งานนิโรธกรรมขั้นอุกฤษฎิ์ ของครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย MayBuddhaBlessYou, 3 พฤศจิกายน 2009.

  1. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,538
    [​IMG]

    งานนิโรธกรรมขั้นอุกฤษฎิ์ ของครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้าวันที่ 7-11 ตุลาคม 2552 ที่ผ่านมา

    โดยอธิษฐานไว้ว่า ๕ วัน ๕ คืนนี้ จะปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐานถือสัจจะอย่างเคร่งครัด ๙ ข้อ คือ
    ๑. จักงดฉันภัตตาหารทุกประเภท
    ๒. จักงดฉันน้ำทุกประเภท
    ๓. จักงดถ่ายหนัก (อุจจาระ)
    ๔. จักงดถ่ายเบา (ปัสสาวะ)
    ๕. จักงดพูดจาสื่อสาร (ปิดวาจา)
    ๖. จักงดลุกที่ (จากอาสนะที่นั่ง)
    ๗. จักงดหลับ (ทั้งนั่งหรือนอน ทั้งกลางวันกลางคืน
    ๘. จักอยู่ลำพังบนแพกลางน้ำ (สันโดษ)
    ๙. จักปฏิบัติกัมมัฏฐานใช้สมาธิกำกับกายตลอด ๕ วัน (ไม่ออกจากกัมมัฏฐาน)

    ตัวเราเองได้มีโอกาสไปร่วมงานครั้งนี้จนครบทุกขั้นตอน และได้มีโอกาสรับใช้ครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้าบ้าง แล้วแต่โอกาสจะอำนวย ความรู้สึกของคำว่าปิติ ทราบซึ้ง อิ่มบุญมาก มันเป็นความรู้สึกเป็นอย่างนี้นี่เอง ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีโอกาสอย่างนี้ เราเกิดมาถือว่าไม่เสียชาติเกิดแล้วที่ได้เข้าร่วมพิธี อันศักดิ์สิทธิ์ และมีคุณค่าอย่างยิ่ง สำหรับตัวเองแล้วถือว่าโชคดีอย่างหาที่สุดไม่ได้
    ความรู้สึกเหล่านี้เริ่มตั้งแต่ วันที่พระอาจารย์ปรีชา เจ้าอาวาสวัดสุลาลัย จ.ชัยภูมิ ทำการอันเชิญครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า เข้าทำการนิโนธกรรม เราเริ่มน้ำตาซึม ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ในขณะที่พระอาจารย์ปรีชาท่านเชิญครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า ท่านนั่งหันหน้าเข้าหากัน ท่านพระอาจารย์ปรีชาเชิญด้วยคำพูดไหนนั้นตัวเองไม่ได้ยินถนัด ส่วนครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้าท่านก้มลงเล็กน้อย พนมมือ ต่างฝ่ายต่างพนมมือ ก้มศรีษะค้อมตัวลงเล็กน้อย เป็นภาพที่ประทับใจยิ่ง ณ วันเริ่มต้น

    ทุกๆ วัน ตัวเราเอง ไม่เคยขาดการสวดมนต์ ทำวัด และทำสมาธิ ทุก ๆ วัน โดยจะนั่งเคียงข้างกับโยมแม่เขียวและโยมพี่เพียร (คุณแม่และพี่สาวของครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า) ตั้งใจกันสวดมนต์และทำสมาธิอย่างแน่วแน่เสมอ เก็บเกี่ยวบุญบารมีให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างวันที่ครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า ท่านได้เข้านิโรธกรรมขั้นอุกฤษฎิ์ นั้นมีมากมายและอัศจรรย์ใจยิ่งสำหรับตัวเองมาก แต่อาจจะหยิบยก บางสิ่งบางอย่างที่มีประโยน์และมีคุณค่ามากมาเล่าสู่กันฟัง

    ปกติแล้วตัวผู้เขียนเอง เป็นคนจิตเป็นลิง จะนิ่งยาก และจะเมื่อยง่ายตามแขนขา ณ วันที่ 3-4 ของการเข้านิโรธกรรมของครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า มีวันหนึ่งตัวเองได้มีโอกาสเข้าไปนั่งตรงแพด้านนอก ซึ่งจะมองเห็นเรือนแพลอยน้ำที่ครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า ท่านอยู่ในนั้น จุดธูปเก้าดอก (ปกติจุดธูป 9 ดอก ทุกวัน และกราบ 3 หน ลงบนพื้นดิน ณ ตรงนั้นอยู่แล้ว) วันนั้นตั้งใจว่าจะขอนั่งภาวนา ใกล้ๆ ท่าน เรารู้ว่าท่านเห็นเรา เห็นจิตเรา จะเล่าอีกทีตอนต่อไปว่าท่านว่าอย่างไร ได้อธิษฐานจิต ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ได้โปรดคุ้มครองครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า เพราะว่าไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะสามารถปฏิบัติได้ ต้องมีอุปสรรคอันตรายต่างๆ ที่ท่านจะต้องฝ่าฟัน และตัวเองก็ได้อธิษฐานจิตขอให้ท่าช่วยให้ได้นั่งสมาธิได้นานๆ และเป็นที่น่าอรรศจรรรย์สำหรับเราเอง เรานั่งแบบไม่ติดไม่ขัดไม่เมื่อย ไม่เปลี่ยนอริยาบทด้วย เกือบ 1 ช.ม เลย ปกติ 10-20 นาที เราก็ไม่ไหวแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2011
  2. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,538
    [​IMG]

    ในวันที่ 4 ของการเข้านิโรธกรรมของครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า ขณะที่พวกเราสวดมนต์ถึงบทสวดพาหุงพุทธชัยมงคลคาถาอยู่นั้น ตัวเราเริ่มได้กลิ่นที่คาวๆ อย่างมาก เราก็ดมเสื้อผ้าเราเองอยู่อย่างนั้นอยู่หลายครั้ง และมองหน้าคนอื่นๆ ก็ไม่มีใครได้กลิ่นเหมือนเรา แต่เราเห็นพระอาจารย์ปรีชา และพระลูกศิษย์ท่าน 2 องค์ และพระลูกศิษย์ของพ่อปู่นริศ นรินโท ท่านมองมายังประตูทางเข้า ซึ่งเรากับโยมแม่และโยมพี่ของครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า จะนั่งระหว่างตรงกลางประตูพอดี เรามองเห็นท่านพระอาจารย์ปรีชาท่านมองมาทางประตูก็ยังไม่ฉุกคิดอะไร

    เพราะบ่อยครั้งที่เราเห็นพระอาจาย์ปรีชา มองไปบนท้องฟ้าบ้าง มองไปที่นั่งที่เตรียมไว้ว่างๆ บ้าง ซึ่งตอนนั้นเราไม่รู้ว่าเตรียมไว้ให้ใคร พอจบพิธี เราก็ได้มีโอกาสเข้าไปกราบเรียนถามพระอาจารย์ปรีชา ซึ่งท่านเป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบองค์หนึ่ง ท่านเคยบอกเราว่าบ่อยครั้งที่ครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า และหลวงปู่เณรคำ 2 องค์นี้จะคอยดูท่านอยู่ ท่านว่าเรื่องคอยชี้แนะแนวทางในการปฏิบัติกรรมฐาน ซึ่งท่ายพระอาจารย์ปรีชาท่านก็ใกล้จะบรรลุแล้ว ตรงนี้ทางครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้าเคยปรารถไว้กับบรรดาลูกศิษย์ ท่านพระอาจารย์ปรีชาบอกเราว่าที่เราได้กลิ่นนั้นคือปู่พญานาค ท่านมาอนุโมทนาบุญด้วย เรางี้ขนลุกตั้งเลย ตัวเราเองไม่เคยมีความรู้สึกว่าเราจะมีสัมผัสอะไรกับใครเขาหรอก ไม่เคยเชื่อ มาปฏิบัตินี้ก็ถือว่าได้บุญมากที่สุดแล้วและเราไม่หวังที่จะเจอหรือสัมผัสอะไรทั้งนั้น แต่เราก็ยังทึ่งเลยขนาดตัวเราเองที่ไม่ได้เคยมีความรู้สึกว่าจะสัมผัสอะไรที่อัศจรรย์อย่างนี้

    ครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้าท่านได้เปิดให้เราได้รับรู้ เราเชื่ออย่างนั้นจริงๆ อย่างไม่ต้องลังเลสงสัยในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าเลยแม้แต่น้อย ที่พระอาจาย์ปรีชามองขึ้นไปบนท้องฟ้าท่านบอกว่ามีเทวดามากมายมาอนุโมทนาบุญด้วย ทั่วลานธรรมบารมีแสงปทุมหนอ ของพ่อปู่นริศ นรินโท ทุกๆ วัน นี่ขนาดเทวดาทั้งหลายท่านยังมาร่วมบุญด้วยเลย ท่านทั้งหลายหากมีโอกาสในอนาคตนั้น ถ้าพลาดก็ถือว่าน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง บ่อยครั้งที่พระอาจารย์ปรีชาท่านมองไปยังอาสนะ ที่เตรียมไว้หลายที่ ท่านบอกว่าบางครั้งหลวงปู่ใหญ่เทพโลกอุดรท่านเสด็จมา มีหลวงปู่โต พุทธรังสี และมีพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ท่านได้ละสังขารหลายองค์ ท่านได้เข้ามาร่วมพิธี และมองพวกเราที่ปฏิบัติธรรมด้วยทุกวัน ฟังแล้วเกือบจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่ แต่ขนลุกนั้นมาก่อนเลย เพราะว่าเรานี่หนอก็มีบุญมากอยู่เหมือนกันที่ได้เข้าร่วมพิธีอันศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้

    ในระหว่างที่ครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า ท่านเข้าพิธีนิโรธกรรมอยู่นี้ พ่อปู่นริศ นรินโท ท่านไปปฏิบัติศาสนกิจที่กรุงเทพ แต่พระอาจารย์ปรีชาท่านบอกว่า ทุก ๆ วันที่เราสวดมนต์นั้น ครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า จะจูงมือพระอาจารย์ของท่านคือพ่อปู่นริศ นรินโท มาฟังพวกเราด้วยทุกครั้ง พอถึงตอนที่โยมแม่เขียว ท่านเป็นคนเริ่มสวดบท บารมีสามสิบทัศ “ ทานะ ปารมี สัมปัณโณ ทานะ อุปปารมีสัมปัณโณ “ และบท “ยกมือขึ้นเถิดหนาไว้บูชา พระรัตนตรัย “ นั้น ครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า ท่านจะยิ้มเสมอทุกครั้ง ถามว่าเราเห็นหรืออย่างไร โอ้ตัวเรานี้เป็นเพียงปุถุชนคนธรรมดา ไม่มีญานพิเศษอะไรที่จะเห็นได้หรอก ทุกๆ สิ่งพระอาจารย์ปรีชาท่านรู้ ท่านเห็น และท่านได้มาบอกเล่าให้ฟัง ถึงแม้ว่าพ่อปู่นริศ และครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า ท่านจะไม่ปรากฎกายเนื้อให้เราได้เห็น แต่ผู้มีสัมผัสพิเศษทั้งหลายท่านได้เห็นจากญาณทิพย์ ต่างๆ แล้วมาเล่าสู่กันฟังทุก ๆ วัน สำหรับเราแล้ว Amazing สุดๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2011
  3. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,538
    [​IMG]

    ปกติเราเองไปที่ไหน พ่อแม่ครูบาอาจารย์จะเมตตาเราเสมอ ไม่ว่าจะเป็นหลวงปู่ขาว พุทธรักขิโต ซึ่งท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่เราเคารพยิ่ง ท่านให้เราทำเจดีย์ครอบองค์พระธาตุคูณคำวิปัสสนา อ.กุดบาด สกลนคร เป็นพระธาตุพนมจำลอง แต่สัดส่วนทุกอย่างเมืแนของจริงมาก ทั้งที่ม่ใช้วิศวกรเลย หลวงปู่ขาวท่านเมตตาบอกว่าหลวงปู่นี่แหละเป็นวิศวะเอง ครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้าก็เป็นศิษย์องค์หนึ่งของท่าน ท่านเคยพูดไว้ว่าหากท่านจากไป ครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้านี่แหล่ะที่สามารถแทนที่ท่านได้ เพราะท่านสอนจนหมดวิชาแล้ว

    หลวงปู่นริศ นรินโทท่านก็เมตตาเรามากในระดับหนึ่ง ที่ลานธรรมบารมีแสงปทุมหนอ ของพ่อปู่นริศ นี่ไม่ธรรมดาเลย สงบ ร่มรื่น และเรารู้สึกว่า มีอะไรมากมายที่พิเศษ ลึกลับชวนขนลุก ทั้งคนที่อยู่ที่นี่หลายคนก็มีญาณต่างๆ ทั้งสถานที่ก็ศักดิ์สิทธิ์ โรงทานที่นี่ตั้งไว้ 24 ช.ม. เลย ใครมาไม่กินข้าว ใครกลับไม่กินข้าว พ่อปู่ท่านจะตำหนิลูกศิษย์ท่านตลอด อย่างเช่นเราบอกว่าเราและคณะบางส่วจะกลับตอนตี 4 ไม่ต้องเตรียมกับข้าวให้ เพราะความเกรงใจของเรา แต่ลูกศิษย์ท่านบอกว่า ไม่ได้ค่ะต้องทานไม่อย่างนั้นพวกท่านจะโดนตำหนิ เราบอกว่าพ่อปู่ไม่รู้หรอก ลูกศิษย์ท่านบอกว่าพ่อปู่รู้ทุกอย่าง ถึงแม้ท่านจะไม่อยู่ก็ตาม คณะเราก็เลยต้องรับประทานอาหารเช้าตอนตี 4 มีพี่คนหนึ่งบอกว่าไม่หิว แต่พอเอาเข้าจริงๆ ทานไข่ดาวไปตั้ง 2-3 ฟอง เรายังกลับมาเล่าเป็นเรื่องตลกกันในรถเลย ต้องกราบขอบพระคุณพ่อปู่นริศ ที่ท่านไม่เคยให้พวกเราต้องหิวเลย

    ในระหว่าง 5 วัน 5 คืนนั้น ฝนจะตกอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่ง ณ วันที่ครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า ออกนิโรธกรรมในวันที่ 5 ฝนหยุดตกในบัดดล ถ้าเล่าให้คนอื่นฟังอาจจะว่าเราเพี้ยน แต่นี่เรื่องจริงทั้งหมด

    ในวันนั้น เรามีโอกาสได้จัดเตรียมภัตตาหารและเครื่องดื่ม เป็นน้ำข้าวธัญพืช เพราะท่านยังฉันท์อะไรไม่ได้มาก ต้องเตรียมน้ำข้าว ถ้านับเป็นแก้วได้ประมาณ 10 แก้ว โดยที่โยมพ่อมังกร และโยมแม่มาลัย ผู้สร้างวัดสุลาลัย ท่านบอกให้จัดเตรียม แล้วมีกาแฟ และน้ำชา ไม่มีอะไรมากมีเพียงเท่านี้ ตัวเราก็วิ่งขึ้นวิ่งลงช่วยตักน้ำข้าว ชงกาแฟ ชงน้ำชา เดินเหมือนวิ่งเอาไปให้ลูกศษย์สนิทท่านชื่อโยมเม่น เตรียมการถวายท่านอีกที พอพูดถึงตอนนี้หลายท่านคงจะไม่รู้หรือหลายท่านก็อาจรู้ว่า การที่ใครก็ตามที่ได้ถวายอาหารและเครื่องดื่ม ณ วันที่ออกจากนิโรธกรรมนั้น จะได้บุญมหาศาลประมาณแทบมิได้ เปรียบประดุจท่านได้ถวายอาหารกับพระพุทธเจ้าเลยทีเดียว ตรงนี้พระอาจารย์ทั้งหลายท่านบอกเรามา เรางี้ขอโอกาสเช็ดน้ำตาเล็กน้อยในขณะที่เขียนอยู่นี้ก่อนนะค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2011
  4. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,538
    [​IMG]

    ณ วันที่ครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า ท่านออกนิโรธกรรมคือวันที่ 11 ตุลาคม 2552 นั้น วันนั้น มีพระอาจารย์ปรีชา และหลวงปู่หมาก (ท่านนี้ที่เคยช่วยชีวิตพระตอนที่รถไฟชนกับรถตู้ที่ลพบุรี ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบองค์หนึ่งที่เราศรัทธาท่านมาก) ท่านทั้ง 2 ได้เข้าไปเชิญครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า ในกระท่อมเรือนแพ พระอาจารย์ปรีชาบอกว่า ท่านเชิญอยู่นานหลายนาที เพราะครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า คงยังลงมาไม่ได้หรือกำลังมา ครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้าท่านนั่งขัดสมาธิเพชร 5 วัน 5 คืน ท่าเดิมไม่เปลี่ยน ทั้งยังไม่ได้ฉันท์และไม่ได้ดื่มน้ำเลยนั้น กว่าจะเปลี่ยนอิริยาบทได้ กว่าจะเชิญท่านลุกได้ทั้งหลวงปู่หมาก และพระอาจารย์ปรีชา ต้องคอยช่วยเหลือ และพยุงท่านอยู่ตลอดเวลา สาธุชนทั้งหลายที่หลั่งไหลกันเข้ามาก็กรูเข้าไปกราบท่านด้วยความเคารพศรัทธายิ่ง ส่วนตัวเราเองหลังจากที่เตรียมอาหารสำหรับท่านฉันท์แล้ว เราก็เข้าไปรอในโบสถ์ พร้อมกับโยมแม่เขียว ก่อนหน้านั้นในระหว่างที่ครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า ท่านเดินไปตามทางโปรดญาติโยมเป็นระยะทางไกลทีเดียว น่าอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่งที่ในระหว่างทางนั้น มีพระบรมสารีริกธาตุร่วงลงมาตามทาง องค์เล็กบ้างใหญ่บ้าง ตามทางที่ท่านเดิน ผู้คนต่างกรูเข้าไปค้นหาหวังจะได้ไว้บูชากัน ส่วนตัวเรายังไม่รู้เรื่องอะไร เพราะอยู่ด้านใน


    ถึงวินาที ที่ตัวเราเองรอคอยมาถึง ทันใดที่ครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า ท่านเดินเข้ามาในโบสถ์ที่เรารอท่านอยู่นั้น วินาทีแรก ที่เราเห็นท่านตอนนั้น ตรงนั้น มันช่างสวยงามมาก สวยงามจริงๆ มันตื้นตัน ปิติ เราก้มกราบท่าน 3 ครั้งอย่างช้าๆ แล้วน้ำตาของเราก็ไหลอาบแก้มแบบไม่เคยไหลอย่างนี้มาก่อน เป็นภาพที่สวยงาม น่าศรัทธา รัศมีท่านส่องแสงแวววาว คนอื่นเห็นเป็นอย่างไรไม่ทราบ เราเห็นอย่างนั้น ท่านงดงามมาก ร่างกายท่านผ่ายผอม ซูบไปมาก แต่แววตาท่านปิติ และมีเมตตา เราน้ำตาไหลมากกว่าใครในนั้น คนแถวนั้นแซวเราอยู่ว่าคนสวยร้องไห้ใหญ่เลย มันเป็นน้ำตาแห่งความปลื้มปิติ มันอัดแน่นอยู่ในนั้น เพราะเราก็รอท่านออกนิโรธ และตั้งใจปฏิบัติเต็มที่ แล้วมีบุญเห็นท่านอย่างนั้นน้ำตาของเราก็พรั่งพรูออกมา จากใจและความศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยม วันนั้นเป็นวันที่เราถือว่า เป็นวันที่ดีที่สุดในชีวิตวันหนึ่ง รองลงมาจากวันที่คุณแม่คลอดเรา ไม่มีวันไหนที่จะเทียบได้ และจะไม่มีวันลืมไปจนตลอดชั่วชีวิตของเรา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2011
  5. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,538
    [​IMG]

    หลังจากท่านฉันท์ภัตตาหารเช้าเรียบร้อย ท่านได้พักเล็กน้อย แล้วท่านมีเมตตาเทศนาสั่งสอนญาติโยม ทุกๆ ครั้งที่ท่านเข้านิโรธกรรม ไม่มีครั้งไหนที่ท่านจะเทศน์เลย ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ถือว่าเรามีบุญอีกแล้ว เราช่างโชคดีอะไรเช่นนี้ เราพูดกับตัวเราเอง ใจความสำคัญท่านได้เทศน์บอกว่า ในการเข้านิโรธกรรมครั้งนี้ ท่านได้มา 8 4 3 1 ซึ่งสำคัญมาก นั่นคืออะไร ท่านทั้งหลายมีใครรู้บ้าง ในนั้นมีพระอยู่หลายรูปรวมถึงพระอาจารย์ปรีชา และหลวงปู่หมากด้วย ท่านถาม 8 หมายถึงอะไร ท่านถามพระองค์ไหน เราจำไม่ได้ ครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า ตอบว่า 8 คืออริยมรรค 8 ได้แก่
    1.สัมมาทิฏฐิ คือความเข้าใจถูกต้อง
    2.สัมมาสังกัปปะ คือความใฝ่ใจถูกต้อง
    3.สัมมาวาจา คือการพูดจาถูกต้อง
    4.สัมมากัมมันตะ คือการกระทำถูกต้อง
    5.สัมมาอาชีวะ คือการดำรงชีพถูกต้อง
    6.สัมมาวายามะ คือความพากเพียรถูกต้อง
    7.สัมมาสติ คือการระลึกประจำใจถูกต้อง
    8.สัมมาสมาธิคือการตั้งใจมั่นถูกต้อง


    4 ได้แก่ อริยสัจสี่ ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค
    3 หมายถึงข้อไหน ถึงตอนนี้ท่านหันมาทางพระอาจารย์ปรีชา พระอาจารย์ปรีชาตอบว่า ศีล สมาธิ ปัญญา พอได้ยินคำตอบ ครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า ท่านยกมือท่านมาปิดตา และพยายามกลั้นน้ำตาท่านไว้ ท่านพูดว่าโอยังมีคนที่ตอบได้ เราสัมผัสได้ว่าท่านปลาบปลื้ม จากคำตอบที่ได้รับ เข้าใจถึงแก่นแท้ถึงพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ท่านยังนิ่งอยู่อย่างนั้นพยายามกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหล ภาพนั้นเป็นภาพที่เราไม่เคยลืมเลย เราปิติ ที่ท่านรักและเคารพและปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอยนของพระพุทธเจ้าอย่างประมาณค่ามิได้ จนครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้าท่านเองแทบจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่เช่นกัน คนมีธรรมะในหัวใจเท่านั้น ถึงจะรู้ว่า มันกินใจจัง


    มาถึงข้อสุดท้าย ครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า ท่านก็ถามา 1 หมายถึงอะไร ท่านพ่อวัชระ ทองพลอย ตอบว่า“ นิพพาน “ ซึ่งเป็นความมายที่ถูกต้อง สรุปก็คือ 8 4 3 1 อริมรรค 8 อริยสัจ 4 ไตรสิกขา 3 และนิพพาน

    นั่นเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้นที่ท่านได้เทศนาสั่งสอน ญาติธรรมทั้งหลายในวันนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2011
  6. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,538
    [​IMG]

    ขอเล่าอีกเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับองค์พระบรมสารีริกธาตุ กับตัวเราเอง เมื่อก่อนก็เคยได้แต่ไปกราบพระบรมสารีริกธาตุที่วัดนั้นบ้าง นี่บ้างตามแต่โอกาสจะอำนวย ไม่เคยแม้แต่น้อยที่จะคิดว่าเรานี่เหรอจะได้มีไว้บูชาบ้าง How ,Where And When?

    ไปครั้งนี้ก็ไม่ได้คิดว่าจะได้ไว้บูชาด้วย หลังจากที่ครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า ท่านออกนิโรธกรรม และเห็นคนกรูกันไปเสาะหาตามทางที่ท่านเดิน ตามที่ท่านประทับบ้างนั้น คนเค้าก็อยากได้นี่เราเข้าใจ จะมีใครสักกี่คนที่ได้ แม้กระทั่งดอกไม้ที่คนโปรย (ตอนท่านเข้านิโรธนั้น เรากับโยมพี่ลำพูน โปรยกันสองคน) ตอนท่านออกนิโรธกรรมนั้นคนโปรยดอกไม้กันมาก และดอกไม้เยอะด้วยโดยโปรยระหว่างทางที่ท่านเดิน และบนดอกไม้ที่ท่านเดินเหยียบนั้นก็มีพระบรมสารีริกธาตุสีม่วงเล็ก ๆ ไม่แข็งจะนิ่มๆ และที่เป็นองค์ใหญ่บ้างเล็กบ้างก็มี หลวงปู่หมากบอกเราว่านั่นเป็นพระโลหิต ในรือนแพกระท่อมที่ท่านนั่งในระหว่างเข้านิโรธกรรมนั้น ในนั้นเฉพาะลูกศิย์เข้าไป เพราะถือว่ายังศักดิ์สิทธิอยู่มาก หากใครเข้าไปแล้วคิดไม่ดีปฏิบัติไม่ถูกต้องจะเป็นบาปกับคนเหล่านั้น ข้อนี้จึงต้องระวังมาก ดังนั้นจึงมีลูกศิษย์เข้าไปนำพระบรมสารีริกธาตุรวบรวมมาก็ได้มาทีเดียว ตัวเรานั้นก็คิดว่าอยากได้บ้าง แต่ไม่รู้จะไปหาที่ไหน เพราะคนที่ไปก็แย่งกันมากมายแทบจะเหยียบกันเลยทีเดียว อยู่ๆ ก็เหมือนพระพุทธเจ้าประทานให้มา เมื่อเสร็จพิธี เราก็มีโอกาสสนทนาธรรมกับหลวงปู่หมาก หลวงปู่หมากท่านเมตตาถามเราว่า ลูกได้พระธาตุหรือยัง เราตอบว่ายังค่ะหลวงปู่ หลวงปู่หมากท่านได้มาอย่างไรไม่ทราบแต่ก็ไม่ได้มากมายนัก คงไม่กี่องค์ ท่านได้เมตตามอบให้เรา 2 องค์ ขอบอกว่าองค์ไม่เล็กเลยนะ เรากราบเท้าท่านกราบนมัสขอบพระคุณที่มอบให้เรา เราก็ว่า 2 องค์พอแล้วเราดีใจใหญ่ อิ่มเอิบมาก อยู่ๆ ก็มีลูกศิษย์ครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า ชื่อปู่วัตร นำมามอบให้อีก 4 องค์ พร้อมกับพระโลหิตอีกนับ 10 ๆองค์เล็ก ๆ ยังไม่พอคนขับรถครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า ยังมอบให้เราอีก 2 องค์ รวมแล้วเราได้พระบรมสารีริกธาตุไว้มากมาย ประดับบูชาไว้บนห้องพระของเรา

    เราพูดกับตัวเราเสมอว่า เราช่างโชคดีอะไรเช่นนี้ ได้เข้าเฝ้ารับใช้พระอริยะบคคลครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า ได้ร่วมพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง ได้มีโอกาสรับใช้ อะไรสุดแล้วแต่ที่ทำได้ เราทำทั้งนั้น ได้จัดภัตตาหารรถวายท่าน โอแล้วที่เกือบลืมเล่าคือ ตรงนี้สำคัญยิ่งตัวเรากับโยมพี่ลำพูนได้ถวายไข่มุก ให้ท่านนำเข้าร่วมพิธีด้วย เผื่อที่ญาติโยมอยากได้ จะได้บูชาเก็บไว้เป็นศิริมงคลอย่างมากกับตัวและครอบครัว เราได้ถวายจำนวนหนึ่งหลายสิบเส้นเป็นไข่มุกแท้ และที่สำคัญมีไข่มุกอยู่เส้นหนึ่งสีดำที่เราตั้งใจทำถวาย ครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้าท่านหยิบขึ้นมาแล้วท่านนำไปใช้ในขณะที่ท่านปฏิบัติ ประมาณว่าจะอยู่กับมือท่านตลอดเวลา นั่นก็เป็นไข่มุกที่เราถวาย เราช่างโชคดีอะไรเช่นนี้ เรายังพูดกับตัวเองเสมอจนกระทั่งทุกวันนี้ ดีใจ ปิติ มันหาคำพูดมาเปรียบเทียบไม่ได้ เพราะมันมีคุณค่ากับจิตใจว่าจนหาที่สุดมิได้จริงๆ

    ตัวเราหวังว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เล่ามานี้ จะเป็นแรงบันดาลใจ และเป็นเรื่องราวที่ดี ๆ มากเรื่องหนึ่งให้ท่านได้รับรู้ และหากมีโอกาสคงจะได้เจอกันหากเราทำบุญร่วมกันมา ไปสร้างบุญบารมีร่วมกันได้ ที่งานนิโรธกรรมครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า อีกครั้งในเดือนธันวาคม นี้ ไม่แน่ใจว่าจะเป็นที่ จ. ศรีสะเกษหรือเปล่า ขอบพระคุณที่อ่านจนจบ ขอให้บุญที่ข้าพเจ้าทำในครั้งนี้ เผื่อแผ่ไปยังทุกท่านที่ได้อ่านและน้ำเรื่องราวไปเผยแพร่ ขอให้ได้บุญกันทุกถ้วนหน้า ประสบแต่ความสุขความเจริญตลอดยิ่งๆ ขึ้นไปเทอญ

    MayBuddhaBlessYou
    เจนค่ะ

    Ps: รูปภาพงานในครั้งนี้กำลังรวบรวมอยู่ แล้วจะนำมา Post ในโอกาสต่อไป ไม่น่าจะเกินสัปดาห์หน้า โปรดติดตาม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2011
  7. กสิณี

    กสิณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2009
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +333
    ขออนุโมทนาบุญกับท่านครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้าและผู้เขียนด้วยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  8. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    อนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ด้วยนะครับที่นำเรื่องราวดีๆมาถ่ายทอดถึงบารมีและการอันเป็นกุศลทั้งปวง เจ้าของกระทู้ปิติมากนะ ดีจัง
     
  9. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,538
    รวมรูปภาพมาแล้วค่ะ

    รูปภาพงานนิโรธกรรมครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า ครั้งที่ 5 ณ ลานธรรมบารมีแสงปทุมหนอ จ.พังงา มีภาพอัศจรรย์หลายภาพค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2010
  10. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,538
    รวมรูปภาพเพิ่มเติมค่ะ

    ภาพงานนิโรธกรรม ครั้งที่ 5 ของครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. manganiss

    manganiss เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2009
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +636
    ครั้งที่ 7 ผมตั้งใจจะไปร่วมบุญด้วยครับ ท่านใดสนใจ หรือมีความตั้งใจอยากจะไป ก็อ่านรายละเอียดด้านล่างได้เลยครับผม

    ** แจ้งกำหนดการงานนิโรธกรรมครั้งที่ 7 **


    ขอ เชิญสาธุชนร่วมงานบุญเข้านิโรธกรรมครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า เพื่อเสริมบุญบารมี พลิกดวงให้เจริญรุ่งเรืองยิ่ง ๆ ขึ้นไป ทำมาค้าขึ้น เจริญรุ่งเรือง แคล้วคลาดจากภยันอันตรายทั้งปวงตลอดไป โดยสาธุชนสามารถอธิษฐานจิตขอพรหน้ากุฎิแพลอยน้ำ บริเวณพิธีตลอด 7 วัน 7 คืน ระหว่างวันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ - วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553วัดสุราลัย ต.โพนทอง อ.เมือง จ.ชัยภูมิ

    โดย การเข้านิโรธกรรมครั้งนี้ครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้าจะเป็นการบำเพ็ญนิโรธกรรมขั้น อุกกฤษฎ์ ซึ่งเป็นการบำเพ็ญนิโรธกรรมชั้นสูง 9 อย่างตามแบบอย่างครูบาเจ้าศรีวิชัย อันประกอบด้วย

    1. งดฉันอาหารทุกประเภท
    2. งดฉันน้ำทุกชนิด
    3. งดถ่ายหนัก (อุจจาระ)
    4. งดถ่ายเบา (ปัสสาวะ)
    5. งดการนอนหลับ (ทั้งกลางวันและกลางคืน)
    6. งดการลุกจากอาสนะ (ที่นั่ง)
    7. งดการพูดจา (ปิดวาจา)
    8. อยู่ลำพังบนแพลอยน้ำ
    9. ปฏิบัติกรรมฐานและอธิษฐานจิตให้สาธุชนทุกท่านที่ไปขอพรหน้ากุฎิ

    โดย ในวันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 เวลา 07.07 น. ขอเชิญสาธุชนร่วมใส่บาตรและอธิษฐานจิตขอพรเนื่องในวันออกนิโรธกรรม อันเป็นวันที่ถือว่ามีอานิสงส์สูงสุด และร่วมฟังธรรมะเทศนาอันเป็นคำพรและมงคลจากครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า


    Link ** �駡�˹���çҹ���ø������駷�� 7 ** [Engine by iGetWeb.com]
     
  12. nitnoi

    nitnoi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +153
    สงสัยจริง ๆ ค่ะ

    นิโรธกรรม คืออะไรค่ะ แปลว่าอะไร ?
    เข้านิโรธกรรมแล้วได้อะไร ?
    ออกจากนิโรธกรรมแล้วได้อะไร ?
    เป็นแนวทาง สำหรับบรรลุมรรคผลใช่ไหม ?
    ต่างจาก ธุดงควัตร ๑๓ ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน อย่างไร ดีกว่าหรือเปล่าคะ

    เคยมีในครั้งพุทธกาลหรือเปล่าคะ
    ใช่แนวคำสอนของศาสนาพุทธหรือเปล่าคะ ?

    สงสัยคะ ???
     
  13. chentenryu1

    chentenryu1 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +14
    สงสัยจริง ๆ ค่ะ

    นิโรธกรรม คืออะไรค่ะ แปลว่าอะไร ?

    <TABLE cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG] นิโรธ ความดับทุกข์ คือดับตัณหาได้สิ้นเชิง , ภาวะปลอดทุกข์เพราะไม่มีทุกข์ที่จะเกิดขึ้นได้ หมายถึงพระนิพพาน </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG] นิโรธสมาบัติ การเข้านิโรธ คือ ดับสัญญาความจำได้หมายรู้ และเวทนาการเสวยอารมณ์ เรียกเต็มว่าเข้าสัญญาเวทยิต นิโรธ , พระอรหันต์และพระอนาคามีที่ได้สมาบัติ ๘ แล้วจึงจะเข้านิโรธสมาบัติได้ (ข้อ ๙ ในอนุปุพพวิหาร ๙) </B>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    <TABLE cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG] กรรม การกระทำ หมายถึง การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา คือ ทำด้วยความจงใจหรือจงใจทำ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เช่น ขุดหลุมพรางดักคนหรือสัตว์ให้ตกลงไปตาย เป็นกรรม แต่ขุดบ่อน้ำไว้กินใช้ สัตว์ตกลงไปตายเอง ไม่เป็นกรรม (แต่ถ้ารู้ อยู่ว่า บ่อน้ำที่ตนขุดไว้อยู่ในที่ซึ่งคนจะพลัดตกได้ง่าย แล้วปล่อยปละละเลย มีคนตกลงไปตายก็ไม่พ้นเป็นกรรม) การ กระทำที่ดีเรียกว่า “กรรมดี” ที่ชั่ว เรียกว่า “กรรมชั่ว” </B>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ฉะนั้น นิโรธกรรม จึงแปลว่า การตั้งใจกระทำความดับแห่งทุกข์ให้บังเกิดมี

    เข้านิโรธกรรมแล้วได้อะไร ?

    ครูบาอาจารย์เจ้าท่านเล่าว่า "ได้ตบะก็เรียก ได้บารมีก็เรียก"
    แลมีเรื่องเล่าในหมู่เหล่าคณาจารย์อายุรเวช(การแพทย์แผนอินเดียแต่โบราณ ต้นแบบการแพทย์แผนไทยโบราณ) ว่า อายุรเวชนั้น มีการล้างสารพิษ ด้วยวิธีการงดอาหารมีกากและอาหารให้พลังงานเป็นระยะเวลาประมาณ ๕-๗ วัน แต่ต้องมีการเตรียมตัวที่ดีเสียก่อน มิเช่นนั้น ตับและไตจะค่อยๆ พิการลงไป
    ฉะนั้น ประโยชน์อันบุคคลพึงได้รับจากการเข้านิโรธกรรม จึงมีทั้งทางโลก คือ สุขภาพร่างกาย และทางธรรม คือ สุขภาพจิตใจ

    <TABLE cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG] ตบะ 1. ความเพียรเครื่องเผาผลาญกิเลส , การบำเพ็ญเพียรเพื่อกำจัดกิเลส 2. พิธีข่มกิเลสโดยการทรมานตัวของนักบวช บางพวกในสมัยพุทธกาล</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG] บารมี คุณความดีที่บำเพ็ญอย่างยิ่งยวด เพื่อบรรลุจุดหมายอันสูงยิ่ง มี ๑๐ คือ ทาน , ศีล , เนกขัมมะ , ปัญญา , วิริยะ , ขันติ , สัจจะ , อธิษฐาน , เมตตา , อุเบกขา </B>
    หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ท่านให้คำจำกัดความคำว่า บารมี หมายถึง กำลังใจเต็ม

    </TD></TR></TBODY></TABLE>ออกจากนิโรธกรรมแล้วได้อะไร ?
    เป็นแนวทาง สำหรับบรรลุมรรคผลใช่ไหม ?

    อัตตาหิ อัตโน นาโถ ตนย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตน
    กัมมุตเต วัตตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
    และ วิริเยนะ ทุกขมัตเจติ บุคคลพึงล่วงพ้นทุกข์ได้ด้วยความเพียร
    อยากได้อะไรก็เลือกทำเอานะ

    ระวัง! อย่าให้ศรัทธาแซงปัญญา ความวอดวายจะบังเกิดมี อุปมา ศรัทธาแล ปัญญา เหมือน ขาซ้ายแลขวา ย่อมควรใช้ให้เสมอกัน มิเช่นนั้น อาจตกข้างทางได้

    ต่างจาก ธุดงควัตร ๑๓ ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน อย่างไร ดีกว่าหรือเปล่าคะ

    ต่างหรือไม่ ขึ้นอยู่กับใครเป็นผู้คิดตอบ ครูบาศรีวิชัย ท่านเคยสอนไว้ว่า "เป็นเพียงกุศโลบายที่ท่านเห็นว่าเหมาะแก่ลูกศิษย์ของท่าน" แต่รายละเอียดเบื้องลึกอย่าไปรู้เลยนะ ขี้เกียจตอบ

    เคยมีในครั้งพุทธกาลหรือเปล่าคะ

    ในสมัยพุทธกาลนานมา ปรากฎมีเรื่องราวเกี่ยวกับ "นิโรธสมาบัติ" มากมาย หากสืบกระทั่งสมัย ครูบาเจ้าศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนา จึงปรากฎมี งานเร่งรัดตัดกำลังใจเพื่อมรรคผลนิพพาน โดยชื่องานว่า นิโรธกรรม ทั้งนี้ครูบาเจ้าศรีวิชัย แนะนำด้วยการทำให้ดูเป็นตัวอย่างแก่ศิษยานุศิษย์ มีกำหนดปีละครั้ง ครั้งละ ๗ วัน ๗ คืน แต่ไม่กำหนดช่วงเวลา
    แต่นั้นมา คณะสงฆ์ฝ่ายหัวเมืองเหนือ จึงมีพิธี "นิโรธกรรม" สืบจนถึงทุกวันนี้ หากแต่ได้เงียบหายไปจากความรับรู้ของพุทธศาสนิกชนภาคอื่นหลายสิบปี เพิ่งจะกลับมามีชื่อเสียง เรื่องอานิสงฆ์จากการตักบาตรพระออกนิโรธ (เพราะใช้คำว่า "นิโรธฯ" เหมือนกัน แต่เป็นคนละนิโรธ) เมื่อช่วงประมาณ ๘ ปีที่ผ่าน วัดที่ลงทุนตั้งป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์ขนาดใหญ่และเป็นเหตุให้คนภาคกลาง(โดยเฉพาะคน กทม.) ได้ทราบและชักชวนกันขึ้นไปตักบาตร "พระออกนิโรธฯ(นิโรธกรรม)" คือ วัดศรีดอนมูล จ.เชียงใหม่ มีครูบาน้อยเป็นผู้ปฏิบัติวัตรนิโรธกรรม

    ใช่แนวคำสอนของศาสนาพุทธหรือเปล่าคะ ?

    สงสัยคะ ???

    อยากทราบโดยละเอียดก็ลองทำดูเองนะ
     
  14. ด้อยค่า

    ด้อยค่า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    81
    ค่าพลัง:
    +143
    นิโรธ ความดับทุกข์ คือดับตัณหาได้สิ้นเชิง , ภาวะปลอดทุกข์เพราะไม่มีทุกข์ที่จะเกิดขึ้นได้ หมายถึงพระนิพพาน นิโรธสมาบัติ การเข้านิโรธ คือ ดับสัญญาความจำได้หมายรู้ และเวทนาการเสวยอารมณ์ เรียกเต็มว่าเข้าสัญญาเวทยิต นิโรธ , พระอรหันต์และพระอนาคามีที่ได้สมาบัติ ๘ แล้วจึงจะเข้านิโรธสมาบัติได้ (ข้อ ๙ ในอนุปุพพวิหาร ๙)

    กรรม การกระทำ หมายถึง การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา คือ ทำด้วยความจงใจหรือจงใจทำ ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เช่น ขุดหลุมพรางดักคนหรือสัตว์ให้ตกลงไปตาย เป็นกรรม แต่ขุดบ่อน้ำไว้กินใช้ สัตว์ตกลงไปตายเอง ไม่เป็นกรรม (แต่ถ้ารู้ อยู่ว่า บ่อน้ำที่ตนขุดไว้อยู่ในที่ซึ่งคนจะพลัดตกได้ง่าย แล้วปล่อยปละละเลย มีคนตกลงไปตายก็ไม่พ้นเป็นกรรม) การ กระทำที่ดีเรียกว่า “กรรมดี” ที่ชั่ว เรียกว่า “กรรมชั่ว”

    ฉะนั้น นิโรธกรรม จึงแปลว่า การตั้งใจกระทำความดับแห่งทุกข์ให้บังเกิดมี

    ==============

    อ่านแล้วก็สับสน เอานิโรธสมาบัติ ของพระอริยะเจ้า ซึ่งท่านทำเพื่อสงเคราะห์ผู้มีบุญที่ตกทุกข์ได้ยาก มาแอบอ้างให้การกระทำของพวกตนถูกต้องและมีลักษณะเหมือนหรือคล้ายคลึงกันกับคำว่า "นิโรธสมาบัติ" ของพระอริยะเจ้า แทบจะรียกว่าให้เข้าใจว่า "ตน" ก็เป็นพระอริยะ เหมือนกันหรือดีกว่า เสียอีก

    "นิโรธกรรม" คำนี้ไม่เคยได้ยิน น่าจะคิดขึ้นมาเพื่อให้คล้ายคลึง กับ "นิโรธสมาบัติ" เพื่อสร้างความสับสน ง่ายต่อการชักชวนเพื่อให้เกิดความศรัทธา
    ถ้าแปลว่า การตั้งใจกระทำความดับแห่งทุกข์ให้บังเกิดมี แล้วมรรค ๘ คืออะไร ? ศีล สมาธิ ปัญญา บำเพ็ญเพื่ออะไร ?

    ก่อนตรัสรู้พระเจ้าสิทธถะ พระองค์บำเพ็ญทุกกริยายิ่งกว่านี้และต่อมาจึงทราบว่า ไม่ใช่หนทางแห่งความดับทุกข์ พ้นจากทุกข์ จึงได้เลิกเสีย หลังจากทรงตรัสรู้แล้ว จึงทรงบัญญัติ ธุดงค์ ๑๓ ข้อ สำหรับผู้เป็น (เนยยะ) มีนิสัยหยาบ ชอบทรมานตน เพื่อกำหราบ กิเลส ตัณหา อันหยาบของตนและท่านไม่ให้ทำเพื่อ อวดอ้าง หรือเพื่อลาภสักการะ

    ปกติท่านจะสมาทานธุดงค์ เฉพาะในช่วงเข้าพรรษาเท่านั้น ซึ่งในอดีต เราจึงไม่ค่อยทราบว่า พระองค์ใดสมาทาน ธุดงค์วัตรบ้าง เพราะท่านไม่อวดอ้าง โอ้อวด เพื่อเห็นแก่ลาภ สักการะแต่เพื่อการพ้นทุกข์จริง ๆ เป็นเรื่องเฉพาะของพระภิกษุล้วน ๆ

    แต่ปัจจุบัน บัญญัติศัพท์ที่ใช้เรียกการปฏิบัติธรรมของตน คณะตนขึ้นมาใหม่ ให้ใกล้เคียงหรือให้คล้ายกับคำสอนของพระศาสดาให้มากที่สุด แล้วประกาศกันอย่างครึกโครม เหมือนงานวัดว่า เป็นการปฏิบัติอย่างอุกฤษ์ ชักชวนให้ทำบุญ ให้บริจาค ให้บูชาพระ ให้เช่าเครื่องรางของขลังต่าง ๆ

    บางเรื่องบางความหมาย นำเอามาใช้แบบตรงกันข้าม เช่น "การอยู่ปริวาสกรรม" ซึ่งในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าท่านใช้ลงโทษพระภิกษุ ผู้ผิดพระวินัย สังฆาทิเสส แต่ปัจจุบันนำมาใช้ในลักษณะ ยกย่อง ชมเชย ให้ไปทำบุญกับพระที่อยู่ปริวาสกรรม ได้บุญได้กุศลมากมาย เหมือนหนึ่งว่า เหนือกว่า พระภิกษุผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ เสียอีก

    "นิโรธกรรม" นี้ ไม่ใช่คำสอนของพระศาสดาและไม่ใช่แนวทางของพระพุทธศาสนาแน่นอน
    "นิโรธกรรม" นี้ ทำเพื่อโอ้อวด เพื่อลาภสักการะโดยถ่ายเดียว ไม่ใช่เพื่อความพ้นทุกข์แต่อย่างใด
    "นิโรธกรรม" ไม่มีบัญญัติ ในพระไตรปิฎก ไม่ว่าเล่มใด ๆ

    ภัยของพระศาสนา...

    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย..
    ในอนาคต ภิกษุทั้งหลายจักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต
    ไม่อบรมปัญญา เมื่อไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา
    จักให้อุปสมบทกุลบุตรเหล่าอื่น จักไม่สามารถแนะนำแม้กุลบุตรเหล่านั้นในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา

    แม้กุลบุตรเหล่านั้น ก็จักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา
    เมื่อไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา ก็จักให้อุปสมบทกุลบุตรเหล่าอื่น
    จักไม่สามารถแนะนำแม้กุลบุตรเหล่านั้นในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา แม้กุลบุตรเหล่านั้นก็จักไม่อบรมกาย ไม่อบรมศีล ไม่อบรมจิต ไม่อบรมปัญญา

    เพราะเหตุดังนี้แล การลบล้างวินัยย่อมมีเพราะการลบล้างธรรม
    การลบล้างธรรมย่อมมีเพราะการลบล้างวินัย .."

    "การลบล้างธรรม ลบล้างพระวินัย"
    "บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ"

    ท่านเรียก "อวดอุตริมนุษยธรรม"

    เจริญพร
     
  15. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    โลกของอินเตอน์เน็ตมีธรรมชาติอย่างหนึ่งก็คือว่า สามารถเผยแพร่ข้อมูลหรือกระจายข่าวสารไปสู่วงกว้างได้อย่างรวดเร็ว และหากเป็นสิ่งที่ถูกที่ควร ก็จะเป็นคุณอนันต์ แต่หากเป็นสิ่งที่ผิด ก็จะเป็นโทษมหันต์ เราในฐานะผู้รับข้อมูลข่าวสารจึงจำเป็นต้องมีวิจารณญาณเป็นอย่างยิ่ง และหากเราเป็นผู้เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านช่องทางอินเตอร์เนต ก็ยิ่งจะต้องมีวิจารณญาณเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น ใคร่ขอบอกว่า คุณต้องมีวิจารณญาณในสิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยิน สิ่งที่ได้ฟัง ตลอดจนสิ่งที่ได้อ่านเป็นอย่างยิ่ง

    ต่อไปนี้ผมจะตอบตามความเข้าใจของผม ขอให้คุณและผู้อ่านทุกท่านโปรดใช้วิจารณญาณ

    1 นิโรธกรรมคืออะไร
    ก็คือ การเข้าฌานสมาบัติแบบชนิดไม่รับประทานอาหาร ไม่ดื่มน้ำ ไม่อุจจาระ ไม่ปัสสาวะ และบางกรณีอาจขุดหลุมแล้วลงไปนั่งในหลุมนั้นแบบไม่กระดุกกระดิก หรือไปนั่งสมาธิบนแพกลางน้ำ เป็นการฝึกกายและฝึกจิต เป็นการฝึกขันติบารมี ฝึกสัจจะบารมี (สัจจะบารมีตรงที่ กำหนดว่าชาตินี้ต้องทำกี่ครั้ง ก็จะทำให้ครบตามจำนวนครั้งและจำนวนวันที่ตั้งใจ) แต่ยังไม่ถึงขั้นตัดกิเลส เพราะหากเป็นการปฏิบัติแบบชนิดไม่รับประทานอาหาร ไม่ดื่มน้ำ ของพระอรหันต์ เรียกว่า นิโรธสมาบัติ

    เพราะฉะนั้น บุคคลที่เข้านิโรธกรรม โดยทั่วไปแล้ว ท่านยังไม่ใช่พระอรหันต์ (โปรดใช้วิจารณญาณนะครับ อ่านมาถึงตอนนี้) แต่ท่านบำเพ็ญบารมีอย่างพระโพธิสัตว์

    2 เข้านิโรธกรรมแล้วได้อะไร

    อย่างที่บอกไว้ข้างต้น คือ เป็นการเพิ่มพูนเพิ่มตบะ ขันติบารมี สัจจะบารมี ใครจะไปรู้ ท่านที่เข้านิโรธกรรมนั้น ท่านอาจจะถอดกายทิพย์ขึ้นไปข้างบนชั่วคราวก็ได้ ปล่อยให้กายหยาบอยู่บนโลกมนุษย์

    3 ออกจากนิโรธกรรมแล้วได้อะไร
    ก็เป็นการโปรดเวไนยสัตว์ไงครับ เพราะวันจะมีคนรอมาใส่บาตรกับพระที่ออกจากนิโรธกรรมมากมาย เพราะถือว่าได้บุญมาก และจะมีคนใส่บาตรด้วยน้ำผึ้ง เพราะถือว่าน้ำผึ้งให้พลังงานสูง เหมาะสำหรับผู้ที่อ่อนเพลียหรือร่างกายกำลังพักฟื้น (อาจมีเหตุผลอื่นนอกจากนี้ที่ผมยังไม่ทราบ)
    เพราะฉะนั้น สามารถสรุปได้ว่า ออกจากนิโรธกรรมก็จะได้บุญทั้งพระที่ออกจากนิโรธกรรมและคนที่มารอใส่บาตร

    4 เป็นแนวทางสำหรับบรรลุมรรคผลใช่ไหม
    ขอตอบว่า เป็นแนวทางสำหรับบรรลุมรรคผล แต่ไม่ใช่ในชาติปัจจุบัน หากแต่เป็นอนาคตกาล เพื่อประโยชน์แก่เวไนยสัตว์ทั้งหลาย เป็นการบ่มเพาะกำลัง บ่มเพาะบารมีในชาตินี้ สร้างเหตุเกี่ยวเนื่องกันระหว่างพระที่ออกจากนิโรธกรรมและผู้ที่ได้มาร่วมงานบุญในงานนิโรธกรรมในชาตินี้ เพื่อประโยชน์ในชาติหน้า

    5 ต่างจากธุดงควัตร 13 ประการหรือปล่าว
    ตามความเข้าใจของผม ธุดงควัตรเป็นไปเพื่อการยังชีพอันบริสุทธิ์ เป็นไปเพื่อการฝึกการลดละเลิก เป็นไปเพื่อความสันโดษ เป็นไปเพื่อการฝึกความอดทน เป็นไปเพื่อประโยชน์แด่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ก็แล้วนิโรธกรรมจะเข้าลักษณะดังกล่าวหรือไม่ เป็นสิ่งที่คุณจะต้องค้นคว้าหาคำตอบ และต้องเป็นคำตอบจากพระสุปฏิปันโน

    6 ดีกว่าหรือปล่าว
    อือม์ คำถามนี้ไม่น่าถามนะครับ ธรรมะที่พระพุทธองค์นำมาสั่งสอนมนุษย์นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ดีทั้งสิ้น จะบอกว่าข้อนั้นดีกว่าข้อนี้ ไม่น่าจะถูก เพราะฉะนั้นมองข้ามคำว่า "ดีกว่าหรือไม่ดีกว่า"ไปเสีย แต่มองเพียงว่าธรรมะข้อนี้เหมาะกับเราหรือไม่ ธรรมะข้อนี้เราเข้าใจถูกหรือไม่ ธรรมะข้อนี้เราสอบผ่านหรือไม่ มากกว่า

    7 เคยมีในครั้งพุทธกาลหรือปล่าว
    ไม่มีหลักฐานบันทึกไว้ แต่อะไรก็ตามที่ไม่มีหลักฐานบันทึกไว้ ไม่ใช่ว่ามันจะไม่เคยเกิด ไม่เคยมี ถูกมั้ย ดูอย่างสึมานิซิ ถามว่าเคยเกิดในประเทศไทยไหม มันต้องเคยเกิด เพียงแต่ในอดีต ไม่มีการบันทึก หรือตอนนั้นคนไทยไม่รู้ว่าเป็นอะไร
    มนุษย์มีขีดจำกัดในการย้อนอดีต..... เพราะฉะนั้น ตรงนี้ก็อาจจะทำให้เราคิดว่าเอ้อ ในอดีตมันไม่มีหรอก ...

    8 ใช่แนวคำสอนของศาสนาพุทธหรือปล่าว
    คำถามข้อนี้ต้องถามท่านที่เคยปฏิบัติ ท่านที่ยังไม่ได้ปฏิบัติ หรือไม่สามารถปฏิบัติได้ คุณไม่ต้องไปถาม เดี๋ยวจะไปกันใหญ่ แต่ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า เป็นแนวทางปฏิบัติที่สืบต่อกันมานาน โดยเฉพาะทางภาคเหนือ และส่วนใหญ่จะเป็นพระโพธิสัตว์ เช่น ครูบาเจ้าศรีวิชัย มาในปัจจุบันก็มีครูบาน้อย วัดศรีดอนมูล จ.เชียงใหม่ ครูบาอริยชาติ วัดแสงแก้วโพธิญาณ จ.เชียงราย ครูบาบุญคุ้ม วัดโพธิสัตว์บรรพตนิมิตร จ.กาญจนบุรี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กุมภาพันธ์ 2010
  16. มิตรตัวน้อย

    มิตรตัวน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +896
    การเรียนรู้ศาสนาพุทธ แบ่งได้ ๒ พวกใหญ่ ๆ

    ๑. ยิ่งเรียน ยิ่งศึกษา ยิ่งรู้ ยิ่งเห็น เห็นทุกข์ เห็นอวิชชา ละทุกข์ ละอวิชชา พ้นทุกข์ พ้นโลกสงสารได้
    ๒. ยิ่งเรียน ยิ่งศึกษา ยิ่งหลง ยิ่งงมงาย กอดทุกข์ กอดอวิชชาอยู่ ก็ไม่รู้ว่าเป็นทุกข์ เป็นอวิชชา

    อะไรทำให้คน ๒ จำพวกนี้ต่างกัน
    ก็คือ ปัญญา นั่นเอง

    ปัญญา คือ อะไร ปัญญาคือ ความรอบรู้ รู้แจ้งเห็นจริงในสรรพสิ่ง ตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น ๆ
    ปัญญา เกิดจาก อะไร ปัญญาเกิดจาก การคิด การนึก ตรึกตรอง ใคร่ครวญ ในสิ่งหนึ่งหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
    จนเข้าใจหายสงสัยในเรื่องนั้นหรือสิ่งนั้น

    ท่านจึงว่า ศาสนาพุทธคือศาสนาของผู้มีปัญญา พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ก็ด้วยปัญญา

    พระองค์ทรงจรรโลงพระศาสนาและฝากพระศาสนาไว้กับ พุทธบริษัททั้งสี่ และตรัสว่า ศาสนาของพระองค์
    จะรุ่งเรืองหรือเสื่อมลงก็เพราะพุทธบริษัททั้งสี่นี้เอง

    "ถ้าพุทธบริษัททั้สี่ อบรมกาย อบรมสติ อบรมปัญญา ศาสนาของพระองค์ก็จะรุ่งเรื่องไปจนครบ ๕๐๐๐ ปี"

    ขอโมทนากับท่านด้อยค่าด้วยนะครับ สาธุ..

    เจริญธรรม
     
  17. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    กาลครั้งหนึ่ง ผมเคยถามพระสุปฏิปันโนรูปหนึ่งทางภาคอีสานว่า "หลวงพ่อครับ ศรัทธากับปัญญาอย่างไหนมาก่อนครับ " ท่านไม่ได้ตอบตรงๆ แต่ท่านบอกว่า "ปัญญาที่พูดถึง มันเป็นปัญญาในทางโลก มันไม่ใช่ปัญญาในทางธรรม"

    ก็แล้วปัญญาเกิดขึ้นได้อย่างไร ปัญญาย่อมเกิดจากการสดับตรับฟัง การอ่าน การวิเคราะห์ การได้รับการสั่งสอน การปฏิบัติ และที่สำคัญอีกประการหนึ่ง "ความทุกข์นี่แหละ ทำให้เกิดปัญญา" เมื่อใดที่เราทุกข์อย่างถึงที่สุด เราอาจจะเกิดปัญญาขึ้นได้ ก็เพราะเกิดความเข้าใจว่า สรรพสิ่งทั้งหลายมีเกิดย่อมมีดับ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน เมื่อมีความทุกข์ สักวันทุกข์ก็จะผ่านไป ทุกข์ก็จะสิ้นสุด เมื่อมีความสุข สุขนั้นไม่จีรัง สุขนั้นไม่อาจจะอยู่กับเราตลอดชีวิต ทุกข์กายไม่เท่าทุกข์ใจ สุขกายไม่เท่าสุขใจ จะทุกข์จะสุขก็เกิดที่ใจ และเมื่อทุกข์เกิดที่ใจ ก็ต้องดับที่ใจ... สามารถกล่าวได้ว่าความทุกข์ เป็นบททดสอบอย่างดียิ่งสำหรับความเข้าใจในธรรม

    มีคำถามอยู่ว่า "ศรัทธากับปัญญาไปด้วยกันได้ไหม" คำตอบคือ "ไปด้วยกันได้" แต่ความยากก็คือ เมื่อไหร่จะใช้ศรัทธาและเมื่อไหร่จะใช้ปัญญาละ นี่คือความยาก นี่คือความละเอียดอ่อน
    สิ่งที่ละเอียดอ่อนยิ่งไปกว่านั้นก็คือคำถามที่ว่า "แน่ใจแล้วหรือว่า นั่นคือปัญญา" เพราะอะไรถึงพูดอย่างนี้ ก็เพราะว่าในโลกนี้ ความรู้นอกตำรามีอยู่เยอะมาก เป็นความรู้ที่ไม่ได้มีการบันทึก เป็นความรู้ที่ไม่มีการเผยแพร่ เป็นความรู้เฉพาะตนเฉพาะตัว

    อีกเรื่องหนึ่งที่จะกล่าวก็คือ การสร้างบารมีของแต่ละคนนั้นต่างกัน จะเห็นได้ว่า บางท่านมีวาสนาบารมีในเรื่องการปลุกเสกพระ เพราะในอดีตท่านผู้นั้นเคยสั่งสมบารมีอย่างนั้นมา มาในชาตินี้ก็มาสร้างบารมีต่อ แนวทางการสร้างบารมีเป็นสิ่งที่อธิบายได้ยาก มันเป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตัวอีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นถึงบอกว่า ถ้าอยากรู้เรื่องนิโรธกรรม ต้องไปสอบถามกับท่านที่เข้านิโรธกรรม ถ้าท่านเมตตาท่านก็บอก แต่ถ้าท่านเห็นว่า บอกไปไม่มีประโยชน์ ท่านก็ไม่มาบอก ไม่มาอธิบาย โยมจะเชื่อหรือศรัทธามันก็เป็นเรื่องของโยม ......อาตมาบังคับใจโยมไม่ได้

    ยกตัวอย่างอีกกรณีหนึ่งก็คือ มีนาย ก.กับนาย ข.จะไปฝึกวิชากับครูบาอาจารย์ พอครูบาอาจารย์สั่งให้ไปทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ ท่านไม่อธิบายเหตุผล
    นาย ก. มัวไปนึกสงสัยว่า เอ๊ะ ท่าจะไม่ work อย่างนี้มันไม่อยู่ในตำรานี่ อย่างเรามันต้องอีกแบบหนึ่ง หรือเราชอบปฏิบัติอย่างนี้ ทำไมครูไม่มาต่อยอดเราอย่างนี้ ซึ่งนี่คือลักษณะของพุทธิจริต คือชอบตั้งคำถาม ขี้สงสัย ซึ่งโดยทั่วไปก็ดี แต่ถ้าหากใช้ไม่ถูกที่ ก็เสีย
    มานาย ข.บ้าง พออาจารย์สั่งให้ไปทำอย่างนั้น อย่างนี้ นาย ข. ไม่มาคิดมาก ลงมือทำเลย เพราะด้วยความศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยม

    จากตัวอย่าง ท่านคิดว่า นาย ก.หรือนาย ข.แน่ ที่จะได้วิชา นาย ก.หรือนาย ข.แน่ที่จะประสบความสำเร็จ

    มาอีกตัวอย่างหนึ่ง อหิงสกะไปฝึกวิชากับอาจารย์ แล้วโดนอาจารย์หลอกให้ไปฆ่าคน อหิงสกะก็เชื่อ ก็ไปฆ่าคนแล้วเอานิ้วมาคล้องที่คอ นี่คือ ตัวอย่างของการใช้ศรัทธาที่ผิด

    เพราะฉะนั้น อย่างที่บอกก็คือ ความละเอียดอ่อนมันอยู่ที่ว่า เมื่อไหร่จะใช้ศรัทธา เมื่อไหร่จะใช้ปัญญา คือ ต้องแบบพอดี ต้องรู้จังหวะ ซึ่งจะกำหนดเป็นหลักเกณฑ์ตายตัวลงไปก็ทำได้ยาก

    สุดท้ายอะไรที่เข้าใจผิดก็แล้วไป แต่ถ้าไปสบประมาทคุณธรรมของผู้อื่นเข้า ไปดูถูกการสร้างบารมีของผู้อื่นเข้า ก็จะนับว่าเป็นวิบากกรรมที่มาขัดขวางการปฏิบัติธรรม ความเข้าใจในธรรมของผู้นั้นเอง

    ขอให้ท่านทั้งหลายเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กุมภาพันธ์ 2010
  18. chentenryu1

    chentenryu1 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +14
    เห็นด้วยจ้า

    ถึง คุณด้อยค่าครับ

    ที่คุณด้อยค่ากล่าวอ้างถึงนั้นจริงตามพระไตรปิฎกครับ
    ส่วนที่ครูบาศรีวิชัยท่านบำเพ็ญนั้น เป็นเหมือนการติวเข้มตัวผู้บำเพ็ญเท่านั้นครับ
    คุณด้อยค่ากล่าวถูกต้องตามพระไตรปิฎกจริงๆ ครับ ขอย้ำ

    ถึง ทุกท่านครับ

    "นิโรธกรรม" นี้ ไม่มีในพระธรรมวินัย
    "นิโรธกรรม" นี้ ไม่มีในพระไตรปิฎก จริงๆ

    ครูบาศรีวิชัยท่านบำเพ็ญและสอนศิษยานุศิษย์ไว้เป็นแนวทางติวเข้มประจำปี
    มีบัญญัติว่า"ให้ทำปีละครั้งเท่านั้น แต่ไม่กำหนดจำนวนวัน และช่วงเวลา" โดยมากมักนิยมช่วงฤดูหนาวปลายปี เพราะร่างกายจะได้พักผ่อนไปในตัว(คล้ายหมีขั้วโลกจำศีลฤดูหนาว)และเป็นการป้องกันไม่ให้ร่างกายทุรนทุรายกับสภาพอากาศมากเกินไปในระหว่างการปฏิบัติ

    แต่ช่วงหลัง มีการทำไปเพื่อการอื่น นอกเหนือจากการบำเพ็ญ(เพื่อชำระจิตใจตนเองออกจากกองกิเลส) ค่อนข้างมาก
    จึงน่าจะระวังกันให้ดี
    จริงๆ แล้วๆ ผมอยากให้ทุกท่านที่สงสัย เรื่อง "นิโรธกรรม" ลองไปปฏิบัติกันดูกับครูบาอาจารย์ที่ได้ร่ำเรียนวิชาความมาจากครูบาศรีวิชัย จะได้สิ้นสงสัยกันไปเรื่องอานิสงฆ์ที่จะได้รับจากการบำเพ็ญ (ยังพอมีอยู่พยายามหาก็แล้วกัน เพราะท่านเหล่านั้นชอบเก็บตัวเงียบๆ)

    ส่วนใครสงสัยแล้วไม่ต้องการเปลืองข้อสงสัย
    ผมแนะนำ ให้ฟังคุณด้อยค่าและพิจารณาตามคำของคุณด้อยค่ามากๆ ครับ
    เพราะอ้างจากพระไตรปิฎกได้ถูกต้องแล้ว
    ไม่บ่อยนะครับ ที่คนในยุคนี้ จะเข้าใจเรื่องราวในพระพุทธศาสนาได้ถูกต้องตามความเป็นจริง ดีใจจริงๆ ครับ ที่คุณด้อยค่า เข้ามาสร้างความกระจ่างและตั้งข้อสังเกตได้น่าพิจารณาอย่างมาก

    ขอคุณพระรัตนตรัยคุ้มครองทุกท่านครับ
     
  19. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,538
    อนุโมทนากับทุกความเห็นค่ะ ตัวเองกำลังเตรียมตัวไปส่งครูบาเข้านิโรธกรรมในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ คือวันจันทร์ที่จะถึงนี้ แล้วเตรียมตัวบวชชีพราหมณ์ด้วย 7 วัน ก็ขออุทิศบุญให้กับผู้ที่ศรัทธาท่าครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้าด้วยกันทุกคน ขออำนาจแห่งพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลที่ข้าพเจ้าจะไปบวชชีพราหมณ์ ปฏิบัติธรรม ณ วัดสุลาลัย ส่งครูบาเข้านิโรธกรรม ครั้งที่ 7 ตักบาตร เตรียมอาหารให้ท่านฉันท์ ในวันที่ครูบาท่านออกจากนิโรธกรรม และทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นภายใน 7 วันนี้ ก็ขออุทิศบุญกุศลนี้กับทุกท่านด้วยทุกคน ทุกทั่วทุกตัวสัตว์เทอญ ใครจะอธิษฐานขออะไร ขอให้ตั้งจิตอธิษฐาน ตัวเองถือว่ามีบุญมากแล้วที่ได้เดินทางสายนี้ และคิดเสมอว่าเรามีบุญจริงๆ ที่ได้พบกับพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านครูบาท่านโปรดและเมตตาทุกคน จริงๆ อย่างที่ท่านครูบาบอก " อาตมาเองเป็นครูบาตนเดียวที่ยากจนที่สุด แต่รวยน้ำใจมากที่สุด " สำหรับคนที่ไม่เชื่อ ก็อย่าลบหลู่ ปรามาสพระสงฆ์ที่ท่านปฏิบัติดีอยู่แล้วนั้นกรรมจะตกอยู่กับคุณแค่ไหน ขอให้สำรวจตัวเองก่อนว่าสามารถทำได้สัก 1 ใน 9 อย่าง ภายใน 7 วัน อย่างที่ท่านทำได้หรือไม่ ขอให้สำรวมระวังคำพูดหรือ comment ต่างๆ เพื่อประโยชน์ต่อตัวของท่านเอง สำหรับผู้ที่อธิบายให้ความเห็นที่ไม่ลบหลู่ ขออนุโมทนาด้วยค่ะ

    ขอยกคำพูดของหลวงปู่หมาก ท่านไปร่วมรับครูบาออกจากนิโรธกรรมครั้งที่ 5 ท่านบอกกับเจนว่า " ลูกรู้ไหมว่า ที่เราเห็นเป็นกระท่อมธรรมดาหลังหนึ่งนั้น ไม่ใช่อย่างที่ลูกเห็นหรอนะ ลูกรู้ไหมว่าเป็นอะไร ที่ปู่เห็นเป็นวิมาณแก้วครอบไว้หลายชั้น ใหญ่มาก สวยมาก วิจิตตระการตามากนะลูก หลวงปู่เองยังทำไม่ได้อย่างที่ครูบาท่านทำเลยนะ นี่เรื่องจริง ครูบาท่านของจริงลูก ลูกมีบุญมากนะที่ได้ติดตามและเข้าปฏิบัติธรรมกับท่าน ขอให้ลูกเจริญในธรรม " นี่คือคำพูดของหลวงปู่หมากที่ท่านพูดไว้กับเจนครั้งนั้น
     
  20. MayBuddhaBlessYou

    MayBuddhaBlessYou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,419
    ค่าพลัง:
    +9,538
    ขออนุโมทนากับคุณพี่ชาตรี ที่ฝากเงินใส่บาตรและฝากซื้อของใส่บาตร ครูบาเจ้าหน่อแก้วฟ้า ณ วันที่ท่านออกนิโรธกรรม ขออนุโมทนาบุญกับพี่เป็นอย่างสูงค่ะ ขอให้พี่ได้บุญเยอะๆ คิดสิ่งใด ปราถนาสิ่งใดขอให้สมความปราถนาทุกๆ ประการ เป็นจริงดั่งที่พี่หวังด้วยเดชแห่งบุญที่พี่ทำนี้ด้วยเทอญ

    อนุโมทามิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...