จิตที่แสดงอาการรู้คือ จิตดวงเดียว หรือเป็นสร้อยสายเรียงกัน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย แค่พลัง, 19 กันยายน 2017.

  1. แค่พลัง

    แค่พลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    2,792
    ค่าพลัง:
    +1,565
    ขอบคุณครับ หากเห็นอย่างงั้นคงตั้งอยู่สัมมา มรรค คู่ผมเคยบอกเขาสำเร็จเป็นอริยะเบื้องต้นแล้ว ผมเลยลองแกล้งด่า อีอ้วน ช้าง เขาโกรธผมแถมไม่ลืมเลยทีเดียว
    ผมเลยมองคู่ผมเป็นอาจารย์ และไม่ตามอารมณ์ที่เกิดจากสัญญาอารมณ์ พอผมเย็นคู่ผมก็เริ่มเย็น

    มาเข้าเรื่องต่อ อารมณ์กับเวทนา เหตุใดโลกียะถึงมองเป็นเรา หรือมันแนบแน่นจนเหมือนเนื้อเดียวกัน ผมพยายามแยก จากความรู้สึกยินดี ยินร้ายครับ
     
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    พระพุทธองค์ ตรัสอุปมาเอาไว้ ครับ

    จิต กับ เวทนา เป็น ธรรมสองสิ่ง ที่เหมือน ไม้กระดานสองอัน พิงกันอยู่

    ถ้าเอา อันใดอันหนึ่งออก อีกอันก็ ตั้งขึ้นไม่ได้

    การภาวนาด้วย ตรรกศาตร์ จะเป็น อาการไป พยายามเอา อันใดอันหนึ่งออก
    เวลา จิตมันดำริจะหาทางลัดแบบนั้น ให้กำหนดรู้เท่าทัน สังขาร ลงไปเลย
    จิตมันหลอก( มโนสังขาร ) รู้ทันบ่อยๆ จิตจะไม่เคลื่อนไป คว้า(เชื่อ)ตรรกนั้น
    เอามาเป็นการเห็นธรรม

    การภาวนาที่เป็น สัมมา ไม้กระดาน เขามีหน้าที่ พิงกันอย่างนั้น ไม่ต้องไป
    เอาออก แต่ อุบายบางประการ ในการ อบรมเพื่อให้เห็น โลกุตระแท้ๆ ที่ไม่มี
    การตบแต่ง ไม่เกิดจากเหตุ นอกเหตุ เหนือผล มีอยู่

    อุบายใดที่ใช้เพื่อการอบรมนั้น ก็ให้อบรมอย่างนั้น ให้มากๆ

    เวทนาเที่ยง หรือไม่เที่ยง
    จิตเที่ยงหรือไม่เที่ยง

    หากไม่เห็น ร้อยละร้อย มโนสังขาร จิตมันหลอกเอา !!

    ไม้กระดานเขาพิงกันอย่างนั้น ทำตามหน้าที่ ....อุปทานขันธ์ ต่างหากที่เป็นโทษ
     
  3. แค่พลัง

    แค่พลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    2,792
    ค่าพลัง:
    +1,565
    คุณนิวรณ์ เหมือนจะบรรลุธรรม ในสมัย พระพุทธเจ้าธรรมสามี นะครับ
    แซวเล่นครับ เห็นคุณละเอียดมาก
     
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    กรณี เรื่อง คู่

    หาก ประมาท และ ขาดการสดับ ไม่ฉลาดในธรรม เวลาเจอคนบอก หรือ สำคัญ
    ตนว่าเป็น อริยเบื้องต้น แล้ว มุขง่ายๆ คือ แกล้งด่า ดูการโกรธ

    หากเขาโกรธ แล้วคุณไปโพทนา ว่า คู่ตน เป็นอริยชั้นต้น แต่ยังโกรธ ....แล้ว
    ประมาท ประกาศว่า ไม่ใช่อริยะ

    ลูกพี่ ต้องระวัง การทำวาทะ ตรงที่ไปประกาศ ให้ผู้อื่นทราบว่า ไม่ใช่อริยะ หากมี
    คนเผลอเชื่อ เออ ออ ห่อหมก ลูกพี่ก็ปิดนิพพาน แถมมีนรก รออีกต่างหาก หาก
    คู่ของลูกเพ่เขาเป็น อริยชั้นต้น

    ทั้งนี้ทั้งนั้น คนหมั่นสดับธรรม ฉลาดในธรรม จะรู้ว่า อริยชั้นต้น ยังละ โทษะ ไม่ได้
    การเอา โกรธ ไปแย๊บ เท่ากับ หาเรื่องใส่ตัวอย่างคนเขลาสุดๆ

    ทั้งนี้ทั้งนั้น คนหมั่นสดับธรรม ฉลาดในธรรม ยิ่งขึ้นไป จะรู้ว่า อริยจบกิจ จะอาศัย
    โทษะ เป็นอุบายธรรมได้ โดยอาการ ปาปมุตติ การเอาโกรธไปแย็บ เท่ากับ หา
    เรื่องใส่ตัวอย่างคนเขลาสุดๆ

    เว้นแต่จะ แย๊บ เพื่อหาทางช่วยพิจารณา ไม่ได้เอาไว้ไป โพทนา
    กระทืบ ศาสนาพุทธ ไม่มีอยู่จริง
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    คุณอ่านที่ผมจะเขียนดีๆนะ
    ถ้าคุณเข้าใจกระบวณการรู้และการทำงาน
    ของมันได้ คุณจะเกททันที....

    รู้มี 2 แบบคือ 1.รู้แบบมีตัวกระทำให้รู้
    ไม่ว่าจะเป็นสติ ปัญญา สมาธิ ตบะ ฌาน ญาณ กำลังจิตฯลฯ
    ในสภาวะการรู้พวกนี้มันมีอยู่ แต่มันเป็นการ
    รู้ในลักษณะของ การวิตก วิจารณ์ แม้ว่าการรู้บางอย่าง
    จะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาก็ตาม หรือใช้งานได้ก็ตาม....
    ซึ่งการรู้แบบนี้ สามารถรู้ได้จากความชำนาญร่วมด้วย
    หรือเกิดได้แบบชั่วคราวแบบไม่ฝึกอะไรมาก็ได้ครับ
    พูดให้เห็นภาพนะครับ กิริยาการรู้นะครับ
    นึกภาพตามนะครับ ๑.มีอะไรคล้ายๆฝ่ามืออยู่หลังตัวจิต(ผู้ดู) ๒.มีจิต
    อยู่ภายในฝ่ามือที่ว่านี้แต่เป็นวงกลมอยู่ ๓.
    มีแสงที่ส่องออกจากฝ่ามือนี้ไปกระทบสิ่งที่ถูกรู้ (ผู้รู้)
    มันจะรู้ได้ เฉพาะสิ่งที่เห็น แต่ไม่รู้ว่า สิ่งที่เห็นนั้น
    กำเนิด เกิดจากอะไร ทำไมถึงเห็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้น
    พอเข้าใจนะครับ คือรู้จากแสงที่ส่งจาก ๑ ผ่าน จิต ไปกระทบ
    นั้นหละครับ


    2.รู้แบบอัตโนมัติของมันเอง คือ รู้แบบที่ไม่มีตัวข้างบน
    ตัวใดตัวหนึ่งเข้ามากระทำเลย เริ่มต้นการรู้จากการที่จิต
    คลายตัวเองได้ของมันเองก่อน โดยที่ไม่มีตัวข้างบน
    ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นเข้ามากระทำเลย
    และคลายตัวจากการที่ตัวจิต ไม่มีกิเลสตัวใดมายึดเกาะได้

    กิริยาเป็นอย่างนี้ ยกตัวอย่าง. จาก ๑ ๒ ๓ ข้างบนนะครับ
    จะเหลือ แค่ ๒.คือ จิตแต่จะเป็นจิตที่ไม่เป็นวงกลม ไร้รูปร่าง
    ไร้ทิศทาง และการรู้ก็คือ จะมี ๓.คือลักษณะแสงหรือเส้นสาย
    ที่ส่งออกมาจากตัว จิตหรือ ๒ แทน (ไม่เหมือนข้อ 1 นะครับ
    ที่มันส่งมาจากคล้ายๆฝ่ามือ)
    แสงตัวนี้ ที่ส่งออกมาจากจิต ก็คือการรู้แบบอัตโนมัติ
    ของมันเองของตัวจิตเราเองนั่นหละครับ ยิ่งสามารถ
    ขยายหรือส่งออกจากจิตได้ไกล ได้มากเท่าไร
    ก็จะเกิดความรู้ที่ลึก ที่ละเอียดได้มากขึ้นจาก
    แสงตัวนี้ที่ออกจากจิตนั้นหละครับ
    และการแสงตัวนี้หรือเส้นสายนี้ออกจากจิตไปรู้นั้น
    การรู้ก็จะเหมือนๆกันหมดด้วยครับ

    ขึ้นอยู่กับความละเอียดในการรู้ และมุมในการเห็น
    ซึ่งแปรฝัน ตรงมาจาก ระยะเวลาที่จิต
    สามารถคลายตัวเองได้ โดยไม่มีอะไรมากระทำ
    คลายตัวเองได้จากกิเลสที่ยึดเกาะจิต
    ได้นานมากน้อยแค่ไหนในระหว่างวันนั้นเองครับ


    ตรงนี้หละครับ ที่ฆารวาสอย่างๆเราๆ
    จะสู้ห่มเหลืองท่านไม่ได้ครับ

    ในระดับใช้งานได้ของจิตที่เป็นไปแบบอัตโนมัติ
    หรือรู้อัตโนมัตินั้น จะเริ่มต้นกิริยาอย่างที่เล่าให้ฟัง
    มาก่อนหน้านี้นี่หละครับ.......

    พอเข้าใจหรือยังว่า ทำไมบางคนที่พอมี สติ ปัญญา
    สมาธิ ตบะ ฌาน ฌาน กำลังจิต ท่านถึงสอนให้ทิ้ง
    พวกนี้ให้หมด ก็เพราะว่า พวกนี้มันยังเข้าไปกระทำ
    ให้จิตยังเกิดอยู่(เป็นวงกลม)นั้นเอง มันมีขอบเขต
    แค่ไปรู้สิ่งที่กระทบ แต่ไม่รู้เหตุรู้ผลของการเกิด....

    ตัวจิตเลยยังไม่คลายตัวเอง ไม่เหมือนการมาเดินปัญญา
    ต่อเพื่อให้ละกิเลส แล้วจิตคลายตัวและเกิดการรู้อัตโนมัติ
    ของจิตเราเองขึ้นมา ขึ้นอยู่กับว่า จิตดวงนั้นจะสะสม
    ทางด้านไหนมา เมื่อมันคลายตัวมันก็จะส่งแสงเส้นสาย
    อะไรแบบนี้ขยายไปรู้ทางด้านที่เคยสะสมมานั้นหละครับ

    ปล.ถ้าคุณรู้สึกอย่างที่ถามได้ใน #Rep1 แสดงว่า จิตเริ่ม
    เข้าสู่การรู้อัตโนมัติได้ของมันเองนั่นหละครับ...
    เพียงแต่ต้องใช้เวลา ให้มันทำงาน แล้วสังเกตุมันเพิ่มขึ้น
    อีกหน่อย จะเข้าใจที่ข้าพเจ้าเล่าให้ฟังมาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
    ด้วยตัวเองครับ....

    ท้ายนี้ เพียวปัญญา จะเห็นแค่ ๒(จิตวงกลมเป็นอันเดียว
    กับ๑) กับ ๓(ที่ผ่านจิตมาแล้ว) เลยเน้นไปตามดูกัน
    ก็ทำให้ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้าง ได้ผลคือ ไม่ไปแทรกแซง
    กับ ๓ เลยซึ่ง เป็นไปได้ยากมาก ไม่ค่อยได้ผลกัน


    เพียวสมถะ จะเห็น ๑.(คล้ายฝ่ามือ หรือผู้ดู) และ ๒.(จิต วงกลม
    เป็นอันเดียวกันกับ ๓) เลยเน้นไปที่อยากรู้ อยากเห็น
    อยากวิเศษกัน


    ต้องทั้ง ปัญญาและสมถะ ถึงจะเริ่มเห็น ทั้ง ๑ และ ๒ และ ๓ ก่อน
    พอเห็นแล้ว ก็ต้องมาเดินปัญญา เพื่อลด ละ คลาย กิเลสต่อ
    ถึงจะเริ่มทิ้ง ๓ กลับมาเห็น ๒.........
    แล้วก็ สังเกตุต่อไปอีก เรียกว่ามีปัญญามากขึ้น
    ก็จะเริ่ม มาสังเกตุเห็น ๑ และ ๒ และ ๓ ว่าแท้จริงแล้ว
    มันก็ยังเป็นการปรุงแต่อยู่
    และก็ทิ้ง ทั้ง ๑ และ๒ และ ๓ ถึงจะเข้าสู่
    วิปัสสนาญานได้ ก็จะเริ่มรู้เหตุ การเกิดการดับ ที่ไม่ใช่ตำรา
    หรือมาจากสัญญาได้เอง
    คือ เรื่องนั้นไม่เกิดอีกเลย ไม่ใช่นานๆเกิดที
    หรือยังระลึก นึกขึ้น คิดได้ ปรุงได้อยู่ คือย้ำ ไม่เกิดอีกเลย

    ลำดับการทำงานทางด้านนามธรรม
    มันประมาณที่เล่านั้นหละครับ
    หัดเพิ่มการสังเกตุขึ้นอีกหน่อย
    จะเข้าใจกระบวณการตรงนี้ได้เองครับ
    ว่าเราอยู่ช่วงไหน อะไรยังไง ประมาณนี้ครับ


    ย้ำว่า ในระดับใช้งาน หรือที่ควรจะเป็นคือ ข้อ 2 นะครับ
    ส่วนมากที่เก่งๆตำรามากๆ มีความรู้มาก
    จะติดกันในข้อ ที่ 1 ถึงได้รู้ฝ่ายอย่างเดียว
    แต่ไม่มีความเข้าใจทางด้านนามธรรมต่างๆ
    ไม่เกิดสัมผัส ไม่เกิดการรับรู้ทางด้านนามธรรม
    ต่างๆ หรือตลอดจนฝึกกรรมฐานอะไรไม่ได้
    ก็เพราะส่วนมาก จะติดกระบวณการข้อ 1 กันนั่นหละครับ
    ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดานะครับ มีให้เห็นทั่วไป
    แต่ว่า ถ้าติดข้อ 1 ยังไงก็ไม่พ้นนะครับ
    เพราะจิตมันเกิดอยู่ ใช้งานตัวจิตอยู่
    จากการที่มีตัวมากระทำนั่นหละครับ
    ทำให้สร้างวิบาก ให้เป็นตามจริต อนุสัย แห่งตนเองอยู่
    พอนึกภาพออกเนาะ





     
  6. แค่พลัง

    แค่พลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    2,792
    ค่าพลัง:
    +1,565
    จิตรู้เฉยๆ คราบ ไม่มีตัวข้างบน ข้างล่าง หรือ 3 ตัวตรง
    รู้แต่สมาธิมันครายตัว และจิตเด่นชัด อืมผมตกใจมาก ยังไงก็ขอบคุณครับ
     
  7. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    กลับไปแทง สามตัวตรง จะหน่อยจิฮับ

    ถ้า ลวกเพ่ ยกสิกขาบท กำหนดรู้ซึ่ง จิต ด้วยมุขนัย ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่สัตว์

    สมาทานธรรม ตั้งตรงต่อธรรม คือ วิมมุติ โดย สักกายทิฏฐิไม่กำเริบ แอบถาม ใครวิมุตติ

    ถ้า จิตมันไม่แอบถาม หวงแหน ยกตนเป็น ศาสดา เลิศกว่า มหาบุรุษ

    แนะนำว่า

    สามารถ สมาทานสิกขาว่าด้วย "เพิกจิต" หรือ "เปลื้องจิต" ตามบทของ อานาปานสติ
    ทั้งๆที่ ยังหายใจอยู่ ไม่เอา ฌาณฤาษีมา กระทืบกรรมฐานพุทธ ลมหายใจหายไป กายหาย
    ไปไม่มีเหลือ เหลือแต่จิต หนาสันตี!!

    ลวกเพ่ จะวิจัย ปรมัตถธรรม ได้อีก สองตัว คือ เวทนา กับ สัญญา ....สันตติ จึง
    จะขาด สำหรับบุคคลบางอินทรีย์ ( บุคคลอินทรีย์อ่อน ไม่จำเป็นต้องภาวนาละเอียด
    เอาแค่ หยาบๆก็พอเพียงแก่ การวิมุตติ พลั๊ว!!! )

    ถ้าอินทรียละเอียดมาก แยกได้ เวทนา สัญญา จิต ออกจากกัน ก็ใช่ว่า จะพลั๊ว!! หน่าฮับ

    ยังลูกผีลูกคน ได้ทุกขณะจิต ฮิวววววววววววววววส์

    ปล. ช่วงเวลาดีดนิ้วมือดังเป๊าะ จิตเกิดดับ แสนโกฏิครั้ง ...ดังนั้น ขณะจิตเดียว คำว่า
    ยังลูกผีลูกคน ได้ทุกขณะจิต เป็นเพียงคำพูด พอกระเทิน เอาจริงๆ โหลยโถ้ย แสนโกฏิ!!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กันยายน 2017

แชร์หน้านี้

Loading...