ฉบับที่ ๓๒ เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย paang, 3 ตุลาคม 2006.

แท็ก:
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ๒๑. ปัตตานุโมทนามัย

    ใน บุญกิริยาวัตถุ ๑๐คือ หนทางแห่งการทำบุญ ๑๐ ประการ ได้บอกวิธีทำบุญทั้งสิบอย่างไว้ ดังนี้...

    ๑. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ทาน
    ๒. สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล
    ๓. ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการภาวนา
    ๔. อปจายนมัย บุญสำเร็จด้วยการอ่อนน้อมถ่อมตน
    ๕. เวยยาวัจจมัย บุญสำเร็จด้วยการช่วยเหลืองานบุญผู้อื่น
    ๖. ปัตติทานมัย บุญสำเร็จด้วยการอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้อื่น
    ๗. ปัตตานุโมทนามัย บุญสำเร็จด้วยการยินดีในผลบุญของผู้อื่น
    ๘. ธัมมัสสวนมัย บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม
    ๙. ธัมมเทสนามัย บุญสำเร็จด้วยการสอนธรรม
    ๑๐. ทิฏฐุชุกัมม์ บุญสำเร็จด้วยการมีความเห็นถูกต้องตามทำนองคลองธรรม


    โอ๊ย...! เวียนหัว...มีใครจำไ้ด้หมดมั้ยเนี่ย...? ถ้าไม่ชอบของยากจะอ่านข้าม ๆ ไปก็ได้ ในบุญทั้ง ๑๐ อย่างที่ว่ามา การโมทนา บุญคนอื่นน่าจะทำได้ง่ายที่สุด แต่ถ้าลองทำดูแล้วจะทราบว่า มันยากเย็นเข็ญใจเหลือกำลัง เพราะลึก ๆ ในใจแล้ว เรามักมีความอิจฉาริษยา ซ่อนอยู่ เหมือนที่ หลวงวิจิตรวาทการ ท่านกล่าวไว้ว่า..."อันที่จริงคนเขาอยากเห็นเราดี แต่เราเด่นขึ้นทุกทีเขาหมั่นไส้"

    การโมทนาบุญคนอื่นนั้น เจ้าของบุญเขาได้ดีเพียงไร ผู้โมทนาก็จะได้อย่างนั้นด้วย ตัวอย่างคือ พระนางพิมพาราชเทวี ตามโมทนาผลบุญขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาทุกชาติ ชาติสุดท้ายพระพุทธเจ้าบรรลุมรรคผล พระนางก็บรรลุไปด้วย...

    ผลบุญชนิดเดียว ที่ผู้รับไม่ต้องโมทนาก็ได้รับ จัดเป็นผลบุญที่พิเศษจริง ๆ คือ บุญจาก การบรรพชาอุปสมบท กล่าวกันว่า แม้ลูกเกิดมาในวันนั้น พ่อแม่ก็แยกทางไป ผู้อื่นเลี้ยงมาจนเติบใหญ่ ถ้าลูกบวชเมื่อไหร่ พ่อแม่จะได้รับส่วนบุญทันที (ง่ายดีจัง...) ส่วนบุญอื่นต้องโมทนาทั้งสิ้น (ถ้าแค่โมทนายังขี้เกียจ ก็อย่าเอามันเลย...!)

    หลวงพ่อเคยอุทิศส่วนกุศล ให้แก่ผีที่นายนิรยบาลคุมมา พอโมทนาก็พ้นจากการทรมานทุกอย่าง กลายเป็นเทวดาสบายไป นายนิรยบาลเห็นอย่างนั้นก็ขอบ้าง หนีไปเป็นเทวดา ไม่ต้องมาเหนื่อยยาก กับการทรมานสัตว์นรกอีก...(เอาเปรียบกันนี่หว่า...!)

    ผู้ที่มีสิทธิ์โมทนาบุญ (ไม่มีชื่อ ไม่มีบัตร ไม่มีสิทธิ์ นะจ๊ะ) นั้นประกอบด้วย เปรต ๑๒ จำพวก ที่เรียกว่า ปรทัตตูปชีวีเปรต อสุรกาย ๔ ประเภท สัมภเวสี เทวดาทุกชั้น พรหมทุกชั้น (เว้นอสัญญีสัตตาพรหม และ อรูปพรหม ๔ ชั้น) และ พระบนนิพพาน นอกเหนือจากนี้ไม่มีสิทธิ์จ้ะ ต้องรอแก้รัฐธรรมนูญเอ๊ย..ไม่ใช่...รอจนกว่าจะมีสิทธิ์...ฮิ...ฮิ...!

    ผู้ที่โมทนาบุญเขารู้จักเลือก ต้องเป็นการทำบุญที่เป็นบุญจริง ๆ เขาจึงจะโมทนา ถ้าเป็นบุญผสมบาป เขาไม่โมทนาให้โง่หรอก เพราะผลบาปมันจะพาเขาไปทุกข์หนักขึ้น อาตมาเจอมากับตัวเองเลย ตอนนั้น ไปงานทำบุญ ๗ วันของแม่ยายแจ๋ว (เด็กที่ร้านค้าในวัด)

    กำลังสวดมนต์อยู่ดี ๆ แม่ยายแจ๋วก็เดินเข้ามาหา (อย่าลืมว่าแกตายแล้วนะ...แฮ่...) มาถึงก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง ขอส่วนกุศลเลย อาตมาบอกว่า เขากำลังทำบุญให้ เดี๋ยวโมทนากับลูกหลานก็แล้วกัน ยายผีทีเด็ดตอบว่า "ไก่ที่ท่านจะฉัน มันไม่ได้ตายเองเจ้าค่ะ...!"


    หลวงพ่อท่านไปเจอเทวดาที่หลังวัดคุยกัน หัวหน้าเทวดาถามบริวารว่า "บ้านโน้นเขากำลังมีงานบุญกัน มีใครไปโมทนาบุญกับเขาบ้าง...?" บรรดาลูกน้องทำหน้าเบ้...รายงานว่า "ไม่ไหวหรอกครับ มันเมากันทั้งงาน แถมล้มหมูล้มวัวกันอีกต่างหาก ไม่รับประทานละครับ"..

    .
    อาตมาไปเข้าใจคำว่า โมทนาบุญ ตอนที่พาโยมแม่ไปหาหมอ ที่โรงพยาบาลราชวิถี ขากลับโหนรถเมล์กลับ มีหญิงสาวคนหนึี่ง กำลังท้องแก่ใกล้คลอดเต็มที ขึ้นรถที่หน้าห้างโรบินสัน ดูท่าทางเธอแล้วสงสารใจจะขาด ถ้ามีที่นั่งอาตมาคงสละให้เธอทันที...


    ก็พอดี...มีสุภาพบุรุษท่านหนึ่ง สละที่นั่งให้แก่เธอ อาตมารู้สึกเย็นวาบเข้าไปในอก มันสว่างไสวไปทั้งโลก...โอหนอ...ขณะที่เราอยากทำบุญใจจะขาด แต่โอกาสไม่เปิดให้ ก็มีท่านผู้ใจบุญได้ทำบุญส่วนนั้นแทนเรา...!

    มันชื่นอกชื่นใจบอกไม่ถูก รู้สึกเป็นมิตรกับคนทั้งหมดในโลก อิ่มอกอิ่มใจไปหลายวัน ที่แท้การโมทนาบุญผู้อื่นเป็นสุขเช่นนี้เอง...!



    ๑ มีนาคม ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    บันทึกเพิ่มเติม ห้างโรบินสัน ปัจจุบันนี้คือ
    ห้างแฟชั่นมอลล์
    ๘ กรกฎาคม ๒๕๔๙
    พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺปญฺโญ
     
  2. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ๒๒. พระบรมสารีริกธาตุอันตรธาน

    ใน อัตรธานปริวรรต แห่ง ปฐมสมโพธิกถา กล่าวถึงการสิ้นสุดของพระพุทธศาสนาว่า ประกอบด้วยการเสื่อมสูญ ๕ อย่าง คือ...

    ๑. ปริยัติอันตรธาน เสื่อมสูญจากการศึกษาธรรม
    ๒. ปฏิบัติอันตรธาน เสื่อมสูญจากการปฏิบัติธรรม
    ๓. ปฏิเวธอันตรธาน เสื่อมสูญจากผลของการศีกษาและปฏิบัติธรรม
    ๔. ลิงคอันตรธาน เสื่อมสูญจากเพศของภิกษุ
    ๕. ธาตุอันตรธาน เสื่อมสูญจากพระบรมสารีริกธาตุ


    การเสื่อมสูญแต่ละอย่างนั้น จะทวีมากขึ้นไปตามลำดับ ในท้ายสุดแห่งพระพุทธศาสนา พระบรมสารีริกธาตุทั้งมวลจะมาประชุมรวมกันเป็นพระรูปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงพร้อมด้วยฉัพพรรณรังสี รัศมี ๖ ประการ...

    รูปพระพุทธนิมิต ทรงเทศนาสั่งสอนสัตว์โลกเป็นครั้งสุดท้าย เป็นเวลา ๗ วัน ๗ คืน แล้วอัตรธานไป ปล่อยให้ไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก ให้สะอาดหมดจดดังเดิม (ใช้ผงซักฟอกยี่ห้อไหนจ๊ะ...? จะขอมาฟอกลูกศิษย์บางคนซักกำมือ...!)

    นั่นเป็นไปตามตำราเขาว่าไว้ อาตมาก็จำขี้ปากเขามาเล่าต่อ จะเท็จจริงประการใด ขอเชิญบรรดาท่านผู้สงสัย อยู่รอดูจนกว่าจะถึงวันนั้น ถึงเวลาก็จะทราบเอง แค่สองพันกว่าปีเท่านั้น นั่งบ้างนอนบ้างแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว...ฮิ...ฮิ...!

    หลังจากพระมหากัสสปเถรเจ้า เป็นประธานประชุมเพลิงพระพุทธสรีระแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่คือ พระบรมสารีริกธาตุน้อยใหญ่ จำนวน ๘ ทะนานทอง บรรดากษัตริย์ทั้ง ๗ นครต่างยกทัพมาเพื่อขอแบ่ง พระบรมสารีริกธาตุไปบูชา (ยกทัพมาเนี่ยขอแน่นะ...!)

    นครกุสินารายณ์ถึงจะเป็นเมืองเล็ก แต่ไอ้การทำเป็นนักเลงโต ยกทัพมาเบ่งทำท่าขู่กันแบบนี้ ใหญ่เท่าใหญ่ก็ขอลองซักตั้งเถอะน่า แพ้ชนะค่อยว่ากันทีหลัง...(แหม...ถูกใจ...!) ก็ตั้งป้อมสู้ซิ...แน่จริงเข้ามาเล้ย ...ได้ฟัดกันแหลกราญไปข้าง...!

    บังเอิญมีบัณฑิตผู้หนึ่ง ชื่อว่า "โทณพราหมณ์" เห็นว่า การรบกันนั้นไม่ใช่วิสัยของพุทธศาสนิกชน จึงเข้ามาไกล่เกลี่ย อาสาเป็นผู้แบ่งปันพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ไม่อยากเสี่ยงต่อการบาดเจ็บล้มตาย เมื่อมีพระเอกมาห้ามทัพแบบนี้ก็ตกลง...

    โทณพราหมณ์เห็นว่า พระบรมธาตุเขี้ยวแก้ว เป็นของสำคัญหากมอบให้ผู้ใดผู้หนึ่งไปผู้อื่นย่อมไม่พอใจ จึงงุบงิบหยิบซ่อนไว้ในมวยผม แต่ว่า...เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือกระดาษยังมีซาละเปา พระอินทร์ เจ้าเก่า เอาพานแก้วมณีมารองรับ เท่ากับโทณพราหมณ์หยิบใส่พานให้ท่านปู่เลยเอาไปบรรจุไว้ ณ จุฬามณีเจดียสถาน ที่ ดาวดึงสเทวโลก...

    ดังนั้น...ในระยะแรก พระบรมสารีริกธาตุทั้งหลาย จึงแยกย้ายกันไปใน ๗ พระนคร ต่อมา ผู้ที่ทำการสักการบูชาด้วยความเลื่อมใส พระบรมสารีริกธาตุก็เสด็จไปโปรดท่านผู้นั้น อย่างที่เสด็จมาอยู่กับหลวงพ่อนับเป็นล้าน ๆ องค์เลยทีเดียว...!

    พระบรมสารีริกธาตุมีพรรณสัณฐานต่าง ๆ กัน คือ เหมือนถั่วแตก หรือข้าวสารหัก ยกเว้นพระบรมธาตุสำคัญ ที่มีรูปร่างเฉพาะ เช่น พระเขี้ยวแก้ว พระอุณหิส พระรากขวัญ เป็นต้น มีสี ขาวเหมือนสีสังข์ บ้าง ใสเหมือนเพชร บ้าง สีทองแวววาว บ้าง...

    เวลาพระบรมสารีริกธาตุเสด็จ จะเป็นดวงแสงสีนวลสว่างจ้า เมื่อหลวงปู่ปานพาหลวงพ่อทั้งสามไปธุดงค์ พบพระธาตุเสด็จที่ พระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี และเมื่อไปอยู่ที่วัดประยุรวงศาวาส จังหวัดธนบุรี ก่อนที่สัมพันธมิตรจะมาทิ้งระเบิดที่ สะพานพุทธ แค่ไม่กี่วัน หลวงพ่อและเพื่อนพระทั้งวัด ตลอดจนชาวบ้านที่ยังไม่ย้ายหนีภัยสงครามเห็นพระธาตุเสด็จเหนือสะพานพุทธ สว่างจัดมาก ขนาดอยู่ที่วัดประยูรฯ ยังอ่านหนังสือได้เลย...!

    ในงานฉลองวันเกิดหลวงพ่อ ปี ๒๕๒๖ ท่านเมตตาแจกพระบรมสารีริกธาตุให้ลูก ๆ นำไปบูชา ผู้คนแห่กันไปรับแทบจะเหยียบกันตาย บางคนเพิ่งรับมากับมือแท้ ๆ หายวับไปกับตา อาตมานั่งนวดเท้าให้ หลวงปู่มหาอำพัน อยู่ เห็นพระธาตุมาตกที่ข้างหน้าหลวงปู่มากมาย เก็บได้เป็นกำ ๆ เลย...!

    คืนหนึ่ง อาตมา "เห็น" พระบรมสารีริกธาตุ สัณฐานเหมือนเม็ดข้าวสารเต็มเม็ดเสด็จมาสว่างไปทั้งท้องฟ้า พุ่งตรงมาที่หิ้งพระในห้องนอน ด้วยความดีใจรีบไปเปิดตลับดู ไม่เห็นมีท่านอยู่ พอไปเปิดตลับของพี่ประสิทธิ์ดู เสด็จมาอยู่ที่นี่เอง...!

    ตอนที่อาตมาปิดฝาตลับนั่นเอง เกิดพลาดทำตลับตกพื้น พระบรมสารีริกธาตุกระจายไปทั้งห้อง และแสดงปาฏิหาริย์หายวับไปซึ่ง ๆ หน้า พื้นเป็นคอนกรีดขัดมันแท้ ๆ จะหาร่องหารูที่ไหนก็ไม่มี แต่ท่านมุดดินหายไปเฉย ๆ ...!

    ต่อมา อาตมาได้พระบรมสารีริกธาตุมาอีก ๒-๓ พันองค์ แบ่งถวาย หลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม และ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดราชผาติการาม ไปจนหมด พอได้มาอีกเมื่อไร ถูกญาติโยมขอหมดทุกที ยังไม่ทันสิ้นศาสนาเลย หายหมดเกลี้ยงซะแล้ว...!


    ๒ มีนาคม ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     
  3. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ๒๓. หวยร้อน ๆ จ้ะ

    คนไทยทุกคนมีสายเลือดการพนันอยู่ในตัว ขนาดเด็ก ๆ ยังเล่นยิงลูกหิน ทอยกอง เป่ากบ ใครแพ้จ่ายมาซะดี ๆ ...หัดพนันกันตั้งแต่เล็กแต่น้อย พื้นฐานดีแบบนี้นี่เอง การพนันถึงได้ระบาดไปทุกหัวระแหง ขนาดธุดงค์ไปกลางป่ากลางดง พวกกะเหรี่ยงยังตามขอหวย ถามว่าจะไปเล่นกันที่ไหน...? เขาบอกว่าฝากกันไปแทงข้างนอก ยอดจริง ๆ ...!

    คนไทยเราพนันทุกอย่างที่ขวางหน้า แม้แต่หมากัดกันก็เล่นได้ เสียกันแล้ว แต่ที่แพร่หลายที่สุดคือหวย เป็นเหตุให้พระเจ้า ผีสาง เทวดา ตลอดถึง ต้นไม้ใบหญ้า เดือดร้อนไปตาม ๆ กัน และเป็นเหตุให้เกิดนักคิดคอมพิวเตอร์ เก็งตัวเลขขายแก่บรรดานักเล่น จนร่ำรวยไปตาม ๆ กัน ขณะที่คนเล่นหมดตูดเหมือนเดิม...!(ให้อาจารย์มาเล่นเองก็เจ๊ง...!)

    ทุกเรือนชานบ้านช่อง หายใจเข้าออกเป็นแต่หวย ทุกวันหวยออกระบบต่าง ๆ แทบจะชะงักงันไปทั่วประเทศ เพราะผู้คนมัวแต่ไปเฝ้าอยู่หน้าวิทยุ คอยลุ้นตัวเลขของตนอย่างเคร่งเครียด พอหวยออกก็หงอยเป็นไก่ชนแพ้ แต่ไม่มีเสียละที่ความหวังจะสิ้น งวดหน้าแก้ตัวใหม่ ยิ่งแก้ก็ยิ่งยุ่ง เป็นหนี้เป็นสินอีรุงตุงนัง บ้านแตกสาแหรกขาดมานักต่อนักแล้ว...!

    ที่พึ่งของลูกช้างนักเล่นหวย ได้แก่บรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์สารพัด ซึ่งบางอย่างไม่รู้ไม่เห็นด้วยซักนิด ก็ถูกตีเป็นหวยไปหมด ของแปลก ๆ พิลึกกึกกืออย่าง แมวออกลูกเป็นช้าง หมามีหน้าเหมือนลิง กระทั่งจอมปลวกก้อนอิฐก้อนหิน ล้วนกลายเป็นที่พึ่งของบรรดาลูกช้างหน้ามืดทั้งหลาย ถูกบ้างผิดบ้างแล้วแต่เวรแต่กรรม...!

    ที่เดือดร้อนที่สุดก็ หลวงปู่ หลวงพ่อ ตามวัดต่าง ๆ นั่นแหละ ไม่เป็นอันกินอันนอนกันล่ะ ยิ่งวันหวยออกยิ่งไปเฝ้ากันแน่นขนัด จะอุจจาระ ปัสสาวะมันตีเป็นหวยหมด ขนาดปัสสาวะแกมผายลม ยังเอาไปตีเป็นสี่แปด ดันถูกซะอีกแน่ะ...! งวดต่อไปเลยต้องอั้นจนหน้าเขียว เดี๋ยวมันออกซ้ำเจ้ามือจะเดือดร้อน หรือไม่ก็ลูกช้างนั่นแหละ ได้มาเท่าไรจะเอาไปคืนเขาหมด...!

    เรื่องของความบ้ามันพูดยาก ขอให้เห็นพระเป็นรี่เข้ามาขอหวย ไม่ให้ก็โกรธด้วยนะ หาว่าให้หวยไม่เป็นแล้วบวชมาทำไม...? วะ...อาตมาบวชมาเพื่อนิพพานโว้ย...ก่อนไปนิพพาน ขอเตะปากโยมซะก่อนดีมั้ย...? เจอพระวัดเส้าหลินแบบนี้เข้าเลยเปิดแน่บ...!

    หลวงพ่อบอกว่า พระที่ท่านรู้หวยจริง ๆ มีถมไป เช่น หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก หลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ หลวงพ่อเขียน วัดสำนักขุนเณร เป็นต้น ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ใช้ทิพยจักขุญาณรู้วาระบุญของคน ว่าคนนี้บุญจะให้ผลท่านจึงให้ ไม่ใช่ให้ส่งเดช การให้ก็มีทั้งการให้ตรง ๆ และใบ้เป็นปริศนาให้ไปคิดเอาเอง...

    หลวงพ่อจงและหลวงพ่อเรื่องนั้น ทั้งให้ตรง ๆ และใบ้เป็นปริศนา หลวงพ่อเขียน ท่านเขียนให้ตรง ๆ เลย เคยให้หลวงพ่อมา ๒๐ งวดติดกัน ตั้งแต่รางวัลที่ ๑ ถึงเลขท้าย ๒ ตัว ไม่มีพลาดซักตัวเดียว แต่ท่านห้ามเล่น อยากพิสูจน์ดีนักให้เอาไปดูเฉย ๆ ถ้าอยากได้ไปเล่น งวดต่อไปค่อยไปเอา จนป่านนี้หลวงพ่อยังไม่ได้ไปเอาเลย...!

    หลวงพ่อเขียนสอนวิธีให้หวยแก่หลวงพ่อ ท่านว่า คุณมันมีของดีแล้วใช้ไม่เป็น การให้หวยก็ใช้ ทิพจักขุญาณ นั่นแหละ เพียงแต่ใช้ในด้าน นาคตังสญาณ ดูอนาคตว่า งวดไหนเลขมันจะออกอะไร แล้วใช้ อตีตังสญาณ บวกกับ ปัจจุปันนังสญาณ ดูวาระบุญของเขา ถ้าบุญเก่าของเขาจะให้ผล ก็รีบให้ไปเลย...

    ส่วนมากถ้าให้หวยแบบนี้ ต้องจำกัดจำนวนการเล่น ไม่อย่างนั้นเจ้ามือเจ๊ง...! พระก็อาจถึงตาย เพราะเจ้ามือตามมายิงกลิ้งคากุฏิ หรืออย่างที่หลวงพ่อให้ไปตรง ๆ ลืมจำกัด การเล่น หลวงปู่ปานเลยฟาดซะ หัวปูดเป็นลอนไปหลายวัน ท่านบอกว่า แบบนี้มันไปปล้นเขาชัด ๆ ...เป็นการละเมิดกฎของกรรมด้วย...!

    หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี ท่านเป็นราชันย์ในการให้หวยจริง ๆ ให้ติดต่อกันมาหลายสิบปี วิธีเล่นหวยของท่าน หลวงพ่อบอกว่าให้ตามไปเรื่อย ๆ งวดแรกเล่น ๑๐ บาท ถ้าไม่ออก งวดสองเล่น ๒๐ บาท งวดสาม ๓๐ บาท เพิ่มไปเรื่อย ๆ ไม่เกิน ๑๒ งวด ออกแน่นอน แต่ถ้าต้องการเร็ว ให้ตัดท้ายไปเล่นตัวเดียว ส่วนมากงวดแรกก็มาเลย...!

    พี่ก้องเกียรติพี่ชายอาตมา ได้หวยจากหลวงพ่อเนื่องไป ตามแค่สามงวดก็ทิ้ง งวดที่สี่ออกเจ๋ง ๆ สามตัวตรง ๆ แทบจะเขกกบาลตัวเอง โดนไปสองงวดก็เข็ด ไม่ไปขออีกเลย และเป็นที่น่าเสียดายอย่างสุดซึ้งคือ เมื่อหลวงพ่อเนื่องมรณภาพแล้ว หลวงพ่อจึงเปิดเผยว่า หลวงพ่อเนื่องเป็นพระอรหันต์...! ขอหวยจนพระอรหันต์ไปนิพพานทั้งองค์...!

    ปี ๒๕๒๖ น้ำท่วมมาก ที่อาตมาทำงานอยู่ถูกท่วมหมด เลยต้องเป็นพ่อพวงมาลัย ลอยไปวัดบ้าง บ้านสายลมบ้าง เงินทองร่อยหรอไปทุกที วันหนึ่งที่บ้านสายลม ครูฝึกมารายงานผลการฝึกมโนมยิทธิว่ามีผู้ฝึกได้ ๙๘ คน มีผู้ถามว่า "ออกมั้ยครับ...?" เล่นเอาฮากันตึง...หลวงพ่อบอกว่า "เอาอย่างนี้ซิ...๙๘ ลบออกจาก ๓๐๐ เหลือเท่าไหร่...?"

    ทุกคนมัวแต่นิ่ง หลวงพ่อเลยตัดบทว่า "ไอ้ขี้หมา...! แค่นี้ก็คิดไม่ทัน..." แล้วท่านก็ชวนคุยเรื่องอื่น ....อาตมาไปหาซื้อเลข ๒๐๒ แม่ค้าคงเห็นเป็นหมูมาชนปังตอ เพราะเป็นเลขที่เพิ่งจะออกไปหยก ๆ เลย ยัดเยียดมาให้ซะ ๘ คู่ เลขมันออกซ้ำ งวดนั้นฟันมา ๘,๐๐๐ บาท แต่ด้วยความโลภมาก งวดถัดไปเลยเอาไปคืนเจ้ามือหวยเถื่อนซะหมด...!

    การเล่นหวยมันติดยิ่งกว่าเฮโรอีน อาตมาเห็นมานักต่อนักแล้ว เป็นหนี้เป็นสินล้นพ้นตัว บอกให้เลิกแต่ไม่ยอมเลิก กู้หนี้ยืมสินเขามาเล่นก็เอา ลูกเมียจะลำบากอย่างไร ข้าไม่สน...! ขอให้ได้ลุ้นตัวโก่งวันหวยออกเป็นใช้ได้...

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสไว้อย่างชัีดเจนว่า หนทางแห่งความฉิบหาย คือ อบายมุข นั้น ประกอบด้วย

    ๑. ดื่มน้ำเมา
    ๒. เที่ยวกลางคืน
    ๓. เที่ยวดูการละเล่น
    ๔. เล่นการพนัน
    ๕. คบคนชั่วเป็นมิตร
    ๖. เกียจคร้านการทำงาน


    การพนันนั้น อาตมายังไม่เคยเห็นใครรวยเพราะมันซักรายเดียว มันเป็นเงินอาถรรพ์ ได้มาแล้วต้องหมดไปทุกที ไม่เห็นมีใครเก็บไว้ได้เลย ในที่สุด เรือนชานบ้านช่อง ตลอดถึงทรัพย์สินต่าง ๆ ก็ฉิบหายวายวอดไปกับการพนัน จนกล่าวกันว่า "โจรปล้น ๑๐ ครั้ง ไม่เท่าไฟไหม้ครั้งเดียว แต่ไฟไหม้ ๑๐ ครั้ง ไม่เท่ากับการเล่นการพนัน" มันมีแต่หมดกับหมด...!

    อาตมากราบเรียนถามหลวงพ่อว่า "เล่นหวยผิดศีลไหมครับ...?" ท่านเมตตาตอบว่า "ไม่ผิดหรอกลูก แต่...มันร้อน...!" อาตมาได้ฟังถึงกับสะดุ้งเฮือก...ใช่...มันร้อนจริง ๆ ยิ่งวันหวยออกด้วยแล้ว มันร้อนรุ่มกระวนกระวาย อยากจะรู้ผลเร็ว ๆ รอแล้วรออีก เมื่อไรจะประกาศผลซักที คิดฝันไปล่วงหน้าสารพัด ว่าถ้ารวยแล้วจะเอาเงินไปทำอะไรดี...?

    เมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อชี้ทางสว่างให้แล้ว ถ้าไม่เดินก็โง่เต็มที อาตมาจึงหย่ากับหวยอย่างเด็ดขาด กองสลากขาดลูกค้าที่ดีไปหนึ่งราย พอ ๆ กับพญามารที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธา "ไม่น่ารู้ตัวเล้ย...กำลังจะดึงมันลงนรกทั้งเป็นอยู่ทีเดียว...!"


    ๒ มีนาคม ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     
  4. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ๒๔. อาถรรพ์กว๊านพะเยา

    ดินแดนอาถรรพ์นั้นมีอยู่แทบทุกมุมโลก ในขณะที่วิทยาการของมนุษย์ ก้าวหน้าถึงขนาดเดินทางไปดวงจันทร์ ปล่อยยานอวกาศไปสำรวจดวงดาวต่าง ๆ แต่มนุษย์ก็ไม่อาจไขปริศนาดำมืดตามมุมต่าง ๆ ของโลก ด้วยวิทยาการสมัยใหม่ได้สำเร็จ...

    ป่าดงดิบแห่งลุ่มน้ำอเมซอน ยังคงแฝงเร้นด้วยตำนานลึกลับ ไม่ว่าจะเป็นงูยักษ์มหึมาที่เรียกว่า อะนาคอนดา หรือ เมืองแม่หม้าย ที่มีแต่หญิงสาวล้วน ๆ ทำการรบอย่างห้าวหาญไม่แพ้ผู้ชาย เป็นเพียงบันทึกและคำบอกเล่าที่ไร้หลักฐานยืนยัน...

    เทือกเขาหิมาลัย ประกอบด้วยยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก สูงสลับซับซ้อน ปกคลุมด้วยหิมะชั่วนาตาปี ซ่อนเร้นเรื่องราวของมนุษย์หิมะ ฤๅษีผู้ทรงฤทธิ์อภิญญา และภูติเทพ สารพัดตามความเชื่อของชาวพื้นเมือง ก็ยังเป็นดินแดนลึกลับตลอดกาล...

    ป่าดงดิบแห่งดินแดนกาฬทวีป มีเรื่องของมนุษย์ตัวจิ๋วเผาปิ๊กมี่ ที่ตัวนิดเดียวแต่ชอบกินช้างเป็นชีวิตจิตใจ สัตว์ป่าจำนวนมหาศาล มนุษย์เผ่าแปลก ๆ สัตว์ป่าพันธุ์ประหลาด ๆ เล่าขานกันต่อ ๆ มา ท้าทายนักพิสูจน์เป็นอย่างยิ่ง...

    ป่าดงดิบเขตแดนไทย-พม่า มีเมืองหลงสำรวจ นักล่าหัวมนุษย์เผ่าละว้า เสือโคร่งดำขนาดมหึมา จระเข้มหายักษ์ที่เรียกว่าตะโขง พระผู้ทรงอภิญญาจำนวนมาก ยังคงพ้นจากสายตาของโลกภายนอกตลอดมา...

    เรื่องราวของเมืองลับแล ดินแดนชาวบังบดผู้เป็นมนุษย์กึ่งเทพแก่งหลี่ผี มหาสีทันดร ที่กลืนทุกชีวิตที่ล่วงล้ำเข้าไป ดงพญาไฟ ป่าดงดิบ มหากาฬที่น้อยคนจะรอดมาได้ เมืองพญานาคใต้ลำน้ำโขง เป็นแค่เรื่องเล่าปากต่อปากสืบ ๆ กันมา...

    มีเรื่องอยู่ ๔ ประการ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสไว้ว่า อย่าไปค้นหาสาเหตุเลย จะเสียเวลาทำความดีไปเปล่า ๆ คือ...

    ๑. พุทธวิสัย ความสามารถของพระพุทธเจ้า อย่างน้อย ๔ อสงไขย ๑ แสนมหากัป ที่บำเพ็ญบารมีมา สิ่งที่พระองค์ทำได้ ย่อมเกินกว่าคนทั่วไปจะคาดคิดถึง...

    ๒. ฌานวิสัย ความสามารถของผู้ทรงอภิญญาสมาบัติ การเหาะเหินเดินอากาศ มุดน้ำ ดำดิน ท่องนรกเที่ยวสวรรค์ ถ้าเราทำไม่ไ่ด้ คิดไปก็หัวหงอกเปล่า ๆ ...

    ๓. กรรมวิบาก ผลแห่งกรรมที่ตนทำมานำพาให้ ร่ำรวย ยากจน มีอำนาจ ด้อยวาสนา สวยงาม อัปลักษณ์ คิดให้ตายก็คิดไม่ออกว่า เหตุใดกรรมจึงปรุงแต่งได้มหัศจรรย์ขนาดนั้น...

    ๔. โลกจิณไตย ความพิสดารของสิ่งต่าง ๆ ในโลก ถ้าดั้นด้นไปค้นหาด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ เกิดใหม่อีกหลายชาติก็ไม่แน่ว่าจะหาพบ...

    หลวงพ่อเล่าว่า สมัยยังเป็นเด็กหนุ่มอยู่ ตอนกลางคืนชอบไปเรือนท่านย่า ฟังท่านเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง วันหนึ่งระหว่างเดินทางไป พบหมู่บ้านประหลาดหมู่หนึ่งมาคั่นกลางอยู่ พอเดินไปถึงเรือนท่านย่า จึงถามว่าบ้านใคร...?

    ท่านย่ายืนยันว่า ไม่มีบ้านใครอยู่ระหว่างทางอย่างเด็ดขาด พอหลวงพ่อเดินทางกลับ ก็ไม่พบหมู่บ้านนั้นเสียแล้ว ไม่ทราบว่าหายไปทางไหน หลวงพ่อบอกว่า คงเป็นเมืองลับแลที่เขาเล่าลือกัน เสียดายว่าตอนนั้นไม่ได้คิดสงสัย ไม่อย่างนั้นจะลองเข้าไปในหมู่บ้านนั้นดู...!

    ลูกศิษย์ของหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม พบเห็นชาวเมืองลับแลออกมาทำบุญกับหลวงปู่ทุกวันพระใหญ่ มีที่สังเกตคือ พวกเขาจะมี กล้วยน้ำว้า มาทำบุญ กล้วยของเขาทุกเครือจะมี ๑๓ หวี ทุกหวีจะมี ๑๖ ผล...

    เคยมีผู้ติดตามไปหลายหน เพื่อจะได้ทราบว่าพวกเขามาจากไหน แต่พอเดินตามไปได้ไม่นาน ชาวลับแลเหล่านั้น ก็หายตัวไปเฉย ๆ ไม่ทราบว่าหายไปได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่จ้องดูอยู่ทุกอิริยาบถ ชนิดไม่ยอมให้คลาดสายตา แต่ก็คลาดกันไปทุกที...!

    อาตมาไม่เคยพบดินแดนลับแลขนาดนี้หรอก แต่ที่พบมาก็นับว่าประหลาดอย่างยิ่ง ตอนนั้นอาตมาเดินทางไปทอดกฐินที่เชียงใหม่ คณะที่ไปด้วยกันนั้น ส่วนใหญ่จะเมากันเละ ทำความอึดอัดใจแก่อาตมาเป็นอย่างยิ่ง...

    นับว่ายังโชคดี ที่ได้พบกับ คุณกัลยา (วิริยะ) สินวงศ์ ซึ่งมาคนเดียว เป็นพวกขวางโลกพอกัน คือเขาผิดศีลกันเท่าไร เราก็ไม่ยอมผิดไปด้วย เลยกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน เมื่อไปรถเสียแทบล้มประดาตายที่เวียงป่าเป้า พวกเราก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ...

    แวะเที่ยวกว๊านพะเยากันก่อน ปล่อยเขาไปเมากันต่อ เราไปเดินหาที่ถ่ายรูปกัน ทั้งที่ริมกว๊านและภายในกว๊าน พอถ่ายจนเป็นที่พอใจก็เดินทางกลับ ถึงกรุงเทพฯ แล้วเอาฟิล์มไปล้าง ภาพที่ออกมาทำเอางงเป็นไก่ตาแตก...!

    ไม่ว่าเป็นภาพการถวายกฐิน งานเลี้ยงขันโตก สถานที่เที่ยวต่าง ๆ ตลอดถึงริมกว๊าน ล้วนแต่ชัดเจนแจ่มใส แต่ทุกภาพที่ถ่ายภายในกว๊านขาวโล่งไปเฉย ๆ ชนิดหาสาเหตุไม่ได้ อาตมากับกัลยาได้แต่มองหน้ากัน มันเป็นเพราะอะไรกันแน่...?

    ภายในกว๊านมีอาถรรพ์อะไร...? สิ่งลี้ลับทักทายหรือไฉน..? ใครบอกได้บ้าง...?


    ๒ มีนาคม ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ


    บันทึกเพิ่มเติม มาภายหลังเมื่อคุ้นเคยกับพวกลับแลแล้ว จึงทราบว่าพวกเขาก็เป็นคนอย่างเรานี่เอง เพียงแต่ทำความดีไว้มากกว่า ความดีนั้นดีเกินกว่าจะมาอยู่ร่วมกับเรา แต่ไม่เพียงพอที่จะไปเป็นเทวดา จึงต้องเกิดเป็นชาวลับแล

    พวกเขาจะมีอยู่ในทุกมุมโลก เป็นเขตเฉพาะ ต่างหากออกไป ถ้าไม่ใช่พวกของเขา หรือเป็นบุคคลที่เคยมีกรรมร่วมกับพวกเขาแล้ว จะไม่สามารถเข้าไปในเขตของเขาได้ อาตมาเองได้รับนิมนต์จากหัวหน้าชาวลับแล ให้เข้าไปในเขตของเขา แต่ยังไม่รับปาก เพราะเวลาของเขา ๑ วัน เท่ากับ ๑ ปีของเรา...!


    ๘ กรกฎาคม ๒๕๔๙
    พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺปญฺโญ
     
  5. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ๒๕. ชนแหลก...!

    การพบกับอุบัติเหตุต่าง ๆ นั้น นับเป็นของธรรมดา ยิ่งอุบัติเหตุทางรถยนต์ด้วยแล้ว เกือบจะมีให้เห็นอยู่ทุกวัน โชคดีก็แค่บาดเจ็บเล็กน้อย โชคร้ายก็นอนอ่านหนังสือพิมพ์ รอให้คุณปอฯ มาช่วยเก็บ ถ้ามีประกันอยู่ คนหลังเขาก็ร้องไห้ดีใจ ถ้าไม่มีก็เสียใจมากหน่อย...!
    อาตมาซ้อมขับรถแทบเป็นแทบตาย พอไปยื่นเรื่องขอสอบใบขับขี่ เจ้าำหน้าที่ท่านก็แสนจะเมตตา ค่าใบขับขี่ตลอดชีวิต ๒๐๐ บาท ท่านบอกว่า เอามา ๓๐๐ บาท แล้วไปรอรับใบขับขี่ที่บ้านได้...! รู้อย่างนี้ไม่หัดให้เสียเวลาหรอก (ใจดีแบบนี้ทุกคนหรือเปล่าก็ไม่รู้...?)


    เมื่อได้ใบขับขี่มาก็เริ่มซ่า...ขับลุยให้มั่วไปหมด ทำสถิติชนข้างฝาพังไปทั้งแถบ ชนวัวที่เอ้อระเหยข้ามถนนจนรถพัง แต่วัวไม่เป็นอะไรเลย...! ที่หนักที่สุดในชีวิตคือ วันเดียวชนมันสามครั้งรวด...! เรื่องมันเป็นอย่างนี้ขอรับคุณตำรวจ...!

    พี่ประสิทธิ์จะเอารถลูกค้าคันหนึ่ง จากเพชรบุรีตัดใหม่ ไปปลุกผีที่อู่ซอยอ่อนนุช ถ้าจ้างรถลาก อย่างน้อยก็เสีย ๔๐๐ บาท เรื่องอะไรจะไปจ่ายให้โง่ ในเมื่อเราเองก็มีฝีมือ ว่าแล้วพี่เขาก็แสดงการลากเอง แต่ให้อาตมาถือพวงมาลัย...!

    ไอ้ปิ๊คอัพคันนี้ ระบบต่าง ๆ มันดับจิตหมดมาตั้งหลายปีแล้ว โดยเฉพาะเบรคแข็งเป็นหิน กระทืบยังไม่ยอมลงเลย ลูกค้าเขามาขอให้เป็นหมอผี ช่วยปลุกมันให้ฟื้นหน่อย เพื่อเงิน เอ๊ย...เพื่อชื่อเสียงของอู่ เราก็จำเป็นต้องรับไว้...แฮ่...!

    เหล็กลากถูกดัดแปลงจากแป๊บน้ำขนาด ๒ นิ้ว เอาเหล็กขนาด ๒ หุนดัดเป็นห่วง ใช้โซ่คล้องกับคัซซีเจ้าปิ๊คอัพอีกด้านคล้องกับหูแหนบของรถลาก พอเรียบร้อยก็บรรเลงเล้ย...ไม่ต้องดูฤกษ์ดูยามอะไรกันแล้ว...!

    พอออกตัวได้พี่ประสิทธิ์เขาก็ไปลิ่ว...รถราในกรุงเทพฯ มันเยอะขนาดไหนก็รู้อยู่ มีช่องว่างตรงไหนพวกเป็นจิ้มพรวดทันที แล้วช่วงลากระหว่างรถ ๒ คัน ยาวเป็นวา จึงมีพวกไม่ดูตาม้าตาเรือ คอยเสียบเข้ามาอยู่เรื่อย...อาตมาหัวใจแทบวาย...!

    ตะโกนบอกพระพี่ท่านให้ไปช้า ๆ หน่อย แต่พี่เขาทรงอุเบกขาดีแท้ ๆ ไม่ฟังเสียงเลย อาตมาเลี้ยงพวงมาลัย หลบรถต่าง ๆ แทบประสาทกินตาย ...บางทีมีช่องแค่คันหน้าไปได้ พี่ท่านก็เสียบพรวดเข้าไป โดยไม่ได้นึกถึงสวัสดิภาพของอาตมาซักนิดเดียว...!

    ช่วงแรกรถรายังมากอยู่ ไปได้ไม่เร็วนักพออาศัยเลี้ยงพวงมาลัย ให้เหล็กลากเป็นเส้นตรงค้ำเจ้าปิ๊คอัพให้หยุดได้ พอท้ายถนนเพชรบุรีตัดใหม่จะเข้าคลองตัน รถชักบางตาลง พี่เขาใส่ซะเต็มที่เลย...อาตมาตะโกนจนเสียงหลงพี่แกก็ไม่ฟัง...!

    และแล้ว...เหตุการณ์วินาศสันตะโรก็เกิดขึ้น เมื่อรถลงสะพานมาด้วยความเร็วสูง ข้างหน้าเป็นไฟเขียวสว่างโร่ พี่ประสิทธิ์คิดจะไปยาวเลย ก็เร่งความเร็วขึ้นอีก รถปิ๊คอัพสีแดงคันหนึ่ง พรวดออกมาจากซอยซ้ายมือ ตัดหน้าอย่างกระชั้นชิด...!

    "เ-อี๊-ย-ด-ด...โ-ค-ร-ม...!" เสียงแบบนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่ได้เกิดกับเจ้าปิ๊คอัพแดงนั่นหรอก เจ้านั่นปาดหน้าได้ก็เข้าไฟเขียว ไปแน่บไม่เหลียวหลัง อาตมาเองที่รับไปเนื้อ ๆ เหล็กลากรับแรงรถที่มาเร็วขนาดนั้นไม่ไหว จั่วท้ายคันหน้าดังสนั่น...!

    รถที่พี่ประสิทธิ์ใช้ลาก เป็นรถเก๋งโตโยต้าคราวน์รุ่นเก่า ที่มีคัชซีเหมือนรถปิ๊คอัพ ความแข็งไม่ต้องพูดถึง กระโดดขึ้นนั่งบนฝากระโปรงได้ โดยไม่มีรอยยุบก็แล้วกัน ถึงแข็งขนาดนั้นก็เถอะ โดนเข้าเต็ม ๆ อย่างนั้น ถึงกับยุบไปครึ่งคัน ดันเป็นรถของลูกค้าซะด้วย...!

    อะไรจะเกิดมันตัองเกิด...ว่าแล้วพี่เขาก็ลากต่อไป ไม่ถามซักคำว่าอาตมาเป็นอย่างไรบ้าง...? ออกรถได้ก็ไปแบบเดิมอีก ให้ตายเถอะโรบิ้น..นี่ท่านพี่เขาคิดว่าอาตมาเป็นซูเปอร์แมนหรืออย่างไร...? ภาวนาเรียกหลวงพ่อให้ช่วยไปตลอดทาง...!


    แรงกระแทกทำให้ห่วงลากร้าว พอรถกระชากไม่กี่ทีก็ง้างออก เพิ่งออกรถไปได้ไม่ถึง ๒ กิโลเมตร รถคันหน้าก็วิ่งห่างออกไปผิดปกติ...ตายละวา...เหล็กลากขาด...! เบรคก็ไม่มี รถราก็เต็มไปหมด พ่อแก้ว แม่แก้ว หลวงปู่ หลวงพ่อ ช่วยลูกช้างด้วย...!

    "โ-ค-ร-ม" เสาไฟฟ้าเป็นที่พึ่ง หยุดสนิทดีจริง ๆ ...! พี่ประสิทธิ์ถอยรถกลับมา ทำหน้าปั้นยาก ไม่พูดไม่จา ถอดเหล็กลากออกวิ่งไปหาร้านเชื่อมให้เชื่อมใหม่ แล้วยิ้มแหย ๆ กับอาตมา พลางคล้องเหล็กเข้าที่เดิม จัดการลากต่อ โอ๊ย...ทารุณจริง ๆ ...!

    นึกว่ารอดแล้วเชียว...ที่ไหนได้...พอถึงโค้งโรงเจเก่าซอยอ่อนนุช เจ้าห่วงลากขาดอีกหน รถวิ่งทื่อเข้าหาชาวบ้านข้างทาง อาตมาหักซ้ายสุดตัว เฉียดคุณป้าแก่ ๆ ไปนิดเดียว แล้วพุ่งลงข้างทางที่สูงเกือบเมตรครึ่ง เบรคกับจอมปลวกดังสนั่นหวั่นไหว...!

    อาตมาเซ็งในอารมณ์จนบอกไม่ถูก เลยนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ในรถ ปล่อยให้เขาช่วยกันงัดรถที่ยับเยินไปทั้งคัน ลากเอาอาตมาออกมา พอเห็นว่าไม่เป็นอะไร พี่เขาก็ถอนใจโล่งอก ขอแรงรถบรรทุกดินลากเจ้าปิ๊คอัพมหาภัยขึ้นมา เชื่อมห่วงลากเสร็จก็ไปใหม่...!

    ด้วย ธงมหาพิชัยสงคราม และ เหรียญกูผู้ชนะ ของหลวงพ่อ ที่พกอยู่แท้ ๆ อาตมาจึงถือพวกมาลัยรถไปจนถึงอู่ โดยไม่มืออ่อนตีนอ่อนไปซะก่อน เฮ้อ...อยู่ชายแดนลูกปืนบินถากหัว ยังไม่น่ากลัวเท่าขับรถในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะตอนถือพวงมาลัยตามพี่ชายคนนี้...!


    ๒ มีนาคม ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     
  6. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ๒๖. ตะขาบเจ้ากรรม

    พระพุทธศาสนาของเราสอนให้คนยอมรับกฎของกรรม ใครทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว โดยแยกแยะกรรมต่าง ๆ ออกเป็นหมวดหมู่ แบ่งออกถึง ๑๒ ประเภท ถ้าอยากทราบรายละเอียดไปหาอ่านเองได้ จากหนังสือ กัมมทีปนี ของ พระเทพกวี แห่งวัดดอน ยานนาวา กรุงเทพฯ เล่มเบ้อเริ่มเทิ่ม อ่านกันตาแฉะไปเลย...

    คำว่า กรรม เป็นคำรวม แปลว่าการกระทำ ถ้าทำดีเรียกว่า กุศลกรรม ถ้าทำชั่ว เรียกว่า อกุศลกรรม กรรมนี้จะเป็นตัวกำหนดว่าเราจะไปเกิดยังภพภูมิใด ถ้าทำความดีมีการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เป็นต้น จะได้ไปเกิดเป็น เทวดา พรหม หรือ ถึงที่สุดเข้าสู่พระนิพพานไปเลย ถ้าต้องเกิดเป็นมนุษย์ ก็มีความร่ำรวย หน้าตาสะสวย มีแต่ความสุขสะดวกสบาย...

    ถ้าทำความชั่ว เช่น ละเมิดศีล ๕ ละเมิดกรรมบถ ๑๐ ก็จะตกสู่อบายภูมิ เกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ถ้ามาเป็นคนก็เป็นคนที่ไม่สมประกอบ พิกลพิการ บ้าใบ้ ยากจนข้นแค้น เป็นต้น ด้วยเหตุจากการปรุงแต่งของกรรม คือ การกระทำของเราเองทั้งนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนคนให้ยอมรับกฎแห่งกรรม ทุกวันนี้เราเสวยผลของกรรมเก่า จะดีชั่วอย่างไรก็เราทำมาเอง (ห้ามบ่นเด็ดขาด...!)

    องค์สมเด็จพระทศพล ทรงสอนวิธีการพิสูจน์ให้เราได้รู้เห็นตามความเป็นจริงว่า ถ้าเราทำดีทำชั่วแล้ว ต้องไปเกิดเพื่อเสวยกรรมนั้น ที่ภพใดภูมิใดกันบ้าง ความรู้สำคัญนี้ เรียกว่า กรรมฐาน แบ่งออกเป็น ๔ หมวด ถ้าปฏิบัติใน ๓ หมวดหลัง คือวิชชา ๓ อภิญญา ๖ และ ปฏิสัมภิทาญาณ ๔ หมวดใดหมวดหนึ่ง พอเกิด ทิพจักขุญาณ ก็สามารถพิสูจน์ทราบด้วยตัวเอง อยากรู้เห็นภพภูมิใด ๆ ตอนนี้ไม่ใช่ของยากแล้ว...!

    หลวงพ่อเมตตาสอนกรรมฐาน ที่เรียกว่า มโนมยิทธิ ซึ่งเป็นหมวดหนึ่งของอภิญญา ๖ ให้คนพิสูจน์ผลของกรรม มีคนฝึกได้นับแสนคนแล้ว เมื่อทราบว่า ทำดีแล้วได้รับผลดีอย่างไร ทำชั่วต้องรับผลของกรรมชั่วอย่างไร ทุกคนจะได้ละความชั่ว หันมาทำความดีกัน หรือเวลาเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเรา ได้รู้ว่าเกิดจากกรรมอะไร จิตใจจะได้ปล่อยวาง ว่าเป็นเพราะเราทำมาเอง เราต้องก้มหน้ารับกรรมไป...

    เมื่ออาตมารับการฝึกมโนมยิทธิมาแล้ว ก็พยายามฝึกฝนในด้านของญาณ ๘ คือ ใช้ความเป็นทิพย์ของใจ ไปเป็นความรู้ ๘ อย่าง ได้แก่...

    . ทิพย์จักขุญาณ มีความรู้สึกทางใจคล้ายตาทิพย์ ๒. เจโตปริยญาณ รู้วาระจิตของคนอื่น ๓. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้ ๔. จุตูปปาตญาณ รู้ว่าคนและสัตว์เกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน ๕. อตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ที่ล่วงมาแล้ว ๖. อนาคตังสญาณ รู้เหตุที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ๗. ปัจจุปันนังสญาณรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ ๘. ยถากัมมุตาญาณ รู้กฏของกรรม

    ฝึกแล้วฝึกอีก ไม่แน่ใจซักที จนครูชอ (คุณอัญชัญ ศุทธรัตน์) ไล่ตะเพิดเอาว่า คล่องตัวกว่าครูแล้วยังจะมาตื้อเอาอะไรอีก จะลองดีกันหรือไง...? แฮ่...แฮ่... ผู้น้อยมิบังอาจ เดินหน้าเหี่ยวออกมา หลวงเมตตาบอกว่า “คล่องตัวแล้วก็สอนคนอื่นได้เลยนะ....”

    กราบอาราธนาบารมีครูบาอาจารย์ทั้งหมด ช่วยสงเคราะห์ยามสอนคนอื่น ทำใจกล้าหน้าด้านเข้าไปสอนอย่างนั้นแหละ คิดว่าถ้าได้ก็เป็นกำไร ถ้าไม่ได้ก็เสมอตัว ปรากฏว่าได้ แถมลูกศิษย์เก่งกว่าครูซะอีก ครูเลยต้องเร่งตัวเองสุดชีวิต....

    การทบทวนบ่อย ๆ ความคล่องตัวก็เกิด เดินไปเห็นคนอื่นมือหงิกใจมันบอกเลยว่าเขาไปหักขากบมา มันรายงานเสร็จยังไม่พอ บางทีมีภาพแสดงให้เห็นชัดแจ๋วเลย...!

    คืนหนึ่ง...อาตมาสะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึก รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งอก เหมือนมีบาดแผลอย่างฉกรรจ์ ปวดจนกระดิกตัวไม่ได้ พยายามทบทวนว่านี่เราไปโดนอะไรมา ก็หาคำตอบไม่ได้ ก่อนนอนมันยังเป็นปกติอยู่นี่นา...

    รวบรวมกำลังใจทั้งหมด เอื้อมมือไปยังสวิทช์ไฟอย่างลำบากยากเย็น พอกดสวิทช์ไฟสว่างขึ้น ....อาตมาก็เห็น ....ตะขาบตัวดำสนิท แต่ขาแดงฉานอย่างกับเปลวไฟ วิ่งปราดออกไปจากส่วนอก...! “ไอ้นี่เองที่กัดเรา...ทำไมมันถึงได้กัดเรานะ..?”

    ความคิดเกิดขึ้นภาพก็ปรากฏ... เป็นการพันตูกันระหว่างกองทัพไทยกับพม่า ทหารพม่าโถมเข้าฟันทั้งตัว ทหารไทยเบี่ยงออกซ้ายฟันด้วยดาบขวาย้อนจากล่างขึ้นบนโดนเข้าเต็มอกแทบขาดสะพายแล่งทหารพม่าล้มตายคาที่...!

    ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง เราทำเขาไว้ก่อน ชาตินี้เขาตามมาทวงคืนถึงจะเจ็บปวดสาหัสสากรรจ์ขนาดไหน ก็ไม่ถึงแก่ชีวิตอย่างที่เราทำไว้หรอก ร้อยหนึ่งเขาทวงแค่บาทเดียว ทำไมเราจะให้เขาไม่ได้....!จิตใจมันปล่อยวาง ดูเจ้าตะขาบเลื้อยหนีไปอย่างสบายใจ ขอให้อโหสิกรรมต่อกันเถิด อย่าได้จองเวรจองกรรมกันสืบไปเลย เวรกรรมทั้งหลายจงสิ้นสุดลงเพียงชาตินี้ เราให้อภัยแก่เธอ ขอเธอจงยกโทษทัณฑ์ทั้งหมดแก่เราด้วยเถิด...


    ๓ มีนาคม ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     
  7. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ๒๗. ความรู้สึกช้า

    ตอนเป็นวัยรุ่น อาตมาเป็นคนเลือดร้อน เจ้าโทสะ ใครพูดผิดหูเป็นได้เรื่อง ไม่ต้องถึงพูดหรอก บางทีแค่มองหน้าก็ได้เรื่องแล้ว ไม่มีคนมาหาเรื่องเราก็ไปหาซะเอง ฟาดกันจนปากปลิ้นเป็นครุฑ กินน้ำพริกไม่ได้ ค่อยนอนหลับหน่อย...

    ต่อมาเมื่อฝึกกรรมฐานกับหลวงพ่อแล้ว ก็พยายามใช้กำลังใจข่มโทสะ ตามที่หลวงพ่อเมตตาสอนว่า “ แรก ๆ เรายังละโทสะไม่ได้ให้พยายามขังมันเอาไว้ เหมือนขังเสือไว้ในอก อย่าให้ความเลวมันไหลออกมา ทางกายหรือวาจาได้”

    ยิ่งไปพบการฝึกแบบทหาร ถูกกลั่นแกล้งตลอดเวลา เพื่อทดสอบความอดทน อดกลั้น จากเช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้าเป็นปี ๆ จิตใจก็เริ่มหนักแน่นขึ้น มีความอดกลั้นต่อเรื่องราวต่าง ๆ มากขึ้นตามลำดับ อารมณ์ใจอยู่กับการภาวนาจนเคยชิน...

    หลักสูตรจู่โจม เขาสอนวิธีฆ่า และ ทำลายล้างทุกรูปแบบ อาวุธทุกชนิดตั้งแต่เข็มเย็บผ้าขึ้นไป ต้องใช้ฆ่าคนได้ทุกอย่าง อาตมาจึงเกิดสลดใจขึ้นมาว่า ชีวิตคนช่างน้อยนิดเหลือเกิน แค่กระดิกนิ้วก็ตายเสียแล้ว เกิดอารมณ์สงสารขึ้นมาจับใจ....

    เวลาเห็นวัยรุ่นยกพวกตีกัน ปกติชอบผสมโรงเป็นที่หนึ่ง อัดมันทั้งสองฝ่ายนั่นแหละ...!แต่มาถึงตอนนี้ กลับคอยเลี่ยงห่าง ๆ เข้าไว้เรามันคนมือไม้หนัก ฉวยพลาดพลั้งลงมือไปตามความเคยชิน จะกลายเป็นฆาตกรไปซะเปล่า ๆ ...

    ในซอยที่อาตมาอยู่ มีวัยรุ่นแสบ ๆ อยู่หลายกลุ่ม คอยระรานชาวบ้านเขาไปทั่ว ไม่มีใครกล้าเอาเรื่องกับมัน นอกจากอาตมากับพี่น้องเท่านั้น ตอนนั้น อาตมาเพิ่งออกจากราชการได้ไม่นาน ส่วนน้องแสงชัยเป็นครูฝึกของเหล่าราบอากาศอยู่...

    “ตามธรรมเนียมไทยแท้แต่โบราณ ใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ อย่างดีเลิศตามมีและตามเกิด ให้เพลิดเพลินกายากว่าจะกลับ” ผู้ใหญ่ท่านสอนไว้ คนว่าง่ายอย่างอาตมากับพี่น้อง จึงต้อนรับผู้มาหาเรื่องอย่างประทับใจ หามกันร่องแร่งกลับไปทุกที...

    ได้รับการต้อนรับอย่างดีทุกครั้ง พวกเขาเลยมากันบ่อย ไม่ว่าจะเป็นหนึ่งต่อสี่ ตัวต่อตัวมีรุม หรือ วันบายกลุ่ม โดนมาแล้วทั้งนั้น ครั้งที่หนักที่ คือ สองต่อสามสิบ เล่นยกขบวนปิดซอยกันเลย เป็นไรมี...มาเท่าไหร่ก็ยินดีต้อนรับ...

    คนที่ผ่านการฝึกมาโดยเฉพาะ กับคนที่มีแต่แรงกับความคะนองมันห่างกันสุดกู่ ต่อให้มามากเท่ามาก พอคนหน้าลงไปนอนอมยิ้มสัก ๒-๓ คน ที่เหลือก็แตกฮือทั้งขบวน ในที่สุด ก็ฝากเอาไว้ก่อน คราวหน้ามาใหม่ เลยได้ดอกทบต้นหนักเข้าไปอีก...

    เป็นอย่างนี้มาตลอด แต่ไม่มีเสียละที่จะเข็ด พอรวบรวมขวัญและกำลังใจได้ บวกกับได้แรงยุจากเพื่อน ๆ ก็แห่กันมาอีก ส่วนใหญ่จะเป็นพวกหน้าใหม่ ๆ พวกเก่าที่รู้รสมือรสเท้าดีแล้วมักจะนกรู้ คอยหลบอยู่ห่าง ๆ เป็นฝ่ายยุลูกเดียว ...

    อาตมาขอชมเชยวัยรุ่นประจำซอยทุกคนว่า มีความเป็นลูกผู้ชายดีมาก ไม่ยอมใช้เครื่องแรงแบบซอยอื่นเขา อย่างดีก็แค่สนับมือหนักหน่อยก็มีดหรือคมแฝก ของหนักประเภทปืนหรือระเบิด ไม่เคยเห็นใช้แบบซอยอื่นเขา (อาจจะกลัวเจอไอ้ที่หนักกว่า...)


    คืนหนึ่ง....อาตมาสะดุ้งตื่นกลางดึก ด้วยเสียงตะโกนและเสียงถีบประตูโครม ๆ แอบดูก็เห็น “ขาใหญ่” ประจำซอย กำลังอาละวาดอยู่ด้วยความเมา แค่นี้ไม่หนักใจหรอก แต่ที่เสียวไส้ยิ่งกว่านั้น คือ พี่ประสิทธิ์ที่ยืนเงียบที่ข้างประตู ในมือถือดาบเปลือยคมขาววับ..

    ขืนปล่อยไว้คงมีข่าวหน้าหนึ่งเป็นแน่ อาตมารีบเปิดประตูออกไป ยกมือไหว้ขอร้องให้เขากลับไป อย่ามาท้าตีท้าตอยเลย อาตมาไม่สู้หรอก พยายามพูดให้พวกเขาได้ยิน เพราะรู้ดีว่าพวกนี้ไม่เคยไปเดี่ยว ตามมุมมืดต้องมีพรรคพวกของเขาแอบอยู่อย่างแน่นอน...


    เจอไม้นวมเข้าคงคาดไม่ถึงเลยยอมกลับไป นึกว่าหมดเรื่องแล้วกำลังจะเข้านอนก็ต้องลุกขึ้นมาใหม่ เพราะเสียงท้าทายดังขึ้นอีกแล้ว เฮ้อ....กูละเบื่อ มันอยากเจ็บตัวซะจริง ๆ ออกไปเป็นทูตสันติอีกครั้ง ใจเกาะคำภาวนาแน่น เย็นเหมือนซุกน้ำแข็งไว้ในอก...


    แต่คราวนี้ขาใหญ่ไม่ฟังเสียง ด่าพ่อล่อแม่หยาบคายฟังไม่ได้จนถึงประโยคสุดท้ายที่ว่า “ ถุย... ทหารมันจะแน่ซักแค่ไหนวะ...?” อาตมาก็ถูกดึงออกด้านข้าง น้องแสงชัยนั่นเอง ออกมาตอนไหนไม่รู้ บอกสั้น ๆ ว่า “ผมเอง”....


    ตูมแรกคือแข้งขวา พาดเข้าทัดดอกไม้ ฝ่ายตรงข้ามโค่นเหมือนท่อนซุงผุ ๆ แต่ไม่ได้ลงถึงพื้น เพราะแข้งซ้ายหวดรับเข้าที่ชายโครงจากนั้นก็เป็นการเตะเลี้ยงไม่ให้ล้ม พรรคพวกของมันกรูกันออกมาแต่ชะงักเมื่ออาตมาบอกว่า “อยากเจ็บตัวบ้างก็เข้ามา...”

    น้องแสงชัยเตะไปสั่งสอนไป แต่อีกฝ่ายจะซึมซับได้เท่าไรไม่รู้...? เนื่องเพราะรับประทานแข้งแทบรากเลือด พอเลิกเตะก็กองกับพื้นเหมือนผ้าขี้ริ้ว อาตมาต้องแบกมันไปส่งถึงบ้าน ตอนกลับมาแล้วนี่ซิ มันโกรธจนสั่นไปทั้งตัว “รู้อย่างนี้กูเตะซะเองก็ดีหรอก...”

    ความโกรธเหมือนน้ำป่า บ่าไหล ทะลักทลายมาอย่างควบคุมไม่อยู่ พยายามภาวนามันก็ไม่เอาด้วย อีตอนมันอยู่ไม่รู้สึก เสือกมาโกรธตอนนี้ หาที่ระบายไม่ได้ซะด้วย กรรมฐานพังไปหลายวัน ความรู้สึกช้าแบบนี้ไม่ค่อยดีเลยแฮะ...

    ๒ มีนาคม ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     
  8. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ๒๘. ผีบังตา

    ในอารกสูตร สัตตกนิบาต อังคุตรนิกายกล่าวถึงศาสดานอกพระพุทธศาสนา ชื่อว่า อารกะ ได้สอนศิษย์ของตน ว่าชีวิตเป็นของน้อยไม่ควรประมาท ได้เปรียบเทียบไว้ว่า...

    - ชีวิตเหมือนหยาดน้ำค้าง คือ มีแต่จะระเหยแห้งหายไปโดยเร็ว
    - ชีวิตเหมือนต่อมน้ำ คือ ผุดขึ้นมาก็แตกทำลายไปโดยพลัน
    - ชีวิตเหมือนรอยไม้ขีดลงในน้ำ คือ ปรากฏวูบก็หายวับไป
    - ชีวิตเหมือนลำธารไหลลงจากภูเขา คือ มาโดยฉับพลัน แล้วผ่านไปทันที
    - ชีวิตเหมือนก้อนเขฬะ คือเหมือนน้ำลาย ที่มีแต่จะถูกเขาถ่มทิ้ง
    - ชีวิตเหมือนชิ้นเนื้อนาบไฟ คือ จะถูกเผาไหม้หมดไปในเวลาไม่นาน
    - ชีวิตเหมือนโคที่เขานำไปฆ่า คือ ต้องตายอย่างแน่นอน ไม่มีทางหลบพ้น

    ขนาดศาสดานอกพระพุทธศาสนา ยังสอนธรรมได้น่าฟังขนาดนี้แต่เขาเห็นแค่ อนิจฺจํ ความไม่เที่ยงและ ทุกฺขํ ความเป็นทุกข์เท่านั้นไม่มีปัญญารู้ถึง อนตฺตา ความไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงรู้....

    ชีวิตของอาตมา เลียบเลาะขอบเหวแห่งความตายมาหลายครั้งไม่ว่าจะเป็นการหมดลมเพราะท็อฟฟี่อุดคอ เป็นมัยโคพลาสม่านิวมอเนียสลบไปสองวันสองคืน กระดูกคอเคลื่อนทับประสาท อาเจียนจนตัวซีดเป็นจิ้กจก ฉันข้าวไม่ได้แม้แต่เม็ดเดียวตั้งหกวัน..

    นั่นมันเป็นเรื่องปกติธรรมดา (แล้วไอ้ที่ไม่ธรรมดามันเป็นอย่างไง...?) แต่ถ้าท่านเจอเรื่องราวประหลาด ที่ชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นเพราะผีบังตาเพื่อจะเอาชีวิตท่าน แล้วท่านจะทำอย่างไร...? ถึงชีวิตเป็นของน้อย แต่มันไม่ได้ตายแบบปกตินี่ขอรับพระคุณท่าน..

    ตอนเด็ก ๆ มีเรื่องเล่ากันว่า เด็กที่เล่นซ่อนหาตอนกลางคืนถูกผีบังเอาไว้ หายไปเป็นเวลานาน กว่าจะตามกันเจอ ต้องเดือดร้อน ทั้งหมอพระหมอผี หลายต่อหลายรายที่เจอดี แต่อาตมาแคล้วคลาดไปทุกที เลยได้แต่ฟังเขาเล่าว่าตลอดมา...

    คุณประเสริฐ โตทัพ เพื่อนบ้านที่แสนดี ขับรถตกถนนขาหักหลายท่อน ตอนไปเยี่ยมท่านได้ถามว่า ทำไมเกิดอุบัติเหตุ...? ท่านบอกว่า “ผมก็ขับไปตามปกตินี่แหละ เห็นถนนใหญ่ ๆ โล่ง ๆ มารู้ตัวอีกทีตอนลงไปอัดกับจอมปลวกแล้ว...”

    ทุกคนลงความเห็นว่า “ผีบังตา ตามเคย สรุปได้ความว่า คนที่เคราะห์ร้ายดวงตก หรือจะต้องตายโหงแล้วไซร์ ผี (ไอ้ตัวเสือก..
    ) จะบังตา ให้เกิดอันตรายนานาประการ จะหนักเบาตามแต่เคราะห์กรรม แต่อาตมาไม่เคยเจอเลยไม่ยอมเชื่อ...

    ตอนเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯแล้ว อาตมาจึงเจอเข้าเต็ม ๆ ถึง ๒ วาระ ทำให้เชื่อสนิทเลยว่า คนเราที่เกิดอุบัติเหตุนั้น มองไม่เห็นจริง ๆ ส่วนจะเป็นผีบังตาอย่างโบราณว่าหรือไม่นั้น ขอมอบเป็นการบ้านให้ท่านไปวินิจฉัยเอง...

    ครั้งแรก...อาตมาข้ามถนนที่ปากซอยหน้าบ้าน มองขวามองซ้ายเห็นถนนว่างดี อาตมาก็รีบข้ามทันที เสียงเบรคดังสนั่นหวั่นไหว... ปิ๊คอัพสีเขียวขี้ม้าคันหนึ่ง พุ่งเข้ามาถึงตัว แรงส่งที่มาด้วยความเร็วสูงทำให้เบรคไม่อยู่...

    เหมือนมีใครกระชากคอเสื้อ อาตมาปลิวถอยไปข้างหลัง ปิ๊คอัพคันนั้นเฉียดไปอย่างหวุดหวิด เมื่อครู่ก็ดูดีแล้วว่าถนนว่าง แล้วเจ้าปิ๊คอัพมหาภัยมาได้อย่างไร..? จะไม่เชื่อเรื่องผีบังตาก็ไม่ได้ สายตาไม่ได้มีปัญหา แล้วทำไมถึงมองไม่เห็น...?

    ครั้งที่สอง...อาตมาเดินอยู่ข้างสะพานลอยพระโขนง อเมริกันโฮลเด้น คันมหึมาทื่อเข้ามาถึงตัว อาตมากระเด็นไปข้างหน้าเหมือนถูกถีบ พ้นจากการโดนบี้ชนิดเส้นยาแดงผ่าสิบหก คนขับรถนั่งปากอ้าตาค้าง คงจะเพิ่งเห็นอาตมาเหมือนกัน...

    ไอ้ผีร้ายนี้บังได้แสบมาก...มันเล่นบังทั้งคนขับทั้งอาตมาเลย ดีที่บารมีครูบาอาจารย์ยังคุ้มหัว เพราะอาตมาพก ธงมหาพิชัยสงคราม และ เหรียญกูผู้ชนะ ของหลวงพ่อ ทำให้รอดพ้นจากเคราะห์กรรมไปอย่างหวุดหวิด...

    เรื่องพิสดารเหล่านี้ ควรรับฟังเอาไว้บ้าง พอเป็นเครื่องประดับความรู้ ที่สำคัญที่สุด คือต้องเร่งการปฏิบัติให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ถ้าถึงระดับหนึ่งแล้ว ความตายก็ไม่ใช่ของน่ากลัวเลย แม้แต่น้อย กล้ากวักมือเรียกมันให้มาเสียด้วยซ้ำไป...



    ๓ มีนาคม ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     
  9. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ๒๙. ท่านแม่เรือล่ม

    อนุสาวรีย์แห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก คือ ทัชมาฮาลปราสาทหินอ่อนทั้งหลัง ซึ่งตั้งอยู่ ณ ดินแดนชมพูทวีป ความยิ่งใหญ่โอฬารของมัน ถูกจัดเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของโลก นั่นเป็นสิ่งแสดงออกซึ่งความรักอันยิ่งใหญ่ที่ ชาห์เจฮัน มีต่อ พระมเหสีมุมตัส

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสว่า ปิยโต ชายเต โสโก ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีแต่ความเศร้าโศก ปิเยหิ วิปฺปโยโค ทุกฺโข ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งปวง ย่อมเป็นทุกข์ ผู้ทุกข์โศกในโลกนี้ มิใช่มีแต่ชาห์เจฮันเพียงผู้เดียวหรอก.....

    ณ. มุมหนึ่งของพระราชวังบางประอิน ปรากฏอนุสาวรีย์เล็ก ๆ หลังหนึ่ง มีคำจารึกพรรณาถึงนางอันเป็นที่รัก ผู้จากไปอย่างไม่มีวันกลับเป็นถ้อยคำที่กลั่นออกมาจากดวงใจอันเสนเศร้าอย่างแท้จริง แม้ผู้ตายมีญาณวิถีรับรู้ ก็คงจะปลาบปลื้มใจเป็นที่สุด....

    ถูกแล้ว... นั่นเป็นอนุสาวรีย์แห่งความรักที่ สมเด็จพระปิยมหาราช ทรงสร้างขึ้นเพื่อเป็นเครื่องระลึกถึง สมเด็จพระนางสุนันทา กุมารีรัตน์พระบรมราชเทวี ผู้เป็นพระมเหสีที่รักยิ่ง ซึ่งสวรรคตด้วยเหตุเรือพระที่นั่งล่ม พระนางจมลงสู่ใต้กระแสน้ำเชี่ยว ถึงแก่สิ้นพระชนม์...

    บางพูด นนทบุรี ในวันนั้น... ท่ามกลางกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากของแม่น้ำเจ้าพระยา ถ้ามีผู้ใดผู้หนึ่งยินยอมช่วยเหลือ องค์พระมเหสีที่รักยิ่งก็ไม่ต้องจากไป สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ก็ไม่ต้องเสียพระทัยอย่างสุดซึ้งเช่นนั้น...

    ทว่า...กฏมณเฑียรบาลในยุคนั้น ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ผู้ใดให้การช่วยเหลือต่อองค์พระมเหสีก็ดี เจ้าจอมหม่อมห้ามก็ดี ขึ้นมาจากน้ำมีโทษสถานเดียวคือประหารชีวิต แล้วผู้ใดล่ะ ..? ที่จะกล้าฝืนกฏมณเฑียรบาล โดยไม่เกรงกลัวพระราชอาญา...

    พิเคราะห์เพียงเผิน ๆ จะคิดว่า ไม่น่ามีโทษถึงเพียงนั้น แต่ถ้าคิดดูให้ดี จะพบว่าในยุคสมัยนั้น ... ชายหญิงไม่อาจชิดใกล้กันไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น นอกจากสามีภรรยา หรือญาติสนิทเท่านั้น การถูกเนื้อต้องตัวยิ่งเป็นของต้องห้ามอย่างเด็ดขาด...

    นั่นเป็นเรื่องของสามัญชน นี่เป็นเรื่องของเจ้าพระยามหากษัตริย์ พระวรกายประดุจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่มองยังไม่กล้า แล้วถ้าเป็นเรื่องในสระสวนอุทยาน ผู้ที่สามารถทำการช่วยเหลือได้ทัน ต้องอยู่ในบริเวณนั้น การล่วงล้ำเขตหวงห้ามเพียงนั้น โทษก็ถึงตายแล้ว ..

    เสียงของครูเปี๊ยก (คุณสมพร บุณยเกียรติ) ที่ทำการฝึกญาณ ๘ แก่ลูกศิษย์สั่งทุกคนกำหนดใจย้อนหลังไปยังเหตุการณ์ครั้งนั้น “เอ้า...ทุกคนดูซิคะ ทำไมพระองค์ท่านถึงสิ้นพระชนม์ ?” ภาพที่ปรากฏคือ... ท่ามกลางกระแสน้ำอันปั่นป่วนนั้น พระองค์ท่านโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ...

    ทรงเหลียวมองรอบด้าน แล้วร้องออกมาคำเดียวว่า “ลูก!” พลางแหวกว่ายเข้าหาเรือพระที่นั่งที่จมผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่อย่างสุดกำลัง จังหวะเดียวกับที่คลื่นอีกลูกโถมซัดมา เรือพระที่นั่งพลิกกลับ ครอบพระองค์หายวับไปกับตา...

    อาตมาน้ำตาร่วงพรู..แม่..นี่แหละแม่.. ความเป็นแม่ที่รักลูกยิ่งอื่นใด แม้แต่ชีวิตก็สละเพื่อลูกได้ “แม่” คำเดียวสั้น ๆ ที่แฝงไว้ด้วยพลานุภาพใหญ่หลวง ยอมทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเลือดในอก แม้ต้องสละด้วยชีวิตและเลือดเนื้อแห่งตน...

    แล้วพ่อละ..? มีใครคิดถึงหัวอกพ่อบ้าง ...? พ่อที่เลี้ยงทั้งแม่ทั้งลูกจะทุกข์ใจสุดพรรณาขนาดไหน...? อาตมาต้องลุกหนีการฝึกแต่กลางคันออกไปร้องไห้อยู่ข้างนอก ร้องจนสาแก่ใจ วันนั้นทั้งวันมีแต่น้ำตา ทีใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์หนอ...

    รักใด ไหนเล่า เท่าแม่
    เที่ยงแท้ ยืนยง คงมั่น
    รักลูก ยิ่งกว่า ชีวัน
    ลูกนั้น รักแม่ เท่าใด..?

    ๓ มีนาคม ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     
  10. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ๓๐. ยาอมแก้ปากไว

    ในศีล ๕อันประกอบด้วย ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามลักทรัพย์ ห้ามประพฤติผิดในกาม ห้ามพูดปดมดเท็จ และ ห้ามดื่มสุราเมรัย นั้น หากไปถามบุคคลทั่วไปว่า ศีลข้อไหนที่รักษายากที่สุด ร้อยละเก้าสิบต้องตอบว่าข้อสี่ ห้ามพูดปด รักษายากที่สุด...!

    แล้วถ้ากล่าวถึงกรรมบถ ๑๐ ก็ยิ่งยากขึ้นไปอีกหลายเท่าตัวเพราะประกอบด้วย ข้อห้ามทางกาย ๓ ข้อ คือ ห้ามฆ่าสัตว์ห้ามลักทรัพย์ ห้ามประพฤติผิดในกาม เช่นเดียวกับศีล แต่มีข้อห้ามทางวาจาเพิ่มเป็น ๔ ข้อ คือ

    ๑. มุสาวาทา เวรมณี เว้นจากการพูดปดมดเท็จ
    ๒. ผรุสวาทา เวรมณี เว้นจากการพูดคำหยาบคาย
    ๓. ปิสุณาวาทา เวรมณี เว้นจากการพูดส่อเสียด
    ๔. สัมผัปปลาปวาทา เวรมณี เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อเหลวไหล


    และข้อห้ามทางใจ อีก ๓ ข้อ คือ ไม่โลภอยากได้จนเกินพอดีไม่โกรธเกลียดอาฆาตพยาบาทใคร และ เชื่อตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ออกนอกลู่นอกทาง...

    ทุกคนจะไปร้องอู้เอาตรงวจีกรรมทั้ง ๔ ข้อนั่นแหละ เพราะคนเรามักปากไว พูดไปแล้วจึงคิดได้ ว่าผิดศีลเสียแล้ว (แสดงว่าโกหกจนชำนาญ) บางทีด่าไปแล้วสามวัน จึงนึกได้ว่านี่ เราด่าเขาไปแล้วนี่หว่า......(เจริญเนอะ....ยังดีที่นึกได้...)

    แล้วไอ้การพูดส่อเสียดนั่นน่ะ...บางคนถือเป็นของว่างหลังอาหารเลยเชียว ถ้าไม่ได้พูดจายุแหย่ชาวบ้านเขาวันใด รู้สึกมันจะท้องขึ้นท้องเฟ้อ กินไม่ได้ถ่ายไม่ออก ซักวันคงเป็นปลาหมอตายเพราะปาก แบบ นางปิสุณาวาที เข้าซักวัน...

    อันว่านางปิสุณาวาทีนั้น ในชาดกกล่าวไว้ว่า เธอมีพี่น้อง ๔ คน แต่ละคนมีคุณสมบัติแสบไส้ไปคนละอย่าง เช่น ด่าไฟแล่บสามวันไม่ซ้ำคำ ท้องยุ้งพุงกระสอบกินทุกอย่างที่ขวางหน้า บ้างก็คว้าผู้ชายทุกคนที่ผ่านมาเป็นสามี แต่ว่าที่แสบแบบไม่ต้องกินพริกเข้าไปช่วย คือ นางปิสุณาวาทีนั่นแหละ...

    นางคนนี้มักนำเรื่องของชาวบ้าน ไปนินทาเป็นอาหารปาก แล้วชักมันมากเกินไป จึงมีการต่อเติมเสริมแต่ง แถมยุเยงตะแคงรั่วจนชาวบ้านที่ไม่รู้ตัว ตกเป็นเหยื่อของนางปากชั่ว ถึงกับตีด่าทะเลาะกันมั่วไปทั้งเมือง เป็นที่สุขใจของนางยิ่งนัก...

    ต่อมาชาวบ้านทบทวนถึงสาเหตุ ทราบว่า เกิดอาเพศเพราะนางปากไม่ดี จึงช่วยกันจับนางทรลักษณ์ปากอัปรีย์ ลอยแพไปตามยถากรรมแต่ดวงคนยังไม่ถึงที่ จำเพาะไปเจอกับเรือโจรสลัด หัวหน้าโจรเห็นปั๊บก็ปิ๊ง จึงรับนางขึ้นเรือมา แต่งตั้งเป็นศรีภรรยาทันที...

    พอได้อยู่สบายลายก็เริ่มออก นางนอกคอกก็เริ่มซ้อมฝีปากยุแหย่หัวหน้าโจรกับลูกน้องให้แตกแยกกันตามระเบียบ ทะเลาะกันจนแทบล้มประดาตาย จึงนึกขึ้นมาได้ว่าไม่เคยเป็นแบบนี้ สอบถามสาเหตุก็มาลงที่นางปิสุณาวาที (อีกแล้ว...)

    ขืนให้อยู่ด้วยคงฆ่ากันตายหมดแน่ ๆ นายโจรจึงตัดใจ จับนางปากมหาภัยลอยน้ำไปอีก แต่ชะตาชีวิตก็ชอบกล บันดาลให้มีนกอินทรีใหญ่สองตัวผัวเมียมาพบนางเข้า พญานกสงสารจึงหาไม้มาหนึ่งท่อนให้นางจับตรงกลาง พาบินไปส่งที่ฝั่ง...

    ขนาดห้อยโตงเตงอยู่บนอากาศ ก็ยังอดปากหมาไม่ได้ (หมาไม่เกี่ยวนะครับ โฮ่ง..) นางขยับไปทางนกผู้เป็นผัว ทำกระซิบกระซาบอะไรอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ปีนมาทางนางนก บอกว่าผัวนางไว้ใจไม่ได้ อาไร้... เป็นนกไม่อยู่ส่วนนก ต่อหน้าเมียแท้ ๆ ยังมาเกี้ยวพานาง...

    ลมเพชรหึงไม่ขึ้นหน้าก็ไม่ใช่วิสัยหญิง นางนกโกรธจนหน้าเขียวหน้าดำ ตรงเข้าจิกตีผัวอุตลุด สมใจนึกของนางปิสุณาวาทีเขาล่ะ... แต่ว่าถึงคราวกรรมจะสนอง พอตีกันไม้ที่นางปากระยำอาศัยเกาะ ก็หล่นตูมลงทะเล คราวนี้จบเห่จมน้ำตายห่...สมใจนึกไปเลย...

    ยัง.....ยังไม่หมดฤทธิ์ เป็นผียังอาละวาดได้ พอศพลอยไปติดฝั่งพระพบเข้าก็สงสาร (ยายนี่ทำบุญอะไรมาน้อ...? ใครเจอเป็นต้องสงสาร) จึงจัดการเผาศพให้ แล้วเก็บเอากะโหลกไปปลงอสุภกรรมฐาน พอกะโหลกเข้าวัดก็เกิดเรื่อง...


    ธรรมดาพระท่านอยู่ร่วมกันด้วยความสงบ ก็ต้องมาทะเลาะกันอย่างหาสาเหตุไม่ได้ กว่าจะรู้ตัวนำกะโหลกไปทิ้งป่าช้า ก็วางมวยเป็นพระวัดเส้าหลินไปหลายยก เดี๋ยว...ยังมีต่อ พวกคอเหล้าเข้าไปต้มเหล้ากันในป่าช้า เจอทีเด็ดยายฝีปากม้าเข้าอีก..

    หาหินมาทำก้อนเส้า เพื่อจะวางหม้อต้มเหล้า ดันไปเก็บเอาหัวกะโหลกมาแทน ทุกวันกินเหล้าไม่มีเรื่อง วันนั้นตีกันหัวร้างคางแตกปากคอเริ่ดไปตาม ๆ กัน แล้วตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ใครกินเหล้าเป็นต้องชอบหาเรื่อง ฝีมือนางปิสุณาวาทีเขาละ ตามมาอาละวาดจนถึงสมัยนี้...


    เรื่องของปากมันแก้ยากอย่างนี้นี่เอง พออาตมาเริ่มรักษาศีลด้วยความเคยชินก็มักจะเผลอโกหก แก้อย่างไรก็ไม่หาย เพราะสติยังตามปากไม่ทัน ต้องหาทางจัดการขั้นเด็ดขาด ไม่มีอะไรดีกว่ายึดหลวงพ่อเป็นที่พึ่ง...

    เอาเหรียญยันต์เกราะเพชร ของหลวงพ่อ มาอมแทนยาอมเลยทีนี้ใครจะมาพูดด้วย เหรียญที่คาปากอยู่ทำให้เกิดความยั้งคิด ก่อนจะพูดก็มีสติตรองดูก่อน ว่าพูดไปแล้วผิดศีลมั้ย..? พยายามแทบตายกว่าจะเลิกโกหกได้เด็ดขาด เฮ้อ...ขอบคุณยาอมวิเศษ...


    ๓. มีนาคม ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     
  11. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ๓๑. อานุภาพศีล ๘

    มีฤๅษีหมู่หนึ่ง เดินทางมาจากป่าหิมพานต์ (แฮ่...อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้...) เพื่อมาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดอาการเหนื่อยล้าเต็มที เมื่อถึงทางแยกเมืองสาวัตถี จึงพากันหยุดพักที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ที่ขึ้นอยู่ตรงทางแยกนั่นเอง...

    เห็นต้นไม้ใหญ่ร่มครึ้ม เป็นที่เย็นสบาย หัวหน้าฤๅษีก็คิดว่า ต้นไม้ใหญ่โตขนาดนี้ต้องมีรุกขเทวดาอาศัยอยู่ เรามาเหนื่อยแทบตาย ซ้ำกระหายน้ำอีกต่างหาก ถ้าเทวดาจะเมตตาบันดาลน้ำมาให้ดื่มกันสักหน่อยคงจะดี...(เล่นง่ายดีนิ...)

    คิดเพียงเท่านั้น พลันก็ปรากฏภาชนะบรรจุน้ำใสสะอาดเต็มเปี่ยมขึ้นที่เบื้องหน้าฤๅษีทั้งหลายเป็นที่น่าอัศจรรย์ ทั้งนี้เกิดจากอานุภาพรุกขเทวดา ที่อาศัยอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่นั้น พอทราบความคิดของหัวหน้าฤๅษี ก็บันดาลให้มีขึ้นทันใด

    ฟาดกันไม่ต้องฟังเสียงล่ะ พอสิ้นความกระหายก็คิดต่อไปว่าพวกเราเดินทางมาไกลร่างกายสกปรกมอมแมม เมื่อรุกขเทวดาบันดาลน้ำให้ดื่มได้ ก็น่าจะบันดาลน้ำสำหรับอาบให้แก่พวกเราได้เช่นกัน (น่าน...เอาซะให้คุ้ม)

    ทันใด ก็ปรากฏสระโบกขรณีขึ้น ให้เหล่าฤๅษีได้อาบอย่างสำราญใจ (น่าจะมีนวดแถมซะให้เข็ด...!) พอร่างกายสบาย ใจก็อยากต่อไม่สิ้นสุด เลยคิดต่อไปว่า น้ำดื่มน้ำอาบก็มีแล้ว อีนี่ฉานหิวนะนาย...มีอะไรให้ฤๅษีกินบ้างละนายจ๋า...

    รุกขเทวดาก็พี่มีแต่ให้จริง ๆ ..บันดาลให้ต้นไม้เกิดผลสะพรั่งไปทั้งต้น (ไม่ยักเป็นโต๊ะจีนแฮะ...)เหล่าพวกฤๅษีกินอิ่มแล้ว เกิดอยากเห็นเทวดา จึงตั้งความปรารถนาขอพบซักหน่อย รุกขเทวดาก็สุดเขินจึงบันดาลให้ปรากฏเฉพาะเสียงว่า...

    “ข้าแต่ท่านผู้ทรงศีล ข้าพเจ้าเป็นผู้ประกอบด้วยบุญญาธิการน้อยนิด มีความละอายเป็นที่ยิ่ง ไม่กล้าปรากฏขึ้นต่อหน้าท่านทั้งหลาย” แม้ว่าผู้น้อยมิบังอาจ เหล่าฤๅษีก็อ้อนวอนจนใจอ่อน แสดงกายทิพย์ขึ้นเฉพาะหน้า ประกอบด้วยรัศมีกายเป็นที่สว่างรุ่งเรืองยิ่งนัก...(แอ่น...แอ๊น....)

    หัวหน้าฤๅษีจึงถามว่า “เทวะ...ดูก่อน เทวดา ท่านมีฤทธานุภาพเป็นที่น่าอัศจรรย์ ทั้งสว่างรุ่งเรืองไปด้วยรัศมี ขอถามว่าท่านนี้ทำบุญมาด้วยสิ่งใด จึงมีศักดานุภาพใหญ่เห็นปานนี้” รุกขเทวดาประคองอัญชลีตอบต่อฤๅษีทั้งหลายว่า...

    “ข้าแต่ท่านผู้ทรงศีล กล่าวไปแล้วเป็นที่ละอายยิ่ง บุญญานุภาพของข้าพเจ้านี้ เกิดด้วยผลการรักษาศีล ๘ เพียงครึ่งวัน...” แล้วรุกขเทวดาจึงเล่าบุรพกรรมให้ฤๅษีได้ทราบดังนี้
    “ชาติก่อนข้าพเจ้าเป็นคนเข็ญใจ ไปขอทำงานกับท่าน สุทัตตเศรษฐี ผู้มีอีกนามหนึ่งว่า อนาถปิณฑิกเศรษฐี ขอเพียงมีอาหารวันละ ๒ มื้อ แลกกับแรงงานก็เป็นที่พอใจ ท่านเศรษฐีผู้มีใจกรุณา รับข้าพเจ้าไว้เป็นคนรับใช้ทั่วไป...

    วันนั้นเป็นวันอุโบสถ ข้าพเจ้าไปตัดฟืนในป่าตั้งแต่เช้า กลับมาก็เลยเที่ยงไปแล้ว จึงตรงไปขออาหารที่โรงครัว เห็นภายในโรงครัวเงียบสนิท ปราศจากคนพลุกพล่านเช่นวันก่อน จึงถามแม่ครัวว่า “ นี่แน่ะแม่...วันนี้ไฉนจึงเงียบนัก อาหารส่วนของข้าพเจ้าอยู่ไหนเล่า...?”

    แม่ครัวตอบว่า “นี่แน่ะท่านผู้เจริญ.... วันนี้เป็นวันอุโบสถ ทุกคนในบ้านนี้แม้แต่ทารกเพิ่งอดนม จะบ้วนชำระปากให้สะอาด ตั้งใจรักษาอุโบสถศีล เว้นอาหารตั้งแต่หลังเที่ยงไปแล้ว ท่านเป็นผู้มาใหม่ ยังไม่ทราบระเบียบข้อนี้ ข้าพเจ้าจักรีบประกอบอาหารเพื่อท่าน...”

    ข้าพเจ้ารับฟังเป็นที่อัศจรรย์ใจ คิดว่าอุโบสถศีลนี้เป็นไฉนหนอ ...? บุคคลในบ้านท่านเศรษฐี จึงพร้อมใจกันสมาทานรักษา แม้แต่ทารกเพิ่งอดนม ยังประกอบด้วยศรัทธาเห็นปานนี้ จึงยับยั้งแก่แม่ครัวว่า “นี่แน่ะแม่...จงงดการประกอบอาหารไว้ก่อน ข้าพเจ้าจักรักษาศีลเช่นเดียวกับพวกท่านบ้าง...” ว่าดังนั้นแล้ว ข้าพเจ้าจึงไปหาท่านเศรษฐีศึกษาในอุโบสถศีลแล้ว มีใจอันผ่องแผ้ว ตั้งใจสมาทานรักษา...

    ข้าแต่ท่านผู้ทรงศีล ข้าพเจ้าเป็นผู้ทำงานหนัก ไม่มีอาหารตกถึงท้องมาทั้งวัน ตกดึกลมกำเริบขึ้น ข้าพเจ้าทนไม่ไหว ได้ทำกาละคือตายไป มาเกิดเป็นรุกขเทวดา สิงสถิตย์ที่ต้นไม้ใหญ่นี้ อานุภาพทั้งหมดที่ท่านเห็น เป็นอานิสงส์ของอุโบสถศีลครึ่งวันดังกล่าวมาแล้ว...”
    นั่นเป็นเรื่องที่มีมาในพระไตรปิฏก อ่านแล้วแปลไทยเป็นไทยเอาเองก็แล้วกัน เขียนแบบธรรมดาเดี๋ยวเขาจะหาว่าไม่เก่ง เล่นสำนวนให้เวียนหัวซะอย่างนั้นแหละ ทีนี้จะกล่าวถึงอานุภาพศีล ๘ ที่อาตมาพบมาเองบ้าง (เข้าเรื่องซะที อู้มานานแล้ว....)

    คืนหนึ่งที่บ้านสายลม หลังกรรมฐานแล้ว หลวงพ่อเมตตาเล่าว่า “พระท่านมาบอกว่า คนที่มาเจริญกรรมฐานในคืนนี้ทั้งหมด มีอยู่ ๗๐ คนที่รักษาศีล ๘ ได้...” เรื่องแบบนี้อาตมาไม่เคยล้าหลังใครอยู่แล้วจึงทึกทักว่า “ข้าคือหนึ่งในจำนวนนั้น...

    เมื่อมั่นใจก็เอาเลย ตั้งใจรักษาศีล ๘ ตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นไป ขากลับบ้านอาศัยรถของน้าโชค คุณประสพโชค ปัจฉิมางกูร เพราะไปทางเดียวกัน น้าโชคชวนกินข้าวก่อน อาตมายอมเสียมารยาท ปฏิเสธการเลี้ยง แล้วเดินกลับบ้านเอง (กลัวเสียไม่ได้นะซี้...)

    กราบขอบารมีพระ... “ด้วยอานุภาพศีล ๘ ที่ลูกตั้งใจรักษา ขออย่าให้ร่างกายมีความกระวนกระวายใด ๆ เลย...สาธุ” พอหลังเที่ยงวันรุ่งขึ้นมันเหมือนกับคอหอยตัน กินอะไรไม่ได้นอกจากน้ำ ตั้งแต่นั้นมาก็เป็นแบบนี้ทุกวัน เลยรักษาศีล ๘ ได้อย่างสบาย ๆ...


    ๔ มีนาคม ๒๕๒๒
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     
  12. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ๓๒. สามปีที่รอคอย

    การรอคอยเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายซะเหลือเกิน (แน่นอน...ยกเว้นตอนคอยแฟนนะจ๊ะ) อาตมาเป็นคนใจร้อนให้คอยใครนาน ๆ มันไม่ไหว มีนัดกับใคร มักจะไปก่อนเวลานัดเสมอ แต่จะรอแค่ไม่เกิน ๑๕ นาทีเท่านั้น ถ้าเขาไม่มาอาตมาก็ไป เพราะคนผิดนัดไม่ใช่เรา...

    ในทางทหาร การนัดหมายเป็นเรื่องสำคัญที่สุด จะพลาดไม่ได้เลยยิ่งเป็นการเข้าตีฝ่ายตรงกันข้ามด้วยแล้ว หาก วัน ว. เวลา น. ผิดพลาดถึงเวลาอาวุธหนักทุกชนิด จะระดมใส่อย่างต่อเนื่อง ถ้าเราไปไม่ถึงที่หมายตามเมวลา มีสิทธิ์ตายด้วยอาวุธของฝ่ายเราเอง...

    แม้จะเป็นคนตรงต่อเวลาและไม่ยอมรอใคร แต่ในบางเรื่องที่ตั้งใจทำนั้น อาตมาเป็นคนที่ดื้อรั้นถึงที่สุด ถ้าไม่สำเร็จละก็ อาตมาจะทำซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกว่าจะสำเร็จดังปรารถนา ถ้าไม่ได้ผลก็สู้ทนทำต่อไปนานเท่าไรก็จะรอ ไม่ได้ไม่เลิกซิน่า...

    อาตมาปฏิบัติกรรมฐานตามแนวของหลวงพ่อ ด้วยความอยากมีฤทธิ์เดชไว้อวดชาวบ้าน ว่าข้าก็หนึ่งในตองอู ใครอย่ามาทาบซะให้ยาก....ความคิดเลว ๆ แบบนี้ ฝังหัวมาตลอด เล่นเอาตัณหานำหน้าการปฏิบัติแบบนี้ กว่าจะทำอะไรได้แต่ละที มันจึงลำบากสาหัสดีนัก....

    หลวงพ่อเขียนถึง ปฐมฌาน ในหนังสือ คู่มือปฏิบัติกรรมฐาน ว่า ถ้าใครทรงไว้ได้ มีสิทธิ์เกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๑-๒-๓ อย่างสบาย ๆ และถ้าเอากำลังฌานมาตัดกิเลส ก็สามารถทำได้ง่าย อาตมาเลยอยากจะเป็น ผู้ทรงฌาน ขึ้นมาบ้าง (น่าสมเพชมั้ยล่ะ...?)

    เมื่อกิเลสขึ้นหน้าตัณหานำทาง อาตมาก็เร่งภาวนาเพื่อปฐมฌานที่ตนหวัง ตามที่อ่านมา หลวงพ่อเขียนไว้ว่า ปฐมฌานประกอบด้วยองค์ ๕ คือ

    ๑. วิตก คิดนึกตรองอยู่ว่าเราจะภาวนา
    ๒. วิจารณ์ รู้อยู่ว่ากำลังภาวนาอย่างไร
    ๓. ปิติ มีความอิ่มเอิบใจปรากฏขึ้น
    ๔. สุข รู้สึกสุขสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก
    ๕. เอกัคตารมณ์ ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว

    ภาวนาไปก็ตามจับอาการทางร่างกายไป เมื่อไรจะถึงปฐมฌานเสียที นี่วิตก ... กำลังนึกว่าหายใจอย่างไร ภาวนาอย่างไร นี่วิจารณ์.. ลมหายใจเข้าออกสั้นหรือยาวเท่าไหร่ หนักเบาอย่างไร คำภาวนาผูกกับลมหายใจเข้าออกอย่างไร...

    นี่ปิติ...เกิดอาการขนลุกซู่ซ่าไปทั้งตัว ใกล้ความจริงเข้ามาแล้ว... ถึงตรงนี้เป็นจอดไม่ต้องแจวทุกที ด้วยความโง่ไปตามจับแต่อาการทางร่างกายใจเลยไม่ตั้งมั่น แล้วฌานที่ไหนมันจะเกิดกับไอ้คนที่ฟุ้งซ่านแบบนั้น....

    หนึ่งปีก็แล้ว สองปีก็แล้ว คำว่าสุขหน้าตาเป็นอย่างไรไม่เคยรับรู้ ถึงปีที่สามยังย่ำต๊อกอยู่ที่เก่า วนเป็นงูกินหางอยู่แค่นั้น วิตก วิจารณ์ ปิติ แล้วก็เจ๊ง ... จนอาตมาชักท้อใจ อะไรมันจะยากเย็นขนาดนี้ แต่ความรั้นยังคงมีอยู่ จึงซังกะตายภาวนาต่อไป....

    แล้ววันนั้นก็มาถึง อาตมาตั้งใจว่า จะเป็นอย่างไรก็ช่างหัวมันได้ไม่ได้ก็ช่าง หน้าที่ของเราคือภาวนา จากกรุงเทพ ฯ อาตมากระโดดขึ้น บ.ข.ส. ตรงแน่วไปอุทัยธานีถึงวัดหลวงพ่อกำลังรับแขกอยู่พอดี อาตมาตรงเข้าไปกราบ แล้วต่อว่าท่านเป็นการใหญ่ ว่าปฐมฌานมันไม่ได้เกิดขึ้นเป็นขั้น ๆ อย่างที่หลวงพ่อเขียนนี่ครับ มันเกิดพร้อมกันเลยต่างหาก ...

    หลวงพ่อหัวเราะอย่างอารมณ์ดี พลางกล่าวว่า “ เดี๋ยว..ไอ้หนู..ใจเย็น ๆ รู้จักคำโบราณที่ว่า ลัดนิ้วมือเดียว มั้ยล่ะ ..?” ท่านงอนิ้วแล้วดีดให้ดู แล้วอธิบายว่า..

    “เวลาดีดนิ้ว เราจะเห็นตอนนิ้วมันงอและชี้ตรงเท่านั้น แต่นิ้วมันชี้ตรงขึ้นไปอย่างไร คนที่สังเกตละเอียดจะทราบได้ ปฐมฌานก็เช่นเดียวกัน มันเกิดขึ้นเร็วมาก เราก็คิดว่าเกิดขึ้นพร้อมกัน แต่คนที่กำลังใจละเอียด เขาจะรู้ว่ามันเกิดขึ้นทีละขั้น พอเป็นปฐมฌานก็ครบองค์ ๕ พอดี”

    ถ้าเป็นผู้อ่านจะรู้สึกอย่างไร...? อาตมาเองแทบมุดพื้นศาลาหนี ไม่รู้จริงดันไปอวดเก่งไปต่อว่า ยังสงสัยอยู่ครามครันว่า ทำไมหลวงพ่อไม่ล่อกบาลด้วยตะพดซักที....? ตอนหลังคำถามโง่น้อยกว่านี้ตั้งแยะ โดนซะคลำป้อยไปทุกที...



    ๕ มีนาคม ๒๕๓๓
    พระเล็ก สธมฺมปญฺโญ
     
  13. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ๓๓. พลังเหนือโลก

    โลกเบี้ยว ๆ ของเราใบนี้ ปกคลุมด้วยชั้นบรรยากาศและสนามพลังแม่เหล็ก นอกจากนั้นยังเต็มไปด้วยประจุไฟฟ้า คลื่นของเรด้าร์ วิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ สารพัดสารเพ บางสิ่งกระแสพลังเหล่านี้ก็ให้โทษ เช่น เครื่องบินตก เพราะสับสนในเคลื่นสัญญาณ จนต้องสร้างวัตถุที่ป้องกันคลื่นสัญญาณ เรียกว่า กรงฟาราเดย์ ขึ้นมาแก้ไขสถานการณ์....

    พลังบางอย่างสุดที่นักวิทยาศาสตร์จะหาเหตุผลได้ เช่น พลังประหลาดจากสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า พลังลึกลับจากปิรามิด เป็นต้น อาตมาเผชิญกับพลังของกระแสไฟฟ้าในอากาศ จนแทบจะเสียชีวิตมาแล้ว บอกไปจะมีใครเชื่อหรือเปล่าก็ไม่รู้...?

    อาตมานอนภาวนาอยู่ เกิดตาดีมองเห็นประจุไฟฟ้าในอากาศอนุภาคไอออนจิ๋ว ๆ เกาะตัวเป็นกลุ่ม ๆ มีทั้งโปรตอน อีเล็คตรอนครบครับ ดันไปนึงถึงกำลังภายในของจีน เขาว่านี่แหละของแท้ล่ะ... ถ้าดึงมาเข้าตัวได้ ก็ใช้เป็นกำลังภายในแบบในหนังได้..

    ไม่ได้นึกเล้ยว่ามันจะมีอันตราย ใช้กำลังใจดึงเอาประจุไฟฟ้ามารวมตัวกัน แล้วดึงดูดเข้ามาสู่ตัวเองทันที... วูบแรกที่รู้สึกคือ... เส้นเลือดทุกเส้นพองตัวแทบระเบิด ลูกตาเหมือนจะทะลักออกนอกเบ้า สมองจะพุ่งกระจายออกทางกระหม่อม...


    ดีที่ไม่ขาดสติ รีบตัดพลังไฟฟ้าทิ้ง นอนแผ่หราแทบขาดใจตาย เกือบจะจับตัวเองนั่งเก้าอี้ไฟฟ้าแล้วไหมล่ะ... ใช้กำลังใจเยียวยาตัวเองเป็นชั่วโมง กว่าจะกระย่องกระแย่ง ออกไปทำวัตรได้ เข็ดจนตายไม่เอาอีกแล้ว...

    พลังเหนือโลก ที่นักวิทยาศาสตร์ก็สุดที่จะพิสูจน์ได้ เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาอาตมาอีกหนหนึ่ง ตอนนั้น มีคำทำนายของ ท่านปรีชา ทรงธรรม ว่า
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...