จิตที่ผูกพัน

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย เก่ง พุทธสาวก 13, 14 สิงหาคม 2017.

  1. เก่ง พุทธสาวก 13

    เก่ง พุทธสาวก 13 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    17
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +56
    สวัสดีทุกๆคนนะครับ วันนี้ผมเองมีเรื่องมาเล่าอีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่ลุงแสน หรือ จ่าแสน แกได้เคยประสบพบเจอมาอีกเรื่องหนึ่ง

    เรื่องมันมีอยู่ว่า
    ในวันนั้นเป็นวันหยุดของลุงแสน จากการปฏิบัติหน้าที่ตำรวจมาอย่างยาวนานและแสนจะเหนื่อยล้า ลุงแสนแกเลยวางแผนจะพาครอบครัวไปเที่ยวกันที่วัดแห่งหนึ่งในตัวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยลุงแกขับรถกระบะส่วนตัวของแกเดินทางไปกันเอง

    พอไปถึง ลุงแสนกับครอบครัวก็พากันเข้าไปไหว้พระในวัดอะไรตามปกติวิสัย แต่มันแปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ ในตอนนั้นลุงแสนแกบอกว่า แกรู้สึกเย็นวูบๆที่หลังอยู่เป็นช่วงๆตั้งแต่แกก้าวเข้ามาในวัดแล้ว

    เป็นอยู่อย่างนี้ไปๆมาๆ แต่ลุงแกก็ไม่ได้คิดอะไร หลังจากไหว้พระขอพรกันเสร็จ ลุงแสนแกเองก็พาครอบครัวของแกไปเดินเที่ยวตลาดน้ำ หาอะไรกินกันไป พอช่วงเย็นๆ แกก็ขับรถกลับมายังบ้านพักตำรวจของแก แต่ความรู้สึกตลอดทางที่ขับกลับมาจากตลาดน้ำนั้น คือเหมือนในรถไม่ได้มีแค่ตัวแกกับภรรยาและลูกๆของแก มันเหมือนมีใครนั่งมาด้วย ลุงแสนแกบอกว่าแกสัมผัสได้ เพราะตัวลุงแกเองนั้นก็นับว่าเป็นคนที่มีพวกสัมผัสพิเศษอะไรอยู่บ้าง

    เหตุการณ์มันดำเนินมาปกติจนมาถึงช่วงค่ำๆ ภรรยากับลูกๆก็พากันเข้านอนกันไปก่อนแล้ว เหลือลุงแสนที่ยังคงนั่งฟังวิทยุอยู่ที่เก้าอี้ไม้โยกหน้าบ้านของแกไป ในช่วงที่ลุงแกกำลังกึ่งจะหลับแหล่มิหลับแหล่อยู่นั้นเอง ลุงแกเหลือบไปเห็นว่ามีเงาดำร่างหนึ่งเดินผ่านไปที่หน้าบ้านของแก ลุงแสนแกก็นึกว่าเป็นเพื่อนตำรวจของแกที่ชื่อ จ่าต้อย ที่อยู่บ้านพักหลังข้างๆ

    ลุงแกจึงกล่าวเรียกทักทายออกไป แต่ทว่า เงียบกริบ ไม่มีเสียงตอบรับใดๆกลับมา ลุงแสนแกก็ไม่ได้คิดแปลกใจอะไร นั่งงีบหลับไปต่อ แต่คราวนี้แกบอกว่า มันเหมือนมีมือเย็นๆใหญ่ๆของใครบางคนมาจับลงบนบ่าซ้ายของแก แกเองก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาอีก เพราะแกนึกว่าเป็นลูกชายของแกมาปลุกให้ขึ้นไปนอน ลุงแกจึงหันกลับไปมอง แต่ว่า ว่างเปล่า ไม่มีใครหรืออะไร

    ลุงแสนแกเองเริ่มใจคอไม่ดีแล้ว ลุงแสนแกจึงปิดวิทยุแล้วเดินเข้าบ้านไปเพื่อจะขึ้นไปนอน พอแกขึ้นไปนอนแล้วนั้น แกเล่าว่า ในช่วงที่แกเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้นั้น แกฝัน ในฝันนั้นแกเห็นเป็นผู้ชายคนหนึ่งตัวสูงและล่ำสัน สวมใส่เสื้อแนวเสื้อกั๊ก เป็นผ้าสีแดงสด มีอักขระลวดลายยันต์จารึกเต็มไปหมด ท่อนล่างนุ่งห่มคล้ายโจงกระเบนแบบโบราณ แต่ส่วนใบหน้านั้นลุงแกบอกแกมองไม่เห็นเพราะเหมือนแสงจันทร์ที่ส่องมาจากข้างนอกผ่านบานหน้าต่างเข้ามานั้น

    มันตัดผ่านไปโดนแต่ส่วนลำตัวลงมาแต่ส่วนคอและใบหน้าขึ้นไปนั้นมันส่องเข้ามาไม่ถึง ลุงแสนแกเองก็รู้ตัวแล้วว่า เจออีกแล้ว ลุงแกเองก็ได้แต่ข่มตาหลับและสวดมนต์ไปเท่าที่สติของแกจะพอนึกได้ แต่เจ้าของร่างๆนั้นเหมือนจะเดินเข้ามาหาลุงแสนแกที่กำลังนอนหลับตาตัวสั่นอยู่ ร่างๆนั้นเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างๆเตียงของแกฝั่งที่แกนอน แต่เหมือนเขาไม่ได้ต้องการจะมาทำอะไรไม่ดี ตรงข้าม ร่างๆนั้นเหมือนจะเอื้อมมือลงมาลูบหัวของลุงแกช้าๆ เหมือนกับเอ็นดูและห่วงใย

    ลุงแสนแกเองบอกว่า ในตอนนั้นแม้จะรู้สึกว่าถูกลูบอย่างเอ็นดูแต่แกกลับรู้สึกกลัวจนแทบจะขี้ราดเลยในเวลานั้น ลุงแสนแกเองนั้นแกรีบลุกขึ้นวิ่งลงมายังข้างล่างเพื่อจะมาหยิบพระที่แกดันถอดเอาไว้มาสวมคอในทันที

    ลุงแสนแกคราวนี้แกนอนไม่หลับแล้วเจอเข้าไปแบบนั้น ลุงแกก็เลยเปิดไฟข้างล่างทุกดวง เปิดทีวี เปิดวิทยุ แล้วลุงแกก็นั่งนิ่งๆหวาดระแวงไปอยู่อย่างนั้นจนถึงเช้า พอลุงแกเข้าไปที่โรงพัก ลุงแกก็เล่าเรื่องที่เจอมาให้รุ่นพี่ตำรวจคนหนึ่งฟัง พอรุ่นพี่คนนี้ฟังจบก็ได้ให้ตะกรุดดอกหนึ่งมาแล้วให้ลุงแสนแกเอาตะกรุดดอกนี้ไปคล้องเอาไว้ที่หัวเตียงจะช่วยคุ้มครองแกได้

    ลุงแสนแกเองก็รอจะถึงเวลามืดของวันนั้น แล้วได้จัดแจงทำตามคำแนะนำของรุ่นพี่ในทันที คราวนี้แกบอกว่า แกมั่นใจว่าต้องไม่มีอะไรอีกแน่ๆ เพราะแกเอาทั้งตะกรุดมาคล้องหัวเตียงและยังเอาหมวกตำรวจของแกมาตั้งอยู่บนหัวเตียงอีกด้วย แกบอก ผีก็ผีเถอะวะ เจอขนาดนี้มาไม่ได้อีกเป็นแน่ แกก็หลับไปตามปกติ
    คราวนี้แกฝันอีกแล้ว ลุงแกเห็นร่างๆเดิมเลยมายืนอยู่ปลายเท้าของแก แต่ก็ยังไม่เห็นใบหน้าอะไรเหมือนเดิม แต่คราวนี้ร่างๆนั้นพูดมาด้วย ทำนองว่า ไม่ต้องทำอะไรแบบนี้หรอก เขาไม่กลัว และ ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรเขา เขาตามมาเพื่อที่อยากจะมาเจอกับลุงแสน เพราะ ในอดีตชาตินั้น ลุงแสนกับเขาเคยรู้จักกันมาก่อน ร่างๆนั้นยังบอกอีกว่า ลุงแสนนั้นเป็นคนที่ภักดีต่อแผ่นดินคนหนึ่ง. ในอดีตชาตินั้นเกิดเป็นทหารต่อสู้เพื่อแผ่นดิน ชาตินี้ก็ยังมาเกิดเพื่อรับใช้แผ่นดินต่อไปอีก แต่อย่างไรเขาเองก็อยากจะมารบกวนลุงแสนแกให้ช่วยทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับเขาด้วย เพราะ เขาเองยังไปเกิดใหม่ไม่ได้ ลุงแสนแกนั้นก็พยักหน้ารับทราบไปด้วยความกลัว ทุกอย่างก็ไม่ได้มีอะไรก็จบไป

    ลุงแสนแกก็ได้ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับดวงวิญญาณดวงนั้นไป นับจากวันนั้นลุงแสนแกเองก็ยังคงเห็นดวงวิญญาณดวงนั้นมาปรากฏกายให้เห็นแบบผ่านๆอยู่บ้าง อยู่ระยะเวลาหนึ่ง แล้ว จู่ๆเขาก็หายไปเอง ลุงแสนแกบอกว่า ตอนนั้นที่หายไป เขาคงได้ไปเกิดใหม่แล้วล่ะมั้ง แต่แกยังคงเชื่อว่าในอดีตชาตินั้นแกคงต้องเคยเกิดเป็นทหารมาก่อนจริงๆและต้องเคยมีความผูกพันต่อแผ่นดินมาก่อน ไม่เช่นนั้นแกคงไม่ได้มาเป็นตำรวจ และ คงไม่บังเอิญประจวบเหมาะได้มาประจำการอยู่ที่ อยุธยา และ ได้พบกันกับดวงวิญญาณดวงนี้แน่ๆ

    สุดท้ายแกก็บอกกับผมว่า สำหรับแกนั้นแกเองเชื่ออย่างสนิทใจว่า บุญเวรและโชคชะตา มันมีอยู่จริงๆ เพราะแกประสบพบมากับตัวเอง แต่ เรื่องแบบนี้จะให้ทุกคนมาเชื่อเหมือนแกนั้นคงเป็นไปไม่ได้ ก็สุดแล้วแต่ว่า ใครจะเคยพบเคยเจอมาเหมือนกับแก

    สำหรับตัวของผมเองนั้น ก็เชื่อนะว่า การที่คนเราจะได้มาทำอาชีพอะไรและมีใจที่ฝักใฝ่ชื่นชอบไปกับการได้ทำอาชีพนั้นๆที่กำลังทำอยู่ มันอาจเป็นตัวตนของเราเองมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว และ ไม่แน่นะว่าในอดีตชาติสักชาติหนึ่ง คุณอาจจะเคยเกิดมาทำอาชีพนั้นมาก่อนก็เป็นได้ .........
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 สิงหาคม 2017
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ส่วนตัวเรียกว่า วิบากครับ
    วิบากในที่นี้ เป็นกระแสอย่างหนึ่ง ก็คือ กระแสที่จรเข้ามาเรื่อยๆ
    จรคือ สามารถเข้ามายังจิตเราได้เรื่อยๆ และก็ออกไปได้เรื่อยๆเช่นกัน
    หรือมีเข้ามาและมีหมดไปนั่นหละครับ
    ที่นี้มันก็ขึ้นอยู่กับว่า ตัวจิตใครก็ตาม ณ เวลานั้น สถานที่ใดๆ
    ไปดึงไปยึดกับกระแสจรตัวไหนเข้ามา
    ซึ่งมันก็จะส่งผลกับรูปแบบการดำเนินชีวิต
    ของแต่ละบุคคลให้แตกต่างๆกันไปนั่นหละครับ...
     

แชร์หน้านี้

Loading...