จิต-ใจ-มโน-มันมาจากไหนครับ เมื่อขันธ์5 มีแค่ ..

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เราโตมาคนละแบบ, 5 พฤษภาคม 2017.

  1. ศิษย์โง๋

    ศิษย์โง๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +66
    อีกเรื่องหนึ่ง เรื่องอสังขตธรรม ของท่าน ถ้ารู้ตัวและยอมรับว่าเป็นแค่นิมิตร หรือสภาวะหลอกจริงๆ แล้วเนี่ย
    ผมก็อนุโมทนาด้วย ที่ผมจี้คุณไป เพราะหวังจะให้ให้หลุดจากตรงนั้น นอกเสียจากว่ายังไม่ยอมรับ และอ้างสภาวะธรรมมาเกทับผม(อีกรอบ) อันนี้ก็คงตัวใครตัวมัน
    การรู้เท่าทัน ก็มีคำถามอีกรู้เท่าทัน แล้วยังไงต่อ ต้องเป็นใบ้ หรือว่ายังไง โอเครถ้าผมไม่รู้เท่าทัน แปลว่าห้ามพูดอะไรหรือเปล่า หรือจิตต้องนิ่ง เมือ่รู้เท่าทันแล้ว ต้องพิมพ์แต่คำว่า สาธุ ลูกเดียว อนุโมทนา ยังงั้นหรือเปล่า?
    ถ้าท่านรู้ตัวว่าเป็นนิมิตร ก็ยินดีด้วยนะครับ ^^
     
  2. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    กว่าจะตอบคำถามตัวเองได้เนาะ จริงๆ ให้ตอบตัวเอง ไม่ต้องมาบอกชาวบ้านก็ได้ ก็แค่เตือนสติกัน เมื่อรู้ตัวก็คือจบ รับรู้ตรงนั้นแล้วก็จบ เห็นความเผลอหลงมีความประมาทไปแล้วก็ว่ากันไป ผ่านไปหมดแล้ว อดีตอารมณ์ ส่วนปัจจุบันคุณจะประมาทต่อหรือไม่อันนี้ก็แล้วแต่คุณแล้วล่ะ แต่ถ้าพาดพิงมาผมก็อาจใช้สิทธิพาดพิงบ้าง ถ้ามันพอมีประโยชน์ต่อกันอยู่บ้างล่ะนะ ไม่มีก็แล้วกันไป อิฏฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์มันเป็นเรื่องธรรมดา ยังไงก็หนีไม่พ้น และขอบคุณสำหรับความหวังดี
     
  3. ศิษย์โง๋

    ศิษย์โง๋ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +66
    ขอบคุณในความหวังดีเช่นกันเน้อ อ้าย
    การปฏิบัติของผม ช่วงนี้ล่าช้าไปบ้าง ตามเวรกรรมทางโลกที่มาดึงแข้งดึงขาอยู่เรื่อยๆ ก็พยายามกำหนดรู้ไปในแต่ละวันครับ ไม่ค่อยก้าวหน้าเท่าไร มีก้าวหน้าขึ้นบ้างในบางครั้ง(ขอสงวนที่จะไม่อธิบาย)เมื่อได้ทำจริงจังในบางวัน ขอบคุณที่ห่วง

    ว่าแต่....เอาอมยิ้มซักแท่งไหมอะ เด๋วแบ่งให้^^
     
  4. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    จิตของเรานั้น ถ้าเราทำความสงบเงียบอยู่จริงๆ เว้นขาดจากการคิดนึก ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวของจิต แม้แต่น้อยที่สุดเสียให้ได้จริงๆ ตัวแท้ของมันก็จะปรากฏออกมาเป็นความว่าง แล้วเราก็จะพบว่ามันเป็นสิ่งที่ปราศจากรูป มันไม่ได้กินเนื้อที่อะไรๆ ที่ไหน แม้แต่จุดเดียว มันไม่ได้ตกลงสู่การบัญญัติว่าเป็นพวกที่มีความเป็นอยู่ หรือไม่มีความเป็นอยู่ แม้แต่ประการใดเลย เพราะเหตุที่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรารู้สึกไม่ได้โดยทางอายตนะ เพราะจิตซึ่งเป็นธรรมชาติที่แท้ของคนเรานั้น มันเป็นครรภ์หรือกำเนิด ไม่มีใครทำให้เกิดขึ้นและไม่อาจถูกทำลายได้เลย


    ในการทำปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ นั้น มันเปลี่ยนรูปของมันเองออกมาเป็นปรากฏการณ์ต่างๆ เพื่อสะดวกในการพูด เราพูดถึงจิตในฐานะที่เป็นตัวสติปัญญา แต่ในขณะที่มันไม่ได้ทำการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม คือไม่ได้เป็นตัวสติปัญญาที่นึกคิด หรือสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมานั้น มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจถูกกล่าวถึงในการที่จะบัญญัติว่ามันเป็นความมีอยู่ หรือไม่ใช่ความมีอยู่


    ยิ่งไปกว่านั้น แม้ในขณะที่มันทำหน้าที่สร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมา ในฐานะที่ตอบสนองต่อกฎแห่งความเป็นเหตุและผลของกันและกันนั้น มันก็ยังเป็นสิ่งที่เรารู้สึกไม่ได้โดยทางอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และมโนทวาร อยู่นั่นเอง ถ้าเราทราบความเป็นจริงข้อนี้ เราทำความสงบเงียบสนิทอยู่ในภาวะแห่งความไม่มีอะไร ในขณะนั้น พวกเรากำลังเดินอยู่แล้วในทางแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายโดยแท้จริง ดังนั้น เราควรเจริญจิตให้หยุดอยู่บนความไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น

    *********

    http://webboard.watnapp.com/forum.php?mod=viewthread&tid=800

    เป็นพระสูตร. คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย

    ***********

    จิต นั้น ว่าง สงบ บริสุทธิ์
    จิตเดิมนั้นเป็นผู้รู้แจ้ง (คำสอนของหลวงปู่ดุลย์)

    จิตเป็นทั้งผู้รับกรรม และ เป็นผู้แจกจ่ายธรรม

    สิ่งที่อยู่รอบๆจิต ที่เป็นสุขุมรูป คือการที่จิตหลงไม่รู้คืออวิชชาคลุมมืด ไม่รู้ตามจริงจึงเกิดทำกรรมขึ้น ทุกการกระทำกรรมต่างๆ จิตจะถูกบันทึกไว้หมด ในสุขุมรูปแต่ละกอง ก็จะมีจิตอยู่ในสุขุมรูปแต่ละกองด้วย เมื่อสุขุมรูปแต่หมุนรวมกันจะมีจิตสำนักงานกลาง อยู่ตรงกลาง สุขุมรูปทั้งห้ากองนี้ หมุนรวมกันเข้า เกิดเป็นวิญญาณ รูปปรมาณูละเอียดเพื่อรักษากรรมชั่วเอาไวั

    จิตสำนักงานกลาง คือ มโนทวาร เป็นอายตนะรู้ (อายตนะนิพพาน)

    หลวงปู่ดุลย์บอกว่า จิตมันจะเกิดปฏิกริยาเคลื่อนไหวตัวมันเองเพื่อตอบสนองสิ่งแวดล้อม หรือ ตอบสนองเหตุผลแก่กันและกันในฐานะตัวสติปัญญา ให้เกิดการนึกคิด หรือ สร้างวัตถุ จิตมันจึงเกิดปฏิกิริยาเคลื่อนไหว หากมันไม่เคลื่อนไหวหรือปรุงแต่งมันก็ว่างตามเดิม

    จิต เป็นทั้งจิตที่มีอวิชชา และ
    เป็น จิตที่มีความรู้แจ้งในตัวเอง

    ก็คือ เมื่อจิตขาดสติหลงยึดมั่นในรูปธรรม จิตก็เกิดการเคลื่อนไหวตอบสนองเกิดปฏิกริยาเป็นอารมณ์ไหลไปร่วมกับวิญญาณเป็นอารมณ์กรรมและจิตก็เป็นผู้รับกรรมถูกบันทึกการกระทำเก็บไว้ข้างๆจิตในสุขุมรูป ที่วิญญาณเก็บรักษาไว้

    เมื่อจิตมีสติไม่ฝังลงไปในสิ่งใด ไม่เกิดอารมณ์ ไม่มีการตั้งขึ้นแห่งวิญญาณ จิตที่อยู่ในสุขุมรูปแต่ละกองไม่นึกคิดปรุงแต่งทำกรรม จิตระวังวิญญาณไม่ขาดสติหลงไปในวิญญาณ เกิดสติธรรม วิญญาณนิ่งรับรู้เฉยๆ ธรรมะรู้แจ้งก็ไหลลงสู่กระแสจิต เกิดนิสัยธรรม สร้างนิสัยธรรมเกิดขึ้น

    จิตจึงเป็นผู้รับกรรมและผู้แจกจ่ายธรรมดังนี้

    ทีนี้ใจคืออะไร?

    ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นหัวหน้า ทุกสิ่งสำเร็จได้ด้วยใจ

    ใจ คือ มโน

    ทำจิตใจให้ผ่องใสบริสุทธิ์

    มโนทวาร หรือ มโนวิญญาณ

    "ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดที่ใจดับที่ใจก็ใช้ได้"

    วิญญาณ ตัวเดียวคือผู้รู้ เกิดขึ้นเมื่อมีอารมณ์ วิญญาณ จึงตั้งขึ้นมา ถ้าจิตไม่ฝังลงไปในสิ่งใด วิญญาณ ตั้งขึ้นไม่ได้

    ภวังคจิต = องค์ที่อยู่แห่งภพ(สิ่งที่อยู่ข้างจิต อยู่รอบจิต). คือ สุขุมรูป 5 กอง ที่แต่ละกอง มีจิตติดอยู่ในแต่ละกองด้วย

    ภวังคจิต เป็น วิบากจิต เป็นมโนวิญญาณ

    มโนวิญญาณ เป็นหนึ่งในอายตนะ 6 หรือทวารทั้ง 6 ตอนแรกมีแค่ธาตุมูลฐานทั้ง5. คือ ตาหูจมูกลลิ้นกาย เพิ่ม ใจ เป็นทวารทั้ง 6.

    ทำใจให้ใสบริสุทธิ์ ,ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นหัวหน้า

    ก็คือ ความบริสุทธิ์ผ่องใสของจิตในวิญญาณ คือการอบรมจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส

    เมื่อจิตไม่หลง. จิตชำระอวิชชาหมดแล้ว. ก็เหลือแต่อายตนะใจเป็นเครื่องรู้ ค่ะ

    ลองพิจารณาว่าจริงหรือไม่อีกทีค่ะ

    ไม่ใช่ความรู้ของตัวjityim นะ ศึกษาคำสอนหลวงปูดุลย์ อ่านพุทธวจนของพระพุทธเจ้าจากlink ด้านบน และฟังคำสอนของพระอาจารย์ท่านหนึ่งค่ะ

    จิตใจจะใสสะอาดบริสุทธิ์ได้ ก็คือ สติสัมปชัญญะ อบรมจิตจนเกิดปัญญาค่ะ

    ใครมีอะไรแนะนำเพิ่มได้
    ว่าจริงหรือไม่จริงนะค่ะ
    อย่าเพิ่งเชื่อนะคะลองพิจารณาดูค่ะ













     
  5. เทพบุตรลั้ลลาลั้ลลั้ลลาาา

    เทพบุตรลั้ลลาลั้ลลั้ลลาาา เพื่อมวลมนุษย์แลสรรพสัตว์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    872
    ค่าพลัง:
    +1,936
    แล้วจิตยิ้มได้ป่าวอะ
     
  6. jityim

    jityim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    3,420
    ค่าพลัง:
    +3,195
    อเหตุกจิต เป็นกิริยาที่จิตยิ้มเอง โดยปราศจากเจตนาที่จะยิ้ม เกิดในจิตของพระอริยเจ้าเท่านั้น

    ส่วนตัวของ.jityim. เวลายิ้มแล้วสวยที่สุด ก็เลยยังมิใช่พระอริยเจ้า แต่มาจากจิตที่ยิ้มไปด้วยความเมตตาค่ะ
     
  7. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,751
    ค่าพลัง:
    +1,919
    ถ้าใช้คำว่า ใจ ไม่เจอ ก็ลองใช้คำว่า มโน หาดูแทนก็ได้ครับ (ในอายตนะ 6)
    รู้ธรรมารมณ์ด้วยมโน ครับ

    [๖๒๑] ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า พึงทราบหมวดวิญญาณ ๖ นั่น เราอาศัย
    อะไรกล่าวแล้ว ได้แก่จักษุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ
    กายวิญญาณ มโนวิญญาณ ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า พึงทราบหมวดวิญญาณ ๖ นั่น
    เราอาศัยวิญญาณดังนี้ กล่าวแล้ว ฯ
    [๖๒๒] ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า พึงทราบหมวดผัสสะ ๖ นั่น เราอาศัย
    อะไรกล่าวแล้ว ได้แก่จักษุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส
    มโนสัมผัส ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า พึงทราบหมวดผัสสะ ๖ นั่น เราอาศัยสัมผัสดังนี้
    กล่าวแล้ว ฯ
    [๖๒๓] ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า พึงทราบความนึกหน่วงของใจ ๑๘ นั่น
    เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว คือ เพราะเห็นรูปด้วยจักษุ ใจย่อมนึกหน่วงรูปเป็นที่ตั้ง
    แห่งโสมนัส นึกหน่วงรูปเป็นที่ตั้งแห่งโทมนัส นึกหน่วงรูปเป็นที่ตั้งแห่งอุเบกขา
    เพราะฟังเสียงด้วยโสต ...
    เพราะดมกลิ่นด้วยฆานะ ...
    เพราะลิ้มรสด้วยชิวหา ...
    เพราะถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย
    ...
    เพราะรู้ธรรมารมณ์ด้วยมโน ใจย่อมนึกหน่วงธรรมารมณ์เป็นที่ตั้งแห่ง
    โสมนัส นึกหน่วงธรรมารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งโทมนัส นึกหน่วงธรรมารมณ์เป็นที่ตั้ง
    แห่งอุเบกขา ฉะนี้ เป็นความนึกหน่วงฝ่ายโสมนัส ๖ ฝ่ายโทมนัส ๖ ฝ่าย
    อุเบกขา ๖ ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า พึงทราบความนึกหน่วงของใจ ๑๘ นั่น เราอาศัย
    ความนึกหน่วงดังนี้ กล่าวแล้ว ฯ
     
  8. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
    มันก็คือ จิตนั่นเอง..มันใช่พระสูตรที่ไหน นี่มันคำจำกัดความของสาวกนี่
     
  9. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    เถียงจริงๆ

    วิญญาณทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ...มี นั่นเพราะมีวิญญาณเข้าร่วมผัสสะ เพราะมีอวิชชาเป็นเหตุ

    แต่เมื่อชำระ อวิชชาได้...ก็ไม่มีวิญญาณ เข้าร่วมอุปทาน ใดใด
    มันก็ เหลือเพียง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เท่านั้นเอง

    ระวังน้ำท่วมบ้าน นะเว้ย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2017
  10. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,751
    ค่าพลัง:
    +1,919
    อ่ะ งั้นลองอันนี้

    สัปปายสูตรที่ ๑
    [๒๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจะแสดงปฏิปทาอันเป็นอุปการะแก่นิพพาน
    แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทาอันเป็นอุปการะ
    แก่นิพพานนั้นเป็นไฉน ภิกษุในศาสนานี้ ย่อมเห็นว่า จักษุไม่เที่ยง รูปทั้งหลาย
    ไม่เที่ยง จักษุวิญญาณไม่เที่ยง จักษุสัมผัสไม่เที่ยง แม้สุขเวทนา ทุกข์เวทนา
    หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัยก็ไม่เที่ยง ฯลฯ ภิกษุ
    ในศาสนานี้ ย่อมเห็นว่า ใจไม่เที่ยง ธรรมารมณ์ไม่เที่ยง มโนวิญญาณไม่เที่ยง
    มโนสัมผัสไม่เที่ยง แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้น
    เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัยก็ไม่เที่ยง ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นปฏิปทาอันเป็น
    อุปการะแก่นิพพาน ฯ
    จบสูตรที่ ๒
    สัปปายสูตรที่ ๒
    [๒๓๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงปฏิปทาอันเป็นอุปการะแก่
    นิพพานแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทาอัน
    เป็นอุปการะแก่นิพพานนั้นเป็นไฉน ภิกษุในศาสนานี้ เห็นว่า จักษุเป็นทุกข์ รูปเป็น
    ทุกข์ จักษุวิญญาณเป็นทุกข์ จักษุสัมผัสเป็นทุกข์ แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรือ
    อทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัยก็เป็นทุกข์ ฯลฯ ภิกษุใน
    ศาสนานี้ เห็นว่า ใจเป็นทุกข์ ธรรมารมณ์เป็นทุกข์ มโนวิญญาณเป็นทุกข์
    มโนสัมผัสเป็นทุกข์ แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิด
    ขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัยก็เป็นทุกข์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แลปฏิปทาอันเป็น
    อุปการะแก่นิพพาน ฯ
    จบสูตรที่ ๓
    สัปปายสูตรที่ ๓
    [๒๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงปฏิปทาอันเป็นอุปการะแก่
    นิพพานแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทาอัน
    เป็นอุปการะแก่นิพพานนั้นเป็นไฉน ภิกษุในศาสนานี้ เห็นว่า จักษุเป็นอนัตตา
    รูปเป็นอนัตตา จักษุวิญญาณเป็นอนัตตา จักษุสัมผัสเป็นอนัตตา แม้สุขเวทนา
    ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัยก็เป็น
    อนัตตา ฯลฯ ภิกษุในศาสนานี้ เห็นว่า ใจเป็นอนัตตา ธรรมารมณ์เป็นอนัตตา
    มโนวิญญาณเป็นอนัตตา มโนสัมผัสเป็นอนัตตา แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา
    หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัยก็เป็นอนัตตา ดูกร
    ภิกษุทั้งหลาย นี้แลปฏิปทาอันเป็นอุปการะแก่นิพพาน ฯ
    จบสูตรที่ ๔
    สัปปายสูตรที่ ๔
    [๒๓๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงปฏิปทาอันเป็นอุปการะแก่นิพพาน
    แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทาอันเป็นอุปการะ
    แก่นิพพานนั้นเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจักสำคัญความข้อนั้น
    เป็นไฉน จักษุเที่ยงหรือไม่เที่ยง ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ฯ
    ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือ
    หนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ฯ
    ภิ. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
    พ. รูป... จักษุวิญญาณ... จักษุสัมผัส... แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา
    หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย เที่ยงหรือไม่เที่ยง ฯ
    ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือสุขเล่า ฯ
    ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือ
    หนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ฯ
    ภิ. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯลฯ
    พ. ใจเที่ยงหรือไม่เที่ยง ฯ
    ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ฯ
    ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือ
    หนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ฯ
    ภิ. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ธรรมารมณ์... มโนวิญญาณ... มโนสัมผัส... แม้สุขเวทนา
    ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย เที่ยง
    หรือไม่เที่ยง ฯ
    ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า ฯ
    ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือ
    หนอที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ฯ
    ภิ. ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
    พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อม
    เบื่อหน่ายแม้ในจักษุ แม้ในรูป แม้ในจักษุวิญญาณ แม้ในจักษุสัมผัส แม้ใน
    สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย
    ฯลฯ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในใจ แม้ในธรรมารมณ์ แม้ในมโนวิญญาณ แม้ใน
    มโนสัมผัส
    แม้ในสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะ
    มโนสัมผัสเป็นปัจจัย เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด
    จึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติ
    สิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็น
    อย่างนี้มิได้มี ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นปฏิปทาอันเป็นอุปการะแก่นิพพาน ฯ
    จบสูตรที่ ๕


    คำถามง่ายๆ แล้ว อะไรหล่ะ เป็นตัว เบื่อหน่าย
    แม้ในใจ แม้ในธรรมารมณ์ แม้ในมโนวิญญาณ แม้ใน
    มโนสัมผัส



    ที่มา http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=18&A=3476&Z=3552
     
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    animated-lighning-bolt-strike-storm-gif-8.gif
     
  12. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,751
    ค่าพลัง:
    +1,919
    แล้วอีกอัน นี้กล่าวถึง อายตนะ 6 อยู่นะ
    ที่เป็น ขันธ์ 5 คล้ายๆแบบนี้ก็ยังมี
    หวังว่าคงไม่ตอบว่าคำสาวก หรือแต่งขึ้นมาทีหลังเองนะ

    นันทิขยสูตรที่ ๒
    [๒๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเห็นรูปอันไม่เที่ยงนั่นแลว่า ไม่เที่ยง
    ความเห็นของภิกษุนั้น ชื่อว่าเป็นความเห็นชอบ เมื่อเห็นชอบย่อมเบื่อหน่าย
    เพราะสิ้นความเพลิดเพลิน จึงสิ้นราคะ เพราะสิ้นราคะ จึงสิ้นความเพลิดเพลิน
    เพราะสิ้นความเพลิดเพลินและราคะ เราจึงเรียกว่า จิตหลุดพ้นดีแล้ว ภิกษุเห็น
    เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ อันไม่เที่ยงนั่นแลว่า ไม่เที่ยง ความเห็น
    ของภิกษุนั้น ชื่อว่าเป็นความเห็นชอบ เมื่อเห็นชอบย่อมเบื่อหน่าย เพราะสิ้น
    ความเพลิดเพลิน จึงสิ้นราคะ เพราะสิ้นราคะ จึงสิ้นความเพลิดเพลิน เพราะสิ้น
    ความเพลิดเพลินและราคะ เราจึงเรียกว่า จิตหลุดพ้นดีแล้ว ฯ
    จบสูตรที่ ๒
    นันทิขยสูตรที่ ๓
    [๒๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงใส่ใจถึงจักษุโดยอุบายอัน
    แยบคาย และจงพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงแห่งจักษุตามความเป็นจริง เมื่อใส่ใจถึง
    จักษุ
    โดยอุบายอันแยบคาย และพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงแห่งจักษุตามความเป็น
    จริง ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในจักษุ เพราะสิ้นความเพลิดเพลิน จึงสิ้นราคะ เพราะ
    สิ้นราคะ จึงสิ้นความเพลิดเพลิน เพราะสิ้นความเพลิดเพลินและราคะ เราจึง
    เรียกว่าจิตหลุดพ้นดีแล้ว
    ฯลฯ เธอทั้งหลายจงใส่ใจถึงใจ โดยอุบายอันแยบคาย
    และจงพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงแห่งใจตามความเป็นจริง เมื่อใส่ใจถึงใจ โดย
    อุบายอันแยบคาย และพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงแห่งใจตามความเป็นจริง ย่อม
    เบื่อหน่ายแม้ในใจ
    เพราะสิ้นความเพลิดเพลิน จึงสิ้นราคะ เพราะสิ้นราคะ
    จึงสิ้นความเพลิดเพลิน เพราะสิ้นความเพลิดเพลินและราคะ เราจึงเรียกว่า
    จิตหลุดพ้นดีแล้ว ฯ

    จบสูตรที่ ๓
    นันทิขยสูตรที่ ๔
    [๒๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงใส่ใจถึงรูปโดยอุบายอัน
    แยบคาย และจงพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงแห่งรูปตามความเป็นจริง เมื่อใส่ใจถึง
    รูป
    โดยอุบายอันแยบคาย และพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงแห่งรูปตามความเป็นจริง
    ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป เพราะสิ้นความเพลิดเพลิน จึงสิ้นราคะ เพราะสิ้นราคะ
    จึงสิ้นความเพลิดเพลิน เพราะสิ้นความเพลิดเพลินและราคะ เราจึงเรียกว่า จิต
    หลุดพ้นดีแล้ว
    ฯลฯ เธอทั้งหลายจงใส่ใจถึงธรรมารมณ์โดยอุบายอันแยบคาย
    และจงพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงแห่งธรรมารมณ์ตามความเป็นจริง เมื่อใส่ใจถึง
    ธรรมารมณ์
    โดยอุบายอันแยบคาย และพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงแห่งธรรมารมณ์
    ตามความเป็นจริง ย่อมเบื่อหน่ายในธรรมารมณ์ เพราะสิ้นความเพลิดเพลิน จึง
    สิ้นราคะ เพราะสิ้นราคะ จึงสิ้นความเพลิดเพลิน เพราะสิ้นความเพลิดเพลิน
    และราคะ เราจึงเรียกว่า จิตหลุดพ้นดีแล้ว ฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2017
  13. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
    :pไม่เข้าใจรึไง..ยกมามั่วไปหมด ใจที่ยกมาคือ อะไรครับ คืออะไร ก็คือ วิญญาณในขันธ์5 ที่มาทำงานตามอายตนะ6..ก็ต้องเรียกชื่อตามอายตนะุ นะซิ จะเรียกอะไรครับ
    :mad:แล้วต้นกำเนิด..ของใจที่คุณยกมานี่ มาจากไหน..ครับ มาสู่อายตนะ6 เขาเรียกอะไรครับ..ก็ตัววิญาณ ในขันธ์5 ใช่ไหม ไม่เข้าใจอะไรนี่ ต้นกำเนิดง่ายๆมานั่งแปลผิดๆ
     
  14. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,751
    ค่าพลัง:
    +1,919
    ผมอุตส่านั่งขีดย้ำเน้นสีให้ แต่ก็เอาเหอะ
    ที่ยกมา ทั้งหมดเพื่อตอบ คำถามหน้าแรกครับ

    พุทธวจน-จิต(วิญญาณ) ในขันธ์5..จะโคจรออกจากธาตุทั้ง4..นี้เป็นฐานนะที่จะเป็นไปไม่ได้..แล้วใจ ล่ะ มันมาจากไหนอีก-อาศัยอยู่ตรงไหน ในขันธ์5 ครับ ใครแต่งขึ้นมาใหม่ครับ ..ยอมรับไหมว่าใจก็คือ จิต- มโน-วิญญาณ-นั่นเอง

     
  15. pitra

    pitra สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2017
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +31
    เราพึ่งเริ่มต้นฝึก แต่เราเข้าใจข้อความของคุณ และสื่อของคุณ
    ตอนนแรกเหมือนกับลึกซึ้งเข้าใจยาก แต่อ่านไปๆ มาๆ เข้าใจง่ายค่ะ แต่ดิฉันยังปฏิบัติไปไม่ถึง. ธรรมที่ลึกซึ้ง อธิบายให้คนไม่ปฏิบัติฟัง เขาไม่เข้าใจหรอกค่ะ บางทีก็ว่าเราบ้าด้วยซำ้บางครั้ง ปรากฎการณ์เดียวกัน ก็อธิบายคนละแบบ เพราะภาษามันดิ้นได้
     
  16. pitra

    pitra สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2017
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +31
    จิตว่าง
    จิตพุทธะ จิตสมุทัย มีแต่ศัพย์ใหม่ทั้งนั้น เอ่อ ๆ
     
  17. pitra

    pitra สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2017
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +31
    เห๋นด้วยเป็นที่สุดค่ะ
     
  18. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    บอร์ดดูเงียบๆชอบกล :eek:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤษภาคม 2017
  19. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,293
    ค่าพลัง:
    +12,622
    มจด.ยอดขายหล่นฮวบ
     
  20. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    ไม่กลัวยอดขายตกนะ (ทุนสำรองเยอะ สายป่านยาว) อิอิ แต่กลัวห้องนี้ร้าง อย่าเพิ่งท้อสหายธรรม ไหนๆก็ไหนๆแล้ว สู้ตายขอรับ :):D
     

แชร์หน้านี้

Loading...