คาถาอภิญญา บุกไปเมืองลับแล : หลวงพี่เล็ก

ในห้อง 'ประสบการณ์ ผลของการสวด' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 5 พฤศจิกายน 2009.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    คาถาอภิญญา บุกไปเมืองลับแล และเดินเร็ว ขนาดมอเตอร์ไซด์ยังกวดไม่ทัน...
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->
    คาถาอภิญญา


    [​IMG]

    อภิญญา แปลว่า รู้ยิ่งกว่า มาจากคำว่า “อภิ” แปลว่า ยิ่งกว่า กับ “อัญญา” แปลว่า รู้ คำว่าอภิญญา เป็นสิ่งที่นักปฏิบัติทั้งหลายต้องการเป็นที่ยิ่ง อย่าไปดูคนอื่นเลย ตัวของอาตมานี่แหละ ปฏิบัติภาวนามาเพราะต้องการฤทธิ์อภิญญา หาได้เริ่มเพราะต้องการรู้แจ้งเห็นธรรมไม่ (เปิดเผยความเลวตัวเองซะเลย)

    ศึกษาประวัติหลวงปู่ – หลวงพ่อสมัยก่อน แต่ละองค์ล้วนแล้วแต่มากด้วยอิทธิฤทธิ์ ก็ยิ่งคิดอยากมีฤทธิ์มากขึ้น ดังนั้น...กรรมฐานหมวดแรกที่ฝึกจึงเป็นกสิณ กสิณกองอื่น ๆ หาอุปกรณ์ยาก สู้กสิณไฟไม่ได้ แค่ตะเกียงดวงเดียวก็ทำได้แล้ว...

    ปกติแล้วอาตมาเป็นคนขี้เกียจอ่านหนังสือ อาศัยจำจากครูบาอาจารย์สอนในห้องเรียนก็เหลือจะพอแล้ว สู้พี่สาวเขาไม่ได้ พี่มุกดา เขาขยันอ่านเป็นบ้าเป็นหลัง ก่อนหลับก็เห็นอ่านอยู่ ตื่นขึ้นเช้าก็เห็นเขาอ่านอยู่อย่างนั้น ยอมแพ้แล้วจ้า...!

    ทีนี้จะฝึกกสิณต้องอาศัยตะเกียง ถ้าจุดโดยไม่ได้ทำอะไร นอกจากนั่งมองก็มีหวัง นอกจากถูกหาว่าบ้าแล้ว ก็อาจถูกไม้เรียวจนหายบ้าแน่ ๆ เพราะมันสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ ของพรรค์นี้มันก็ต้องมีเทคนิคเฉพาะหน้ากันบ้าง...
    ทำเป็นขยันอ่านหนังสือบ้างนะซิ...จุดตะเกียวกระป๋องแล้วกางหนังสือตรงหน้า ตาดูดวงไฟแล้วจำภาพไว้ หลับตาภาวนา “เตโชกสิณัง ๆ ๆ ๆ ๆ” พอภาพเลือนจากใจก็ลืมตาดูใหม่ เล่นนั่งทำในมุ้งไม่มีใครรู้หรอกว่าหลับตาหรือลืมตา เห็นกางหนังสือนั่งตัวตรงแหน็ว ใคร ๆ ก็คิดว่าอ่านหนังสือกันทั้งนั้น...


    เช้ามืดตื่นขึ้นมาติดไฟหุงข้าว (สมัยนั้นยังไม่มีแก๊ส ไม่มีหม้อไฟฟ้า ป่วยการจะไปพูดถึงเตาไมโครเวฟ) เอาไฟทั้งเตานั่นแหละเป็นนิมิตกสิณ ก็ไม่เห็นแปลกอะไร กองใหญ่ดีจำภาพง่าย ตกเย็นกลับจากโรงเรียน ยังจุดตะเกียงไม่ได้ก็ไม่เป็นไร พักกสิณไฟไว้ชั่วคราว ตักน้ำมา ๑ ขัน หลบเข้าดงมะม่วง แอบหลังต้นไม้ไม่มีใครเห็น ทีนี้ก็ “อาโปกสิณัง ๆ ๆ ๆ ๆ” ฮ่า...ยิ่งทำยิ่งสนุก...
    มัวแต่สนุกอยู่นั่นแหละ และทำกสิณหลายกองในเวลาเดียวกัน ผลคือเจ๊งไม่เป็นท่า พอเข้ามาทำงานกรุงเทพฯ ไปฝึก มโนมยิทธิที่ บ้านสายลม อาศัยพื้นฐานคอนกรีตเสริมเหล็ก เพราะเล่นกสิณมาก่อน พอฝึกปุ๊บก็ได้ปั๊บเลย ไม่เสียแรงเปล่านิ...

    หันไปสนุกกับมโนมยิทธิเกือบสามปี คืนหนึ่งที่บ้านสายลม “หลวงพ่อ” เทศน์เหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจว่า “วิชชาสอง...อภิญญาห้า...สมาบัติแปด...กรรมฐาน ๔๐...ต่อให้คล่องแค่ไหน ก็ยังแช่อยู่ในนรกทั้งตัว...!” ตายละวา...ที่ท่านเทศน์มาเราไม่มีซักอย่าง แบบนี้คงมิดหัว ไม่ต้องผุดต้องเกิดซะละมั้ง...!?

    กำลังคิดว่าทำอย่างไรถึงจะพ้นนรกได้ “หลวงพ่อ” ท่านก็เทศน์ต่อว่า “...บุคคลที่จะพ้นอบายภูมิได้ อย่างน้อยต้องเป็นพระโสดาบัน การจะเป็นพระโสดาบันก็ไม่ยาก ให้ทรงอารมณ์ดังนี้...
    ๑. เคารพในพระพุทธเจ้า
    ๒. เคารพในพระธรรม
    ๓. เคารพในพระสงฆ์
    ๔. รักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์
    ๕. คิดว่าตายเมื่อไรเราต้องการไปที่เดียวคือนิพพาน
    ถ้าอารมณ์เหล่านี้ทรงใจได้แน่นอน ท่านก็เป็นพระโสดาบัน คนที่เป็นพระโสดาบัน อบายภูมิจะปิดสำหรับท่าน...”

    [​IMG]

    อาตมาเหมือนคนร้าย เห็นประตูคุกเปิดรออยู่แน่ ๆ แล้ว มีคนมาชี้ทางหนีให้ก็เผ่นสุดชีวิต ฤทธิ์เดชอะไรก็ไม่เอาแล้วทั้งนั้น ยิ่งคิดยิ่งสยองขวัญ อีตอนกำลังสนุกเพลิน ๆ อยู่นั้น เกิดปุ๊บปั๊บตายขึ้นมาก็เรียบร้อย ประดาความเลวทั้งหลายที่ทำมา คงเชิญเสด็จไปนรกแน่ ๆ โธ่...มาหลงโง่อยู่ซะเป็นนาน...!(ตอนนี้ก็ยังไม่ฉลาดขึ้นเลย...)

    หันมารักษาศีลอย่างจริงจังบ้าง จากศีล ๕ ไม่เคยครบก็เริ่มครบค่อย ๆ ก้าวไปเรื่อยถึงศีลแปด พอรักษาศีลแปดได้ไม่นานก็บวชพอดี เรื่องอภิญญาสมาบัติหายไปจากความคิดชั่วคราว จนกระทั่งพรรษาที่สอง

    ขณะหลวงพ่อให้โอวาทพระใหม่อยู่นั่นเอง...
    “หลวงพ่อ” ขอให้พระทุกองค์ สละเวลา ๑ ชั่วโมง ภาวนา “คาถาอภิญญา” ให้ทำติดต่อกันทุกวัน ท่านบอกว่าคาถานี้ “พระ” มาบอกให้ภาวนา ถ้าทำได้จะมีผลคล้ายอภิญญา คือไม่ต้องเสียเวลาไปฝึกกสิณ ๑๐ ภาวนาคาถานี้แล้วจะใช้ผลของกสิณได้เลย...

    “กาลต่อไปข้างหน้า บรรดานักบวชที่บิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้าจะคุกคามหนักขึ้น ถึงขนาดโจมตีเรื่องอภิญญาสมาบัติ ว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อเหลวไหล เมื่อถึงเวลานั้นพวกคุณจะต้องแสดงออกให้ชาวบ้านได้เห็น เขาจะได้รู้ว่าใครกันแน่ที่ปฏิบัติตรงตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...”

    ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ถึงขนาดเดิมพันกันด้วยอนาคตของพระศาสนาเชียวหรือ...? ในเมื่อเป็นคำสั่งของ “หลวงพ่อ” อาตมาก็น้อมรับใส่เกล้า นำไปยึดถือปฏิบัติทันที วิธีการมีดังนี้...
    ๑. นะโมฯ. ๓ จบ
    ๒. พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ทุติยัมปิฯ. ตติยัมปิฯ.
    ๓. อิติปิโสฯ. สวากขาโตฯ. สุปฏิปันโนฯ.
    ๔. แล้วทำใจสบาย ๆ ภาวนาว่า “สัมปจิตฉามิ” อ่านว่า สำ – ปะ – จิต – ฉา – มิ ไปเรื่อย ๆ

    ถ้าเห็นประกายแสงสีสีทอง ให้ดึงมารวมเป็นก้อนกลม เอาเข้าไว้ในอก ตัวจะลอยพ้นพื้น ถ้าทรงสติให้ดี จะบังคับให้เหาะไปไหนก็ได้ ถ้าคล่องตัวเมื่อไร อภิญญาใหญ่จะเข้าจับ สามารถใช้ผลของกสิณ ๑๐ ได้ดังใจทุกอย่าง...

    อาตมาทดลองทำดู พอเริ่มภาวนาก็เห็นประกายสีทองพร่างพราวไปหมด จิตดิ่งลึกควบแน่นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เหมือนมีพลังลึกลับบีบอัดเข้ามาทุกทิศทุกทาง แน่นเปรี๊ยะไปหมด ภาวนาไปไม่นาน รู้สึกมีอะไรหมุน ๆ อยู่ข้างเอว...

    ลืมตาขึ้นดู... “เหวอ – อ...!” “โครม – ม – ม...!” ตึกสะท้านไปทั้งหลัง ไอ้ที่หมุน ๆ น่ะพัดลมเพดานที่เปิดไว้ ตัวเราดันลอยขึ้นมาตอนไหนไม่รู้ ห่างพัดลมนิดเดียว พอเห็นเข้าก็ตกใจ เลยหล่นจากท่าขัดสมาธิ ตะครุบกบดังสนั่นไปเลย...!
    ปิดพัดลมภาวนาใหม่ เอ๊ะ...มันลอยจริง ๆ แฮะ จะเป็นอุเพ็งคาปิติ หรือเปล่าหนอ...? “ป้าบ – บ” อูย...ย แบนเป็นกล้วยปิ้งเลย มันลอยวืดขึ้นไปอัดติดกับเพดานทั้งแรงทั้งเร็ว แล้วหมุนติ้วไปรอบห้อง เร็วจี๋จนดูแทบไม่ทัน...

    รู้สึกกลัวนิด ๆ มันเลยค่อย ๆ ลอยลงมาที่เดิมตรงจุดเดิมเป๊ะเลย พอภาวนาใหม่ ก็ได้เรื่อง มันพุ่งตูมทะลุหลังคา พุ่งปร๊าดไปในอากาศ เร็วยิ่งกว่าเอฟ. ๑๖ ผิวหนังเสียดสีกับอากาศจนแสบชาไปทั้งตัว แบบนี้ตายแน่ ๆ...

    “โครม-ม...!” หล่นลงที่เดิมเป๊ะ ไม่มีเคลื่อนแม้แต่นิดเดียว ฝ้าเพดานกับหลังคาก็ปกติทุกอย่าง แล้วเราออกไปทางรูไหนกันแน่...? จะว่าฝันก็ไม่ใช่ เพราะตื่นอยู่สติสมบูรณ์พร้อมทุกประการ หล่นก็เจ็บ สูงก็กลัว มันอะไรกันแน่...?

    ออกไปรับเวรตามปกติ ฝากเวรกับเทวดา แล้วเอาจีวรคลุมโปง ภาวนาไปเรื่อย ๆ อาการชาควบแน่นเข้า – แน่นเข้า พอดีหลวงพี่โอ (พระครูสมุห์พิชิต ฐิตวีโร) เดินเข้ามาในห้องยาม เสียงแว่ว ๆ พูดว่า “ท่านนี่เอาแต่ภาวนาจังเลยนิ...”

    รู้สึกว่าหลวงพี่ท่านแกล้งเอานิ้วจิ้มที่ศีรษะ คุณพระช่วย...! ตัวมันลอยวืดขึ้นมาทันที “เดี๋ยวเขาก็รู้กันหมดทั้งวัดเท่านั้น...” พอคิดวิตกมันก็ค้างกลางอากาศ สูงจากเตียงแค่มือลอดได้ พอดีจีวรคลุมอยู่ หลวงพี่ท่านเลยไม่ทันสังเกต...!

    แต่หัวเรานะซิ...มันเหมือนลูกโป่งถูกเจาะ มีอะไรจากข้างในไม่รู้พุ่งฟู่ออกมาเป็นสายเลย แรก ๆ ก็ออกตรงถูกจิ้มแค่รูเดียว หนัก ๆ เข้าตัวมันพรุนเป็นฝักบัว พุ่งออกทุกทิศทุกทาง เป็นอยู่นานหลายสิบนาทีทีเดียว...

    อาตมาทบทวนความรู้จาก “หลวงพ่อ” ที่สอนไว้ ไอ้อาการลอยกับเหาะ ต้องเป็น อุเพ็งคาปิติ แน่ ๆ ส่วนไอ้ตัวรั่วเป็นรู คงเป็น ผรณาปิติ เป็นอันว่านับเวลาปฏิบัติมาเข้าปีที่สิบสาม เพิ่งจะพบปิติครบทั้ง ๕ ตัวในวันนี้เอง...!
    การภาวนาหลังจากนั้นซิ...วิสัยเดิมที่เลวชักนำไป ภาวนาทีไรอยากเหาะทุกที มัวแต่ตามจับอาการทางกายอยู่นั่นแหละ ว่าใกล้จะลอยหรือยัง ผลคือจิตไม่รวมตัว กรรมฐานเลยพังไปเป็นเดือน แค่อารมณ์สมาธิธรรมดายังทรงไม่ได้เลย...

    ขืนปล่อยให้พญามารจูงจมูกแบบนี้คงแย่แน่ ๆ อาตมาเลยอธิษฐานตัดทิ้งไปเลย...” ลูกจะภาวนาทุกวัน แต่ผลใด ๆ อย่าเพิ่งเกิดขึ้นเลย ไม่งั้นลูกหลงเดินผิดทางเป็นแน่ ขอแค่เวลาลูกจำเป็นต้องใช้ แล้วขอให้ผลเกิดกับลูกตอนนั้นเถิด”

    [​IMG]

    คราวนี้สบาย...ภาวนาได้ใจสงบดี อาการประหลาด ๆ ไม่เกิดขึ้นอีก เพียงแต่ไม่ทราบว่าผลที่ภาวนาทุกวันได้เท่าไรแล้ว และไม่คิดว่าจำเป็นต้องทราบด้วย จนกระทั่งไปเยี่ยม สถานีวิจัยเพื่อรักษาต้นน้ำแม่กลอง มันก็เกิดเหตุจำเป็นจนได้...

    คุณประเดิมชัย แสงคู่วงษ์ หัวหน้าสถานี นำคณะเดินขึ้นเขาไปเรื่อย ๆ ชมงานของทางสถานี ไม่ว่าจะเป็นการ เก็บตะกอน วัดน้ำ วัดอากาศ การทดลองพืชคลุมดิน พืชยึดน้ำ ฯลฯ เพลินไปถึง สถานีย่อยนิคุฮุ เป็นเวลา ๑๑.๑๐ น. แล้ว เราพร้อมที่จะอด แต่ทางสถานีใหญ่ เตรียมอาหารไว้ถวายเพล...

    ต้องฉลองศรัทธาเขาหน่อย แต่มันอยู่ห่างตั้งสี่กิโลเมตร และเป็นทางขึ้นเขาลงห้วยด้วย จำเป็นขึ้นมาแล้ว ขอให้ลูกใช้อำนาจคาถาอภิญญาด้วยเถิด...สำรวมจิตขอบารมี ภาวนาคาถาพลางเดินไปเรื่อย ๆ ทันเพลก็ฉัน ไม่ทันก็อดเอา...

    ห่างจากสถานีครึ่งกิโลเมตร รถของสถานีวิ่งสวนออกมา เหลียวดูข้างหลังไม่เห็นคณะญาติโยมเลยซักคน เลยบอกรถเขาเลยไปรับโยม เราเองเข้าหน่วยไปฉันเพล เหลือบดูนาฬิกาแล้วงง มันเสียละมั้ง...? ทำไมเวลาผ่านไปแค่ ๒๐ นาที...

    พักใหญ่รถที่ไปรับโยมก็มาถึง แม่ถามปนหอบว่า “ท่าน...ทำไมเดินเร็วอย่างนี้...? ข้างหลังวิ่งไล่ยังไม่ทัน จุ๊บ (เบญจพร) วิ่งซะเลือดกำเดาไหลเลย...!” อันนี้อาตมาตอบไม่ได้ เพราะรู้สึกว่าทางมันก็ไกลเท่าเดิม แต่ทำไมใช้เวลาน้อยจัง...!




    [​IMG]
    ถ่ายรูปหมู่หน้าบึงลับแล

    อำนาจคาถาอภิญญาแสดงผลอีกครั้ง ตอนที่บุกไปเมืองลับแลแม่สาน ระยะทางนั้นหลวงลุงสุนทร เดินจนปรุ ยืนยันว่าใช้เวลาเดินหกชั่วโมง แต่อาตมาภาวนาคาถาอภิญญา ใช้เวลาเดินแค่สองชั่วโมงครึ่ง มันเป็นไปได้เหมือนกัน...!

    ตอนเดินอยู่รู้สึกว่าหนทางมันช่างยาวไกลไม่สิ้นสุด มีหลายวาระที่ยอมรับว่าท้อใจ เพราะเดินเท่าไรไม่ถึงจุดหมายซักที พอไปถึงดูเวลาเข้าได้กำไรตั้งสามชั่วโมงครึ่ง ขากลับขนาดเดินชมนกชมไม้มาตลอดทาง ใช้เวลาแค่สองชั่วโมงยี่สิบห้านาที...เอากับเขาซิ...



    ท่านผู้อ่านท่านใดสนใจ ก็ขอเชิญภาวนาดูได้ ผลเป็นประการใด ขอให้เล่าสู่กันฟังบ้าง วงการศาสนาระยะนี้ มีแต่ข่าวนักบวชเลวปรากฏอยู่เสมอ เมื่อชาวบ้านพึ่งเขาไม่ได้ ก็พยายามทำให้อภิญญาเกิดแก่ตัวเอง เผื่อนักบวชเหล่านั้นมาเป็นศิษย์ของฆราวาสกันบ้าง คงสนุกดีพิลึก...!

    ๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ




    -----------------------------------------------------------------------
    [​IMG]

    หมายเหตุ : เมื่อไปอยู่ที่เกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ อาตมาต้องเดินขึ้นเขาไปบิณฑบาต เป็นระยะทาง ๕ ก.ม.เศษ รวมไปกลับสิบก.ม.ครึ่ง ทีแรกก็มีคนงานป่าไม้ เดินตามไปช่วยหิ้วปิ่นโตให้ พอผ่านไปไม่ถึงครึ่งเดือน คนงานหายหัวกันไปหมด...

    อาตมาเลยต้องหิ้วปิ่นโตเอง วันหนึ่ง... สมบัติ ซึ่งเป็นหัวหน้าคนงานมากราบแล้วกราบอีก บอกว่า “ผมเชื่อแล้วครับว่า พระอาจารย์เดินเร็ว ๆ จริง ๆ ...ทีแรกผมสงสัยว่า ทำไมคนงานมันไม่ไปช่วยหิ้วปิ่นโต ถามมันแล้วมันบอกว่า พระอาจารย์เดินเร็วจนมันตามไม่ทัน...

    คนงานพวกนี้เวลามันเดินผมต้องวิ่งตามนะครับ...! แต่มันบอกว่ามันต้องวิ่งตามพระอาจารย์ ผมเลยขี่มอเตอร์ไซด์ตามไป พระอาจารย์เดินเร็วจริง ๆ ครับ...ขนาดมอเตอร์ไซด์ยังกวดไม่ทันเลย...!”

    เรื่องนี้ท่านผู้อ่านต้องไปถามคุณสมบัติ คุ้มท้วม เอาเองว่ามีความจริงแค่ไหน เพราะว่าอาตมาเองก็รู้สึกว่าเดินไปตามปกติ เพียงแต่ว่าหาคนถือปิ่นโตตามหลังไม่ได้เท่านั้นเอง

    ๑๐ สิงหาคม ๒๕๔๙
    พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     
  2. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,016
    ค่าพลัง:
    +742
    ขอบพระคุณมากครับท่านดีมากครับ ชอบอิทธิฤทธิ์เหมือนกันครับ
     
  3. pangpangjang

    pangpangjang Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2009
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +95
    อนุโมทนาครับ ผมเริ่มฝึกก็เพราะอยากได้ฤทธิ์เหมือนกาน ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ = =' ผมก็จะพยายามไม่ไปสนใจมันแระ
     
  4. Scorpius

    Scorpius เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +647
    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ ยุคสมัยนี้จำเป็นจริง ๆ คนส่วนใหญ่ไม่รู่ไม่เห็นก็ตีความว่าไม่มีไปเสียหมด
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,618
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,017
    อนุโมทนาสาธุๆค่ะ
    คงเหมือนตอนที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แล้วเดินทางไปหาปัญจวัคคีย์ แหละนะ
     
  6. Chay 4

    Chay 4 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    292
    ค่าพลัง:
    +94
    อนุโมทนาเป็นความรู้ที่ดีเเละเป็นประโยชน์ต่อผู้ฝึกตนยิ่งนัก
     

แชร์หน้านี้

Loading...