จิต คือ ตน

ผู้รู้นี่แหละคือจิตครับ..จิตมีสภาพต้องรู้แจ้งในสิ่งที่เกาะ หากละผู้รู้ คุณจะเอาอะไรไปรู้ว่าสภาวะไหนคือ นิพพานครับ..(อย่าใช้แต่สำนวน)
นิพพานไม่มีที่มาที่ไป ไม่มีกว้างยาว ไม่มีรูปขันธ์ใดๆเป็น อสังขตธาตุ "เกิดไม่ปรากฏ"..เปรียบเสมือนไฟที่สิ้นเชื้อ เมื่อเชื้อไฟหมด ไฟดับ..แล้วไฟไปไหนครับ ไฟไปทางทิศไหนครับ..สภาวะนิพพานเป็นอย่างไฟที่หายไปนี่แหละครับ..คุณต้องใช้จิตเป็น-ให้จิตรู้สภาวะนิพพานก่อนไหมคัรับ

 

ว้า มาว่าผมเล่นสำนวน
แสดงว่า ไม่เข้าใจจิตตานุปัสนาสติปัฏฐาน
จิตในจิต อะ รึจะบอกว่าจิตซ้อนจิต จิตมีหลายดวงสินะ

 

แถมๆ
หลวงปู่หล้าท่านเคยบอกไว้ว่ายังไงครับ
ถ้าเคยปฏิบัติ รู้จักสายวัดป่าจริงๆจะรู้จักวลีนี้ครับ
หลวงตามหาบัวกล่าวรองรับไว้ด้วยว่าถูกต้อง
เว้นแต่แอบอ้างครูบาอาจารย์ โกหก โป้ปดมดเท็จ
เฮ้อ เอาเถอะ ตัวใครตัวเราละกัน

 

คุณผ่าน คุณดันทุรังมากจริงๆ ไม่มีเนื้อหาทิ้งอัตตามั่งนะครับ เรามาคุยเอาความรู้ไม่ใช่เอาชนะคะคาน หรือ มาอ้างครู อาจารย์ องค์โน้นองค์นี้รับรอง..
คุณไปกันใหญ่แล้วครับ ทิ้งความจริงเอาความเชื่อในตัวบุคคล มากลบ ความจริงที่ปรากฏได้ยังไงครับ..ตื่นได้แล้วครับ
ตรวจสอบความรู้ใหม่ที่ปรากฏ และตรวจสอบจิตตนเองมากๆนะครับ นี่มันยุคอะไรแล้วครับ ตาสว่างได้แล้วเมื่อความจริงปรากฏครับ
พุทธวจน คือคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยตรงไม่ใช่คำสอนของ สาวก หลวงปู่ หลวงตา องค์ไหนครับ

 

แสดงว่าไม่เข้าใจหมวดเถระกถานะเนี่ย
เอาเถอะ ตามสบายครับ
ว่าผมมีอัตตา ตัวท่านเองนี่ไม่มีอัตตาเลยเนอะ
ว่าผมไม่ค่อยตรวจสอบจิต แล้วท่านเองล่ะเข้าใจคำนี้มากน้อยแค่ไหน
อย่าประมาทนะครับ ความคิดที่ว่าคนที่เข้ามาเล่นในบอร์ดนี้จะมีแต่คนทั่วไปน่ะ
แล้วใครกันแน่ที่อยากเอาชนะ
แสดงว่าท่านรู้สึกว่าตนพ่ายแพ้สินะเลนว่าผมอยากเอาชนะ
สู้ๆเน้อ

 

ต่อไปจะเกิดปัญหาขึ้นเพราะตัดสังฆังสรณัง คัจฉามิออก
ทำไม่น่ะเหรอ
เพราะว่า
ความสำคัญลดลง ไม่มีเหลือ
เพราะ เอาแต่พระพุทธองค์แบะคำสอนของท่าน
เถระวาทีโดนตัดออก
ความเห็นเช่นนี้ค่อไปจะลุกลามกลายเป็นมรรคผลไม่มีในปัจจุบัน
เพราะคำสอนเถระกถาไม่มีเนื้อหาสาระ ไม่มีการศึกษาและปฏิบัติตาม
โอ้ยยาว ที่จะตามมาน่ะ
อ้อ ไม่อ้างตัวบุคคลสินะ
แล้วความเห็นที่บอกว่าเอาแต่พุทธวจนะนั่นน่ะ
ไม่ใช่เพราะตัวบุคคลหรือจึงเอามายึดและเข้ากับความเห็นของตนจึงยึดถือว่าใช่
นี่แหละไม่รู้จักตนเองของจริง ว่าตนนั้นหลงยึด

 

สงฆ์ หนา สันติ อะจิ

นิดนาน คือ นิดนาน

จิตไม่เกิดไม่ดับ

สงฆ์ หนา สันติ อ้างเลห์ ยกหางตน


สงฆ์แท้ๆ พุทธัง สรณัง ปรารภปั๊ป ก็ เป็น สงฆ์ แล้ว

ไม่ใช่ ต้องเอา หนา สันติ โน้น จิตไม่เกิดไม่ดับ ตลอดคืน ตลอดวัน สอนสวนทางศาสดา

 

อ้าวคุณ..ผู้รู้คือจิต...ก็ช่างมันดิ
แต่การรับรู้เป็นเรื่องของ ผัสสะ กับอายตนะ....ไง
ไม่มีจิต ก็มีใจ ไงครับ..เครื่องรับรู้

ไฟสิ้นเชื้อ อะไรคือไฟสิ้นเชื้อ...จิต อนัตตาไป ไง...ใครรู้ ใจรู้ไง

 

ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ....ปัญหาทุกวันนี้ คือ พระปลอม พระอรหันต์ปลอมๆ มันมีเยอะครับ....เอาไว้ให้คุณผ่านมาเฉยๆ ปฏิบัติถึงพระอรหันต์ แล้วบวชเป็นพระสงฆ์ ...มันก็น่าเชื่อถือ ในพระสงฆ์แท้ๆ เองแหล่ะครับ อิอิ

 

ทุกอารมณ์ ทุกผัสสะ ในอายตนะ มีจิตรับรู้....(มีอวิชชารับรู้ด้วย)

ทีนี้...เฉพาะ จิต เจตสิก....มีแต่อายตนะใจ เท่านั้น ที่เห็นมัน ได้..ว่ามัน มีอยู่ หรือ มัน หายไป...อิอิ...นี่คือกุญแจ ไม่สำคัญ

 

แปลเป็นไทย ชัดๆ ว่า

ทุกอารมณ์ ความคิด เจตสิก ของผัสสะ ของอายตนะ กายใจ จะมีจิตวิญญาณ...ร่วมรับรู้ด้วยถ้ามีอวิชชา...

และเฉพาะ จิต เจตสิก(วิญญาณ)...มีแต่ อายตนะ ใจ เท่านั้น ที่ จะเข้าไปรู้เห็น ใน วิญญาณนั้น..

เนี่ย....กุญแจไม่สำคัญ

 

ดังนั้น ในการปฏิบัติ สติปัฏฐานสี่..จึงเป็นการฝึกเพื่อให้...สติ(หรือจิต) เห็นตัวใจให้ได้ แยกตัวใจ ออกมาให้ได้..และในร่างเดียวกันนี้ ใจก็เห็นตัวจิตวิญญาณไปด้วย คนละมุม เพราะ ถ้าแยกพวกมัน ออกจากกันได้...ก็..จะเข้าใจใน ตัวใจ ตัวจิตวิญญาณ นั่นเอง

เนี่ย กุญแจ ไม่สำคัญ