คุยเรื่อง พระถัง

แล้ว ในเรื่องเค้าอทิบายความแตกต่างของหินยานกับมหายานด้วย ตกลงมหายานเป็นพุทธที่ถูกต้องไหมครับ

 

สมัยที่พระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์อยู่...ไม่เห็นมี หินยาน มหายาน อะไรเลย.....ไม่ได้สอน ด้วยซ้ำ....ทำไม สาวกจึงมี

แสดงว่า...สาวกเอง ตอนพระศาสดายังอยู่ ก็ไม่กล้าแสดง...พอพระศาสดาไม่อยู่เท่านั้นแหล่ะ....ได้เรื่องเลย

ตามความเข้าใจผม พระถังท่านได้ศึกษาหมดแหล่ะทั้ง หินยานมหายาน รวมกันเลย ไม่แบ่งแยก...แต่ คนอ่านต่อ ...อ่านทีหลัง มันเอามาแบ่งกันเอง อีก

 

ความจริง มันเป็นคำสอน อันเดียวกัน....เนื่อเรื่องเดียวกัน เนื้อหาเนื้อความอันเดียวกัน แต่..มันอาจจะกว้างมากไป ครอบคุมมากไป...สาวกก็เลยคัดแยก เอาแต่ที่ตนเองจะ พอเข้าใจได้ มาช่วยอ้างอิง ให้ตนเอง...ประมาณว่า...แบบนี้ คือ...ใครชอบกรรมฐาน ใครชอบสมาธิ ใครชอบใช้ปัญญา ใครชอบใช้ทุกกิริยา ก็เลือกเอาแต่ที่ตนเองชอบ ....เหมือนบ้านเราทุกวันนี้ไง ใครชอบธรรมกลาย ใครชอบกสิณ ใครชอบมโมยิทธิ ใครชอบนั่งสมาธิ ใครชอบป่า ใครชอบบ้าน

 

ผมนับถือพระพุทธเจ้า....แล้ว

ผมนับถือศีลข้อเดียว...ไม่ครบห้าข้อ ไม่นั่งสมาธิ ไม่กรรมฐาน...ผมก็พุทธ
ผมห้อยพระองค์เดียว ผมก็พุทธ
ผมไม่ต้องถือศีล ผมก็พุทธ

ข้ออ้างมีเยอะ....เป็นพุทธ...ไง แท้สิ พระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน...แต่จะปฏิบัติในแบบของตนเองไง....อิ

 

ผมเห็นมหายานในความหมายที่พระถังแสดงจะหมายถึงเน้นที่จิต แต่ข้อวัตรปติบัติจะแตกต่างออกไป เหมือนสิลเรากับเค้าไม่เหมือนกันน่ะครับ แบบว่าเรายกเอาศิลวัตรปติบัติข้อห้ามจากพระสูตรอย่างนึงเค้ายกเอาข้อห้ามคนละอย่างกัน เช่นห้ามกินเนื้อสัตว์ที่เราไม่มีเค้ามี เหมือนสองสายนี้จะต่างกันที่ ศิล เละข้อวัตร ปติบัติ แต่ธรรมน่าจะเหมือนกันในเรื่องของจิต หรือปล่าวครับ แล้วแบบนี้ ท่าจิตหลุดพ้น ด้วยข้อวัตรปติบัติที่แตกต่างกันได้ไหมครับ ท่าวิธีการชำละขัดเกลาจิตเป็นรูปแบบเดียวกัน ด้วยการมีสติ รู้ ละลึก เละชำละกิเลสออกไปเรื่อยๆ ต่างหรือเหมือนกันครับ นิพพานเหมือนกันไหม

 

หรือ การที่พระพุทธเจ้า ท่านเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ก็เพื่อ....จะได้ให้สาวก ทั้งหลาย ได้เห็นความเป็นจริงของตนเองว่า.....สาวก..เอง ก็ยังเอาตัวเองให้รอด ไม่ได้......สาวกเองนั่นแหล่ะที่ ทำลายพระศาสดาเสียเอง

ศาสนาจักย่อยยับเพราะ ฝีมือ ของ เหล่าสาวกกันเอง

 

ถ้าจะเอาเรื่อง การชำระกิเลสมาอ้าง....ก็เหมือนกันครับ

ตามเนื้อเรื่องในหนัง หินยานหมายถึง ...เอาตัวเองให้รอดให้ได้ เป็นแนวปัจเจก ช่วยตนเองให้ถึงนิพพานให้ได้ ....(จะได้หรือไม่ค่อยว่ากัน) เหมือนหินที่ตนเองนั่งเรือแคบ

มหายาน เขาอ้างความเมตตาแบบพระโพธิสัตว์ ไม่เน้นช่วยตนเองคนเดียว แต่ต้องการช่วยคนหมู่มาก...เหมือนหินกว้างเรือกว้าง

เรื่องชำระกิเลส เป็นคำสอนของพุทธศาสนาอยู่แล้ว...ไม่แตกต่าง...แต่มันจะมาต่างกันตรง การปฏิบัติ นี่สิครับว่า...

 

ดูหนัง ต้องวิเคราะห์ คนทำหนัง

ผู้ผลิต ผลิตอย่างนึง เขียนบทอย่างนึง

ผู้แปล แปลใส่อย่างนึง

ผู้ใส่เสียง อ่านที่แปล แต่ด้วยความเก๋า และ จัดว่าเป็นอาชีพ
จะต้องแปลด้วย ภาษาร่วมสมัย วลี สำนวน อีกและ อีกแล้ว อีกเละ
ก็จะอีกเรื่องนึง

คนฟัง ฟังด้วยความพอใจ เขาพูดอย่างนึง แต่ ระลึกได้อีกอย่างนึง

ถ้าเป็น ภาษาธรรม สังเกต ปิติ สุข ไม่เที่ยง ตั้งอยู่ไม่ได้ ถูกทำลาย
ด้วยความสงสัย แล่นไปคิด แทนที่จะ เห็นความสงบ สงัด แสดงความไม่เที่ยง
เป็นภาษาธรรม

 

ดังนั้น ความเป็นพุทธ จะอ้างคำสอน อ้างพระธรรม...ก็ล้วนอ้างได้

แต่ การดูที่ การประพฤติปฏิบัติต่างหากครับ ว่าเดินตามรอยพระศาสดา จริงหรือไม่

 

ขอบพระคุณครับ

 

ยกตัวอย่าง ซีรี่พระพุทธเจ้า

ทำโดยคนอินเดีย แปล ภาษาอินเดีย ตาม ตำราดั้งเดิม

ยกตัวอย่าง ธรณีสูบ พระเทวทัต คนอินเดีย อ่านตำรา เขาแปลความ
ได้ว่า " ตกเขา " แล้ว ก็มีคนหามแคร่ กับกุฏิพระพุทธองค์ พระพุทธองค์
ทรงลงไปช้อนร่างมาที่ตัก ลูบคางพระเทวทัต ในฐานะ พี่น้องร่วมรบ
ร่วมวัง

แต่ตำรา พี่ไทย แผ่นดินแยก ธรณีสูบ แผ่นดินกระแทกคางหลุด กามหัก
แล้วถวายพระพุทธองค์

และ

เอ้ย เละ

เละ สังเกตเลย ซีรี่พระพุทธเจ้า จะมี ตอนสุดท้าย ที่มี ผู้อำนวยการสร้าง
มาอธิบายเองด้วย ภาษาเขาเอง คนแปล แปลธรรมออกมา ไม่ได้ผ่าน
หมู่บ้านพลัม ประเด็นของธรรม จะคนละเรื่องเลย ทั้งๆที่ เป็นฉากสำคัญๆ
ฉากเดียวกัน

 

แต่ถ้า ดู ซีรี่ พระพุทธเจ้า ด้วยภาษาธรรม

พอน้ำตาไหล นี่ ประจบ สอพลอ มันเกิด มันดับ
[ พูดแบบกิเลสละเอียด จะเป็นภาษาสุภาพ เกิด มานะ อัตตานุทิฏฐิ ]

พอปิติเกิด กำหนดรู้เห็น ความเกิด ความดับ ของปิติ สุข อุเบกขา
มีจิตตั้งมั่น น้อมไปยัง ความสงบยิ่งกว่า(อธิจิต) ปัญญาอันยิ่งกว่า(อธิปัญญา)
เขาจะแปลผิด แปลถูก ไม่ได้มี อำนาจเหนือ การฟังธรรม ได้เลย

 

เออ พูดเข้าหู พระเทวทัต ...ถูกใจพระเทวทัต นี่หว่า....ใซ่ล่ายๆ
ทำไม มันถึงแปล ซะ....พืลึกกึกกือ กันจัง....คนแปลง เนี่ย

 

เออ แกเนี่ย พูดภาษาคน ก็เป็นเหมือนกัน นะ...
ลีๆๆๆๆ

 

พูดก็พูดนะ....ซี่รี่พระพุทธเจ้าเนี่ย...น้ำตาไม่ไหลอ่ะ

น่าจะเปลี่ยนชื่อเรื่องว่า....ซีรี่พระเจ้าพิมพิสาร ซะมากกว่า...จะถูกกว่า..แย่งซีนพระพุทธเจ้าหมดเลย

 

ไม่เคย อ่าน พงศาวดาร หรอ

ตอนพระเจ้านันทบุเรง ผู้ชนะสิบทิศ มาตีเมืองตองเจ

จะเห็นว่า เงื่อนไขการมาตี คือ ยกตนเป็น อนาคตวงษ์ หากไม่สวามิภักดิ์
กระด้างกระเดื่อง ก็เท่ากับ ขัด บรมโพธิสัตว์(บรมโพธิสมภาร) บ่อนทำลาย
ศาสนาพุทธของผู้มีพระภาค

แปลว่าอะไร

แปลว่า คนสมัยโบราณ อาศัย พระพุทธศาสนา เป็น โองการ ในการเข้าปกครอง

ดังนั้น

หาก น้าจร ต้องการให้ เนื้อหาสาระแห่งธรรม มีแนวโน้มเป็น เรื่องอำนาจเหนือ
น้าจร จะแปลแบบไหน หละ ไม่ให้หัวถูกกุด

แต่ถ้า แปลสุ่มสี่ สุ่มห้า ไม่เหลือร่องรอย ธรรมเลย ป่านนี้ นิพพานกลายเป็น ดอก"นัว"แสง ไปแว้ว

 

ไม่จ้าย จิฮับ

น้ำตาไหล ก็ให้รู้ว่า น้ำตาไหล

น้ำตาไม่ไหล แล้ว มุ่งบอกกล่าว น้ำตาไม่ไหล อันนี้ ก็เป็น ประจบ ดินสองพลอง อยู่ดี

หรือจะพูดว่า

" น้ำตาไหลก็ไม่ใช่ ไม่ไหลก็ไม่เชิง " ก็ยังเป็น อาการอุปทานใน น้ำตา อยู่ดี

ของจริง น้ำตาไหล ไม่ไหม ไหลก็ไม่ใช่ไม่ไหลก็ไม่ใช่ กำหนดรู้ ทุกข ลูกเดียว

พระอานนท์ ยังน้ำตาไหลได้เลย ไม่ได้ห้าม จักหน่อย

 

โห....สัพเพธัมมา อนัตตา....
ธรรมะน่ะ มันมีอยู่ทุกที่....พระตถาคตท่านชี้ได้ทุกที่ ไม่จำเพาะ ว่าต้องเป็น พระไตรปิฏก......(แก เข้าจัยมั้ยเนี่ย)

ทีนี้เรื่องดอกบัวแสงนิพพาน...แกมองไม่เห็นธรรมเอง....โทษใครฟะ

 

ประเด็นคือ....พระเจ้าพิมพิสาร....แย่งซีนจนหมด....เว้ย

 

เออ ดูหนังเป็น นี่

ตรงนี้เลย ที่ ผู้กำกับเขา พยายามเน้น ......คือ ตถาคต คือ สภาพที่เราสามารถเอา
อะไรก็ได้ มากำหนดรู้ทุกข์ให้ถูกวิธี กำหนดถูก ก็ บรรลุฉับพลัน ( ตรงนี้ เลยทำ
ให้เลือก ผู้แปลบท เป็นหมู่บ้านพลัม ....ก็เลย ......................... )

แต่ถ้ากำหนดไม่ถูก เหตุไม่รู้ ผลอ้างลอยๆ กลับมาเป็น คนธรรมดา อันนี้
ผู้กำกับเขาก็ ยก สันติ ให้