือสังคม และอุทิศชีวิตแก่ประเทศชาติ ในโลกนี้ ถ้าผู้ใดปฏิบัติตามศีล 8 ได้ ก็จะเหมือนอยู่ในดินแดนสุขาวดี อยู่ในยุคทอง เพื่อความสุขของชาวโลก ข้าพเจ้าจะอุทิศชีวิต ชีวิตของมนุษย์จะสำคัญเมื่อใช้ชีวิตโดยธรรม ธรรมะก็คือสูญญตา ก็คือพระพุทธเจ้านั่นเอง ความไม่มีตัวตน ความว่างเปล่า การทนต่อความหิวทำได้ยากมาก แต่ข้าพเจ้าก็สามารถข้ามผ่านความหิวนั้นมาได้ จนได้พุทธภาวะ ถ้ามีพุทธภาวะ ก็จะมีความสงบร่มเย็น และเป็นหนทางที่จะหลุดพ้นจากกิเลสได้ ขอให้มีความสุขสมหวังทุกประการเทอญ
     
  19. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,292
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,115
    ผมอ่านข้อความแล้วเห็นหลายคน ชอบบอกว่า เรื่องที่คุณลุงทองใบออกมาพูดเรื่องเครื่องบินชนตึกบ้าง สึนามิบ้างใครก็บอกได้เพราะออกมาบอกหลังจากเกิดเรื่องแล้วทั้งนั้น

    เห็นอ้างกันจังเรื่องหลักคำสอนกาลามสูตร คนที่ออกมาพูดอย่างงั้นอย่างนี้ผมยังไม่เห็นมีใครเข้าไปเก็บข้อมูลแบบเจาะลึกกันซักคน เท่าที่อ่านเห็นข้อความที่โพสไว้ส่วนมากก็เป็นเรื่องของความรู้สีกเป็นส่วนใหญ่ อ่านไปก็ทำให้ผมเข้าใจไปว่าคนเขียนคงได้แต่อ่านที่เขาเขียนไว้ตามที่ต่างๆแล้วก็คิดเอาเองตามความเข้าใจตามคติความชอบของตัวเองมากกว่าเนี่ยเหรอ ทำตามหลักธรรมกาลามสูตร แน่ใจนะว่าประพฤติตามหลักกาลามสูตร

    ช่วยตอบหน่อยว่า เคยไปที่สวนศรีมหาโพธิ์ของคุณลุงทองใบแล้วหรือยังและเคยไปพูดคุยกับคุณลุงแล้วเหรอ และเคยได้ไปสอบถามชาวบ้านแถวนั้นที่รู้เรื่องราวของคุณลุงและเด็กชายปลาบู่แบบดั้งเดิมบ้างไหมว่าคำบอกเล่าเรื่องเหตุการณ์ในอนาคตซึ่งผ่านมาแล้วทั้งเคร่องบินชนตึกและสึนามินั้นลุงเขาบอกไว้เมื่อไหร่บอกไว้ก่อนเกิดเรื่องหรือบอกหลังเกิดเรื่อง
     
  20. ปธ6

    ปธ6 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    349
    ค่าพลัง:
    +292
    นี่แหละคือตัวอย่าง สำหรับคนที่มองแต่คนอื่นว่าเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ แต่ไม่เคยสำเหนียกมามองตนเอง สักครั้ง ....เลือกที่จะเป็น หรือเลือกที่จะทำ มากกว่า เจ้าค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...