จิตที่แสดงอาการรู้คือ จิตดวงเดียว หรือเป็นสร้อยสายเรียงกัน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย แค่พลัง, 19 กันยายน 2017.

  1. แค่พลัง

    แค่พลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    2,792
    ค่าพลัง:
    +1,565
    อาการที่แสดงนั้นมันรู้แล้วมันก็หาย รู้แล้วก็หายเป็นแบบนี้ เลยเกิดข้อสงสัย มันเป็นดวงเดียวดับ

    หรือเป็นเส้นสาย
     
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ให้ยกการ ตรึก อะไรแบบนี้เป็นเรื่อง สักกายทิฏฐิ ไปเลย

    การพยายามค้นหาคำตอบ มันเป็นเรื่องที่ พยายามย้อนแย้งธรรมของพระผู้มีพระภาค

    พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนึง เราสดับเข้าไปตั้งที่จิตแล้ว เรียก เกิดธรรมฐิติ

    แต่เพราะ เรายังหวงศาสดาอื่น ซึ่ง ในที่นี้หมายถึง พยายามยกตัวเองว่าเลิศกว่าศาสดา

    เลย พยายามกระทืบพระโอษฐ์ย้อนแย้ง เอา สักกาย การมีอะไรเที่ยง เปรี้ยงใส่พระองค์

    ซึ่ง......

    อย่าไป ตำหนิจิต หน่าคร้าบ

    เพระา สักกายทิฏฐิ ธรรมฝ่ายสังโยชน์ ตรงนี้ เกิดจาก มาร มันสบช่อง
    ต่อผู้ที่ จะหนีไปจากมือมัน แต่เกิดจิตตั้งมั่นไม่พอ ยังไม่เลื่อมใสในสัทธรรม
    มารเขาก็ สบช่องเอา สักกายทิฏฐิ มาหยอด แล้ว สร้างอาการลังเล แล้ว
    กระซิบย้ำอีกทีด้วย อวิชชานุสัย ทำเป็นเตือนว่า อย่าประมาทน้า อย่า
    สดับธรรม รับธรรมของผู้มี พระภาค กระทำไว้ในใจให้แยบคาย

    พอไปเชื่อมัน ก็ ค้นคว้าไปสิ ทางโน้น ทางนี้ ทางอื่น ทางตรงๆ ไม่เอา

    ไปโน้น เหาะเหิน เดินอากาศ เห็นโน้น เห็นนี้ เสวนากับนั่นนี่ ทั้งที่ พวกนั้น
    ติดอยู่ในภพ แต่สำคัญตนว่านิพพาน นิยตมิจฉาทิฏฐิ
     
  3. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๙
    สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
    ------------------------------------------------------
    [๑๖๒๗] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิโครธาราม ใกล้พระนครกบิลพัสดุ์
    แคว้นสักกะ ก็สมัยนั้น ภิกษุมากรูปกระทำจีวรกรรมของพระผู้มีพระภาคด้วยหวังว่า พระผู้มี
    พระภาคทรงทำจีวรสำเร็จแล้ว จักเสด็จหลีกไปสู่ที่จาริกโดยล่วง ๓ เดือน พระเจ้ามหานามศากย
    ราช ได้ทรงสดับข่าวว่า ภิกษุมากรูปกระทำจีวรกรรมของพระผู้มีพระภาคด้วยหวังว่า พระผู้มี
    พระภาคทรงทำจีวรสำเร็จแล้ว จักเสด็จหลีกไปสู่ที่จาริกโดยล่วง ๓ เดือน ครั้งนั้น พระเจ้า
    มหานามศากยราช เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ทรงถวายบังคมพระผู้มีพระภาค
    แล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อม
    ฉันได้ยินมาว่า ภิกษุมากรูปกระทำจีวรกรรมของพระผู้มีพระภาคด้วยหวังว่า พระผู้มีพระภาคทรงทำ
    จีวรสำเร็จแล้ว จักเสด็จหลีกไปสู่ที่จาริกโดยล่วง ๓ เดือน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เรื่องนี้หม่อมฉัน
    ยังไม่ได้ฟัง ยังไม่ได้รับมา เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า อุบาสกผู้มีปัญญาพึงกล่าว
    สอนอุบาสกผู้มีปัญญา ผู้ป่วย ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนัก.

    [๑๖๒๘] พ. ดูกรมหาบพิตร อุบาสกผู้มีปัญญา พึงปลอบอุบาสกผู้มีปัญญา ผู้ป่วย
    ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนัก ด้วยธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความเบาใจ ๔ ประการว่า
    ท่านจงเบาใจเถิดว่า
    ท่านมีความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า
    ... ในพระธรรม
    ... ในพระสงฆ์
    ... มีศีลที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว ไม่ขาด ฯลฯ เป็นไปเพื่อสมาธิ.

    [๑๖๒๙] ดูกรมหาบพิตร อุบาสกผู้มีปัญญา ครั้นปลอบอุบาสกผู้มีปัญญา ผู้ป่วย
    ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนัก ด้วยธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความเบาใจ ๔ ประการนี้แล้ว พึงถามอย่างนี้
    ว่า ท่านมีความห่วงใยในมารดาและบิดาอยู่หรือ? ถ้าเขากล่าวอย่างนี้ว่า เรายังมีความห่วงใย
    ในมารดาและบิดาอยู่ อุบาสกนั้นพึงกล่าวกะเขาอย่างนี้ว่า ท่านผู้เช่นกับเรา ซึ่งมีความตายเป็น
    ธรรมดา ถ้าแม้ท่านจักกระทำความห่วงใยในมารดาและบิดา ก็จักตายไป ถ้าแม้ท่านจักไม่กระทำ
    ความห่วงใยในมารดาและบิดา ก็จักตายไปเหมือนกัน ขอท่านจงละความห่วงใยในมารดาและ
    บิดาของท่านเสียเถิด ถ้าเขากล่าวอย่างนี้ว่า เราละความห่วงใยในมารดาและบิดาของเราแล้ว.

    [๑๖๓๐] อุบาสกนั้นพึงถามเขาอย่างนี้ว่า ก็ท่านยังมีความห่วงใยในบุตรและภริยาอยู่
    หรือ? ถ้าเขากล่าวอย่างนี้ว่า เรายังมีความห่วงใยในบุตรและภริยาอยู่ อุบาสกนั้นพึงกล่าวกะเขาอย่างนี้ว่า ท่านผู้เช่นกับเรา ซึ่งมีความตายเป็นธรรมดา ถ้าแม้ท่านจักกระทำความห่วงใยในบุตร
    และภริยา ก็จักตายไป ถ้าแม้ท่านจักไม่กระทำความห่วงใยในบุตรและภริยา ก็จักตายไปเหมือน
    กัน ขอท่านจงละความห่วงใยในบุตรและภริยาของท่านเสียเถิด ถ้าเขากล่าวอย่างนี้ว่า เราละ
    ความห่วงใยในบุตรและภริยาของเราแล้ว

    [๑๖๓๑] อุบาสกนั้นพึงถามเขาอย่างนี้ว่า ท่านยังมีความห่วงใยในกามคุณ ๕ อัน
    เป็นของมนุษย์อยู่หรือ? ถ้าเขากล่าวอย่างนี้ว่า เรายังมีความห่วงใยในกามคุณ ๕ อันเป็นของมนุษย์
    อยู่ อุบาสกนั้นพึงกล่าวกะเขาอย่างนี้ว่า กามอันเป็นทิพย์ยังดีกว่า ประณีตกว่า กามอันเป็น
    ของมนุษย์ ขอท่านจงพรากจิตให้ออกจากกามอันเป็นของมนุษย์ แล้วน้อมจิตไปในพวกเทพชั้น
    จาตุมหาราชเถิด ถ้าเขากล่าวอย่างนี้ว่า จิตของเราออกจากกามอันเป็นของมนุษย์แล้ว จิตของเรา
    น้อมไปในพวกเทพชั้นจาตุมหาราชแล้ว.

    [๑๖๓๒] อุบาสกนั้นพึงกล่าวกะเขาอย่างนี้ว่า พวกเทพชั้นดาวดึงส์ยังดีกว่า ประณีต
    กว่า พวกเทพชั้นจาตุมหาราช ขอท่านจงพรากจิตให้ออกจากพวกเทพชั้นจาตุมหาราช แล้วน้อมจิต
    ไปในพวกเทพชั้นดาวดึงส์เถิด ถ้าเขากล่าวอย่างนี้ว่า จิตของเราออกจากพวกเทพชั้นจาตุมหาราช
    แล้ว จิตของเราน้อมไปในพวกเทพชั้นดาวดึงส์แล้ว อุบาสกนั้นพึงกล่าวกะเขาอย่างนี้ว่า

    พวกเทพชั้นยามายังดีกว่า ประณีตกว่า พวกเทพชั้นดาวดึงส์ ...
    พวกเทพชั้นดุสิตยังดีกว่า ประณีตกว่าพวกเทพชั้นยามา ...
    พวกเทพชั้นนิมมานรดียังดีกว่า ประณีตกว่า พวกเทพชั้นดุสิต ...
    พวกเทพชั้นปรนิมมิตวสวัตตียังดีกว่า ประณีตกว่า พวกเทพชั้นนิมมานรดี ...
    พรหมโลกยังดีกว่า ประณีตกว่าพวกเทพชั้นปรนิมมิตวสวัตตี
    ขอท่านจงพรากจิตให้ออกจากพวกเทพชั้นปรนิมมิตวสวัตตี แล้ว
    น้อมจิตไปในพรหมโลกเถิด ถ้าเขากล่าวอย่างนี้ว่า จิตของเราออกจากพวกเทพชั้นปรนิมมิตวสวัตตี
    แล้ว จิตของเราน้อมไปในพรหมโลกแล้ว.

    [๑๖๓๓] อุบาสกนั้นพึงกล่าวกะเขาอย่างนี้ว่า
    ดูกรท่านผู้มีอายุ แม้พรหมโลกก็ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ยังนับเนื่องในสักกายะ ขอท่านจงพรากจิตให้ออกจากพรหมโลก
    แล้วนำจิตเข้าไปในความดับสักกายะเถิด ถ้าเขากล่าวอย่างนี้ว่า จิตของเราออกจากพรหมโลกแล้ว เรานำจิตเข้าไปในความดับสักกายะแล้ว


    ดุกรมหาบพิตร อาตมภาพไม่กล่าวถึงความต่างอะไรกันของอุบาสก ผู้มีจิตพ้นแล้วอย่างนี้ กับภิกษุผู้พ้นแล้วตั้งร้อยปี
    คือ พ้นด้วยวิมุติเหมือนกัน
    .
    จบ สูตรที่ ๔
     
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ตัวอย่างจาก พระสูตร ข้างบน จะเห็นว่า อุบาสกผู้มีปัญญา
    ทั้งชีวิต ไม่ได้ ภาวนา ทำสมาธิอะไร

    แต่พอ กาลจะ ตาย พระพุทธองค์ ตรัสวิธี ยกจิต ยกใจ
    ง่ายๆ ธรรมดาๆ

    แล้ว ตรัสสำทับ ท้ายพระสูตรว่า มี วิมุตติ ไม่ต่างกันกับ อริยเจ้า

    ดังนั้น

    ที่ว่า ตนมี สัททามาก แล้วไป บริกรรม พุทโธๆๆๆๆ จนหัวหกก้นขวิด
    จริงๆ แล้วไม่ใช่ มันเป็น อาการ ย้อนแย้งสัทธรรมผู้มีพระภาค แล้ว
    ไม่รู้ว่าตน สัททาง่อนแง้น ..................

    ปล. กรณีถือ พรต ด้วยวิธีอื่น ก็เหมือนกัน
     
  5. แค่พลัง

    แค่พลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    2,792
    ค่าพลัง:
    +1,565
    เสียตรงไปเสียดายจิตหาย แต่เดี๋ยวนี้ก็พยายามรู้แล้ววางเพื่อไม่ให้จิตมันสร้างภพ
    ดันมาติดไอ้ตรงเฉยๆ นี้ ไปไหนไม่ได้ ก็เลย นั่งดูละครไปเรื่อยๆ
     
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ถ้าใน มุมของ การพิจารณากิเลส สังโยชน์
    ฟังแล้ว โอดโอย ถ้อถอย ตำหนิจิตว่า ไม่สามารถ
    สดับได้ เหมือนเอา ถ่านแดงยอดใส่ปากให้ทาน

    ก็ต้องพูดออก อภิธรรม

    อภิธรรม เรียกว่า แยกรูปแยกนามไม่ขาด

    การเล็งเห็น หรือ การพยายามพิจารณาจิตให้เป็น ดวงก็ดี สายก็ดี
    เป็นการ สมาทานสิกขา กำหนดรู้นามรูปแล้ว

    แต่ ญาณกำหนดเห็น นามรูป จะต้องเป็น ขั้น อุทัพยญาณ สันตติ ถึงจะขาด
    แล้วไม่รวมกันอีก ตลอดจนกว่าจะ ตายเปล่าไปหนึ่งชาติ ชาติหน้าจะต้อง
    ไปเริ่มใหม่ แต่ไม่ยาก หากได้พวกเจโตปริยญาณทักนิดเดียว ก็จะ กำหนด
    รู้สันนติขาดได้ (ถ้าเป็นเทวดา พรหม ก็จะ ปรินิพพานในภพนั้นไปเลย)

    ดังนั้น

    ให้รู้ไปตรงๆ ว่า สันตติไม่ขาด ยังไม่เคยเห็น ซึ่งจะ ทำเทียมเพื่อการเห็น
    ก็ต้องทำฌาณ

    แต่ถ้าไม่ต้องอ้อมไปไหน ก็กำหนดรู้ ความรับรู้ว่าบางอย่าง มันไม่ขาด
    มันขบไม่แตก ยกอาการรู้ แบบนั้นแหละ ขึ้นเป็น กำหนดรู้เห็นกิเลส
    สังโยชน์ หรือ อวิชชาสวะ ก็ได้ แล้วแต่ ความสัททาที่จะสมาทาน สดับธรรมไว้ที่จิต
    ให้ตรงต่อธรรม(คือ ทำสังสารวัฏให้สิ้น ไม่ใช่ เพื่อสืบต่ออะไรสักอย่าง เที่ยง)
     
  7. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    เอ้ย แล้วก็ไม่พูดแบบนี้แต่แรก

    ถ้าเห็นได้แบบนี้ พอแล้ว

    แล้วให้เห็นจิต ที่โน้มทวนกระแส กับ ไหลกลับเข้าโลก

    พอเห็น จิตที่มันเขย่งก็ได้ ค้างก็ได้ ไปไหนต่อไม่เห็นก็ได้
    ให้กำหนดรู้ จิตที่มันอบรมให้บ่ายหน้าไปมหาสมุทรได้
    เพียงแต่ว่า อีกฝั่งของมหาสมุทร นี่ มันจะไม่เห็น(ซึ่ง
    จะไม่เห็นอยู่แล้ว) แต่ สติ ที่มันตัดสินใจข้ามมหาสมุทร
    หากมีอยู่ ก็ ฉลาดในการทำจิตให้บันเทิงซะ หรือ ฉลาด
    ทำจิตให้สัปปายะ

    ซึ่ง จะต้องทำอะไรไหม

    ไม่ต้อง

    ให้สังเกตุ ปิติสัมโพชฌงค์ ซึ่งจะมี อาการไหว ยิบๆ แย๊บๆ
    แต่ไม่ผลิกกลายเป็น สุข เบา หรือ เย็น

    ถ้าผลิกเป็น สุข เบา หรือ เย็น ก็แปลว่า จิตยังมุ่งเอาอามิส
    ยังมีเจตนาเจือ ก็ไม่ต้องไปว่าจิต หาก เบาแต่ กิเลสเบา
    บาง พระพุทธองค์ให้น้อมไปเล่นพวก อภิญญา ก็ได้ ไม่ว่า

    แต่ถ้าจิตมี ปิติสัมโพชฌงค์ ไม่เกิดเบา ลอย เย็น ว่าง
    เห็นแต่ จิตที่ ย้อนกลับไป เพียรที่เหตุ คือ หมั่นภาวนา
    กำหนดรู้ทุกข์ ....แบบนี้ก็ อนุโลมตามไป อย่าหยุด


    ปล. ตรงนี้ จิตมันจะปลิ้นปล้อน ร้ายกาจ สาหัสนะ มันจะผลิก
    ไปเอาดี อย่างงั้น อย่างงี้ ชี้ช่องสำเร็จสารพัด หากไปเชื่อ
    มัน เดี๋ยวก็ ป้อแป้ ไม่เห็นฝั่ง โดนจิตมันหลอก หากเห็น
    หรือโดนตรงนี้ ก็ ทัก พยาจิตราช อโห มาริสา เป็นมุขนัยบ้างก็ได้
     
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    อาการ เสียดายจิต ตรงนี้ จะขาดได้ก็ต้อง อรหัตถผล

    ดังนั้น

    อนาคามี ผีใหญ่ ครูบาอาจารย์มีชื่อหลายองค์(ตาม การกำหนดรู้ของ หลวงปู่ดูลย์ฝากไว้)
    จะยัง แสดงธรรมโดยมีอาการ เสียดายจิต

    สรรเสริญจิต

    เราไปฟังธรรม พระบางองค์แสดงธรรมซื่อๆ ตามภูมิจิต ก็จะเห็น อาการเสียดายจิต

    คนฟังธรรมไม่เข้าใจ คิดว่า พระท่านสอน จิตเที่ยง จริงๆไม่ใช่

    ท่านแสดงความซื่อตรงตามภูมิจิต ที่เป็นแค่ สาวก ไม่ใช่ สัพพัญญู
     
  9. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    พระพุทธองค์จึงตรัสว่า เวลาฟังธรรม

    อย่าย้อนแย้ง อย่าเฝ้นหา อย่าคัดค้าน

    ให้ฟังด้วยดี จำให้ขึ้นใจ แล้วไป สอบทาน สัทธรรม

    ถ้าพบว่าขัดแย้ง ก็ไม่ต้อง แจ้นกลับไปสวนหมัด ให้เก็บไว้ในใจ

    วิธีนี้ เวลา มีคนอื่นมาถามเรา หากเป็น ปัญญหาที่เราเฝ้น
    สอบทานแล้ว เชื่อไหมว่า จิตเรา จะเลือกกล่าว พระไตรปิฏก
    แทนคำสอน สาวก อัตโนมัต
     
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ขออภัย ขออีก สักดอก

    ถ้า สมมติว่า ได้ยินคำว่า ฉลาดในการทำจิตให้บันเทิง(ชอบการภาวนา ไม่มี นามกาย) หรือ
    ฉลาดในการทำสมาธิให้เป็นที่สบาย(สัปปายะ มี นามกาย)

    ขอแนะนำพระสูตร .........[ ถ้าอ่านแล้ว หรือ กวาดตาอ่านแล้ว เกิดจิตกระด้าง
    ก็ไม่ต้องอ่านเลยหน่าคร้าบ แต่ถ้า อ่านแล้ว มันไป เคว้งคว้าง อยู่บนสะพาน
    โดยตรงหน้ามี กวนอูยืนขวางอยู่ แล้ว มันสั่นสู้ มุ่งภาวนา ก็อ่านเล่นๆ ]


    โยธาชีวสูตร

    [๗๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย นักรบอาชีพ ๕ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก
    ๕ จำพวกเป็นไฉน คือ นักรบอาชีพบางพวกในโลกนี้เห็นฝุ่นฟุ้งขึ้นเท่านั้นย่อมหยุด
    นิ่ง สะทกสะท้าน ไม่สามารถเข้ารบได้ นักรบอาชีพบางพวกแม้เช่นนี้ก็มีอยู่
    นี้เป็นนักรบอาชีพพวกที่ ๑ มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ

    อีกประการหนึ่ง นักรบอาชีพบางพวกในโลกนี้ แม้เห็นฝุ่นฟุ้งขึ้นก็อดทน
    ได้ แต่พอเห็นยอดธงข้าศึกเข้าเท่านั้นย่อมหยุดนิ่ง สะทกสะท้าน ไม่สามารถเข้า
    รบได้ นักรบอาชีพบางพวกแม้เช่นนี้ก็มีอยู่ นี้เป็นนักรบอาชีพพวกที่ ๒ มีปรากฏ
    อยู่ในโลก ฯ

    อีกประการหนึ่ง นักรบอาชีพบางพวกในโลกนี้ แม้เห็นฝุ่นฟุ้งขึ้นก็อดทน
    ได้ แม้เห็นยอดธงของข้าศึกก็อดทนได้ แต่พอได้ยินเสียงกึกก้องของข้าศึกเข้า
    เท่านั้นย่อมหยุดนิ่ง สะทกสะท้าน ไม่สามารถเข้ารบได้ นักรบอาชีพบางพวกแม้
    เช่นนี้ก็มีอยู่ นี้เป็นนักรบอาชีพพวกที่ ๓ มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ

    อีกประการหนึ่ง นักรบอาชีพบางพวกในโลกนี้ แม้เห็นฝุ่นฟุ้งขึ้นก็อด
    ทนได้ แม้เห็นยอดธงของข้าศึกก็อดทนได้ แม้ได้ยินเสียงกึกก้องของข้าศึกก็
    อดทนได้ แต่ว่าย่อมขลาดสะดุ้งต่อการสัมปหารของข้าศึก นักรบอาชีพบางพวกแม้
    เช่นนี้ก็มีอยู่ นี้เป็นนักรบอาชีพพวกที่ ๔ มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ

    อีกประการหนึ่ง นักรบอาชีพบางพวกในโลกนี้ แม้เห็นฝุ่นฟุ้งขึ้นก็
    อดทนได้ แม้เห็นยอดธงของข้าศึกก็อดทนได้ แม้ได้ยินเสียงกึกก้องของข้าศึกก็
    อดทนได้ อดทนต่อการสัมปหารของข้าศึกได้ เขาชนะสงครามแล้ว เป็นผู้พิชิต
    สงคราม ยึดครองค่ายสงครามนั้นไว้ได้ นักรบอาชีพบางพวกแม้เช่นนี้ก็มีอยู่ นี้
    เป็นนักรบอาชีพพวกที่ ๕ มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ



    ดูกรภิกษุทั้งหลาย นักรบอาชีพ ๕ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ดูกร
    ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เปรียบด้วยนักรบอาชีพ ๕ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในพวก
    ภิกษุ ฉันนั้นเหมือนกัน ๕ จำพวกเป็นไฉน คือ

    ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นฝุ่นฟุ้งขึ้นเท่านั้นย่อมหยุดนิ่ง สะทกสะท้าน
    ไม่สามารถจะสืบต่อพรหมจรรย์ไปได้ ทำให้แจ้งความเป็นผู้ทุรพลในสิกขา บอก
    คืนสิกขาเวียนมาเพื่อหินเพศ อะไรเป็นฝุ่นฟุ้งขึ้นของเธอ คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
    ย่อมได้ฟังว่า ในบ้านหรือในนิคมโน้น มีหญิงหรือกุมารีรูปงาม น่าดู น่าเลื่อมใส
    ประกอบด้วยผิวพรรณงามอย่างยิ่ง เธอได้ฟังดังนั้นแล้วย่อมหยุดนิ่ง สะทกสะท้าน
    ไม่สามารถจะสืบต่อพรหมจรรย์ไปได้ ทำให้แจ้งซึ่งความเป็นผู้ทุรพลในสิกขา
    บอกคืนสิกขาเวียนมาเพื่อหินเพศ นี้ชื่อว่าฝุ่นฟุ้งขึ้นของเธอ นักรบอาชีพนั้นเห็น
    ฝุ่นฟุ้งขึ้นเท่านั้นย่อมหยุดนิ่ง สะทกสะท้าน ไม่สามารถเข้ารบได้ แม้ฉันใด
    เรากล่าวบุคคลนี้เปรียบฉันนั้น บุคคลบางคนแม้เช่นนี้ก็มีอยู่ นี้บุคคลผู้เปรียบด้วย
    นักรบอาชีพจำพวกที่ ๑ มีปรากฏอยู่ในพวกภิกษุ ฯ

    อีกประการหนึ่ง ภิกษุแม้เห็นฝุ่นฟุ้งขึ้นก็อดทนได้ แต่ว่าเธอเห็นยอดธง
    ของข้าศึกเข้าเท่านั้น ย่อมหยุดนิ่ง สะทกสะท้าน ไม่สามารถจะสืบต่อพรหมจรรย์
    ไปได้ ทำให้แจ้งซึ่งความเป็นผู้ทุรพลในสิกขา บอกคืนสิกขาเวียนมาเพื่อหินเพศ
    อะไรชื่อว่าเป็นยอดธงของข้าศึกของเธอ คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไม่ได้ฟังว่า
    ในบ้านหรือนิคมชื่อโน้น มีหญิงหรือกุมารีรูปงาม น่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบ
    ด้วยผิวพรรณงามอย่างยิ่ง แต่ว่าเธอย่อมได้เห็นด้วยตนเอง ซึ่งหญิงหรือกุมารีรูปงาม
    น่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยผิวพรรณงามอย่างยิ่ง เธอเห็นแล้วย่อมหยุดนิ่ง
    สะทกสะท้าน ไม่สามารถจะสืบต่อพรหมจรรย์ไปได้ ทำให้แจ้งซึ่งความเป็นผู้
    ทุรพลในสิกขา บอกคืนสิกขาเวียนมาเพื่อหินเพศ นี้ชื่อว่ายอดธงของข้าศึกของ
    เธอ นักรบอาชีพนั้นเห็นฝุ่นฟุ้งขึ้นก็อดทนได้ แต่พอเห็นยอดธงของข้าศึกเข้า
    เท่านั้นย่อมหยุดนิ่ง สะทกสะท้าน ไม่สามารถเข้ารบได้ แม้ฉันใด เรากล่าว
    บุคคลนี้เปรียบฉันนั้น บุคคลบางคนแม้เช่นนี้ก็มีอยู่ นี้คือบุคคลผู้เปรียบด้วย
    นักรบอาชีพจำพวกที่ ๒ มีปรากฏอยู่ในพวกภิกษุ ฯ

    อีกประการหนึ่ง ภิกษุแม้เห็นฝุ่นฟุ้งขึ้นก็อดทนได้ แม้เห็นยอดธงของ
    ข้าศึกก็อดทนได้ แต่พอเธอได้ยินเสียงกึกก้องของข้าศึกเข้าเท่านั้นย่อมหยุดนิ่ง
    สะทกสะท้าน ไม่สามารถจะสืบต่อพรหมจรรย์ไปได้ ทำให้แจ้งซึ่งความเป็นผู้
    ทุรพลในสิกขา บอกคืนสิกขาเวียนมาเพื่อหินเพศ อะไรชื่อว่าเป็นเสียงกึกก้อง
    ของข้าศึกของเธอ คือ มาตุคามเข้าไปหาภิกษุในธรรมวินัยนี้ ผู้อยู่ในป่า โคนไม้
    หรือเรือนว่างเปล่า แล้วย่อมยิ้มแย้ม ปราศรัย กระซิกกระซี้ เย้ยหยัน เธอถูก
    มาตุคามยิ้มแย้ม ปราศรัย กระซิกกระซี้ เย้ยหยันอยู่ ย่อมหยุดนิ่ง สะทก-
    *สะท้าน ไม่สามารถจะสืบต่อพรหมจรรย์ไปได้ ทำให้แจ้งซึ่งความเป็นผู้ทุรพลใน
    สิกขา บอกคืนสิกขาเวียนมาเพื่อหินเพศ นี้ชื่อว่าเสียงกึกก้องของข้าศึกของเธอ
    นักรบอาชีพนั้นแม้เห็นฝุ่นฟุ้งขึ้นก็อดทนได้ แม้เห็นยอดธงของข้าศึกก็อดทนได้
    แต่พอได้ยินเสียงกึกก้องของข้าศึกเข้าเท่านั้นย่อมหยุดนิ่ง สะทกสะท้าน ไม่
    สามารถเข้ารบได้ แม้ฉันใด เรากล่าวบุคคลนี้เปรียบฉันนั้น บุคคลบางคนแม้
    เช่นนี้ก็มีอยู่ นี้คือบุคคลผู้เปรียบด้วยนักรบอาชีพจำพวกที่ ๓ มีปรากฏอยู่ในพวก
    ภิกษุ ฯ

    อีกประการหนึ่ง ภิกษุแม้เห็นฝุ่นฟุ้งขึ้นก็อดทนได้ แม้เห็นยอดธงของ
    ข้าศึกก็อดทนได้ แม้ได้ยินเสียงกึกก้องของข้าศึกก็อดทนได้ แต่ว่าย่อมขลาดต่อ
    การสัมปหารของข้าศึก อะไรชื่อว่าเป็นการสัมปหารของข้าศึกของเธอ คือ มาตุคาม
    เข้าไปหาภิกษุในธรรมวินัยนี้ ผู้อยู่ในป่า โคนไม้ หรือเรือนว่างเปล่า แล้วย่อม
    นั่งทับ นอนทับ ข่มขืน เธอถูกมาตุคามนั่งทับ นอนทับ ข่มขืนอยู่ ไม่บอกคืน
    สิกขา ไม่ทำให้แจ้งซึ่งความเป็นผู้ทุรพล ย่อมเสพเมถุนธรรม นี้ชื่อว่าการ
    สัมปหารของข้าศึกของเธอ นักรบอาชีพนั้นแม้เห็นฝุ่นฟุ้งขึ้นก็อดทนได้ แม้เห็น
    ยอดธงของข้าศึกก็อดทนได้ แม้ได้ยินเสียงกึกก้องของข้าศึกก็อดทนได้ แต่ว่า
    ย่อมขลาดต่อการสัมปหารของข้าศึก แม้ฉันใด เรากล่าวบุคคลนี้เปรียบฉันนั้น
    บุคคลบางคนแม้เช่นนี้ก็มีอยู่ นี้คือบุคคลผู้เปรียบด้วยนักรบอาชีพจำพวกที่ ๔ มี
    ปรากฏอยู่ในพวกภิกษุ ฯ

    อีกประการหนึ่ง ภิกษุแม้เห็นฝุ่นฟุ้งขึ้นก็อดทนได้ แม้เห็นยอดธงของ
    ข้าศึกก็อดทนได้ แม้ได้ยินเสียงกึกก้องของข้าศึกก็อดทนได้ อดทนการสัมปหาร
    ของข้าศึกได้ เขาชนะสงครามแล้ว เป็นผู้พิชิตสงคราม ยึดครองค่ายสงครามนั้น
    ไว้ได้ อะไรชื่อว่าชัยชนะในสงครามของเธอ คือ มาตุคามเข้าไปหาภิกษุในธรรม-
    *วินัยนี้ ผู้อยู่ในป่า โคนไม้ หรือเรือนว่างเปล่า แล้วย่อมนั่งทับ นอนทับ
    ข่มขืน เธอถูกมาตุคามนั่งทับ นอนทับ ข่มขืนอยู่ ไม่พัวพัน ปลดเปลื้อง
    หลีกออกได้ แล้วหลีกไปตามความประสงค์ เธอย่อมเสพเสนาสนะอันสงัด คือ
    ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง เธออยู่ในป่า
    โคนไม้ หรือเรือนว่างเปล่า ย่อมนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า
    เธอย่อมละอภิชฌาในโลกเสีย มีจิตปราศจากอภิชฌาอยู่ ชำระจิตให้บริสุทธิ์จาก
    อภิชฌา เธอย่อมละความประทุษร้าย คือ พยาบาท มีจิตไม่พยาบาทอยู่ เป็น
    ผู้มีความเกื้อกูลอนุเคราะห์สัตว์ทั้งปวง ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความประทุษร้าย คือ
    พยาบาท เธอย่อมละถีนมิทธะ ปราศจากถีนมิทธะอยู่ เป็นผู้มีอาโลกสัญญา มี
    สติสัมปชัญญะ ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากถีนมิทธะ เธอย่อมละอุทธัจจกุกกุจจะ
    มีจิตไม่ฟุ้งซ่านอยู่ เป็นผู้มีจิตสงบ ณ ภายใน ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอุทธัจจ-
    *กุกกุจจะ เธอย่อมละวิจิกิจฉา เป็นผู้ข้ามพ้นวิจิกิจฉาอยู่ หมดความสงสัยในธรรม
    ทั้งหลาย ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากวิจิกิจฉา เธอละนิวรณ์ ๕ ประการ อันเป็น
    เครื่องเศร้าหมองแห่งใจ ทำปัญญาให้ทุรพลได้แล้ว สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุ
    จตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัส
    ก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์
    ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว
    แล้วอย่างนี้ เธอย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ เธอย่อมรู้ชัดตามความ
    เป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้
    อาสวะ นี้เหตุเกิดอาสวะ นี้ความดับอาสวะ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะ
    เมื่อเธอรู้เห็นอยู่อย่างนี้ จิตของเธอย่อมหลุดพ้น แม้จากกามาสวะ แม้จาก
    ภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้น
    แล้ว ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว
    กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก นี้ชื่อว่าชัยชนะในสงครามของเธอ นักรบ
    อาชีพนั้น แม้เห็นฝุ่นฟุ้งขึ้นก็อดทนได้ แม้เห็นยอดธงของข้าศึกก็อดทนได้ แม้
    ได้ยินเสียงกึกก้องของข้าศึกก็อดทนได้ อดทนต่อการสัมปหารของข้าศึกได้ เขา
    ชนะสงครามแล้ว เป็นผู้พิชิตสงครามแล้ว ยึดครองค่ายสงครามนั้นไว้ได้ แม้
    ฉันใด เรากล่าวบุคคลนี้เปรียบฉันนั้น บุคคลบางคนแม้เช่นนี้ก็มีอยู่ นี้คือบุคคล
    ผู้เปรียบด้วยนักรบอาชีพจำพวกที่ ๕ มีปรากฏอยู่ในพวกภิกษุ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    บุคคลผู้เปรียบด้วยนักรบอาชีพ ๕ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในพวกภิกษุ ฯ
    จบสูตรที่ ๕


    ปล.ลิง : ให้เจ้าของกระทู้ ใช้ พยัญชนะ "เสียดายจิต" แทน อนุพยัญชนะว่า "มาตุคาม"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2017
  11. แค่พลัง

    แค่พลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    2,792
    ค่าพลัง:
    +1,565
    ผมคงเป็นนักรบ ที่ได้ยินได้เห็นอะไรก็อดทนได้หมด จนไม่กล้ากระดิก
     
  12. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ก็เห็นไปแบบนั้นแหละ

    ชกมวยข้ามรุ่น มันยังไม่ใช่เวลา เว้นแต่ ปัญญาชวน(อ่านว่า ชะ วะ นะ) จะมี

    ชกมวยข้ามรุ่น ไปเห็น สังโยชน์เบื้องปลายเลย เป็นไปได้ไหม เห็นได้ไหม เห็นได้ ไม่ยาก

    แต่เห็นแล้ว มันจะค้าง ไปไม่ถูก ซึ่งก็นั่นแหละ ตรงตามธรรม ให้เห็นไปตรงๆ
    อย่าไป ขยับจะหาทาง ชกข้ามรุ่น จะโดนมันหลอก

    เช่น พวกเห็น กาม แล้ว พยายาม ถือศีล8 นี่โดนหลอก เว้นแต่ จะมี ปัญญาชวนะ
    ก็ให้ภาวนาได้ แต่จะไปลุ้นเอาตอน มรณสัณกาล (ตอน ขณะจิตสุดท้าย)
    อย่าดูแคลน "ขณะจิต"

    ชกมวยข้ามรุ่นได้อะไร

    ได้เห็น การครอบงำ ว่า เราอาศัยปฏิปทาใดครอบงำกิเลส

    ได้เห็น ความไม่เที่ยงของปฏิปทา ที่ใช้ [ ตกจาก กายคตาสติ ขณะจิตเดียว หัวขาดหน่าคร้าบ ]

    ดังนั้น

    กายคตาสติ ไม่เที่ยง

    อริยสัจจ4 ไม่เที่ยง

    กำหนดรู้เห็น ปฏิปทาไม่เที่ยงได้อะไร

    ได้การทวนกระแสไปเห็น จิตไม่เที่ยง ไม่ใช่เรา เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

    นะ

    ปัญญาธรรม ของจริงจะเกิดนอกภพ หากเกิดในภพ แค่ของตบแต่งจิต

    จิตไม่เที่ยง เดี๋ยวก็ อึ้ง ซื่อบื้ออยู่อย่างนั้น ข้ามพ้น เห็นว่าข้ามพ้น ไม่เป็น
     
  13. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    ขอตอบด้วยคนนะครับตามที่งูๆปลาๆพอจะรู้บ้าง
    พูดเรื่องของสิ่งที่กำหนดรู้ก่อนนะครับ สิ่งที่ใช้เป็นเครื่องมือในการกำหนดรู้ก้คือ สติ รู้ตัว เละ สัมปชัญญะ ละลึกได้
    ท่ากำหนดรู้ที่นามขันธ์ สังขาร+วิญญาน+เวทนา+สัญญา
    สติจะเข้าไปรู้ อาการของนาม ท่ารู้ลงในเวทนา ก้จะรู้อาการของ ทุข สุข ว่าตอนนี้มีทุข มีสุขอย่างไรหรือมีความไม่ทุขไม่สุขหรืออารมกลางๆนั่นหล่ะครับ เวทนาอย่างนึงเกิดขึ้นจากการกระทบกับสิ่งอย่างใดอย่างนึง อาจจะกระทบด้วยภาพ เสียง สัมผัส หรือจิตใจนึกคิดขึ้น เมื่อมีผัสสะ เวทนาก้เกิดขึ้น ตรงนี้ท่าไม่กำหนดสติลงไปรับรู้ ก้จะรู้บ้างไม่รู้บ้างว่ามีเวทนาอย่างไร

    คราวนี้ก้มาเรื่องของความเป็นสันตติของมันนะครับ เวทนาเกิดสืบเนื่องต่อกันไปจากผัสสะ หรือสิ่งที่มากระทบ เวทนาอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไปเวทนาอีกอย่างหนึ้่งก้เกิดขึ้นแล้วดับไปบางครั้งเวทนาหลายๆอย่างก้เกิดขึ้นพร้อมๆกันได้เละดับไปต่อเนื่องกันไปไม่ขาดสาย จึงมีความเป็นสันตติ

    เมื่อเราเอาสติไปรู้ที่สังขารบ้าง ก้จะเห็นอาการไม่ต่างเวทนา มีเกิดขึ้นตั้งอยุ่เละดับไปสืบสานกันเป็นสันตติเช่นกัน สังขารฝ่ายดีเกิดขึ้น กุศลาธรรม สังขารฝ่ายชั่วเกิดขึ้น อกุศลาธรรม หรือสังขารฝ่ายกลางเกิดขึ้น อพยากตาธรรม นามจิต ส่วนของสังขารธรรมมีเจตสิก 52ดวง แบ่งเป็น ฝ่ายดี โสภณเจตสิก 25 ดวง ฝ่ายชั่ว อกุศลเจตสิก 14 ดวง และฝ่ายกลาง อัญญสมานาเจตสิก 13 ดวง เมื่อกำหนดสติรับรู้ ก้จะมองเห็นอาการของสังขารที่เกิดขึ้นได้ เช่นเดียวกับที่มองเห็นอาการของเวทนาได้

    ประเดนคือ นามจิต ที่เราเข้าไปรับรู้อาการ ว่ามีการเกิดขึ้น ตั้งอยุ่และดับไปสืบสานกันเป็นสันตตินี้ ถึงเราไม่มีสติไปเป็นฐานรับรู้สิ่งเหล่านี้ก้ยังคงเกิดขึ้นตั้งอยุ่และดับไปตลอดเวลา เพียงแต่เมื่อเราต้องการรับรู้เราก้กำหนดสติสัมปะชัญยะเข้าไปรับรู้อาการของนามจิตส่วนนี้ได้

    เมื่อรู้แล้วดีอย่างไร เมื่อเรามีสติละลึกรุ้อาการของนามจิต เราก้รุ้แล้วว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเองตามฝัสสะ ส่วนสังขารนั้นเกิดด้วยอวิชชา แล้วอวิชชากำจัดได้อย่างไร

    เมื่อเราฝึกสติกำหนดรุ้บ่อยๆเราก้จะเห็นความเป็นจริงหลายๆประการ เช่น เราไม่ได้ทำไห้เกิด สังขาร หรือเวทนา แต่สังขารเละเวทนานั้นเกิดขึ้นเอง เละดับเอง วิทีดูตรงนี้ไห้เข้าใจง่ายๆลองกำหนดว่า ไม่ไห้เวทนาเกิดหรือไม่ไห้สังขารเกิดดูสิครับ ว่ามันจะเกิดขึ้นอีกไหม แน่นอนว่ามันก้ยังคงเกิดขึ้นเช่นเดิม ดังนั้นตรงนี้การกำหนดสติเข้าไปรับรู้อาการของสองสิ่งนี้ทำไห้เรารุ้ว่าสังขารไม่ใช่เราเละเวทนานั้นก้ไม่ใช่เราครับ ท่าเรายังยึดเอาว่าสังขารนี้เป็นเราเละเวทนานี้เป็นเราอีก เราก้จะพ้นไปจากสามสิ่งไม่ได้ สังขารมีสามฝ่าย ดี ชั่ว เละกลาง ท่าวางสังขารไม่ได้เข้าไปรู้ละลึกแล้วแต่ออกจากวงจรไม่ได้ก้เท่ากับรู้เพียงอาการแต่จะติดไปกับมันครับ จะเกิดในภพของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยู่ดี ตรงนี้ท่าเกิดปัญญาขึ้นจะออกจากสามฝ่ายนี้ได้ ผู้ที่ทำไห้สังขารเกิดขึ้นคืออวิชา เราก้ต้องไปทำความรู้จักกับอวิชชากันว่าสร้างสังขารนี้อย่างไร ไปรู้จักกับนายช่างผู้สร้างเรือน

    เวทนา เกิด หลังจากผัสสะ สังขารเกิดจากอวิชา สัญญา เละวิญญาน ก้เกิดดับด้วยพร้อมๆกันๆ
    สัญญา เป็นตัวจำได้ หมาย รู้ ว่าสิ่งนี้คืออะไรสิ่งนี้เป็นเช่นไร ตัวนี้แหละครับตัวยุยงชั้นดี สังขารเกิดขึ้นมีสัญญาก้จดจำครับว่าดีไม่ดีชอบไม่ชอบ สัญญานี้เป็นตัวช่วย แม้บางครั้งไม่ใช่สัญญาไหม่แต่เป็นสัญญาเก่าในครั้งอดีตชาติที่ตามมาข้ามภพข้ามชาติทั้งเรื่องดีไม่ดีนามจิตนี้ก้พากันสานต่อกันมา เช่นเรื่องที่พวกเรามีความสนใจฝักใฝ่ในธรรมนะครับ ตังงิญญานเองก้รับรู้อาการ ตัววิญญานจึงเกิดขึ้น เมื่อสังขารเกิดขึ้นแล้ววิญญานจึงเกิดขึ้นรับรู้ รู้ว่ามีสิ่งใดๆเกิดขึ้นบ้าง เป็นเหมือนพระราชานะครับ มีสังขารเกิดอย่างไรสัญญาจำได้ว่าดีร้ายประการใดเวทนาก้เกิดความรู้สึกสุขทุขตาม

    เอาหละครับนามจิต หรือกองของนามขันธ์ เหล่านี้มีอาการเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปด้วยมูลของอวิชา สืบเนื่องสานต่อกันเป็นสันตติด้วยเช่นนี้แหละครับ

    แต่สติจะช่วยไห้เกิดปัญญาได้ เมื่อสติละลึกรู้อาการ แล้วพิจารณาด้วยปัญญา ก้จะพ้นจากอำนาจของอวิชาได้ครับ เละไม่ยึดเอาขันธ์ทั้ง 5 ทั้งรูปทั้งนามไว้ว่าเป็นตัวเป็นตนเป็นเราเป็นของๆเราครับ

    อาการของขันธ์ที่เราใช้สติเข้าไปกำหนดรู้นั้น เพื่อไห้เรารู้ว่ามันเกิดขึ้นตั้งอยู่แหละดับไปเองเป็นธรรมดา ท่าวางตรงนี้ไม่เป็นหรือไม่ถูกต้องก้จะติดอยู่ในภพ ทั้งสามฝ่าย กุศล ก้พาไห้เกิดในแดนสุขสวรรค์ อกุศลก้พาไห้เกิดในแดนทุข นรก อพยากตาก้พาไห้เกิดในแดนพรหมโลก รู้แล้วก้อย่าไห้เสียรู้นะครับขอให้เจริญในธรรม
    ปล. ดูจิตก้ดูที่ปัจจุบันขระนี้แหละครับเพราะการตั้งสติในจิตก้ทำได้ทุกเวลาก้จะเห็นสิ่งเดิมว่ามันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ การเห็นความเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆเฉยๆ ไม่เกิดประโยชแต่อย่างไร แต่ต้องรู้สาเหตุของการเกิดเละการเปลี่ยนแปลงก้จะทำลายการเกิดนั้นได้ครับ
     
  14. แค่พลัง

    แค่พลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    2,792
    ค่าพลัง:
    +1,565
    ผมขอถามอีกนิดนะครับ อารมณ์ท่านเห็นว่าใช่เราไหมครับ
     
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    จะไปถาม อย่างนั้นทำไมหละฮับ ถามแบบนี้ มันก็ ค้างจิ [ เห็นบางอย่างเที่ยง ซัดเปรี้ยงศาสดา !!!]

    คนเก่งๆ เขาต้องถามว่า อารมณ์อาศัยอะไรตั้งขึ้น
    สิ่งที่อารมณ์อาศัยตั้งขึ้น คนมีปัญญามีหรือจะบอกว่า นั่นเรา !?
     
  16. แค่พลัง

    แค่พลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    2,792
    ค่าพลัง:
    +1,565
    มีเหตุผมที่ถามครับ ยังเห็นอารมณ์เป็นเราอยู่หรือเปล่า แค่อยากรู้จะได้เดินทางเสวนาได้ด้วยกันได้ ผมต้องการคนร่วมทางตรงนี้จริงๆ ยินดีเสวนากับท่านงูๆ ปลาๆ ครับ
     
  17. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    ดวงจิตที่กองรวมกันนี้ สังขาร วิญญาน สัญญา เวทนา ดับได้
    ดังเช่น เมื่อ ไม่มีผัสสะ เวทนาก้ดับ ส่วนปัญญษในแต่ละขั้นของการดับนั้น บางท่านก้อาจดับได้สิ้นทั้งหมดตั้งแต่อวิชา แต่บางท่านก้เป็นผู้มีปัญญา แต่ดับกิเลสได้บ้างบางจำพวก เช่น ดับได้เฉพาะ ทุขสุข หรือ โลภะเละปติคะ ดังเช่นเหล่าพระอนาคามีที่เกิดใน สุทธาวาสพรหมนะครับ

    ว่าเรื่องของฝ่ายดับพระพุทธเจ้าแสดงไว้ดังนี้
    ความทุกข์ จะดับไปได้เพราะ ชาติ (การเกิดอัตตา"ตัวตน"คิดว่าตนเป็นอะไรอยู่) ดับ

    ชาติ จะดับไปได้เพราะ ภพ (การมีภาระหน้าที่และภาวะทางใจ) ดับ

    ภพ จะดับไปได้เพราะ อุปาทาน (ความยึดติดในสิ่งต่าง ๆ) ดับ

    อุปาทาน จะดับไปได้เพราะ ตัณหา (ความอยาก) ดับ

    ตัณหา จะดับไปได้เพราะ เวทนา (ความรู้สึกทุกข์หรือสุขหรือเฉยๆ) ดับ

    เวทนา จะดับไปได้เพราะ ผัสสะ (การสัมผัส) ดับ

    ผัสสะ จะดับไปได้เพราะ สฬายตนะ (อายตนะใน๖+นอก๖) ดับ

    สฬายตนะ จะดับไปได้เพราะ นามรูป (รูปขันธ์) ดับ

    นามรูป จะดับไปได้เพราะ วิญญาณ (วิญญาณขันธ์) ดับ

    วิญญาณ จะดับไปได้เพราะ สังขาร (อารมณ์ปรุงแต่งวิญญาณ-เจตสิก) ดับ

    สังขาร จะดับไปได้เพราะ อวิชชา (ความไม่รู้อย่างแจ่มแจ้ง) ดับ
     
  18. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ระวัง อาการแสวงหาธรรม ด้วยการ ตรึกด้วยตรรกศาตร์ หน่าคร้าบ

    ถ้าตรึกด้วย ตรรกศาตร์ เวลาไป ปรารภเห็น อารมณ์ไม่ใช่เรา
    หรือ มีคนชักชวนว่า อารมณ์อาศัยอะไรตั้งขึ้น สิ่งนั้นไม่ใช่เรา

    ถ้าไปตรึกด้วย ตรรกศาตร์ มันจะเกิด อาการ งอมือ งอเท้า

    อาการงอมือ งอเท้า อกตัญญูต่อโลก ต่อภวสวะ ไม่มีการรับผิดชอบ
    อันนี้ก็เสร็จมัน ฮับ โดนจิตหลอก ร่ำไป มรรค8หายเรียบเบย
     
  19. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    ยินดีที่เสวนาครับ ขอตอบว่าอารมไม่ใช่เราแน่ๆครับ เรากำหนดอารมไม่ได้อารมเกิดด้วยตัวเองเละเปลี่ยนแปลงไปเองดับลงเอง ครับ เรามีอารมเพราะเรามีผัสสะ ดังนั้น เรามีเวทนา แต่เวทนาไม่ใช่เราครับ การที่เรารู้เวทนา แต่เราไม่ยึดเอาเวทนาเป็นเราเวทนานั้นก้ยังคงเกิดขึ้น จะเป็นสุขหรือเป้นทุขก้ยังคงเกิดขึ้นครับ เราทำได้เพียงใช้ กำลังของใจหรือที่เรียกว่าบารมี ส่วนที่ต้องใช้สุ้กับสุขทุขเวทนาที่เกิดขึ้นนี้ครับบารมีที่ใช้บ่อยๆก้คือขันติครับ ความอดทน และโสรัจจะ ความสงบ เพราะเราหนีเวทนาไปไหนไม่ได้ครับแต่เวทนาไม่ใช่เราไห้เวทนาดิ้นไปเองเรื่อยๆดั่งพุทะพจครับ ทุขเท่านั้นที่เกิด ทุขเท่านั้นที่ดับ นอกจากทุขแล้วไม่มีอาไรเกิดไม่มีอาไรดับ
     
  20. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    ที่กล่าวมาทั้งหมดมันก้เป็นความเห็นของงูๆปลาๆเท่านั้นนะครับ เพราะยังไม่แจ้งในธรรมจนบรรลุได้ทั้งสิ้น ถูกผิดประการใดก้ขออภัยไว้ณที่นี้ด้วยครับ ยังไงก้ขอให้ใช้หลักกาลมสูตรพิจารณาอย่าได้หลงเชื่อตามสิ่งใดที่ได้กล่าวไป แต่ขอแค่ให้รับฟังว่านี่เป็นเพียงแค่หนึ่งความคิดเห็นครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...