จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    ๕๕๕๕๕๕๕ ซาหวัดลี ท่านพี่ภู(แสงพราว)
     
  2. Aloe SeRene

    Aloe SeRene Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +62
    เป็นคนหนึ่งที่พึ่งเริ่มปฏิบัตินะคะ และยังไม่มีครูบาอาจารย์ที่ชี้แนะ
    บ้างครั้งก็ใช้วิชาจากที่ได้ยินมาหลายสาย ก็เลยใช้เปลืองมากเลยนะคะ

    พอได้อ่านบทความของคุณ ภูทยานฌาน2 เลยได้พิจารณาทางจิตได้บ้างไม่ได้บ้าง
    เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง

    ยังไงก็ขออนุโมทนากับทุกๆบทความด้วยนะคะ ก็จะตามอ่านต่อไป :VO
     
  3. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โมทนาสาธุเลยนะครับ
    เพราะเป็นคำถามที่ดี และเป็นประโยชน์กับบุคคลอื่นมากเลย
    ขอตอบให้ตรงประเด็นไปเลยดีไหม๊?
    นี่แหล่ะ! คนเราที่ชอบดูแต่ภายนอกกันนัก (อันนี้มิได้ตำหนิผู้ถามนะ ผมพูดกลางๆ)
    ที่เธอถามนี้น่ะ ยังมีผู้ปฎิบัติแบบนี้ยังมีอีกมากครับ แต่ผมจะไม่กล่าวว่าร้าย หรือไปตำหนิพวกเขานะ ขอให้เราเห็นใจกันนะ
    นี่แหล่ะน๋า! เขาเรียกว่าบวชแต่กายตัวจริง เสียงจริงเลย คือบวชแค่กาย แต่มิได้บวชใจไงหล่ะเธอเอ๊ย!

    และต่อไปนี้ก็อย่าไปดูคนที่ภายนอกอีกนะ อันนี้เสียหาย เสียหายมากๆ
    ดูคนต้องดูภายใน หรือให้ดูที่จิตใจของคนๆนั้น จำไว้นะ

    หรือผมไม่แนะนำให้พวกเราไปดูคนต่อไปนี้ เช่น นักบวช หรือผู้ปฎิบัติ
    อันได้แก่ นึกในใจขึ้นมาว่าพระรูปนี้เป็นพระจริงหรือเปล่า???
    ผู้ถือศีล ผู้ปฎิบัติธรรม หรือคนที่นุ่งขาวห่มขาว อย่าส่งจิตไปคิดว่าเขาเป็นคนดี หรือเป็นบริสุทธิ์เปล่า
    อย่าไปถามในใจของตนแบบนั้นเลยนะ เพราะจะทำให้เราติดลบกันเปล่าๆ คือหลงไปปรามาสเขาเหล่านั้น เพราะพวกเขาเหล่าก็ยังถือว่ายังเป็นผู้ประพฤติดีอยู่ ยังมีโอกาสเป็นคนดีได้ในอนาคต แต่จะดีหรือไม่นั้น ก็อย่าไปสนใจ ขอให้สนใจว่าตนเองดีหรือยัง??? มากกว่าขอให้ดูกันตรงนี้
    โลกใบนี้ของเรายุ่งเหยิงกันทุกวันนี้ก็เพราะ ส่งจิตข้ามหัวกันไปมานี่แหล่ะ!
    ว่ากันไปว่ากันมา ด่ากันไปด่ากันมา อยู่อย่างแล้วมันจะสงบกันได้อย่างไร
    เพราะถ้าคนไม่มีศีลธรรมอยู่ภายในจิตใจกันแล้ว ยากแท้ที่จะแก้กันได้
    ผมเคยฟังธรรมะของหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี ท่านกล่าวว่า นิสัยสันดานของคนนั้นเปลี่ยนแปลงยาก นอกเสียไปเจริญกรรมฐานกันเท่านั้น
    แต่มิได้หมายความว่า ไปนั่งหลับตา ไปทำกรรมฐาน ไปบวชเนกขัมมะ(ถือศีล8) หรือไปบวชพระ บวชเณร บวชชีกันที่วัด หรือสำนักปฎิบัติธรรมกันแล้ว หรือจะบวชเพียงครั้งเดียว หรือหลายครั้งก็ตามที
    เมื่อลาสิกขา(ใช้เรียกกับพระภิกษุที่ลาสึก) หรือลาสิกขาบท(ใช้เรียกกับผู้ถือศีล8 หรือเรียกว่าลาศีล)
    แล้วจะกลับเป็นดีได้นั้น อันนี้ไม่เสมอไปนัก
    เพราะผู้ไปบวชกาย บวชใจนั้น(พระภิกษุ หรือผู้ถือศีล8) เมื่อลาสิกขา และลาสิกขาบทกันแล้ว สำหรับบางคนเปลี่ยนไปเพราะเขานำธรรมะมาปฎิบัติ แต่สำหรับบางคนไม่ได้เปลี่ยนไปในทางที่ดีได้ก็เพราะว่า เขาคนนั้นมิได้มีศีลธรรมอยู่ภายใน เช่นถ้าเป็นดีจริงๆแล้ว เขาไม่ไปเบียดเบียนตนเอง และผู้อื่น โดยเฉพาะยิ่งเป็นผู้มีพระคุณ หรือบุพการีของตนด้วยแล้ว ต้องไม่สมควรอย่างยิ่ง

    ต่อไปนี้เธออย่าเข้าใจผิดแบบนี้อีกนะ
    ผู้ที่ชอบสวดมนต์ ชอบทำสมาธิ ชอบถือบวช(โดยเฉพาะบวชกาย แต่ไม่ได้บวชใจ) ดูคนอย่าดูภายนอก อย่าไปดูเครื่องที่เขาสวมใส่ เช่น ผู้นี้แต่งตัวดี ดูภูมิฐานดี หน้าตาหล่อเหลาสะสวย แต่งตัวดูสะอาดสะอ้านดี แม้นกระทั่งห่มจีวร หรือนุ่งขาวห่มขาว นั่นแค่เหตุภายนอก แต่ภายในใจของเขาจริงๆ แล้วเราไม่สามารถไปมองเห็นว่า ท่านผู้เป็นคนดีจริงหรือเปล่า

    เธอเข้าใจถูกแล้วที่น้อมนำเอาธรรมเข้ามาสู่ใจแล้วจะทำให้เป็นคนดีได้
    แต่ละคนก็ไม่เหมือนกันนะ อย่าไปเหมารวม บางคนดีแต่กำเนิดยังเป็นคนดีได้เลย โดยมิต้องไปบวช หรือปฎิบัติธรรมให้เาียเวลา
    แต่ต้องปฎิบัติตามพระธรรม หรือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าด้วยนะ ถึงจะถือเป็นคนที่รักและเคารพพระธรรม หรือพระพุทธเจ้ากันจริงๆ จะมาทำเป็นเล่นๆกันไม่ได้นะ

    เพราะผู้ปฎิบัติธรรมกันจริงแล้วจะต้องสำรวมกาย วาจา ใจในเบื้องให้ดีด้วย ไม่ใช่ทำดีแต่ในขณะบวชกาย บวชใจ หรือดีขณะที่นั่งหลับตาทำสมาธิกันเฉยๆนะ แต่ถ้าเลิกทำก็จะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน อันนี้แสดงว่าเข้าไม่ถึง หรือปฎิบัติยังไม่ไหน
    จำกันไว้เลยนะครับว่า
    นักปฎิบัติธรรมทุกๆท่านที่ยังมีศีลที่บกพร่องนั้น ต่อให้ท่านนั่งตาทำสมาธิ หรือขยันไปบวชกันนัก ท่านจะไม่มีทางเจริญ หรือก้าวหน้าในธรรมกันได้เลย อันนี้ไม่เชื่อลองไปถามพระท่านดูก็ได้ ว่าที่ผมพูดนี้จะจริงไหม๊?
    (โดยให้ไปถามพระที่ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ หรือพระภิกษุสงฆ์นะ มิใช่สมมุติสงฆ์นะ)

    เพราะฉะนั้นผู้เจริญ ผู้ปฎิบัติธรรมจะต้องเดินทางให้ตรง คือเดินทางสายกลาง(มรรค์มีองค์8) คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เท่านั้น
    เพราะศีลก็เป็นหัวใจสำคัญข้อนึงของพระพุทธศาสนาของพวกเรา


    พอจะเข้าใจนะ แต่ถ้าไม่หนำใจ ขอหลังไมค์ PM
     
  4. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    เราท่านทั้งหลายเอ๋ย หากจะบอกว่าเรากำลังจะเผชิญกับภัยพิบัติจากธรรมชาตินั้นอย่างเดียวมิได้ ภัยที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์นี่บั่นทอนดวงจิตยิ่งนัก ดูสิ!สงกรานต์เคยเล่นกันหนุกหนานเบิกบานฤทัย แต่ ณ วันนี้ต้องมาระวงระแวงกับเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้น ใครเขาบอกให้ระวังสถานที่ท่องเที่ยว คนที่อยู่แถวนั้นก้อให้เสียวหัวใจกันได้ตลอดเวลา ทุกข์มั้ย? หรือจะถามว่า ทุกข์ดีมั้ย?เติม ดี ไปหน่อยมันเพิ่มกำลังของความทุกข์ ลองใช้วิธีนี้สิ เอาใจที่ท่านกำลังพะวงกังวลนั้นมาทำการเกาะพระดู เอาให้เห็นภาพพระ
    ...แล้วเอาจิตเกาะพระ จะไม่เกิดภัยต่างๆเรอ..บางท่านถาม...จะบอกว่าภัยน่ะมันจะเกิด มันก้อต้องเกิด แต่ใจของเรานั้นมันไม่ไปทุกข์กับสิ่งเหล่านั้นไง มันมีที่เกาะ มันมีที่พึ่ง แถมจะได้รับอานิสงค์การคุ้มภัยจากพระอีกต่างหาก หุหุ(จริงๆแล้ว อานิสงค์เหลือประมาณ เอาง่ายๆแค่นี้ก่อน) สิ่งที่ท่านภูทยานฌาน กำลังสื่อให้ท่านทราบอยู่นี้ เป็นกระบวนการในการที่จะเอาจิตมาเกาะพระ เป็นการปฎิบัติธรรมทางลัด ได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ หากมีความมุ่งมั่นตั้งใจ ธรรมะทุกตัว รวมตัวอยู่ในนั้นทั้งหมด ......
    คำถาม.....พร้อมรึยัง?กับการเตรียมจิตรับภัยพิบัติ ถ้าพร้อม ถามใจตัวเองดู ...เอาจริงม๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
     
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สวัสดีและยินดีต้อนรับครับผม

    การปฎิบัติธรรมนั้นจะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย
    คอยสังเกตดูกันให้ดีๆนะว่า หลักใจความมันอยู่ตรงไหน
    คุณสังเกตดูกันให้ดีๆ ว่าผมกำลังเน้นเรื่องอะไร???
    ตอบให้ก็ได้ ว่า...

    **เน้นแก่นธรรม** เปลือกไม่ต้อง หรือเน้นคำสั่งสอนของพระพุทธองค์น้อมนำมาปฎิบัติกันจริงๆและต้องปฎิบัติด้วยความเคารพกันจริงๆ มาทำกันแบบเล่นๆไม่ได้
    **เน้นจิตเป็นหลัก** เดี๋ยวกายดีเอง
    **เน้น(ธรรม)ปฎิบัติบูชา** ไม่ค่อยเน้นอามิสบูชา(แต่มิได้ปฎิเสธสักทีเดียว คือมีโอกาสก็ทำบ้าง) สรุปแล้วเน้นทำบุญภายในมากกว่าบุญภายนอก หรือเน้นเปลี่ยนจิตใจของตนให้ดีที่สุด ไม่ได้เน้นกายภายนอก เพราะท้ายที่สุดแล้ว กายก็ไม่เที่ยง

    ผมอดนึกถึงคำสอนของหลวงพ่อปรีชา(พระครูบรรพตพัฒนคุณ) วัดเขาอิติสุคโต หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ไม่ได้ ท่านกล่าวไว้ว่า...
    ผู้ปฎิบัติธรรมมีตั้งเยอะแยะ แต่หาแก่นไม่ค่อยจะได้ ส่วนใหญ่เอาแต่เปลือกภายนอกกันเยอะ อะไรประมาณนี้ผมจำไม่ค่อยจะได้แล้ว ต้องขอโทษมาณ.ที่นี้ด้วยนะครับ

    คุณมาที่นี่ กระทู้นี้ คุณมาถูกทางแล้วครับ เพราะผมมิใช่มาตัวคนเดียว ผมมีแนวร่วมเยอะนะ....เห่อๆ แต่ตอนนี้หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้
    มีไรก็ถามาได้เลยนะครับ
    แต่ขอบอกซะก่อนนะว่า ผมไม่ได้จบนักธรรมโท เอก หรือเปรียญ๙ประโยคนะครับ อย่ามาพูดเรื่องปริยัติ(ภาคทฤษฎี ตำรา)กับผมนะ
    ผมเรียนธรรมมะไม่ได้มุ่งเน้นให้จำกัน แต่อยากใหปฎิบัติมากกว่าไปจำทฤษฎีกัน เพราะมันไม่ได้ช่วยให้เราบรรลุธรรม หรือมีดวงตาเห็นกันได้
    ถามว่าใครบรรลุ บรรลุที่ไหน เมื่อไหร่ ผู้ปฎิบัติจะตอบตนเองได้ครับ
    เทสกันง่ายที่สุดก็คือ ภาคปฎิบัติครับ เช่นคุณยังวิ่งไล่กิเลส โดยเฉพาะความโกรธกันหรือไม่??? และสิ่งที่มากระจิตนั้น คุณรู้สึกเช่นไร ยังวิ่งตามกันอยู่(อันนี้ไม่ผ่าน) หรือว่านิ่งเฉย+รู้(อันนี้ใช้ได้)

    ธรรมะเป็นของละเอียด คุณต้องเอาจิตละเอียดเข้าไปเรียนรู้
    พูดให้เข้าใจกันง่ายๆก็คือ คุณทำจิตให้นิ่งก่อน แล้วคุณก็จะรู้เอง
    ที่คนส่วนใหญ่ที่รู้สึกเป็นทุกข์กันเกินครึ่งค่อนประเทศนั้น เป็นเพราะจิตไม่นิ่งกัน พอจิตไม่นิ่ง แถมสติไม่ค่อยจะมีกันอีก ก็เลยทำให้สิ่งที่มากระจิตของตนปั๊บ เราก็รู้สึกว่าเป็นทุกข์ขึ้นมาทันทีทันใดเลย
    เพราะว่าเรามีสติตามจิตไม่ทัน เพราะธรรมชาติของจิตคนเรานั้น ที่ไม่ได้ถูกฝึกฝนมาดีแล้ว จิตส่วนใหญ่จะตกเป็นเหยื่อกิเลสกันได้ง่าย ดูกันง่ายที่สุดก็คือ ความโกรธ คุณจำได้ไหมว่า วันนี้ เดือนนี้ ปีนี้เคยนับความโกรธกันได้ ว่ามันเกิดขึ้นกี่ครั้งแล้ว (ไม่มีใครไปจำกันหรอกจริงไหม๊?) แต่หารู้ไม่ คุณโฏรธทีนึงนะ ผิดก็ผิดศีลละเอียดกันครั้งนึงแล้ว เพราะไปเบียดเบียดจิตตนเองให้ได้รับทุกข์ หรือทำจิตให้เศร้าหมอง มัวหมอง แล้ววันนึงๆ เราโกรธหรือไม่พอใจนี่ กี่ครั้งลองไปนับดู ธรรมะทั้งที่อยู่กับเรานี่ ไปปฎิบัติธรรมกันที่ไหนกันทำไมก็ไม่รู้ คุณก็แบกธรรมของคุณขึ้นล่องๆ ไปปฎิบัติวัดโน้นที วัดนี้ที แล้วหากันเจอไหมธรรมะน่ะ ว่ามันอยู่ตรงไหน
    แค่ทุกข์มันเกิดที่ใจของผู้นั้น ทุกวันนี้ก็ยังตามหากันยังไม่เจอเลย
    (ตอบซะหายยากไปเลย...อิอิ)

    เอ่อ! ผมได้ธรรมะมาจากการปฎิบัติล้วนๆ ธรรมะผุดออกมาจากภายในจิต ในใจของผมเอง ที่เขาเรียกว่า จิตพุทธะ เคยได้ยินหรือเปล่าครับ
    ผมไม่ได้เก่งกาจอะไรมากนัก แต่พอจะเอาตัวรอดได้บ้าง

    ปล.อยากเก่งธรรม ต้องรู้จักปล่อยวางให้มากที่สุด โดยเฉพระอีโก้(ตัวยง) หน้าที่ ตำแหน่งการงาน ยศฐาบรรดาศักดิ์ เจ้าคนนายคน ก่อนเข้าสู่การปฎิบัติกัน ขอร้องเถอะครับ วางมันเสีย มีมันได้ แต่ต้องวางให้เป็น แต่ถ้าวางไม่เป็นก็แบกกันต่อไป เอาไปให้ได้กันทุกภพชาติกันนะ เหนื่อยกันเมื่อไหร่ค่อยวางกันเน๊อะ เอาอย่างนี้กันนี้ไหม๊?
    การปฎิบัติจะได้ผลไว ก็ต้องคอยนึกถึงธรรมชาติให้มากที่สุด เหมือนเราอยู่กับธรรมชาติให้มากที่สุดเท่านั้นเอง แล้วจิตคุณจะเจริญในธรรมอย่างรวดเร็ว
    อย่าฝืนกัน ธรรมชาติจำไว้ให้ดี
    เพราะธรรมะคือธรรมชาิติ ธรรมชาติก็คือธรรมะ นั่นเอง
    ถ้าจับหลักที่ผมพูดได้นะ คุณคือพระโสดาบันเดี๋ยวนี้ โอบเพี๊ยง!!!

    สวัสดี
     
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    อำนาจไฟโทสะ พยาบาท เริ่มเผาผลาญตั้งแต่คิด
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)



    "... คนใดก็ตาม เขาทำให้เราขุ่นเคือง ทำให้เราไม่ชอบใจด้วยกรณีใดๆก็ตาม ถ้าหากเราคิดพิจารณา เข่นฆ่าจองล้างจองผลาญ ถ้าเขาด่าเรา เราคิดว่าโอกาสสักวันหนึ่งข้างหน้าเราจะด่าตอบ เขาลงโทษเรา เราจะลงโทษตอบ เขาตีเรา เราคิดว่าเราจะตีตอบ แต่โอกาสมันยังไม่มี คิดเข้าไว้ในใจว่า เราจะทำอันตรายตอบ

    อย่างนี้พระพุทธเจ้ากล่าวว่า เป็นอาฆาต คือพยาบาท เป็นไฟเผาผลาญดวงจิต เพราะคนที่เรากำลังคิดจะฆ่าก็ดี คิดจะประทุษร้ายก็ดี นี่เขายังไม่ทันรู้ตัว เขามีความสุข เราคนที่คิดจะทำเขานั่นแหละ ตั้งแต่แรกหาความสุขไม่ได้ มันเป็นไฟเผาผลาญคนคิดนี่แหละ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ เพราะอำนาจโทสะเข้าสิงใจ นี่คือผลแห่งอำนาจโทสะหรือพยาบาท มันเริ่มเผาผลาญตั้งแต่คิดทีเดียวเลย ..."
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 เมษายน 2012
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สวัสดีจ้าฯ
    นางเอกขี่ม้าขาวมาช่วยพี่ภาวสอยดู พี่ภูสอยดาวแล้ว...ไชโยๆ
    งั้นผมขออนุญาตเข้าอาศรมก่อนนะ
     
  8. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    :cool::cool::cool:
    ชอบด้วย ชอบด้วย !!!
    รีบกลับมาเร็วๆ นะ แต่ไม่มีข้อมูลก้อคุยกันได้นะ
    เจริญในธรรมจ๊า
     
  9. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745

    เชิญเสด็จเพคะ แห๊ม ก้อยังดีใจนะที่แม้งานจะเร่งรัด ท่านก้อยังอุตส่าห์
    เมตตาเข้ามาเปิดกระทู้ ;ปรบมือ
     
  10. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745

    เป็นกำลังใจค๊าาาาาา ลองจิตเกาะพระดูสิคะ
     
  11. แสงจันทร

    แสงจันทร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2012
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +2,618
    สวัสดีค่ะพี่ภู เพิ่งตามมาได้ฝึกอย่างที่แนะนำ คือทำอะไรอยู่ตามก็จะนึกถึงภาพพระที่จิตพยายามเกาะ รู้สึกว่าดีขึ้น สงบขึ้น ตามอารมณ์ได้ทันมากขึ้น ปล่อยวางได้เยอะขึ้น ขอบคุณมากค่ะ
     
  12. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    ผมเข้าใจในสิ่งที่ท่านต้องการจะสื่อ และต้องการจะทำในวงกว้าง

    ท่านทำได้ดีแล้ว เหมาะสมแล้ว ผมขออนุโมทนาด้วยครับ..สาธุๆๆ
     
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ธรรมะขยันผุดขึ้นมากันจริงๆ เยอะจริงๆ จับมาให้อ่านกันไม่วอดไม่ไหว จับทันบ้าง ไม่ทันบ้างไม่ว่ากันนะ
    ผมอยากให้ท่านอื่นแสดงวิสัยทัศน์ กล้องจุลจิตกันบ้าง เดี๋ยวหาว่าผมเปิดประเด็นคนเดียว...

    มาแล้วธรรมะแห่งความคิดถึง ธรรมะมีอยู่ทุกลมหายใจ

    สิ่งที่กระทบจิต หรือจิตไปรับรู้เรื่องราวมามากมายกันอยู่ในขณะนี้
    ขอให้ท่านนึกถึง ผีเสื้อที่กำลังบินมาดูดน้ำหวานจากดอกไม้นั้น
    ขอให้เรามองเห็น 3ขั้นตอนดังนี้คือ
    *ก่อนผีเสื้อบินมาถึง
    *ผีเสื้อบินมาถึงแล้ว และกำลังดูน้ำหวานจากดอกไม้
    *ผีเสื้อบินออกจากดอไม้ไปแล้ว

    (จบ)

    ธรรมะคือ ธรรมชาติ
    ธรรมชาติก็คือ ธรรมะ


    ใครพอมองเห็นธรรมะอะไรกันบ้างเอ๋ย???
    ผบชน. เอ๊ย! คุณดชน.อยู่แถวนี้ไหม๊? ช่วยตอบที หรือใครก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจ
    เพราะกระทู้นี้เป็นของสาธารณรัฐประชาชนไทย...อิอิ

    ปล.อย่าคิดกันมากนะ
    นี่เรากำลังฝึกจิตวิปัสสนา จะได้คิดเป็น คิดถูก คิดธรรมะ คือคิดตามความเป็นจริงในปัจจุบัน สังคมชาวธรรมะจิตต้องอยู่ปัจจุบัน โดยเฉพาะจิตจะต้องอยู่กรรมดี หรือที่เป็นฝ่ายบุญ กุศลเท่านั้น แต่ถ้าไม่ใช่ตามนี้ คุณก็กำลังเดินหลงทางอีกแล้ว เมื่อรู้ตัวกันก็ให้รีบกับมากันไวๆ เดี๋ยวจะหลงไปเดินอยู่นรกอเวจี จะหาว่าพี่ภูไม่เตือนกันนะ
    และดีกว่าปล่อยจิตล่องลอยไปโดยไม่มีจุดหมายปลายทาง ผู้ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ ต้องขยันดูจิตของตน(ของตนเท่านั้นนะ ขอย้ำ) และจะต้องติดตามผลอย่างใกล้ชิด และต้องมีเป้าที่ชัดเจน มิใช่ปฎิบัติธรรมเพื่อเศรษฐกิจ เพื่ออกหักรักคุด เพื่อกระแสคือทำตามเขาไปอย่างนั้นๆ ใครคิดแบบนั้นเลิกเถอะนะ ปฎิบัติธรรมเพื่อไปหาแฟน ไปหาเพื่อน อันนั้นไม่มีประโยชน์ ยกเว้นได้เพื่อนมาเป็นกัลยาณมิตรธรรมกัน เอ่ออันนี้ดี อันนี้เข้าท่า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • butterfly6.jpg
      butterfly6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      43.8 KB
      เปิดดู:
      122
  14. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
    เอิง เอย เจ้าผีเสื้อเอ๋ย
     
  15. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    :cool:
    ถูกใจ ถูกใจ
     
  16. moopanda_kae

    moopanda_kae เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2009
    โพสต์:
    546
    ค่าพลัง:
    +1,107
    โมทนาสาธุๆ ค่ะ ขอบคุณพี่ภูมากๆ เลยนะคะ ^/\^

    หลังจากได้สนทนากับพระท่านนึงในงานสัมมนาเมื่อวาน รู้สึกว่าพลังเมตตาแผ่ออกมาจากตัวท่านจนเรารู้สึกได้ จากที่เราจิตหดหู่มากๆ ตอนนี้จิตกลับเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติได้อย่างประหลาด งงจริงๆ
    ในระหว่างเดินทางกลับบ้านนั่งคิดมาเรื่อยๆ ทำให้คิดได้ว่าเราต้องรีบฉวยโอกาสนี้ปฏิบัติเพื่อให้ก้าวหน้าต่อไปและรับปากว่าจะไม่เอาสิ่งเร้าภายนอกมาบั่นทอนอีกแล้วค่ะ
     
  17. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    มรณานุสติเอาไว้ ไม่เสียหลาย ฝึกจิตฝึกใจไว้ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดาของทุกชีวิต ไม่ว่า คน สัตว์ พืช


    ตอนนี้ ยังหายใจอยู่ ก็เร่งทำดี หนีชั่วไว้ อย่าประมาทแม้แต่นาทีเดียว

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Spammer [​IMG]
    CGจำลองดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนโลก

    (หากดวงจันทร์ของ PX มาชนโลก คงประมาณนี้)

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=pfipHdVNI3M&feature=fvwp&NR=1"]CGจำลองดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนโลก - YouTube[/ame]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    พูดกันตามจริง ถ้ามันมีอะไรทำนองนี้ ชาวโลกได้ตายหมู่ครั้งมโหฬารยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ในหน้าประวัติศาสตร์มนุษยชาติแน่ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้



    [​IMG]

    แบบจำลองตามคลิปข้างบน ไอ้ที่พูดว่า นาซ่าเอาอยู่ เพราะจะยิงแสงอะไรไปสลาย ก่อนมันเข้าสู่วงโคจรน่ะ ทำได้จริงรึเปล่า ถ้าขนาดมันใหญ่อย่างที่จำลองมานี่

    ยังไงคนเรา ถึงกายสังขารแตกสลาย แต่จิตวิญญาณเป็นอมตะ ก็จะเข้าสู่มิติต่างๆ ตามแรงบุญแรงบาป ที่ตัวเคยทำไว้นั่นแหละ

    ดูแล้ว ถ้ามีใครบังเอิญรอดจากเหตุการณ์นี้ ชีวิตข้างหน้าก็ใช่ว่าจะสบาย ต้องบอกว่า สาหัสสุดๆ อาจจะเรียกได้ว่า นรกบนดินเลยก็ได้

    เพราะสภาพแวดล้อมเอย อากาศเอย อาหารการกินเอย โรคภัยไข้เจ็บ มันจะวิกฤติไปหมด อยู่ยากล่ะ<!-- google_ad_section_end -->
     
  18. ANAN JANG

    ANAN JANG เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    544
    ค่าพลัง:
    +175
    อยู่ไม่ได้หรอกแบบนั้น ร้อนเกิน ++
     
  19. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    ขอบคุณกับความรู้ ทั้งภาพและเสียง อะไรจะเกิดมันก้อคงจะเกิดสินะ
    เจริญในธรรมเจ้าค่ะ
     
  20. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    ความตายมันก็เหมือนผลัดเสื้อผลัดผ้า เสื้อผ้าชุดใหม่ของแต่ละคนจะสวย รึจะโทรม มันก็อยู่ที่ต้นทุนบุญกุศล ที่เจ้าตัวทำเอาไว้ ตอนยังเป็นๆ อยู่นี่แหละ

    ท่านพันเอกสมาน วีระไวทยะ (ยศขณะนั้น)ตายแล้วฟื้น
    บรรยายโดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    [​IMG]"......จะขอนำเรื่องของท่าน พันเอกสมาน วีระไวทยะ ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านผู้นี้ ท่านพลอากาศเอก พะเนียง กานตรัตน์ อดีตผู้บัญชาการทหารอากาศ รู้จักดี ถ้าสงสัยว่าท่านพันเอกสมานอยู่ที่ไหน จดหมายหรือโทรเลขไปถามท่านดูก็ได้ คิดว่าท่านคงสงเคราะห์บอกให้

    .........ท่านผู้นี้เคยตายมาแล้วและกลับฟื้นคืนชีพ ท่านเล่าเหตุการณ์ของแดนที่ไปแดนที่หนึ่ง คือ
    "นรก" นำมาเล่าสู่กันฟัง ลองฟังเรื่องของท่าน เอาไว้เป็นเครื่องประดับอารมณ์เพื่อความเชื่อ หรือเพื่อรำคาญก็ตามใจ เรื่องของท่านมีดังต่อไปนี้



    <CENTER>ตายเพราะไข้มาเลเรีย</CENTER>
    ........เมื่อสงครามโลกครั้งที่สอง สงครามระบาดเข้ามาถึงประเทศไทย ท่านพันเอกสมาน สมัยนั้นมียศเป็น"ร้อยโท" ท่านถูกส่งตัวไปประจำสมรภูมิ เมืองพะยาก เมืองนี้ตั้งอยู่ระหว่างเส้นทางแม่สายกับเชียงตุง (ปัจจุบัน "เมืองพะยาก" อยู่ในพม่า)

    .........ระหว่างที่พักอยู่ในค่ายทหารที่ เมืองพะยาก นั้น ท่านกับเพื่อนนายทหารอีกสองคน คือ ร้อยโทสมฤกษ์ พลศิริ และ ร้อยโทวิทย์ วิศสมิตนันท์ ได้ล้มป่วยลงด้วยโรคมาเลเรียขึ้นสมองอย่างแรง ต่อมา ร้อยโทสมฤกษ์ อาการค่อนข้างดีขึ้น แต่ ร้อยโทวิทย์ ได้ถึงแก่กรรม ส่วนท่านเองมีอาการไข้หนักมาก



    <DD>พอถึงวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๔๘๕ เวลาประมาณ ๑๘.๐๐ น. ท่านพันเอกสมานก็สิ้นลมหายใจ ว่ากันตรง ๆ ก็ตายนั่นเอง ท่านตายเพราะพิษไข้ ไม่ได้ตายเพราะสงคราม น่าเสียดายที่กำลังสำคัญชั้นนายทหารสัญญาบัตร อันเป็นกำลังของกองทัยต้องมาสิ้นชีวิตลง ทำให้กำลังของกองทัพต้องเสียกำลังไป แม้แต่จะเป็นส่วนน้อยเพียงนายร้อยโทคนเดียว

    <DD>ท่านอาจคิดว่าไม่สำคัญ ก็ขอให้คิดว่าทหารให้กองทัพนั้นไม่ว่าทหารคนใดจำนวนมากน้อยเพียงใดก็ตาม ย่อมมีความสำคัญยิ่งแก่ประเทศชาติ ยิ่งเป็นนายทหารสัญญาบัตรที่มีอำนาจคุมทหารถึงหนึ่งหมวด เมื่อเสียนายทหารไปหนึ่งคนก็เท่ากับเสียกำลังทหารไปหนึ่งหมวด แต่ทว่าเรื่องสำคัญที่ตัวบุคคล แม้จะสำคัญเพียงใดก็ไม่ใช่จุดประสงค์ที่จะพูดในขณะนี้ ในที่นี้ต้องการเรื่องที่ท่านตายแล้วไปนรกมา ฟังเรื่องของท่านต่อไป


    [​IMG]"......เมื่อข่าว นายร้อยโทสมาน ( ยศสมัยนั้น ) สิ้นลมปราณรู้ถึงนายแพทย์สนาม คือ ร.อ. ประภาคาร กาญจนาคม ( ต่อมามียศเป็นพลตรี ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ใหญ่กรมแพทย์ทหารบก ) ท่านได้มาตรวจดูเห็นว่า ร.ท. สมาน ตายแน่ จึงได้มีคำสั่งให้ทหารนำไปเก็บไว้ที่ห้องเก็บศพ

    ........ห้องเก็บศพนี้มีไว้สำหรับเก็บศพทหารที่ตายแล้ว และคนป่วยที่เห็นว่าไม่มีทางรอด คือ แก้ไขไม่ได้ จะต้องตายแน่นอนก็เอาไว้ที่ห้องนี้ เพื่อรอเวลาสิ้นลมในที่สุด เป็นระเบียบของแพทย์ในสนามหรืออย่างไรไม่ทราบ

    .........ท่านเล่าเรื่องของท่านว่า เมื่อท่านป่วยหนักใกล้จะตายนั้น ทุกขเวทนามันรุมเล่นงานท่านขนาดหนัก ร่างกายทุกส่วนมันเจ็บปวดหมดทั้งร่าง ไม่มีส่วนใดที่จะแสดงออกถึงความสุข คือ ไม่ปวดร้าวไม่มีเลย แม้แต่เส้นผม เมื่อมีใครมาถูกก็รู้สึกปวดจนทนไม่ไหว แต่ทว่าเมื่อสิ้นลมหายใจแล้ว ท่านกล่าวว่า กลับไม่มีอาการเจ็บ

    <DD>ท่านกล่าวว่า ตอนนั้นปรากฏร่างของท่านเกิดมีสองร่าง ร่างหนึ่งนอนเฉยเหมือนคนตาย ตอนนี้ท่านยกข้อเปรียบเทียบ ความจริงก็เช่นนั้น ร่างเดิมที่นอนป่วยอยู่นั้น เมื่อสิ้นลมปราณ คือ ลมหายใจ เรื่องของความรู้สึกใด ๆ ที่มีอยู่เมื่อสมัยมีลมหายใจมันก็หมดเรื่องกัน

    <DD>ตอนนี้คนเราจะรักจะมีความมั่นหมายปรารถนาในกันและกัน ก็แค่ขณะมีลมหายใจเท่านั้น เมื่อสิ้นลมหายใจแล้ว เพียงชั่วไม่ถึงชั่วโมง คนที่เคยรัก เคยหวงและห่วงใยสมัยที่มีลมหายใจไม่อยากห่าง แต่ตอนสิ้นลมปราณแล้วก็เกิดความรังเกียจ เกลียดกลัวคนที่เคยรักและหวงแหน

    <DD>เมื่อท่านเห็นร่างเดิมนอนสงบนิ่ง ไม่ไหวติงแม้แต่น้อย ในขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกว่า ท่านมีร่างใหม่เกิดขึ้นแทน ร่างนี้ไม่นอนแต่ลอยอยู่เฉย ๆ เห็นพวกทหารด้วยกันมาในที่ที่ท่านนอนตาย ท่านพยายามทักทายปราศรัย พูดจากับเพื่อนทหาร ไม่มีใครยอมพูดด้วย ท่านรู้สึกรำคาญเห็นว่า เมื่อเพื่อนร่วมตายทั้งหลายไม่มีใครยอมพูดจาปราศรัยด้วย ท่านก็เกิดมีความรู้สึกเบื่อ อยากจะกลับบ้านที่กรุงเทพฯ เพื่อมาเยี่ยมเยียนบุตรภรรยา

    <DD>เมื่อความคิดว่าจะกลับบ้านกรุงเทพฯเกิดขึ้น ท่านก็เกิดมีความรู้สึกว่าร่างกายเบาผิดปกติ เคลื่อนไหวได้รวดเร็ว เมื่อตั้งใจออกจากสถานที่นั้นก็ลอยลิ่วอย่างรวดเร็ว ไม่เชื่องช้าเหมือนร่างเดิม มุ่งสู่กรุงเทพฯ

    <HR>
    <CENTER>พบพระยายมราช</CENTER>
    [​IMG]แต่ทว่ายังไม่ทันจะพ้นที่เดิมเท่าใดนัก ก็ปรากฏมีชายชราคนหนึ่งยืนขวางหน้าท่านไว้ เมื่อท่านลอยมาถึงชายชราคนนั้นบอกให้หยุด และกล่าวว่า "อย่าเพิ่งไปกรุงเทพฯ เลย ขอให้ตามฉันมา ฉันจะพาเธอไปหาท่านพ่อ"

    ........ชายชราคนนั้นแต่งกายคล้ายขุนนางโบราณ ท่านได้รับฟังแล้วก็สงสัยในคำกล่าวที่ว่า "จะพาไปหาท่านพ่อ"แต่ก็ปรากฏว่าลอยตามท่านผู้นั้นไปอย่างคนว่าง่าย ชายชราขุนนางโบราณคนนั้น ได้พาท่านมาถึงเมือง ๆ หนึ่ง เมืองนี้ใหญ่โตกว้างขวางมาก มีกำแพงสีขาว แต่ทว่าประตูกำแพงสีดำ

    ........เมื่อท่านขุนนางชราพามาถึงประตูสีดำ ท่านได้เคาะระฆังที่แขวนไว้หน้าประตู สักประเดี๋ยวเดียวบานประตูก็เปิดออก ภายในเห็นมีทหารยืนเรียงรายอยู่หลายคน ต่างก็มีรูปร่างกำยำล่ำสัน ยืนรักษาการที่ภายในประตู

    <DD>
    <DD>เมื่อผ่านประตูสีดำไปแล้ว ท่านขุนนางโบราณคนนั้นก็พาเดินไปถึงประตูอีกชั้นหนึ่ง ประตูนี้มีสีเป็นสีทอง กำแพงก็มีสีเป็นสีทองดูสวยงามมาก เพราะจะมองไปทานไหนเห็นเป็นทองระยิบระยับไปหมด

    <DD>เมื่อถึงประตู ท่านก็เคาะระฆังเรียกเหมือนประตูแรก แล้วบานประตูก็เปิดออก ท่านพาเข้าไปในห้องโถงใหญ่ มีความสวยสดงดงามมาก มีลักษณะคล้ายท้องพระโรง ภายในท้องพระโรงนั้น มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานอยู่หลายคน แต่ละคนก้มหน้าก้มตาทำงานกันอย่างขมักเขม้นเงียบกริบ ไม่มีเสียงพูดคุยกันเหมือนห้องทำงานในเมืองมนุษย์

    <DD>ในเมืองมนุษย์นี้ นักการทำงานทั้งทำทั้งคุย มีจำนวนมากที่คุยมากกว่าทำ แต่ก็มีไม่น้อยที่ท่านขยันขันแข็งต่อการงานอย่างจริงจัง ไม่ชอบพูดพล่ามทำเพลง เวลางานเป็นงาน แต่ท่านที่ทำงานดีอย่างนี้มีสภาพเหมือนคนปิดทองหลับงพระ เพราะมัวห่วงงานไม่มีเวลาประจบสอพลอ ดีไม่ดีผู้บังคับบัญชาลืมขอบำเหน็จให้เสียก็ยังได้

    <DD>ฉะนั้น นักทำงานดีในเมืองมนุษย์ต้องทำงานดีด้วยและทำให้ถูกใจผู้บังคับบัญชาด้วย จึงจะมีผลตอบแทนที่สาสมกับความขยัน หมั่นเพียร ฉะนั้น คนทำงานในเมืองมนุษย์จึงต้องฝึกทั้งการทำงาน และซักซ้อมคารมพร้อม ๆ กันไป จึงเห็นว่า เจ้าหน้าที่ทั้งหลายนอกจากทำงานเก่งแล้ว ยังคุยเก่งอีกด้วย บางรายคุยเก่งกว่าทำตั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ยังพอหาได้

    <DD>ที่นั่นเป็น "เมืองผี" ผีเขารู้งานโดยไม่ต้องรายงาน ใครขยัน ขี้เกียจ ผู้บังคับบัญชาทราบเอง เพราะมีอารมณ์เป็นทิพย์ เจ้าหน้าที่จึงไม่ต้องซ้อมวาทะไว้เพื่อรายงาน ของเขาก็ดีไปอย่างหนนึ่ง แต่เงียบเหงามาก เพราะเมื่อนั่งอยู่ที่นั่นตลอดเวลา ไม่ปรากฏว่ามีเสียงคนพูดเลย ต่างก็ก้มหน้าก้มตาทำงานกันอย่างไม่ยอมมองมาดูเลย

    <DD>ทุกคนมีหน้าตาแปลกประหลาดไม่ใคร่เหมือนคนสมัยปัจจุบันนัก เครื่องแต่งกายก็คล้ายกับคนสมัยโบราณทั้งหมด มีทั้งทหารและพลเรือน เมื่อนั่งเรียบร้อยแล้ว ท่านผู้นำได้บอกให้ทราบว่า
    <DD>"คอยสักประเดี๋ยว ท่านพ่อจะเสด็จออก"

    <DD>แล้วก็ชี้ให้ดูประตูที่ท่านพ่อจะเสด็จออก เป็นประตูสีทอง มีม่านสีทองผืนใหญ่รูดปิดไว้ บนบริเวณที่ที่ท่านพ่อจะออกมาประทับมีสภาพกว้างขวาง สวยสดงดงามมากคล้ายเวทีละคร สักครู่หนึ่ง ก็มีเสียงมโหรีดังขึ้น มีเสียงตะโกนออกมาว่า "พระยายมเสด็จแล้ว" เสียงนั้นบอกกันต่อ ๆ ออกมา

    <DD>ท่านกล่าวว่า เมื่อได้ยินเสียงบอกว่า "พระยายม" เท่านั้น ท่านว่าความรู้สึกขณะนั้นบอกไม่ถูก มีความหวาดกลัวที่สุด ด้วยคำว่า พระยายมได้ยินจนชิน ตามความรู้สึกแล้วคิดว่า พระยายมคงมีหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว ดุดันเหี้ยมโหด ด้วยได้รับคำขู่ไว้เมื่อสมัยมีชีวิตว่า พระยายมถ้าเอาใครเข้าไปสู่สำนัก คนนั้นก็ไม่พ้นการลงโทษอย่างสาหัส คือ เอาลงนรก

    <DD>เขาเล่าใหัฟังกันมาอย่างนั้น จนความรู้สึกของตนจดจำคำว่าพระยายมไว้จนชิน และมีความหวาดสะดุ้งอยู่เป็นปกติ แล้วเมื่อมาได้ยินคำว่า พระยายมออกมาแล้ว และอยู่ในสำนักพระยายมด้วย ความหวาดหวั่นยิ่งมีมากเป็นทวีคูณ

    <DD>เมื่อม่านสีทองถูกเปิดออก พระยายมเสด็จออกประทับที่แท่นอันสวยงดงามเป็นพิเศษ หาความสวยใด ๆ ที่ประดับด้วยทองและเพชรนิลจินดาในเมืองมนุษย์ที่จะงามคล้ายคลึงแท่นที่พระยายมประทับไม่มีเลย เมื่อเห็นองค์พระยายมจริงเข้า ความเข้าใจที่ว่าพระยายมคงจะมีรูปสูงใหญ่ หน้าตาดุร้าย ตวาดคนลั่นเมือง ตามที่คิดไว้ผิดถนัด

    <DD>รูปร่างของพระยายมที่เห็น ก็มีรูปลักษณะเป็นคนธรรมดาเรานี่เอง อาการที่แสดงออกไม่มีริ้วรอยของความโหดร้ายเลย มีอารมณ์เยือกเย็น เต็มไปด้วยความเมตตาปรานีเครื่องแต่งกายสวยงามมาก มีความสวยสง่ากว่าทุกคนในที่นั้น เมื่อพระยายมเสด็จประทับบนบัลลังก์เรียบร้อยแล้ว ท่านขุนนางโบราณผู้เฒ่าที่พาท่านไป ก็กราบทูลให้ทรงทราบว่า

    <DD>"ขณะนี้ได้พาคนที่ท่านประสงค์จะพบ มาแล้วตามพระบัญชา"

    <DD>เมื่อท่านขุนนางชรากราบทูลแล้ว ท่านพระยายมก็หันมาทางท่านพันเอกสมาน ขณะที่ท่านพูดก็พูดด้วยอาการของคนมีเมตตา คือ อารมณ์แจ่มใส หน้าตาเบิกบาน ไม่เหมือนพระยายมในโทรทัศน์ ที่นักออกแบบให้คนที่สมมติว่าเป็นพระยายม แอบเอาเขาสวมเข้าด้วย <DD><DD>มองแล้วไม่น่าว่าจะเป็นเขาอะไร จะเป็นเขาวัวก็ไม่ใช่ เขาควายก็ไม่เชิง จะว่าเหมือนเขาสัตว์ประเภทไหนก็ไม่ชัด ที่แน่เห็นจะเป็นเขาของคนออกแบบนั่นแหละ อาจจะตรงตามความจริง

    <DD>ส่วนพระยายมที่ท่านพันเอกสมานเห็นนั้น ไม่มีเขา และ สวยงามด้วย เป็นอันว่า พระยายมตามคติของปวงชนที่เข้าใจกันมาในอดีต ไม่ตรงกับความเป็นจริง เมื่อพระยายมหันมาทางท่านพันเอกสมาน ท่านได้พูดว่า

    <DD>"ที่ให้พระยามัจจุราช หมายถึง ท่านขุนนางโบราณคนที่ไปดักหน้าแล้วนำมาที่นี่ ความจริงเธอยังไม่หมดอายุขัย คือ ยังไม่ถึงกำหนดตายนั่นเอง ที่ให้เขาพามาก็เพื่อให้เห็นความเป็นไปต่าง ๆ ตามความเป็นจริงของยมโลก เมื่อกลับไปเมืองมนุษย์จะได้ปฏิบัติแต่ความดี ไม่ทำความชั่วอีก เมื่อได้ดูสิ่งต่าง ๆ แล้ว จะได้ให้พระยามัจจุราชนำไปส่ง" แล้วท่านก็ให้โอวาทอย่างยืดยาว

    <CENTER>พระยายมราชให้โอวาท</CENTER>
    [​IMG]"......โอวาทที่ให้นั้นมีความสำคัญอยู่อย่างเดียว คือ ให้พยายามประพฤติแต่ความดี พยายามทำบุญทำทานไว้ อย่าประพฤติตนเป็นคนชั่วใจบาปหยาบช้า
    <DD>
    <DD>เพราะเมื่อทำตนเป็นคนใจบาป เมื่อตายแล้วผลของความชั่วจะนำไปสู่นรก มีโทษทัณฑ์หนักมาก มีทุกขเวทนาอย่างสาหัส ไม่มีโอกาสที่จะพักผ่อนหรือหลีกเลี่ยงได้ จนกว่าจะสิ้นกำหนดตามกฎการลงโทษ ตามกรรมชั่วที่ทำ

    ........แต่ถ้าทำตนเป็นคนดี ทำบุญให้ทานไว้เสมอ ๆ บุญและความดีจะส่งผลให้พ้นนรก ได้ไปเกิดบนสวรรค์ อันเป็นดินแดนที่แสนสุข มีความสำเร็จตามใจประสงค์ทุกประการโดยไม่ต้องใช้กำลังกายทำงาน


    <DD>ท่านให้โอวาทอยู่นานพอเวลาสมควร ท่านก็บอกให้พระยามัจจุราชนำไปชมสถานที่ลงทัณฑ์ต่าง ๆ ให้พาไปดูให้ทั่ว จะได้รู้ได้เห็นด้วยตาตนเอง แต่ท่านพันเอกสมานไม่มีความประสงค์จะดูอะไรเลย ท่านมีความประสงค์ใคร่จะกลับ ท่านพระยายมท่านก็ไม่ขัดใจ เมื่อไม่อยากดูท่านก็ไม่ว่า ท่านก็มีบัญชาให้พระยามัจจุราชนำไปส่งที่เดิม

    <DD>น่าเสียดายตอนนี้ ถ้าท่านพันเอกสมานท่านไปชมนรกมา แล้วนำมาเล่าให้คนเบื้องหลังฟัง จะมีประโยชน์แก่คนที่อยู่ในเมืองมนุษย์นี้มาก เพราะอย่างน้อยท่านก็เป็นนายทหารใหญ่ที่มีความรู้เรื่องราวของชาวโลกดี <DD><DD>มีสังคมกว้างขวางพอสมควร เป็นที่เชื่อถือของท่านบรรดาบัณฑิตได้พอควร ซึ่งมีสภาพตรงกันข้ามกับนักปราชญ์ที่เรียนรู้มาจากศาลาวัด ท่านจัดเป็นนักปราชญ์ประเภทที่คร่ำครึ ถึงแม้จะรู้จริงก็ตาม แต่หาคนเชื่อได้ยาก

    <DD>บางรายนักเรียนศาลาวัดเองนั่นแหละ สอนคนอื่นสอนได้แต่ตัวเองไม่เชื่อ อย่างนี้ก็มีไม่มีน้อย เพราะท่านนักปราชญ์ประเภทนี้รู้จักกันมาก เคยเป็นนักเทศน์มาด้วยกัน เคยปรารภให้ฟัง เมื่อฟังท่านพูดแล้วก็สลดใจ

    <DD>ท่านเล่าต่อไปว่า เมื่อขณะที่พระยามัจจุราชนำมานั้น ท่านนำมาทางเดิม เมื่อเดินไปถึงที่สุดทาง ท่านพระยามัจจุราชบอกว่า "ฉันมาส่งเพียงเท่านี้นะ ต่อไปเธอเดินไปเองก็แล้วกัน"

    <DD>พอท่านพูดเท่านั้น ท่านว่าท่านเองมีอาการหวิวคล้ายกับพลัดตกจากที่สูง แล้วหมดความรู้สึกไปชั่วขณะ เมื่อรู้สึกตัว ปรากฎว่ามานอนอยู่ที่ห้องเก็บศพ ยังเคราะห์ดีที่มีทหารเฝ้าอยู่สองคน พอรู้สึกตัวก็กระหายน้ำมาก อาการอย่างนี้เล่าเหมือนกันทุกคนที่ตายแล้วกลับฟื้น ต้องมีการกระหายน้ำเป็นพิเศษ

    <HR>
    <CENTER>นสพ. บางกอกไทม์ สัมภาษณ์</CENTER>
    <DD>เมื่อท่านเล่ามาถึงตอนนี้ เจ้าหน้าที่ของหนังสือพิมพ์ "บางกอกไทม์" ได้ถามท่านว่า
    <DD>"ท่านตายไปกี่ชั่วโมง?"

    <DD>ท่านบอกว่า "เมื่อหมดความรู้สึก คือ ตอนตายที่เกิดมีร่างเป็นร่างที่สองนั้น เวลาประมาณ ๑๘.๐๐ น. เวลาที่ท่านรู้สึกตัวเป็นเวลาประมาณ ๐๖.๐๐ น. ของวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๔๘๕ รวมเวลาที่ท่านตายไปประมาณ ๑๒ ชั่วโมง"

    <DD>ผู้ถามได้ถามต่อไปว่า "เมื่อท่านอยู่ท้องพระโรงของพระยายม ท่านพบคนที่รู้จักกันบ้างไหม?"

    <DD>ท่านตอบว่า "พบหลายคน แต่ทุกคนที่พบ เป็นคนที่ตายไปแล้วทั้งนั้น ในจำนวนคนทั้งหมด มี ร้อยโทวิทย์ วิศสมิตนันท์ เพื่อนนายทหารในค่ายเดียวกันที่ตายไปก่อนรวมอยู่ด้วย"


    <HR>
    <DD>
    [​IMG]".......ขอยุติเรื่องของท่านพันเอกสมานไว้เพียงเท่านี้ ที่นำเรื่องของท่านพันเอกสมานมาเล่าก่อนเรื่องคนอื่นใด ก็เพราะว่าท่านยังมีชีวิตอยู่อย่างหนึ่ง เพื่อว่าใครสงสัยจะได้สอบถามได้

    .........อีกอย่างหนึ่ง ก็เห็นว่าท่านเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ มีความรู้พอที่ชาวโลกจะเชื่อถือได้ แม้เรื่องของท่านจะเป็นเพียงมุมหนึ่งซึ่งเป็นมุมเล็ก ๆ ของมรณะโลก คือ โลกของคนตายแล้วก็ตามที

    <DD>
    <DD>ก็อาจะเป็นเหตุยืนยันได้ว่า คนที่ตายไปแล้วไม่สูญ และยังต้องเสวยผลของกรรม คือ การกระทำหรือที่เรียกกันว่า ความประพฤติในชาติที่เป็นมนุษย์นี้

    "ใครทำดี ผลกรรมก็สนองให้มีความสุข ใครทำชั่ว ก็รับผลเป็นความทุกข์"

    .........และจะได้ทราบว่า คนที่ตายแล้วยังจำญาติและพวกพ้องได้ ที่กลับมาเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องพวกพ้องก็มีมากราย แต่ใครเล่าจะเป็นคนเห็นผีอย่างท่านพันเอกสมาน ท่านเล่าว่า เมื่อวิญญาณออกจากร่างที่มีเนื้อเลือดเป็นสมุฏฐาน ก็ปรากฏมีร่างอีกร่างหนึ่งขึ้นมาแทน

    <DD>
    <DD>มันเป็นร่างที่มีอวัยวะทุกอย่างครบครันเช่นเดียวกับร่างนี้ แต่มีความเบามากกว่าหลายแสนเท่า มันไม่มีความรู้สึกหนักหน่วงเลย มีความคล่องตัวเป็นพิเศษ คิดว่าจะไปไหน ร่างนั้นจะลอยไปและถึงทันที

    <DD>ร่างนี้ตามปกติมันอยู่ที่ไหน ถ้าท่านสงสัยอย่างนี้ก็ขอถามท่านว่า เมื่อท่านนอนหลับแล้วฝัน ท่านเอาร่างนี้ออกเที่ยวตามความฝันหรือเปล่า? ถ้าเปล่า..ท่านเอาร่าง..ร่างกายที่ไหนไป?

    <DD>ตามเรื่องราวที่ท่านฝัน ถ้าท่านคิดไม่ออก ก็ขอบอกว่า ที่เขาพูดกันว่า คน ถ้าวิญญาณไม่สิ้นเพียงใด ความรู้สึกใด ๆ ก็ยังปรากฎ ถ้าวิญญาณดับเมื่อไร เมื่อนั้นความรู้สึกต่าง ๆ ก็สิ้นไป

    <DD>วิญญาณท่านเข้าใจว่ามีรูปร่างเป็นอย่างไร ถ้าไม่เข้าใจก็ขอให้คิดเอาไว้ก่อนว่า ร่างของเราที่ปรากฎตามความฝันนั้น นั่นแหละคือ วิญญาณ เมื่อวิญญาณออกจากร่างเดิม อย่างท่านพันเอกสมาน ท่านพูดกับใครไม่มีใครรับรู้ ก็เช่นเดียวกับท่านทั้งหลายที่ตายไปแล้ว ถ้าจะมาเยี่ยมญาติ เยี่ยมลูก เยี่ยมเมีย ใครเล่าที่เคยตัดพ้อว่า

    <DD>ถ้าตายแล้วไม่สูญ ทำไมไม่มีใครมาบอกบ้างว่า อยู่ที่ไหนมีความสุข ความทุกข์อย่างไร ท่านที่กล่าวนั้น เมื่อผีมาจริงท่านจะเห็นผีไหม เมื่อผีพูดด้วยท่านจะได้ยินเสียงไหม ข้อนี้ควรคิด

    <DD>ที่เอามาเล่าสู่กันฟัง แทนที่จะนำเอาพระสูตรมาเล่าให้ฟัง ก็เพื่อเปลื้องความสงสัยในเรื่องของพระสูตร ที่มีท่านผู้รู้หลายท่านค้านว่า พระสูตรเป็นเรื่องนิทานปรัมปราเหลวไหลไม่ได้เรื่อง เมื่อเรื่องนี้มีการสอบสวนทวนพยานได้ หากท่านสงสัยจะได้คลายความสงสัยด้วยการสอบถาม ยังมีอีกหลายเรื่องที่จะนำมาเล่าให้ฟัง เจ้าของเรื่องบางท่านก็ยังมีชีวิตอยู่ บางท่านก็ตายไปแล้ว

    <DD>ต่อไปในโอกาสหน้า ถ้าหมดเรื่องที่เจ้าของเรื่องมีชีวิต ก็จะนำเรื่องของท่านที่เคยตายแม้สิ้นชีวิตแล้วก็ตาม เอามาเล่าสู่กันฟัง สำหรับวันนี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแด่ทุกท่าน..สวัสดี.."

    รูปภาพ - จากหนังสืออนุสรณ์ เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ ของท่าน เมื่อ วันที่ ๒๙ เม.ย. ๒๕๒๘

    <HR>
    [​IMG]
    </DD>
     

แชร์หน้านี้

Loading...