คุณลุงปรุง ตุงคเสรณีย์ ฆราวาส ผู้จบกิจที่วัดท่าซุง พระพุทธเจ้าองค์ปฐม

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย คนหลงเงา2, 10 มกราคม 2018.

  1. คนหลงเงา2

    คนหลงเงา2 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2016
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +57
    คุณลุงปรุง ตุงคเสรณีย์ ฆราวาส ผู้จบกิจที่วัดท่าซุง

    พระพุทธเจ้าองค์ปฐม

    ...........................

    ข้อมูลจาก

    ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้นเล่ม ๑๒ เดือนกรกฎาคม พศ ๒๕๔๒ ตอนสอง

    และตอนสาม ข้อ ๑๐ ถึงข้อ ๑๔

    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

    ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุกๆท่านครับ

    ............................




    คุณลุงปรุง ตุงคเสรณีย์ ฆราวาส ผู้จบกิจที่วัดท่าซุง




    สมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสสอนไว้ดังนี้

    ๖. ธรรมคือจิต จิตคือธรรม เห็น - รู้ทุกอย่างเป็นธรรมดาไปหมด อาทิ ร่างกายที่เห็นอยู่นี้ ในไม่ช้าก็ดับไป ให้กำหนดรู้อยู่เป็นปกติ ความยินดีในการดำรงชีวิตอยู่ก็จักไม่มี และความเศร้าโศกเสียใจไปกับชีวิตก็จักไม่มีด้วย มีแต่จิตเป็นธรรม แต่จงจำเอาไว้คำสอนทั้งหมดยังไม่ใช่ของแท้ จักเป็นของแท้จริงได้ ต่อเมื่อเจ้าได้ปฏิบัติตามมรรคปฏิปทาตามที่แนะนำมานี้ แล้วเมื่อผลปรากฏแก่จิตอย่างไม่คลอนแคลนนั่นแหละ จึงจักเป็นจริง พึงตั้งตนไว้ในความไม่ประมาทนั่นแหละเป็นของดี เป็นการถูกต้องแล้ว

    ๗. อย่าไปฝืนกฎของกรรม เพราะกฎของกรรมไม่มีใครฝืนได้ ให้มองสภาวะตามความเป็นจริงแล้วจิตจักเป็นสุข ด้วยเห็นกฎของกรรมเป็นของธรรมดา แต่การพิจารณานี้จักต้องใช้ขันติอดทน วิริยะ คือ ความเพียร วิมังสา คือ หมั่นใคร่ครวญ (การใคร่ครวญทำให้เกิดปัญญา) เอาชนะมารที่คอยบงการอยู่ในจิต กำลังใจจักต้องเข้มแข็งและเอาจริง ความป้อแป้อ่อนแออย่าให้ปรากฏ แต่ตราบใดที่ยังไม่ชนะ ความป้อแป้ อ่อนแอของจิตก็ย่อมมีบ้าง แต่อย่าให้มากจนเกินไป และอย่าให้เป็นนานเกินไป ต้องรีบแก้ไขสภาวะของจิตให้มีกำลังใจเข้มแข็งขึ้นมา พิจารณามรรคผลที่ตนยังปฏิบัติคั่งค้างอยู่อย่างจริงจัง (ใช้วิริยะ ขันติ สัจจะ โดยมีปัญญาบารมีคุม ทำทุกอย่างเพื่อพระนิพพานจุดเดียว) อนึ่ง จำไว้ กฎของกรรมอย่าฝืน ถ้าหากฝืนก็จักทำให้เกิดความต่อต้านอย่างรุนแรง ทั้งๆ ที่ฝืนไม่ได้ แต่ถ้าหากไม่ฝืน ปล่อยวางไปตามกฎของกรรม เราก็เหมือนพายเรือตามน้ำไม่เหนื่อย ข้อนี้อุปมาฉันใด กฎของกรรมที่พูดก็ฉันนั้น ให้ดูปฏิปทาของท่านพระ.....เป็นตัวอย่าง ท่านเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา ท่านไม่เคยติใครว่าเลวด้วยเห็นเป็นธรรมดาไปหมด คนไม่ดีท่านก็เห็นเป็นธรรมดา ธรรมดาที่บุคคลเหล่านี้ถูกกิเลสบังคับ ทำให้เขาต้องคิดเลว ทำเลว เมื่อพิจารณาอยู่อย่างนี้ ความที่จักโกรธคนที่เขาทำไม่ดี ท่านกลับสงสารเขาหนักขึ้นว่า เขาเกิดขึ้นมาเป็นคนแล้ว แทนที่จักรักษาความเป็นคนเอาไว้ให้ได้ กลับต้องย้อนไปตั้งต้นใหม่ในอบายภูมิ ให้ลองพิจารณาอยู่อย่างนี้ ความโกรธเนื่องจากคนเลวนั้นก็จักค่อย ๆ สงบขึ้น

    ๘. เรื่องนินทากับสรรเสริญ เป็นโลกธรรม ๘ ไม่มีใครหนีพ้นได้ พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระอรหันต์ทุกองค์ก็ไม่ได้รับการยกเว้น แล้วเจ้าจักเดือดร้อนไปเพราะเรื่องเหล่านี้ไปเพื่อประโยชน์อันใด ให้เอาความบริสุทธิ์ใจเป็นที่ตั้ง อย่าหวั่นไหวกับคำกล่าวหาของบุคคลผู้ไม่มีศีล แล้วหลีกเลี่ยงด้วยประการทั้งปวง กรรมเหล่าใดที่เขาก่อก็จักตกหนักอยู่แต่เขาเพียงผู้เดียว บุคคลผู้ไร้ศีล ไร้ธรรมอยู่วัดนี้ได้ยาก (วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี) เมื่อวาระกรรมจักเข้ามาตอบสนอง เขาก็จักมีความเดือดร้อนไปด้วยทั้งทางกาย วาจา และทางใจ อย่างสาหัส อย่าไปปะทะกับคนพาล แล้วต่อไปเบื้องหน้า เจ้าจักเห็นผลของบุคคลผู้ทำกรรมชั่ว ถูกสนองด้วยกรรมของตนเอง ให้ระมัดระวังตัวเอาไว้ด้วย

    ๙. ขันธ์ ๕ ไม่สามารถอยู่เป็นที่พึ่งของใครได้ตลอดกาลตลอดสมัย ให้ใช้ปัญญาพิจารณาขันธ์ ๕ ของตนเองเป็นสำคัญ ชีวิตยังคงอยู่ก็อยู่ช่วยเกื้อกูล ช่วยเหลือกันไปในบวรพุทธศาสนานี้ แต่ที่สุดขันธ์ ๕ ต่างคนก็ต่างกาย ก็ขอให้ทุกคนตั้งความหวังไว้ในใจ ยอมรับความตายของขันธ์ ๕ อย่างไม่ดิ้นรน และตั้งใจตายครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ตายเมื่อไหร่ขอไปพระนิพพานจุดเดียวเท่านั้น รักษาอารมณ์จิตให้ตั้งมั่น ชำระจิตอย่าให้ติดอยู่กับสิ่งใดๆ ในโลกนี้ ประคองใจให้มั่นคง ไม่ติดทั้งทุกข์ ไม่ติดทั้งสุข จิตเป็นอุเบกขารมณ์เป็นปกติ แต่มิใช่เฉยจนเคร่งขรึม หากแต่เป็นอารมณ์เฉยแบบสบายๆ ไม่เดือดร้อนไปกับโลก ไม่ว่าด้วยประการใดๆ ทั้งปวง โลกภายนอกก็ไม่เดือดร้อน โลกภายในคือขันธ์ ๕ ของตนเองจักเป็นอย่างไรก็ไม่เดือดร้อน ป่วยก็รักษา หิวก็กิน เหนื่อยก็พัก ง่วงก็นอน ร้อนหนาวก็นุ่งห่มตามกาลตามสมัย สบายๆ ทำตามหน้าที่ ไม่ติดอยู่กับเครื่องอยู่ด้วยประการทั้งปวง สักแต่ว่าอยู่ในจิตใจของผู้รู้อยู่ตลอดเวลา รักษาอารมณ์จิตได้อย่างนี้ ก็จักไปพระนิพพานได้

    ๑๐. คุณลุงปรุง ตุงคเสรณีย์ ศพของท่านแสดงอสุภกรรมฐาน ความโดยย่อมีว่า ท่านเป็นบุคคลแต่ผู้เดียวที่เฝ้าดูแลตึกกลางน้ำ ที่หลวงพ่อฤๅษีท่านพักอยู่ตอนสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อหลวงพ่อฤๅษีจากไป ท่านก็ยังดูแลอยู่แต่ผู้เดียวต่อไป ผมจำได้ว่าหลวงพ่อเคยพูดว่า ลุงปรุงเป็นพระอนาคามีมานานแล้ว แต่ยังไม่ยอมไป คือ ไม่ยอมทำจิตให้จบกิจในพระพุทธศาสนา ทั้งๆ ที่รู้หนทางปฏิบัติอย่างดี ในเมื่อหลวงพ่อท่านจากไปแล้ว ท่านจึงปฏิบัติธรรมให้จบกิจในพระพุทธศาสนา ในเมื่อท่านเป็นฆราวาส พอจิตจบกิจ โดยตัดสังโยชน์ ๑๐ ได้หมดแล้ว ขันธ์ ๕ ก็จะต้องตายภายในวันนั้นทุกคน แต่ท่านต้องการจะโปรดพระวัดท่าซุง โดยเอาศพของท่านแสดงอสุภกรรมฐาน โดยปล่อยให้ศพเน่าจนหนอนขึ้นเต็มไปหมด แล้วจึงจะให้พระประทีปไปพบ เป็นการแสดงธรรมครั้งสุดท้ายที่สูงสุด เรื่อง กายคตานุสสติควบอสุภกรรมฐานในทางธรรม ส่วนทางโลกก็เรื่อง คนเราเกิดมาก็มาตัวเปล่า เวลาตายไปก็ไปตัวเปล่า ในขณะนั้นผมมิได้อยู่วัด และไม่รู้เรื่องการตายของท่าน เมื่อไปวัดจึงทราบ โดยเพื่อนผู้ร่วมปฏิบัติธรรมกับผมมาหลายปี ท่านเล่าให้ผมฟังโดยละเอียด ดังนี้

    สมเด็จองค์ปฐม ทรงเมตตาตรัสสอนว่า “ให้เห็นธรรมดาของการตายของร่างกาย สัตว์โลกเกิดมาเท่าไหร่ตายหมดเท่านั้น ไม่มีใครเหลือ ดูการตายของโยมปรุงแล้วจงอย่าประมาท เพราะเจ้าเองก็มีสภาพเหมือนอยู่ตัวคนเดียวเหมือนกัน การตายสามารถเกิดขึ้นกับร่างกายได้เสมอ ให้พยายามฝึกฝนจิตให้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์การตายในทุกรูปแบบ อย่าคิดว่าอายุยังไม่มากจักยังไม่ตาย ที่แท้แล้วความจริงชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง นิมิตของความตายย่อมไม่มี แต่ความตายสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกวัยกับทุกชีวิต ปฐมวัย มัชฌิมวัย ปัจฉิมวัย ให้พิจารณายอมรับอยู่เสมอ ศึกษาความตายและให้เตรียมพร้อมเข้าไว้ ชีวิตที่อยู่ก็อยู่อย่างไม่ประมาท อย่าสนใจใครให้มากกว่ากายและจิตใจของตนเอง คำว่าสนใจกาย คือศึกษากายให้ยอมรับสภาพร่างกายตามกฎของธรรม ยอมรับความเป็นจริง เกิด แก่ เจ็บ ตาย พลัดพรากจากของรักของชอบ ไม่มีความปรารถนาไม่สมหวัง ความกระทบกระทั่งก็เกิดขึ้นกับร่างกายเป็นปกติธรรม แล้วศึกษาจิตใจของตนเองว่ามีกำลังใจพอ หรือบารมี ๑๐ เต็มทั้ง ๓๐ ทัศ หรือไม่ เต็มที่จักปฏิบัติในการตัดสังโยชน์ ๑๐ ประการ ละให้ได้ซึ่งขันธ์ ๕ ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา หรือไม่ ดูเราเท่านั้นพอ แล้วการปฏิบัติจักง่ายเข้า

    ๑๑. เรื่องรู้ล่วงหน้าว่าจะตาย ๒ วัน เพื่อนผมท่านเล่าให้ฟังว่า ลุงปรุงท่านรู้ล่วงหน้า ๒ วันก่อนร่างกายมันจะตาย ร่างกายมันแสดงธรรมของมันให้เห็น โดยมีอาการอ่อนเพลียลงไปๆ ตามลำดับ แต่จิตของท่านเป็นปกติ โปร่ง - เบา - สบาย เพราะขณะนั้นจิตมิได้คิดหรือเกาะติดในร่างกายว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา จิตรู้อยู่เฉยๆ และเป็นสุขอย่างบรรยายไม่ถูก ปล่อยให้ร่างกายแสดงทุกขเวทนาไปตามเรื่องของมัน จิตไม่ดิ้นรน ไม่เดือดร้อนไปกับร่างกาย จนที่สุดร่างกายแสดงอาการว่าจะตาย เพราะหายใจไม่ออก แน่นมาก จิตก็พร้อมทิ้งจากร่างกาย จิตโปร่ง - เบา - สบาย จิตใสมาก ก็เห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมาพร้อมกับหลวงพ่อฤๅษี ทรงตรัสว่า “ยังห่วงอะไรอีกหรือ” ก็ตอบว่า “ไม่ห่วงแล้วขอรับ” ทรงตรัสว่า “งั้นไปกัน" จิตของลุงปรุงซึ่งเป็นพระวิสุทธิเทพ ก็ไปกราบพระพุทธเจ้าปางพระวิสุทธิเทพอยู่ในวิมานของลุงปรุง

    ๑๒. พระสาวกละได้แต่กิเลส อุปนิสัยละไม่ได้ สาเหตุที่ทรงตรัสเรื่องนี้มีความสำคัญโดยย่อดังนี้ ท่านเป็นคนเจ้าระเบียบ รักสวยรักงาม หมายความว่า เสื้อผ้าที่ท่านใส่จะเป็นเสื้อผ้าชั้นหนึ่ง - เนื้อผ้าดี - ยี่ห้อดี - ราคาแพง และท่านซักเสื้อผ้าของท่านเองทุกชิ้น เก็บ - พับอย่างมีระเบียบ ที่รู้ก็เพราะว่าได้เคยอยู่พักร่วมห้องเดียวกับท่าน นอนเตียงเดียวกับท่านบ่อย ๆ ในคราวที่ติดตามหลวงพ่อฤๅษีไปต่างประเทศ และต่างจังหวัด ผมได้สนทนาธรรมเป็นส่วนตัวกับท่านเสมอ ธรรมส่วนใดที่ผมรู้หยาบ ๆ ท่านก็เมตตาสอนเพิ่มเติมให้กับผมได้รู้ธรรมนั้นละเอียดขึ้น และผมก็บังเอิญไปรู้เรื่องส่วนตัวของท่านในอดีตชาติ โดยหลวงพ่อฤๅษีท่านกรุณาเล่าให้ผมฟังเป็นส่วนตัว หรือผมรู้ด้วยตนเองแต่ยังไม่แน่ใจ ก็จะถามหลวงพ่อท่านก่อนเสมอ ในเมื่อมีโอกาสดีที่ได้อยู่กับท่าน ผมก็จะถามท่านตรงๆ ท่านตกใจสงสัยว่าผมรู้เรื่องของท่านได้อย่างไร เมื่อท่านทราบว่าหลวงพ่อท่านกรุณาบอกผมเป็นส่วนตัว ท่านก็สบายใจและเปิดเผยความลับส่วนตัวท่าน เล่าให้ผมฟังเกือบทั้งหมด แต่เน้นว่าห้ามไปเล่าให้ผู้อื่นฟังนะ ผมแบ่งรับแบ่งสู้ คือ รับปากเหมือนกันแต่ไม่ ๑๐๐% เต็ม ในปัจจุบันลุงปรุงท่านไปพระนิพพานแล้ว ผมก็ขออนุญาตเปิดเผยเรื่องจริงๆ ของท่าน ท่านก็อนุญาต ท่านไม่ค่อยให้ความสนิทสนมกับใคร - เจ้าระเบียบ ผู้ใดไม่ศรัทธาในท่าน ท่านก็จะไม่สอนผู้นั้น ผู้โชคดีบางคนได้รับการสอนธรรมะจากท่าน จัดว่าเป็นคนโชคดี เพราะท่านสอนละเอียดมาก แต่กฎของกรรมนั้นเที่ยงเสมอ และให้ผลไม่ผิดตัวด้วย มีบางคนอิจฉาท่าน ตัวนินทาจึงเกิดขึ้น ผมรู้ดี เพราะมีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ผมก็มิได้เอามาเปิดเผยเป็นสาธารณะ ผมขอเขียนไว้สั้นๆ เพียงเท่านี้

    สมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสสอนเรื่องนี้ให้กับเพื่อนผู้ร่วมปฏิบัติธรรมกับผมว่า เจ้าจงอย่าเอานิสัยเดิมของแต่ละคนมาตัดสินใจว่า เมื่อเขาทิ้งขันธ์ ๕ แล้ว จักไปนิพพานได้หรือไม่ได้ เพราะถ้าหากยึดมั่นถือมั่นในนิสัยเดิมแล้ว อุปาทานจักกินใจว่า บุคคลผู้นี้จักเข้าสู่พระนิพพานไม่ได้ จงรู้ว่าตัวมานะในพระอรหันต์ไม่มี พระอริยเจ้ามีจิตเยือกเย็น ยิ่งระดับสูงขึ้นไป ยิ่งเย็นมากขึ้นตามลำดับ พวกที่ได้สมาบัติ ๘ อันเป็นฌานโลกีย์ เย็นแต่เฉพาะเวลาทรงฌาน แต่ถ้าหากนิวรณ์เข้ามากระทบเมื่อไหร่ หรือกิเลสทั้ง ๓ ประการเข้ามากระทบเมื่อไหร่ โมหะ-โทสะ-ราคะเกิดเมื่อไหร่ ฌานก็พังเมื่อนั้น ให้ซ้อมการชำระจิตเอาไว้ แม้ได้ชั่วขณะจิตเดียวก็ยังดี แต่อย่าเพิ่งคิดว่าตนเองได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วล่ะประเดี๋ยวจักซวยเอา

    ๑๓. ให้เรียนรู้อาการหวั่นไหวของจิตเมื่อถูกกระทบเอาไว้ให้ดี เนื่องจากจุดนี้เป็นกำลังของจิต ทำให้จิตมีความเข้มแข็ง ไม่มีความหวั่นไหวต่ออุปสรรคที่เข้ามาขัดขวางการเจริญพระกรรมฐานทั้งปวง ให้พิจารณาว่าการแก่ - การเจ็บ - การตายเป็นเรื่องธรรมดาที่หนีไม่พ้น จะกลัวหรือไม่กลัว ก็ต้องแก่ - ต้องเจ็บ - ต้องตายอย่างแน่นอน หมั่นทำความดีเพื่อมรรคผลนิพพานดีกว่า เวลานี้ร่างกายไม่ดีให้พักผ่อนให้มาก ทำอะไรอย่าให้เป็นการเบียดเบียนร่างกายจนเกินไป กายเป็นสุข จิตก็เป็นสุขด้วย ทุกอย่างต้องอาศัยหลักมัชฌิมาปฏิปทาทำอะไรให้คิดให้รอบคอบเสียก่อนจึงค่อยทำ อย่าเล็งเห็นผลบวกอย่างเดียว ให้พิจารณาถึงผลลบด้วย

    คนส่วนใหญ่จักทำ จักคิดอะไรมักจักมองแต่ในแง่ที่ให้ผลดีกับตนเอง ไม่เคยคิดในแง่ที่ให้ผลเสีย ความรู้จักพิจารณาทางดี - ทางเสียให้รอบคอบ ก็จักเป็นเหตุผลดีต่อการปฏิบัติทั้งทางโลกและทางธรรม อนึ่ง การรู้จักประมาณตนของตนเองเป็นของประเสริฐ ทำอะไรให้รู้จักเพียงพอ หรือหาความพอดีให้กับกายกับจิตของตนเอง อย่าได้หวั่นไหวไปกับโลกที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปทุกวัน เหตุใดที่ยังไม่เกิด อย่าเพิ่งรีบไปเดือดร้อนกับเหตุการณ์ข้างหน้า ดีไม่ดีชีวิตร่างกายอาจจักตายเสียก่อนที่จักถึงวันนั้น หมั่นรักษาจิตให้คงอยู่ในความดีเพื่อพระนิพพานดีกว่า ดีกว่าที่จักกังวลไปกับโลกให้จิตเป็นทุกข์ จักมีประโยชน์อันใดนอกจากจักทำให้จิตเสื่อมและเศร้าหมอง ด้วยเหตุแห่งตัณหานั้น การไม่รู้เท่าทันกิเลสเป็นเรื่องที่นักปฏิบัติกรรมฐานจักต้องระมัดระวังให้มากที่สุด ห่วงกาย - ห่วงอนาคต ห่วงแต่เพียงพอดี หากห่วงให้มากเกินไป วิตกจริตเกิดขึ้นกับจิต การเจริญพระกรรมฐานก็จักไม่ได้ผล ถ้าหากเกิดตายตรงนั้นแล้วจักทำอย่างไร จงใช้ปัญญาพิจารณาด้วย จักช่วยให้บรรเทาความโง่ลงได้บ้าง

    ๑๔. อารมณ์จิตที่เป็นสุขที่สุด คือ อารมณ์รักพระนิพพาน ดังนั้นต้องหมั่นทำจิตให้เป็นสุขเข้าไว้เสมอ โดยไม่ลืมอารมณ์รักพระนิพพาน ร่างกายเมื่อเกิดขึ้นก็อยู่กับความเสื่อมเป็นธรรมดา การนอนหลับก็คือการเสื่อมของร่างกาย เป็นการระงับทุกขเวทนา เหมือนกับการหิวอาหาร กินอาหารเพื่อระงับทุกขเวทนา พึงปฏิบัติอยู่ในสายมัชฌิมาปฏิปทา จึงจักสร้างความสุขกาย - สุขใจให้เกิดขึ้นได้ด้วยปัญญา

    ๑๕. เรื่องสัญญาเป็นอนิจจา หรือความจำก็ไม่เที่ยงเป็นธรรมดา สภาวะที่แท้จริงของสัญญาหรือความจำ ถ้าไม่ระลึกไว้ ไม่ตั้งใจไว้ ไม่นานก็ลืมเป็นธรรมดา การฟังเทศน์ - ฟังธรรม แม้การสนทนาธรรมกัน แล้วลืมจำไม่ได้ มีเหตุเพราะเหตุนี้ เมื่อจำไม่ได้ก็จงอย่าไปทุกข์กับสัญญานั้น ให้พิจารณาลงไปว่า สัญญานั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา การปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน ให้พิจารณาดูว่าเป็นสัญญาหรือเป็นปัญญา ถ้าเป็นสัญญาไม่ช้าก็ลืม ถ้าเป็นปัญญาจักรู้เท่าทัน ไม่มีวันลืมเลือนไปได้เลย เราต้องมารู้จักถามใจตนเองสักนิดหนึ่ง แยกให้ออกมาให้ได้ ฟังคำสอนแล้วจำนี่เป็นสัญญา แต่ถ้าหากจำแล้วนำมาคิดพิจารณา นี่เริ่มเป็นปัญญา แล้วนำมาปฏิบัติให้เกิดพร้อมทั้งกาย - วาจา - ใจ เรียกว่าถึงพร้อมอย่างสมบูรณ์ในปัญญานั้นๆ เมื่อทำทุกวันจนจิตมันชิน ความลืมก็ไม่มี

    ๑๖. จิตมีสภาพไหลลงเบื้องต่ำอยู่เสมอ การฝึกจิตจักต้องอาศัยสติ-สัมปชัญญะเป็นตัวสำคัญ แล้วให้สังเกตอีกจุดหนึ่งที่ยังบกพร่องกันอยู่ คือ เมื่อร่างกายเพลียมากๆ ก็จักหาเรื่องหลับเลย ไม่มีสติ-สัมปชัญญะที่จักพิจารณา หรือกำหนดจิตขึ้นพระนิพพาน จึงพึงแก้ไข อย่าปล่อยให้ร่างกายเพลียมากจนเกินไป จักเป็นอัตตากิลมถานุโยคได้ การสนทนาธรรมก็ให้ใช้เวลาพอสมควร อย่าให้จนเฝือ จนไม่มีเวลาพักผ่อนเป็นของตนเอง กรณีนี้ให้ใช้ปัญญาพิจารณาให้รอบคอบ จักได้ไม่เป็นที่เบียดเบียนร่างกายของตนเองได้ อายุยิ่งมากขึ้น ร่างกายก็ทรุดโทรมมากขึ้น การต้องการเวลาพักผ่อนของร่างกายก็ย่อมมากขึ้นเป็นของธรรมดา ถ้าร่างกายถูกเบียดเบียนแล้ว การปฏิบัติทางจิตก็เจริญไปได้ยาก แม้แต่การบริหารร่างกาย ก็ทำแต่พอเป็นการยังอัตภาพให้เป็นไปเท่านั้น เพราะจักทำให้ไปหลงบำรุงร่างกายมากกว่าบำรุงจิตใจ เอาแต่พอเหมาะพอควร

    ๑๗. การแห่พระเจ้าพรหมมหาราชเป็นของดี แต่จงให้ดูว่าคนแห่ในสมัยพระเจ้าพรหมมหาราชยังมีชีวิตอยู่นั้น ปัจจุบันนี้ก็ตายไปหมดแล้ว และคนแห่พระเจ้าพรหมฯ สมัยที่ท่านฤๅษีจัดขึ้นใหม่ๆ ก็ได้ตายไปบ้างแล้วเช่นกัน ร่างกายของคนรุ่นหลังๆ ก็เช่นกัน ในที่สุดแล้วไม่มีใครเหลือ นี่เป็นวิปัสสนาญาณ แต่การแห่พระเจ้าพรหมฯ เป็นของดี ถ้าไม่ดีท่านฤๅษีก็ไม่ทำเป็นแบบอย่างเอาไว้ ท่านทำเพื่อให้ทุกคนเกิดความรักชาติ - ศาสนา - พระมหากษัตริย์ เป็นการหลอมความสามัคคีให้กับคนในชาติ เพื่อป้องกันคนขายชาติ จงดูให้เป็น อย่าติดงานนี้ งานใดๆ ที่ท่านฤๅษีริเริ่มขึ้นมา งานนั้นพึงได้รับการสานต่อ แต่การสานต่อก็พึงทำตามหน้าที่ จักได้ไม่เป็นทุกข์ จักได้ดียิ่งขึ้น ให้ดูร่างกายเรานี้อีกไม่ช้า - ไม่นานก็จักเป็นซากศพถมทับปฐพี พิธีงานต่างๆ เป็นของดี ทำคนให้มีความสามัคคีและกลมเกลียวกันในชาติ ก็จงอย่าไปแสดงความคัดค้าน ในบุคคลที่ยังติดอยู่ ก็จงให้การสนับสนุน อย่างน้อยๆ จิตของเขาก็สดใสรื่นเริง ดีกว่าคนที่ไปมั่วสุมอยู่ในโลกียวิสัย

    ๑๘. อย่าใช้อารมณ์ปรุงแต่งมาเป็นเครื่องตัดสินใจ เพราะถ้าหากปรุงแต่งธรรมแล้ว จัดได้ว่าเป็นกิเลส - ตัณหา - อุปาทาน - อกุศลกรรม เกิดขึ้นตามมาเป็นลำดับ ต้องใจเย็นๆ ให้เห็นธรรมเป็นธรรม อาทิ ร่างกายของคนกลางคนก็เป็นเช่นนี้แหละ จักให้มีความแข็งแรงเหมือนกับสมัยที่เห็นหนุ่ม - เป็นสาวย่อมเป็นไปไม่ได้ ความเสื่อมลงไปย่อมเป็นสิ่งที่จักต้องประสบเป็นปกติธรรมของร่างกาย เวลานี้ก็จักได้วัดกำลังใจกันว่าจักวางห่วงหรือคลายกังวลกับร่างกายได้แค่ไหน พระอรหันต์เท่านั้นที่ท่านไม่มีอารมณ์กังวลกับร่างกาย เนื่องจากจิตใจยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ร่างกายมันป่วยก็ป่วยไป เป็นกฎของธรรมดา แต่จิตใจท่านหาได้ป่วยตามไม่ ให้คิดถึงข้อนี้ให้มากๆ ถ้าหากไม่ลืมสติ ก็พึงเอาเวทนาที่เกิดขึ้นกับร่างกายนี้มาพิจารณาเป็นกายานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน จุดนี้จักได้เห็นของจริง เนื่องจากป่วยจริง ก็จักทำให้กรรมฐานกองนี้มีผลดีมาก เพราะข้าศึกได้ประจันหน้าอยู่ หากทำได้ก็จักรู้แน่แก่ใจว่า การวางร่างกายโดยไม่กังวลใจนั้นเป็นอย่างไร การวางร่างกายนี้มิได้หมายถึงไม่สนใจในร่างกาย การรักษาดูแลยังคงดูแลตามหน้าที่ หากแต่จิตไม่กังวลไปกับร่างกาย


    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

    ............................

    ที่มาของข้อมูล

    ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้นเล่ม ๑๒ เดือนกรกฎาคม พศ ๒๕๔๒ ตอนสอง

    และตอนสาม

    หนังสือ ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น ทุกเล่ม

    หาข้อมูลศึกษาได้จาก.......

    http://www.tangnipparn.com/page_book_all.html

    ถ้าเป็นเสียงตอนนี้มีเล่ม 7/ 8/ 10 /11/14/15 หาได้จาก youtube

    ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น

    ต้องขอโมทนาทุกท่านที่ช่วยเผยแพร่ผลงานของพระพุทธเจ้าหรือ

    หลวงพ่อหรือพระอริยเจ้าทั้งหลายในทุกรูปแบบทั้งทางหนังสือและอินเตอร์เน็ต

    ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุกๆท่านครับ

    …………………………………
     
  2. madeaw23

    madeaw23 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2017
    โพสต์:
    209
    ค่าพลัง:
    +188
    กราบสาธุครับ
     
  3. คนหลงเงา2

    คนหลงเงา2 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2016
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +57
    การมรณภาพของท่านเจ้ากรมเสริม...จิตของท่านตั้งมั่นอยู่ในพระนิพพานนานแล้ว

    พระพุทธเจ้าองค์ปฐม

    -----------------------------------------

    ๑๙. การมรณภาพของท่านเจ้ากรมเสริม เป็นไปตามกฎของธรรมดา ท่านเป็นผู้ปฏิบัติดีแล้วย่อมไปในทิศทางที่ปรารถนา จิตของท่านตั้งมั่นอยู่ในพระนิพพานนานแล้ว เป็นที่เป็นสุขอย่างยิ่งที่พ้นไปจากทัณฑ์ทรมานของขันธ์ ๕ ดูแล้วพิจารณาเอาไว้ให้ดี ขันธ์ ๕ เป็นโทษอย่างยิ่ง ถ้ายังไม่เห็นโทษของขันธ์ ๕ ย่อมจักทิ้งขันธ์ ๕ ไปได้ยาก เห็นโทษของขันธ์ ๕ ก็จักเห็นคุณของการออกจากขันธ์ ๕ อย่างแท้จริง สังขารุเบกขาญาณของท่านเจ้ากรมเสริมมีมานานแล้ว จิตมั่นคงมากให้ดูตัวอย่างของท่านเอาไว้ให้ดี ให้วางจิตยอมรับกฎของธรรมดาทุกสิ่งทุกอย่าง แต่นี้ไปยังจักมีผู้อาวุโสอันเป็นศิษย์รุ่นเก่า อันเป็นกำลังของพระพุทธศาสนา กำลังของวัดท่าซุงจักทิ้งขันธ์ ๕ กันอีก แต่อย่าตกใจ วัดยังอยู่ได้คนรุ่นใหม่ก็จักหนุนเข้ามาเป็นกำลังของพุทธศาสนา กำลังของวัดท่าซุงต่อไป

    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

    ข้อมูลจาก

    ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๑๑ เดือนตุลาคม ๒๕๔๑

    -----------------------
     
  4. คนหลงเงา2

    คนหลงเงา2 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2016
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +57
    ท่านเจ้ากรมเสริมฯ บนพระนิพพาน

    -----------------------------

    ๑๒. เพื่อนผู้ร่วมปฏิบัติธรรมกับผม ท่านมิได้ไปงานเผาศพท่านเจ้ากรมเสริมฯ เล่าให้ผมฟังว่า ท่านเอาจิตขึ้นไปขอขมาท่านเจ้ากรมเสริมฯ บนพระนิพพาน ท่านสอนว่า อย่าติดพิธี ฉันสบายแล้ว เธอยังลำบากอยู่ ให้ทำใจให้สบาย พยายามละทุกสิ่งทุกอย่างจะได้สบายอย่างฉัน แค่นี้ฉันก็พอใจแล้ว ดีกว่าเธอไปร่วมเผารูปที่ไม่ใช่ของฉัน พิจารณารูปให้มาก พิจารณานามให้มาก ละขันธ์ ๕ ได้ก็ถึงซึ่งพระนิพพานได้ เรื่องพ้นทุกข์ไม่มีใครช่วยใครได้ มีแต่ตัวเองต้องทำด้วยตัวเองเท่านั้น

    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

    ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๑๑ เดือนธันวาคม ๒๕๔๑
    ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุก ๆ ท่านครับ
     
  5. คนหลงเงา2

    คนหลงเงา2 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2016
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +57
    ต้นโพธิ์ใหญ่ที่อยู่ข้างพระจุฬามณีล้มขณะน้ำท่วมวัด ท่านลุงปรุง ตุงคะมณี ซึ่งเป็นพระอรหันต์มาบอกว่า “เป็นกรรมที่ไปล่มเรือฆ่าเจ้าสัว”

    ----------------------------------------

    สมเด็จองค์ปฐม ทรงตรัสสอนไว้ มีความสำคัญดังนี้

    ๑. น้ำท่วมวัดเป็นการตัดเคราะห์ใหญ่ ทรงตรัสไว้มีความสำคัญว่า น้ำท่วมในปีนี้จักรุนแรงกว่าปี ๒๕๓๘ เป็นการตัดเคราะห์ใหญ่ คือสงครามใหญ่อันจักเกิดตามมาในไม่ช้านี้ ทำใจให้เรียบร้อย อะไรมันจักเกิดก็ต้องเกิด อย่าห่วง-อย่ากังวล ทำอะไรให้รู้จักประหยัดและอดออม ต่อนี้ไปย่อมตกอยู่ในสภาวะลำบากกันทั่วหน้า ให้ทำใจยอมรับกฎของกรรมเข้าไว้ นี่เป็นกรรมของคนทั้งแผ่นดิน

    ๒. ต้นโพธิ์ใหญ่ที่อยู่ข้างพระจุฬามณีล้มขณะน้ำท่วมวัด ท่านลุงปรุง ตุงคะมณี ซึ่งเป็นพระอรหันต์มาบอกว่า “เป็นกรรมที่ไปล่มเรือฆ่าเจ้าสัว” มีความโดยย่อว่าในสมัย ร. ท่านออกอุบายให้คนของท่านไปล่มเรือที่เจ้าสัวเดินทางมาจากเมืองจีน เพื่อทวงหนี้ท่าน เมื่อเจ้าสัวตาย หนี้ก็มิต้องชดใช้ เจ้าสัวก็คือลุงปรุงนั่นเอง

    ท่านพระสุรจิต ตั้งศาลให้แทน เพราะต้นโพธิ์นั้นมีรุกขเทวดาอยู่เป็นจำนวนมาก พระท่านให้เห็นกฎของกรรมว่าเที่ยงเสมอ และให้ผลไม่ผิดตัวด้วย การเกิดมามีร่างกายหรือขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ จงอย่าเผลอใจคิดว่าการมีชีวิตอยู่จักมีความสุข ให้รู้-ให้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอริยสัจ

    ๓. จงอย่าประมาทในชีวิต ทำจิตให้ยอมรับนับถือกฎของธรรมดาเข้าไว้อยู่เสมอ การปฏิบัติทุกอย่างให้ลงตรงขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ลืมกฎธรรมดาเสียอย่างเดียวก็สามารถจบกิจได้ทุกเมื่อ

    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

    ข้อมูลจาก

    ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๑๕ เดือนตุลาคม ๒๕๔๕

    ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุก ๆ ท่านครับ
     
  6. คนหลงเงา2

    คนหลงเงา2 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2016
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +57
    เวทนาไม่มีวันพัก เพราะความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง

    สมเด็จองค์ปฐม ทรงมีพระเมตตาตรัสสอนเรื่องนี้ไว้ มีความสำคัญดังนี้

    ๑. ทรงทบทวนคำสอนที่เคยตรัสสอนไว้ดังนี้

    ก) อย่าสนใจในจริยาของผู้อื่น ให้ตรวจสอบอารมณ์จิตของตนเป็นสำคัญ ใครจักว่าเราอย่างไรก็ช่าง หากอารมณ์จิตของเราไม่เป็นไปตามคำของเขาว่า ก็ไม่รู้จักไปเดือดร้อนด้วยเหตุประการใด ทุกอย่างเป็นไปตามกฎของกรรม

    ข) อย่าไปคิดห้ามคำนินทาและสรรเสริญ เพราะเป็นสภาวะปกติของชาวโลก ใช้ปัญญาพิจารณาให้เข้าถึงอริยสัจ คือ กฎของกรรม จิตจึงจักวางอารมณ์พอใจและไม่พอใจลงได้

    ค) อย่าไปคิดที่จักรบกับใคร ให้รบกับอารมณ์จิตของตนเองเท่านั้นเป็นพอ

    ง) สังโยชน์คือกิเลสที่ร้อยรัด มิใช่ร้อยรัดผู้อื่น จริง ๆ แล้วจิตของเราเองนั่นแหละ เกาะสังโยชน์ร้อยรัดตนเองเข้าไว้อย่างแน่นหนา

    จ) อย่าไปคิดตำหนิใคร ให้ตำหนิใจของตนเองก่อน และอย่าไปคิดแก้ไขกิเลสของใคร ให้คิดแก้ไขกิเลสของตนเองก่อน

    ๒. การกระทำของพวกเจ้าในขณะนี้ คือ ความประมาท เพราะพวกเจ้าก็รู้อยู่ว่าการป่วยไข้ไม่สบาย เป็นกฎของกรรมปาณาติบาต และพวกเจ้าก็ยอมรับ แต่พวกเจ้าวางอารมณ์ไม่ ถึงสังขารุเบกขาญาณ คือ ไม่ใช้จิตพิจารณาให้ถึงตัวธรรมดาของขันธ์ ๕ แต่ละคนยังอดบ่นอยู่ในใจถึงอาการทุกข์ที่เบียดเบียนอยู่นี้ แต่ไม่รู้จักวางให้มันสนิทใจ สักระยะหนึ่งก็ยังดี จิตเกาะเวทนา คิดว่ามันทุกข์ - มันปวด - มันป่วยไข้ - ตัวร้อน ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเวทนานี้มันไม่เที่ยง

    ๓. เวทนา มันมีวันพักให้ มันไม่ใช่จักไม่สบายทุกวันใช่ไหม (ก็ตกหลุมพรางของพระองค์ ตอบว่าใช่) ทรงตรัสว่า เจ้าตอบไม่ถูก เวทนาไม่มีวันพัก ยิ่งบุคคลเกาะขันธ์ ๕ มากเท่าไหร่ยิ่งมีเวทนามากขึ้นเท่านั้น กล่าวคือ อาการป่วยไข้ไม่สบาย เป็นทุกขเวทนานั้นประการหนึ่ง แต่ทุกขเวทนาอันมาจาก ชิคัจฉาปรมาโรคา นั้นเป็นเรื่องที่คนทั่วไปไม่ได้นึกถึง แต่ในบุคคลผู้ปฏิบัติจักต้องนึกถึง

    ๔. เวทนามีวันพักไหม (ก็ตอบว่า ไม่มี) ทรงตรัสว่า ก็ยังตอบไม่ถูก เพราะในบุคคลที่เข้าถึงฌานสมาบัติ หรือผู้ที่เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า ท่านพักเวทนาได้ด้วย สมถะและวิปัสสนา ยิ่งในระดับที่เข้านิโรธสมาบัติได้ ท่านสามารถพักเวทนาของกายได้ ครั้งหนึ่งร่วม ๑๕ วันก็ยังมี

    ๕. ที่ตถาคตเจ้าทั้งหลายตรัสว่า เวทนานั้นไม่เที่ยง ก็พึงดูทุกขเวทนาและสุขเวทนา ไม่สุข-ไม่ทุกขเวทนา ดูให้ครบวงจร ตามดูตลอดเวลาอยู่อย่างนี้จึงจักรู้เท่าทันอารมณ์ของจิต สุขเวทนาดูง่าย เช่น ยามที่ได้รูป - รส - กลิ่น - เสียง - สัมผัสที่ถูกใจ สุขเวทนาเกิดขึ้นแล้ว ทุกขเวทนาก็ดูง่าย เช่น ยามที่ได้รูป - รส - กลิ่น - เสียง - สัมผัสไม่ถูกใจ ทุกขเวทนาก็เกิด

    ๖. คำว่ารูปนั้น หมายถึง รูปภายนอกด้วย รูปภายในคือร่างกายของเราเองด้วย อาการเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นคือรูปไม่ถูกใจ สังเกตให้ดี ๆ นั่นเป็นอารมณ์อึดอัดขัดข้อง คืออารมณ์ไม่ถูกใจ เมื่อธรรมดาของรูปมันเป็นเช่นนั้น อึดอัดชัดข้องไปก็ไม่มีประโยชน์ จิตเป็นทุกข์ นี่อารมณ์เยี่ยงนี้ไล่เบี้ยกันบ้างหรือเปล่า อย่าเอาแต่จมอยู่กับทุกขเวทนาของร่างกายนะ

    ๗. อนึ่ง พวกเจ้าจักไปพระนิพพาน งานที่ทำก็มุ่งให้คนอื่นเขาได้บุญ ทำกุศลเพื่อมรรคผลนิพพาน ขันธมาร มันก็ต้องเล่นงานหนักเป็นธรรมดา สร้างเจ้าหนี้ไว้เยอะ ลูกหนี้จักหนีหนี้แล้ว เจ้าหนี้เขาถูกเราติดหนี้เอาไว้มาก ทั้งดอกทั้งต้น ไม่รู้กี่อสงไขยกัปนับไม่ไหว ที่เกิดกันมาทุก ๆ ชาตินี่

    ๘. เอาเป็นว่า นับการเกิดไม่ไหว ก็แล้วกัน เมื่อเกิดแล้วก็ต้องตายทุกชาติ อย่างนี้ก็นับการตายไม่ไหวเหมือนกัน เพราะฉะนั้น พวกเจ้าตั้งใจไว้เถิด เลิกเกิด - เลิกตายกันเสียที ขอตายชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ก่อนตายลูกหนี้ที่ดี ก็จงใช้หนี้เจ้าหนี้เขาไปด้วยปัญญา ใครตามทันก็จ่ายเขาไป ไม่ช้าไม่นานร่างกายนี้มันก็พังแล้ว ตั้งใจไว้เลยเราจักไม่กลับมามีร่างกายเยี่ยงนี้อีก

    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

    ข้อมูลจาก

    ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้นเล่ม ๗ กันยายนตอน ๒

    ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุก ๆ ท่านครับ

    -----------------------
     
  7. คนหลงเงา2

    คนหลงเงา2 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2016
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +57
    พรหมวิหาร ๔ คือตัวใจเย็น

    สมเด็จองค์ปฐม ทรงพระเมตตาตรัสสอนเรื่องนี้ ไว้ดังนี้

    ๑. อย่าใจเย็น จนกระทั่งการปฏิบัติธรรมแชเชือนมากเกินไปก็แล้วกัน ความใจเย็นจักต้องมีความเหมาะสมในมัชฌิมาปฏิปทา คือ พอดี ๆ ใน สภาวะของธรรมปัจจุบัน เดินสายกลางเข้าไว้ อย่าตึงเกินไป อย่าหย่อนเกินควร จักไม่ได้ผล

    ๒. บุคคลผู้ปฏิบัติธรรมด้วยความฉลาด จักรู้จักหยิบยกทุกสิ่งทุกอย่างที่กระทบอายตนะสัมผัสเข้ามาเป็นธรรมในปัจจุบัน กระทบมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเห็นมรรคเห็นผลมากเท่านั้น เสมือนหนึ่งนักรบผู้ขยันรบ กระทบกับข้าศึกมากเท่าไหร่ ยิ่งแกล้วกล้าองอาจมากขึ้นเท่านั้น รู้ชั้นรู้เชิงในการสัประยุทธ์ชิงชัย การจักเอาชนะกิเลสก็เช่นกัน จักต้องแกล้วกล้า รู้ชั้นรู้เชิงในการต่อสู้ชิงชัย การรบกับข้าศึกผู้ฉลาด จักต้องศึกษาปูมหลัง ลีลาการรบของข้าศึก รบทุกครั้งก็ชนะทุกครั้ง

    ๓. การรบกับกิเลสก็เช่นกัน จักต้องศึกษาปูมหลัง คือ ข้อเท็จจริงลีลาของกิเลสเข้าไว้ คือ รู้อารมณ์นี้คืออารมณ์อะไร รู้สมุทัย ต้นเหตุที่ทำให้เกิดกิเลสนั้นๆ รู้ทุกข์ว่าจริงหรือไม่ รู้สุขว่าจริงหรือไม่ กล่าวคือ จักต้องรู้อริยสัจเข้าไว้ การรบทุกครั้งจึงจักชนะได้

    ๔. ทำจิตให้พร้อมรบเข้าไว้ ถ้าใจเย็นก็เท่ากับป้อแป้อ่อนแอกองทัพไม่มีแรง กิเลสจู่โจมมาก็สู้ไม่ได้ทุกครั้ง คำว่าใจเย็น คือสงบ เหมือนกองทัพที่มีกำลังตั้งมั่นอยู่ ข้าศึกจู่โจมมาเมื่อใด ก็พร้อมที่จักรบเมื่อนั้น

    ๕. อานาปานัสสติกรรมฐาน คือ ฐานกำลังใหญ่ของจิต เป็นความสงบตั้งมั่น พรหมวิหาร ๔ คือตัวใจเย็น อุเบกขาเป็น ตัวเพิ่มความสงบด้วยปัญญายิ่ง ๆ ขึ้นไป ตัวมุทิตาจิตอ่อนโยนไม่หยาบกระด้าง รัก สงสารในจิตของตนเอง ถ้าทรงได้อย่างนี้ ไฟคือกิเลสที่ไหนก็มาเผาจิตไม่ได้

    ๖. อย่าลืม ตั้งใจให้มั่นเข้าไว้ อย่าให้จิตคลาดจากการปฏิบัติธรรมตามแนวนี้ และจงอย่ากลัวการกระทบกระทั่ง เมื่อกระทบแล้วให้พิจารณาเข้าสู่อริยสัจเสมอ คอยระมัดระวังจิตที่จักปรุงแต่งธรรมที่กระทบนั้นไปในทางที่มีกิเลสเจือปนอยู่

    ๗. อารมณ์ของจิตตนจักต้องรู้ด้วยตนเอง ถ้าไม่โกหกตนเองเสียอย่างเดียว จักรู้อารมณ์จิตของตนได้อย่างไม่ยากเย็น ต้องรู้ให้จริงจึงจักแก้ไขอารมณ์ได้

    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

    ข้อมูลจาก

    ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้นเล่ม ๗ มกราคมตอน ๒

    ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุก ๆ ท่านครับ

    -------------------
     
  8. คนหลงเงา2

    คนหลงเงา2 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2016
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +57
    ให้ระวังโลกธรรม ๘

    สมเด็จองค์ปฐม ทรงพระเมตตา ตรัสสอนเรื่องนี้มุ่งสอนเฉพาะเพื่อนผมไว้ดังนี้

    ๑. ให้ระวังโลกธรรม ๘ เกี่ยวกับคำสรรเสริญและนินทาให้มาก ดูอาการณ์จิตเข้าไว้ในยามถูกกระทบ อย่าลืมว่าเป็นข้อสอบของจิต จักมีอารมณ์ชอบใจหรือไม่ชอบใจ ก็สอบตกทั้งสิ้น

    ๒. แต่การกระทำในวันนี้เป็นของดี ที่ดำริก่อนแล้วจึงทำ (ใช้ปัญญาใคร่ครวญก่อนแล้วจึงทำ) การไม่เขียนชื่อใส่หน้าซองแล้วบริจาค ก็เป็นการลดการประกาศตัวเองว่าเป็นนักบุญไปได้จุดหนึ่ง มิฉะนั้นเจ้าจะถูกนินทาและสรรเสริญมากกว่านี้

    ๓. บางรายที่เขารู้ประวัติของเจ้า ที่ต้องพึ่งคนอื่นเลี้ยงร่างกายเขาเห็นรายชื่อ ผู้บริจาคแล้ว จักนินทาว่าช่างไม่เจียมฐานะของตน แต่ในบางรายเขาก็นิยมชมชื่นว่า เป็นการให้ทานที่เสียสละด้วยศรัทธาแรงกล้า ซึ่งถ้อยคำของบุคคลเหล่านี้ก็ไม่ควรจักยึดมาเป็นสาระอันใด เหตุเพราะนินทาและสรรเสริญเป็นเรื่องธรรมดาของโลก เจ้าอย่าเหลิงไปกับคำสรรเสริญเยินยอ และจงอย่าทำความไม่พอใจให้เกิดเมื่อถูกกระทบกับคำนินทา

    ๔. ดูอารมณ์ของจิตไว้ให้ดี หนทางใดที่สามารถทำได้เพื่อให้จิตพ้นทุกข์ ก็จงมั่นใจเดินไปทางนั้น

    ๕. คนจักชั่วหรือดี ไม่ได้อยู่ที่ถ้อยคำของบุคคลอื่นมาสรรเสริญหรือนินทา ดีหรือชั่วได้ อยู่ที่กรรม หรือการกระทำทางด้านกาย วาจา ใจ ของตนเป็นสำคัญ

    ๖. อย่าสนใจกับถ้อยคำของบุคคลอื่น ให้สนใจกับอารมณ์ของตนเอง ดูให้อยู่ในศีลและธรรมตลอดเวลา อย่าให้คลาดไปจาก ศีล สมาธิ ปัญญา ที่เป็นบรรทัดฐานวัดกำลังใจของตนเอง

    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

    ข้อมูลจาก

    ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้นเล่ม ๗ มกราคมตอน ๓

    ขอความเจริญในพระธรรมจงมีแด่ทุก ๆ ท่าน

    -----------------
     
  9. คนหลงเงา2

    คนหลงเงา2 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2016
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +57
    ไม่มีใครเอาสมบัติของโลกไปได้

    เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๓ มิ.ย. ๒๕๓๖ ตอนกรรมฐานเที่ยง เมื่อจิตสงบดีแล้ว เพื่อนของผมได้นำเอาเรื่อง สมเด็จองค์ปฐม ทรงตรัสสอนเมื่อวานนี้มาพิจารณา เรื่องทรัพย์ภายนอกกับทรัพย์ภายใน หรือโลกียทรัพย์กับอริยทรัพย์ มีความว่า องค์แก้วจักรพรรดิก็ยังเป็นทรัพย์ภายนอก เป็นโลกียทรัพย์ ซึ่งยังไม่เที่ยงจึงต้องเคลื่อนไปอยู่เสมอ สมเด็จองค์ปฐม ท่านก็ทรงพระเมตตาตรัสสอนว่า

    ๑. องค์แก้วจักรพรรดิยังมีที่สวยกว่านี้ และองค์ใหญ่กว่านี้ เป็นของตถาคตในสมัยครองบัลลังก์เป็นพระเจ้าจักรพรรดิมา ทรงพระเมตตาให้ได้เห็นภาพองค์แก้วขนาดใหญ่มาก ขนาดลูกฟุตบอล สีของแก้วเป็นสีแดงใสคล้ายทับทิมเนื้อดี แต่มีลายสีแดงทึบสลับอยู่ภายใน ปานประหนึ่งสีแดงเลือดนก

    ๒. ทรงตรัสถามว่า เจ้าต้องการครอบครองมันหรือไม่ ก็ตอบความว่า ไม่ต้องการ ต้องการพระนิพพาน ทรงตรัสต่อไปว่า เวลานี้องค์แก้วจักรพรรดิอยู่ใต้ดินที่... เป็นแก้วจักรพรรดิคู่บารมีของตถาคตสมัยเสวยพระชาติเป็นพระเจ้าจักรพรรดิมานับชาติไม่ถ้วน แต่ในที่สุดขันธ์ ๕ ของพระเจ้าจักรพรรดิในแต่ละชาติ ก็ถูกมรณะภัยกลืนกินจนสิ้นไปทุกชาติ ไม่เหลือแม้แต่ชาติเดียว

    ๓. โลกนี้ไม่มีอะไรเหลือ ทรัพย์ทางโลกย่อมมีความเสื่อมอยู่เป็นปกติ ดูแต่ทองคำแม้เป็นสร้อย แหวน กำไลก็ดี สวมใส่ไปสักระยะหนึ่ง แล้วนำกลับมาชั่งตวงดูน้ำหนัก ก็จักทราบชัดว่ามันสึกกร่อน เสื่อมสลายไปอยู่ทุกขณะจิต ธาตุทุกตัวย่อมทำลายตัวมันเองเบ็ดเสร็จอยู่ในตัวอยู่แล้ว ทรัพย์ของโลกเป็นอย่างนี้เป็นปกติ

    ๔. วัดในพระพุทธศาสนาในทุก ๆ พุทธันดร สมัยพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ก็เช่นกัน แต่ละวัดรุ่งเรืองด้วยกำลังศรัทธาของพุทธบริษัท ตามกำลังของศีล - สมาธิ - ปัญญาของพระพุทธเจ้าและพระสาวก การทำบุญทำทานจักด้วยวิหารทานหรือสังฆทานก็มีมาก ตามกำลังจิตที่ผู้รับบริสุทธิ์ ลาภสักการะมากมายกว่าสมัยนี้มาก ดังตัวอย่างสมเด็จองค์ปัจจุบัน มีวัดที่พุทธบริษัทสร้างถวายร่วม ๘๔,๐๐๐ วัด สวยสดงดงามมาก แล้วเวลานี้ไปไหนหมด กาลเวลากลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างจนหมดสิ้น

    ๕. วัตถุมงคลก็เช่นกัน เคยมีมาแล้วทุก ๆ พุทธันดร แม้เปี่ยมด้วยพุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพ แต่วัตถุเหล่านี้ก็ขึ้นชื่อว่าอิงทรัพย์ทางโลกสร้างขึ้นมา สักวันวัตถุนั้นก็เสื่อมปรักหักพังตามกาลเวลา พุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพไม่เสื่อม แต่วัตถุธาตุที่นำมาทำวัตถุมงคลเสื่อม

    ๖. ในบางกรณีแม้ไม่เสื่อม เช่นองค์แก้วจักรพรรดิ ก็มีการเคลื่อนไปตามกฎธรรมดา ผู้ครอบครองในที่สุดก็ต้องตาย ทิ้งขันธ์ ๕ ไปจากองค์แก้ว หรือในบางขณะทรัพย์หรือองค์แก้วก็เคลื่อนจากกายเราไปตามกฎของกรรม มีทรัพย์ ทรัพย์จากหรือจากทรัพย์ มันเป็นกฎธรรมดาของโลก เจ้าจงอย่ายึดถือมาเป็นสาระเลย

    ๗. พิจารณาถึงความไม่เที่ยงเข้าไว้ ทำการละความไม่เที่ยงลงที่จิต อย่าติดทรัพย์ภายนอกให้มากนัก มองทรัพย์ภายในเข้าไว้ อริยมรรค อริยผลเป็นสิ่งเที่ยง พระธรรมที่ตถาคตตรัสไว้นั้นเป็นสิ่งเที่ยง ขวนขวายรีบเร่งสะสมเข้าไว้ เป็นอริยทรัพย์ที่ไม่เคลื่อนไปไหนอีก

    ๘. รักพระนิพพานให้มาก ๆ เถิด คำนึงถึงปฏิปทาของมรรค อันจักยังให้เข้าถึงพระนิพพานไว้ให้มากด้วย หมั่นกำหนดรู้อยู่เสมอว่า กิจใดจักเป็นหนทางเข้าสู่พระนิพพาน จงหมั่นทำกิจนั้น และกิจใดที่เป็นหนทางขวางกั้นมรรคผลนิพพาน ก็จงหมั่นละซึ่งกิจนั้น


    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

    ข้อมูลจาก

    ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๕ เดือนมิถุนายน ๒๕๓๖ ตอน ๑

    ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุก ๆ ท่านครับ

    ----------------------
     
  10. คนหลงเงา2

    คนหลงเงา2 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2016
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +57
    บารมีเต็มเป็นอย่างไร หลวงพ่อฤๅษี

    ---------------------------------

    บารมีเต็มเป็นอย่างไร


    เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๔ พ.ค. ๒๕๓๖ หลวงพ่อฤๅษีท่านเมตตามาสอนมีความสำคัญ ดังนี้

    ๑. บารมีเต็ม คือ การทำกรรมฐานทุกครั้งด้วยความตั้งใจและเต็มใจ ทำจริง หรือการทำงานเพื่อศาสนกิจก็เช่นกัน เอางานนั้นมาเป็นกรรมฐาน ทำด้วยความเต็มใจและตั้งใจทำจริง สลัดตัดความเบื่อหน่ายเกียจคร้านทิ้งไป

    ๒. มีความเจตนาตั้งใจจริง เพื่อพระนิพพานจุดเดียว เหนื่อย นั้น เหนื่อยแน่ เพราะเรายังมีขันธ์ ๕ ก็ต้องทำ จิตยอมรับความเบื่อหน่ายนั้นว่าเป็นธรรมดา

    ๓. ที่เราเหน็ดเหนื่อยเพลิดเพลินอยู่ในกามโลกียวิสัยมากี่แสนอสงไขยกัปแล้ว เราเกิดตายอยู่กับความเหนื่อยของขันธ์ ๕ นี้มานานเท่าไหร่ ความเหนื่อยเหล่านั้นมันหาสาระไม่ได้ ขอให้ตั้งใจจริง เต็มใจจริง เหนื่อยเพื่อทำกรรมฐานให้พ้นโลก ช่วยศาสนกิจเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิตที่ทรงขันธ์ ๕ อยู่นี้ อดทนไปเถิด ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายแล้ว

    ๔. สลัดตัดความเบื่อหน่ายทิ้งไป รู้ทุกข์นั้นดีกว่าไม่รู้ทุกข์ รู้เหน็ดเหนื่อยดีกว่าไม่รู้เหน็ดเหนื่อย รู้ธรรมดีกว่าไม่รู้ธรรม จิตจะได้ชำระความมัวเมาในกามโลกียวิสัยทิ้งไปจากอารมณ์เสียที



    อย่ากลัวทุกข์ เพราะทุกข์ เป็นของจริง

    จากนั้น สมเด็จองค์ปฐม ได้ทรงพระเมตตามาตรัสสอนต่อ ดังนี้

    ๑. อย่ากลัวทุกข์เพราะทุกข์นั้นเป็นของจริง อันเป็นของคู่กันมากับขันธ์ ๕ มีชาติทุกขาเป็นต้น

    ๒. เมื่อประสบกับความทุกข์ ก็จงอย่ากล่าวโทษผู้อื่น กฎของกรรมเกิดได้ เพราะตัวของเราทำเอาไว้เอง จงหมั่นทำจิตให้ยอมรับ ชดใช้กฎของกรรมนั้นไปโดยสงบ

    ๓. มองด้วยตาปัญญา ให้เห็นโทษของกรรมมาจากสาเหตุอันใด มองแล้วจงยอมรับว่า เหตุมาจากการล่วงละเมิดปัญจเวรทั้ง ๕ หรือกรรมบถ ๑๐ ข้อใดข้อหนึ่ง อันมีเราเป็นผู้กระทำผิดด้วยความหลงมาแต่กาลก่อน

    ๔. จิตมีความหลงผิด จึงใช้กาย-วาจา กระทำอย่างผิด ๆ กาลนั้นจิตเรายังไม่มีปัญญา จึงเห็นผิดเป็นชอบ เพลานี้พวกเจ้าได้รับการอบรมทางปัญญามาพอสมควร อย่าให้อารมณ์มิจฉาทิฏฐิมันเข้าครอบงำจิต ให้เกิดความโง่เขลาเบาปัญญาขึ้นอีก

    ๕. พยายามพยุงกำลังของจิตเอาไว้ ด้วยอานาปานัสสติกรรมฐานให้ดี ๆ ใช้วิปัสสนาภาวนาพิจารณาถึงกฎของความเป็นจริงอย่างถ่องแท้ ใช้ความพยายามดูอารมณ์ที่ฟอกจิตอยู่ให้เห็นว่า ขณะใดมีโมหะ-โทสะ-ราคะ เข้าครอบงำอยู่บ้าง แล้ว พยายามใช้กรรมฐานแก้จริตเข้าทำลายอารมณ์เศร้าหมองเหล่านั้น จนกว่าจิตจะผ่องใสขึ้นมาได้ ทำให้เป็นปกติ พยายามดูอารมณ์ของจิตอยู่ตลอดเวลา ให้นำไปใคร่ครวญพิจารณาและปฏิบัติด้วย จักให้ได้ผลดีก็ต้องไม่ทิ้งอิทธิบาท ๔

    พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน ผู้รวบรวม

    ข้อมูลจาก

    ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้นเล่ม ๔

    ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุก ๆ ท่าน

    ---------------------------
     
  11. คนหลงเงา2

    คนหลงเงา2 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2016
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +57
    การเยี่ยมตำรวจ ทหารภาคใต้ ๑๗ วันของหลวงพ่อและท่านหญิงวิภาวดีรังสิต

    ---------------------------------

    สำหรับหลวงปู่ครูบาธรรมชัยนี้ ท่านใกล้ชิดกับหลวงพ่อมาก ชนิดถึงไหนถึงกัน ในการออกหน่วยเยี่ยมตำรวจ ทหาร เรามีเวลาจำกัดมาก เพราะส่วนใหญ่ผู้ที่ไปเป็นข้าราชการหรืองานประจำ ท่านจึงจัดให้ออกหน่วยเกือบทุกเสาร์ - อาทิตย์ โดยออกเดินทางตอนกลางคืนของวันศุกร์ ถึงจังหวัดที่จะออกเยี่ยม ตอนเช้าวันเสาร์ ให้เวลากินข้าว - ล้างหน้าแค่ ๒๐ - ๓๐ นาที ก็เดินทางต่อ เย็นกลับมาพักตามวัดบางครั้ง เช่นที่ จ.เพชรบูรณ์ ต้องพักตามค่ายลูกเสือนอกเมือง เช้าวันอาทิตย์ก็ทำงานต่อ กลางคืนวันอาทิตย์เดินทางกลับ กะเวลาให้มาถึงเช้ามืดหรือสว่างในกรุงเทพฯ เข้าทำงานได้ทัน (ในระหว่างหน้าฝนต้องหยุดเพราะเข้าป่าไม่ได้)

    หากออกเยี่ยมทางภาคใต้ต้องลาราชการ ผมจำได้ว่าทางใต้ เคยไปนานที่สุดถึง ๑๗ วัน เพราะเป็นการประสานงานระหว่างหน่วยของในหลวงท่าน ซึ่งมี ท่านหญิงวิภาวดีรังสิตกับของหลวงพ่อ (ตามพระประสงค์ของในหลวงท่านให้รวมกันและขอฝากหน่วยของท่านไว้กับหลวงพ่อด้วย) ซึ่งต่อมาก็ไปด้วยกันทั่วประเทศ เรื่องเหล่านี้ไม่เคยมีใครเขียนไว้ เพราะผู้รู้ผู้เห็น ท่านก็แอบหนีไปนิพพานกันเกือบหมดแล้ว เหลือผมซึ่งก็ไม่ทราบว่าจะไปเมื่อใด และจะไปไหนก็ยังไม่ทราบ ทราบแต่ว่าต้องตายแน่ ๆ เท่านั้น

    การเยี่ยมตำรวจ ทหาร ทั่วประเทศ หลวงพ่อท่านเยี่ยมถึงแนวหน้า โดยใช้ฮ.เป็นพาหนะเป็นส่วนใหญ่ ที่นั่งก็จำกัด เพราะส่วนใหญ่มีฮ.ตัวเดียวหรือสองตัว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนายทหารหรือนายตำรวจ พร้อมหน่วยคุ้มกันไปด้วย ผู้ที่ไปแน่ ๆ จึงมีแค่ ๓ คือ หลวงพ่อท่าน หลวงปู่ และก็ผม ส่วนใหญ่มีแค่นี้ หน้าที่ของผมก็คือ มือหนึ่งหิ้วปิ่นโต - อาหารเพลของหลวงพ่อ - หลวงปู่เพลที่ไหน ถวายที่นั่น แม้บางครั้งขณะบินอยู่กลางอากาศก็เคยถวายเพล อีกมือหนึ่งหิ้วกระเป๋ายาใบใหญ่ หนักร่วมสิบกิโล มีทั้งน้ำเกลือด้วย (สำหรับหลวงพ่อ) และรักแร้ก็หนีบลำโพงสำหรับพูด (ใช้ถ่าน) สภาพ เวลาขึ้น และโดดลงจากฮ. ก็มีลักษณะอย่างนี้แหละ ไม่มีใครรู้จักผมเลย หากหลวงพ่อท่านไม่แนะนำร่วมเป็นร่วมตายกับท่านมาในตอนนั้น

    ผู้ใดอ่านมาถึงตอนี้ ก็อาจคิดว่า ผมนี่เก่ง กล้าหาญไม่กลัวตาย หากคิดเช่นนั้นละก็ผิดถนัด เพราะความจริงยังกลัวตายอยู่มาก ที่ไปได้ถึงไหนถึงกันบินตั้งแต่เช้ายันเย็นนั้น หากไม่มีหลวงพ่อท่านไปด้วย จ้างให้ผมก็ไม่ไป เพราะโอกาสที่จะถูกมันยิงตกนั้นมีได้เสมอ อย่างนี้เขาเรียกว่าไม่กล้าจริง แต่ที่ไปได้ตลอดร่วม ๓ ปีนั้น เพราะอะไรให้คิดเอาเองก็แล้วกัน

    ส่วนเรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังหรือเขียนให้อ่านนั้น คงไม่เรียงตามลำดับ ตามวัน เดือน ปี คงเขียนไปตามที่นึกออกแล้วอยากจะเขียน ดังนั้น หากอะไรผิดพลาดไปบ้างเรื่องของ วัน เดือน ปี ก็ต้องขออภัยไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย เพราะสัญญาของผมมันเป็นอนิจจา ยิ่งเข้าสู่วัยหนุ่มน้อยเกิน ๖๐ ปีไปแล้ว (ผู้รู้ ผู้เห็นท่านก็แอบหนีไปนิพพานกันเกือบหมดแล้ว) เหลือผมซึ่งก็ไม่ทราบว่าจะไปเมื่อใด และจะไปไหนก็ยังไม่ทราบ ทราบแต่ว่าต้องก็ต้องถือว่าเป็นของ ธรรมดา ปัจจุบันผมอายุเกิน ๘๐ ปีไป ๗ เดือนแล้ว คงอยู่ได้อีกไม่นาน

    เรื่องแรก คือ การเยี่ยมและแจกของตำรวจ ทหารภาคใต้ ๑๗ วันของหลวงพ่อและท่านหญิง คณะของหลวงพ่อแยกออกเดินทางเป็นสองคณะ คณะแรกออกเดินทางก่อนโดยรถไฟ ต้องค้างแรมในรถ และไปถึงอ.หาดใหญ่ในวันรุ่งขึ้น อีกคณะหนึ่ง เดินทางโดยเครื่องบินในตอนเช้า เวลาชั่วโมงกว่า ๆ ก็ถึงแล้ว ก่อนเครื่องจะลงสนามประมาณ ๕ นาที

    หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังว่ามีเทวดาองค์หนึ่งแบกพระพุทธรูปทองคำไว้บนศีรษะมาหาหลวงพ่อ และบอกความลับเกี่ยวกับพระพุทธรูปองค์นี้ว่าถูกฝังไว้ที่ตรงไหน ใกล้ตัวเมืองหาดใหญ่ เมื่อคณะของหลวงพ่อเข้าที่พัก (บ้านรับรองของแบงค์ชาติ หาดใหญ่) แล้ว หลวงพ่อได้เรียกท่านเจ้ากรมเสริม (พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม สุขสวัสดิ์) มาพบ และบอกตำแหน่งตามที่เทวดาท่านบอกไว้ว่า อยู่ในที่ดินแห่งหนึ่งใกล้สะพาน ใกล้แม่น้ำ และใกล้ถนนใหญ่ ที่ตรงไป จ.สงขลา และมีบ้านอยู่หนึ่งหลัง พร้อมทั้งทิศที่จะต้องไปหา ท่านเจ้ากรมออกไปสักครูหนึ่งก็กลับมารายงานหลวงพ่อว่ามีอยู่จริงตามนั้น

    หลวงพ่อพร้อมคณะก็ออกเดินทางไปที่นั่น พร้อมด้วยหลวงปู่สิม และหลวงปู่ครูบาธรรมชัย เมื่อไปถึงก็ขอพบเจ้าของที่ ซึ่งบังเอิญเป็นตำรวจยศชั้นจ่าหรือนาย สิบจำไม่ได้ นิสัยดี ให้การต้อนรับหลวงพ่อและคณะอย่างเต็มใจ เมื่อทราบวัตถุประสงค์ว่าหลวงพ่อท่านต้องการจะขอซื้อที่ดินที่ยังว่าง ๆ อยู่นี้เพียงไม่กี่ตารางวา เพื่อสร้างศาลาและตั้งพระพุทธรูปไว้ บูชา ตำรวจผู้นั้นแกไม่ยอมขายที่ให้ แต่ยกให้เปล่า ๆ โดยพูดว่า สุดแต่หลวงพ่อ จะต้องการแค่ไหนก็ได้ทั้งนั้น เพราะแกเกิดศรัทธา จากนั้นหลวงพ่อก็นำคณะออกสำรวจที่ ตอนนั้นผมสังเกตดูหลวงปู่สิม ท่านรีบเดินหนีไปทางอื่นเมื่อหลวงพ่อบอกให้ช่วยหาที่ ๆ พระพุทธรูปทองคำฝังอยู่ เพราะต้องใช้เรดาร์จิตออกตรวจหา คงปล่อยให้หลวงปู่ครูบาธรรมชัยอยู่กับหลวงพ่อ ๒ องค์ และมีผมยืนอยู่ด้วย

    หลวงปู่ ครูบาธรรมชัย ปกติท่านเร็วมากในการใช้ทิพยจักษุญาณ แต่คราวนี้ท่านยืนงงต้องใช้เวลานานมาก นานจนท่านเมื่อยต้องทรุดตัวลงนั่งยอง ๆ ผมยืนอยู่กับท่านเลยต้องนั่งตาม สักครู่ท่านก็อุทานดังๆ ว่า เห็นแล้ว ๆ อยู่ตรงนี้เอง แล้วท่านก็บรรยายรูปร่างของพระพุทธรูปทองคำ และบอกว่ามีพระบรมธาตุ พร้อม ทั้งเครื่องบูชาครบหมด ท่านตื่นเต้นมาก ผมเลยเลี่ยงไปคุยกับหลวงพ่อ หลวงพ่อ จึงเล่าให้ผมฟังว่า ที่ไม่เห็นนั้น เพราะพระเจ้ารามคำแหงมหาราช ซึ่งท่านเป็นพรหมอนาคามี มีหน้าที่รักษาเขตภาคใต้นี้ไว้ทั้งหมดท่านเอามือบังไว้ หลวงปู่จึงไม่เห็น ต่อเมื่อหลวงพ่อท่านเตือนว่าอย่าไปแกล้งหลวงปู่ ท่านจึงชักมือออก หลวงปู่จึงเห็น และตื่นเต้นมากด้วยความปีติ

    พระเจ้ารามคำแหงท่านบอกหลวงพ่อว่า อย่าให้ใครเอาขึ้นมา เพราะจุดประสงค์ของผู้สร้างก็เพื่อป้องกันศัตรูทางภาคใต้ทั้งหมด ไม่ให้รุกรานประเทศไทยได้ ต่อมาหลวงพ่อจึงได้สร้างศาลาขึ้น พอสร้างเสร็จ พล.อ. บุญชัย บำรุงพงศ์ ท่านเป็นประธานสร้างพระพุทธรูป หน้าตักประมาณ ๕๒ นิ้ว จาก จ.ชลบุรี ยังหาที่ประดิษฐานไม่ได้ ท่านเจ้ากรมเสริมจึงแนะนำให้นำมาไว้ที่นี่ เมื่ออัญเชิญพระพุทธรูปมาแล้ว ท่านหญิงวิภาวดีรังสิต ก็กราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งท่านเสด็จมาภาคใต้พอดี ให้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ที่พระเศียรทุกอย่างต่อเนื่องกัน หรือลงตัวพอดี เหมือนกับเทวดาท่านจัดไว้ ล่วงหน้าก่อนทั้งสิ้น ในปัจจุบันก็มีผู้ไปเคารพกราบไหว้บูชาอยู่ทุกวัน พร้อมทั้งมีแม่ชีที่มีความศรัทธาสูง เป็นผู้คอยดูแลศาลานี้ไว้เป็นอย่างดี ผมได้ข่าวว่าใครไปบูชามักจะถูกหวยเสมอ แต่ท่านให้เพียง ๑ - ๒ หนเท่านั้น ตามวาระกรรมของแต่ละคน ซึ่งไม่เสมอกัน

    ซึ่งเป็นตัวแทนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงรวมกับคณะของหลวงพ่อตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาโดยออกเยี่ยมตำรวจทหารทุกหน่วยในจังหวัดภาคใต้ ซึ่งหลวงพ่อท่านต้องเหนื่อยมาก เพราะต้องทำพิธีบวงสรวง ด้วยฐานใหญ่ ๆ ต้องพรมน้ำมนต์ และแจกวัตถุมงคล รวมทั้งบางคนขอให้ลูบหัว เป่าหัว เคาะหัว เพื่อเป็นกำลังใจ โดยมีหลวงปู่ครูบาธรรมชัยเป็นผู้ช่วยทุกครั้ง (ความจริงแล้วหลวงพ่อท่านขึ้นลงระหว่างกรุงเทพ - หาดใหญ่นี้หลายหน แต่ผมขอรวบรัดเพื่อความต่อเนื่อง)

    ในคราวแรกที่ไปภาคใต้ใช้เวลาอยู่ที่หาดใหญ่ประมาณ ๖ วัน ก็แยกย้ายกันกลับ คงเหลืออีกไม่กี่คนที่ติดตามหลวงพ่อมาที่ จ.นครศรีธรรมราช และ สุราษฎร์ธานี เท่าที่จำได้ คือ หลวงพ่อท่าน, หลวงปู่ครูบาธรรมชัย, พี่อ๋อย, พี่นนทา, คุณวิวัฒน์หรือวิชัย และผม ซึ่งอาจมีผู้อื่นอีกผมก็ต้องขออภัยด้วย จากคณะใหญ่มีผู้คนร่วมร้อยก็เหลือเพียงเท่านี้ที่นครศรีธรรมราช

    คณะของหลวงพ่อและท่านหญิงพักอยู่ในจวนผู้ว่าการ ซึ่งมีวังของท่านหญิงปลูกไว้สำหรับท่านโดยเฉพาะ เพราะท่านเสด็จบ่อย ส่วนหลวงพ่อและคณะอยู่เรือนรับรองอีกหนึ่งหลัง ใช้เวลาออกเยี่ยมตำรวจทหารทุกวัน ตั้งแต่ ๐๗.๐๐ น. และกลับประมาณ ๑๘.๐๐ น. โดยใช้ฮ.เป็นพาหนะ ฮ.จะมารับที่สนามกีฬา ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับจวนผู้ว่า (ชื่อ คุณโชดก) ฮ.จะบินไปเยี่ยมทุกฐานของทหารและตำรวจในสองจังหวัด ซึ่งอยู่ติดต่อกัน (นครศรีธรรมราชและ สุราษฎร์ธานี)

    ในขณะนั้นขวัญและกำลังใจของตำรวจทหารตกมาก พวก (ผกค.) คอมเข้ายึดหมู่บ้านไว้เป็นฐานกำลังของเขาได้หลายจุด โดยเฉพาะที่ สุราษฎร์ธานี พวกคอมเข้ามาถึงในตัวเมือง บุกยึดสถานีรถไฟ แล้วจะยึดสถานีตำรวจ ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กันด้วย แต่โดยบารมีของพระคุ้มครอง กระสุนปืนที่ยิงโรงพักขึ้นข้างบนหมด ถูกแต่หลังคาโรงพักเสียหาย โชคดีที่ยังมีตำรวจที่กล้าตายต่อสู้ จนมันถอยตัวกลับเข้าป่าไป

    หลวงพ่อและท่านหญิงพร้อมคณะก็ไปเยี่ยม ในขณะที่เขากำลังขวัญกระเจิงพอดี ตำรวจที่สถานีดีใจมากอย่างเห็นได้ชัด เพราะทั้งหลวงพ่อและท่านหญิง ได้พูดให้กำลังใจแก่พวกเขาให้เกิดความฮึกเหิม เกิดความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทยทั้งมวล หลังจากนั้นท่านก็แจกธงมหาพิชัยสงครามให้ทุก ๆ คน และแนะนำวิธีใช้ ในขณะนั้นบังเอิญมีชายผู้หนึ่งเข้ามารับแจกธงด้วย หลวงพ่อท่านก็ทักว่า คุณอย่าเอาไปเลย หากคุณรับไปแล้วไปใช้ในทางที่ไม่ถูกไม่ควร เช่น ไปปล้น - จี้เขา หรือไปเข้ากับพวกคอม คุณจะถูกเขายิงตาย โดยจะถูกปืนยิงแสกหน้าทะลุออกด้านหลัง เขาก็ยังยืนยันจะขอรับให้ได้ หลวงพ่อก็ให้ไป

    พอเขาไปแล้วมีตำรวจมารายงานให้หลวงพ่อทราบว่า อ้ายนี่แหละครับตัวแสบ เป็นนกสองหัวเป็นแนวที่ห้าให้คอม มันทำชั่วได้ทุกอย่าง ผลก็คือ ๒ - ๓ วันต่อมา ตัวแสบก็ถูกยิงตายสนิท ขณะปะทะกับตำรวจ เพราะมันนำพวกคอมเข้าโจมตีหมู่บ้าน และถูกยิงเข้ากลางแสกหน้าทะลุท้ายทอยจริง ๆ พุทธานุภาพของธงมหาพิชัยสงครามมีจริงอย่างไม่ต้องสงสัย และจะไม่ป้องกันคนชั่วด้วย พวกตำรวจหลังจากได้รับแจกผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงครามแล้ว กำลังใจดีมากทุกคน

    ในวันรุ่งขึ้น ตำรวจซึ่งกลัวพวกคอมและพวกที่มีอิทธิพลมากที่คุมเขาศูนย์อยู่ พวกตำรวจไม่กล้าแม้แต่จะผ่านทางนั้น แต่พอได้ของดี ก็ยกกำลังขึ้นบุกเขาศูนย์เลย (เขาศูนย์มีแร่วุลแฟรมมากมาย) ฝ่ายพวกคอมก็ยิงลงมาแบบไม่เลี้ยง แต่ปรากฏว่าไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่คนเดียว ที่รู้กันเพราะตำรวจรายงานให้ทราบ (พ.ต.ท. สุดินทร์ สิงหรา ณ อยุธยา)

    คณะของหลวงพ่อและท่านหญิงเดินทางโดยฮ. จึงบินแวะไปเยี่ยมอีกครั้ง ปรากฏว่าเหล่าตำรวจทั้งหลาย ต่างแยกกันรายงานผลให้หลวงพ่อฟังด้วยปากของตนเองจนฟังไม่ทัน

    สรุปแล้วมีใจความว่า

    ๑.การเข้ายึดเขาศูนย์ ใช้เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เพราะทุกคนไม่กลัวตาย ต่างคนต่างดิ่งตรงเข้าไปยึดเอาดื้อ ๆ ไม่ทราบว่าเพราะอะไร

    ๒. กระสุนปืนฝ่ายตรงข้ามยิงมาหนาแน่นมาก แต่แปลกที่ไม่มีใครโดนลูกปืนเลยสักคน

    ๓. ความรู้สึกบอกว่า กระสุนวิ่งผ่านตัวไป (เฉียดตัว) เห็นเป็นสายแต่ก็ไม่โดน เมื่อเห็นว่าตัวไม่ได้รับอันตรายจากลูกปืนแล้ว เลยไม่กลัวอีก ไม่หลบไม่หมอบลงกับพื้น วิ่งตรงเข้าหาผู้ที่ยิงปืนมาโดยไม่ยอมหลบ

    ๔. ผลก็คือยึดพื้นที่ได้ และจับพวกที่ถอยหนีไม่ทันได้หลายคนในเวลาอันสั้น เป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนักหลังจากนั้นตำรวจกองนี้ก็บุกแหลกไม่เคยกลัวพวกคอม (ผกค) อีก มีข่าวพวกคอมจะเข้าหมู่บ้านใดก็ตรงเข้าไปปะทะทันทีและก็ตีพวกนั้นกระเจิงไปทุกครั้ง แต่มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่คณะของเรากำลังบินอยู่กลางอากาศได้รับวิทยุแจ้งเข้ามาว่าตำรวจถูกยิงได้รับบาดเจ็บให้ส่งฮ.มารับตัวด้วย ฮ.ของเรา ก็บินตรง ไปจุดนัดพบทันที เมื่อลงไปเราไม่พบผู้บาดเจ็บเลย มีแต่พวกตำรวจมารุมล้อมหลวงพ่อ

    หลวงพ่อเลยถามว่าคนไหนที่ถูกยิงบาดเจ็บ ก็มีตำรวจที่กำลังเกาะขาหลวงพ่ออยู่ตอบว่า ผมเองครับ หลวงพ่อถามว่าไหนขอดูแผลหน่อย ตำรวจก็ตอบว่าถากไปนิดเดียวที่ขา แล้วก็ถลกขาให้ดู ผมเห็นแล้วเป็นเพียงแค่หนังกำพร้าถลอกไปเท่านั้น ผมเลยเกิดอารมณ์เสีย เพราะทำให้เราต้องเสียเวลาแวะมาดู ตำรวจบาดเจ็บแค่หนังถลอกเท่านั้น ผู้ที่วิทยุให้เรามารับคนเจ็บ ไม่ได้กรองข่าวเสียก่อน ก็สั่งการทันที แต่ผมก็มีอารมณ์มาตัดบอกว่า เออดี หลวงพ่อท่านจะได้มีโอกาสให้กำลังใจพวกตำรวจกลุ่มนี้อีกครั้ง เป็นการเพิ่มกำลังใจให้เขามั่นใจในพุทธานุภาพยิ่งขึ้นไปอีก ตำรวจทุกคนหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสมากเมื่อได้รับการชี้แจงถึงพุทธานุภาพจากธงมหาพิชัยสงครามอีกครั้งด้วยเครื่องขยายเสียงต่อหน้ากลุ่มคนจำนวนมาก ซึ่งแน่นอนจะต้องมีพวกคอม (ผกค) ร่วมปะปนอยู่ด้วย เป็นการข่มขวัญกันไปในตัว

    ขอเล่าเรื่องอานุภาพของธงมหาพิชัยสงคราม ที่หาดใหญ่ สงขลา ให้ฟังเสียด้วยว่า คณะของหลวงพ่อได้แจกธงนี้ให้กับทหารทุกคนที่นั่นเรียงตัว โดยให้เข้าแถวรับ ผมเองก็เป็นผู้เดินแจกธงด้วย ปรากฏว่า ภาคใต้มีทหารที่นับถือศาสนาอิสลามอยู่ด้วย ดังนั้น ทหารพวกนี้เขาจะไม่รับโดยพูดว่า “ผมอิสลามครับ”เราก็เว้นแล้วแจกรายต่อไป

    หลังจากที่แจกให้ครบแล้ว อีกประมาณ ๗ วันต่อมา แม่ทัพภาค ๔ ออกตรวจเยี่ยมทหารด้วยขบวนรถ ๙ คัน ปรากฏว่ามีพวกคอม (ผกค) ซุ่มโจมตีอยู่ข้างทาง หลังจากปะทะกันสักครู่ เขาก็ถอยเข้าป่าไป ฝ่ายเราก็สำรวจความเสียหาย ปรากฏว่ามีทหารตาย ๙ คน ทุกคนเป็นอิสลามหมด เพราะไม่มีธงมหาพิชัยสงครามติดตัว แต่ความลับไม่มีในโลก ข่าวนี้ก็กระจายไปทั่วกองทหารทุกกองในภาคใต้ ครั้นคณะของหลวงพ่อและท่านหญิงไปเยี่ยมทหารอีก และแจกธงให้กับหน่วยที่ย้ายเข้ามาแทนหน่วยเก่า และแจกให้กับผู้ที่ยังไม่ได้รับ ผลมีดังนี้ครับ ทหารที่เป็นอิสลามไม่ใช่ไม่ยอมรับธงแต่แย่งจากมือผู้แจกเลย ได้ถามความรู้สึกกับพวกเขา เขายอมรับแต่โดยดีว่าผมกลัวธงหมดครับ ผมกลัวว่าจะไม่ได้ครับ

    โดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

    ข้อมูลจาก

    หลวงพ่อกับเหตุการณ์ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๑๗ - ๒๕๒๐
    ตอนที่ ๑ จากหนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๒


    ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๒ ตอนที่ ๑

    ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุก ๆ ท่านครับ

    ------------------------------


     
  12. คนหลงเงา2

    คนหลงเงา2 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2016
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +57
    เรื่องของพระองค์เจ้าหญิงวิภาวดีรังสิต บุคคลตัวอย่างของชาวพุทธ

    -----------------------------

    บุคคลตัวอย่าง คือ พระองค์เจ้าหญิงวิภาวดีรังสิต

    ผมขอย้อนกลับมาหาเรื่องของท่านหญิงวิภาวดีรังสิตอีกครั้ง เพราะหากไม่ให้เขียนเรื่องเกี่ยวกับพระองค์ท่าน ผมคงจะไม่สบายใจไปตลอดชีวิตก็ได้ เรื่องเดิมมีผู้เขียนเรื่องนี้มาแล้ว ๓ ครั้ง คือ

    ๑. พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา ในหนังสืออนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ นาง เฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา (ท่านอ๋อย) พร้อมทั้งลงจดหมายของท่านหญิงถึงท่านอ๋อย ๒ ฉบับ ลงวันที่ ๑๗ มิ.ย. ๒๕๑๙ และ ๔ ก.ค.๒๕๑๙

    ๒. หลวงพ่อท่านบันทึกเทปไว้ที่จังหวัดเชียงรายแล้ว คุณ พรนุช คืนคงดี และคุณ สมพร บุณยเกียรติ ช่วยกันถอดเทปลงในหนังสือเรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ เพื่อเป็นอนุสรณ์ในโอกาสคล้ายวันเกิดของหลวงพ่อในเดือนตุลาคม ๒๕๒๔

    ๓. หลวงพ่อท่านพูดถึงบุคคลตัวอย่าง คือ ท่านหญิงวิภาวดีรังสิต ลงในหนังสือ ธัมมวิโมกข์ ปีที่ ๑๑ ฉบับที่ ๑๐๘ เดือน ก.พ. ๓๓

    หากท่านผู้ใดได้ติดตามอ่านเรื่องของ ท่านหญิงวิภาวดีรังสิตแล้วก็คงหมดสงสัยว่า เมื่อท่านสิ้นชีพิตักษัย (ตาย) ไปแล้ว ขณะนี้ท่านอยู่ที่ใด สำหรับผมเองหมดสงสัยแล้วตั้งแต่ได้เห็นพระพักตร์ของท่านยิ้มอย่างมีความสุขที่สุด (ยิ้มอย่างกูผู้ชนะทุกอย่างในโลก) ในตอนที่ไปคอยรับพระศพ และตอนเคารพพระศพ ซึ่งคลุมด้วยธงชาติ ซึ่งยังติดตาและติดใจผมอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้

    ข้อเท็จจริง

    ๑. ผมกับท่านหญิงวิภาวดี รังสิต ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย (ในชาตินี้) จนกระทั่งหลวงพ่อท่านแนะนำให้รู้จักกันอย่างเป็นทางการที่บ้านรับรองในจวนผู้ว่าการจังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อผมทำความเคารพท่านแล้ว ท่านรับสั่งว่า “ ความรู้สึกของหญิง บอกหญิงว่า หญิงไม่ได้พึ่งเคยรู้จักคุณหมอ หากแต่รู้จักกันมาไม่รู้กี่ชาติ ๆ แล้ว "

    ๒. ในวันนั้นท่านหญิงรับสั่งให้ผมเข้าพบในตำหนัก หรือวังส่วนพระองค์ซึ่งปลูกอยู่ในบริเวณจวนผู้ว่า พร้อมทั้งรับสั่งเรื่องของพระองค์ให้ผมฟังอย่างสนิทสนมและไม่ถือองค์เลย ยิ่งทำให้ผมรู้สึกเคารพและยำเกรงพระองค์ท่านมากขึ้น ต้องคอยระวังตัวพร้อม กาย วาจา ใจ ไม่ให้บกพร่องเป็นกรณีพิเศษ

    ๓. ดังนั้นตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาผมจึงเสมือนคนสนิทของท่าน และเป็นที่สนทนากึ่งธรรมปฏิบัติของท่าน (ทั้ง ๆ ที่การปฏิบัติธรรมของผมในขณะนั้น ยังไม่มีอะไรเลยที่จะไปเปรียบกับท่านได้) เมื่อตื่นบรรทมแต่เช้า ก่อนหลวงพ่อฉันอาหารเช้า พระองค์จะรับสั่งกับผมทุกเช้าถึงการปฏิบัติธรรมของท่านในตอนกลางคืน

    ๔. ผมสังเกตว่า ธรรมของพระองค์ท่านเปลี่ยนแปลงไปทุก ๆ วันไม่มีซ้ำกัน เช่น เมื่อเจริญอานาปานัสสติ (กำหนดรู้ลมหายใจเข้าและออก) แล้วก็เข้าสู่ปีติทั้ง ๕ อย่าง พระองค์ได้หมด ที่เขียนเช่นนี้เพราะหลังจากที่ท่านรับสั่งกับผมแล้วก็จะถามหลวงพ่อตรงอีกครั้งเพื่อความถูกต้อง หลังจากนั้นแล้วก็ไม่เกิดปีติอีก พอเริ่มปฏิบัติจิตจะรวมตัวเป็นหนึ่ง แล้วเข้าสู่การพิจารณาขันธ์ ๕ เลย (วิปัสสนา) และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ใช้วิปัสสนาหรือด้านการพิจารณาทางปัญญาตลอดมา (ผมเขียนตามสัญญาหรือความจำที่ผมฟังการสนทนาระหว่างท่านกับหลวงพ่อ)

    ๕. ทุกครั้งที่ออกหน่วยโดยฮ.หากผมไปด้วย พระองค์จะประทับติดกับผมเสมอ และเรื่องที่รับสั่งล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับธรรมะเกือบทั้งสิ้น แม้ในระหว่างเดินเยี่ยมตามฐานของตำรวจและทหาร หากมีเวลาส่วนองค์ จะรับสั่งเรื่องการปฏิบัติธรรมในตอนกลางคืนให้ผมฟังเสมอ เรื่องที่รับสั่งเป็นปกติคือทุกข์ เพราะทุกข์ทั้งหลายล้วนมาห้อมล้อมใจของพระองค์ ทั้งเรื่องภารกิจของชาติและประชาชน ทางเรื่องครอบครัว และเรื่องส่วนองค์อื่น ๆ พระองค์ไม่เคยปิดบังอะไรเลย เล่าให้ฟังหมด จนพระองค์เองก็แปลกใจ ต้องไปถามหลวงพ่อ (เมื่ออยู่กันเฉพาะแค่ ๓ คือ หลวงพ่อท่าน, ท่านหญิง และผม) ว่า หญิงกับหมอนี่เคยเป็นอะไรกันนะ หญิงมีความลับอะไรต้องบอกคุณหมอหมดเลย ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยบอกความลับเช่นนี้กับผู้อื่นมาก่อน แม้พระองค์จะทุกข์แค่ไหนและอย่างไรท่านก็ไม่เคยยอมแพ้ กลับเอาทุกข์นั้นมาพิจารณาด้วยปัญญาให้เข้าสู่อริยสัจหมด ท่านรับสั่งกับผมว่า “แม้หญิงจะทุกข์ขนาดไหน หญิงก็ไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมหวั่นไหว หญิงเอาทุกข์เหล่านั้นมาพิจารณาเป็นอริยสัจหมด ” คือ เห็นทุกข์ทั้งหลายที่มากระทบใจนี้เป็นของธรรมดา ที่ท่านรับสั่งกับผมแบบนี้ไม่ใช่ครั้งเดียว

    ๖. หลังจากเยี่ยมตำรวจทหารภาคใต้แล้ว ก็เสด็จไปเยี่ยมตำรวจทหารทางภาคเหนือกับคณะของหลวงพ่อท่านพระองค์ก็ยังทรงเมตตาให้ความสนิทสนมกับผมตลอดมา มีอยู่ครั้งหนึ่งซึ่งผมหวาดเสียวแทนท่าน เพราะท่านบินไปเยี่ยมฐานทหารที่ผมเห็นฐานข้าศึกอยู่ข้างหน้าอย่างแจ่มชัด ขณะที่ไปถึงผมยังมองเห็นเครื่องบินของฝ่ายตรงข้ามบินมาทิ้งของให้กับพวกเขากับตา ผมยังต่อว่าพวกทหารว่า ทำไมถึงให้ท่านเสี่ยงขนาดนี้ ฝ่ายทหารตอบผมว่า ผมได้พยายามทัดทานท่านแล้ว แต่ท่านไม่ยอม จะเสด็จมาเยี่ยมให้ได้ ในตอนนั้นผมยังจำได้ดีว่าฮ.ลงจอดไม่ได้ ต้องค่อย ๆ ชะลอลงใกล้พื้นดิน แล้วพวกเราต้องกระโดดลง พอลงหมดฮ.จะดีดตัวไปทันที เพราะหากจอดฝ่ายตรงข้ามอาจยิงปืนค.มา ที่ผมกล้าไปนั้นไม่ใช่อะไรหรอกครับ เพราะผมมีหลวงพ่อท่านไปด้วย และหลวงพ่อท่านก็ต้องโดดลงเหมือนกับพวกเรา

    ๗. ผมได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการ ร.พ.ตำรวจ เมื่อ ๒๙ ต.ค. ๒๕๑๙ และได้รับยศว่าที่นายพลตำรวจตรีในวันเดียวกัน ซึ่งผมเองไม่รู้เรื่องเลย เพราะกำลังอยู่ในป่า ออกเยี่ยมตำรวจทหารกับหลวงพ่อและท่านหญิง เมื่อกลับมาจึงทราบ (เขาแต่งตั้งให้แล้วประมาณ ๒ วัน) หลวงพ่อท่านเลยเรียกผมว่า “นายพลป่า” เพราะเขาตั้งให้ขณะอยู่ในป่า เมื่อได้รับตำแหน่งใหม่ งานในหน้าที่ก็ยุ่ง เพราะเป็นของใหม่ ทุกข์ก็เพิ่มขึ้น การออกไปเยี่ยมตำรวจ ทหารกับหลวงพ่อและท่านหญิงก็ต้องชะลอไว้ หลวงพ่อและท่านหญิงทราบดี ผมจึงห่างจากการติดตามไปจนอีก ๓ เดือนกว่า ๆ ก็ได้รับ ทั้งวิทยุและโทรศัพท์ทางไกลจาก จ.สุราษฎร์ธานี โดย พ.ต.ท. สุดินทร์ สิงหรา ณ อยุธยา (ยศในขณะนั้น ปัจจุบันมียศ พล.ต.ต.ตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน)

    ๘. ตอนท่านหญิงเสด็จไปยุโรป ได้ทรงมีลายพระหัตถ์ถึงผมหนึ่งฉบับ ดังนี้



    23 Walpole Street

    London S.W.3

    วันที่ ๘ ก.ค. ๑๙

    เรียน คุณหมอสมศักดิ์ทราบ

    ฉันได้ออกเดินทางมาจากรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ ๑๕ เดือนก่อน ท่องเที่ยวมาได้ ๔ ประเทศทั้งอังกฤษนี้ แต่อาการไม่สู้ดีเลย อยากจะกลับไปวิปัสสนาที่วัดท่าซุงมากกว่าอย่างอื่น เพื่อนฉันที่นี่ล้วนแต่หรูหราและน่ารัก อยู่ปราสาทบ้าง บ้านสวยที่สุดบ้าง เป็นดัชเซสก็มี เลดี้ต่าง ๆ ก็มี เมื่อก่อนฉันก็เคยคบชอบพอกันดี ตอนนี้ได้แต่ปลง

    มีข่าวประหลาดจะเล่าให้คุณหมอฟัง วงการจักษุแพทย์จะต้องงงไปหมด อยู่ๆ ต้อกระจกของฉันซึ่งเป็นมา ๔ ปีกว่า จนตาขวามืดไป เห็นแต่เพียงเงา ๆ หมออุทัยว่าจะต้องผ่าตัดจึงจะหายนั้น บัดนี้หลวงปู่รักษา (ฉันท่องถาคาที่หลวงปู่ให้ทุกวัน) หายได้ภายใน ๒๗ วัน เริ่มรักษาเมื่อวันที่ ๓ เดือนที่แล้ว หลวงปู่ว่า ๒๘ วันจะหาย พอถึงวันที่ ๒๗ ก็สว่างโร่ขึ้นมาจนตกใจไปหมด ท่านชายเมื่อแรกก็ไม่เชื่อ จนฉันใช้ตาข้างเสียอ่านหนังสือให้ฟัง (ปิดข้างดีเสีย) จึงต้องเชื่อ แต่งงไปหมดเลย กลับไปกรุงเทพฯ คุณหมอช่วยนัดจักษุแพทย์ที่ร.พ.ของคุณหมอ ให้ใช้กล้องส่องดูตาฉันซิว่าต้อยังอยู่ไหม หมอที่ลอนดอนที่ Harley Street การใหญ่นัดพบทีเป็นอาทิตย์ ๆ แล้วก็แพงมาก เสียเวลาด้วย ฉันเลยไม่อยากไปยุ่งด้วย กลาง ๆ เดือนนี้ก็จะกลับแล้ว จะติดต่อกับคุณหมอที่นัดพบหมอตาที่ร.พ.ตำรวจก็ยังได้ จะได้พิสูจน์กันหลาย ๆ คน

    เรื่องตาของฉันนี้ ถ้าคนอื่นมาเล่าให้ฟังก็แทบจะไม่เชื่อ นี่เกิดขึ้นกับตัวเองและฉันก็ถือศีล ๕ คงจะไม่หลอกคนทั้งเมืองเป็นแน่ กลับมาก็จะเอาตาไปให้จักษุแพทย์พิสูจน์ด้วยคงจะต้องงงกันบ้างเป็นแน่

    เวลานี้ตอนว่าง ๆ ฉันนั่ง edit เรื่องของหลวงพ่อที่จะพิมพ์ใหม่ ชื่อเรื่องกรรมฐาน ๔๐ คุณหมอเตรียมซื้อเถิด เยี่ยมมากเมื่อกลับไปบ้านฉันเตรียมจะไปอยู่กับหลวงปู่เพื่อเขียนชีวประวัติของท่าน

    คิดถึงมาก

    วิภาวดี

    ๙. หลังเสด็จกลับเมืองไทย ท่านหญิงก็เสด็จเยี่ยมตำรวจและทหาร พร้อมกับหลวงพ่อและคณะทางภาคเหนือหลายหน ผมได้สังเกตเห็นว่าในตอนเย็น ท่านเกือบไม่ได้เสวยอะไรเลย หากจะเสวยก็เสวยแบบเสียไม่ได้ เพราะผู้จัดหาอาหารมาชักชวนหนัก ๆ เข้า พร้อมทั้งพวกพระสหายต่างก็จัดของเสวยให้ ท่านจึงเสวยแบบเอาใจคน กลัวเขาจะเสียกำลังใจ พอมีโอกาสว่างท่านหญิงก็รับสั่งกับผมว่า ความจริงไม่รู้สึกหิวเลย ปกติแล้วจะไม่เสวย เพราะหากเสวยเข้าไปแล้วมันจะออก (อาเจียน) จิตมันอยากจะถืออุโบสถศีลอยู่เรื่อย เพราะอะไรก็ไม่ทราบ ผมสังเกตทั้งที่เชียงใหม่และเชียงราย ส่วนใหญ่จะเสวยแค่ผลไม้ ๒ - ๓ ชิ้น

    ๑๐. ตอนปลายปี ๑๙ หรือต้นปี เดือนม.ค.๒๕๒๐ จำไม่ได้แน่ ท่านหญิงมีรับสั่งให้ผมเข้าเฝ้าที่วังวิทยุเป็นการส่วนพระองค์ ท่านหญิงทรงเมตตาต่อผมมากที่ให้ชมสมบัติอันล้ำค่าทั้งหมด พร้อมทั้งทรงอธิบายว่าได้มันมาจากที่ไหนบ้าง มีสมบัติหลายชิ้นที่ซื้อมาจากต่างประเทศ ซึ่งผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิตนอกนั้นก็มีพระพุทธรูปในสมัยโบราณสวยงามมากอีกจำนวนหนึ่ง

    แล้วในที่สุดท่านก็สรุปว่า “สมบัติเหล่านี้มันไม่มีความหมายสำหรับท่าน วังวิทยุนี้ก็ไม่มีความหมายสำหรับท่าน” หากผมจำไม่ผิด หลังจากนั้นมาอีก ๑-๒อาทิตย์ ผมก็ได้ข่าวว่า ท่านหญิงได้ยกสมบัติอันมีค่าเหล่านี้ให้แก่ทางพิพิธภัณฑ์ไปส่วนหนึ่ง และให้กับผู้อื่นที่ควรแก่การให้อีกส่วนหนึ่งจนหมด คำตรัสอีกประการหนึ่งที่ชอบตรัสเสมอ ๆ ก็คือ “ ชีวิตนี้ไม่มีความหมาย สมบัติในวังวิทยุไม่มีความหมาย” รู้สึกว่า พวกเราที่เป็นศิษย์ของหลวงพ่ออีกหลาย ๆ คน ที่ได้ยินจนชินหูในช่วงระยะ ๓ เดือนก่อนที่ท่านจะสิ้นชีพตักษัย

    ๑๑. พระศพได้ถูกนำเสด็จมาทางเครื่องบินในวันนั้น (๑๖ กพ. ๒๕๒๐) เดิมจะให้ทางร.พ.ตำรวจเป็นผู้จัดสถานที่รับพระศพ แต่ต่อมาได้ขอเปลี่ยนเป็นที่ร.พ.จุฬาแทน ผมจึงได้พบกับบุคคลสำคัญ ๓ คน คือ

    ก) พ.ต.ท. สุดินทร์ สิงหรา ณ อยุธยา (ยศในสมัยนั้นปัจจุบันมียศพล.ต.ต.) นายตำรวจท่านนี้มีความใกล้ชิดกับท่านหญิงมาก จะติดตามเสด็จทุกครั้งที่ท่านหญิงเสด็จไปจ.นครศรีธรรมราชและสุราษฎร์ธานี ท่านได้เล่าให้ผมฟังว่า ท่านหญิงได้ประทานพระสมเด็จที่ทรงแขวนประจำองค์อยู่ให้กับตนในการเสด็จภาคใต้ครั้งสุดท้ายนี้ ไม่นึกเลยว่าท่านหญิงจะจากไปอย่างคาดไม่ถึง ถ้าผมรู้ก่อนผมจะไม่ยอมรับพระสมเด็จที่ประทานให้ และเล่ารายละเอียดทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตอนเช้าให้ผมฟัง

    ข) คุณทิพา ซึ่งเป็นข้าหลวงของท่านหญิง ติดตามและรับใช้ท่านหญิงมาตลอด ผมจึงมีความคุ้นเคยกับคุณทิพาดี ผมได้ถามคุณทิพาว่า เมื่อเช้านี้ท่านหญิงรับสั่งกับทิพาว่าอย่างไร ทิพาบอกว่าท่านตื่นบรรทมแต่เช้าเหมือนปกติ แล้วเรียกทิพาไปพบแล้วรับสั่งว่า ทิพา “ ถ้าฉันตาย เธออย่าร้องไห้นะ” ทิพาเลยปล่อยโฮใหญ่ และพูดว่า ทำไมท่านหญิงรับสั่งอย่างนั้นล่ะเพคะ ท่านหญิงทรงเงียบ ไม่ตอบ แต่รับสั่งเรื่องงานกับทิพาว่า ทิพา บ่าวชื่อนี้เธอจ่ายเงินจำนวนเท่านี้ให้เขา บ่าวชื่อนี้จ่ายเงินให้เท่านี้ ทิพาก็รับคำสั่งโดยไม่ได้จด ท่านหญิงก็รับสั่งว่า “ทิพาคราวนี้เธอต้องจดนะ” จากนั้นก็ให้ทิพาออกไปและรับสั่งให้มาลีมาพบ

    ค) คุณมาลี ซึ่งเป็นพยาบาลประจำหน่วยของท่านหญิง ผมจึงรู้จักเธอดี และได้ถามคุณมาลีว่า มาลีเมื่อเช้าท่านหญิงรับสั่งกับมาลีว่าอย่างไร คุณมาลีตอบว่า ท่านหญิงรับสั่งว่า“ มาลี คนอย่างฉันหากจะตาย ฉันไม่ขอตายในบ้าน เพราะมันไม่มีเกียรติ สำหรับฉันฉันจะต้องตายนอกบ้าน และศพของฉันจะต้องคลุมด้วยธงชาติ ”ท่านหญิงรับสั่งกับมาลีเพียงเท่านี้ แล้วก็ไล่มาลีให้ออกมา

    ๑๒. เมื่อผมได้คุยกับท่านทั้งสามแล้ว ผมก็อุทานว่า “ งั้นท่านหญิงก็ทรงทราบล่วงหน้าก่อนแล้วซิว่าจะต้องจากไป คุณทิพาจึงให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในคืนสุดท้ายนี้ท่านหญิงก็ถวายสังฆทานกับหลวงปู่ครูบาธรรมชัย เหมือนกับท่านจะรู้ก่อนจริง ๆ ด้วย "

    ๑๓. รับสั่งสุดท้ายกับหลวงพ่อและหลวงปู่

    ก) โลกนี้เป็นทุกข์ ร่างกายก็เป็นทุกข์ หญิงไม่ต้องการมีร่างกายอีก ขอลาหลวงพ่อไปนิพพาน

    ข) หลวงพ่อ หลวงปู่ กรุณากราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และทูลท่านชายด้วยว่าหญิงขอลาไปนิพพาน

    ค) หลวงพ่อหญิงอยากไปนิพพาน ช่วยนำหญิงไปนิพพาน ด้วย (ประโยคนี้ผมจำไม่ได้แน่ว่า ท่านอ๋อยเล่าให้ผมฟังหรือ พ.ต.ท.สุดินทร์) แสดงว่าในขณะนั้นท่านหญิงทรงมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ไม่แสดงอาการว่าเจ็บปวดแต่อย่างใด ทั้ง ๆ ที่ควรจะปวดมาก

    ง) ท่านเงียบไปสักครู่ แล้วจึงเปล่งเสียงออกมาดัง ๆ ฟังชัดว่า โอ สว่างแล้ว ๆ ถึงนิพพานแล้ว ๆ สวยจัง เมื่อท่านหญิงทรงตรัสเองเช่นนั้นแล้ว ก็เงียบสงบ มีพระพักตร์ยิ้มน้อย ๆ อย่างมีความสุขที่สุด ซึ่งผมได้เห็นอย่างใกล้ชิดตอนรับพระศพและเคารพพระศพที่คลุมด้วยธงชาติตามที่ท่านได้รับสั่ง ไว้กับคุณมาลีในตอนเช้าวันนั้นทุกประการ

    : ข้อพิจารณา

    ในฐานะที่ผมเป็นหมอตำรวจ ย่อมได้พบและเห็นคนที่ถูกยิง แล้วเสียชีวิตบ่อย ๆ จึงขอเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับพระศพของท่านหญิงที่ท่านได้ทรงแสดงธรรมให้ผมเห็น ตามรายงานของแพทย์ และคำบอกเล่าของ พ.ต.ท. สุดินทร์ สิงหรา ณ อยุธยา (ยศในขณะนั้น)

    สรุปโดยย่อได้ว่า กระสุนปืนที่ยิงถูกเฮลิคอปเตอร์นั้นหลายนัด แต่มีเพียงนัดเดียวที่ทะลุลำตัวเฮลิคอปเตอร์เข้าด้านหน้าเฮลิคอปเตอร์เฉียดเท้าของนักบินแล้วจึงมาโดนท่านหญิง (โดยเฉพาะ) เข้าหน้าท้องกระสุนผ่านตับ ทะลุปอดข้างขวา แล้วออกด้านหลัง บาดแผลด้านหน้ารูกระสุนเข้าเล็ก แต่ทางออกของกระสุนปืนใหญ่มาก จนมองเห็นเลือดและเนื้อของปอดออกมาจุกอยู่ที่ปากแผลชัดเจน ในลักษณะบาดแผลเช่นนี้ บุคคลธรรมดาแล้วควรจะเสียชีวิตทันที เพราะช็อก เนื่องจากการเสียเลือดมากอย่างกะทันหัน โดยมีการตกเลือดมากในช่องท้องในช่องปอด และที่สำคัญที่สุดก็คือ ความกดดันภายในช่องปอดถูกทำลายทันที จนปอดข้างขวาทั้งหมดแฟบลงอย่างรวดเร็ว คนไข้จะช็อกเพราะขาดทั้งลมหายใจและเลือดไปเลี้ยงสมองอย่างกะทันหัน แต่เป็นที่อัศจรรย์อย่างยิ่ง ท่านหญิงยังทรงมีสติสัมปชัญญะดีตลอดเวลา ยังชะลอขันธ์ ๕ กลับมาได้ และรับสั่งกับหลวงพ่อ หลวงปู่ได้อย่างมีสติดีตามข้อ ๑๓

    โดยธรรมชาติที่ท่านแสดงให้ผมเห็นนี้ ผมจึงเข้าใจเอาเองว่าท่านเป็นผู้ทรงฌานสมาบัติชั้นยอด สามารถใช้ฌานสมาบัติของท่านได้ทันทีเป็นอัตโนมัติ เพื่อบรรเทาทุกขเวทนาทางกาย และใช้วิปัสสนาญาณขั้นสูงพร้อมกันไปด้วย จึงทำให้จิตเป็นสุขตลอดเวลา สมจริงตามที่ท่านได้ตรัสไว้เสมอ ๆ ใน ๓ เดือนก่อนที่ท่านจะดับขันธ์ว่า “ ชีวิตไม่มีความหมาย สมบัติในวังวิทยุไม่มีความหมาย ” (ผมขออนุญาตขยายความว่า ความตายไม่มีความหมาย เพราะคนเราเกิดแล้วต้องตายทุกคน ร่างกายนี้มันหาใช่เรา ใช่ของเราไม่ เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เราเป็นเพียงผู้ที่อาศัยร่างกายนี้อยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น โลกนี้ไม่เที่ยง ไม่มีใครสามารถจะเอาสมบัติของโลกนี้ติดตัวไปได้เลย ไม่มีใครเป็นใหญ่ได้ในโลก เพราะต้องมีความตายเป็นที่สุดและโลกนี้มีความพร่องอยู่เป็นปกติ เนื่องจากตกเป็นทาสของตัณหา ขอสรุปว่า ท่านไม่ได้ติดวัตถุธาตุใด ๆ ในโลกนี้แล้ว รวมทั้งร่างกายที่ท่านอาศัยอยู่ หรือจะกล่าวว่าท่านไม่ได้ติดสมบัติใด ๆ ในโลกแล้วก็คงไม่ผิด)

    นอกจากนั้น ท่านหญิงไม่เคยแสดงอารมณ์ใด ๆ ที่ไม่พอใจต่อผู้ก่อการร้ายเลยแม้แต่น้อย ทรงให้อภัยทานอยู่เป็นปกติ ด้วยบารมี ๑๐ ครบถ้วนบริบูรณ์ จากทานบารมี-ศีล-เนกขัมมะ-ปัญญา-วิริยะ-ขันติ-สัจจะ-อธิษฐาน-เมตตาและอุเบกขาบารมี ขอให้ท่านผู้อ่านลองพิจารณาตาม (ธัมมวิจยะ) บารมี ๑๐ ดูแล้วจะเข้าใจเอง ดีกว่าให้ผู้อื่นมาเป็นผู้บอกให้ฟัง ๑,๐๐๐ เท่า หรือ ๑๐,๐๐๐ เท่าทีเดียว เมื่อเข้าใจด้วยตนเองแล้ว จึงจะเข้าใจในอารมณ์ช่างมัน หรืออารมณ์อุเบกขา หรืออารมณ์สังขารุเบกขาญาณได้ว่ามันเป็นอันเดียวกัน แต่มันมีได้ตั้งแต่หยาบ ๆ มาหาชั้นกลางและละเอียดตามลำดับ และยังเห็นได้ชัดว่า บางคน บางวันก็มีอารมณ์ช่างมัน แต่บางวันกลายเป็นอารมณ์ช่างเผือกไปก็มีอยู่ไม่น้อย ทั้งนี้เพราะอารมณ์นี้ขึ้นอยู่กับศีลเป็นสำคัญ หากศีลยังไม่เป็นศีล เต็มบ้าง ไม่เต็มบ้าง (ศีล น้ำขึ้นน้ำลงหรือโลกียศีล) อารมณ์ก็ยังขึ้น ๆ ลง ๆ ตามศีล แต่หากศีลของผู้ใดเป็นอัตโนมัติแล้ว หรือมีสีลานุสสติอยู่กับใจตลอดเวลา หรือโลกุตรศีล หรือศีลของพระอริย เบื้องต้น หรือศีลของพระโสดาบันนั่นเอง ซึ่งเป็นอธิศีลจะไม่มีคำว่าเผลอ ไม่มีคำว่าขาดอีกต่อไป

    บุคคลเหล่านี้แหละจึงจะมีอารมณ์ช่างมันจริง แม้จะมีอะไรมากระทบก็ทรงอยู่ได้ แต่หากกระทบแรง ๆ ย่อมมีความหวั่นไหวในตอนแรกเป็นธรรมดา แต่ท่านก็สามารถปรับอารมณ์ของตนเองได้ หรือช่วยตนเองได้ เอาตัวเองรอดได้ในเวลาไม่นาน (ตามบารมีที่ท่านอยู่ในขณะนั้น) ผู้ที่หมดความหวั่นไหวเมื่อถูกกระทบคือพระอรหันต์เท่านั้น

    สิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดความหวั่นไหว ก็คือศีลอีกนั่นแหละ แม้ศีลจะเป็นอธิศีลก็ตาม แต่ยังไม่ละเอียดพอ พระพุทธองค์จึงให้ใช้กรรมบถ ๑๐ คุมอารมณ์จิตต่อไป จากกรรมบถ ๑๐ พระองค์ ทรงให้ใช้เทวธรรมและพรหมวิหาร ๔ คุมอารมณ์จิตไม่ให้เกิดอารมณ์พอใจ หรืออารมณ์ยินดีด้วยในกามฉันทะและปฏิฆะ โดยใช้สังโยชน์ ๑๐ เป็นแนวทางในการปฏิบัติ

    ดังนั้น พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ศีลคือแม่ของพระธรรม หรือศีลเป็นมารดาของพุทธศาสนา (ผมขอให้ท่านผู้อ่านจงพิจารณาเอาเอง จะได้รู้ได้เห็นด้วยตนเอง เพราะธรรมของพระองค์จะรู้ได้เห็นได้จริงตามความเป็นจริงด้วยการปฏิบัติตามวิธีของพระองค์เท่านั้น และรู้ได้เห็นได้เฉพาะตนด้วย หากผู้ใดปฏิบัติยังไม่ถึง หรือยังไม่เข้าใจธรรมะของพระองค์ ทำอย่างไรก็ไม่มีทางรู้ทางเห็นได้ เพราะตัวเข้าใจคือตัวปัญญาหรือสัมมาทิฏฐิเกิด ผู้ที่ไม่เข้าใจธรรมะ ปัญญายังไม่เกิดหรือยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่) หากจะใช้สังโยชน์เป็นเครื่องวัดความดีของท่านหญิง ย่อมเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผม คือ

    ๑. สังกายทิฏฐิ ข้อแรกนี้ชัดเจนในคำอุทานที่ว่า “ ชีวิตนี้ไม่มีความหมาย สมบัติในวังวิทยุไม่มีความหมาย ” ผมขอผ่านไป

    ๒. วิจิกิจฉาข้อสองนี้ก็เช่นกัน ท่านเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยการปฏิบัติตาม ๑๐๐% คือ ปฏิบัติตามอริยมรรค ๘ ซึ่งย่อแล้วเหลือ ๓ ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือปฏิบัติบูชาด้วยทาน ศีล ภาวนา ท่านปฏิบัติตลอดเวลาชนิดเป็น อกาลิโก (คือ ทำตลอดเวลา ในทุกโอกาส ทุกสถานที่ และทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน)

    ๓. ศีล เป็นอธิศีล หรือมีสีลานุสติอยู่ในจิต โดยไม่ต้องระวัง หรือกลัว หรือสงสัยว่าจะผิดศีลหรือไม่ จนกระทั่งแม้กรรมบถ ๑๐ เท่าที่ใกล้ชิดกับพระองค์ท่าน และได้สนทนาธรรมกับท่านเสมอ ๆ พรหมวิหาร ๔ ท่านเต็ม ๑๐๐% จากการเสียสละความสุขส่วนองค์ ทำทุกอย่างเพื่อประชาชนที่เดือดร้อน เพื่อตำรวจทหารที่อยู่แนวหน้า สละแม้แต่ชีวิตและทรัพย์สินที่รักและหวงแหน โดยไม่ได้หวังผลตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งเท่ากับตัดโลภะ (ราคะ) นั้นเอง ส่วนปฏิฆะนั้น เมื่อพรหมวิหาร ๔ เต็ม อารมณ์ไม่พอใจย่อมไม่เกิด หรือเกิดก็ดับไปทันที เรื่องกามฉันทะกับปฏิฆะนั้น ผมเพียงแค่คาดคะเนหรือเดาหรือเพียงแค่สงสัยเท่านั้น เพราะผมปฏิบัติไปไม่ถึง เมื่อยังไม่ถึงก็ต้องมีความสงสัยอยู่เป็นธรรมดา

    อนึ่ง จะเห็นได้ จากลายพระหัตถ์ที่มีถึงท่านอ๋อย (๑๗ มิ.ย.๒๕๑๙) และถึงผม (๘ ก.ค. ๒๕๑๙) ท่านรับว่าท่านทรงศีล ๕ เป็นปกติ แต่ใจมันอยากอยู่ในอุโบสถศีลเป็นปกติ และผมก็ขอยืนยันตามเหตุผลในข้อ ๙ ตามตำราศีล ๘ คือ ศีลของพระอนาคามี เป็นคุณธรรมข้อหนึ่งของท่าน เมื่อมีคุณธรรมถึงอนาคามี ศีล ๘ จะปรากฏเอง ไม่ใช่แกล้งทำ หรือต้องบังคับให้เป็นศีล ๘ เหมือนกับผมซึ่งพยายามรักษาศีล ๘ ไว้เกิน ๑๐ ปีแล้ว แต่มันก็ยังไม่มีคุณธรรมของพระอนาคามีปรากฏให้เห็นแม้แต่น้อย ผู้ที่ถือศีล ๘ ได้ในขณะนี้มีเป็นแสน ๆ คน แต่ผู้ที่มีคุณธรรมครบหายากจริง ๆ แม้แต่พระสมมุติสงฆ์และสามเณรกว่า ๓ แสนรูปก็เช่นกัน (ยังไม่รวมพวกชีอีกไม่รู้เท่าใด ผมเคยสนทนาด้วยกับชีบางคน พบว่ายังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าศีล ๘ มีอะไรบ้าง น่าเศร้าจริง ๆ)

    ดังนั้นการถือศีล ๘ จึงไม่ใช่ผู้วิเศษอะไร หากผู้ใดถือศีล ๘ แล้วไปเที่ยวอวดผู้อื่น หวังประโยชน์จากการถือศีล ๘ ในทางโลก (โลกธรรม) เพื่อตนก็น่าเศร้าเช่นกัน ผู้ถือศีล ๘ โดยขาดปัญญา จึงเป็นการเบียดเบียนตนเอง ทรมานตนเองโดยเปล่าประโยชน์ และยังทำให้จิตเศร้าหมอง (จิตเป็นกิเลสหรือเกิดกิเลส) เนื่องจากความฟุ้งซ่านของจิต ความสงสัยที่เกิดกับจิตว่าสิ่งที่ตนทำไปนั้น ที่ตนกินไปนั้นที่เวลาเกินเที่ยงไปนั้น มันจะผิดศีลหรือเปล่า จิตเต็มไปด้วยความสงสัย ความระแวง จิตจึงเกิดกิเลส เมื่อกิเลสเกิดอารมณ์พอใจหรือไม่พอใจ ย่อมเกิด (ตัณหา) เมื่อตัณหาเกิด อุปาทานก็เกิด ผลคือจิตก็ปรุงแต่งไป และสร้างอกุศลกรรมต่อทางใจไปสู่ทางวาจา และออกทางกายในที่สุด

    และมีบางคนศีล ๕ ยังไม่ครบเลย เห็นเขาถือศีล ๘ ก็ถือกับเขาบ้าง โอกาสใกล้นรกจึงมีมากขึ้น ผู้ใดมีปัญญาให้ใช้วิธีของหลวงพ่อท่าน คือถือเฉพาะเวลา เช่น ตอนเจริญกรรมฐาน เจตนา คือตัวบุญ ขอให้บริสุทธิ์จริง ๆ ในช่วงเวลาสั้น ๆ จิตก็จะไม่เศร้าหมอง

    สำหรับท่านหญิงนั้น ศีล ๘ ได้ปรากฏขึ้นกับจิตของท่านเอง เมื่อประมาณ ๖-๗ เดือนก่อนจะทิ้งขันธ์ ๕ ตามตำรากล่าวว่า เมื่อฆราวาสจบกิจพระศาสนา จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน ๑ วัน หรือ ๒๔ ช.ม. สำหรับส่วนตัวผมมั่นใจว่าท่านหญิงทรงทราบอยู่แล้วว่าจบกิจ จึงได้บอกกับคุณทิพาและคุณมาลีให้รับทราบตามตรง (โปรดย้อนดูข้อเท็จจริงที่ ๑๑) แต่ทั้งสองคนไม่เข้าใจ นอกจากนั้นหลวงพ่อท่านก็รู้ตามที่พระมาบอกท่านว่า ท่านหญิงจบกิจเมื่อเวลาสองนาฬิกา แต่ขณะนั้นหลวงพ่อท่านพักอยู่ที่ ต.ช.ด.เขต ๘ ทุ่งสง ส่วนท่านหญิงอยู่ที่บ้านรับรองของโรงปูน ส่วนรายละเอียดผมจะไม่ขอเขียนอีก เพราะหลวงพ่อท่านเล่าไว้ละเอียดแล้ว

    ปัญหามีอยู่มากในขณะนั้น (เรื่องของโลกธรรม) เพราะคนส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจเรื่องฆราวาสจบกิจในพุทธศาสนาจะต้องตายภายใน ๒๔ ช.ม. (ท่านเจ้ากรม พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ ท่านเขียนไว้ชัดในหนังสืออนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพภรรยาของท่าน) ผมก็ของดกล่าว เพราะในหนังสือเล่มนั้นมีของดี ๆ น่าอ่านน่าศึกษาอยู่มาก)

    ต่อเมื่อเวลาได้ล่วงเลยมากว่า ๑๐ ปีแล้ว จนถึงในปัจจุบันปัญหานี้ก็หมดไป เพราะมีผู้มาปฏิบัติธรรมและฝึกมโนมยิทธิกันเป็นจำนวนมากกว่าแสนคน ซึ่งสามารถจะพิสูจน์ความจริงในพระศาสนาได้ด้วยตนเอง หลังจากท่านหญิงท่านสิ้นชีพิตักษัยเพื่อประเทศชาติไปแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าสถาปนาขึ้นเป็น พระองค์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต เพื่อตอบแทนคุณความดีของพระองค์ท่าน

    โดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

    ข้อมูลจาก

    หลวงพ่อกับเหตุการณ์ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๑๗ - ๒๕๒๐
    ตอนที่ ๑ จากหนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๒


    ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๒ ตอนที่ ๑

    ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุก ๆ ท่านครับ

    ------------------------------
     
  13. คนหลงเงา2

    คนหลงเงา2 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2016
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +57
    คุณลุงปรุง ซึ่งจิตท่านเข้าสู่พระนิพพานแล้ว ก็เมตตามาสงเคราะห์

    ---------------------------

    ๒๐. เรื่องเขาเล่าว่า เขาคาดกันว่า กับจิตที่ยังไม่หมดอุปาทานขันธ์ ๕ มีความโดยย่อว่า บุคคลผู้หนึ่งป่วยมานาน ท่านเป็นผู้ปฏิบัติธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้นด้วย พอร่างกายตายไปก็มีข่าวเรื่องเขาเล่าว่า เขาคาดกันว่าคงจะไปดาวดึงส์ เพราะจิตเกาะบุญกุศล บางคนก็ว่าน่าจะไปพระนิพพาน เพราะเห็นทุกข์จากการเจ็บป่วย จึงมีอารมณ์เบื่อกาย เบื่อเกิดไม่อยากจะเกิดมามีร่างกายอีก และก่อนตายมีพระอรหันต์มาปรากฏให้เห็นหลายองค์ เพื่อนของผมท่านฟังแล้วจิตก็เลยนึกเชื่อไปตามคำบอกเล่านั้น ๆ คุณลุงปรุง ซึ่งจิตท่านเข้าสู่พระนิพพานแล้ว ก็เมตตามาสงเคราะห์ บอกว่า เขาป่วยมานานก็จริงอยู่ ทุกขเวทนามาก แต่ใจก็ยังอยากจะหายจากทุกขเวทนานั้น เบื่อร่างกาย แต่ไม่รู้จักวางร่างกาย ทุกข์น่ะรู้อยู่แต่ไม่รู้จักวาง ไปเกาะทุกข์อยู่นั่นแหละ หนทางชำระจิตจากกองทุกข์ให้หมดจดจึงไม่มี (คำสอนของพระอรหันต์ ย่อมมีคุณค่า และเป็นความจริงเสมอ ขอให้ท่านผู้อ่านจงสนใจธรรมะจุดนี้ให้มาก ๆ จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ต้องการละขันธ์ ๕ หรือร่างกายเพื่อไปพระนิพพานได้อย่างดียิ่ง) ทรงตรัสสอนเพื่อนของผมว่า “ทำอะไรอย่าเร่งรีบให้มากนัก ทำใจให้สบาย ทำอย่างตั้งใจ อย่าทิ้งความตั้งใจ แล้วหมั่นดูความตั้งใจว่า ยังตั้งใจในการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบดีอยู่หรือเปล่า ถ้ายังหมั่นดูความตั้งใจ กำลังใจก็จักไม่คลอนแคลน

    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

    ที่มาของข้อมูล

    ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้นเล่ม ๑๔ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๔ ตอนสอง

    ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุก ๆ ท่านครับ

    .......................................
     
  14. คนหลงเงา2

    คนหลงเงา2 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2016
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +57
    ทุกคนที่เข้ามาในสายของท่านฤๅษี ล้วนเป็นนักรบเก่ามาก่อนทั้งสิ้น


    พระพุทธเจ้าองค์ปฐม

    .....................................

    สมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสสอนปกิณกะธรรมไว้ มีความสำคัญดังนี้

    ๗. เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของธรรมดา ตราบใดที่กิเลสยังไม่หมดไปจากใจ ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ เมื่อเกิดมามีร่างกายก็ย่อมหนีสภาวธรรม (กรรม) เหล่านี้ไม่ได้ แม้แต่พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระอรหันต์ทุกท่าน ในที่สุดแล้วก็ต้องเข้าสู่แดนพระนิพพาน พ้นจากการจองจำของขันธ์ ๕ ให้ดูตัวอย่างท่านฤๅษี หลวงปู่วัย ท่านจบกิจนานแล้วแต่ร่างกายยังอยู่ แต่จิตของท่านก็เป็นสุข มีร่างกายก็เหมือนกับไม่มี จิตของท่านยอมรับในกฎของธรรมดาไม่ดิ้นรน เมื่อร่างกายพังจิตของท่านก็เข้าสู่พระนิพพาน จิตท่านเป็นสุขอย่างยิ่ง เมื่อหมดจากการจองจำของขันธ์ ๕ ให้ดูปฏิปทาของท่านเอาไว้ให้ดี แล้วรีบปฏิบัติตามแบบท่าน และอย่าลืมว่าทุกคนที่เข้ามาในสายของท่านฤๅษี ล้วนเป็นนักรบเก่ามาก่อนทั้งสิ้น กรรมปาณาติบาตมีมากมาแต่ชาติก่อน ชาตินี้ตั้งใจจักไปพระนิพพาน กฎของกรรมก็ย่อมจักเล่นงานอย่างหนัก ให้ยอมรับจุดนี้เอาไว้ให้ดี พระอริยเจ้าท่านยอมรับในกฎของกรรม โดยความสงบไม่ดิ้นรนให้จิตใจเดือดร้อน

    รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน

    ข้อมูลจาก

    ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้นเล่ม ๑๒ เดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๔๒

    ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุก ๆ ท่าน
    .........................................

     
  15. คนหลงเงา2

    คนหลงเงา2 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2016
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +57
    ประสบการณ์จากการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาของข้าพเจ้า

    โดย พลตำรวจโท นายแพทย์ สมศักดิ์ สืบสงวน

    ข้าพเจ้า เริ่มต้นปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาเมื่ออายุ ๔๗ ปี ซึ่งช้าและประมาทมากไปหน่อย เพราะความตายเป็นของเที่ยง แต่ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง โชคยังดีที่ยังไม่ตายเสียก่อนจะได้ปฏิบัติ ทั้ง ๆ ที่เกิดมาเป็นชาวพุทธ ได้พบพระพุทธศาสนา แต่ไปคิดผิด ๆ ว่าไว้แก่เสียก่อนจึงค่อยปฏิบัติก็ได้ หมายถึงปลดเกษียณออกจากราชการแล้วค่อยปฏิบัติก็ยังทัน จึงได้เก็บสะสมหนังสือแจกในงานศพไว้มากมายโดยไม่ได้อ่าน แต่เมื่อเกิดความทุกข์ เพราะมีความปรารถนาไม่สมหวังขึ้นกับตน เมื่อ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ จุดนี้แหละเป็นจุดเริ่มต้นในชีวิตของการปฏิบัติธรรมของข้าพเจ้า (รายละเอียดขออนุญาตไม่เขียนเพราะเป็นเรื่องน่าเบื่อของผู้อื่นและก็เป็นอดีตไปแล้ว)

    พอเข้าปี ๑๗ พระท่านก็มาโปรด ท่านมาถูกจังหวะพอดี เพราะหากมาตอนที่ข้าพเจ้ายังไม่เห็นทุกข์ โอกาสที่ข้าพเจ้าจะเห็นธรรมะนั้นยาก หากเข้ามาในจังหวะนี้ก็เห็นง่าย สอนให้เข้าใจได้ง่าย ตามพุทธพจน์ที่ทรงตรัสไว้ตอนหนึ่งว่า ที่ตถาคตเพียรสอนพวกเธออยู่นี้ จุดประสงค์ก็เพื่อให้พวกเธอได้เห็นทุกข์ตามความเป็นจริง เพราะตราบใดที่พวกเธอยังไม่เห็นทุกข์ พวกเธอก็ไม่มีทางพ้นทุกข์ไปได้ ทุกข์เป็นอริยสัจ (ทุกขสัจ)…

    ๑. อาจารย์หรือบิดาในทางธรรมของข้าพเจ้า คือ พระธรรมหรือพระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้น ส่วนอาจารย์ในมนุษย์โลก ซึ่งนำข้าพเจ้าให้ได้เห็นพระธรรมตามความเป็นจริง ก็คือ ท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี) ท่านใช้นามปากกาเขียนหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค จ.อยุธยา ว่า ฤๅษีลิงดำ คำว่า ลิงดำ หลวงพ่อปานอาจารย์ของท่านเป็นผู้เรียก แต่เราเป็นศิษย์ของท่าน หรือแม้ผู้อื่นก็ไม่สมควรจะเรียกตาม ผมขอยืนยันว่า แม้แต่พระพุทธเจ้าท่าน ยังให้เกียรติเรียกหลวงพ่อว่า ท่านฤๅษี

    ๒. เมื่อได้อ่านหนังสือเรื่องประวัติหลวงพ่อปาน แล้วก็อยากพบท่าน เพราะเป็นพระองค์เดียวที่ไม่ปกปิดความไม่ดีของตนเอง ท่านให้เหตุผลว่าหากท่านตายไป ลูกศิษย์ของท่านก็เขียนแต่ส่วนดีของท่าน ดังนั้น ท่านจึงเขียนเรื่องของตนเองไว้ก่อนดีกว่า พอผมได้พบท่านแล้วก็อยู่กับท่านตลอดมา จนกระทั่งท่านมรณภาพหรือทิ้งขันธ์ ๕ ไปเมื่อ ๓๐ ต.ค. ๒๕๓๕ ท่านประกาศทั้งที่ต่างประเทศ (Chicago . USA) และที่ประเทศไทยที่วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี ให้ข้าพเจ้ามีหน้าที่ตอบปัญหาธรรมะ (ช่วยท่าน เพราะขันธ์หรือร่างกายท่านป่วยอยู่เป็นปกติทุกวัน) หมายความว่า ตอนที่ท่านขึ้นพัก ช่วงนั้นใครมีปัญหาอะไรก็ให้ถามข้าพเจ้าได้ เมื่อท่านละขันธ์ ๕ หรือร่างกายไปแล้ว ข้าพเจ้าก็ทำหน้าที่ที่ท่านมอบให้ ทำตลอดมาจนปัจจุบันนี้

    ๓. การสอนให้ปฏิบัติธรรม ท่านใช้อานาปานัสสติ คือ การกำหนดรู้ลมหายใจเข้าและออกควบคำภาวนา หายใจเข้านึกตามว่า "พุธ" หายใจออกนึกตามว่า "โธ" (ขอไม่เขียนรายละเอียด) ตาจ้องดูพระพุทธรูปที่ตนมีอยู่ที่บ้าน หมายความว่าปฏิบัติ ทำจิตให้สงบได้ตั้งแต่ ฌานที่ ๑ - ๔ พุธ - โธได้พุทธานุสติ ส่วนจิตจับภาพพระ ใหม่ๆ ลืมตาเพ่งภาพหรือรูปพระก็เป็นกสิณ พระส่วนใหญ่เป็นสี เหลืองหรือสีดำ (อนุโลมว่าเป็นสีเขียว) การเพ่งภาพพระจึงเป็นทั้งกสิณและพุทธานุสติ คนส่วนใหญ่เข้าใจผิด มักพูดว่าไม่มีเวลาปฏิบัติพระกรรมฐาน เพราะเข้าใจผิด

    กรรมฐานเขาปฏิบัติกันที่กายเราและจิตเราเท่านั้น ไม่ให้ไปยุ่งกับกายผู้อื่นจิตผู้อื่น โดยปกติเราก็ต้องหายใจอยู่แล้ว หากเราเพียงกำหนดรู้ไปด้วยว่า ขณะนี้เราหายใจเข้าหรือหายใจออก มันก็เป็นกรรมฐานแล้ว ใครทำได้จิตก็สงบ เป็นสุข ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่เอาจิตออกไปนอกตัวไปยุ่งกับจริยาของผู้อื่น กรรมของผู้อื่น, หากภาวนาพุทโธร่วมไปกับลมหายใจเข้าออกด้วย ก็เป็นกรรมฐาน (พุทธานุสติ) ผู้ชำนาญเขาจับภาพกสิณพระไปด้วยเลยได้ ๓ อย่างพร้อม ๆ กัน ในทุก ๆ อิริยาบถยืน เดิน นั่ง นอน วิ่ง ขับรถ อาบน้ำ ถูบ้าน แม้แต่ขณะขับถ่ายของเสียหรือดูทีวี ทำได้ตลอดเวลาหากเข้าใจ ทุกอย่างต้องฝึกทั้งสิ้น แต่ส่วนใหญ่ขี้เกียจทำ ใหม่ ๆ เอาแค่อย่างเดียวอะไรก็ได้ใน ๓ อย่างนี้ ทั้ง ๓ อย่างล้วนเป็นพระธรรมทั้งสิ้น (เป็นกรรมฐานทั้งสิ้น)

    ๔. พระธรรม คือ ตัวแทนของพระพุทธเจ้า หรือ ความเป็นพระพุทธเจ้าอยู่ที่พระธรรม (อานนท์เมื่อตถาคตปรินิพพานไปแล้ว พระธรรมจักเป็นศาสดาแทนเรา) พระอริยสงฆ์ท่านช่วยประกาศพระธรรมของพระองค์ คือ พุทธศาสนา ศาสนาแปลว่า คำสอน พุทธะ คือ พระพุทธเจ้าพุทธศาสนาจึงเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าโดยตรง พระองค์จึงตรัสว่า พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ มีคุณค่าหรือมีความสำคัญเท่ากัน เรียกสั้นๆ ว่า พระรัตนตรัย

    ๕. ดังนั้น การปฏิบัติธรรมทุกจุด จึงล้วนเป็นพระธรรมทั้งสิ้น จะเป็นอานาปา ภาวนาพุท - โธ หรือจับกสิณภาพพระ ก็ล้วนเป็นพระธรรม ซึ่งถึงกันหมด มีคุณค่าหรือมีความสำคัญเท่ากัน จุดสำคัญ คือ ทรงยืนยันว่าป้องกันนรกได้ หากก่อนตายจิตเราจับอยู่กับพระธรรม หรือพระพุทธ หรือ พระอริยสงฆ์ ก็ไม่ตกนรกทั้งสิ้น เนื่องจากความตายเป็นของเที่ยง แต่ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง จะตายเมื่อไรไม่มีใครรู้ได้ ท่านจึงไม่ให้เราประมาทในความตาย เพื่อนๆ ของเราก็มีอยู่หลายคนที่ประสบอุบัติเหตุแล้วก็ตาย หากเขาเข้าใจจุดนี้ว่า กรรมฐานเขาทำกันที่จิต การเดินมรรคเพื่อไปสู่ผลเขาทำกันที่จิต ไม่จำเป็นต้องไปทำที่วัด (เราไปวัดก็เพื่อไปพบญาติทางธรรมของเรา หรือไปทำบุญ (ภายนอก) หรือพบครูอาจารย์ เพื่อขอคำแนะนำ แล้วนำมาปฏิบัติด้วยตนเองต่อไป) หากเพื่อนเราเข้าใจขอรับรองว่าเขาไปสู่สุคติอย่างแน่นอน

    ๖. พระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ สอนไว้มากถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ หรือบทหรืออุบาย ทั้งนี้เพราะบุคคลในโลก มีจริต นิสัย กำลังใจ หรือบารมีและกรรมแตกต่างกัน พระองค์เป็นพระสัพพัญญูทรงรู้ทุกอย่าง ด้วยทรงมีสัพพัญญูญาณหรือพุทธญาณแต่เพียงผู้เดียวบุคคลอื่นไม่มี จึงต้องสอนไว้ถึง ๘๔,๐๐๐ วิธี เพื่อให้เหมาะกับจริต นิสัย กำลังใจ และกรรมของแต่ละคนซึ่งไม่เสมอกัน ครั้งใดเมื่อสอนหรือเทศนาและจบลงด้วยอริยสัจ ๔ อย่างน้อยที่สุดจะต้องมีผู้บรรลุดวงตาเห็นธรรมอย่างน้อย ๑ คน

    ๗. เรื่องมโนมยิทธิหรือฤทธิ์ทางใจ สามารถเอาจิตของเราออกไปท่องเที่ยวได้ในเมืองมนุษย์ นรก สวรรค์ พรหม แม้กระทั่งพระนิพพาน ขอยืนยันว่ามโนมยิทธิเป็น ๑ ใน ๖ ของอภิญญา ๖ ที่พระองค์สอนไว้ ขอเล่าย่อๆ ว่า หลวงพ่อท่านสอนมโนมยิทธิจริงๆ ในปี ๒๕๒๑ มี ๒ แบบ คือ แบบเต็มกำลังและครึ่งกำลัง

    ก. แบบครึ่งกำลัง ทำได้ง่าย เพราะท่านฝึกนำข้าพเจ้าให้เป็นคนแรกก็ทำได้เลย จากนั้นก็แนะให้ผู้อื่นทีละคนๆ โดยหลวงพ่อฝึกให้เอง ข้าพเจ้าก็คอยยกม้านั่งเตี้ยๆ ตามไปให้ท่านนั่ง เพื่อความสะดวกและนั่งสูงกว่าศิษย์เล็กน้อย ข้าพเจ้าจึงได้ประสบการณ์มากกว่าผู้อื่นทั้งหมดในครั้งนั้น เพราะได้รู้ได้เห็นอดีตของบุคคลเหล่านั้นไปด้วย ในปี ๒๑ นี้ คนยังมีจำนวนน้อย ต่อมาคนมาฝึกกันมากขึ้นๆ จนท่านองค์เดียวฝึกให้ไม่ไหว จึงจัดให้ลูกศิษย์ที่มีทิพจักขุญาณแจ่มใส หมายความว่าเห็นภาพด้วยจิตได้ชัดเจนเหมือนเปิดไฟสว่างไสว เพราะการเห็นของแต่ละท่านยังแตกต่างกันมาก บางท่านไม่เห็นเลย (เห็นทางใจไม่ใช่เอาลูกตาเห็น) แต่เขาสามารถสัมผัสได้ด้วยจิต บอกได้ถูกต้องเหมือนพวกที่เห็นภาพแจ่มใสทุกประการ แล้วในที่สุดเขาก็สามารถเห็นได้ บางคนได้แล้วเสื่อม เพราะศีลไม่บริสุทธิ์เป็นเหตุสำคัญ บางคนปรามาสพระธรรม เพราะความสงสัยในธรรมที่ตนปฏิบัติ

    สรุปว่า ท่านฝึกพิเศษให้ลูกศิษย์เก่า ๆ (รุ่นเก่า) เพื่อมาเป็นครูฝึกแทนท่าน ส่วนตัวท่านคุมพวกเหล่านี้ด้วยจิตอีกทีหนึ่ง ผลปรากฏว่ามีคนฝึกได้เป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสน ตามลำดับ ที่สุดเขานิมนต์ให้ไปสอนที่ต่างประเทศ ที่บ่อยที่สุด คือ สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีคนไทยอยู่กันมาก คือ LA. Chicago , Denver ข้าพเจ้าก็ไปด้วยทุกครั้ง ยกเว้นครั้งแรกครั้งเดียว ต่อมาไป NewZealand ๒ ครั้ง อังกฤษ ๑ ครั้ง ข้าพเจ้าก็ไปด้วยเช่นกัน

    ขอเล่าตัวอย่างในประสบการณ์ของข้าพเจ้า คนไทยที่มาฝึกมีแพทย์และพยาบาลมากันมาก ผล ๑๐๐% ฝึกได้หมด พวกแพทย์ หลวงพ่อจะให้มาพบกับข้าพเจ้าก่อน เพื่อแนะนำวิธีอย่างแพทย์ เพราะแพทย์มักถือว่าตนฉลาดกว่าคนประกอบอาชีพอื่นๆ หากไปเกิดสงสัยขึ้นระหว่างฝึก นิวรณ์จะรบกวนจิตผลก็ไม่เกิด

    ขอสรุปสั้นๆ ว่า ต้องอธิบายให้พวกแพทย์เข้าใจ มโนมยิทธิเป็นเรื่องอำนาจของสมาธิจิต เป็นวิชาที่พวกเราไม่เคยรู้มาก่อนเลย ดังนั้นจงอย่าสงสัย อย่าคิดว่าตนฉลาด หากคิดว่าฉลาดเมื่อไหร่ ก็โง่เมื่อนั้น ให้ท่านปฏิบัติตามเขาไปแบบโง่ ๆ คือ อย่าอวดรู้ อวดฉลาด เรามาเพื่อพิสูจน์ความจริง ทำตามเขาไปก่อน เสร็จแล้วจึงค่อยว่ากันใหม่ คนฉลาดอุปมาเหมือนเรามีแก้วที่มีน้ำเต็มแก้วแล้ว จึงไม่มีใครสามารถจะมาเติมน้ำลงในแก้วของเราได้อีก เติม ๑หยด น้ำก็ล้นออก ๑ หยด เติม ๑ ถัง น้ำก็ล้นออกมา ๑ ถัง จงทำตนเองเป็นบุคคลที่มีแก้วเปล่า ๆ ใครเติมอะไรใส่ลงมาในแก้วของเรา เราย่อมได้รับสิ่งนั้นไว้ได้ไม่มากก็น้อย เมื่อหมอทุกคนรับทราบ ตั้งอารมณ์จิตให้เป็นกลางๆ ผลหมอที่ Chicago ๗ - ๘ คน ได้หมดทุกคน และได้ดีด้วย คือ เห็นภาพชัดเจน

    แต่มีอยู่ปีหนึ่ง ผู้หญิงท่านหนึ่งมีสามีเป็นหมอแต่นับถือคริสต์ เธอพาสามีมาเจาะจงให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ฝึก แม้จะลำบากใจข้าพเจ้าแค่ไหน เมื่อขอบารมีพระให้ท่านช่วยสงเคราะห์ ก็สามารถนำเขาไปเที่ยวสวรรค์ได้ พวกคริสต์เขาเคร่งในการปฏิบัติมากกว่าชาวพุทธ หากแนะนำเขาให้ไปพบพระเยซูคริสต์อาจารย์ของเขาได้ที่บนสวรรค์ (พระเยซูคริสต์ท่านก็ปรารถนาพุทธภูมิแต่บารมียังน้อยอยู่ ยังต้องบำเพ็ญบารมีต่อไปอีกนาน) พอลงมาเขาก็เปลี่ยนศาสนาของเขาเอง โดยที่เราไม่ต้องไปชักชวนเขา

    ข. มโนมยิทธิใหญ่ ฝึกได้ยากมากขึ้น จะต้องมีพื้นฐานของมโนมยิทธิเล็กมาก่อน จนคล่องตัวแล้วจึงมาฝึก ส่วนใหญ่มักจะได้เวลานี้ได้กันเป็นพันเป็นหมื่นแล้ว มันต่างกันตรงที่ว่ามโนใหญ่จะต้องทรงฌาน ๔ ให้ได้ เพราะฌาน ๔ จิตกับกายจะแยกออกจากกันได้ ๑๐๐% จิตเป็นสุขมากเพราะเวทนาของกายไม่มีแล้ว พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์กับพระอรหันต์ทุกองค์ ต่างก็ดับขันธ์ หรือทิ้งขันธ์ ๕ หรือทิ้งร่างกายไปสู่นิพพาน ด้วยการเอาจิตออกจากกายด้วยฌาน ๔ ทั้งสิ้น เพราะจิตขณะนั้นบริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากกิเลสใด ๆ ทั้งสิ้น แต่พวกเราไปได้เพราะขอบารมีพระท่านช่วยสงเคราะห์ จึงจะเข้าสู่พระนิพพานได้ มิฉะนั้นก็ไปได้แค่เที่ยวโลกมนุษย์ แค่สวรรค์ แค่พรหมเท่านั้น ตามบารมีหรือกำลังใจของแต่ละคน

    มโนใหญ่หรือเต็มกำลัง ภาพจะสว่างเหมือนกับพระอาทิตย์ในตอนเที่ยง ไม่ว่าจะฝึกในตอนกลางวันหรือกลางคืน สว่างเช่นนั้นจริงแต่เย็นเป็นสุข ภาพชัดเหมือนตาเห็นนี้แหละ จิตที่ออกไปต้องบังคับได้จังหวะ เร็วได้ ช้าได้ ให้เดินก็ได้ สามารถผ่านกำแพง ภูเขา ต้นไม้ ตึกได้สบายๆ ได้ใหม่ ๆ ยังกลัวอยู่บ้าง พอผ่านวัตถุได้ทุกอย่างก็หายกลัว ขอเขียนไว้แค่นี้ ใครอยากทำได้ก็ให้ไปฝึกที่วัดท่าซุง หรือที่ซอยสายลม ที่บ้านท่านเจ้ากรม พลอากาศโท หม่อมราชวงศ์เสริม สุขสวัสดิ์ ท่านเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน จะนำคณะของท่านมาฝึกให้ทุกต้นเดือน (เสาร์ - อาทิตย์แรก เวลา ๑๒ - ๑๔ น.) ใครปฏิบัติได้ความสงสัยเรื่องกายกับจิตเป็นคนละส่วนกันก็หมดไป

    ๘. เรื่องประโยชน์ของมโนมยิทธิ มีมากสุดประมาณ แต่หากนำไปใช้ไม่ถูกก็เป็นโทษมากเช่นกัน (ตามที่เคยกล่าวไว้แล้วในเรื่องพระธรรม ซึ่งมีคุณอนันต์ ก็มีโทษมหันต์) ขอยกตัวอย่าง ดังนี้

    ก) เพื่อคลายความสงสัยในเรื่องนรก สวรรค์ พรหม พระนิพพานตายแล้วเกิดวนเวียนอยู่เป็นวัฏจักร ตามกรรมที่ตนเองทำเอาไว้ ธรรมเหล่านี้พระพุทธองค์ตรัสไว้จริง และก็เป็นจริงตามนั้นทุกประการ

    ข) เพื่อคลายความสงสัยในเรื่องฤทธิ์ต่างๆ ในพระพุทธศาสนา ขอรับรองว่าเป็นจริง เพราะได้พบได้เห็นด้วยตนเองอยู่เสมอๆ บุคคลที่มิได้ปฏิบัติธรรมตามที่พระองค์ทรงแนะนำไว้อย่างจริงจัง รับรองว่าไม่มีโอกาสได้เห็น เพราะไม่เชื่อพระองค์จริง หากเชื่อจริงต้องจริงโดยการปฏิบัติตามท่าน ไม่ใช่เชื่อแค่ปาก หลักสำคัญตามที่กล่าวแล้วในตอนต้น คือ ให้ละกรรมชั่ว ให้ทำแต่กรรมดี ให้พยายามทำจิตให้ผ่องใสอยู่เสมอ ด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา หรือ ทาน ศีล ภาวนา

    ขอยกตัวอย่างสัก ๒ - ๓ เรื่อง สิ่งที่ข้าพเจ้าประสบมาเป็นเรื่องของ หลวงพ่อฤๅษีกับเหตุการณ์ระหว่าง ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ - ๒๕๒๐ ขณะนั้นประเทศไทยถูกพวกผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์แทรกแซงทุกรูปแบบ โดยเฉพาะนครศรีธรรมราช และ สุราษฎร์ธานี โดนหนักมาก ขนาดเข้ามายึดโรงพักตำรวจไว้แล้วถอยไป ตำรวจและข้าราชการขวัญเสียกันหมด ช่วงนี้แหละที่ท่านหญิงวิภาวดีรังสิต (หัวหน้าหน่วยของในหลวง) ได้ร่วมงานกับหลวงพ่อฤๅษี ตามพระประสงค์ของพระองค์ ซึ่งได้ฝากหน่วยของพระองค์ไว้กับหลวงพ่อด้วย การตระเวนออกเยี่ยมตำรวจทหารที่ทำหน้าที่ อยู่ตามชายแดนทั่วประเทศ เหนือ ตะวันออก ชายแดนพม่า จนลงมาสุดทางใต้ของประเทศไทย ผมไปด้วยเกือบทุกครั้ง

    หน่วยของหลวงพ่อมี ๓ คือ หลวงพ่อ ครูบาธรรมชัย และผมทำหน้าที่เป็นหมอประจำตัวท่าน เพราะหลวงพ่อมีโรคประจำตัวอยู่ และทำหน้าที่ลูกศิษย์วัดไปในตัว บางครั้งถึงเวลาเพล ผมก็ถวายอาหารให้กับหลวงพ่อและครูบาธรรมชัยบนฮ.นั่นแหละ เรื่องของหลวงพ่อจึงมีมากมาย ผมจึงขอยกเอาเป็นแค่ตัวอย่างเพียงไม่กี่เรื่อง ขอเอาเรื่องตอนลงภาคใต้ ๑๗ วันเต็ม ส่วนใหญ่อยู่ที่นครศรีธรรมราชและสุราษฏร์ธานี

    เรื่องที่ ๑ เมื่อฮ.บินไปพบก้อนเมฆขนาดใหญ่ และหนาทึบขวางทางอยู่ ซึ่งตามปกติฮ.จะต้องบินอ้อมก้อนเมฆนี้ไป แต่นักบินเกิดลังเลใจถามหลวงพ่อว่าผ่านไปได้ไหมครับ หลวงพ่อตอบว่า ได้ นักบินก็นำเครื่องบินผ่านทันที เหตุมหัศจรรย์ก็ปรากฏ ก้อนเมฆใหญ่นั้นแยกออกเปิดเป็นทางตรงเหมือนถนนไฮ - เวย์ ให้ฮ.ผ่านไปอย่างสะดวก เมื่อฮ.ผ่านพ้นก้อนเมฆไปแล้ว พวกเราก็หันมาดูปรากฏว่าก้อนเมฆนั้นกลับมาชิดกันเหมือนปกติ เป็นที่น่าอัศจรรย์แก่นักบินที่ ๑ - ๒ และผู้โดยสารทุกคนอย่างยิ่ง

    เรื่องที่ ๒ เมื่อฮ.บินไป มีก้อนเมฆเล็กบ้างใหญ่บ้าง แต่ไม่หนาทึบ เมฆสีขาวๆ เหล่านี้ขวางทางบินของฮ. แต่พอฮ.บินเข้าไปใกล้กลุ่มเมฆเหล่านั้น ความอัศจรรย์ก็ปรากฏ คือ ก้อนเมฆเหล่านั้นถูกปัดออกไปให้พ้นทางบินของฮ.หมด เหมือนกับมีคนนั่งอยู่ที่ส่วนหัวของฮ. เอาพัดวิเศษโบกปัดให้เมฆเหล่านั้นออกไป เหมือนปัดปุยนุ่นฉะนั้น เป็นภาพที่น่าดูมาก ในเที่ยวบินนี้มีหมอและพยาบาลของท่านหญิงไปด้วย หมอผู้ชายซึ่งนั่งอยู่ริมขวาสุด (แถวที่ ๓) อุทานออกมาว่า เอ๊ะ มันเป็นไปได้อย่างไร

    เรื่องที่ ๓ วันหนึ่งฮ.ต้องบินผ่านเขตอันตราย ซึ่งมีพวกคอมมิวนิสต์อยู่เบื้องล่างจำนวนมาก นักบินซึ่งมั่นใจในองค์หลวงพ่อจึงขออนุญาตบินผ่านโดยไม่ต้องบินอ้อม เมื่อท่านอนุญาตก็บินตรง พอเข้าเขตสีแดง (เขตผ.ก.ค.) สิ่งอัศจรรย์ก็ปรากฏ มีเมฆขนาดใหญ่มากหนาทึบเกือบเป็นสีดำไม่ทราบว่าลอยมาจากไหน และลอยได้เร็วกว่าฮ. (ซึ่งปกติฮ.จะบินได้เร็วกว่าเมฆ) และเมฆก้อนนั้นลอยมาหยุดอยู่ใต้ฮ. ฮ.จะบินไปทางไหน เมฆก็ลอยไปทางนั้นด้วย เปลี่ยนทิศทาง บินซ้ายบ้าง ขวาบ้าง เมฆก็ลอยตามบังอยู่ข้างล่างฮ.ตลอดเวลา พอพ้นเขตอันตรายแล้ว เมฆก้อนนั้นก็ลอยจากไปทันที คราวนี้ผู้ที่ตาเหลือกเพราะเห็นความอัศจรรย์ไม่ใช่ใครอื่น คือตัวนักบินเอง

    เรื่องที่ ๔ วันหนึ่งขณะที่ฮ.บินออกไปเยี่ยมตำรวจ ทหาร โดยปกติผมจะนั่งแถวที่ ๓ ริมซ้ายที่สุด ถัดมาก็คือท่านหญิงวิภาวดีรังสิต ปกติทุกวันจะรับสั่ง (คุย) กับผมเสมอ วันนั้นท่านค่อนข้างสงบ ผมจึงหันหน้าไปด้านซ้ายของฮ.ก็พบสิ่งอัศจรรย์ ซึ่งไม่อาจจะลืมได้ในชีวิตของผม คือ ปรากฏมีรุ้งกินน้ำขนาดเล็กลอยอยู่ข้าง ๆ ฮ. สีสวยสดงดงามมากอย่างชนิดที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิต ขนาดกว้างโดยประมาณ ๒ วา เมื่อเป็นปีติสุขก็เกิด แต่อดสงสัยไม่ได้ว่า อะไรหนอจึงสวยงามขนาดนี้ คิดว่าตนเองตาอาจจะฝาดไป ก็หลับตาแล้วลืมใหม่ ภาพก็คงเหมือนเดิม ขยี้ตาแล้วก็เหมือนเดิม หยิกขาตนเองแล้วภาพก็ยังคงเดิม จึงตื่นเต้นมาก จนลืมไปสะกิดท่านหญิงแล้วชี้ให้ท่านดู (ทอดพระเนตร) พอท่านหันพระพักตร์มาเห็นภาพนั้น ท่านและผมต่างก็พนมมือไหว้และอยู่ในความสงบ

    สักครู่ใหญ่ ๆ ภาพนั้นจึงได้หายไป ท่านหญิงรับสั่งถามว่า อะไรหนอ ผมตอบว่า ให้ถามหลวงพ่อ เมื่อฮ.จอดและเข้าที่พักแล้ว จึงได้ถามหลวงพ่อ คำตอบคือ ฉัพพรรณรังสี รัศมี ๖ ประการของพระพุทธเจ้า ทุกคนที่อยู่ฟังด้วยในที่นั้นต่างก็ยกมือขึ้นสาธุพร้อม ๆ กัน นี่เป็นพระเมตตาโดยตรงของพระพุทธองค์ที่ต้องการให้ใครเห็นก็ได้ ไม่ต้องการให้ใครเห็นก็ได้ นักบินที่ ๑ - ๒ หมอและพยาบาลของท่านหญิง ช่างเครื่องและตำรวจประจำปืนกลของฮ. ก็ไม่มีใครเห็น สิ่งนี้หรือธรรมนี้ เรียกว่า พุทโธอัปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้าหาประมาณมิได้ การบินมีทุกวันออกเวลา ๐๗.๐๐ น.กลับถึงที่พักประมาณ ๑๘.๐๐ น. และมีสิ่งอัศจรรย์ให้เห็นได้ทุกวัน นี่เป็นแค่ตัวอย่างเท่านั้น

    ค) เพื่อคลายความสงสัยเรื่องร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราคือจิตที่อาศัยมันอยู่ชั่วคราวเท่านั้น บุคคลใดยังปฏิบัติธรรมได้ไม่ถึงจุดนี้ ย่อมมีความสงสัยเป็นธรรมดา แต่ปฏิบัติได้ถึงทรงฌาน ๔ ได้ จิตกับกายแยกจากกัน ๑๐๐% ความสงสัยก็หมดไปเอง มโนใหญ่ตามที่เขียนไว้ในตอนแรก เห็นกายอีกกายหนึ่งถอดออกมาจากกายเนื้อชัดเจน กายนี้ละเอียดมาก ผ่านวัตถุต่าง ๆ ได้ทุกชนิด จะให้ลอย (เหาะ) ไปช้าก็ได้ เร็วก็ได้ ไม่ขอเขียนรายละเอียดถึงแล้วจึงจะรู้ได้เองเฉพาะตน ขอยกตัวอย่างให้ฟัง ๒ - ๓ คนที่จำได้ แต่ต้องเจ็บป่วยตามวาระกรรมที่ตนเองทำไว้ในอดีต และต้องถูกผ่าตัดใหญ่ ต้องถูกดมยาสลบ หรือถูกฉีดให้สลบ

    รายที่ ๑ เป็นพยาบาล เนื้องอกที่มดลูก จำเป็นต้องผ่าตัดเอาออก แต่เธอกลัวการผ่าตัด จึงบอกเพื่อนที่เป็นหมอเพศเดียวกันว่า ฉันกลัวให้ฉีดยาให้หมดความรู้สึกก่อนจะไปห้องผ่าตัด หมอก็ทำตามและผ่าตัดเรียบร้อย นำกลับมาห้องพัก แต่คนไข้ไม่ยอมฟื้นทั้ง ๆ ที่ความดัน ชีพจร การหายใจปกติทุกอย่าง เพื่อน ๆ และญาติรอกันเต็มห้องเป็นชั่วโมง เธอก็รู้สึกตัวลุกขึ้นนั่งได้ทันที ชี้หน้าเพื่อนหมอที่ผ่าตัดเธอว่า ทำไมไม่เอาฉันไปผ่าตัดเสียที ฉันรำคาญเต็มทนแล้ว ทุกคนในห้องก็หัวเราะชอบใจ ต้นเหตุเพราะเธอกลัวผ่าตัด จึงเข้าฌาน ๔ แล้วมโนมยิทธิเอาจิตของเธออกไปท่องเที่ยวตามที่ต่าง ๆ เสียเพลิน พอกลับมาพบตัวเองยังอยู่ในห้องพัก เลยคิดว่าเขายังไม่ได้เอาเธอไปผ่าตัด

    รายที่ ๒ เป็นหญิงเช่นกัน สามีเป็นหมอ ต้องผ่าตัดเอาลูกออกทางหน้าท้อง เพราะกระดูกเชิงกรานของเธอเล็ก เมื่อผ่าตัดเสร็จก็นำกลับห้อง เธอก็เล่าให้สามีฟังว่าหมอคนที่ผ่าตัดเธอชื่ออะไร ผู้ช่วยชื่ออะไร พยาบาลชื่ออะไร ลูกเกิดเป็นผู้ชาย เวลาเท่าไหร่ น้ำหนักตัวเท่าไหร่ บอกได้ถูกต้องทุกประการ สามีก็ตกใจถามว่าเธอรู้ได้อย่างไร คำตอบก็คือขณะที่เขาดมยาสลบให้เธอนั้น จิตของเธอมิได้สลบตามร่างกาย จิตของเธอออกมายืนดูเขาผาตัดอยู่ตลอดเวลา (ใช้มโนใหญ่ออกมายืนดู)

    รายที่ ๓ ก็เป็นหญิงยังเป็นโสดอยู่ มีเนื้องอกที่รังไข่ หมอแนะนำให้ผ่าตัด เธอก็ยอม ตอนที่เขาให้ยาสลบ จิตเธอก็หนีไปอยู่บนนิพพาน (ด้วยมโนมยิทธิ) เช่นกัน ไปกราบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็สอนเธอถึงวิธีตัดขันธ์ ๕ (วิธีพิจารณาว่าร่างกายนี้เต็มไปด้วยความสกปรก ไม่เที่ยง เต็มไปด้วยความทุกข์ มันหาใช่เรา หาใช่ของเราไม่) ผมก็ถามเธอว่า แล้วเธอรู้ได้อย่างไรว่า หมอเขาผ่าตัดเสร็จเมื่อไหร่ เธอตอบว่า พระพุทธเจ้าบอกกับเธอว่า ให้รีบกลับลงมาไปข้างล่างได้แล้ว ประเดี๋ยวพวกหมอเขาจะพากันวุ่นวาย เธอก็กราบพระบาทของพระองค์ แล้วลงมาเข้าร่างกาย ก็พบว่าหมอเขากำลังเย็บหนังท้องพอดี และเริ่มรู้สึกตัว

    สรุปว่า ยาสลบ ทำให้สมองหรือประสาทของร่างกายสลบหรือหมดความรู้สึกได้ แต่ไม่สามารถทำให้จิตสลบได้ ผู้มีวิชามโนมยิทธิ สามารถหนีไปท่องเที่ยวที่ไหนก่อนชั่วคราวได้อย่างรายที่ ๑ ซึ่งกลัวการผ่าตัดก็คือกลัวตายนั่นเอง ส่วนรายที่ ๒ เป็นบุคคลที่กล้าหาญมาก สามารถใช้วิชามโนมยิทธิออกมายืนดูเขาผ่าตัดร่างกายของตนเองตลอดเวลา และ รายสุดท้าย ผมขอชมเธอเป็นพิเศษ เพราะเป็นผู้ไม่ประมาทในความตาย จิตเธอขึ้นเฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่บนพระนิพพาน หากเกิดร่างกายของเธอตายไปเพราะการผ่าตัด จิตของเธอ (ตัวเธอเอง) ก็อยู่บนพระนิพพานแล้ว

    นับว่าโชคดีหากเป็นเช่นนั้นจริง เพราะเธอไม่อยากเกิดมามีร่างกายให้พบกับความทุกข์ ความไม่เที่ยง ความสกปรก ต้องเป็นขี้ข้าอาบน้ำ แต่งตัว ล้างขี้อันแสนสกปรก ตั้งแต่หัวถึงเท้าให้มันทุกวัน วันละหลายหน (หากนับจากหัวลงมาก็ ขี้หัว ขี้ตา ขี้หู ขี้มูก ขี้ฟัน ขี้เหงื่อ ขี้ไคล ขี้เต่า ขี้มือ ขี้เล็บ ขี้ตีน แล้วยังแถมขี้เกียจอีกต่างหาก) เธอว่าเข็ดแล้ว ขอเป็นขี้ข้ามันชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ร่างกายมันพักเมื่อไหร่จิตเธอก็สบายเมื่อนั้น คือ ไปพระนิพพาน เพราะเธอซ้อมตาย และพร้อมที่จะตายได้ตลอดเวลา วันหนึ่งข้างหน้าก็จะต้องถึงสภาวะธรรมอันนี้ด้วยกันทุกคน

    ง) ใช้เป็นทางลัดเพื่อเข้าสู่พระนิพพานได้อย่างดียิ่ง เช่นในรายที่ ๓ (รายสุดท้าย) เป็นต้น ผมขออธิบายเพื่อความเข้าใจง่ายขึ้น จิตไม่มีเวลา เวลาของจิตไม่มี หรือไม่มีเครื่องมืออะไรจะวัดเวลาของจิตได้ นักวิทยาศาสตร์ท่านเก่งมาก สามารถวัดสิ่งที่เร็วที่สุดในโลกได้คือ แสง วิ่งได้เร็ว ๑๘๖,๐๐๐ ไมล์ต่อวินาที หรือ ๓ รอบโลกมนุษย์ และบอกว่าดาวบางดวงอยู่ห่างโลกมากถึง ๑๐๐ ปีแสง หรือ ๓๐๐ ปีแสงก็มี (ไอสไตน์) หากผมจะถามไอสไตน์ว่าดาวดวงไหนล่ะ ไอสไตน์ก็จะชี้ให้ผมดู พอผมดูจิตผมก็ถึงดาวดวงนั้นทันทีไม่มีเวลาหรือเครื่องมืออะไรจะวัดได้ การไปพระนิพพานเขาเอาจิตไป ร่างกายเอาไปไม่ได้ ผู้ชำนาญท่านซ้อมเอาจิตไปพระนิพพานได้ แค่นึกก็ถึงทันที เมื่อนั้น (ขออธิบายแค่นี้ให้มาฝึก หากทำได้ก็หมดสงสัย)

    ขออ้างพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าตอนหนึ่งว่า ธรรมของตถาคตจริงในปัจจุบัน เท่านั้น อดีตก็ไม่ใช่เพราะผ่านมาแล้วอนาคตก็ไม่ใช่เพราะยังไม่ถึง หมายความว่า หากเราสามารถทำจิตของเรา ให้ว่างจากกิเลส ตัณหา อุปาทานและอกุศลกรรมได้ชั่วขณะจิตหนึ่ง ในช่วงนั้นจิตเราก็สามารถเข้าถึงพระนิพพานได้ แต่เราไม่สามารถทำได้ตลอดเวลา แบบพระอรหันต์ แต่พระองค์ทรงตรัสชมว่า เป็นความดีที่ประเสริฐยิ่ง ทรงตรัสว่า เธอจงอย่าดูถูกความดีเล็กๆ น้อยๆ น้ำทีละหยด ก็สามารถทำให้น้ำเต็มตุ่มได้ฉันใด ความดีเล็กๆ น้อยๆ ที่เธอสะสมไว้ ก็สามารถทำให้เธอจบกิจในพระพุทธศาสนาได้ฉันนั้น

    พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน ผู้รวบรวม

    ข้อมูลจาก

    ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้นเล่ม ๑

    ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุก ๆ ท่านครับ

    ------------------------
     

แชร์หน้านี้

Loading...