จิต คือ ตน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 16 ธันวาคม 2016.

  1. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    [​IMG]

    ทำไมจิตคือตน ถ้าจิตไม่ใช่ตน (อนัตตา) จะมีจิตที่เป็นธาตุรู้ไปเพื่ออะไร? แม้ในพระสูตรต่างๆ ที่ได้กล่าวถึงเรื่องรูป-นาม (ขันธ์ ๕) จะกล่าวถึงเฉพาะ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่านั่นไม่ใช่เรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา เป็นอนัตตาธรรม ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตน

    เมื่อมีที่ "ไม่ใช่" ที่ "ใช่" ก็ต้องมี เพราะเป็นของคู่กัน (ทวินิยม) ดังนี้

    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้ฟังแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้
    ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป
    ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเวทนา
    ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัญญา
    ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสังขารทั้งหลาย
    ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณ

    เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมสิ้นกำหนัด
    เพราะสิ้นกำหนัด จิตก็พ้น
    เมื่อจิตพ้นแล้ว ก็รู้ว่าพ้นแล้ว
    อริยสาวกนั้นทราบชัดว่า
    ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว
    กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว
    กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี".
    (อนัตตลักขณสูตร)

    สภาพธรรมเดิมของ "จิต" คือ ธาตุรู้ ผู้รู้

    ในพระอภิธรรมปิฎก (ตำรา) ได้นิยาม "จิต" ไว้ว่า มีหน้าที่ รู้ จำ นึก คิด ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่จิตได้เข้ามาอาศัยอยู่ในโลกแล้ว

    สภาพเดิมของ "จิต" ในพระสูตรนั้นกล่าวไว้ว่า จิตเป็นเพียง "ธาตุรู้" เมื่อถูกอวิชชาครอบงำจิต จิตก็รู้ผิดไปจากความเป็นจริง นั่นคือ เมื่อรับรู้เรื่องอะไร มักมีอุปาทาน-ยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์เหล่านั้นไปเสียหมด จิตแบบนี้มักวุ่นวาย สับสน ซัดส่าย หวั่นไหวไปมา พึ่งพาอาศัยไม่ได้ ไม่ใช่ตน เพราะถูกอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ เข้ามาปรุงแต่ง ครอบงำอยู่

    อะไรล่ะที่เรียกว่า "ตนหรือที่พึ่ง" พอพูดถึงตน คนทั่วไปมักจินตนาการไปเองเรียบร้อยว่า ต้องเป็นอะไรที่มีตัวตน จับต้องได้ มีรูปร่างให้มองเห็นเท่านั้น ทั้งๆ ที่คำว่า "ตน" มีความหมายหลายนัยยะ

    เช่น นัยยะที่แปลว่า "ที่พึ่ง ที่อาศัย" อย่างคนโบราณมักสอนลูกหลานว่า "เมื่อไหร่เอ็งถึงจะเป็นตัวเป็นตนสักที" ทั้งๆ ที่ผู้ถูกกล่าวถึงก็นั่งหัวโด่อยู่ตรงหน้า แต่กลับถูกถามว่าเมื่อไหร่จะเป็นตัวเป็นตน เป็นเรื่องแปลกมั้ย? ไม่เลย เพราะเราเข้าใจได้ว่า สิ่งที่ผู้หลักผู้ใหญ่กล่าวถึงนั้น คือ ความรับผิดชอบต่อชิวิตตนเองและผู้อื่น นั่นหมายถึง ขณะเวลานั้นจิตใจของผู้ถูกกล่าวถึง ยังหลงไหลไปอยู่กับอารมณ์ความรู้นึกคิดปรุงแต่งรอบข้าง ไม่สนใจที่จะรับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น จึงพึ่งพาอาศัยไม่ได้ ต่อเมื่อกลับจิตกลับใจ ใช้ "สติ" พิจารณาว่าอะไรควรหรือไม่ควรได้แล้ว นั่นแหละ จึงได้ชื่อว่า "เป็นตัวเป็นตน"

    อะไรล่ะที่ได้ชื่อว่า "เป็นตัวเป็นตน" ถ้าไม่ใช่ "จิต" เพราะจิตเป็นนาย คอยสั่งการในเรื่องราวต่างๆ ให้ร่างกายที่จิตเข้ามาอยู่อาศัยนั้น ทำตามความประสงค์ของตน ดังมีพระสูตรกล่าวไว้ดังนี้

    "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ อย่างนี้แล

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเที่ยวไปในโคจรซึ่งเป็นวิสัยอันสืบมาจากบิดาของตน

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอทั้งหลายเที่ยวไปในโคจร ซึ่งเป็นวิสัยอันสืบมาจากบิดาของตน มารจักไม่ได้โอกาส มารจักไม่ได้อารมณ์

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุญนี้เจริญขึ้นอย่างนี้ เพราะเหตุถือมั่นธรรมทั้งหลายอันเป็นกุศล ฯ"


    ยังมี "พระพุทธภาษิต" ที่ได้ทรงตรัสไว้ "จิตที่อบรมดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้" แสดงให้เห็นว่า จิตของตนสามารถฝึกฝนอบรมให้รู้ถูก ที่เรียกว่า รู้เห็นอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง จิตไม่เคยดับตายหายสูญ ส่วนที่ต้องตายหายสูญไปนั้นเป็นรูปร่างกายที่จิตอาศัยในแต่ละภพชาติ มีพระบาลีตรัสไว้ดังนี้

    "จตุนฺนํ อริยสจฺจานํ ยถาภูตํ อทสฺสนา สงฺสริตํ ทีฆมทฺธานํ ตาสุตาเสว ชาติสุ
    ความเวียนว่ายของเรา เข้าไปในชาติน้อยใหญ่ทั้งหลายอันยาวนานนับไม่ถ้วนนั้น เพราะไม่เห็นอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง ดังนี้"


    บุคคลที่ได้ชื่อว่า บัณฑิต ตามพระบาลีธรรมบท ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ ย่อมต้องฝึกฝนตนคือ จิต

    "ปริโยท เปยฺย อตฺตานํ จิตฺตกิเลเสหิ ปณฺฑิโต
    บัณฑิตพึงชำระตนคือจิต ให้บริสุทธิ์ปราศจากกิเลส"


    เมื่อได้ยินคำว่า "บัณฑิต" ผู้คนทั่วไปมักเข้าใจว่าต้องเป็นบุคคลที่มีการศึกษาสูง เพราะเคยเห็นป้ายผ่านตามาบ่อยๆว่า "ยินดีต้อนรับบัณฑิตใหม่" จึงเข้าใจว่า ต้องจบปริญญาตรี โท เอก หรือ มีปริญญาหลายใบต่อกันไปยาวเป็นหางว่าว ทั้งที่บุคคลเหล่านั้นยังถูกอาบย้อมไปด้วย อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ยังหวั่นไหวไปตามอารมณ์กิเลสความรู้สึกนึกคิดต่างๆ

    มีตัวอย่างเมื่อนานมาแล้ว บุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นด็อกเตอร์ มีปริญญาหลายใบ บรรลุแก่โทสะ คว้าไม้กอล์ฟกระหน่ำตีภรรยาด้วยขาดสติ จนถึงแก่ชีวิต เมื่อถูกนักข่าวถามว่า มีเจตนาทำให้เสียชีวิตหรือไม่? ได้คำตอบว่าไม่เลย เพียงแต่ตีแรงไปหน่อยไม่นึกว่าจะเสียชีวิต

    สรุปสุดท้ายว่า จิต คือ ตนนั้น เป็นจิตที่เราพึ่งพาอาศัยได้ ไม่ออกนอกลู่นอกทาง จิตแบบนั้นเป็นจิตที่ทรงคุณค่าควรกราบไหว้ ส่วนจิตที่ไม่ใช่ตน (อนัตตา) นั้น ย่อมเป็นจิตที่หลงไหลได้ปลื้มไปตามอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดในขณะนั้น มักแสดงอาการของจิตออกมาในรูปของ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

    มีพระพุทธพจน์รับรองไว้อย่างชัดเจนว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดเป็นอนัตตา พวกเธอพึงละสิ่งนั้นเสีย" แล้วอย่าคะเน (วินิจฉัย) ไปเองว่า แม้พระนิพพานก็เป็นอนัตตา เพราะย่อมขัดแย้งกับพระบรมศาสดา ที่ทรงกล่าวไว้ว่า "ภิกษุมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง" ดังนี้

    เจริญในธรรมทุกๆ ท่าน
    ธรรมภูต
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • bg1.jpg
      bg1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      149.9 KB
      เปิดดู:
      5,222
  2. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ความเห็นส่วนตัวนะครับ

    พระสูตรที่พระศาสดาตรัส ให้บุคคลฟัง
    ในแต่ละครั้ง มันครบถ้วนในการเข้าใจของคนฟังในแต่ละครั้ง..

    ถ้าเปรียบเทียบข้ามพระสูตรมันจะมีปัญหาขึ้นมา..

    ในสุตตันปิกฏ จะบอก พระศาสดาตรัสที่ไหน? ตรัสกับใคร? อะไรเป็นเหตุ?...
     
  3. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ธรรมะที่ธรรมภูตนำมาเสนอเนี่ย เขาเรียกว่าธรรมะเสียดสี
    ธรรมะที่ไม่เสียดสีผู้อื่นแล้วทำตัวให้ดีขึ้น ยังทางเลือกอีกเยอะแยะไป
    ธรรมะเสียดสีไม่มีในพระไตรปิฎกเลย มันไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า
    อย่าไปหลงตนว่าดีกว่าคนอื่นเลย.....คนอื่นเขาไปกันไกลมากแล้ว
     
  4. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    ลุงธรรมภูตแกเน้นปรับความเข้าใจกับสายดูจิต(แบบมั่วๆ)กับพวกที่บอกว่าจิตเกิด-ดับครับ
    ถ้าลุงหมานไม่ใช่แนวนั้นจะสนใจทำไมล่ะครับ
    เห็นกันมานานน่าจะเข้าใจในเจตนานะครับ
    รึผมเข้าใจผิดไป รบกวนผู้รู้บอกด้วยครับ
    จะเป็นพระคุณอย่างสูง
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    '' จิตเป็นธาตุรู้เราปล่อยให้เค้ารับรู้ แต่ไม่ให้เค้าเกิดครับ ''
    ปัญหาต่างๆที่เกิดก็เพราะว่าจิตมันเกิดหรือมันมีการปรุงแล้ว
    คือไปรู้ในขณะที่จิตยังเกิดอยู่ครับ.มันจึงเกิดขึ้นในลักษณะ
    ของความเห็น การวิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ ตามแต่สิ่งที่เข้า
    มาปรุงร่วมกับจิตเรา ณ เวลานั้นๆครับ
    หรือแม้กระทั่งมี สติ สมาธิ ปัญญา ตบะ ฌาน ญาณ
    กำลังจิตอะไรก็ตามเข้ามาร่วม
    ส่วนมากเราไม่ทันสภาวะตรงนี้นั่นหละครับ...
    การรู้นั้น ปกติจิตจะไม่เกิดเลยแม้แต่นิดเดียวครับ

    มันทำให้เราคิดว่าเรารู้ ทั้งๆที่จิตมันเกิดและยังปรุงแต่งอยู่ครับ
    ไม่ว่าจะปรุงร่วมกับความคิดหรือขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมครับ
    และแม้จะรู้ว่ามันเป็นธาตูรู้ก็ตาม
    จิตถึงเวลาที่มันรู้ของมันจริงๆ การรู้มันจะรู้เหมือนๆกัน
    ต่างกันที่ความละเอียดและมุมในการรู้ครับ
    แม้จะถ่ายทอดออกมาจะต่างๆกัน
    แต่ในสภาวะของการไปรู้จะเหมือนกันครับ
    ซึ่งการรู้ตรงนี้จะเป็นไปแบบธรรมชาติของมัน
    โดยไม่มีอะไรเข้าไปปรุงร่วมเลย
    ตามแต่เนื้อหาเดิมแท้ของจิตดวงนั้นๆที่ได้สะสมมาครับ
    ขึ้นอยู่กับว่าจิตดวงนั้นจะเด่นไปทางด้านไหนครับ...
     
  6. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228

    .....ผมก็สนใจนักปฏิบัติอยู่ มีกลุ่มอะไรบ้าง

    .....เช่นกลู่ม ดูจิต ที่เขาว่า จิต เป็นอัตตา จิตเดิมแท้ เป็นนิพพาน อะไรประมาณนี้ใช่หรือเปล่า

    .....อย่างเช่น คุณ นิวรณ์ คุณธรรมภูติ คุณnopphakan ลุงหมาน คุณวรณิ คุณมารเดินดิน เป็นต้น จัดท่านเหล่านี้ เป็นกลุ่มๆ ได้ใหมครับ

    ....ถ้าว่ากัน คนโพส กับคนอ่าน คงสับสนน่าดู คนนั้นว่าอย่างนั้น คนนี้ว่าอย่างนี้ จะเอาอันใหนถูก
     
  7. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    คนที่ ยึดมั่น ในอัตตา หรือ อนัตตา .....ใฃ้สำหรับ อธิบาย สิ่งหนึ่ง นั้นคือ "ทิฐฐิ" .....................อันว่าด้วย สัมมาทิฐฐิ และ มิจฉาทิฐฐิ ยก ตัวอย่าง สัมมาทิฐฐิ บางประการ....พระวจนะ" ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คำกล่าวกันว่า สัมาทิฐฐิ ดังนี้ สัมมาทิฐฐิ ย่อมมีเหตุด้วยเพียงเท่าไร พระเจ้าข้า........... กัจจานะ สัตว์โลกนี้ อาศัยแล้วซึ่งส่วนสุดทั้งสอง โดยมาก คือ ส่วนสุดว่า สิ่งทั้งปวงมี (อตถิตา) และส่วนสุดว่าสิ่งทั้งปวงไม่มี(นตถิตา) กัจจานะ เมื่อ บุคคลเห็นด้วยปัญญา อันฃอบตามความเป็นจริง ซึ่งธรรม เป็นแดนเกิดขึ้นของโลก (โลกสมุทัยอยู่) ทิฐฐิที่ว่า สิ่งทั้งปวงไม่มีในโลกย่อมไม่มี กัจจานะ เมื่อ บุคคล เห็นด้วยปัญญาอันฃอบตามความเป็นจริงซึ่งความดับไม่เหลือในโลก (โลกนิโรธ) อญู่ ทิฐฐิที่ว่า สิ่งทั้งปวงมีในโลก ย่อมไม่มี กัจจานะ สัตวืโลกนี้โดยมาก มี อุปายะ อุปาทานะ และ อภินิเวส เป็นเครื่องผูกพัน ............ส่วนสัมมาทิฐฐิย่อมไม่เข้าไปหา ย่อมไม่ยึดมั่น ซึ่ง อุปายะ และ อุปาทาน ทั้งสองนั้น ในฐานะเป็นที่ตั้งทับตามนอนแห่งอภินิเวส ของ จิตว่า อัตตาของเรา ดังนี้ ทุกข์นั้นแหละ เมื่อเ้กิดย่อมเกิด ทุกข์นั้นแหละ เมื่อ ดับย่อมดับ เป็น สัจจะที่ผู้มี สัมาทิฐฐิ ไม่สงสัยไม่ลังเล ญานดังนี้นั้น ย่อมมีแก่เขา ในกรณีนี้ โดยไม่มีผู้อื่นเป้นปัจจัย เพื่อ ความเชื่อ กัจจานะ สัมมาทิฐฐิ ย่อมมีเหตุด้วยเพียงเท่านี้แล...นิทาน.สํ. 16/20-21/42-43:cool:...............................พระสูตรนี้ ฃัดเจนนะครับ.....ผู้ มีสัมมาทิฐฐิ มี ความเฃื่อ และ มี ญาน ความรู้ ความเข้าใจ ลักษณะใด:cool: ถ้าไป อธิบาย อะไร ว่า เที่ยง เป็น อัตตา เป็น จิต อันนี้ เรียก ว่า เกิน สัมมาทิฐฐิ ....................เอา แค่มี สัมมาทิฐฐิ พอแล้ว......ความเข้าใจใน อิทัปัจยตา นั้นแหละ สิิ่งนี้มี สิ่้งนี้ จึงมี เพราะ ความเกิดขึ้นของสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น สิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ เพราะความดับไปของสิ่งนี้ สิ่งนี้ จึงดับลง.... ก็ คือ ความเข้าใจ แห่ง ปฎอจสมุปบาท นั้น แหละ ครับ:cool: สัมมาทิฐฐิ เป็น รุ่ง อรุณของ ทางดำเนินไป สู่ความพ้น ทุกข์ ครับ คุณ อาว์.......................ปฎิจสมุปบาท ที่ว่าด้วย อวิฃฃา ปัจยสังขารา สังขาราปัจย วิญญานัง.....พระท่านว่า ผู้มี อวิฃฃา คือ ผู้ไม่รู้ อริยสัจ คือ ไมรู้ ว่า อันใหนคือ ทุกข์ กิจของทุกข์เราควรทำอย่างไร ทุกข์สมุทัย กิจในทุกข์สมุทัย ควรทำอย่างไร นิโรธคืออะไร กิจในนิโรธคืออย่างไร มรรค คืออะไร กิจใน มรรคคืออะไร.....ลองดู นะครับ พระท่าน บัญญัติไว้ ครบถ้วนแล้ว...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ธันวาคม 2016
  8. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    โดยมากจะหนักไปทางปริยัติครับ
    บางท่านก็ปริยัติมาบางส่วน ปฏิบัติบางส่วน
    บางท่านก็ปฏิบัติเยอะ ปริยัติบางส่วน
    บางท่านก็ปฏิบัติล้วนครับ
    ส่วนท่านมารเดินดินนี่ส่วนใหญ่จะเอามาจากสายวัดบ้านตาด เน้นสายหลวงปู่มั่น
    ท่านอื่นๆก็ตามข้างบนครับ
    เจาะจงลงไปจะผิดใจกันเปล่าๆ
    ประมาณนี้แหละครับ
     
  9. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    อ้อ คิดถึงท่านขันธ์แฮะ
    หายไปเลยรายนี้
     
  10. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,160
    ค่าพลัง:
    +1,231
    สายปริยัติ
    สายปฏิบัติ
    สายก่อสร้าง
    สายพุทธพาณิช
     
  11. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ชอบแล้วครับ
    วิปัสสนาธุระ คันถะธุระ
    เรียกแบบไทยๆก็ อรัญวาสี คามวาสี
    ครับ
     
  12. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    แล้วคุุณ Prasit5000 ละ อยู่กลุ่มไหน
    ในห้องนี้มีหลากหลาย..เหมือนห้างสินค้า..มีให้เลือกหลายอย่างครับ..
    ห้องนี้สนุกกว่าห้องอื่น มีสเน่ห์มาก..

    มีเกือบทุกสาย..ครับ..
     
  13. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    ....อันนี้ผมอยู่ในกลุ่ม จิต ไม่ใช่ตน ครับ

    ....ที่ท่านยกว่า "มีพระพุทธพจน์รับรองไว้อย่างชัดเจนว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดเป็นอนัตตา พวกเธอพึงละสิ่งนั้นเสีย" นั้น ผมหาไม่เจอในพระสูตรนะครับ
    ....ในพระสูตรกล่าวอย่างนี้ " พาหิรอนัตตสูตร
    [๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นท่าน
    ทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา
    นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
    เป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นท่านทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตาม
    ความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา ... ฯ

    ....ไม่เห็นพระองค์กล่าวว่า ให้ละสิ่งที่เป็นอนัตตา ทั้งหมด พระองค์ให้พิจารณาด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง ต่างจากความว่าละสิ่งนั้น นะผมว่า

    .....จิตเป็นเพียง ธาตุที่เกิดดับ และปรุงแต่งขึ้น ด้วยเหตุด้วยปัจจัย เมื่อ สิ้นเหตุสิ้นปัจจัย จิตก็ดับไม่มีจิตเกิดอีกต่อไป ดัง พระสูตร
    ....." [๒] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิจจสมุปบาท
    เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขาร
    เป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะนามรูป
    เป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ เพราะผัสสะ
    เป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็น
    ปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย
    จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและ
    อุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ นี้เราเรียกว่า
    ปฏิจจสมุปบาท ฯ

    .....เพราะมี สังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ จิตก็คือมโณวิญญาณ ถ้าไม่มี สังขารเป็นปัจจัย จิตก็ไม่เกิดอีกต่อไป

    ....เมื่อได้บรรลุธรรมแล้ว สภาพจิตก็จะแล่นไปสู่นิพพาน คือจิตที่ดับกิเลสไม่เหลือ แต่ก็ยังเป็นจิตอยู่นั้นเอง
    ....จะยกพระสูตรนี้ว่า
    " [๗๐๐] บุคคลย่อมละกิเลสที่เป็นอดีตหาได้ไม่ ละกิเลสที่เป็นอนาคต
    หาได้ไม่ ละกิเลสที่เป็นปัจจุบันหาได้ไม่ หรือ ถ้าอย่างนั้น มรรคภาวนาก็ไม่มี
    การทำให้แจ้งซึ่งผลก็ไม่มี การละกิเลสก็ไม่มี ธรรมาภิสมัยก็ไม่มี ฯ
    หามิได้ มรรคภาวนามีอยู่ การทำให้แจ้งซึ่งผลมีอยู่ การละกิเลสมีอยู่
    ธรรมาภิสมัยมีอยู่ เหมือนอะไร เหมือนต้นไม้กำลังรุ่น ยังไม่เกิดผล บุรุษพึงตัด
    ต้นไม้นั้นที่ราก ผลที่ยังไม่เกิดแห่งต้นไม้นั้นก็ไม่เกิดเลย ที่ยังไม่บังเกิดก็ไม่
    บังเกิดเลย ที่ไม่เกิดขึ้น แล้วก็ไม่เกิดขึ้นเลย ที่ยังไม่ปรากฏก็ไม่ปรากฏเลย
    ฉันใด ความเกิดขึ้น เป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งความบังเกิดแห่งกิเลสทั้งหลาย
    จิตเห็นโทษในความเกิดขึ้นแล้ว จึงแล่นไปในนิพพานอันไม่มีความเกิดขึ้น เพราะ
    ความที่จิตเป็นธรรมชาติแล่นไปในนิพพานอันไม่มีความเกิดขึ้น กิเลสเหล่าใด
    พึงบังเกิด เพราะความเกิดขึ้นเป็นปัจจัย กิเลสเหล่านั้นที่ยังไม่เกิดก็ไม่เกิดเลย
    ที่ยังไม่บังเกิดก็ไม่บังเกิดเลย ที่ไม่เกิดขึ้นแล้วก็ไม่เกิดขึ้นเลย ที่ยังไม่ปรากฏก็ไม่
    ปรากฏเลย ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะเหตุดับ ทุกข์ก็ดับ ด้วยประการฉะนี้

    ......จิตที่เข้าสู่นิพพาน กับนิพพานธาตุ มิใช่สิ่งเดียวกัน เป็นธาตุคนละตัว
    .....จิตที่เข้าสู่นิพพาน คือจิตที่ปราศจาคกิเลส คือคำว่านิพพาน แปรว่่า ดับเย็น
    .....นิพพานธาตุ คือธาตุที่ดับเย็น

    .....จิต เจตสิค รูป นิพพาน คือ สิ่งที่อยู่ในร่างกายมนุษย์ และสัตว์ในภพภูมิต่างๆ
    .....จิต คือตัวผู้รู้ โดยมี เจตสิค เป็นตัวประกอบให้มีหลายรูปแบบ จิต เป็นตัวผู้รู้ ที่มีอารมณ์ได้

    .....นิพพานธาตุ ก็คือตัว ผู้รู้อีกตัว เป็นอสังขตะธรรม คือธรรมที่ปรุงแต่งไม่ได้ เที่ยง รู้ได้แบบไม่เกิดอารมณ์

    ....จิต ผูกติดกับ นิพพานธาตุด้วยกิเลสสังโยชน์ การตัดกิเลสสังโยชน์ก็คือ ตัดด้วยการตรัสรู้

    ....อย่างคำที่ว่า""ภิกษุมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง" พระองค์มิได้บอกว่าจิตคือตน อาจเป็นตัวผู้รู้อีกตัวก็ได้

    ....จิต หรือ นิพพานธาตุ เล่าคือตน แต่ก็มีคำที่กล่าวว่า ทุกสิ่งล้วนเป็นอนัตตา

    ....จิต เป็นสิ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อันนี้ชัดเจน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2016
  14. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ครับคุณprasit5000
    เล่นยกมาทุกพระสูตรเลยนะครับ..
     
  15. เวโรจนะ

    เวโรจนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    103
    ค่าพลัง:
    +129
    ถ้าบอกว่าจิตคือตนจะขัดกับหลักคำสอนของพระบรม
    ศาสดาครับ
     
  16. Silverwind

    Silverwind สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2016
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +20
    ความยั่งยืนไม่มีในโลก
    โลกคือความเปลี่ยนแปลง

    โลกใบเดียวกันของคนแต่ละคน
    ในทุกขณะเปลี่ยนแปลงไม่เท่ากัน

    ไม่มีโลกของใครที่เหมือนกัน
    โลกอาจมีส่วนคล้ายแต่ต่างกัน

    นั้นเพราะโลกที่คนแต่ละคนได้สัมผัส
    เกิดจากผัสสะอันเกิดแต่จิตคนละดวง

    จิตเปี่ยมเมตตาย่อมต่างจากจิตพยาบาท
    โลกคือมายาอันเกิดแต่การปรุงแต่งของจิต

    เมื่อความจริงได้ถูกเปิดกว้างออก
    ปัญญาย่อมเกิดแต่บุคคลผู้รู้ในมายา

    ความไม่เป็นแก่นสารย่อมมีแก่เขา
    ขณะจิตนั้นเอง.. จิตประกอบด้วยปัญญา
     
  17. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,814
    ค่าพลัง:
    +15,099
    กระทู้นี้ขอแสดงความเห็นนิดครับ เรื่อง"คำว่า มีอยู่ กับคำว่า ไม่มีอยู่" ที่เข้าใจน่าจะเป็นความหมายเดียวกันนะ เพราะธรรมะต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน

    "มีอยู่" ก็ต่อเมื่อยังต้องอาสัยสมมุติแสดงความเข้าถึงให้ปรากฎแจ้งชัด
    "ไม่มีอยู่"เพราะเมื่อเข้าถึงแล้วไม่มีสภาวะของสมมุติปรากฎ

    ถ้าใครเคยฟังแหล่ประวัติหลวงปู่มั่นคงพอพิจารณาได้นะครับ ตอนที่พระพุทธองค์เสด็จมาโปรดพร้อมพุทธสาวกฯ

    เรื่องการตีความหมายนี้ถ้าจริตในการปฎิบัติเรายึดแบบบุคลาธิษฐาน ก็จะเห็นว่าจิตเราลงในธรรมข้าง " มีอยู่" แต่ถ้าจริตในการปฏิบัติเรายึดแบบธรรมาธิษฐาน ก็จะเห็นว่าจิตเราลงในธรรมข้าง "ไม่มีอยู่"

    เมื่อเอาทั้งสองมารวมกันในมุมต่างก็อาจเห็นไม่ตรงกัน(ถ้ายังปฎิบัติไม่ถึงธรรมแท้) แต่ถ้ามารวมในรสเดียวกันคือวิมุติรส ก็ย่อมเป็นเหตุให้เข้าถึง เอกันตะบรมสุขได้เช่นเดียวกันนะครับ ^_^
     
  18. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
    พุทธวจน..จิตจะตั้งอยู่โดดๆตัวเดียว ไม่ได้ จิตเกิด ย่อมก้าวลงสู่นามรูปทันที (จิต-มโน-วิญญาณ-ตัวเดียวกันหมด)
    จิตจะต้องวนเวียนอยู่ใน4 ขันธ์นี้เท่านั้น..รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ .. จะไปเกาะที่อื่นนอกจากขันธ์ทั้ง4 นี้นั้นไม่ใช่ฐานะจะเป็นไปได้..
    :):rolleyes: ถ้าจิตคือตนเอง แล้ว..สัตตานัง สัตตา สัตตโน ล่ะครับคือ อะไร?.ไปอยู่ที่ไหน ท่านธรรมภูติ ท่านสบายดีนะครับ
     
  19. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    เอ้อว เอ้อว เอ้อว !!!
     
  20. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    หาผู้รู้เจอ จะเข้าใจจิต
    ละผู้รู้ได้ จะเจอนิพพาน ครับ
    ลำดับเป็นเช่นนี้ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...