คำแนะนำ เรื่องการฝึกมโนมยิทธิ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย gatsby_ut, 11 สิงหาคม 2010.

  1. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    [​IMG]

    ต่อไปนี้จะขอแนะนำเนื่องในการเจริญมโนมยิทธิ คำว่า มโนมยิทธิ นี่เป็นกรรมฐานอย่างหนึ่งในกรรมฐาน ๔๐ เพราะกรรมฐานที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้มี ๔๐ แบบ แล้วก็ ๔๐ แบบ ถ้าแบ่งเป็นหมวดก็ ๔ หมวด คือ

    หมวดที่ ๑ สุขวิปัสสโก
    หมวดที่ ๒ เตวิชโช
    หมวดที่ ๓ ฉฬภิญโญ
    หมวดที่ ๔ ปฏิสัมภิทัปปัตโต

    หมวดที่ ๑ ที่เรียกว่า สุขวิปัสสโก ท่านแปลว่า บรรลุมรรคผลได้อย่างแบบง่าย ๆ แต่ความจริงแล้วไม่ง่าย ยากมากแบบสุขวิปัสสโกนี่เวลาเจริญสมาธิตามที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททำอยู่ตามปกติ เป็นการทำจิตให้เป็นสมาธิเข้าถึงฌานสมาบัติ แล้วก็ตัดกิเลส ไม่สามารถจะเห็นผี เห็นนรก เห็นเทวดา เห็นสวรรค์ได้ คือไม่มีทิพจักขุญาณ

    สำหรับ เตวิชโช นั้น มีความสามารถพิเศษอยู่ ๒ อย่าง คือว่ามีทิพจักขุญาณด้วย สามารถระลึกชาติด้วย และก็

    ฉฬภิญโญ (อภิญญาหก) แสดงฤทธิ์ได้ มีหูเป็นทิพย์ มีตาเป็นทิพย์
    ปฏิสัมภิทัปปัตโต มีความสามารถคลุมวิชชาสามและอภิญญาหก มีความฉลาดกว่า
    หมวดที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ไม่เหมือนกัน แต่วิธีปฏิบัติคล้ายคลึงกัน เอาในกรรมฐานทั้ง ๔๐ มาแยกปฏิบัติเป็นหมวดหมู่

    ทีนี้สำหรับการปฏิบัติ ถ้าจะถามว่าอย่างไหนเข้าถึงมรรคผลง่ายกว่ากัน ก็ต้องเป็นไปตามอัธยาศํยของบรรดาท่านพุทธบริษัท

    สำหรับ สุขวิปัสสโก พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้สำหรับผู้ที่ต้องการเรียบ ๆ ไม่ต้องการฤทธิ์เดช ทำแบบสบาย ๆ จิตใจไม่ชอบจุกจิก

    สำหรับ เตวิชโช นั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้สำหรับคนที่อยากรู้อยากเห็น ถ้ามีสิ่งปิดบังลี้ลับอยู่ ทนไม่ไหว ต้องหาให้พบ ค้นให้เห็น

    สำหรับ ฉฬภิญโญ นั้น สำหรับคนที่ต้องการมีฤทธิ์เดชพระพุทธเจ้าก็ทรงสอนไว้

    สำหรับ ปฏิสัมภิทาญาณ หรือปฏิสัมภิทัปปัตโต ท่านมีทั้งฤทธิ์ด้วย มีทั้งความเป็นทิพย์ของจิตด้วยมีความฉลาดด้วย สอนไว้เพื่อคนที่ต้องการรอบรู้ทุกอย่าง
    ฉะนั้นการที่พระพุทธเจ้าทรงสอน จึงเป็นไปตามอัธยาศัยของคน
    สำหรับวันนี้จะนำเอาคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าส่วนหนึ่งที่เรียกว่า มโนมยิทธิ มาแนะนำแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท

    [​IMG]


    มโนมยิทธิ นี่คล้ายคลึงกับ เตวิชโช แต่ว่ามีกำลังสูงกว่า เป็นกรรมฐานเพื่อนเตรียมตัวที่จะปฏิบัติเพื่อ อภิญญาหก ต่อไปข้างหน้า

    สำหรับ เตวิชโช ก็ได้แก่ วิชชาสาม ก็มีทิพจักขุญาณ ซึ่งต่างกับ มโนมยิทธิ คือว่าท่านที่ได้ทิพจักขุญาณแล้วนั่งอยู่ตรงนี้ สามารถจะเห็นเทวดาหรือพรหมได้ สามารถจะคุยได้ แต่ไปหาไม่ได้ สามารถจะเห็นสัตว์นรก เห็นเปรต เห็นอสุรกายได้ แต่ว่าไม่สามารถจะไปหากันได้ เห็นอย่างเดียว

    สำหรับมโนมยิทธิ ใช้กำลังของจิตเคลื่อนออกจากกายไปสวรรค์ก็ได้ ไปพรหมโลกก็ได้ ไปนิพพานก็ได้ ซึ่งมีกำลังสูงกว่า ทั้งนี้เพราะว่าถือเป็นส่วนหนึ่งของอภิญญาสมาบัติ

    สำหรับประโยชน์ที่จะฝึกพระกรรมฐาน นอกจากที่บรรดาท่านพุทธบริษัทจะเข้าใจว่าการเจริญกรรมฐานนี้ต้องการสวรรค์ ต้องการพรหมโลก ต้องการนิพพานอย่างเดียว ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น มีประโยชน์ทั้งทางโลกและทางธรรม

    ถ้าทุกท่านได้มโนมยิทธิแล้วก็ไปฝึกฝนให้คล่อง เมื่อฝึกฝนคล่องแล้ว นอกจากจะยกจิตขึ้นไปสู่ภพต่าง ๆ ก็ยังมีคุณสมบัติ ๘ ประการ คือ

    ทิพจักขุญาณ สามารถจะเห็นสิ่งของที่อยู่ในที่ลี้ลับได้ เห็นผีได้ เห็นเทวดาได้ เห็นนรก เห็นสวรรค์ได้ ของที่เราเก็บไว้ในที่ลี้ลับหาไม่พบเราก็สามารถเอาจิตเข้าไปกำหนดรู้ได้ หรือว่าใครจะแอบแฝงอยู่ที่ไหนเราก็ทราบได้ ถ้าเราต้องการจะรู้ รวมความว่าไม่มีอะไรเป็นความลับสำหรับพวกที่มีทิพจักขุญาณ

    และถ้าหากว่าจะใช้ทิพจักขุญาณนี้ประกอบอาชีพ ถ้าทิพจักขุญาณมีความเข้มข้นขึ้น เข้าถึงฌาน ๔ และก็ได้ อดีตังสญาณ อนาคตังสญาณ มันจะได้ไปเอง ถ้าเราจะประกอบอาชีพเราก็สามารถจะรู้ได ้ว่า อาชีพที่เราประกอบข้างหน้ามันขาดทุนหรือกำไรจะทำอะไรก็ได้

    ถ้าเป็นนักเรียนนักศึกษา ถ้ามีกำลังจิตเข้มข้นจริง ๆ สามารถจะเดาข้อสอบ (ไม่ต้องเดาละดูเลย ดูข้อสอบเลย ก่อนที่ครูจะเขียนน่ะ) อนาคตังสญาณ จะสามารถรู้ข้อสอบที่ครูจะออกมาได้ ถ้าหากว่าจิตยังคล่องไม่ถึง มีความเข้มข้นไม่ถึงเวลาจะสอบถ้าตอบไม่ได้ตัดสินใจใช้กำลังสมาธิช่วยสัก ๒ นาที คิดว่าถ้าจะตอบยังไงถึงจะถูก ขอให้ตัดสินใจไปตามนั้น มันตัดสินใจเองแล้วก็ถูกต้อง

    อย่างนี้นักเรียนนักศึกษาในกรุงเทพฯ ใช้มาหลายพันคนแล้ว เวลาเข้ามาหาวิทยาลัยเธอตอบไม่ได้เธอก็เดาอย่างนี้ แต่ไม่ใช่เดานะ เดาเฉย ๆ ไม่ได้นะ ต้องใช้กำลังใจที่เขาเรียกว่าทำจิตเข้าไปถึงนิพพานก่อนและก็นั่งอยู่ที่นั่น ขอพระพุทธเจ้าว่าจะตอบอย่างไร ตัดสินใจไปตามนั้น อย่าถามท่านไม่ได้นะ ถามท่านไม่บอกแต่ว่าจะรู็ด้วยกำลังของจิตที่เป็นทิพย์

    แบบนี้เขาใช้กันเยอะแล้ว ถ้าจะถามว่าได้หรือ นี่มันสายไปแล้ว เขาทำได้มากแล้ว อันนี้เป็นประโยชน์ในทางโลก ใช้ได้มากกว่านี้
    เมื่อกี้พูดถึงทิพจักขุญาณ และก็ญาณที่ ๒ ที่จะได้จากมโนมยิทธิก็คือ จุตูปปาตญาณ

    จุตูปปาตญาณ ที่เขาบอกว่าจะรู้เห็นคนหรือสัตว์ หรือ ว่าได้ยินชื่อคนหรือสัตว์ เราสามารถรู้ได้ทันทีว่าคนพวกนี้ก่อนเกิดมาจากไหน ถ้ารู้็ว่าใครเขาตายเขาแจ้งว่าคนนั้นตาย สัตว์ตัวนี้ตายเราก็จะทราบได้ว่าผู้ตายผู้นี้เวลานี้ไปอยู่ที่ไหน อันนี้เขาเรียกว่า

    จุตูปปาตญาณ
    แล้วก็ต่อมาเป็น ปุพเพนิวาสนุสสติญาณ การระลึกชาติ สามารถจะทบทวนชาติต่าง ๆ ที่เราเกิดมาได้ทั้งหมดว่า เราเคยเกิดมาแล้วกี่ชาติ แต่กี่ชาตินี่นับไม่ไหวนะ ว่าเคยเกิดมาแล้วกี่แสนชาติดีกว่า เคยเกิดเป็นอะไรมาบ้าง เราสามารถจะรู้

    แล้วก็ต่อไป เจโตปริยญาณ เจโตปริยญาณ เขาแปลว่าสามารถรู้อารมณ์จิตของบุคคลอื่น หมายความว่าคนที่นั่งอยู่ที่นี่ก็ดี ถ้ายังไม่มาก็ดี เราจะรู้ว่าเขาคิดอะไร เราสามารถจะรู้ได้ทันที

    และต่อไป อตีตังสญาณ สามารถรู้เหตุการณ์ในอดีตของคนและสัตว์และสถานที่ได้ ว่าก่อนนั้นเขาทำอะไรมาหรือมีสภาพเป็นอย่างไร

    อนาคตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอนาคต

    ปัจจุปันนังสญาณ ญาณนี้สำคัญมาก รู้กฏของกรรมที่ทำให้คนมีความสุขหรือความทุกข์ เราก็ดี บุคคลอื่นก็ดี ซึ่งกำลังมีความสุขอยู่เพราะผลความดีอะไรให้ผล ที่มีความทุกข์อยู่เพราะความชั่วอะไรให้ผลทำมาแล้วในอดีต ถ้าหากว่ารู้ญาณนี้ได้ความหนักใจความกลุ้มใจไม่มี

    รวมความว่า มโนมยิทธิ นอกจากจะยกจิตไปสู่ภพต่าง ๆ แล้ว ยังมีคุณสมบัติอีก ๘ ประการ และก็พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อุทุมพริกสูตร เฉพาะอย่างยิ่งท่านกล่าวถึง วิชชาสาม ท่านบอกว่า

    ท่านผู้ใดสามารถกระทำจิตไปสู่ภพต่าง ๆ คือว่าไปสวรรค์ก็ได ้ไปนรกก็ได ้ไปพรหมก็ได้ ไปนรกเปรตอสุรกายได้ ชื่อว่าถึงแก่นของพระศาสนา

    เมื่อบุคคลปฏิบัติกิจเข้าถึงแก่นของพระศาสนาแบบนี้ ถ้าปฏิบัติด้านวิปัสนาญาณ ท่านบอกว่า

    ถ้ามีบารมีแก่กล้า จะเป็นอรหันต์ภายใน ๗ วัน
    ถ้ามีบารมีอย่างกลาง จะเป็นอรหันต์ภายใน ๗ เดือน
    ถ้ามีบารมีอย่างอ่อน จะเป็นอรหันต์ภายใน ๗ ปี

    คำว่า บารมี ก็หมายถึง </B>กำลังใจ กำลังใจที่เราจะเอาจริงหรือไม่เอาจริง ถ้าเราใช้กำลังส่วนนี้ไปช่วยวิปัสสนาญาณ หรือนำวิปัสสนาญาณมาใช้ ก็จะเป็น พระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์

    และก็เป็นที่น่าเสียดายที่มีกำลังพอแต่ไปใช้กำลังอย่างอื่นอยู่ ถ้ามุ่งต้องการความเป็นพระอริยเจ้าจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าต้องการพระโสดาบันละก็ อย่างช้าก็ไม่เกิน ๑ เดือน ช้ามากเกินไป แต่ว่าคนขี้เกียจก็เร็วมากเกินไป ใช่ไหม ถ้าขี้เกียจ ๑ เดือนนี่ เร็วมากเกินไป ถ้าขยัน ๑ เดือน ช้าเกินไป เร็วมากเกินไป

    [​IMG]

    พระพุทธเจ้าไม่ได้หมายถึงว่าเป็นพระโสดาบัน ท่านพูดถึงอรหันต์เลย ถ้ามีความเข้มข้นในการปฏิบัติที่เรียกว่ามีบารมีแก่กล้า จะเป็นอรหันต์ภายใน ๗ วัน

    ถ้ามีกำลังใจอย่างกลางที่เรียกว่า อุปบารมี คือกำลังใจอย่างกลาง จะเป็นอรหันต์ภายใน ๗ เดือน

    ถ้าขี้เกียจมากหน่อย แต่ว่าทำไม่เลิก ทำบ้างไม่ทำบ้าง วันหนึ่งก็ไม่เว้นละ ทำมากทำน้อย นอนน้อยทำมาก สลับกันไปอย่างนี้ไม่เกิน ๗ ปี

    แต่ว่าก็มีเยอะเหมือนกัน ที่ได้ไปแล้วไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ ใช้เฉพาะกิจส่วนนี้ก็ยังดีกว่า เพราะหายสงสัย

    ที่พระพุทธเจ้าสอนวิชานี้ไว้เป็นวิชาขั้นต้นของ อภิญญา ก็เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงเทศน์บอกว่า

    คนเราตายไปแล้วมีสภาพไม่สูญ ถ้าสร้างผลของความชั่ว ผลของความชั่วจะให้ผล คือไปนรก จากนรกก็ต้องมาเป็นเปรต จากเปรตแล้วก็มาอสุรกาย จากอสุรกายมาเป็นสัตว์เดียรัจฉาน

    สัตว์เดียรัจฉานนี่เป็นนานหน่อย ต้องเสวยบารมีมากฆ่าสัตว์กี่ตัว สัตว์ประเภทใดบ้าง ต้องเกิดเป็นสัตว์ประเภทนั้นเท่าชีวิตที่เราฆ่า ฆ่ายุงไปเท่าไร เอาแค่ยุงอย่างเดียวก็พอมั๊ง

    หลังจากเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานแล้วก็มาเกิดเป็นมนุษย์ กรรมชั่วที่เราทำไว้จะให้ผลเพียงเศษ เช่น

    ทำปาณาติบาต ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือทรมานสัตว์ เป็นปัจจัยให้คนมีอายุสั้น เพราะทำเขาไว้มาก หรือว่าป่วยไข้ไม่สบาย มีร่างกายทุกพพลภาพ สุดแท้แต่กฎของกรรม
    กรรมของอทินนาทาน ลักขโมยยื้อแย่งทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่น เป็นเหตุให้ทรัพย์เสียหายจากไฟไหม้บ้าง ลมพัดบ้าง น้ำท่วมบ้าง ถูกโจรลักขโมยบ้าง
    กรรมของกาเมสุมิจฉาจารที่เราละเมิด เป็นเหตุให้คนในปกครองว่ายากสอนยาก คนที่มีลูกดื้อ ๆ จำให้ดีนะ เคยทำกรรมนี้มาแล้วจะให้พระช่วยได้อย่างไร และ
    กรรมของมุสาวาท เราพูดจริงแต่ไม่มีใครเขาอยากฟัง
    เศษกรรมของการดื่่มสุราเมรัย</B> ทำให้เป็นโรคเส้นประสาท หรือโรคบ้า

    ทีนี้ถ้าอาการทั้ง ๕ อย่างนี้เกิดขึ้น อย่าไปโทษใคร ถ้าเราได้ ยถากรรมมุตาญาณ เราจะทราบ ว่ากรรมประเภทนี้ทำให้เราลำบากเราทำไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ และก่อนที่จะได้รับเศษของกรรมเราได้รับโทษของกรรมใหญ่ที่ไหนบ้าง ลงนรกมากี่ขุม ท่องเที่ยวนรกแสนสบาย มีความสุขมีที่อยู่ที่อาศัย พญายมเอาอกเอาใจ ไม่ต้องการให้พ้นจากนรกนี่ดีมีวาสนาบารมีสูง

    ออกจานรกขุมใหญ่ ออกจากนรกบริวาร ผ่านยมโลกียนรกอีก ๑๐ ขุม ออกจากยมโลกียนรกอีก ๑๐ ขุม ผ่านเปรตอีก ๑๒ ลำดับ จากเปรตมาผ่านอสุรกาย จากอสุรกายมาเป็นสัตว์เดียรัจฉาน กว่าจะเกิดมาเป็นคนที่มีความสมบูรณ์มาก พระพุทธเจ้าตรัสแล้วหลายสิบองค์ อันนี้เป็นกฎของความชั่วที่เราพึงจะรู้ได้ด้วยกำลัง มโนมยิทธิ ที่ญาติโยมพุทธบริษัทปฏิบัติกัน

    ด้านของความดีที่เราจะพึงทราบจาก ปุพเพนิวาสานุสติญาณ เราจะทราบว่าเราเคยเป็นเทวดามาแล้วกี่ครั้ง เคยเกิดเป็นคนมาแล้วเท่าไหร แล้วเคยเกิดมาเป็นมนุษย์มาแล้วเท่าไหร่ ความเป็นมนุษย์ชาติไหนมีความสุขมาก ชาติไหนมีความทุกข์มาก ชาติไหนมีฐานะอย่างไร อย่างนี้เราทราบได้

    ทีนี้ถ้าอยากจะทราบว่าบุญที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนถึงวันนี้ บุญประเภทนี้จะให้ผลเราขนาดไหน สมมุติว่าถ้าเราตายขณะนี้เราจะเป็นเทวดาหรือจะไปเป็นพรหมหรือจะไปนิพพาน เราพิสูจน์ได้เลย บุญทำวันนี้พิสูจน์วันนี้ได้ว่าบุญวันนี้จะส่งผลไปถึงไหน

    ถ้าจะถามว่าถ้าปุบปับตายจะมีวิมานอยู่ไหม ถ้าเคยทำบุญก่อสร้างเกี่ยวกับการสร้างวัดสร้างศาลา สร้างสาธารณประโยชน์ แม้แต่เขาสร้างโบสถ์ ๑ หลัง เราทำบุญไป ๑ บาท และทำด้วยความเต็มใจ วิมานก็ปรากฏแล้ว คือว่าทำในทันทีวิมานจะปรากฏทันที

    ที่กล้าพูดอย่างนี้ เพราะว่าทุกท่านหรือหลาย ๆ ท่านกำลังเจริญมโนมยิทธิ และก็หลายท่านที่ได้แล้วสามารถพิสูจน์ได้ทันที ก็มาตัดสินใจทำบุญไว้ตั้งแต่เมื่อไหรก็ตามเถอะไม่สนใจ วันนี้หรือก่อนวันนี้ทำบุญเนื่องในการก่อสร้างสาธารณประโยชน์ วิมานจะปรากฏก่อน เราสามารถจะไปดูวิมานได้ทันทีว่าวิมานเราอยู่ที่ไหน

    ทีนี้วิมานนี่อยู่ตามกำลังของบารมีหรือตามกำลังของบุญที่ทำ ถ้ากำลังบุญของท่านถึงขั้น กามาวจรสวรรค์ วิมานก็จะตั้่้งอยู่ที่สวรรค์ กำลังบุญของท่านถึงขั้นของพรหม วิมานจะตั้งอยู่ที่พรหม กำลังบุญความดีของท่านถึงขั้นนิพพาน วิมานก็อยู่ที่นิพพาน คอยอยู่แล้ว ตายเมื่อไรถึงเมื่อนั้น อันนี้พูดถึงผลที่จะพึงได้

    [​IMG]

    ต่อไปก็ขออธิบายถึงวิธีการปฏิบัติกรรมฐาน ที่บอกไว้แล้ว ๔ หมวด คือ สุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต อันนี้ใช้แนวสมาธิเหมือนกันแต่ใช้กำลังไม่เท่ากัน อันนี้ต้องระวังให้มากนะ กำลังขึ้นต้นไม่เท่ากัน ถ้าใช้กำลังขึ้นต้นผิดไม่มีผล

    สำหรับ สุขวิปัสสโก นี่ท่านเริ่มเจริญสมาธิเล็กน้อยควบคู่กับวิปัสสนาญาณ

    แต่ว่าเรื่องศีลมีความสำคัญมาก ถ้าศีลไม่บริสุทธิ์สมาธิไม่มีผล อย่างวันนี้ท่านฝึกมโนมยิทธิ หากว่าศีลของท่านไม่บริสุทธิ์มาก่อน หรือว่าท่านไม่แน่ใจในความบริสุทธิ์ของศีล เวลาสมาทานศีลก็ขอให้ตั้งใจสมาทานด้วยความเคารพจริง ๆ ว่าเราจะเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ถ้าหากว่าท่านไม่มั่นใจในศีล พอไปถึงพระจุฬามณี เขาไม่เปิดประตูให้เข้า อย่างนี้ครูผู้ฝึกเขาจับได้แน่

    ศีลดีพอสมควร แต่ไม่มั่นใจ คือศีลบกพร่อง ทางจุฬามณีเขาไม่เปิดประตูให้เข้าเด็ดขาด ทำยังไงเขาก็ไม่ยอมให้เข้า ถ้าเราไม่สามารถจะผ่านจุฬามณีได้ก็ไปที่อื่นไม่ได้เหมือนกัน

    ถ้าหากว่าท่านผู้ใดไม่มั่นใจในศีลของท่านว่าที่ผ่านมาแล้วศีลจะดีพอควรไหม เวลาสมาทานศีลก็จงคิดว่าเวลานี้เราเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ว่านับตั้งแต่เวลาสมาทานไปจนกว่าจะไปจากที่นี้ ศีล ๕ เราไม่มีโอกาสจะขาด ใช่ไหม เราฆ่าใครเขาได้เล่า ลักขโมยใครเขานี้ไม่แน่นะ อย่าไปล้วงกระเป๋าเขานะ บอกว่าผมไม่ลัก แต่ผมล้วงกระเป๋าเขาอย่างเดียว เป็นอันว่าทุกคนต้องถือว่าศีลบริสุทธิ์ นี่เป็นพื้นฐานใหญ่

    แล้วเวลาทรงสมาธิ สำหรับสุขวิปัสสโก ก็ใช้สมาธิเล็กน้อยเริ่มต้นควบกับวิปัสสนาญาณ มโนมยิทธิจริง เขาเริ่มต้นด้วยฌาน ๔ แต่ว่าการเริ่มต้นด้วยฌาน ๔ นี่ลำบาก จึงลดลงเหลือกำลังอุปจารสมาธิเ่ท่าวิชชาสาม

    ฉะนั้นเวลาเริ่มต้นขอทุกท่านใช้กำลังสมาธิแค่อุปจารสมาธิ ถ้าถึงฌานสมาบัติ กำลังสูงเกินไปเลยความเป็นทิพย์ ถ้าต่ำไปก็ไม่ถึงความเป็นทิพย์

    เหมือนกับกำแพงที่มีช่องน้อย ๆ อยู่ช่องหนึ่ง ถ้าเรามองตาสูงกว่าช่องเราก็มองไม่เห็น ต่ำกว่าช่องเราก็มองไม่เห็น เราต้องมองให้พอดี ๆ จึงเห็น

    สำหรับ ทิพจักขุญาณ ก็เหมือนกัน จิตเกิดเป็นทิพย์ ตอนจิตเข้าสู่อุปจารสมาธิเท่านั้น ถ้าจิตเลยไปถึงฌานความเป็นทิพย์ก็ดับ ถ้าต่ำกว่าฌานความเป็นทิพย์ก็ดับ

    ถ้าจะถามว่า อุปจารสมาธิทำอารมรณ์ขนาดไหน ก็ขอตอบแบบตรงไปตรงมาว่าใช้อารมณ์แบบปกติธรรมดา เวลาภาวนาอยู่ การภาวนานี่ต้องคู่กับลมหายใจเข้าออก เพราะว่าลมหายใจเข้าออกทำให้จิตเป็นสมาธิ ทำให้จิตมีกำลัง สมาธิ เขาแปลว่า ตั้งใจ

    สำหรับคำภาวนาใช้ภาวนาว่า นะ มะ พะ ธะ คำภาวนา นะ มะ พะ ธะ ทำให้กำลังจิตเป็นทิพย์ แต่ว่าคำภาวนาทำให้จิตเป็นทิพย์มีหลายสิบแบบ ไม่เฉพาะแต่ นะ มะ พะ ธะ อย่างเดียว
    แต่ว่าที่เลือก นะ มะ พะ ธะ มาใช้ก็เพราะว่าแบบอื่น ถ้าเราสามารถจะรู้ได้ เห็นได้ ไปได้ ไปท่องเที่ยวในภพต่าง ๆ ได้ แต่คนข้าง ๆ ถามไม่ได้ ต้องจบกิจเรื่องนั้นแล้วกลับมาจึงจะคุยกับคนข้าง ๆ ได้

    สำหรับ นะ มะ พะ ธะ นี่ ขณะที่เราไปพบอะไรที่ข้างบน หรือที่ไหนก็ตาม นรกก็ตาม สวรรค์ก็ตาม พรหมโลกก็ตาม คนข้าง ๆ จะถามได้ทันทีแล้วจะตอบได้เลย ทางโน้นตอบมา ฝ่ายนี้ก็พูด พูดรู้เรื่องกันได้ตลอด

    แบบนี้ควานหามา ๒๓ ปี กว่าจะพบ และแบบอื่น ๆ เป็นของไม่ยาก แต่ว่าเป็นเรื่องสงสัยของคน ผู้ถามอยู่ข้าง ๆ ต้องการจะรู้ว่าพ่อฉันตายแม่ฉันตายไปอยู่ที่ไหน หลับตาปี๋อยู่นาน ลืมตามาก็บอก ทีนี้คนข้าง ๆ อาจจะสงสัย หมอนี่อาจจะโกหกก็ได้

    สำหรับ มโนมยิทธิแบบนี้ ปัจจุบันใช้ นะ มะ พะ ธะ คนข้าง ๆ จะถามได้ทันที และก็เราผู้ไม่รู้ ถ้าไปพบคนตาย จะต้องถามก่อนที่ท่านจะตายรูปร่างลักษณะอย่างไร แสดงให้ดูก่อน ร่างกายจะตายอาการแบบไหน ชี้ให้ชัดว่าคนที่ถามเขารู้เวลานั้นเอาเฉพาะอาการที่รู้ เราก็จะบอกได้ตามปกติว่ามันชัดเจนดี เขามีโอกาสซัก ซักได้ทั้งที่ยังไม่ถอนจากฌานแบบนี้มีประโยชน์มาก
    ฉะนั้นเวลาปฏิบัติของบรรดาท่านพุทธบริษัททำอารมณ์ตามแบบปกติ ไม่ต้องทำจิตให้มันเครียดเป็นฌานอย่าลืมนะ ถ้าเป็นฌานไม่มีผล คือใช้คำภาวนาว่า นะ มะ พะ ธะ

    ถ้าจะควบคู่กับลมหายใจเข้าออก เวลาหายใจเข้าก็นึกว่า นะ มะ เวลาหายใจออกก็นึกว่า พะ ธะ เอาแบบสบาย ๆ นะ อย่าให้เหนื่อย อย่าไปเร่งรัดลมหายใจ อย่าบังคับลมหายใจ อย่าให้เร็วเกินไป อย่าให้ช้าเกินไป ปล่อยลมหายใจไปตามปกติ แค่นึกตามเวลาหายใจเข้านึกว่า นะ มะ เวลาหายใจออกนึกว่า พะ ธะ เอาแค่นี้นะ

    แล้วเลาที่ยังไม่มีใครเข้าไปแนะนำ จงอย่าไปนึกอย่ากรู้ อยากเห็นอะไรเป็นอันขาด เพราะว่าถ้านึกอยากรู้อยากเห็นตอนนั้นจิตซ่านไม่เป็นสมาธิ

    และก็มีปัญหาอันหนึ่งที่บรรดาท่านพุทธบริษัทยังสงสัย เวลาที่ผู้แนะนำเขาปล่อยให้นั่งภาวนาประมาณ ๑๕ นาที ตอนนี้เราก็รู้ลมหายใจเข้าออกด้วย รู้คำภาวนาด้วย จิตก็อดซ่านไม่ได้เป็นของธรรมดา ภาวนาไปรู้ลมหายใจเข้าออกไปสัก ๒-๓ นาทีก็เผลอไปคิดเรื่องอื่นเข้ามาแทน ถ้านึกขึ้นมาได้ก็กลับดึงเข้ามาใหม่

    ถ้าอาการจิตเป็นอย่างนี้ละก็ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทอย่าเพิ่งคิดว่าเราชั่ว ถือว่าที่เราทำไปนั้นไม่ชั่วแล้วก็ไม่ผิด มันเป็นเรื่องธรรมดาของจิตมันชอบคิดเรื่องอื่น แต่วาถ้าไปคิดเรื่องอื่นแทนที่ ถ้าเรารู้ตัวก็ดึงกลับมาใหม่ ถ้าจิตอยู่ในขั้นอุปจารสมาธิ มันเป็นแบบนี้แหละ เพราะยังไม่ได้ฌานสมาบัติ ถ้าจิตจะทรงตัวจริงต้องเป็น ฌานสมาบัติ

    ทีนี้พอได้เวลาก็จะมีผู้เข้าไปแนะนำโดยตรง วิธีนี้ถ้าปล่อยให้ปฏิบัติธรรมดานะ พระเคยทำมาแล้ว ๓๐ ปีบ้าง ๔๐ ปีบ้าง บางองค์ ๔๐ ปีไม่ได้ ตายไปเลย ตายไปเยอะ ไม่ใช่เรื่องเล็กนะ เป็นเรื่องใหญ่มากเดิมทีเดียวต้องขึ้นต้นด้วยฌาน ๔ ทีนี้กว่าจะได้ฌาน ๔ เขี้ยวเหี้ยน กินหญ้าต่อไปไม่ได้แล้ว

    ต่อมาท่านเจ้าของมาแนะนำบอกว่า ปฏิบัติอย่างนี้ (แบบเก่า) มันไม่มีผล เพราะว่ากำลังของคนไม่พอ ท่านก็แนะนำบอกว่า ให้ขึ้นต้นด้วยอุปจารสมาธิ ใช้กำลังของวิชชาสามแทน การใช้กำลังของวิชชาสามแทนนี้ก็อ่อนไปหน่อย การเคลื่อนไหวตัวรู้สึกตัวน้อย ๆ เป็นที่น่าสงสัย

    ถ้าหากว่าใช้กำล้ังเดิม คือกำลังของฌาน ๔ เวลามันออกมันรู้ตัวเหมือนอกจากกระบอกไม้ มันพุ่งตรงออกจากโพรงไม้หรืออกจากถ้าำ มันรู้ตัวเลย ก็จะปรากฏชัดเป็นแสงสว่างในอากาศ แสงสว่างเป็นลำบ้าง เป็นแสงทั่วไปในอากาศบ้าง จะปรากฏเห็นกายข้างในมันพุ่งตรงออก ไปไหนก็มีรู้สึกเหมือนเราไปเอง

    [​IMG]

    แต่ว่ากำลังแบบนี้เวลานี้ท่านพุทธบริษัทยังรับไม่ได้กว่าจะรับได้ก็ใช้เวลาเป็นเดือนหรืออาจจะเป็นปี ที่สอนมาแล้วระยะต้น เมื่อปี ๒๕๐๘ ได้มาประมาณ ๘๐ คน หลังจากนั้นมาอีก ๑๐ ปี ไม่มีใครได้เลย เพราะกำลังไม่พอ ต่อมาท่านเจ้าของจึงแนะนำบอกว่า ให้ลดกำลังลงเหลือกำลังของวิชชาสาม

    ทีนี้กำลังของวิชชาสามมีสภาพคล้ายความฝัน เป็นที่น่าสงสัย กำลังของวิชชาสามก็คือใช้กำลังของอุปจารสมาธิแทนฌานสมาบัติ

    ทีนี้มาจุดหนึ่งที่บรรดาท่านพุทธบริษัทยังสงสัย คือ คำว่า ทิพจักขุญาณ

    คำว่า ทิพจักขุญาณ นี่ไม่ใช่แปลว่า ลูกตาเนื้อเป็นทิพย์ ญาณ เขาแปลว่า รู้ ทิพจักขุญาณ เขาแปลว่า มีความรู้ทางใจคล้ายตาทิพย์ อย่าลืมนะว่าความรู้สึกทางใจคล้ายตาทิพย์ เพราะว่าเรายังไม่ได้ใช้ฌาน ๔ ถ้าใช้ฌาน ๔ ตัวนี้ไม่ต้องอธิบายเพราะมันออกไม่รู้ตัว เมื่อใช้กำลังของวิชชาสามกำลังลังอ่อนลง ไม่สามารถจะมีความเข้มแข็งแบบนั้นได้ ต้องใช้ความสังเกตเป็นเกณฑ์

    ถ้าหากว่าศีลดี สมาธิดีพอสมควร ไม่มากนักการตัดสินใจด้านพระนิพพานน้อยเกินไป อย่างนี้ทิพจักขุญาณจะเกิดอย่างอ่อน เกิดความรู้สึกของใจ ความรู้สึกทางใจนี่มันจะมีความรู็สึกอันดับแรกว่าเป็นอะไรต้องตอบทันที ตัวแรกเป็นตัวแท้แล้วก็แน่นอน

    และเวลาที่ท่านทั้งหลายจะนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ถ้าทำใจให้สบายคิดว่างานที่เราทำจะมีผลดีหรือผลชั่ว อารมณ์แรกมันบอกปั๊บต้องเชื่ออารมณ์นั้นทันที

    ทีนี้ถ้าหากว่าถ้าอารมณ์มันอ่อน เมื่อเวลามีผู้เข้าไปแนะนำ หลังจากภาวนาไปแล้วประมาณ ๑๕ นาที เขาจะให้สัญญาณบอกว่าพักได้ แล้วต้องสังเกตนะ ถ้าท่านผู้ใดมีคนไปนั่งข้างหน้า เขาจะแนะนำ ขอให้ท่านผู้นั้นเลิกภาวนาเสียเลย อย่าภาวนา แล้วก็เลิกรู้ลมหายใจเข้าออก ปล่อยใจสบาย ๆ เพราะตอนนั้นไปภาวนาไม่ได้ ขวางกัน ให้ฟังคำแนะนำของผู้แนะนำ
    ถ้าผู้แนะนำเขาแนะนำว่ายังไงให้ตัดสินใจไปตามนั้น ถ้าเห็นว่ากำลังใจเริ่มเป็นทิพย์พอสมควร เขาจะถามว่า
    “มีความรู้สึกว่ามีผู้ใดอยู่ข้างหน้าบ้าง...?”

    ไม่ใช่หมายถึงตัวเขา ถ้าสมาธิอ่อน ความรู้สึกมันว่ามีก็ตอบว่ามี อย่ายั้งตัวนะ ถ้ายั้งตัวแน่หรือไม่แน่ ตรงนี้ตัวกิเลสคือนิวรณ์ ตัวสงสัยจะขวางทันที คือผิดหมด ถ้าเราเกิดความรู้สึกครั้งแรกว่ามีก็ต้องตอบว่ามี

    ถ้าเขาถามว่า “ผู้ที่มาอยู่ข้างหน้าเป็นผู้หญิงหรือผู้็ชาย”
    ความรู้สึกมันว่าผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตอบทันที อย่ายั้งตัว ถ้ายั้ง ถอยหลังไม่ได้ ผิด

    ถ้าเขาถามว่าแต่งตัวสีอะไร ก็ตอบตามความรู้สึกถ้าคนข้าง ๆ เขาสีแดง ของเราเขียวก็ตอบเขียวอย่าตามเขานะ เพราะความเป็นทิพย์ของเทวดา พรหม หรือพระอรหันต์ ย่อมสามารถจะทำให้คนเห็นสีต่างกันในขณะเดียวกัน

    ถ้าเป็นอย่างนี้สัก ๒-๓ วาระ ครูเขารับรองว่าถูกต้อง กำลังใจจะดีขึ้น ตอนนี้อารมณ์จิตจะเป็นฌานเอง คำว่าเป็นฌานอย่าไปบังคับมันนะ มันจะเป็นของมันเอง เมื่ออารมณ์จิตเริ่มเป็นฌาน ความสว่างไสวจะปรากฏขึ้นบ้างตามพอสมควร

    ตอนนี้ภาพที่เรามองไม่เห็นจะมีความรู้สึกว่ามีเห็นเป็นผู้หญิงผู้ชายนั่นแหละ มันไม่ปรากฏภาพมาก่อน แต่ความรู้สึกจะเกิดขึ้นกับใจ เมื่อจิตเริ่มเป็นฌานภาพจึงปรากฏขึ้นกับใจ

    หลังจากนั้นไปครูเขาจะแนะนำในการตัดขันธ์ ๕ การตัดขันธ์ ๕ มีความสำคัญมาก คือเอาจิตมุ่งพระนิพพานโดยเฉพาะ คิดว่าถ้าตายชาตินี้ เมื่อตายเมื่อไหรขอไปนิพพานจุดเดียว ตัดสินใจแน่นอนละก็ไปถึงนิพพานแน่

    หลังจากนั้นเขาจะพาไปพระจุฬามณี ซึ่งตั้อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ถ้าขั้นถึงจุฬามณีพึงทราบได้เลยว่าขณะนั้นจิตเป็นฌาน ๔ ภาพจะเกิดความสว่างไสวมาก เขาจะพาไปนมัสการพระ ให้เห็นเทวดาหรือพรหม

    หลังจากผ่านพระจุฬามณีแล้วเขาจะพาตรงไปพระนิพพาน ที่เราว่านิพพานสูญนั้นน่ะ เราจะได้ทราบว่านิพพานไม่สูญ ถ้านิพพานสูญก็ไม่มีพระอรหันต์องค์ไหนไปนิพพาน

    นี่พูดถึงว่าสำหรับจิตที่มีกำลังอ่อน แต่ว่ามีมากท่านด้วยกันที่มีความเข้มแข็งทางจิต จิตสะอาดจริง พอเริ่มได้รับคำแนะนำจากครูไม่กี่คำจิตจะสว่างจ้า เห็นภาพชัดเจนแจ่มใสมาก เหมือนกับเห็นคนในเวลากลางวัน เครื่องแต่งกายละเอียดละออเพียงใดก็ตาม ก็สามารถจะเห็นได้

    ฉะนั้น ผู้จะปฏิบัติมโนมยิทธิ ขอให้ตั้งใจ ถ้าสมาทานศีล ขอให้สมาทานศีลด้วยความเคารพ คิดว่าเวลานี้เป็นผู้มีศีล แล้วก็ภาวนา อย่าลืมใช้คำว่าภาวนาว่า นะ มะ พะ ธะ ควบคู่กับลมหายใจ เวลาหายใจเข้านึกว่า นะ มะ เวลาหายใจออกนึกว่า พะ ธะ เวลาภาวนาอยู่จงอย่าอยากรู้อยากเห็นอะไรทั้งหมด จนกว่าจะมีครูเข้าไปแนะนำ


    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1024106/[/MUSIC]​



    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 สิงหาคม 2010
  2. bcbig_beam

    bcbig_beam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,821
    ค่าพลัง:
    +3,247
    พรุ่งนี้ผมจะไปฝึกปฏิบัติที่ศูนย์พุทธศรัทธาพอดีครับ
    ได้ความรู้ดีมากๆเลย
    ขอโมทนาบุญด้วยทุกประการครับ
    สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
  3. nanthiya1

    nanthiya1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +966
    ขออนุโทนาด้วยอีกคนค่ะ ชอบเสียงเพลงมากทำให้จิตสงบดี
     
  4. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    [​IMG]
    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ
    เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O:p
    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p
    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
    www.tangnipparn.com
    <?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p>ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา
    [​IMG]</O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 สิงหาคม 2010
  5. ราชนาวี

    ราชนาวี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2009
    โพสต์:
    545
    ค่าพลัง:
    +918
    อนุโมทนาสาธุครับ ขอให้ถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ
     
  6. gatsby_ut

    gatsby_ut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    821
    ค่าพลัง:
    +14,291
    การฝึกญาณ ๘
    พรนุช คืนคงดี – ครูฝึก


    [​IMG]



    <O:p
    <O:p
    ท่านที่ฝึกมโนมยิทธิได้แล้วตามที่ผ่านมาตั้งแต่ต้นก็สามารถทำทิพจักขุญาณให้คล่องตัวขึ้นอีกมาก ถ้ารู้จักใช้ เมื่อเราได้นโนมยิทธิด้วยแล้ว เราสามารถใช้กำลังของมโนมยิทธิขึ้นไปถึงจุดสุดยอดคือพระนิพพาน จิตเราหรืออทิสสมานกายขณะที่อยู่นิพพานก็สะอาดที่สุด การรู้ก็ชัดเจนดีกว่า


    [​IMG]



    <O:p
    ดังนั้นในการฝึกญาณ ๘ ครู จึงนำท่านไปนิพพานก่อนในอันดับแรก แล้วใช้สถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง เช่น วิมานพระพุทธเจ้า วิมานหลวงพ่อ ท่ามกลางสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นประธาน ท่านผู้มีพระคุณทั้งหมดอยู่พร้อมคอยช่วยเหลือเรา ประคับประคองเรา เช่น ท่านที่เคยเป็นบิดา มารดา เรามาในกาลก่อน ท่านไม่ทิ้งเราแน่ เพราะขึ้นชื่อว่า พ่อ แม่ ไม่ทิ้งลูก ขอให้เรารู้จักท่านก่อน กราบไหว้ท่านก่อน ตามที่ฝึกได้แล้วตั้งแต่วันแรก

    <O:p

    [​IMG]


    [​IMG]


    ฝึกทิพจักขุญาณ<O:p
    ครู : “ขณะนี้ขอให้ทุกคนตัดสินใจให้แน่นอนอีกครั้งว่าเราไม่ต้องการเกิดอีกต่อไป จะเป็นคน เป็นเทวดา เป็นพรหมไม่ต้องการ ต้องการอย่างเดียวไปพระนิพพาน แม้ว่าร่างกายจะเป็นยังไงก็ช่าง มันจะขาดใจตายเดี๋ยวนี้เราก็พร้อมมุ่งเป็นนิพพานแห่งเดียว ตัดสินใจได้ไหมคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “ได้”<O:p
    ครู : “เมื่อตัดสินใจได้แล้วให้ตั้งใจนึกถึงบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอบารมีพระพุทธองค์ช่วยให้อารมณ์จิตสะอาดถึงที่สุด สามารถรู้สิ่งต่าง ๆ เวลานี้ได้ชัดเจนแจ่มใสตรงตามความเป็นจริงทุกประการ…เวลานี้มีใครอยู่ข้างหน้าไหมคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “มี”<O:p
    ครู : “ใครคะ”<O:p
    ศิษย์ : “พระพุทธเจ้า”<O:p
    ครู : “กราบนมัสการท่าน ขณะที่นึกกราบ ขอเห็นอทิสสมานกายของเราด้วยค่ะ มีไหมคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “มี”<O:p
    ครู : “แต่งตัวเหมือนเดิมไหมคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “ไม่เหมือน”<O:p
    ครู : “แต่งยังไงคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “สวยเหมือนเทวดา”<O:p
    ครู : “ใช้ได้ค่ะ ถูกต้อง นอกจากพระพุทธเจ้าแล้ว ดูรอบ ๆ ซิคะ มีใครมาอีกไหม…?”<O:p
    ศิษย์ : “มี”<O:p
    ครู : “มามากหรือน้อยคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “มากมายเต็มไปหมด”<O:p
    ครู : “แต่งตัวยังไงคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “ใส่ชฎาเหมือนเทวดา”<O:p
    ครู : “ใช้ได้ ใจรู้สึกว่าท่านที่มาเป็นใครคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “เคยเป็นพ่อ เป็นแม่ มาก่อน”<O:p
    ครู : “ดีแล้ว เวลานี้เห็นอทิสสมานกายของเราอยู่ใช่ไหมคะ นึกให้อทิสสมานกายของเรานี้มากเท่ากับจำนวนท่านที่มา แล้วกราบท่านบนตักทำได้ไหมคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “ทำได้แล้ว เห็นหลวงพ่อมาด้วย”<O:p
    ครู : “ดีใจไหมคะที่หลวงพ่อมาช่วยเรา…?”<O:p
    ศิษย์ : “ดีใจมาก”<O:p
    ครู : “กราบท่านที่พระบาท ดูซิคะ มีใครมาอีกไหมที่สว่างมากเท่า ๆ กับหลวงพ่อ…?”<O:p
    ศิษย์ : “มี ยืนอยู่ใกล้ ๆ กัน”<O:p
    ครู : “กราบท่าน ท่านเป็นใครคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “ท่านแม่”<O:p
    ครู : “ดีมาก ท่านแม่มาช่วยเราแล้ว ขอท่านไปกับเราด้วยท่านจะไปไหมคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “ไป”<O:p
    ครู : “ขอบารมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ขอท่านพ่อท่านแม่ผู้มีพระคุณทั้งหมดช่วยพาไปนิพพาน ไปวิมานสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน…ถึงหรือยังคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “ถึงแล้ว”<O:p
    ครู : “พบอะไรบ้างคะ..?”<O:p
    ศิษย์ : “เห็นวิมานใหญ่ สว่างดี”<O:p
    ครู : “เข้าไปเลยค่ะ ท่านพ่อท่านแม่มาด้วยหรือเปล่าคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “มาด้วย เข้าได้แล้ว”<O:p
    ครู : “เจอใครบ้างคะ ในวิมานพระพุทธองค์…?”<O:p
    ศิษย์ : “เห็นพระพุทธเจ้านั่งอยู่บนแท่นกลางวิมาน”<O:p
    ครู : “เข้าไปใกล้ ๆ ท่าน กราบนมัสการใกล้ ๆ พระบาทแล้วดูซิคะ พระพุทธองค์แต่งองค์ยังไง…?”<O:p
    ศิษย์ : “เหมือนเทวดา”<O:p
    ครู : “นี่แหละค่ะ พระพุทธองค์อยู่ที่นิพพานจะแต่งองค์แบบนี้เรียกว่า ภาพพระนิพพาน จำให้ติดใจ นึกถึงพระพุทธเจ้าคราวใดนึกถึงภาพนี้นะคะ เห็นตัวเราไหมคะ…?<O:p
    ศิษย์ : “เห็น อยู่ตรงหน้า ตัวเล็กนิดเดียว”<O:p
    ครู : “ใช่ พระพุทธเจ้าท่านมีพระวรกายใหญ่กว่าเรามาก เพราะท่านมีบารมีมาก ตัวเราเล็กขนาดไหนคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “นิดเดียว”<O:p
    ครู : “นอกจากพระพุทธเจ้า และท่านพ่อท่านแม่ที่พาเรามาแล้ว ในวิมานยังมีใครอีกไหมคะดูซิ…?”<O:p
    ศิษย์ : “นั่งเต็มไปหมดครับ แต่งตัวเหมือนเทวดาหมด”<O:p
    ครู : “ความรู้สึกของใจ ท่านเป็นใครคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “สาวก”<O:p
    ครู : “ถูกแล้วท่านเป็นพระอรหันต์ สาวกของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า นึกให้อทิสสมานกายของเราที่นั่นมีจำนวนเท่ากับพระอรหันต์ แล้วกราบท่านบนตัก”<O:p
    ศิษย์ : “กราบแล้วครับ”<O:p
    ครู : “ตั้งใจขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วยให้การฝึกความรู้ในด้านญาณ ๘ ประการ ซึ่งเป็นความรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในวันนี้ขอบารมีท่านช่วยให้ข้าพระพุทธเจ้ารู้ได้ชัดเจนแจ่มใสและถูกต้องตามความเป็นจริงทุกประการนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอองค์สมเด็จพระจอมไตรช่วยให้ข้าพระพุทธเจ้าเห็นสภาพของแดนพระนิพพานว่ามีอาณาเขตแค่ไหน ความสว่างไสวมีเพียงใด มีอะไรอยู่บ้าง ขอดูภาพตามความเป็นจริงพระพุทธเจ้าข้า”<O:p
    ศิษย์ : “กว้างขวางสุดตาก็ยังไม่สิ้นอาณาเขต”<O:p
    ศิษย์ : “สว่างมากครับ”<O:p
    ศิษย์ : “มีวิมานยอดแหลมอยู่มากมายเต็มเนื้อที่เลย”<O:p
    ครู : “วิมานสว่างไหม ทำด้วยอะไรคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “ทำด้วยแก้ว สว่างในตัวเอง สวยครับ”<O:p
    ครู : “ทำให้ดูภาพนี้เพราะต้องการให้ท่านทราบความความเป็นจริงว่า พระนิพพานเป็นดินแดนที่มีอยู่จริง ๆ เราสามารถมาพบได้ ถ้าสลัดกิเลสทิ้งให้หมดใจโดยสิ้นเชิง แม้แต่ละอองกิเลสก็ไม่เหลือติดใจ อย่างเวลานี้นี่แหละ เราจะพบพระนิพพานได้ ต่อไปให้ทุกคนกราบขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วยให้ข้าพระพุทธเจ้าเห็นเป็นภาพเนรมิตว่ามีท่านผู้ใดบ้างที่สามารถอยู่พระนิพพานได้ และมีวิมานอยู่ทั่วไปตามที่เห็นอยู่ขณะนี้…?”<O:p
    ศิษย์ : “มีพระพุทธเจ้ามากมายนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นครับ”<O:p
    ครู : “ถูกต้อง นึกให้อทิสสมานกายเรามีจำนวนมากเท่ากับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด แม้จะเป็นภาพเนรมิตก็ตั้งใจนึกกราบนมัสการพระพุทธองค์ที่ใกล้ ๆ พระบาท นอกจากพระพุทธเจ้าแล้ว ที่นิพพานยังมีพระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์อีกเป็นปริมาณเท่าใด ขององค์สมเด็จพระจอมไตรช่วยให้เห็นภาพทั้งหมดเลยพระพุทธเจ้าข้า ใครเห็นอะไรบ้างตอบมา…?”<O:p
    ศิษย์ : “โอ้โฮ มากมายอะไรยังงั้น เต็มสุดตาทั่วไปหมด แต่งองค์ยังกะเทวดาทั้งนั้นเลยครับ”<O:p
    ครู : “มีใครยังเห็นไม่เต็มที่มีไหมคะ ถ้ามีให้ขอบารมีพระพุทธเจ้าช่วย ขอท่านพ่อ ท่านแม่ช่วย ให้เห็นให้เต็มที่ เป็นไง เต็มที่หรือยังคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “มีภาพมากขึ้นอีกค่ะ”<O:p
    ครู : “เอาละให้นึกถึงพระพทุธเจ้าไว้แล้วนึกให้กายของเรามีจำนวนมากเท่าท่านที่ปรากฏทั้งหมดแล้วกราบท่านนะคะ ต่อไปขอบารมีสมเด็จพระชินศรีทุก ๆ พระองค์ช่วยให้เห็นภาพพรหม และเทวดาทั้งที่เป็นพระอริยเจ้า และไม่ใช่ มีเท่าใดขอเห็นทั้งหมดเลยพระพุทธเจ้าข้า”<O:p
    ศิษย์ : “มาเต็มเลยครับ”<O:p
    ศิษย์ : “แสงสว่างน้อยลงไปถนัดเลยค่ะ”<O:p
    ครู : “ก็เทวดาหรือพรหม จะเทียบกับพระอรหันต์หรือพระพุทธเจ้ายังไงล่ะ ก็ต้องกราบท่านในฐานะท่านเป็นผู้ประเสริฐ เราเป็นคนจะยังไง ๆ ก็เอาดียังไม่ได้เพราะยังมีร่างกายอยู่ ท่านทั้งหมดไม่มีร่างกายอย่างเรา ท่านก็สบาย ไม่มีความทุกข์ เท่าที่ท่านเห็นภาพต่าง ๆ มาทั้งหมดนี้ ท่านใช้ลูกตาหรือเปล่าคะ…?<O:p
    ศิษย์ : “เปล่าครับ ใช้ใจครับ”<O:p
    ครู : “เมื่อจิตหรืออทิสสมานกายของท่านสะอาดก็พบกับสิ่งที่เป็นทิพย์ได้ เราเห็นพระพุทธเจ้าได้ พรหม เทวดา ก็เห็นได้ เห็นนรก เปรต อสุรกายได้ อย่างนี้ท่านเรียกว่าทิพจักขุญาณ”<O:p


    [​IMG]
    ฝึกจุตูปปาตญาณ
    <O:p
    ครู : “ต่อไปเป็นจุตูปปาตญาณ เป็นการใช้ทิพจักขุญาณรู้เรื่องของบุคคลหรือสัตว์อื่นว่า ก่อนที่เขาจะมาเกิดน่ะมาจากไหน และตายแล้วไปไหน ถ้าเราทำจนคล่องตัวดีแล้ว ได้ยินชื่อคนก็บอกได้เลยว่าก่อนเกิดมาจากไหน หรือได้ข่าวคนตายตามดูได้เลยว่า อทิสสมานกายออกจากร่างไปไหน เวลานี้ขอให้ทุกคนกราบนมัสการสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำใจสบาย ๆ เอ้า พิณทิพย์ ขอดูดวงแขว่าก่อนจะมาเกิดเป็นคนชาตินี้เธอมาจากไหน ดูภาพที่อยู่ข้างหน้ามีลักษณะเป็นยังไง…?” (พิณทิพย์ และดวงแข เป็นชื่อของผู้รับการฝึก)<O:p
    ศิษย์ : “พรหมค่ะ”<O:p
    ครู : “ตรงกันใช่ไหม ต่อไป แม่ชีคะดูหลวงพี่ที่มาจากเชียงใหม่องค์นี้ซิคะ ว่าก่อนจะมาเกิดเป็นคนชาติท่านมาจากไหน…?”<O:p
    ศิษย์ : “พรหมค่ะ”<O:p
    ครู : “หลวงพี่ดูซิคะ ใช่ไหม…?”<O:p
    ศิษย์ (พระ) : “ใช่ครับ”<O:p
    ครู : “ต่อไปหลวงพ่อดูคุณลุงซิคะว่าก่อนมาเกิดชาตินี้มาจากไหน…?”<O:p
    ศิษย์ (พระ) : “เทวดาครับ”<O:p
    ครู : “คุณลุงคง ใช่หรือเปล่าคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “ใช่ครับ”<O:p
    ครู : “ต่อไปขอให้ทุกคนขอบารมีพระพุทธเจ้าช่วยให้เห็นภาพตามความเป็นจริงว่าคนหรือสัตว์ที่ตายแล้วไปไหน คำว่าตายคืออทิสสมานกายออกจากร่างไปไหน เรารู้จักแล้วใช่ไหมคะว่า รูปร่างของสัตว์นรกเป็นยังไง เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน คน เทวดา พรหม หรือพระที่เข้านิพพานไปแล้ว มีลักษณะเป็นเช่นไร ดังนั้นเพื่อขอดูภาพอทิสสนมานกายที่ออกไปแล้ว เราจะรู้จักทันทีว่าอยู่ที่ไหน หลวงพี่คะบอกคนที่รู้จักและตายไปแล้วมาสักคนซิคะ…?”<O:p
    ผู้ฝึก : “เป็นพระครูอยู่ที่วัด…ครับ เพิ่งตายไม่นานมานี่เอง”<O:p
    ครู : “เวลานี้เห็นพระพุทธเจ้าไหมคะ…?”<O:p
    ผู้ฝึก : “เห็น”<O:p
    ครู : “ดูภาพพระพุทธเจ้าให้ชัด แล้วขอบารมีพระพุทธองค์ช่วย ขอดูภาพ พระครู…ที่มรณภาพไปแล้วนี้ เวลานี้อยู่ที่ไหน ขอองค์สมเด็จพระจอมไตร และท่านพ่อ ท่านแม่ช่วยให้เห็นภาพตามความเป็นจริงพระพุทธเจ้าข้า”<O:p
    ศิษย์ : “เทวดาค่ะ”<O:p
    ศิษย์ (พระ) : “ครับ แต่งตัวเหมือนเทวดา”<O:p
    ครู : “คนอื่น ๆ เห็นเป็นยังไงค่ะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “เทวดาครับ”<O:p
    ครู : “ถามพระครู…ซิคะว่าก่อนตายทำใจยังไงจึงมาเกิดเป็นเทวดาได้”<O:p
    ศิษย์ : “ท่านบอกว่า ใจสบายนึกถึงการก่อสร้างบูรณะวัดให้ดีขึ้น ใจก็เป็นสุข”<O:p
    ครู : “ก็ต้องจำเอาไว้นะคะว่า การทำความดีมีผลอย่างนี้การรู้เรื่องการเกิด และการตายของบุคคลอื่นเขาเรียกว่า จุตูปปาตญาณ”<O:p


    [​IMG]
    ฝึกเจโตปริยญาณ<O:p
    ครู : “ต่อไปเป็น เจโตปริยญาณ การใช้ทิพจักขุญาณรู้กำลังใจของตัวเอง และบุคคลอื่น เวลานี้เห็นอทิสสมานกายของเราเองไหมคะ แต่งตัวยังไง…?”<O:p
    ศิษย์ : “เห็นแล้ว แต่งตัวเหมือนเทวดา”<O:p
    ครู : “และอทิสสมานกายของเพื่อนที่ไปด้วยกันล่ะมีไหม…?”<O:p
    ศิษย์ : “มี ก็แต่งตัวเหมือนกัน”<O:p
    ครู : “อทิสสมานกายที่เราเห็นนั่น จะซ้อนอยู่ในกายเนื้อของแต่ละบุคคลที่ยังไม่ตาย อาศัยเราได้ทิพจักขุญาณจะเห็นอทิสสมานกายได้ ขณะนี้เรารู้จักแล้วใช่ไหมคะว่า สัตว์นรกรูปร่างยังไง เปรต อสุรกาย มีรูปร่างเป็นยังไง สัตว์เดรัจฉาน คนเราก็รู้แล้ว เทวดา พรหม เราก็พบมาแล้วว่ามีรูปร่างเป็นยังไง แม้กระทั่งพระอริยเจ้าที่เข้าพระนิพพานแล้วเราก็เคยพบมาแล้ว ดังนั้นถ้าเรามองคน ตาก็กระทบกายเนื้อ แต่ถ้าอาศัยจักขุญาณก็จะเห็นอทิสสมานกายของบุคคลนั้น ภายในได้ภาพที่ปรากฏบอกลักษณะชัด อันแสดงถึงคุณธรรมของเขาได้<O:p
    ขณะนี้ขอให้ทุกคนมองภาพสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ชัด ขอบารมีสมเด็จพระทรง สวัสดิโสภาคย์ช่วยให้เห็นภาพตามความเป็นจริง เมื่อข้าพระพุทธเจ้ามองคน ถ้าบุคคลคนนั้นเขาตายเดี๋ยวนั้นจะไปเกิดในนรก อทิสสมานกายของเขาที่ปรากฏกับใจของข้าพระพุทธเจ้าจะมีรูปร่างเช่นไรพระพุทธเจ้าข้า ขอดูภาพ”<O:p
    ศิษย์ : “เป็นรูปคนผอม ทรุดโทรม ไม่มีผ้านุ่ง ผ้าห่มซีดเซียว ดำ”<O:p
    ครู : “เหมือนอะไรที่เราเคยพบมาแล้ว เมื่อวานนี้”<O:p
    ศิษย์ : “สัตว์นรก”<O:p
    ครู : “ใช่ ต่อไปขอดูอีกครั้งถ้าบุคคลบางคนที่มองดูถ้าภาพอทิสสมานกายปรากฏแก่เราเป็นแบบเทวดา แสดงว่าบุคคลนั้นเขาตายเดี๋ยวนั้นจะไปไหน กราบทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความรู้สึกของใจอารมณ์แรกคือคำตอบ”<O:p
    ศิษย์ : “ไปสวรรค์”<O:p
    ครู : “คุณ<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]</st1:personName>ลุงล่ะคะ เห็นเป็นยังไง ไปไหน…?”<O:p
    ศิษย์ : “ไปเป็นเทวดาครับ”<O:p
    ครู : “คนอื่น ๆ รู้สึกว่ายังไงคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “เหมือนกันค่ะ”<O:p
    ครู : “ถูกแล้ว ภาพอทิสสมานกายที่ซ้อนอยู่ในกายเนื้อของแต่ละคนบ่งบอกถึงความดีความชั่วของคนนั้นได้เลย ต่อไปสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าท่านสอนไว้อีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ นอกจากจะเห็นอทิสสมานกายของเราหรือใครแล้ว ก็สามารถเห็นกำลังใจหรือกระแสจิตเป็นดวงกลม ๆ แล้วดูสีของจิตในขณะนั้นได้ด้วย ให้ขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงโปรดเนรมิตให้เห็นจิตของข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า เห็นภาพหรือยัง…?”<O:p
    ศิษย์ : “เห็นแล้ว ขาวสว่างดี มีแสงออกด้วย”<O:p
    ครู : “ใช่ เราอยู่ที่วิมานพระพุทธเจ้านี่ จิตสะอาดที่สุดก็จะมีลักษณะแบบนี้แหละ ตอนนี้ให้ขอบารมีพระพุทธองค์ และท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านผู้มีพระคุณทั้งหมดช่วย ขอดูภาพกระแสจิตของข้าพระพุทธเจ้าเองในสมัยที่เป็นปุถุชนคนธรรมดายังมีอารมณ์หนาแน่นด้วยกิเลสยามที่มีความทุกข์ใจ กลุ้มใจ กำลังใจจะมีสีอะไรพระพุทธเจ้าข้า ขอพระพุทธองค์ช่วย”<O:p
    ศิษย์ : “เห็นเป็นวงกลมทึบ สีดำ”<O:p
    ศิษย์ : “ทึบ สีเทา ๆ”<O:p
    ครู : “คนอื่น ๆ เห็นเป็นยังไคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “สีดำ มืด มัว”<O:p
    ครู : “ถูกแล้ว ยามกลุ้มใจ กังวลใจ มีความทุกข์จิตจะมีสีอย่างที่เห็นอยู่นี่ ถ้าดำมากก็กลุ้มมาก ถ้าสีเทา ๆ ก็กลุ้มน้อยหน่อย ต่อไปยามที่ปุถุชนดีใจ เพราะได้ลาภ ได้ของขวัญที่เป็นวัตถุ สีของ จิตจะมีสีเป็นอย่างไร ขอดูภาพ”<O:p
    ศิษย์ : “แดง ทึบ”<O:p
    ศิษย์ : “สีเลือดหมู สีเหมือนน้ำล้างเนื้อ”<O:p
    ศิษย์ : “สีชมพู”<O:p
    ครู : “ใช้ได้ เวลาดีใจ จะมีสีแดง ถ้าดีใจน้อยก็ชมพู ถ้าขณะที่ปุถุชนมีอารมณ์เฉย ๆ สบาย ๆ ไม่ได้กลุ้ม และไม่ทุกข์ใจอะไร กำลังใจจะมีสีอะไร…?”<O:p
    ศิษย์ : “สีขาว”<O:p
    ครู : “ถูกต้อง สีขาวเหมือนผ้าขาว ต่อไปขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วยให้เห็นภาพกระแสจิตของข้าพระพุทธเจ้าสมัยที่มีศีลบริสุทธิ์ดูซิ…?”<O:p
    ศิษย์ : “สีขาวขุ่น แต่ขอบ ๆ เริ่มมีสีใส ๆ”<O:p
    ครู : “สีใส ๆ คืออะไรคะ ความรู้สึกของจิตว่าเป็นอะไร…?”<O:p
    ศิษย์ : “ใสเหมือนแก้ว นิดหน่อย บาง ๆ”<O:p
    ครู : “ตกลงมีแก้วเคลือบอยู่นะคะ ถ้าเริ่มเจริญสมาธิถึงอุปจารสมาธิล่ะคะ”<O:p
    ศิษย์ : “ก็ใสมากขึ้นอีกหน่อย”<O:p
    ครู : “ถ้าจิตเข้าถึงฌานที่ ๑ ล่ะ”<O:p
    ศิษย์ : “เป็นแก้วลึกเข้าไปอีกหน่อย”<O:p
    ครู : “ถึงครึ่งดวงหรือยัง…?”<O:p
    ศิษย์ : “ยัง ครึ่งของครึ่งดวงได้”<O:p
    ครู : “ถูกต้อง ถ้าจิตเข้าถึงฌาน ๒ จะมีลักษณะเป็นยังไง ขอดูภาพต่อไปซิคะ”<O:p
    ศิษย์ : “แก้วใสถึงครึ่งดวงแล้ว”<O:p
    ครู : “คนอื่นเห็นเป็นยังไงคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “เหมือนกัน”<O:p
    ครู : “ถ้าจิตเข้าถึงฌานที่ ๓ ล่ะคะ สภาพอารมณ์จิตจะเป็นเช่นไร ขอบารมีสมเด็จพระจอมไตรช่วยให้เห็นภาพตามความเป็นจริง”<O:p
    ศิษย์ : “เป็นแก้วลึกเข้าไปอีก เลยครึ่งแล้ว”<O:p
    ครู : “ถ้าจิตเข้าถึงฌานที่ ๔ ซึ่งเป็นฌานโลกีย์”<O:p
    ศิษย์ : “เป็นแก้วใสหมดดวง”<O:p
    ครู : “ต่อไปขอทุกคนเข้าไปกราบนมัสการสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขอบารมีพระพุทธองค์ช่วยให้เห็นสีของจิตของข้าพระพุทธเจ้าเมื่อเป็นพระโสดาบันพระเจ้าข้า ข้างหน้า แล้วดูภาพที่ปรากฏข้างหน้า…?”<O:p
    ศิษย์ : “สว่างมากขึ้นจากเดิม มีแสงออกรอบ ๆ”<O:p
    ครู : “แสงที่ออกมารอบ ๆ เป็นประกายนั่นแหละค่ะ แสดงถึงความเป็นพระอริยเจ้า ที่กำลังเห็นอยู่เวลานี้เป็นพระโสดาบัน มีประกายขนาดไหนคะ ดูภาพ…?”<O:p
    ศิษย์ : “ไม่ถึงครึ่งดวง”<O:p
    ครู : “สัก ๑ ใน ๔ ของดวงได้ไหมคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “ได้ครับ”<O:p
    ครู : “ดูไว้ให้ติดใจว่า ความเป็นพระอริยเจ้า เขาดูกันที่จิตมีประกายหรือไม่ เขาไม่ได้ดูที่การแต่งกาย ไม่ได้ดูความรู้ ฐานะ จริยา ซึ่งเป็นสิ่งภายนอก ถ้าเราได้เจโตปริยญาณก็ดูกันที่จิตหรือ อทิสสมานกายนี่ละ ต่อไปขอบารมีสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงโปรดให้ข้าพระพุทธเจ้าเห็นกระแสจิตของข้าพระพุทธเจ้าเองเมื่อเป็นพระสกิทาคามี”<O:p
    ศิษย์ : “สว่างมากขึ้นจากเดิม มีประกายมากขึ้น”<O:p
    ครู : “ถึงครึ่งได้หรือยังคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “ได้แล้วค่ะ”<O:p
    ครู : “นี่เป็นพระสกิทาคามี ต่อไปขอองค์สมเด็จพระชินสีห์ช่วยให้เห็นกระแสขจิตของข้าพระพุทธเจ้าเองยามที่เป็นพระอนาคามีพระพุทธเจ้าข้า”<O:p
    ศิษย์ : “มีประกายเพิ่มขึ้นอีก”<O:p
    ครู : “มีประกายหมดดวงหรือยังคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “ยังค่ะ ยังเหลืออีกนิดหน่อยตรงกลางดวง”<O:p
    ครู : “ใช้ได้นะคะ ต่อไปขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วยให้ข้าพระพุทธเจ้าเห็นกำลังจิตของข้าพระพุทธเจ้ายามเมื่อตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน มีกำลังใจเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ ขอดูกำลังใจขณะนั้นชัด ๆ พระพุทธเจ้าข้า”<O:p
    ศิษย์ : “สว่างหมดทั้งดวง เหมือนดวงประกายพรึกแล้ว”<O:p
    ครู : “คนอื่น ๆ เห็นเป็นยังไงบ้างคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “สว่างหมดดวง มีประกายออกมากที่สุดครับ”<O:p
    ครู : “จำภาพไว้นะคะ หลวงพ่อท่านแนะนำพวกเราให้ดูกำลังจิตของเรา ตื่นเช้าขึ้นมาดูว่าสว่างเท่านี้หรือยังถ้ายังไม่เท่าก็ขับกำลังใจ ตัดสินใจว่าเราไม่ต้องการเกิดอีกต่อไปแล้ว ตัดจริง ๆ นะ การเกิดเป็นคน เป็นเทวดา เป็นพรหม ไม่เอา ขอไปพระนิพพานแห่งเดียว แล้วดูกระแสจิตของตัวเองสว่างถึงที่สุดแบบนี้หรือยัง ถ้าได้แล้วก็ทรงกำลังใจแบบนี้สักครู่ จิตจะสะอาดทีละน้อย ๆ ทุกวันจะทรงตัว สังเกตใจของเราเวลานี้ รู้สึกเป็นยังไงบ้างคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “สบาย เบา โปร่ง ไม่ห่วงอะไรทั้งนั้น”<O:p
    ครู : “ถ้าร่างกายที่นั่งอยู่ข้างล่างมันเกิดตายเดี๋ยวนี้ล่ะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “เฉย ๆ มันจะตายก็ช่างมัน ไม่เสียดาย”<O:p
    ครู : “เป็นอารมณ์ที่จะต้องทำให้เกิดขึ้นบ่อย ๆ นะคะ วันละ ๑ นาที ก็ยังดี ต่อไปนึกถึงบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และท่านผู้มีพระคุณช่วยให้เห็นภาพกำลังใจของข้าพระพุทธเจ้าเมื่อยามที่ลงไปอยู่ในร่างกายตามปกติ กำลังใจจะเป็นเช่นไรขอดูภาพตามความเป็นจริงพระเจ้าข้า”<O:p
    ศิษย์ (พระ) : “พอจะมีประกายอยู่บ้าง”<O:p
    ครู : “แสงสว่างเรือง ๆ น้อย ๆ พอสว่าง ๆ”<O:p
    ศิษย์ : “แต่ละคนดูกระแสจิตของตัวเอง แล้วเทียบกับที่เราดูภาพผ่านมาสักครู่นี้ กระแสจิตของเราเทียบได้กับปุถุชนหรือผู้ทรงฌานโลกีย์ หรือพระอริยเจ้าดูเอาเอง และก็ควรจะขับกำลังใจให้สว่างถึงที่สุดไว้ทุกวัน วันละเล็กน้อยก็ยังดี ตอนนี้ทุกคน ขอบารมีพระพุทธเจ้าช่วยให้เห็นอทิสสมานกายของข้าพระพุทธเจ้าอีกครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าข้า…?”<O:p
    ศิษย์ : “เห็นแล้ว”<O:p
    ครู : “สวยเท่าเดิมหรือยัง…?”<O:p
    ศิษย์ : “เกือบเท่า”<O:p
    ครู : “เข้าไปกราบนมัสการองค์สมเด็จพระพิชิตมาร ขอบารมีพระพุทธองค์ช่วยให้อทิสสมานกายของข้าพระพุทธเจ้าสว่างไสว เทียบเท่ากับพระอรหันต์ด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า แล้วดูซิสว่างขึ้นไหม…?”<O:p
    ศิษย์ : “สว่างมากขึ้นแล้ว สวยกว่าคนเดิม”<O:p
    ครู : “นี่เราอาศัยบารมีพระพุทธเจ้าช่วยนะคะ จำเอาไว้เลยว่า ยามที่เรามีปัญหาขัดข้องอันใด ก็ขึ้นมากราบขอบารมีพระพุทธองค์ช่วย ขอบารมีท่านพ่อ ท่านแม่ช่วย ถ้าเราทำจนคล่องคนเดินผ่านไปหรือได้ยินชื่อก็ดูจิตได้เลย เป็นการดูเพื่อซ้อมอารมณ์เท่านั้น ส่วนใหญ่เขาดูจิตตัวเองมากกว่า”<O:p


    [​IMG]
    ฝึกปุพเพนิวาสานุสสติญาณ<O:p

    ครู : “ต่อไปเราจะใช้ทิพจักขุญาณที่เราได้แล้วนี้ ไปรู้เรื่องอื่นต่อไป คือการระลึกชาติ คราวที่แล้วเราไปเที่ยว พรหม สวรรค์ นรก เปรต อสุรกาย เราถอยหลังชาติการเกิดของเราได้ว่าเราเคยเกิดเป็นอะไรมาบ้างกี่ชาติ ตอนนี้ขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านผู้มีพระคุณทั้งหมดช่วยให้เห็นภาพในอดีต คือก่อนที่ข้าพระพุทธเจ้าจะมาเกิดเป็นคนชาตินี้ ข้าพระพุทธเจ้ามาจากไหน ขอดูภาพตามความเป็นจริง มีภาพเกิดขึ้นหรือยังคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “มีอยู่ตรงหน้า”<O:p
    ครู : “รูปร่างเป็นยังไงคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “สวยดี มีชฎาใส่ด้วย”<O:p
    ครู : “ดูให้ทั่วตัวซิ แต่งตัวเหมือนอะไร…?”<O:p
    ศิษย์ : “เทวดาครับ”<O:p
    ครู : “เป็นเทวดาอยู่สวรรค์ชื่ออะไร เข้าไปถามท่านแม่ ความรู้สึกของจิตตอนนี้คือคำตอบค่ะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “ดาวดึงส์ครับ”<O:p
    ครู : “ถูกต้องแล้ว คุณมาจากเทวดา ถอยหลังไปอีกสักชาติซิคะ ว่าก่อนจะไปเกิดเป็นเทวดาคุณเป็นอะไรมาก่อน ขอบารมีสมเด็จพระชินวรช่วยให้เห็นภาพชัดเจนตามความเป็นจริง”<O:p
    ศิษย์ : “เป็นคนครับ”<O:p
    ครู : “ขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ ช่วยให้เห็นภาพสมัยที่เกิดเป็นคนตั้งแต่เกิดมาจนตายทำอะไรไว้บ้าง โดยเฉพาะตอนตายใจนึกถึงอะไร ขอพระพุทธองค์ช่วยให้เห็นภาพชัด ๆ พระเจ้าข้า…?”<O:p
    ศิษย์ : “ตอนเป็นเด็กก็ยังงั้นแหละครับ ยิงนก ตกปลา ไปเรื่อยก็บาปละ โตมาหน่อยก็มีโอกาสทำบุญกับพระองค์หนึ่ง ถวายทานท่าน แต่ผมก็ยังกินเหล้าอยู่นี่ เอ..ตอนตายนี่มันกระทันหันจริง ๆ หัวใจมันตีบอึดอัด ก็นึกถึงพระที่เคยถวายทานท่าน รักท่านมาก อยากให้ท่านช่วย ก็เลยขาดใจตายลอยไปเป็นเทวดา”<O:p
    ครู : “อาศัยนึกถึงพระนะคะจึงไปเป็นเทวดาได้ เป็นอันว่าการนึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ แค่นิดเดียวก็ไปเป็นเทวดาได้ เกินคุ้มจริง ๆ โชคดี ถ้าเราจะถอยหลังชาติการเกิดของเราไปเรื่อย ๆ ก็ไม่มีที่สิ้นสุด เราจึงรวบยอดการเกิดเป็นพรหมบ้าง เทวดาเท่าไร คนเท่าไร สัตว์เดรัจฉาน อสุรกาย เปรต และสัตว์นรก เราเคยเกิดมาแล้วทั้งนั้น เพราะกรรมอะไรเป็นต้นเหตุ จำได้ไหมคะ ทำดีอะไรไว้จึงเป็นเทวดา เป็นพรหมได้ หรือว่าทำชั่วอะไรบ้างที่ทำให้เราไปเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน กรรมชั่วส่วนนี้ไม่น่าทำต่อไป กฎของกรรมที่ทำให้เราได้รับผลเป็นความสุข เช่น ไปเป็นเทวดา เป็นพรหม หรือกฎของกรรมที่ทำให้เราได้รับผลเป็นความทุกข์แสนสาหัสเช่นไปเกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานนี้ พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า ยถากรรมมุตาญาณ เวลานี้จิตเราสะอาดดูภาพไปเลยว่าเราเคยเกิดเป็นพรหมมากี่ชาติ เทวดากี่ชาติ คนเท่าไร สัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน แต่ละอย่างมีปริมาณเท่าใด…?”
    <O:pศิษย์ : “มากมายนับไม่ไหวแล้วครับ”<O:p
    ครู : “เรื่องการระลึกชาตินี้ทุกท่านอาจไปซ้อมดูของท่านเองได้แต่ละอย่างไป เช่น เรารังเกียจไส้เดือน กิ้งกือ ก็ขอดูภาพถอยหลังไปว่าเราเคยเกิดเป็นไส้เดือน กิ้งกือบ้างไหม ดูเดี๋ยวนี้เลยค่ะ หลวงพี่ว่าไงคะมีภาพไหม..?”<O:p
    ศิษย์ (พระ) : “เยอะเลยครับ”<O:p
    ครู : “เห็นแล้วรู้สึกเป็นยังไงคะ…?”
    <O:pศิษย์ : “สลดใจครับ”<O:p
    ครู : “อยากเกิดอีกไหมคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “ไม่เอาแล้วครับ เบื่อเต็มที”<O:p
    ครู : “ก็ดีที่เบื่อ การถอยหลังชาติการเกิดของเราทำให้เกิดอารมณ์เบื่อไปเอง เห็นไหมว่าพระพุทธเจ้าสอนปุพเพนิวาสานุสสติญาณไว้เพื่อให้เราเบื่อในการเกิด”<O:p


    [​IMG]
    ฝึกอตีตังสญาณ<O:p

    ครู : “ต่อไปนี้เป็น อตีตังสญาณ ดูเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอดีตที่ผ่านมาแล้วจะกี่อสงไขยกัปก็ได้ เราก็สามารถรู้ได้ โดยอาศัยบารมีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วยให้กำลังทิพจักขุญาณของเราแจ่มใส เราก็พบเหตุการณ์ต่าง ๆ แม้ประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของบุคคลหรือของสถานที่ ก็สามารถรู้ได้ ไหนลองบอกมาซิ อยากดูเหตุการณ์ตอนไหน เรื่องอะไรดีคะ หลวงพี่ว่ายังไงคะ อยากดูเหตุการณ์ตอนไหนดี…?”<O:p
    ศิษย์ (พระ) : “อยุธยา”<O:p
    ครู : “ตอนไหนดีคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “ตอนพระนเรศวรรบกับพม่า”<O:p
    ครู : “รู้สึกคนชอบดูตอนนี้กันมาก เพราะเป็นตอนที่ไทยเป็นเอกราช คนไทยมีอิสรภาพและมีความภาคภูมิใจมาก เอ้า ทุกคนทำอารมณ์ใจสบาย ๆ เห็นพระพุทธเจ้าชัดไหมคะ กราบนมัสการพระพุทธองค์”<O:p
    ศิษย์ : “เห็นชัด กราบแล้ว เห็นตัวเราด้วย”<O:p
    ครู : “ขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วยให้เห็นภาพเหตุการณ์ตอนที่พระนเรศวรกระทำยุทธหัตถีชนช้างกับพระมหาอุปราชกษัตริย์พม่า เหตุการณ์ตอนนั้นเป็นที่ประทับใจของคนไทยทั้งชาติ เป็นความภูมิใจที่ได้รับชัยชนะ ขอดูภาพเหตุการณ์ตอนนั้นพระพุทธเจ้าข้า”<O:p
    ศิษย์ (แม่ชี) : “เห็นคนมากมาย มีช้างหลายเชือก”<O:p
    ครู : “หลวงตาเห็นอะไรบ้างคะ…?”<O:p
    ศิษย์ (พระ) : “เห็นพระนเรศวรอยู่บนคอช้าง”<O:p
    ครู : “ขอดูรูปร่างหน้าตาท่านได้ไหมคะ ขอดูซิคะว่าท่านหน้าตาเป็นยังไง…?”<O:p
    ศิษย์ : “หน้าหนุ่มอ่อน ๆ ผิวก็ไม่ดำนี่คะ รูปหน้ารี ๆ รูปไข่”<O:p
    ศิษย์ (พระ) : “หน้าคล้ายผู้หญิง สวย”<O:p
    ครู : “ขอดูภาพตอนชนช้างเลยทีเดียว”<O:p
    ศิษย์ : “ช้างพม่าขาหน้ามันไม่ถึงดินนี่ครับ”<O:p
    ครู : “ทำไมล่ะคะ..?”<O:p
    ศิษย์ : “ถูกงัดให้ลอยขึ้นแล้วหันด้านข้างมาทางพระนเรศวรแล้ว พระนเรศวรก็ฟันซีครับ”<O:p
    ครู : “เอาอะไรฟันคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “ใช้มีดยาว ๆ ฟัน”<O:p
    ครู : “เราเรียกง้าวนะคะ แล้วพระมหาอุปราชเป็นยังไง เมื่อถูกฟัน…?”<O:p
    ศิษย์ : “ฟุบไปแล้ว คนฮือเข้ามาล้อม เลยตอนนี้เกิดชุลมุนกันใหญ่ มีช้างอีกเชือกหนึ่งเข้าไปช่วยกันเอาพระนเรศวรออกมา ทหารที่พื้นดินฟันกันใหญ่เลย พักใหญ่แหละครับ หลังจากนั้นก็ถอยทัพกลับไป”<O:p
    ครู : “ดูพื้นที่ตอนที่รบกันซิคะ อยู่ตรงที่เขาทำอนุสาวรีย์พระนเรศวรที่ดอนเจดีย์ ตรงนั้นใช่ไหมคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “ไม่ใช่ครับ มันเลยไปทางเขตแดนด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือเล็กน้อย บริเวณนั้นไม่มีบ้านคนเลย มีต้นไม้เป็นทิวแถวมีบริเวณกว้างขวาง” <O:p
    ครู : “ถ้าเราจะใช้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ดูว่าเราเองเคยเกิดสมัยนั้นหรือไม่ ก็ดูได้ โดยขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วยให้เห็นภาพ”<O:p
    ศิษย์ : “มีภาพคนผู้ชายครับ เป็นทหารรบกับเขาด้วย”<O:p
    ครู : “ตัวคุณละนั่น คุณละคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “ไม่มีภาพเลยค่ะ”<O:p
    ครู : “ก็แสดงว่าไม่ลงมาเกิด”<O:p
    ศิษย์ : “ครูครับ อยากดูภาพชาวบ้านบางระจันรบกับพม่า”<O:p
    ครู : “เอาซิ ทุกคนทำในสบาย ๆ จับภาพสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าไว้ก่อน ดูท่านจนชัดเจนดีแล้ว ขอบารมีพระพุทธองค์ช่วยให้เห็นภาพ ชาวบ้านบางระจัน เริ่มตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาใกล้แตก อย่าลืมขอบารมีท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ช่วยด้วยนะคะ ขอเห็นภาพตามความเป็นจริง”<O:p
    ศิษย์ : “มีคนเป็นกลุ่มย่อย ๆ หนีออกจากกรุงศรีอยุธยากลุ่มหนึ่งขี่ม้าออกมา ส่วนหนึ่งออกมาทางน้ำเห็นภาพลอยน้ำชัดเจนครับ”<O:p
    ครู : “ขอดูภาพกลุ่มคนที่ลอยน้ำออกมาซิคะว่าเป็นกลุ่มของใครเป็นหัวหน้า”<O:p
    ศิษย์ : “นายจันหนวดเขี้ยว”<O:p
    ครู : “ขอดูหน้าท่านซิคะ หน้าตานายจันหนวดเขี้ยวเป็นยังไง…?”<O:p
    ศิษย์ : “หน้าก็สวย ยิ้มนี่ กินหมากด้วย”<O:p
    ศิษย์ (พระ) : “หน้าเหมือนรัชกาลที่ ๑ ครับ”<O:p
    ครู : “ถามท่านซิคะว่า ท่านคือบุคคลคนเดียวกันหรือเปล่า…?”
    <O:pศิษย์ (พระ) : “ท่านยกมือ”<O:p
    ครู : “ท่านรับรองนะ เป็นอันว่า ที่ว่าชาวบ้านบางระจันนั้น ความจริงก็เป็นกลุ่มทหารหนีออกมาจากกรุงศรีอยุธยา เพราะเห็นท่าว่าเราต้องยับเยินแน่คราวนี้ ก็ออกมาสู้พม่าอยู่ภายนอก ก็ชักชวนชาวบ้านบางระจันร่วมด้วย แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นทหารโดยเฉพาะ หัวหน้าคือ นายจันหนวดเขี้ยว ขอดูภาพซิคะว่าท่านเป็นอะไรในกรุงศรีอยุธยา…?”<O:p
    ศิษย์ : “นักรบ แต่งตัวนายทหารครับ”<O:p
    ครู : “นั่นแหละ ไม่อย่างนั้นรวมคนไม่ได้ถึงขนาดนี้ ทุกท่านขอให้ใช้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณซิคะว่า เราเคยเกิดสมัยนี้ด้วยหรือไม่…?”<O:p
    ศิษย์ : “โอ้โฮ รบอยู่ที่บางระจันแน่ะ มีภาพรบกันใหญ่เลย”<O:p
    ครู : “ใช้อาวุธอะไรคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “ดาบ ๒ มือ ดูฮึกเหิม ว่องไว”<O:p
    ศิษย์ : “ครูครับ ผมตายในสนามรบครับ ถูกแทงตาย”<O:p
    ครู : “นับเป็นวีรบุรุษแห่งค่ายบางระจันได้ เพราะคุณยอมสละชีวิตเพื่อดำรงความเป็นไทเอาไว้ น่าสรรเสริญ”<O:p
    ศิษย์ : “เสียดายครับ”<O:p
    ครู : “ทำไมคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “ฆ่าพม่าได้ไม่กี่คน ตายซะได้”<O:p
    ครู : “ก็ดีแล้วไม่บาปมากกว่านี้ ถ้าเราจะดูกันต่อไปก็จะเสียเวลามาก ขอตัดตอนแค่นี้นะคะ”<O:p


    [​IMG]
    ฝึกปัจจุปันนังสญาณ<O:p
    ครู : “ต่อไปเป็นปัจจุบังสญาณ ดูเหตุการณ์ปัจจุบัน ใครที่เรานึกถึงเขาอยู่ เขามีความสุข ความทุกข์ มีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปแล้ว ก็ย่อมทราบได้ แม้จะดูอวัยวะต่างๆ ในร่างกายก็ได้ ท่านที่เป็นหมออาจจะขอดูภาพอวัยวะภายในร่างกายแต่ละส่วน ๆ ว่า ปกติของอวัยวะเป็นเช่นไร ถ้าเกิดผิดปกติขึ้นมา มีเชื้อโรค หรือทำงานผิดปกติจะมีสภาพเป็นเช่นไร และถ้าเกิดผิดปกติแล้วควรจะแก้ไขดำเนินการรักษาอย่างไร อารมณ์เราเป็นทิพย์อยู่แล้ว ถามท่านแม่ก็ได้ว่าควรจะแก้ไขรักษาอย่างไร<O:p
    ตัวอย่าง คุณหมอท่านหนึ่งฝึกแบบนี้แหละที่วัดพุทธวราราม เมืองเดนเวอร์ รัฐโคโรลาโด อเมริกา ท่านดูทุกส่วนตั้งแต่ศีรษะมาถึงเท้า อวัยวะภายในแต่ละส่วนดังกล่าวมาแล้วข้างต้น เร็วกว่าเอ๊กซเรย์ และแน่นอน เพราะจิตสะอาด ย่อมรู้ได้ตามความเป็นจริง แต่อย่าลืมว่า เราอาศัยบารมีพระพุทธเจ้าช่วย อาศัยบารมีท่านพ่อ ท่านแม่ ผู้มีพระคุณทั้งหมดช่วย<O:p
    นอกจากนี้ เราอาจดูทรัพย์สินใต้แผ่นดินได้ทันที มีตัวอย่างนักธรณีวิทยา ๒-๓ ท่าน ต้องการรู้แหล่งแร่ยูเรเนียม และได้เดินทางไปวัดท่าซุง มีโอกาสคุยกับหลวงพ่อและถามเรื่องนี้ที่ต้องการหลวงพ่อท่านก็ให้ฝึกมโนมยิทธิดูเอาเอง จะได้มั่นใจ ท่านก็ตกลง ครั้งแรกของการฝึกก็สามารถไปได้ และก็ให้ดูแหล่งแร่ยูเรเนียมที่มีในเมืองไทย ดูสถานที่พบแล้วดูลักษณะ และปริมาณของแร่ <O:p
    รวมทั้งบริเวณที่มีอยู่มาก ตามภูเขา เชิงเขา แร่มีสีขาว และได้ดูที่หมาย คือต้นไม้เป็นที่สังเกต ครูก็แนะนำให้อยู่เพื่อฝึกอีกวันหนึ่งเพื่อให้มีความคล่องตัว แต่ปรากฏว่า พอวันรุ่งขึ้นก็ไปแล้ว ได้เค้าก็ไป เพราะแหล่งแร่ยูเนียมที่พบอยู่ในเขตจังหวัดอุทัยธานีนี่เอง คงไปดูสถานที่และวางแผน นี่เป็นปัจจุบันนังสญาณที่เราได้รับประโยชน์<O:p
    นอกจากนี้ เราจะไปดาวดวงอื่น ๆ ได้ทุกแห่งหน ดาวดวงใดมีสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีก็ดูได้ หรือเราจะไปเที่ยวประเทศไหนก็ได้ ทุกประเทศในโลกไม่ต้องเสียเงินค่าพาหนะภายในโลกมนุษย์เราจะเห็นได้ชัดเจนกว่าเพราะเป็นของหยาบ จะดูภายในประเทศไทยเราก็ได้ น้ำมันดิบใต้แผ่นดินไทยมีแค่ไหนบริเวณใดบ้างเป็นเรื่องเล็ก<O:p
    ตัวอย่างหลวงน้าที่มาจากจังหวัดกำแพงเพชรท่านฝึกได้แล้วและใช้กำลังทิพจักขุญาณได้พอสมควร ก็ให้ดูน้ำมับดิบที่จังหวัดของท่านมีสักแค่ไหน<O:p
    ศิษย์ (พระ) : “มีมากครับเป็นแอ่งลึกลงไป มีปริมาณมหาศาล สีน้ำตาลเข้ม”<O:p
    ครู : “ที่เขาเจาะเวลานี้ ตรงจุดใหญ่ไหม…?”<O:p
    ศิษย์ : “ก็ตรงครับ แต่เจาะลึกไม่มาก ก็ดูดขึ้นมาได้ โอ้โฮข้างล่างเป็นบริเวณกว้างมาก เราถ้าจะรวยใหญ่แล้วนี่”<O:p
    ครู : “นี่แหละค่ะ ความรู้ทางด้านทิพจักขุญาณมีประโยชน์มาก ไม่เพียงแต่ไปดูสวรรค์ นิพพาน นรกเท่านั้น การทำมาหากินก็จะคล่องตัวไปด้วย สมองก็แจ่มใส ถ้าเป็นนักเรียน นักศึกษาสบายมาก จำแม่น สอบไม่ตก ถ้าคนไทยทำได้สัก ๑ ใน ๑๐ เท่านั้น ประเทศไทยจะร่มเย็นเป็นสุขกว่านี้มาก เพราะคนที่เขาทำได้เขามีศีล ๕ บริสุทธิ์ ไม่มีการเบียดเบียนกัน ความรัก ความเมตตาก็มี เพราะมีความเข้าใจตามความเป็นจริง”<O:p


    [​IMG]
    ฝึกอนาคตังสญาณ<O:p
    ครู : “ต่อไปเป็นอนาคตังสญาณ เป็นการใช้ทิพจักขุญาณไปรู้เรื่องราวที่ยังไม่เกิดขึ้น ไม่ว่าของตัวเราเอง หรือของบุคคลอื่น หรือของสถานที่ หรือความเป็นไปของชาติของโลก ของบุคคลตายแล้วจะไปไหนดูได้เลย เวลานี้ขอทุกคนตั้งใจอาราธนาบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านผู้มีพระคุณทั้งหมดช่วย ขอดูสภาพของประเทศไทยในอีก ๑๐–๒๐ ปี ข้างหน้าจะเป็นเช่นไร ขอองค์สมเด็จพระจอมไตรช่วยให้เห็นภาพตามความเป็นจริงพระพุทธเจ้าข้า มีภาพเกิดขึ้นหรือยังคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “มีแล้ว เจริญมากกว่านี้มากค่ะ”<O:p
    ครู : “ขอดูกรุงเทพมหานคร อันเป็นเมืองหลวง ดูความเจริญของประเทศ”<O:p
    ศิษย์ : “โอ้โฮ ตึกรามบ้านช่องสูง ๆ เต็มไปหมด”<O:p
    ครู : “สะพานลอยเกลื่อน ยังกะในหนังญี่ปุ่น ไขว่ไปหมด ถนนหนทางดี ผู้คนมากมาย มีวัดมากไหมคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “มากครับ”<O:p
    ครู : “แสดงว่าพระพุทธศาสนาเราทรงอยู่ได้แน่นอน ประเทศไทยก็เป็นเอกราชต่อไป”<O:p
    (ครูถามเด็กชายอายุ ๙ ขวบ และ ๑๑ ขวบ)<O:p
    ครู : “เอ้าหนู หนูขอบารมีพระพุทธเจ้าช่วยให้เห็นภาพอาชีพของหนูเมื่อโตขึ้นควรจะประกอบอาชีพอะไรดี จึงจะมีความคล่องตัว ร่ำรวย ขอท่านดูภาพนะจ๊ะ เห็นอะไรบอกมา”
    ศิษย์ (อายุ ๙ ขวบ) : “เห็นเป็นหมอทำฟันครับ”<O:p
    ศิษย์ (อายุ ๑๑ ขวบ) : “เห็นภาพนั่งโต๊ะทำงานเป็นบริษัทครับ”<O:p
    ครู : “หนูก็ต้องเลือกเรียนอาชีพที่เหมาะสมกับหนูตามที่เห็นในภาพนะจ๊ะ หนูชอบอาชีพที่ปรากฏในภาพไหมจ๊ะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “ชอบครับ”<O:p
    ครู : “ตั้งใจเรียนนะจ๊ะ ถ้าขัดข้องขึ้นมากราบขอพระจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอให้หนูตัดสินใจถูกแล้วทุกอย่างจะราบรื่น คล่องตัวดี หรือถามท่านพ่อ ท่านแม่ก็ได้ แต่อย่าถามท่านองค์อื่น ๆ พร่ำเพรื่อนะจ๊ะ องค์ไหนเป็นองค์นั้น ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านไม่หลอกลูกนะจ๊ะ ท่านจะช่วยหนู
    <O:pบั้นปลายของชีวิตทุกคน เราตายแน่ ฉะนั้นเวลานี้ขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านช่วยให้เห็นภาพตามความเป็นจริงว่าข้าพระพุทธเจ้าจะตายเมื่ออายุเท่าไร เป็นโรคอะไรตาย ก่อนตายมีอารมณ์ใจเป็นอย่างไร ขอองค์สมเด็จพระจอมไตรช่วยให้เห็นภาพชัด ๆ พระพุทธเจ้าข้า เอ้า..ต่างคนต่างดูของตัวเองนะคะ จะถามทีละคนไป ของคุณมีภาพหรือยังคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “มีแล้วครับ นอนอยู่”<O:p
    ครู : “ถามพระท่านซิคะว่า เป็นโรคอะไรตาย…?”<O:p
    ศิษย์ : “เอามือจับท้อง คงเป็นทางท้อง”<O:p
    ครู : “ความรู้สึกของใจโรคอะไรคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “โรคกระเพาะครับ”<O:p
    ครู : “อายุเท่าไร…?”<O:p
    ศิษย์ : “๗๐ ปีเศษ ครับ”<O:p
    ครู : “สถานที่ตายที่บ้าน หรือโรงพยาบาล หรือที่อื่น ๆ คะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “บ้านครับ”<O:p
    ครู : “เวลานี้ความรู้สึกเราเป็นทิพย์จะบอกได้ว่า อารมณ์ตอนใกล้ตายก่อนหมดลมหายใจเล็กน้อยนั่น เราตัดสินใจยังไงคะ..?<O:p
    ศิษย์ : “ร่างกายเป็นทุกข์ โลกนี้ไม่มีอะไรดี ขอไปนิพพาน”<O:p
    ครู : “เมื่อตัดสินใจอย่างนั้นได้แล้ว ดูรอบ ๆ ตัวเราซิคะ มีใครมาบ้างไหม ขอบารมีพระพุทธเจ้าช่วยให้เห็นภาพชัด ๆ”<O:p
    ศิษย์ : “มากันมากมายเต็มสถานที่”<O:p
    ครู : “ดูในภาพซิคะ ท่านผู้ใดที่อยู่ใกล้ตัวเราที่สุด…?”<O:p
    ศิษย์ : “พระพุทธเจ้าประทับยืนอยู่เหนือหัว ท่านแม่ หลวงพ่อมารับ พ่อแม่ข้างบน พรหม เทวดา มารับกันมากครับ”<O:p
    ครู : “เมื่อคุณเห็นท่านมา คุณออกไปกราบท่านได้ไหมคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “ออกไปได้แล้วครับ ก็ไปกราบท่าน”<O:p
    ครู : “เมื่ออกไปแล้ว กราบพระท่านแล้ว เหลียวมาดูร่างกายเราที่นอนอยู่ซิคะ มันน่ารักไหม อยากจะอยู่ในร่างกายอย่างนี้อีกไหม…?”<O:p
    ศิษย์ : “ไม่เอาแล้ว”<O:p
    ครู : “ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะร่างกายที่นอนตายอยู่นั่นแก่ก็เท่านั้น เหี่ยวก็เท่านั้น ทรุดโทรม ไม่มีอะไรน่ารักตรงไหนเลย คุณดูภาพต่อไปเลยค่ะว่าเมื่ออทิสสมานกายออกไปแล้วไปไหนต่อ…?”<O:p
    ศิษย์ : “ตามพระพุทธเจ้าไป พอเคลื่อนขบวน ก็มีรถทิพย์มารับเป็นแก้วขาวสวย มีเทวดาล้อมรถ ไปนิพพาน”<O:p
    ครู : “ดีใจไหมคะ ถ้าคุณทรงกำลังใจอย่างวันนี้ได้เรื่อย ๆ ไม่ทิ้งอารมณ์พระนิพพาน ภาพที่เกิดวันนี้ก็เป็นที่พอใจใช่ไหมคะ คนอื่น ๆ เป็นยังไงคะ ขณะที่ถามคนหนึ่งคุณดูภาพของคุณไปด้วยหรือเปล่าคะ…?”
    <O:pศิษย์ : “ดูค่ะแต่ดิฉันเป็นโรคลม เป็นลมตาย”<O:p
    ครู : “ของใครก่อนตายทรมานมาก ๆ มีไหมคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “มีค่ะ”<O:p
    ครู : “ถ้าอย่างนั้น ให้ขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วย ขอท่านปู่ ท่านย่า ท่านพญายมราชช่วย ท่านพ่อ ท่านแม่ ขออย่าให้มีความทุกขเวทนาตอนใกล้จะตาย เพื่อจะได้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ จะได้นึกถึงพระนิพพาน และนึกถึงพระพุทธเจ้าได้ เมื่อขอท่านแล้ว ดูภาพซิคะว่าก่อนตายภาพที่เคยทรมาน บัดนี้มีการเปลี่ยนแปลงหรือยัง…?”<O:p
    ศิษย์ : “เปลี่ยนไปแล้วครับ ไม่ทรมานมาก จะมีก็นิดหน่อย พอทนได้”<O:p
    ครู : “ก็ดี กราบขอบพระคุณสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ และท่านพญายมราช ที่ท่านสงเคราะห์เราในครั้งนี้”<O:p


    [​IMG]
    ฝึกยถากรรมมุตาญาณ<O:p
    ครู : “ต่อไปเป็นยถากรรมมุตาญาณ ดูกฎของกรรมที่ทำให้เราได้รับผลเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ จากคราวที่แล้วเราทราบว่า เราทำความดีอย่างไรจึงไปเกิดเป็นเทวดา เป็นพรหมได้ และในการเกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน นั่นเพราะเราทำความชั่วอะไรไว้<O:p
    โดยเฉพาะที่เราเกิดเป็นคนแต่ละชาติก็ไม่เหมือนกันบางชาติเราเกิดเป็นคนรวย เพราะผลของท่าน และบางชาติ เราก็ยากจนเพราะความขี้เหนียว บางชาติเราก็เกิดเป็นคนมียศใหญ่ บางชาติก็เกิดเป็นคนสวย เพราะอานิสงส์ของศีล มีเมตตา แต่บางชาติเราก็เกิดเป็นคนขี้ริ้วขี้เหร่ ไม่สวย เพราะมีใจโหดร้าย ไม่รักษาศีล ขาดเมตตา นี่แตกต่างกันไปแล้วแต่ผลของกรรมที่เราทำไว้ส่วนไหนจะให้ผล ชาตินี้เราเกิดเป็นคนตั้งแต่เล็กจนจำความได้มาจนโตเราก็ต้องพบกับความทุกข์จากการมีร่างกาย เช่น ความป่วยไข้ไม่สบาย นี้เป็นเพราะผลของกรรมอะไร ขอบารมีพระพุทธเจ้าช่วยให้เห็นภาพตามความเป็นจริงพระพุทธเจ้าข้า”<O:p
    ศิษย์ : “ฆ่าสัตว์”<O:p
    ครู : “ใช่แล้ว ฆ่าสัตว์ ฆ่าคน ทรมานสัตว์ กรรมประเภทนี้ต้องไปใช้หนี้กันในนรกก่อน พ้นมาก็เป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน มาถึงคนก็รับผลเป็นเศษเล็กน้อยแล้ว ในบางขณะเคยบ้างไหมที่เราถูกคนเขาด่า เขานินทาว่าร้าย ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้ด่าเขา บางทีไม่มีเรื่องอะไรกันด้วยซ้ำไป ก็ถูกกล่าวหาว่าร้าย”<O:p
    ศิษย์ : “เคยค่ะ”<O:p
    ครู : “ขอดูภาพซิคะว่า เป็นเพราะผลของกรรมเรื่องอะไร…?”<O:p
    ศิษย์ : “เราเคยด่าเขาไว้ก่อน”<O:p
    ครู : “นั่น ดูภาพซิคะ ทำปากยุบยิบ ๆ เราด่าเขาไว้ก่อน พอเขามาด่าเราบ้างเป็นการใช้หนี้ คิดว่าใช้หนี้กันไป ดังนั้นถ้าเราถูกเขาด่า เขานินทา ก็อย่าเพิ่งรีบไปด่าตอบเขา รวบรวมกำลังใจไปหาพระพุทธเจ้า ขอดูภาพในอดีตว่าเราเคยด่าเขาไว้หรือเปล่า ถ้าเคยก็ใช้หนี้กันไป ใจเราก็สบาย ถ้าไม่เคยก็คิดว่า คนที่เขาด่าเรา นินทาว่าร้ายเราโดยไม่มีเหตุผลไม่มีผลอย่างนี้ ตายแล้วเขาจะไปไหน ถ้าเขาต้องไปนรก คุณจะไปโกรธเขาไหมคะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “ไม่โกรธค่ะ”<O:p
    ครู : “ดีแล้ว เพราะถ้าเราโกรธเขา ก็ไปนรกกับเขาด้วยเอาไหมล่ะ…?”<O:p
    ศิษย์ : “ไม่เอา”<O:p
    ครู : “ต่อไปดูภาพของกรรมส่วนดีบ้าง เรามีปัญญามองเห็นผิดชอบชั่วดี และรู้ว่าการให้ทานดี รักษาศีลดี เจริญพระกรรมฐานดี เราฝึกมโนมยิทธิได้ เราไปนิพพานได้โดยเฉพาะเราต้องการนิพพาน ซึ่งเป็นอารมณ์ที่ยากมาก คนทั่ว ๆ ไปน้อยคนที่จะตัดสินใจอย่างเราได้ การตัดสินใจได้อย่างนี้ แวดงว่ามีความดีมาในกาลก่อนจึงให้ผลดลจิตใจให้ใฝ่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความดีที่ส่งผลในโอกาสนี้นั้นเป็นความดีในด้านใดพระพุทธเจ้าข้า ขอดูภาพนะคะ”<O:p
    ศิษย์ : “มีภาพการให้ทาน สร้างโบสถ์ วิหาร”<O:p
    ศิษย์ : “สร้างพระ”<O:p
    ศิษย์ : “ถือศีล เจริญภาวนา”<O:p
    ศิษย์ : “สงเคราะห์บุคคลยากจน”<O:p
    ครู : “ขอดูภาพต่อไปเลยนะคะว่าการทำความดีดังกล่าวแล้วแต่ละชาติ จะเป็นการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาก็ดี เราได้เคยตั้งใจไว้เป็นคำอธิษฐานบ้างไหมว่าการทำบุญคราวนี้ต้องการอะไร ขอบารมีพระพุทธเจ้าช่วยให้เห็นภาพ”<O:p
    ศิษย์ : “เคยค่ะ อธิษฐานขอไปนิพพาน”<O:p
    ครู : “นี่แหละ ความตั้งใจว่าเราทำความดีอย่างนี้ ๆ เราต้องการนิพพาน เป็นกำลังส่งผลให้เราต้องการพระนิพพานในชาตินี้ ขอดูภาพอีกทีว่าเคยอธิษฐานแบบนี้มากี่ชาติแล้ว…?”<O:p
    ศิษย์ : “มากมายนับไม่ถ้วยค่ะ”<O:p
    ครู : “เห็นไหมว่า การทำความดีมีการสะสมกันมาทุกชาติจนกว่ากำลังใจของเราจะเต็ม ก็ถึงพระนิพพานได้ เป็นอันว่าถ้าอะไรก็ตามมันเกิดขึ้นกับเราก็อย่ากังวลใจ ดูต้นเหตุว่าเป็นผลของกรรมด้านใดที่เราทำเอาไว้ ยามนี้เรามีชีวิตอยู่เราต้องรับผลของกรรมทั้งดี และเลว ยามที่เราสบายใจจิตเป็นสุข นั่นแสดงว่าผลกรรมดีในกาลก่อน กำลังให้ผล <O:p
    เวลาไหนที่เราเกิดกลุ้ม อึดอัด จิตใจไม่สบายทรมาน ความรู้สึกบางครั้งทนแทบไม่ไหวในการทรงชีวิตอยู่ นั่นแสดงว่าขณะนั้นกรรมชั่วในการก่อนกำลังให้ผลอยู่ ตราบใดที่เรายังมีร่างกายอยู่ มันหนีกฎของกรรมไม่พ้นแน่นอน ก็ต้องถือว่า ช่างมัน ให้ผลประเดี๋ยวเดียวก็สลายตัวไป กรรมดีบ้าง ชั่วบ้าง แล้วแต่จังหวะของกรรมที่เราทำมาใจเราก็สบาย ถ้าเรายอมรับความสุข ความทุกข์ว่าเป็นธรรมดาได้ จิตใจก็สบาย<O:p
    เป็นอันว่าญาณ ๘ ประการ ก็จบเท่านี้ อย่าลืมว่า เราอาศัยทิพจักขุญาณตัวเดียวเท่านั้นในการรู้เรื่องราวต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้วโดยสังเขป และท่านที่ฝึกได้แล้วก็จงจำไว้ว่า เรารู้อดีต ปัจจุบัน อนาคตของเรา และของบุคคลอื่นได้นี้ พระท่านห้ามนำไปเป็นหมอดูนะคะ ท่านให้ไว้เพื่อเป็นเครื่องช่วยในการตัดกิเลสเท่านั้น นอกจากเราจะซ้อมอารมณ์ทิพจักขุญาณกับเพื่อนนักปฏิบัติด้วยกันเพื่อความถูกต้องเท่านั้น สำหรับการฝึกญาณ ๘ ก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้นะคะ<O:p

    [​IMG]


    (จบคำแนะนำในการฝึกญาณ ๘)

    ท่านได้อะไร จากบทความ ข้างต้น ?

     
  7. เศรษฐาพล

    เศรษฐาพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    498
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,535
    อนุโมนทนา ครับ
     
  8. dalin

    dalin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +338
    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนามิ

    ดิฉันได้ความรู้ขึ้นมามาก จากที่มีข้อสงสัยอยู่ในใจ
    ขอบคุณมากค่ะท่านผู้เจริญ

    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  9. ตั้มศรีวิชัย

    ตั้มศรีวิชัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    597
    ค่าพลัง:
    +1,847
    ขอบคุณมากครับ อยากให้ผู้ที่มีความรู้ด้านนี้ช่วยรวบรวม คำสอนของหลวงพ่อ ในขั้นตอนของการฝึกมโนมยิทธิ ตั้งแต่เบื้องต้นที่พอจะฝึกเองได้ ไปจนถึงจุดที่ว่าต้องมีครูสอนนะครับ พอดีสนใจแต่ยังไม่มีโอกาสไปฝึกตามที่ๆมีการสอนเลยครับ
    อนุโมทนา สาธุ
     
  10. foundman

    foundman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    286
    ค่าพลัง:
    +734
    เสาร์ อาทิตย์ หน้าเชิญที่ซอยสายลมครับ ^^
     
  11. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,275
    ค่าพลัง:
    +82,733
    [​IMG]
    ...กราบอนุโมทนาค่ะ...
     
  12. peerakul

    peerakul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    9,428
    ค่าพลัง:
    +33,493

    อนุโมทนาค่ะ ขอให้คุณสมปราถนาทุกประการค่ะ:cool:
     
  13. bcbig_beam

    bcbig_beam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    1,821
    ค่าพลัง:
    +3,247
    ขอขอบคุณมากครับในพรอันประเสริฐ

    การไปปฏิบัติในครั้งนี้ เปลี่ยนชีวิตผมในหลายด้านเลยครับ
    ได้รู้ ได้เห็น ได้พบ ความอัศจรรย์ในหลายๆด้านมาก เป็นปัจจัตตัง
    และในตอนนี้ ผมเลิกเหล้าได้อย่างเด็ดขาดถาวร
    คุณพระศรีรัตนตรัยคือที่พึ่งอันสูงสุดของผมครับ
    ขอพรอันประเสริฐจากคุณพระศรีรัตนตรัย น้อมนำไปให้กับทุกๆท่าน
    ขอโมทนาบุญกับญาติธรรมทุกๆท่านด้วยทั้งหมดทั้งมวลทุกประการครับ
    สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
     
  14. Tanunchapat

    Tanunchapat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    631
    ค่าพลัง:
    +3,191
    อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ

    ขอบพระคุณสำหรับสาระความรู้ดีๆ ที่นำมาให้อ่านค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...