เรื่องเด่น ความโง่งม ...ย่อมทำลายหมู่ชน ประเทศชาติ .. ฉิบหาย! ธรรมะจาก พระอาจารย์อารยวังโส

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย อกาลิโก!, 15 มกราคม 2018.

  1. อกาลิโก!

    อกาลิโก! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    609
    กระทู้เรื่องเด่น:
    531
    ค่าพลัง:
    +3,731
    140107-2.jpg


    ความโง่งม ...ย่อมทำลายหมู่ชน ประเทศชาติ (รัฐบาล) .. ฉิบหาย!
    บทความโดย ..พระอาจารย์อารยวังโส dhamma_araya@hotmail.com
    เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา มีลิขิตธรรมบทหนึ่งที่เขียนบันทึกไว้มีใจความว่า......"........วันหนึ่ง เรามองดูทุกอย่างที่อยู่ตรงข้ามเราว่า ผิด.เรารับฟังความเห็นที่ไม่ตรงใจของเราด้วยความขัดแย้ง
    ทุกอย่างผิด เพราะไม่ใช่เรา...ทุกอย่างผิด เพราะไม่เหมือนเรา...ทุกอย่างไม่ถูกต้อง เพราะขัดแย้งกับความคิดของเราหลายครั้ง เราจะตอบปฏิเสธทันที โดยไม่ทันรับฟังว่า เขาพูดว่าอะไร!?
    ไม่หรอก ... ไม่ใช่ ... ไม่เป็นอย่างนั้น... เป็นคำพูดที่เราพูดจนติดปาก เพราะเราเสพคำพูดที่เราพูดจนติดปาก เพราะเราเสพคำพูดดังกล่าวจนคุ้นเคยกลายเป็นอุปนิสัย .. สันดาน เคยตัว จนเคยปาก ไม่หรอก.. ไม่หรอก.. ไม่หรอก.. แม้บางครั้งก็พูดเรื่องเดียวกับเขา

    140107-1.jpg


    มาวันนี้ เราได้เรียนรู้เรื่อง จิตสังขาร จึงเข้าใจ จิตสันดาน ที่ยึดมั่นใน อัตตะสัญญา มี ความอหังการ .. มมังการ อย่างรุนแรง!เรารู้ทันทีว่า อ้อ! นี่เอง คือ การหลงตน ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ว่า นี่คือฉัน .. นี่คือของฉัน ฉันกำลังพูด คำพูดของฉัน คำพูดนี้คือฉัน คำพูดนี้คือเธอ!
    โลก หรือ ทุกขสัจ! อุบัติเกิดขึ้นด้วย อัตวาทุปาทาน อย่างนี้เอง..
    วันนี้ ฉันมองโลกอย่างเข้าใจ รู้จักรับฟัง เพื่อการศึกษาพิจารณา ฉันจึงเข้าใจว่า.. ในโลกนี้เป็นธรรมดา ไม่ว่าเขาหรือเรา ก็มีทั้งสองด้าน ฉันมองโลกอย่างเข้าใจโลก มองโลกอย่างไม่ขัดแย้งกับโลก และไม่ขัดแย้งกับใครๆ อีกต่อไป เพราะฉันเข้าใจธรรม... ธรรมไม่เคยขัดแย้งกับโลก แต่โลกขัดแย้งกับธรรม นี่คือ สัจธรรมจริงแท้ในพุทธศาสนา...."
    จากลิขิตธรรมบทดังกล่าว สะท้อนให้เห็นภาวะจิตใจที่อ่อนแอ จนเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ ว่า เป็นตัวกู ของกู อย่างรุนแรง จนเปลี่ยนความคิดเป็นการกระทำทางกาย วาจา (การพูด) และเมื่อคล้อยตามภาวะจิตที่อ่อนแอ จึงตกเป็นทาสของความรู้สึกที่จิตนั้นสร้างขึ้นและยึดถือยึดมั่น จนนำไปสู่การกระทำบ่อยๆ การพูดบ่อยๆ เป็นนิสัย อุปนิสัย สันดาน ยกระดับเป็นชะตาชีวิต (Destiny)
    ชะตาชีวิต (Destiny) จึงเกิดขึ้นจาก การคิด (ใจ) สู่การกระทำทางกาย วาจา และกระทำจนคุ้นเคยเป็นอุปนิสัย หลอมเป็นจิตสันดาน กลายเป็นชะตาชีวิตที่เป็นผลกลับมาควบคุมหรือให้ผลกับชีวิตหรือจิตใจนั้น อันเป็นไปตามกฎเกณฑ์ความจริงที่ควบคุมสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ ให้เป็นไปตามปกติว่า ต้องเป็นอย่างนี้!กฎความต้องเป็นเช่นนี้ .. ไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจการควบคุมของใครๆ และไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจการควบคุมของโลก ในทางกลับกัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่รวมเรียกว่า โลก (สังขารโลก .. สัตวโลก โอกาสโลก) ความหมายของ โลก แปลว่า สิ่งที่ย่อยยับแตกดับในที่สุด โดยสิ่งที่อาศัยบนโลกทั้งหมด มี ๓ ประเภท คือ สังขารโลก (สภาพของสังขารที่ไม่มีวิญญาณครองทั้งหมด หรือกรรมที่ปรุงแต่งสัตว์โลกให้เจริญขึ้นหรือเลวลง), สัตวโลก (โลกคือหมู่สัตว์ คือสภาพของสังขารที่มีวิญญาณครองทั้งหมด) และ โอกาสโลก (โลกคือแผ่นดิน คือพื้นผิวภูมิประเทศของโลกที่เป็นที่อยู่อาศัยของสัตวโลก ทั้งที่มีวิญญาณและไม่มีวิญญาณ)
    รวมความหมายของโลก จึงประชุมลงที่กฎอนัตตา .. แสดงให้เห็นอำนาจธรรมเท่านั้นที่เหนือโลก .. ไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของโลกหรือโลกสังขาร หมายถึง กรรมที่ปรุงแต่งสัตว์โลกให้เจริญขึ้นหรือเลวลง ..ให้มีเกิดมีดับต่อไป ทั้งสังขารที่ไม่มีวิญญาณครองและมีวิญญาณครอง หรือสภาพภูมิประเทศของโลก รวมถึงสภาวธรรมต่างๆ ในสภาวะของโลกนั้นๆ
    เรื่องสัจธรรมดังกล่าว เราจะรู้เองไม่ได้เลย หากไม่มี พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ชอบโดยพระองค์เอง และแสดงไว้เป็นหลักฐานเพื่อให้พวกเราได้ศึกษาหรือเรียนรู้ เพื่อนำมาสู่ความเข้าใจในความมีชีวิตของเราเอง...
    การเรียนรู้ธรรม นำมาสู่การเข้าใจในโลก และย่อลงที่ชีวิตเรา.. เพื่อสลายความเป็น มิจฉาทิฏฐิ หลงตนยึดตัว ว่า ฉันเป็นฉัน.. คุณเป็นคุณ.. นี่ของฉัน.. นั่นของมึง.. ที่นำไปสู่การหลงตนหลงตัว .. หลงโลก จนตกอยู่ภายใต้อำนาจโลกธรรม อย่างโง่งม!ความโง่งม จึงเป็นเรื่องที่ต้องจับมาศึกษา เพื่อจะได้รู้ว่า หน้าตาของความโง่งมเป็นอย่างไร, อะไรจึงทำให้เกิดความโง่งมขึ้น, ความโง่งมดับได้อย่างไร และความโง่งมให้ผลเป็นอย่างไร!?
    กระบวนการศึกษาเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต .. ให้ถึงความพร้อมแห่งคุณธรรม จึงเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ของสัตว์โลก ที่สร้างวาสนาบารมีมาดีพร้อม พอที่จะเกิด การถึงขณะความพร้อม ที่จะประกอบกุศลกรรมในเขตพระพุทธศาสนาได้อย่างสมบูรณ์ เพื่อ ปัญญาอันชอบ (สัมมัปปัญญา) ที่เป็นอริยทรัพย์อันประเสริฐสุดของสัตว์โลก!



    140107-3.jpg


    ในท่ามกลางกระแสความเร่าร้อนของโลกวัตถุนิยมในยุคไอที ที่สื่อสารไปได้ทั่วทุกมุมโลกอย่างไร้พรมแดนขวางกั้น ด้วยอำนาจจิตที่มีธรรมชาติไปได้ไกล ไม่มีขอบเขต โดยลำพัง ไร้รูปร่างจับต้อง แต่อาศัยอารมณ์เป็นคูหา.. ซึ่งขับเคลื่อนไปด้วยอำนาจของกิเลสตัณหาหรือความทะยานอยาก สัตว์โลกจึงตกอยู่ภายใต้อำนาจโลกธรรมที่จิตของสัตว์ไปยึดถือเกาะเกี่ยวจนโง่งมมากยิ่งขึ้น ด้วยการมุ่งแสวงหาโภคทรัพย์ที่เป็นวัตถุนิยม ละทิ้งธรรมนิยม สัตว์โลกจึงมุ่งแสวงหาให้ได้มาซึ่งวัตถุกาม อันเป็นยอดแห่งลาภที่ปรารถนา เมื่อได้มาจึงหลงใหล ชอบชิดติดพัน หมกมุ่นฝังใจ .. จนนำไปสู่จิตที่เป็นอกุศล ที่เรียกว่า มัจฉริยจิต!
    ความริษยา จึงก่อเกิดขึ้นในจิตของสัตว์โลก ที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจปรุงแต่งของกามคุณ อันเกิดขึ้นเพราะความรักใคร่ยินดี ปรารถนาในวัตถุกาม .. หลงยึดติดยึดถือในอารมณ์ที่น่าใคร่ จากการได้เสพ กามคุณารมณ์หรือกามฉันทะ.... ความไม่อยากให้ใครได้ดี จนนำไปสู่ความไม่ต้องการแบ่งปันสิ่งที่ดีๆ อันตนเองมีให้กับใครๆ.. จึงเกิดขึ้นในจิตใจของสัตว์โลกเหล่านั้น... อำนาจริษยามัจฉริยะ จึงครอบครองจิตใจสัตว์โลกด้วยอิทธิฤทธิ์ของวัตถุกามที่ครอบครองจิต เราจึงเห็นการคิด พูด ทำ ที่นำไปสู่การเบียดเบียนกัน ทั้งด้วยคำพูดที่ประดิดประดอยคำ ไว้เป็นดุจหอกดาบทิ่มแทงเชือดเฉือนผู้อื่น จนเลยเถิดไปถึงการคิดประดิษฐ์ศาสตราอาวุธนานาชนิดไว้ประหัตประหารรบราฆ่าฟันกัน
    เราจึงเห็น ภาพโลกกลียุค เกิดขึ้นในกาลปัจจุบันอย่างรวดเร็ว .. มหาชนทั่วทุกมุมโลกจึงเดือดร้อนกันไปทั่ว ไม่มีพื้นที่ตรงไหนของสัตว์โลกที่มีความสงบสุขจริง .. โดยเฉพาะการก่อรูปสงคราม การทำลายล้างมนุษยชาติในทุกรูปแบบผ่านสื่อออนไลน์ ในระบบไอทีที่เข้าถึงทุกคนทุกครัวเรือนได้อย่างรวดเร็วในยุคโลกไร้พรมแดน
    อิทธิพลของวัตถุนิยมในยุคไอที จึงสำแดงฤทธิ์เดชอย่างเต็มกำลัง เพื่ออำนาจวัตถุครองโลก ..สัตว์โลกตกอยู่ภายใต้ลัทธิ Materialism มี กามฉันทะ หรือ ราคะธรรม เป็นศาสดา คอยปลุกปั่นจิตใจสัตว์โลกให้หลงใหลในเสียงเพลงแห่ง ปัญจมาร ด้วยการจับสัตว์ทั้งหลายให้อยู่ภายใต้ เบญจกามคุณ..ไม่เว้นแม้ในเขตแดนที่เคยรุ่งเรืองด้วยคำสั่งสอนที่เป็นสัจธรรม แสดงหลักความจริงขั้นอริยสัจ อันเป็นไปเพื่อการดับมาร ทำลายเบญจกามคุณให้สิ้นไปได้อย่างแท้จริง จึงไม่แปลกที่แม้สังคมอารยธรรมที่เคยเพียบพร้อม ด้วยสันติสุข ด้วยความเป็นธรรมแห่งพุทธะ เพื่อการรู้ ตื่น เบิกบาน ก็ยังย่อยยับไม่เป็นท่า เมื่อเจอเขตวัดวาอารามทั้งหลาย ซึ่ง เป็นเขตวิเวกธรรม เป็นเขตวิมุตติธรรม.. ก็ยังคลาคล่ำล้นเหลือไปด้วยวัตถุนิยม เล่นเอาพระเถรเณรชีตกอยู่ภายใต้อำนาจวัตถุนิยมที่หลงเสพเข้าไปวันต่อวันอย่างขาดสติเป็นแถวๆ.... จึงยากยิ่งที่จะเห็นดอกบัวบานในหมู่ผู้มุ่งประพฤติพรหมจรรย์ในยามนี้!
    ความเน่าเฟะจากอารยธรรมของสังคมในยุคไอที จึงเป็นไปอย่างไม่มีทีท่าว่าจะมีอำนาจใดมายับยั้งได้... หมู่ชนต่างเริ่มโกลาหล ไร้สรณะ ขาดสติปัญญา.. ไม่เว้นแม้ผู้อ้างตนว่าเป็นผู้ศึกษาธรรม ที่พยายามคิดหาหนทางสร้างเนื้อสร้างตัวจากกระแสความล้มเหลวของสังคม เราจึงเห็น แม่นั่น พ่อนี่ เกิดขึ้นในท่ามกลางความวุ่นวาย ตั้งตัวเป็นครูอาจารย์ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ปากคาบตำราอรรถาธิบายธรรมได้เป็นฉากๆ โดยพุ่งเป้ากระหน่ำทำลายองค์กรสงฆ์ สถาบันศาสนา พระเถรเณรชี ให้ย่อยยับอับปางในทุกเรื่องทุกประเด็นที่เกิดปรากฏจากบรรดาพวกทุศีล พระเถื่อน คนถ่อย โดยไม่คำนึงถึงการดำรงอยู่ของสถาบันพระพุทธศาสนา ที่จะต้องสืบอายุพระพุทธศาสนาต่อไปเบื้องหน้า ที่ยังพอมีพระปฏิบัติดี อุบาสกอุบาสิกาที่เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมอยู่บ้าง... แม้จะไม่มากนัก!!
    สังคมจึงสวิงสวายไปตามแรงเหวี่ยงของกิเลสที่ควบคุมจิตสัตว์ทั้งหลายให้อยู่ภายใต้อำนาจสังขารโลก... อนิจจา วะตะ สังขารา จึงไม่ขึ้นจิต .. ทุกขัง อนัตตา จึงไม่เข้าใจ ...จึงไม่ต้องกล่าวในหมู่คนเมืองที่มัวเมาลาภยศสรรเสริญสุข อย่างไม่ลืมหูลืมตา ทุกคนหลงเข้าไปในโลกธรรม ตกอยู่ภายใต้อำนาจของมารแทบทั้งสิ้น
    การเดินหน้าไปของสัตว์โลก จึงเปี่ยมล้นด้วยความโง่งม มักมากในกามคุณ ไม่รู้จบในความอยาก .. เร่าร้อนอยู่ด้วยไฟกิเลส ที่เผาไหม้อยู่ทุกขณะจิต... อะไรไม่ควรทำก็ทำ อะไรไม่ควรพูดก็พูด อะไรไม่ควรเสพก็เสพ โดยไม่ดูฐานะ ไม่รู้จักประเมินตนว่า อีกไม่นานก็จะเดินทางกลับบ้านเก่ากันแล้ว... ทุกสิ่งทุกอย่างต้องคืนกลับไปสู่สาธารณชน สมบัติโลกผลัดกันชม ผลัดกันดม ผลัดกันคลำ ถึงเวลาก็ต้องเปลี่ยนมือไป.. ให้ใส่นาฬิกาเรือนละหลายล้าน ใส่แหวนเพชรหลายกะรัต มีรถราคาแพง มีบ้านอย่างดีหลายหลัง มีเมียหลายคน ...มันก็แค่นั้น สุดท้าย เมื่อจากไปแล้ว ก็ต้องยกให้ผู้อื่นเขาไป... สมดังพระภาษิตที่ว่า....
    .. โลกนี้ อันชรานำไปไม่ยั่งยืน
    โลกนี้ ไม่อยู่ในอำนาจของใครๆ ..
    โลกนี้ จำต้องสละคืน..
    โลกนี้ พร่องอยู่เป็นนิตย์ .. ไม่เคยเต็ม!
    เจริญพร
    ขอขอบคุณที่มาข้อมูลบทความจาก
    Cr. คอลัมน์ ปักธงธรรม หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
    ที่มาFB เพจปักธง ธรรม ส่องโลก - พระอาจารย์อารยวังโส - Most Venerable Arayawangso @paktongdhamsonngloak



    เรียบเรียงโดย

    กิตติ จิตรพรหม
    http://www.tnews.co.th/index.php/contents/401113
     

แชร์หน้านี้

Loading...