จริงหรือเปล่า ธรรมที่พระเจ้านำมาสอนเรา เป็นเพียงใบไม้ในกำมือเมื่อเทียบกับป่าใหญ่

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย แค่พลัง, 22 กันยายน 2017.

  1. แค่พลัง

    แค่พลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    2,792
    ค่าพลัง:
    +1,565
    เพิ่งได้ข้อมูลว่า ธรรมที่องค์พระศาสดานำมาชี้ทางเราแค่ใบไม้ในกำมือเอง หรือรู้สึกทึ่งมาก
    ขนาดใบไม้ในกรรมมือ ยังลึกซึ้งและสวยงามมาก และยังปฏิบัติยาก

    ตอนนี้ทำให้ระลึกพระคุณของพระพุทธเจ้าอยู่เป็นขณะจิต
    มีใครมีข้อมูลเพิ่มเติมหรือเปล่าครับ หรือผมเข้าใจผิด
     
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    เน้นไปด้วย จิฮับ

    ที่กำอยู่เท่านั้น ที่เป็นสัจจ และ เป็นประโยขน์ (เพื่อสุขเป็นอย่างต่ำ
    เพื่อนิพพานเป็นที่สุด) มหาศาสดาพิจารณาแล้ว

    ส่วนที่อยู่นอกกำมือนั้น จะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติไม่มี มหาศาสดาฏีกาไว้

    เน้นแล้วได้อะไร

    สักเกต อาการ "วิตถาร" ที่ปรากฏ ธรรมจะหดสั้นลง เหลือเพียงไม่กี่พยัญชนะ
    หดเข้ามา หดเข้ามา จน เม้มปาก แล้วนั่งลง พอดีเป๊ะ !! ( ครบตรงในกำมือ )


    ปล.ลิง : หลวงปู่ดูลย์ฝากไว้ " ธรรมะนั้นไม่ยาก ยากเฉพาะผู้ไม่ปฏิบัติ "
    ปล2. : หลวงทวดของทวดฯอนุรุธธะ ฝากไว้ "ธรรมเป็นของรู้เร็ว ไม่ใช่รู้ช้า "

    ปล3. : อาการหดลง วิตรถาร สั้นลง ลวกเพ่อย่าเอาแต่ปิติ ให้ตามเห็น
    ความพ้นบางอย่าง สละออก สลัดออกบางอย่าง อย่าให้ เสียของ รอเลือกตั้ง !!
    ขอเวลาอีกไม่นาน ทุกๆอย่างตามดับโดยสัญญา หา หา หาาาาาาาาา ....
    [ ถ้าไม่สลัดคืนจิต จะก้าวล่วงเข้าไปกองสัญญา เวทนา ไม่ได้ การอาพาธ
    ถอยกลับไปคว้า อุปธิ ใบไม้นอกป่า จะง่ายมัว์กๆ ]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กันยายน 2017
  3. แค่พลัง

    แค่พลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    2,792
    ค่าพลัง:
    +1,565
    พระไตยปิฏก คือใบไม้ในกำมือทั้งหมด ใช่ไหมครับ
     
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    แหม ก็ แนะไปแว้ว ว่าต้อง สลัดคืนบางอย่าง เปลื้องบางอย่าง ออกก่อง

    ถ้าไม่เปลื้องออก ยกจิตไปเห็น สัญญา ด้วยความเป็น ปรมัตถธรรม(ไม่ใช่สัตว์ ฯ)
    เวทนาเป็นปรมัตถธรรมมันจะ แล่นกลับไป กว้านขยะเข้าบ้าน ง่าย มัวก์

    เอางี้ ลวกเพ่

    มีพระสูตรนึง ก็ ออกอาการ งง เหมือนลวกเพ่ นี่แหละ คือ ตกลง คำสอน
    ที่ต้องจดจำกันนั้น มีเท่าไหร่ ทุกพระสูตรเลยไหม ของพระสารีบุตรสูตรนึง
    พระโมคคัลลาก็สูตรนึง พระ..... พระ..... โอยยยยยยยยยยยย

    พระพุทธองค์ตรัสว่าความแตกต่างของการบรรลุ เป็นเรื่องของ " สัญญาต่างกัน "

    ถ้าฟังแล้ว งง ลวกเพ่ กลับไป เน้นรสปิติ ที่ทำให้แจ้นมา ตั้งกระทู้นี้ให้ดีๆ
    อย่าคว้าเอาปิตินั้น ตามเห็นปิตินั้นดับ ไปแว้วววววว ให้ดีๆ

    แล้วสละ สลัด สลัด ......................

    แล้วมาอ่าน " สัญญาต่างกันใหม่ "

    เห็นความเกิดดับไหม ...................ถ้าไม่เห็น ก็ไม่เจอ ธรรมหนึ่ง ก็จะเกิด
    อาพาธ จิตเคลื่อนไป

    เอาประโยชน์ตน ก่อน หน่าคร้าบ

    ส่วนเรื่อง ประโยชน์ของผู้อื่น ค่อยว่ากันทีหลัง ก็ร่าย ถ้า อธิษฐาน มี
     
  5. แค่พลัง

    แค่พลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    2,792
    ค่าพลัง:
    +1,565
    การสลัด ไปตั้งใจมันจะได้ยังไง เหมือนบอกว่าว่า ว่างๆๆ แต่ใจยังยึดสัญญาไว้แน่น
    มันก็ต้องมีเสวนากัน นอกรอบบ้าง ตั้งคำถามบ้าง มันถึงจะมีแรงไปต่อ
     
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    บางพระสูตร ตรัสตอบปัญหา เท่าไหร่จึงเรียกพระหูสูต ( จดจำสัทธรรมได้หลากหลาย )

    พระพุทธองค์ตรัสตอบแบบ พอให้จิตผู้ถามทุเลาว่า

    " จำแค่สองบรรทัด แล้วปฏิบัติได้ตามนั้น ก็ถือว่าเป็น พหูสูต ( จดจำสัทธรรมได้หลากหลาย ) "



    บางพระสูตร ตรัสตอบเรื่อง เท่าไหร่ เรียกว่า ยังมีการปรากฏของ สัทธรรม( ไตรปิฏก พุทธวจน)

    พระพุทธองค์ตรัสตอบ.....................................ว่า

    "แม้นเหลืออักขระเดียว มีคนปฏิบัติเพื่อการสิ้นกิเลส
    ก็ยังชื่อว่า ยังมีพุทธวจนปรากฏ(รักษาไว้ได้) "
     
  7. แค่พลัง

    แค่พลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    2,792
    ค่าพลัง:
    +1,565
    ผมฟังธรรมของพระพุทธเจ้า ธรรมของพระสาวกผมเน้นที่สามารถหมดกิเลสได้
    แต่เจอหลอกเยอะแยะ เช่นหลวงปู่มั่นพบพระพุทธเจ้า ถึงบอกบางอย่าง
    ปัญหาผมยังไม่ถึง ผมก็ไถ่ถามไปบ้าง
     
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    เฉียด ญาณ

    ชอบ ชอบ ฮี้ ฮี้ ฮี้ ( ออกหนาออกตา )


    ชอบ มัว์กๆ เลยตรงที่ ย้อนแย้งกลับมาว่า จะไป " ตั้งใจ(เจตนา)ได้ยังไง "

    นี่แปลว่าเห็นแล้ว " หากพยายามจะปฏิบัติ จิตมันจะเคลื่อน "

    เห็นตัวนี้เข้าไปตรงๆ อย่าไป กลัวการเห็น ทุกขสัจจ หน่าฮับ

    กดหน่อยๆ เจตนาหน่อยๆ ลอยหน่อยๆ แฉลบไปฌาณ ไม่เป็นไร
    อย่าไปกลัว กุสลวิบาก [ มาถึงตรงนี้ อกุศลหยาบ พาไปอบาย
    ไม่มีแล้ว ตัดกังวลตรงนี้ได้ ........ถ้ายังไม่ได้ วิหิงสาวิตกเกิด ก็
    ให้รู้ วิหิงสาวิตกเกิด ถ้า วิหิงสาวิตกไม่เกิด ข้ามได้ จิตจะไม่ห่าง
    จากฌาณ.....ที่บัณฑิตทั้งหลายสรรเสริญ ]

    อย่าหนี หรือ ตีความเอาแล้วถอย เมื่อเห็น มันกด มันลอย มันมีเจตนาเจือ

    สู้เข้าไปเลย
     
  9. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    อันนี้ อย่าไปเข้าใจว่าท่านหลอก พระศิษย์บางท่าน รักษาคำ เล่า ได้ครบ

    ลูกศิษย์บางท่าน รักษาคำสอนไว้ไม่ครบ เลยกล่าวแบบขาดๆ หายๆ เลย
    ตก ท่อนที่แสดง การสละ ออก เราเลยรับสารตามๆกันมาจาก ศิษย์ชั้นหลัง

    แล้วก็ไม่ต้องไป ตำหนิ ศิษย์ชั้นหลัง หากเป็น ลวกเพ่ ไปฟังธรรม ย่อม
    เก็บได้เฉพาะ สัญญาที่เวทนาพาปัก ได้เท่านั้น ซึ่ง สัญญาที่เวทนาพา
    ปักนั้น ไม่ใช่เจตนาของใครจะเลือกได้ มันแปรปรวนไปตามอำนาจของ พวงดอกไม้
     
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    อาการ เจ็บใจ นี่ของดีนะ

    แต่อย่า ให้เคลื่อน เกิดอุปาธิ ด้วยอาการมีสัตว์ ( มีคนหลอกคน )

    ให้เห็น ความเจ็บใจ ด้วย สภาพปรมัตถ์ ที่มันครอบงำ สิ่งที่บัญญัติเรียกว่า จิต

    ความเจ็บใจ ที่พอดีๆ ไม่เคลื่อนเป็น วิหิงสาวิตก กลายเป็น สัตว์หลอกสัตว์

    จะเป็น อุปายาส ทุกขในอริยสัจจ หน่าฮับ

    เห็นเต็มๆ ชัดๆ ดีดผึง ไปเลย .........ตาพายุ(xxx) กันเลยหละ
     
  11. แค่พลัง

    แค่พลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    2,792
    ค่าพลัง:
    +1,565
    ลูกพี่ครับ ผมยิ่ง แต่ทำไม ยิ่งเห็นความไม่จริงๆ หลายอย่างของหลวงพ่อ หลายรูป
    รูปจริงก็มี ไม่จริงก็เยอะ ใจไม่อยากปรามาส แต่ผมปรามาสโดยบังคับไม่ได้
    เหมือนตัวผมไม่ได้ทำ แต่ผมทำ เข้าใจไหม ลูกพี่

    แต่ผมก็ไม่ได้เจตนาไปขอ ขมาแบบเป็นรูปแบบนะ อย่างไปกล่าว 'วันทามิ พุทธัง สัพพะเมโทสัง ขะมะถะเม ภันเต '

    แต่ผมไปตะคอกจิตเอ้ยทำงั้นไม่ได้ และอบรมจิตใหม่ ผมทำถูกไหม ใช่ใบไม้ในกำมือเป่าคับ
     
  12. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    พระไตรปิฏก ถ้า ลวกเพ่ อ่านให้มากๆ บางพระสูตร จะ ออกแนว หนังช่อง7

    ซึ่ง ลวกเพ่ต้องตั้งจิตดีๆ อย่า สำคัญว่า พระพุทธองค์ทรงใช้อิทธิปาฏิหารย์

    ถ้อยคำที่กล่าวเพื่อการ สละ สลัดออก ย่อมมี ....แต่ บทคัดลอก บทแปล
    ก็มีอาการอย่างเดียวกัน คือ แปรปรวนไปตามสัญญา เวทนาพาปัก
    ซึ่งไม่ใช่สัตว์ หรือมีการสอดแทรก แปลงสาร อะไร ....[ กลับไปอ่านบาลี ได้ คงอ๋อ ]
     
  13. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    " เหมือนตัวผมไม่ได้ทำ แต่ผมทำ เข้าใจไหม ลูกพี่ "

    ก็อย่าไปเห็น ด้วยจิตไม่ตั้งมั่น จิฮับ

    เห็นมันห่างๆ เห็นมันปรามาสห่างๆ อย่าสำคัญว่า มีตัวเราในนั้น ในนั้นเป็นตัวเรา ของเรา
    ออกมาจากจิต

    ถ้าเป็นก๊อกสอง หากยังสำคัญ จิตเป็นเรา มีเราในจิต อันนี้ไม่ต้องมาพูดกันนะ
    อินทรียภาวนายังไม่พอ หากปล่อยจิต สละจิต

    อาการ ปรามาสที่ออกมาจากสิ่งที่ไม่ใช่เรา เพราะสละคืนจิต ไปแล้ว มันจะ อู้ฮู

    มันจะกระหน่ำเลยนะ ยิบๆ ยับๆ ตาพายุ เป็นหนึ่ง ท่ามกลางความแปรปรวน

    แล้วอย่า บื้อหน่าฮับ หากมี สัททา เลื่อมใส การสิ้นกิเลส ก็ โยนิโสฯช่วยนิดๆ อย่ามาก
     
  14. แค่พลัง

    แค่พลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    2,792
    ค่าพลัง:
    +1,565
    ผมยังไม่เห็นพระพุทธเจ้าแสดง อิทธิฤทธิ ปาฏิหาร อะไรเลย
    เห็นแต่ท่านใช้ธรรมชาติ เพื่อดับธรรมชาติ แต่หลังๆมีคนเอาปนเปไปหมด
    'รู้บาลีแล้วไง เข้าใจตัวเองหรือเปล่า'
     
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    " แต่ผมไปตะคอกจิตเอ้ยทำงั้นไม่ได้ และอบรมจิตใหม่ ผมทำถูกไหม ใช่ใบไม้ในกำมือเป่าคับ "

    จริงๆ ปรกติผมจะ บอกเลยว่า " ห้ามตะคอก ห้ามตำหนิจิต ไม่ต้องขอขมา "

    แต่ พระบางท่าน ก็อนุโลมว่า ตะคอกบ้างก็ได้ แต่อย่าบ่อย มันจะแกล้ง หงอ หลบใน
    ทำเป็นหาย พอถึงจังหวะ ช้างรอดรูเข็ม มันจะเอา " กระบองมาทุบหัว "

    แต่ พระบางท่าน ก็อนุโลมว่า ขอขมา ก็ทำบ้าง เพราะ อาการทำด้วยความพลาด
    พลั้ง ไม่ได้ตั้งจิตเพื่อนิพพาน อาจจะมี ตรงนั้น จะเป็นตัวขวางการบรรลุ
     
  16. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ถ้ารู้บาลี ได้ อาการดิ้นได้ของ ภาษา จะน้อยลง

    ความพอใจตามสัญญา ข้อวัตรจะน้อยลง การบรรลุจะมากขึ้น
     
  17. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    2490df7fff7f8757f3bd4e3dd2a0a710.jpg

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า สิ่งที่พระองค์ตรัสรู้มีมากมาย แต่ทรงนำมาสอนเพียงเล็กน้อย เหตุผลที่ทรงกระทำเช่นนั้น ก็เพราะสอนแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ ใช้แก้ปัญหาได้ และสิ่งที่ประกอบด้วยประโยชน์ใช้แก้ปัญหาได้นั้น ก็คือ อริยสัจ ๔ ดังความในบาลีว่า

    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ป่าสีสปาวัน ใกล้พระนครโกสัมพี ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหยิบใบประดู่ลายจำนวนเล็กน้อย ถือไว้ด้วยฝ่ามือ แล้วตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า

    "ภิกษุทั้ง หลาย เธอทั้งหลายสำคัญว่ากระไร ใบประดู่ลายเล็กน้อย ที่เราถือไว้ด้วยฝ่ามือกับใบที่บนต้นทั้งป่าสีสปาวัน ไหนจะมากกว่ากัน?

    "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ใบประดู่ลายจำนวนเล็กน้อย ที่พระผู้มีพระภาคถือไว้ด้วยฝ่าพระหัตถ์ มีประมาณน้อย ส่วนที่อยู่บนต้น ในสีสปาวันนั่นแล มากกว่าโดยแท้

    "ฉันนั้น เหมือนกันภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เรารู้ยิ่งแล้ว มิได้บอกแก่เธอทั้งหลาย มีมากมายกว่า เพราะเหตุไร เราจึงมิได้บอก เพราะสิ่งนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ มิใช่หลักเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อนิพพิทา เพื่อวิราคะ เพื่อนิโรธ เพื่อความสงบ เพื่อความ รู้ยิ่ง เพื่อนิพพาน

    "ภิกษุ ทั้งหลาย อะไรเล่าที่เราบอก เราบอกว่า นี้ทุกข์ เราบอกว่า นี้ทุกขสมุทัย เราบอกว่า นี่ทุกขนิโรธ เราบอกว่า นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เพราะเหตุไรเราจึงบอก เพราะข้อนี้ ประกอบด้วยประโยชน์ ข้อนี้เป็นหลักเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ข้อนี้เป็นไปเพื่อนิพพิทา เพื่อวิราคะ เพื่อนิโรธ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อนิพพาน ฉะนั้น เราจึงบอก "เพราะฉะนั้นแล ภิกษุทั้งหลาย เธอพึงกระทำความเพียร เพื่อรู้ตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี่ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา" (สํ.ม.19/1712-3/548-9)

     
  18. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ใช่ครับ ในด้านกิริยาของตัวจิตนะครับ
     
  19. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,312
    ค่าพลัง:
    +5,247
    ใช้หลักอิทัปปัจยตาพิจารณาทุกสิ่งดูครับ
    แล้วจะรู้(อย่างคร่าว ๆ ) ว่าคำกล่าวที่ว่า พระธรรมที่พระพุทธเจ้านำมาสอนเป็นเพียงแค่ใบไม้ในกำมือหนึ่ง ที่พระองค์ได้คัดสรรค์มาดีแล้ว จากใบไม้ในป่าอันกว้างใหญ่ไพศาล นั้นเป็นเรื่องจริง
     
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ขออนุญาติเล่าให้ฟังอย่างนี้นะครับ
    อย่าพึ่งไปใช้ทฤษฏีตีความ ขยายความนะครับ
    ซึ่งมันจะตรงข้ามกับกิริยาการรู้ที่เกิดกับตัวจิตเลยนะครับ
    การรู้จากจิตนั้น จะไม่ใช่มาจากการคิด วิเคราะห์ แยกแยะ
    วิพากษ์ วิจารณ์ หรือการสังเคราะห์ใดๆนะครับ
    เราเรียกว่า เป็นการรู้ทางสมมุติ ซึ่งมีตัวมากระทำให้รู้อยู่
    แต่ใช้เป็นแนวทางเดินของจิตได้ แต่ไม่ใช่รู้ทางจิตจริงๆนะครับ
    แม้ว่าจะรู้มากแค่ไหนก็ตาม แต่ไม่ใช่รู้จากตัวจิตนะครับ
    (พูดเชิงกิริยาที่เกิดกับตัวจิตนะครับ)

    ไม่ใช่แค่พระธรรมที่ท่านสอนเป็น
    เพียงแค่ใบ้ไม้ในกำมือนะครับ
    หรือว่าเป็นเพียงพระธรรมที่ท่านคัดสรรมาแล้ว
    ดีแล้ว ที่สุดแล้ว
    และนำมาสอนมีเพียงแค่กำมือนะครับ
    ย้ำว่าไม่ใช่นะครับ

    แต่ถ้ารู้จักใบ้ไม้เพียงกำมือแล้ว
    จะสามารถรู้และเข้าใจใบ้ไม้ทั้งป่าได้
    ของมันเองครับ ใบ้ไม้ในที่นี้
    ก็เปรียบได้คือ ตัวจิตของเรานี่หละครับ

    มันเป็นกิริยาการรู้ของจิต
    ที่ไม่ใช่รู้แบบทางโลก
    ไม่ใช่รู้จากการได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน
    หรือจากการคิด วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ หรือตีความ
    แต่เป็นรู้แบบอัตโนมัติของตัวจิตมันเอง
    หรือรู้แบบธรรมชาติเดิมของจิตนั้นๆ
    ซึ่งเป็นการรู้จากภายในไปภายนอก

    บางคนที่เคยเดินปัญญามา(คิดว่าในนี้คงมีหลายคน)
    อาจจะเคยพบเจอกิริยาแบบนี้มาแล้วบ้าง
    ไม่มากก็น้อย แต่อาจจะไม่บ่อยครับ
    จะบ่อยก็เฉพาะ กลุ่มที่ใช้งานทางจิต
    เป็นประจำด้านพิเศษเท่านั้นครับ

    เพราะถ้าเดินปัญญา แม้ว่าจะรู้
    แต่มันจะรู้เพื่อให้นำไปสู่การคลาย
    ความยึดมั่น คลายความสงสัย
    และท้ายสุดเพื่อให้จิตมันวาง
    และคลายตัวเองครับ
    .....
    เคยไหมครับ ที่อยู่ดีๆ เราเหมือนเฉยๆ
    นิ่งๆแล้วเราก็ อ้อๆๆๆๆๆ หรือที่เรียกว่า ปิ๊งแว๊บ
    คล้ายๆรู้ว่า มันเป็นอะไรและ มันคืออะไร

    แต่พอจะถ่ายทอดออกมาต้องอาศัย
    การรวบรวมเป็นภาษาสมมุติ
    ก่อนที่จะพูด จะเขียนออกมานั่นหละครับ
    (บางท่าน ถ่ายทอดไม่เป็น
    แต่ก็จะรู้อยู่ภายในตนเอง
    และเข้าใจกิริยา แต่อธิบายไม่ได้
    คล้ายจะอธิบายบอกหมอว่า
    เราปวดตรงไหน เจ็บอย่างไร
    อย่างไรหมอก็ไม่เข้าใจได้จริงๆ
    ว่าเรารู้สึกเจ็บปวดอย่างไรนั้นหละครับ)

    กิริยาที่แบบ อ้อๆๆๆ เพียงวินาทีเดียว
    แต่จะต้องใช้การบรรยาย การเขียนเป็น
    ๒ ถึง ๓ หน้ากระดาษนั่นหละครับ

    ซึ่งการจะไปถึงกิริยาแบบรู้ใบ้ไม้ใบเดียวได้นั้น
    ตัวจิตจะต้องรู้จักตัดตัววิญญานที่ส่งออกไปรู้ให้เป็นก่อน
    แต่กว่าจะตัดตัวนี้ได้ ทั่วไปจิตจะต้องผ่านกระบวณ
    การเรียนรู้ ในการที่จะไปรู้ให้ทันสิ่งต่างๆภายนอก
    ที่ส่งจากตัววิญญานออกจากจิตไปให้ได้ก่อน
    และผ่านกระบวณการ
    ในเรื่องของกระบวณในการเดินปัญญาทางธรรมเสียก่อน
    จากสภาวะที่จิตเป็นกลาง และปล่อยให้รับรู้ตามความ
    เป็นจริงไปซักระยะหนึ่งก่อนครับ
    ตัวจิตถึงจะค่อยๆละ ค่อยๆคลาย และตัดตัวไปรู้ตรงนี้ได้
    หรือที่เรียกกันว่า ละ คลายตัวกิเลสได้นั้นหละครับ
    ไม่ใช่ว่า อยู่ดีๆจะไปบอกให้ตัดเลย
    ในทางปฏิบัติเป็นไปได้ยากครับ
    ถ้าไม่ใช่ประเภทใช้งานทางจิตแบบพิเศษ
    เป็นประจำมาก่อน อยู่ดีๆจะไม่มีทางไปตัด
    ตัววิญญานการรับรู้จากจิตได้นะครับ
    เพราะว่า จะมองไม่เห็นกิริยาที่ออกจากจิตตรงนี้ครับ

    พอตัดได้แล้ว จิตละได้ วางได้
    จิตก็จะเริ่มว่างได้ของมันเอง
    และพอว่าง(ต้องไม่ใช้วิธีการใดๆไปกระทำนะครับ
    ไม่ว่า สมาธิ ตบะ ฌาน ญาน กำลังจิต สติ ปัญญา
    แม้ว่าในช่วงแรกๆยังต้องอาศัยพึ่งพาอยู่)
    แล้วจิตก็จะเริ่ม
    คลายตัวเองได้โดยธรรมชาติ
    ของตัวมันเองครับ. พอจิตคลายตัวได้
    โดยธรรมชาติแล้ว จิตมันก็จะขยายตัวออกกว้าง
    ไร้ขอบเขตของมันได้เอง ขยายได้มากน้อยแค่ไหน
    ก็ขึ้นอยู่กับการสะสม และระยะเวลาที่จิตสามารถ
    คลายตัวเองโดยธรรมชาติได้นานแค่ไหนครับ


    ซึ่งตรงนี้นี่หละครับ คือ กิริยาใบ้ไม้ในกำมือเริ่มต้นครับ
    ที่นี้พอจะรู้อะไรนั้น จิตก็จะรู้ได้ของมันเอง
    ตามที่จิตมันจะขยายตัวรู้ ที่ออกจากภายในจิต
    ที่แท้แล้ว มันก็อาจเป็นได้ ที่เป็นองค์ความรู้เดิมในจิตนั้น
    หรือเป็นองค์ความรู้ใหม่ จากการขยายตัวของจิต
    ออกไปรับรู้ครับ......ซึ่งการจะรู้ด้านไหนมากน้อย
    ละเอียดแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับว่า จิตเดิมแท้นั้น
    สะสมบารมีมาทางด้านไหนนั่นเองครับ

    นี่เป็นพื้นฐาน การรู้แบบห่มเหลืองจิตไว
    หรือท่านมีชื่อ ทั้งหลายท่านรู้แบบของท่านเอง
    นั้นหละครับ ท่านไหนลึกด้านไหน ก็แสดงว่า
    จิตท่านเคยสะสมบารมีด้านนั้นมา นั้นเองครับ

    และการรู้ตรงนี้ มีข้อสังเกตุอย่างหนึ่งคือ
    ถึงเวลาที่รู้ มันจะรู้เหมือนๆกันครับ
    ต่างที่มุมและความละเอียดในการรู้ครับ

    เป็นที่มาของดวงจิต ปฏิสัมภิทาญานทั้งหลายนั้นหละครับ
    เคยเห็นไหม ที่ห่มเหลืองบางท่าน
    แม้ไม่เคยอ่าน ไม่เคยได้ยินมา ไม่เคยได้เห็นมา
    แต่ทำไมถึงรู้ในตำราได้ทุกหน้า ทุกเรื่อง
    และรู้ได้ทุกเรื่องในโลกนั้นหละครับ

    ปล.หวังว่าจะมีคนอ่านแล้วเข้าใจนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...