ปิดกระทู้ครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย mongkhon999, 23 มกราคม 2018.

  1. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,294
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    กรณีเตโชวิปัสสนาอัจฉราวดี
    นิมิตพิศวงกับคำว่า “หลง” ใกล้กัน

    ช่วงที่ข้าพเจ้าเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถานที่ประเทศอินเดีย พร้อมแสดงธรรมแก่ญาติโยมร่วมคณะธรรมยาตรา ศิษย์กรรมฐานผู้หญิงคนหนึ่งร่วมอยู่ในคณะนั้นด้วย เธอติดกล้องคอมแพกเล็กๆ ตัวหนึ่งไป ตกถึงตอนเย็นยามค่ำคืนที่พุทธคยาสังเวชนียสถานแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เธอได้ใช้กล้องคอมแพกเล็กๆ พิเซลต่ำๆ ตัวนั้นถ่ายองค์พระมหาเจดีย์พุทธคยา องค์พระอนิมิสเจดีย์ ปรากฏในภาพถ่ายนั้นๆ เห็นดวงแสงกลมๆ เป็นจุด อยู่หลายตำแหน่ง บางตำแหน่งก็กลมโตใหญ่ทีเดียว

    ศิษย์กรรมฐานผู้หญิงคนนั้นนำกล้องคอมแพกมาคลิกรีวิวภาพนั้นให้ข้าพเจ้าดูด้วยความรู้สึกตื่นเต้นว่า “นี่พระอาจารย์เห็นไหม ดวงแสงกลมๆ เป็นจุดๆ คือเทวดา ท่านมีวิมานสถิตอยู่ใกล้ๆ กับองค์พระมหาเจดีย์พุทธคยาคอยรักษาอยู่ ดูสิ ดวงแสงตรงนี้ยิ่งกลมใหญ่เลย เจ้าค่ะ”

    ข้าพเจ้าตอบศิษย์กรรมฐานคนนั้นทันทีว่า “ไม่ใช่หรอกโยม มิใช่เทวดาวิมงวิมานอะไรหรอก นี้เป็นเพียงผลจากการถ่ายภาพด้วยกล้องคอมแพกคุณภาพพิกเซลต่ำเท่านั้น โดยเฉพาะถ่ายในเวลากลางค่ำกลางคืนจะปรากฏเห็นดวงแสงกลมๆ เป็นจุดๆ อย่างนี้แหละ แต่ถ้าถ่ายตอนกลางวันสภาพแสงพอจะไม่เห็นดวงแสงกลมๆ เป็นจุดๆ อย่างนี้เลย และถ้าเป็นกล้องโปรคุณภาพสูงถ่ายในเวลากลางค่ำกลางคืนหรือในสภาพแสงน้อย low light ก็จะไม่ปรากฏเห็นดวงแสงกลมๆ เป็นจุดๆ อย่างนี้เหมือนกัน เรื่องปกติน่ะโยม อย่าไปคิดอะไรมาก”

    ดูเหมือนศิษย์กรรมฐานคนนั้นจะไม่ยอมเชื่อข้าพเจ้าเลย พลอยจะขัดเคืองเสียด้วยซ้ำ เพราะเหตุที่เธอรีวิวภาพมีดวงแสงกลมๆ เป็นจุดๆ นั้นให้ข้าพเจ้าดู ต้องการบอกให้ทราบว่า “เธอเป็นคนมีบุญจึงถ่ายเห็นเทวดา ทิพยวิมานของเทวดา” (เป็นตุเป็นตะ)

    ศิษย์กรรมฐานผู้หญิงคนนี้ยังไม่ลดละความพยายามที่จะทำให้ข้าพเจ้าเชื่อตามที่เธอบอกอย่างเดียวว่า “นั่นคือเทวดา วิมานเทวดาที่สถิตอยู่ใกล้ๆ กับองค์พระมหาเจดีย์พุทธคยา” ไปอินเดียรอบสองกับข้าพเจ้าอีก เธอก็ใช้กล้องคอมแพกตัวเดิมนั่นแหละถ่ายภาพเห็นดวงแสงกลมๆ เป็นจุดๆ เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง นำมาให้ข้าพเจ้าดูย้ำให้เชื่อตามที่เธอถ่ายภาพเห็นมานั้นอีก คราวนี้ข้าพเจ้าตอบว่า

    “ถ้าเช่นนั้น อาตมาจะให้โยมเอากล้องของอาตมา (กล้องโปร Sony a7s mark ii) ไปถ่ายภาพดูว่าจะมีดวงแสงกลมๆ เป็นจุดๆ นั้นมั้ย อาตมาถ่ายมาเยอะแล้ว แม้ตอนกลางค่ำกลางคืนในสภาพแสงน้อย low light ก็ไม่เห็นดวงแสงกลมๆ เป็นจุดๆ อย่างนี้เลย”

    ศิษย์กรรมฐานคนนี้สีหน้าดูไม่สู้พอใจนัก ตอนหลังก็ยังพยายามให้ข้าพเจ้าเชื่อตามเธออีก ข้าพเจ้าก็เลยเฉยๆ ไม่พูดอะไร เพื่อมิให้ขัดใจเธอ ปัจจุบันศิษย์กรรมฐานคนนี้ออกไปจากข้าพเจ้าแล้ว คงเพราะเหตุว่าข้าพเจ้าเป็นพระสายปัญญา มิใช่พระสายนิมิตอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เธอมีอัธยาศัยชอบไปทางนั้นอยู่ รู้สึกจะเป็นเอามากเสียด้วย จึงเดินไปคนละทางกับข้าพเจ้าผู้เป็นพระอาจารย์ของเธอ

    ตามที่ยกตัวอย่างเรื่องการถ่ายภาพด้วยกล้องคอมแพกคุณภาพพิกเซลต่ำๆ มาเขียนอธิบายให้อ่านกันนี้ ข้าพเจ้ามิได้มีเจตนาดูหมิ่นศิษย์กรรมฐานคนนั้นเลย เธอเขียนข้อความมากราบลาข้าพเจ้าจากไปดีแล้ว ขอให้เธอเดินไปตามเส้นทางที่ปรารถนาเถิด ข้าพเจ้ามีจุดประสงค์เพียงเพื่อจะชี้บอกคนชาวพุทธว่า “สังคมไทยอ่อนแอทางปัญญา อ่อนไหวทางศรัทธามาก” เกิดอัตราสุ่มเสียงจะหลงและมืดบอดกันได้ง่ายๆ สุดท้ายก็ต้องตกเป็นเหยื่อของคนที่อวดอ้างนิมิตอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์บริจาคเงินทองทำบุญจนหมดเนื้อหมดตัวกันไปเลย

    ถามว่า “คนที่อ้างเอานิมิตอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มาเป็นจุดขายโปรโมทประชาสัมพันธ์โฆษณาตนเองหลงไหม”

    ตอบได้ทันทีว่า “หลง” สังคมไทยจึงอยู่ในข่ายคนตาบอดจูงคนตาบอดกันไปตลอด ทั้งอาจารย์และลูกศิษย์นั่นแหละ หลงโมหะอวิชชาพอๆ กัน

    กรุณาดูเปรียบเทียบสองภาพประกอบนั้น จะเห็นว่า ดวงแสงสีเขียวเหมือนกัน ตกอยู่ในตำแหน่งอันเดียวกัน แสงแฟลร์แสงฟุ้งเกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติของกล้องโปรที่ใช้เลนส์บางตัวถ่ายในสภาพแสงน้อย (low light) และถ่ายย้อนแสง แสงแฟลร์เขียวๆ ในภาพแรกที่หนึ่งของโยมคุณอัจฉาราวดีที่นั่งอยู่บนอาสนะงามๆ นั้นตกที่ลำตัวของเธอพอดี ดูสกินโทนแล้วน่าจะเป็นกล้อง Canon ที่ช่างภาพใช้ขาตั้งกล้องกดชัตเตอร์ถ่าย ส่วนในภาพที่สองข้าพเจ้าใช้กล้อง Sony a7s mark ii เลนส์ tele f4 70-200 mm จับถ่ายเมื่อตอนเช้ามืดของวันนี้นี่เอง กล้องจากสองค่าย Canon และ Sony นี้ทำสกินโทนออกมาแตกต่างกัน ดังนั้น แสงแฟลร์ที่ปรากฏให้เห็นเขียวๆ ตรงนั้น จึงต่างกันเล็กน้อย แต่ก็เกิดเป็นเหมือนกันทุกประการกรณีถ่ายภาพในสภาพแสงน้อย (Low light) และย้อนแสง

    “ดวงแสงรัศมีสว่างก็จะเกิดขึ้นเป็นธรรมดากับคนที่มีดวงจิตบริสุทธิ์” (ข้าพเจ้าฟังผ่านๆ ในคลิปวิดีโอหนึ่ง นำถ้อยคำสำนวนพูดมาปรับเป็นสำนวนเขียนใหม่) นี้คือคำพูดของโยมคุณอัจฉราวดีที่เห็นแสงแฟลร์แสงฟุ้งซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ไม่พึงประสงค์ของช่างภาพออกมากล่าวแก้ไว้

    ข้าพเจ้ายกผลประโยชน์ความไม่รู้เรื่องของเทคนิกการถ่ายภาพให้แก่โยมคุณอัจฉราวดีก่อนได้ แต่ทว่าความอ่อนแอทางปัญญา และอ่อนไหวทางศรัทธาของโยมคุณอัจฉาราวดีก็มีอยู่ นั่นก็คือมีความโน้มเอียงที่จะเชื่อและหลงมืดบอดได้ง่ายๆ (กล่าวว่าแต่คนอื่นมืดบอด อัจฉราวดีนั่นแหละมืดบอดเสียเอง หลงโมหะอวิชชาชัดๆ)

    ข้าพเจ้าเคยเขียนเป็นคำพูดประโยคหนึ่งไว้นานแล้วว่า “อย่าให้เขาเชื่อคุณด้วยศรัทธา หากแต่ต้องให้เขาเชื่อคุณด้วยปัญญามองเห็นความจริงทุกอย่างชัดเจน” ในความหมายของคำพูดประโยคนี้คือ “เรื่องที่คุณพูดแสดงออกมานั้นจะต้องพิสูจน์ตรวจสอบได้ด้วยกระบวนการของปัญญา อย่าเอาเรื่องที่คุณเห็นในนิมิตเป็นปัจจัตตังเฉพาะตนเพียงคนเดียวซึ่งพิสูจน์ตรวจสอบอะไรไม่ได้เลยมายัดเยียดให้คนอื่นเขาเชื่อตามคุณ”

    “ได้ฟังเสียงทิพย์ของสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) มาสอนกรรมฐานเตโชวิปัสสนาให้” ก็ดี “พระวรกายของพระพุทธเจ้าไม่มีแล้ว แต่พระจิตของพระพุทธเจ้ายังมีอยู่ อาจารย์สัมผัสกระแสพระจิตนั้นได้” ก็ดี “พระพุทธเจ้าทรงมีพระบัญชาให้เขียนหนังสือ” ก็ดี “พระพุทธเจ้าเสด็จมาประทานพระบรมสาริกธาตุ ๒๓ องค์ให้” ก็ดี

    คำพูดเหล่านี้ของโยมคุณอัจฉราวดีล้วนพิสูจน์ตรวจสอบไม่ได้เลย เธอย้ำอยู่อย่างเดียวว่า “ตนรู้จริงเห็นจริง สมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) มาสอนกรรมฐานเตโชวิปัสสนาให้จริงๆ พระพุทธเจ้าประทานพระบรมสาริกธาตุ ๒๓ องค์ให้จริงๆ” ถ้าจะบอกว่าเป็นเรื่องโกหกทั้งเพก็ไม่น่าจะผิด เพราะบุรพาจารย์ทางสายสมถกรรมฐาน หลวงปู่ดุลย์ อตุโล พูดบอกเอาไว้อย่างชัดเจนว่า “สิ่งที่เห็นในนิมิตนั้นน่ะมันเห็นจริง แต่สิ่งที่เห็นนั้นมันไม่จริง” ในความหมายคำพูดของหลวงปู่ดุลย์คือ “นิมิตก็คือเนรมิตที่จิตมีสมาธิมันปรุงแต่งขึ้นมาให้เห็นเท่านั้น นิมิตนั้นล้วนเป็นมายาภาพทั้งหมดเลย (สัญญาชะเกิดแต่สัญญาที่บริกรรมภาวนาเอาไว้มาก) ไม่ใช่ของจริง” ในกรณีนิมิตจริงก็มีอยู่ เช่นคนฝันนิมิตเห็นอย่างนั้นอย่างนี้ล่วงหน้า และแล้วก็ไปเจอเหตุการณ์ตามที่ตนฝันนิมิตเห็นนั้นจริงๆ

    แต่จะอย่างไรก็ตาม เรื่องนิมิตอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เหล่านี้ก็มิใช่สาระอะไรเลย ไม่เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ ตรงกันข้ามกลับจะทำให้คนเห็นนิมิตอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์นั้นแหละหลงโมหะอวิชชาไปเสียเอง

    ถ้าโยมคุณอัจฉราวดีศึกษาปฏิบัติในวิปัสสนาญาณสักหน่อย จะทราบชัดว่า

    “นิมิตทางสัททารมณ์ ได้ยินเสียงโน่นเสียงนี่ เสียงคนสวดมนต์สาธยาย เสียงพระสอนแสดงธรรมก็ดี นิมิตทางรูปารมณ์ เห็นโน่นเห็นนี่ พุทธรูปบ้าง ภูเขาบ้าง ท้องฟ้าอากาศบ้างก็ดี ล้วนมีอยู่เฉพาะในตรุณวิปัสสนา วิปัสสนาอ่อนๆ ที่กำลังก่อตัวขึ้นในวิปัสสนาจริง อยู่ในขั้นของสัมมัสสนญาณที่ ๓ และอุทยัพพยญาณที่ ๔ เท่านั้น ครั้นปฏิบัติดำเนินไปออกจากอุทยัพพยญาณที่ ๔ ผ่านมัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิรู้เห็นอย่างบริสุทธิ์ว่าอะไรใช่ทางอะไรไม่ใช่ทางแล้ว จะไม่มีนิมิตเสียงและนิมิตรูปภาพอะไรปรากฏให้ได้ยินให้ได้เห็นอีกเลย มีแต่รูปกับนามที่เป็นปรากฏเป็นเพียงอาการะอาการเคลื่อนไหว ปราศจากรูปพรรณสัณฐานที่เรียกว่า ‘สัณฐานบัญญัติ’ หรือ ‘สมมุติบัญญัติ’ เป็นปรมัตถสัจจะสภาวะที่เกิดและดับๆ ให้ผู้ปฏิบัติกำหนดดูรู้เห็นอยู่ตลอด”

    นี่แหละคือความผิดพลาดของฆรวาสบรรลุธรรม เรียนศึกษาปริยัติมาไม่ครบวงจร ฟังมาจากที่โน่น ได้ยินมาจากที่นี่ แล้วเอามาจับรวมกันตั้งเป็นเทรนด์ใหม่ให้เป็นอัตลักษณ์ของตน คำว่า “เตโชวิปัสสนา” นี่แหละ ชัดที่สุด ประดิษฐ์วาทกรรมตั้งชื่อใหม่เอามาเฉลิมฉลองอัตตาของตนเอง สักกายทิฐิความเห็นว่ากายของตน ในโอรัมภาคิยสังโยชน์กิเลสเครื่องร้อยรัดเบื้องต่ำ ยังละไม่ได้เลย เห็นโยมคุณอัจฉราวดีย่างเยื้องลีลาโพสต์ท่ายืน ท่านั่ง ท่านอนก็สวยงามปานนั้น แล้วนี่จะเป็นพระอริยบุคคลโสดาบันได้อย่างไร

    “ข้าพเจ้าให้ความสำคัญต่อพระธรรมมากกว่าพระธาตุ” นี้คือคำพูดที่ข้าพเจ้าพระสายปัญญาพูดย้ำไว้ตลอด ต่อเรื่องนิมิตอิทธิฤทธ์ปาฏิหาริย์ ถ้าโยมคุณอัจฉราวดีเปิดตู้พระไตรปิฎกออกอ่านเกวัฏฏสูตรสักหน่อยจะทราบชัดว่า

    “อิทธิปาฏิหาริย์ แสดงฤทธิ์ได้โดยประการต่างๆ เช่น หายตัวไปก็ได้ ปรากฏตัวใหม่ก็ได้ คนเดียวปรากฏเป็นหลายคนก็ได้ หลายคนปรากฏเป็นคนเดียวก็ได้ ดำลงไปในดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินชำแรกผ่านประตูกำแพงภูเขาเหมือนเดินไปในที่ว่างก็ได้ และอาเทศนาปาฏิหาริย์ ดักจิตทายใจว่า เธอคิดอย่างนี้ ตรองอย่างนี้ จิตของเธอเป็นไปด้วยอาการอย่างนี้ๆ พระพุทธเจ้าไม่ทรงสรรเสริญเลย ตรงกันข้ามกลับทรงรังเกียจระอาไม่ปรารถนาให้พระภิกษุสาวกสงฆ์ในพระศาสนานี้กระทำเลย เพราะมันจะเกิดโทษภัยอันตรายติดตามมา อย่างน้อยๆ ก็คือความไม่เชื่อครหาติฉินนินทา”

    วันนี้โยมคุณอัจฉราวดีผู้อ้างเอานิมิตอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์มาเป็นจุดขายโปรโมทประชาสัมพันธ์โฆษณาตนเองก็เห็นโทษภัยอันตรายเกิดขึ้นชัดเจนแล้วมิใช่หรือ เลิกเสียเถอะ คุณโยมเอ๋ย พฤติกรรมแบบนี้ เลิกโดยเร็ว เพราะมิฉะนั้น โยมคุณอัจฉราวดีนั่นแหละจะประสบอันตรายหายนะพินาศได้ เห็นเป็นตัวอย่างมาหลายรายแล้วนี่. FB_IMG_1517127999683.jpg FB_IMG_1517128004181.jpg
     
  2. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,294
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    เครดิต พระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์
     
  3. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,294
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    เดือดกว่าไฟเตโชฯ!! "อ.สุวินัย" โต้ "อ.อ้อย อัจฉราวดี" เข้าใจไปเองว่า "บรรลุธรรม" ตีความพระบาลีผิดๆ เตโชฯ มีจริง..แต่ไม่ได้ใช้แบบที่เข้าใจ!!

    จากกรณีของอาจารย์อ้อย อัจฉราวดี วงศ์สกล เจ้าสำนักเตโชวิปัสสนา กับประเด็นที่เธอออกมาบอกว่า ไม่ได้ออกบวชก็สามารถบรรลุธรรมได้ และได้อ้างตัวว่า เป็น "ฆราวาสบรรลุธรรม" ที่เป็นกระแสอยู่ในขณะนี้ จากการเปิดประเด็นของเว็บไซต์ alittlebuddha ที่ออกมาเปิดประเด็นถึงเรื่องนี้เป็นรายแรก

    อ่านข่าวเพิ่มเติม อริยะพันธุ์พิเศษ?! เว็บดังเปิดประเด็น อ.อ้อย เจ้าสำนัก "เตโชวิปัสสนา" อ้างเป็น "ฆราวาสบรรลุธรรม" โดยไม่ต้องบวช สื่อจิตกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำได้

    หลายคนยังสงสัยกับคำว่า "เตโชวิปัสสนา" ว่าคำนี้ๆ คืออะไร และมีที่มาที่ไปอย่างไร ทั้งนี้ อาจารย์สุวินัย ภรณวลัย ได้ออกมามาตอบคำถามของนิยามของเตโชวิปัสสนากรรมฐาน ในความเชื่อของบรรดาลูกศิษย์อาจารย์อ้อย อัจฉราวดี ผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัว โดยระบุข้อความว่า

    วิวาทะเรื่องเตโชวิปัสสนากรรมฐาน /สุวินัย ภรณวลัย

    ตามความเชื่อของลูกศิษย์อ.อัจฉราวดี นิยามของเตโชวิปัสสนากรรมฐานเป็นดังนี้

    "เตโชวิปัสสนากรรมฐาน คือการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ตามหลักสติปัฏฐานสี่ เน้นมาที่การมีความเพียรเผากิเลส เตโชวิปัสสนา เป็นเทคนิคในการปฏิบัติ ที่ตีตรงมาที่หัวใจของคำว่า อาตาปี สัมปชาโณ สติมา พึงมีความเพียรเผากิเลสให้เร่าร้อน หลักการภาวนา เป็นการจุดธาตุไฟในกายมาเผากิเลส ไม่ใช่เตโชกสิณ ที่เพ่งไฟจากภายนอก แต่เตโชวิปัสสนา คือการตั้งสติรู้กาย เวทนา จิต ธรรม ด้วยเทคนิควิธีการที่ทำให้เกิดธาตุไฟในกายจุดขึ้นมาเผากิเลส ทำให้จิตบริสุทธิ์อย่างรวดเร็ว
    การปฏิบัติวิธีนี้ ไม่เคยมีผู้ใดได้รู้วิธีการมาก่อน พระอาจารย์สมเด็จพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) ท่านได้มาสื่อจิตสอนวิธีการปฏิบัติให้ อาจารย์อัจฉราวดี วงศ์สกล เมื่อปี 2550 และเมื่ออาจารย์ได้ทดลองปฏิบัติดู ก็ได้เห็นความมหัศจรรย์ของผลที่ได้จากการปฏิบัติด้วยเป็นวิธีที่สามารถชำระจิตให้บริสุทธิ์ชนิดขุดรากถอนโคนกิเลส เกิดเป็นมรรคผลที่เป็นเสมือนเส้นทางลัดมุ่งไปสู่ประตูนิพพานดังที่ได้บันทึกไว้ในหนังสือ เตโชวิปัสสนา...เปิดประตูนิพพาน"

    ประเด็นที่ผู้รู้ทั้งหลายแย้งมาหลักๆ มี 2 ประเด็นที่น่าสนใจทางวิชาการคือ

    1) ความหมายจริงๆของอาตาปีคือ "ปรารภความเพียรเพื่อละอกุศลธรรม เพื่อยังกุศลธรรมให้เกิดขึ้น มีกำลังใจมีความเพียรมั่น ไม่ทอดธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย"
    มิได้หมายถึง "การจุดธาตุไฟในกายมาเผากิเลส" ตรงนี้คือความเข้าใจผิดเพราะตีความพระบาลีแบบผิดๆนั่นเอง

    งั้นๆ ถามว่า วิชาจุดหรือปลุกเตโชธาตุในกายหรือให้เกิดไอร้อนในกายมีในศาสนาพุทธมาก่อนการค้นพบวิชาเตโชวิปัสสนากรรมฐานหรือไม่ ... คำตอบที่ชัดเจนคือมีครับ เรียกว่า Tummo ของพุทธทิเบต แต่วิชานี้พระลามะทิเบตฝึกไว้เพื่อต่อต้านความหนาวในสภาพอากาศที่เย็นจัดเป็นหลัก มิใช่เพื่อเผากิเลส ชำระจิตให้บริสุทธ์อย่างรวดเร็วแต่ประการใด

    2)โดยส่วนตัวผมไม่สงสัยประสบการณ์ผู้ฝึกที่เกิดไอร้อนในกายขณะที่ฝึกเตโชวิปัสสนานะ แต่การฝึกภาวนาจนเกิดไอร้อนแล้วไปตื่นเต้นดีใจว่าตัวเอง "บรรลุธรรม"แล้วมันเป็นคนละเรื่องกัน ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดและความหลงผิดที่หนักหนาสาหัสมากของผู้ฝึกเตโชวิปัสสนาทุกคนที่หลงเชื่อเช่นนั้นไล่ตั้งแต่เจ้าสำนักลงมา

    จะว่าไปแล้วคนที่ฝึกวิชาลมปราณทั้งหลาย โดยเฉพาะสายเต๋าหรือวิชากำลังภายในล้วนรู้จักช่ำชองการฝึกแบบนี้เป็นอย่างดี แต่จุดประสงค์ของการฝึกให้เกิดไอร้อนในกายของเต๋านั้นก็เพื่อสุขภาพ ทำให้อายุยืน และชะลอวัยมากกว่า โดยชักนำไอร้อนที่เกิดขึ้นบริเวณท้องน้อยให้ไหลเวียนไปตามวงโคจรจุลจักรวาลน้อย(เสี่ยวโจวเทียน)ในร่างกาย

    ดังนั้น การคร่ำเคร่งฝึกเตโชวิปัสสนาสำหรับคนที่คิดว่าใช่ มันคงช่วยหล่อเลี้ยงเส้นทางภาวนาของคนผู้นั้นได้ แม้จะฝึกปฏิบัติด้วยความหลงผิดเข้าใจผิดก็ตาม

    แต่เตโชวิปัสสนาโดยตัวมันเองไม่ทำให้ผู้นั้น"บรรลุธรรม"ได้ อันนี้ก็จริงแท้แน่นอน

    ถ้าเชื่อถ้าศรัทธาเตโชวิปัสสนากรรมฐานก็ทำต่อไปเถอะครับ ยังไงก็ยังดีกว่าคนทั่วไปที่ไม่ฝึกปฏิบัติแต่ผู้ฝึกเตโชวิปัสสนาควรฝึกด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องตามหลักวิชาการและตระหนักถึงข้อจำกัดของเตโชวิปัสสนาด้วยว่าจะพาผู้นั้นไปถึง"ทางตัน"ที่จุดใด

    ในอดีตผมเคยเจอ "วิชาของหลวงปู่โต"ที่มาสอนผู้นั้นในสมาธิมาก่อน โดยที่วิชานั้นเกี่ยวโยงกับการบริกรรมคาถาชินบัญชรเพื่อเร่งธาตุในกายจนกระทั่งผู้ฝึกเข้าสู่สมาธิแบบ Dynamic Meditation ได้ จะว่าไปแล้ว วิชาทางจิตที่เร้นลับแบบนี้ยังมีความเชื่อมโยงกับหลวงปู่โตผ่านคาถาชินบัญชร มากกว่าวิชาเตโชวิปัสสนาของอ.อัจฉราวดีเสียอีกที่เราหาความเชื่อมโยงกับตัวตนของหลวงปู่โตแทบไม่ได้เลย นอกจากคำกล่าวอ้างที่ค่อนข้างเลื่อนลอยของตัวเจ้าสำนักเตโชวิปัสสนาเท่านั้น

    ผมเขียนบทความชิ้นนี้ด้วยความหวังดีและปรารถนาดีต่อคนที่ฝึกเตโชวิปัสสนาทุกคนนะ โปรดอย่าทำตัวแบบคนที่ยังเชื่อว่า "โลกแบน" อยู่เลย สิ่งที่พวกท่านทำอยู่นั้นเป็นรูปแบบหนึ่งของการภาวนาก็จริง แต่ผลที่คาดหวังอย่างเลิศลอยนั้นไม่จริงแน่นอน

    ทั้งนี้ทางด้านนักเขียนชื่อดัง "ทิพยจักร" ก็ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊ค Jaruvat Chanposri ถึงกรณีเตโชวิปัสสนา ถึงแนวทางและหลักการปฏิบัติ โดยระบุข้อความว่า

    ผมเองอ่านแนวทางวิธีเตโชวิปัสสนาแล้วก็สรุปได้ว่า หลักการของเตโชวิปัสสนานั้นคือการอาศัยการตามรู้เวทนาอันเกิดจากธาตุไฟในตัวเรา หลักการลักษณะนี้ ทางสำนักของท่านโกเอ็นก้าก็สอนและเผยแพร่มานานแล้วครับ การตามรู้เตโชธาตุในตัวนั้นแม้สำนักที่เล่นปราณ เล่นพลังจักรวาล พลังชี่กงแบบเต๋าก็รู้จักกันดี

    โดยวิธีการ ในการตามรู้นั้นเป็นเรื่องทางสมถะครับ มิใช่ด้านวิปัสสนาเลยแม้แต่น้อย จะเป็นวิปัสสนาก็ต่อเมื่อจิตเห็นความเกิดดับในกาย เวทนา จิต ธรรม ซึ่งในเบื้องต้นหรือต้นทางนั้น จิตต้องเห็นตั้งแต่ปฏิกูลในกาย จนถึง ความเป็นอนัตตาของกาย ซึ่งมีผลให้จิตเบื่อหน่ายในกาม เมื่อจิตแจ้งในกายสังขารแต่นั้นไปแม้เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็จะถูกกำหนดรู้ว่าไม่เที่ยงเป็นทุกข์เช่นกัน ความคลายออกจากความยึดมั่นถือมั่นจึงมีขึ้น

    ถ้าเข้าใจว่าการกำหนดเอาไอร้อนในตัวเผากิเลสได้นั้นเป็นการเข้าใจผิดๆตีความพระบาลีแบบผิดๆครับ การจะละกิเลสไม่ใช่การนั่งภาวนาแบบมุทะลุ แต่เป็นการรู้จักการใช้ สติ สมาธิและปัญญา รวมพลังกันในการพิจารณาเพื่อละสิ่งที่หลง อีกประการหนึ่งคือ การกำหนดเอาเวทนาคือความร้อนในกายเพื่อไปเผากิเลสในใจนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว จะละกิเลสละอวิชชาเป็นงานทางด้านปัญญาที่ต้องเข้าไปคลี่คลายอย่างตรงๆ หาใช่เอาเตโชธาตุไปเผาอย่างที่เข้าใจ

    ลองย้อนไปพิจารณาเมื่อครั้งท่านอัญญาโกญฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน ท่านก็สรุปรวมในจิตท่านได้ว่าสิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา จิตแจ้งในความเกิดดับนั่นเอง อันนี้เป็นส่วนของปัญญาที่พาให้เห็นแจ้งในสัจจะความจริงและพาพ้นสมมุติอวิชชา มิได้เป็นการเอาเตโชธาตุ เวทนาใดๆมากำหนดเพื่อแผดเผาเลย วิปัสสนา เป็นเรื่องของการรู้จริงตามสัจจะความจริงที่มีอยู่ คือ การเกิด การดับ เมื่อจิตรู้แจ้งจิตก็ละความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวงลง ท่านผู้ปฏิบัติทั้งหลายพึงพิจารณาเอาเถิด

    อ่านข่าวเพิ่มเติมได้ที่

    http://www.tnews.co.th/contents/405224

    http://www.tnews.co.th/contents/404970

    ขอบคุณข้อมูลจาก : Facebook Suvinai Pornavalai

    Facebook Jaruvat Chanposri

    เรียบเรียงโดย

    เสาวลักษณ์ แสงสุวรรณ : สำนักข่าวทีนิวส์
    อ้างอิงข่าว
    FB_IMG_1517134960863.jpg
     
  4. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ไฟก็ไฟในตัวน้ำก็น้ำในตัวลมก็ลมในตัวดินก็ดินในตัว ไม่เห็นจะทำลายกิเลสได้เลย
     
  5. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    มหาภูตรูปมันมีจริงไหมในขันธ์ที่ปรากฏเป็นข้อพิสูจน์หนึ่งถ้าทำถูกต้องก็จะเห็นจะทราบและใช้ประโยชน์ได้แต่ไม่ใช่ใช้เผาหรือล้างหรือเป่าหรือหยัดยืน
     
  6. ผู้ธรรมดา

    ผู้ธรรมดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 เมษายน 2015
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +368
    เราจะไปอยากรู้ว่าเขาอิ่มแล้วหรือยัง อิ่มจริงหรือไม่จริงไปทำไม (ทั้งที่เราก็ยังหิวๆกันอยู่) หาวิธีแก้ความหิวของเราเองดีกว่า
     
  7. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    เข้าไปฟัง ท่านเจ้าสำนักแถลงข่าว ฟังจนจบแล้ว(จากเฟสบุคของท่าน)

    มันคล้ายกรณีหลวงพ่อปราโมทย์เลย

    ลูกศิษย์ตัวเอง ออกมาโจมตีผู้เป็นอาจารย์


    กรณีหลวงพ่อปราโมทย์ใช้เวลาสองปีกว่า เรื่องจึงจบ
    ตอนนั้นโยมที่เป็นลูกศึษย์ออกมาโจมตีผู้เป็นอาจารย์ตัวเอง
    ว่าสอนผิด ไม่มีในพระไตรปิฏก อวดว่าบรรลุธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มกราคม 2018
  8. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
    saber คุณเคยได้ยินคำนี้ไหม จิตที่ปราศจาก อารมณ์ คือที่สุดแห่งทุกข์ .."อณารัมณัง เอเสวันโตทุกขสะ" ของท่านพุทธทาส จะตอบอะไร ก็ใช้สุตตะ ให้มันถูกต้องมั่งครับ
     
  9. คุณกันฌามี

    คุณกันฌามี Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    104
    ค่าพลัง:
    +65
    ปล่อยๆเขาไปเถอะครับ กับผู้หญิงคนนี้ ไม่ต่างไรกับที่ผ่านๆมาหรอก ผู้ไม่มีปัญญาธรรมก็โดนหลอกกันไป ช่วยอะไรไม่ได้หรอกอยู่ที่ตัวเขาหรือสำนักพุทธเอง

    ผมว่าไม่จริงอะ ผมไม่เชื่อแน่นอน
     
  10. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,294
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    เหล่าดารานักแสดงไฮโซชนชั้นสูงเข้าคิวซื้อภาพ
    #เจ้าหญิงเลอาแห่งวงการศาสดา #อัจฉราวดี วงษ์สกล
    ที่มีมูลค่าสูงถึงภาพละ11,953,829 บาท..
    เครดิต ภควัต ปลายสวน
    FB_IMG_1517304638885.jpg FB_IMG_1517304641731.jpg FB_IMG_1517304644723.jpg
     
  11. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,294
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    สถานการณ์พระพุทธศาสนา: พลิกหายนะเป็นพัฒนา

    "ร่างกายพระพุทธเจ้าตายหรือดับไปแล้ว แต่จิตยังอยู่ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้สามารถสื่อสาร หรือสัมผัสกับจิตพระพุทธเจ้าได้" นั่งฟังอุบาสิกาท่านนี้ ให้สัมภาษณ์รายการของทีวีช่องหนึ่งอยู่ โทนเนื้อหาแม้จะไม่สามารถถอดเป็นคำต่อคำได้ แต่พอจะสรุปได้ประมาณนี้ ซึ่งผู้สนใจสามารถกลับไปฟังทีวีย้อนหลังได้เช่นเดียวกัน ตามลิ้งค์


    ตั้งแต่อุบาสิกาท่านนี้เป็นข่าวมาหลายวัน ก็ไม่ค่อยได้ติดตามข่าวและฟังอย่างถนัดถนี่ แต่เมื่อได้ฟังตั้งแต่เริ่มต้นจนจบในวันนี้ ทำให้สามารถนึกเทียบเคียงจากเนื้อหาซึ่งเป็นแก่น และแกนของพระพุทธศาสนา และแก่นนี่เองสามารถสรุปวิถีแห่งการปฏิบัติของอุบาสิกาท่านนี้ได้อย่างลึกซึ้ง โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปอธิบาย หรือวิเคราะห์แง่มุมอื่นๆ

    นิพพานในพระพุทธศาสนา แปลว่า "ดับ" ซึ่งความดับมี ๒ ประเภท กล่าวคือ

    (๑) สอุปาทิเสสนิพพาน ดับกิเลสมีเบญจขันธ์เหลือ หมายความว่า สภาวะความดับนี้เกิดขึ้นที่ใต้พระศรีมหาโพธิ์ โดยที่พระพุทธเจ้าทรงใช้มรรค ๘ เป็นเครื่องมือในการประหัตประการกิเลส จนทำให้เกิดสภาวะที่เรียกว่า "นิโรธ" ซึ่งเป็นการดับทั้งราคะ โทสะ และโมหะ ถึงกระนั้น ร่างกาย และจิตใจ หรือรูปกับนามก็ยังคงมีอยู่และดำรงอยู่ ซึ่งพระองค์ได้ทรงใช้รูปนามนี่เองเป็นเครื่องมือในการประกาศธรรมเป็นระยะเวลา ๔๕ ปี

    (๒) อนุปาทิเสสนิพพาน แปลว่า ดับกิเลสไม่มีเบญจขันธ์เหลือ กล่าวคือ สภาวะของความดับเช่นนี้ เกิดขึ้นที่เมืองกุสินารา ที่สาลวโนทยาน ซึ่งเป็นการดับในขั้นที่สอง คือ การดับของรูปและนาม หมายความว่า รูปหรือร่างกายก็ดับ นามหรือจิตก็ดับ ภาวะของการดับเช่นนี้ จะไม่มีปัจจัยใดๆ เข้ามาปรุงแต่งรูป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปรุงแต่งนามหรือจิตให้มีอยู่ และล่องลอยมากระซิบกระซาบหรือให้กำลังใจ สร้างแรงบันดาลใจแก่อุบาสิกาท่านนี้ หรือผู้ใด รวมไปถึงหลวงปู่มั่นตามที่อุบาสิกาท่านนี้กล่าวอ้าง

    สรุปแล้ว พุทธศาสนิกชนควรจะเชื่อใคร หากเชื่ออุบาสิกาก็ย่อมหมายความว่าคำสอนที่พระพุทธเจ้าผู้ได้ชื่อว่าเป็นศาสดาผู้ค้นพบหลักคำสอนในกฏธรรมชาติแล้วนำมาเผยแผ่ผิดพลาด และบกพร่อง เพราะย้อนแย้งกับคำที่อุบาสิกาท่านนี้กล่าวอ้างผ่านประสบการณ์ตรงจากการปฏิบัติ แต่หากว่าพุทธศาสนิกชนเชื่อมั่นในหลักคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบความหมายที่แท้จริงของ "นิพพาน" แล้วนำมาอธิบายให้เราได้เข้าใจ ย่อมหมายความว่าอุบาสิกาท่านนี้ เข้าใจผิด ปฏิบัติผิด และเผยแผ่คำสอนที่วิปริตผิดเพี้ยนจากความหมายที่แท้จริงจากที่ปรากฏในพระไตรปิฏก

    เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมุ่งเน้นให้ศึกษาและเผยแผ่ไปที่แก่นและแกนของพระพุทธศาสนาเถรวาท เรื่องเช่นนี้ จึงเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่งที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะหยุดนิ่ง ควรเข้าไปทำหน้าที่ในการเสนอให้มหาเถรสมาคมตั้งอนุกรรมการขึ้นมาตรวจสอบแนวทางการสอนหลักธรรมคำสอนของอุบาสิกาท่านนี้ให้กระจ่างชัด ถ้าไม่สอดรับกับแนวทางของพระพุทธศาสนาเถรวาทก็ควรมีมาตรการอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่หากตรวจสอบแล้วไม่ได้เจตนาเป็นอื่น หรือยังไม่สามารถปฏิบัติจนเข้าถึงแก่นและแกน ก็จะได้ปรับปรุงให้เกิดสัมมาทิฐิ แล้วเดินไปสู่วิถีแห่งอริยมรรคที่ถูกต้องเพื่อเข้าถึงความจริงที่ถูกต้องต่อไป

    ปรากฏการณ์เช่นนี้ รวมไปถึงเหตุการณ์อื่นๆ ในช่วงที่ผ่านมา กำลังสะท้อนภาพลักษณ์ของพระพุทธศาสนาในสังคมไทยอย่างน่าสะพึงกลัว ทั้งด้านการตีความศาสนธรรมคำสอนที่บิดเบี้ยวและผิดเพี้ยนไปจากฐานของพระพุทธศาสนาเถรวาท ทั้งการปฏิบัติตัวและดำรงตนของพุทธศาสนิกชน ไม่ว่าจะเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา จนทำให้แต่ละฝ่ายสูญเสียความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ออกมาโจมตีวิพากษ์วิจารณ์ซึ่งกันและกันจนขาดความเคารพย่ำเกรงจนนำไปสู่การบั่นทอนความเชื่อมั่นอย่างน่าวิตก ทั้งการประกอบพิธีการและพิธีกรรมที่สูญเสียจุดยืนของความเป็นพุทธ จนพ่ายแพ้ต่อวัตถุนิยมแบบราบคาบ

    จึงกลับมาถึงคำถามที่ว่า "สถานการณ์พระพุทธศาสนาในสังคมไทย ได้เวลาสังคายนาแล้วหรือยัง?!?" คำถามนี้ จึงเป็นโจทย์ให้พุทธศาสนิกชนในสังคมไทยได้สำเหนียก และตระหนักรู้ว่า สุดท้ายเราจะเอาเฉพาะองค์กรของเราให้รอดปลอดภัยแต่เพียงประการเดียว โดยการฉกฉวยและแย่งชิงประโยชน์จากพระพุทธศาสนาอย่างสุดกำลัง รวมไปถึงการมุ่งยึดกุมศาสนิกโดยการแสวงหารูปแบบการเผยแผ่และนำเสนอเพื่อสนองโลกธรรมของตัวเอง โดยไม่สนใจว่า สถานการณ์พระพุทธศาสนาจะเดินทางไปในทิศทางใด?!? หรือจะชำรุดทรุดโทรมอย่างไร?!?! เราจะเอาแบบนั้นใช่หรือไม่??'

    หลวงพ่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) เคยเขียนหนังสือเล่มหนึ่งว่า "สถานการณ์พระพุทธศาสนา พลิกหายนะเป็นพัฒนา" หลายเหตุการณ์ และหลายสถานการณ์ คือ สัญญาณซึ่งเป็นเค้าลางบอกเหตุว่า ได้เวลาแล้วที่พุทธศาสนิกชนจะต้องช่วยกันพลิกหายนะที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ศึกษาวิเคราะห์สภาพปัญหา วิกฤติการณ์ สาเหตุ ผลกระทบ และทางออกที่พึ่งประสงค์ แล้วระดมสรรพกำลังช่วยกันพัฒนาพระพุทธศาสนาไปสู่วิถีแห่งพุทธที่พึ่งประสงค์ในสังคมไทย

    หน้าตาของพระพุทธศาสนาที่สังคมไทยประสงค์จะใช้เป็นเครื่องมือในการตอบโจทย์สังคมไทยควรเป็นอย่างไร?!? อะไรที่ควรอนุโลมให้พระสงฆ์ทำได้ หรือทำไม่ได้ และถ้าทำไม่ได้เพราะไม่สอดรับกับวิถีแห่งพระธรรมวินัยแบบดั้งเดิม สังคมไทยควรมีคำตอบและทางออกอย่างไร?!!? และท่าทีที่พึ่งประสงค์ของอุบาสกอุบาสิกาควรเป็นไปในลักษณะใด?!? เหล่านี้คือโจทย์ที่ท้าทายความอยู่รอดของพระพุทธศาสนาในสังคมไทย ที่พุทธศาสนิกชนต้องร่วมกันตอบโจทย์ เพื่อที่จะได้แสวงหาแนวทางในการอยู่ร่วมกันอยู่มีความสุข การอยู่รอดของพระพุทธศาสนาในสังคมไทย จึงไม่ได้อยู่ที่ชี้หน้าด่ากันว่า "คุณแย่ ฉันดี คุณมีราคี ฉันบริสุทธิ์" หากแต่อยู่ที่การร่วมกันตอบโจทย์ และออกแบบแนวทางในการอยู่ร่วมกันเพื่อให้พระพุทธศาสนายังคงเป็น "ภูมิปัญญาของไทย และภูมิปัญญาของโลกสืบไป"

    พุทฺธสาสนํ จิรํ ติฏฐตุ
    ขอพระพุทธศาสนา จึงตั้งมั่นยั่งยืนยาวนานฯ

    พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส
    ๒๙ มกราคม ๒๕๖๑ FB_IMG_1517304855655.jpg
     
  12. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,293
    ค่าพลัง:
    +12,622
    กรณีพระพุทธเจ้ามาโปรด หรือสมเด็จพุทธฒาจารย์
    โตสื่อมาทางร่างทรง ก็มีหลักฐานที่เกี่ยวข้อง
    กับหลวงพ่อฤๅษีก็มีบันทึกไว้
    เกี่ยว กับหลวงปู่มั่นก็มีบันทึกไว้
    หรือสมเด็จพุทธฒาจารย์ก็บันทึกไว้เป็นคลิปวิดิโอ
    จะบอกว่าเป็นไปไม่ได้ หรือดับขันธ์ไปแล้วไม่
    สามารถมาสื่ออะไรได้อีก ก็ขัดกับหลักฐาน
    ที่มีบันทึกไว้ในหนังสือ ในคลิปเสียง ในวิดิทัศน์
    ที่ค้นหาได้ไม่ยากคับ
     
  13. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ไม่เชื่อและจะไม่มีวันเชื่อ...ไม่ใช่เพราะเขาดีหรือเลว รวยหรือจน
     
  14. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
  15. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ปัญหาคือ..ทำไมเราต้องรอให้มีปาฏิหาร..แต่อาจมีจริงหรือไม่ก็ได้
     
  16. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    แม้ไม่บรรลุก็ไม่ได้หมายความว่าต้องตกเป็นเหยื่อ...หรือเครื่องมือของกิเลส...นี่ใช่ไหมที่เป็นหัวใจที่ต้องเรียนรู้
     
  17. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    โลกอาจสวยอย่างที่คิดก็ได้
     
  18. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    แต่โดยความเป็นจริงคือป่าวเลย...ผิดก็คือผิดและถูกก็คือถูก...แต่จะมั่นใจว่าอะไรผิดอะไรถูกคงต้องส่วนบุคคล..ใครก็พาไปสวรรค์ไม่ได้และใครก็พาไปนรกไม่ได้
     
  19. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    พระศาสดาไม่สนับสนุนถ้าเรียนมาน่าจะรู้
     
  20. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ตามนั้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...