ฉบับที่ ๓๓ เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๙

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย paang, 6 พฤศจิกายน 2006.

แท็ก:
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนกันยายน ๒๕๔๕
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    ถาม: ผมนึกอย่างพวกนักการเมืองที่แบบโกงกินบ้านเมืองมา แล้วก็ไปทำบุญเอาหน้า สร้างวัดสร้างวา ทำโน่นทำนี่ แล้วจิตใจมันก็จับแต่แบบเอ้ย เนี่ยเคยทำบุญหนัก ๆ สร้างวัดสร้างวามาตลอด ?
    ตอบ: ถ้าหากว่าเขาจับอย่างนั้น ก่อนตายได้ดีจริง ๆ แต่ส่วนชั่วมันรออยู่

    ถาม: คืออย่าพลาด ?
    ตอบ: อย่าพลาดก็แล้วกัน ตามกติกา บอกแล้วเอาอันไหนก่อนก็ได้ อนุญาต ค่านิยมผิด ๆ ว่า ถ้าทำในสิ่งที่ไม่ดีแล้วได้รับความสนใจมันเด่น ก็เลยไปกินยาบ้าบ้าง ไล่ยิงกบาลเพื่อนบ้าง ตัวเนี่ยมันเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่ง โดยที่คนเรามันผิดพลาดโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งทุกวันนี้ พวกสื่อมวลชนก็เหมือนกัน บุคคลที่ทำความดีมีเยอะแยะมันไม่ค่อยจะกล่าวถึงหรอก แต่ถ้าพลาดเมื่อไหร่ โอ้โฮ้ ลงให้ยับไปเลย บางทียังไม่ทันจะตัดสินถูกผิด มันจัดแจงจะตัดสินเสร็จเรียบร้อยแล้วด้วย ถึงเวลาพิสูจน์ได้ว่าเขาเป็นคนดี ไม่แก้ข่าวให้อีกต่างหาก


    ถาม: .........................................
    ตอบ: มีเหมือนกัน แต่เนื่องจากว่าขนบธรรมเนียมประเพณีก็ดี การยึดถือในสิ่งเก่า ๆ ที่เขาบอกเล่ากันมาก็ดี ทำให้สิ่งที่เขาเห็นมันต่างกันไป ๆ อย่างเช่น ของจีนเขาบอกว่านรกเขามี ๑๐ ขุมใช่ไหม แสดงว่ายังเห็นไม่ครบ เสร็จแล้ว ของฝรั่งเทวดาฝรั่งก็ต้องแต่งตัวเป็นผ้าขาว มีวงแสงอยู่บนหัว มีปีกด้วย คือลักษณะนั้นที่เขามา เขามาตามความเชื่อของเขา ถ้าไม่มาลักษณะนั้น เขาจะไม่รู้ว่านี่เป็นเทวดา ของจีนก็เหมือนกัน เขาต้องแต่งตัวเป็นงิ้วมา ถ้าไม่อย่างนั้น เขาก็ไม่เชื่อว่า นี่คือเทวดา ก็คือว่าทำตามความเชื่อของเขา แต่สภาพความเป็นจริงเป็นอีกอย่างหนึ่ง
    เพราะฉะนั้น สิ่งที่ใช้มโนมยิทธิไปดู คือถอดจิตไปดู เมื่อเวลาเราเห็นอะไรบางอย่างขึ้นมาแล้ว เกิดความสงสัย ให้กำหนดใจถามท่านว่า ขอดูตามสภาพความเป็นจริง ว่าเป็นอย่างไร แล้วจะรู้เลย ของเขา เขาไม่ได้สงสัย เพราะเขาเชื่อและมั่นใจว่าเป็นอย่างนั้น ในเมื่อเชื่อและมั่นใจว่าเป็นอย่างนั้นก็โอ.เค.
    แต่ว่าเท่าที่ดู ๆ มาแล้ว มีของไทยกับพม่าที่เห็นได้ใกล้เคียงความจริง เพราะว่าอย่างของพม่านี่ พระพุทธรูปส่วนใหญ่เขาทำทรงเครื่องไปเลย ส่วนใหญ่พระพุทธรูปทรงเครื่องแล้วก็เครื่องทรงเทวดา เขาก็ใกล้เคียงกับของเรา


    ถาม: หมายถึง คนที่อยู่ข้างล่างใช่ไหมครับ ไม่ได้หมายถึงเทวดา ไม่ได้หมายถึงคนที่ตายไปแล้ว แล้ว...?
    ตอบ: หมายถึงว่าเขาเห็นแล้วเขามาสร้าง ได้ใกล้เคียงของจริงหน่อย ของชาติอื่นนี่ไกลไปเลย
    ถาม: .....................................
    ตอบ: มีอยู่ขุมหนึ่งจะเรียกว่า ตามโพทกนรก จริง ๆ ก็ต้องเรียกว่าหม้อทองแดง แต่บังเอิญมันเป็นหม้อที่ใหญ่โตมโหฬารมาก คนเลยคิดว่าเป็นกระทะไปเลย เป็นแค่ขุมเดียวในยมโลกีย์นรกสิบขุม ต้นงิ้วก็เป็นอีกขุมหนึ่ง เรียกสิมพลีนรก หรือฉิมพลีนรก ฟังชื่อเพราะ ๆ นะ ความจริง สิมพลี หรือฉิมพลี ภาษาบาลี มันแปลเป็นไทยว่าต้นงิ้ว


    ถาม: ฝรั่งหรือไทยก็ต้องโดนเหมือนกัน ?
    ตอบ: โดนเหมือนกัน ถึงเวลาเขาจะซาบซึ้งเองว่ารสชาดเป็นอย่างไร ขอให้ทำผิดเอาไว้เหอะ ไม่ใช่ว่า เออ...อยู่ประเภทศาสนาพุทธแล้วกลัวตกนรก ย้ายไปอยู่ศาสนาคริสต์แล้วไม่ต้องลงนะ ปลอดภัย ไม่รอดละจ๊ะ
    ขอให้ทำเท่านั้นแหละ ผลของการกระทำของเรานั่นแหละ ที่เล่นเราเอง ไม่ใช่ใครหรอก อย่าคิดถึงความชั่วเก่า ๆ ที่เราทำมา ให้ตั้งหน้าตั้งตาคิดถึงแต่ความดีที่เราได้สร้างขึ้นจนมั่นงคงในจิตใจ สภาพจิตของเราถ้าเกาะความดี ตายมันจะไปดี เกาะความชั่วตายมันจะไปชั่ว
    เพราะฉะนั้น เกาะดีให้ชิน ถึงเลามันจะได้ไปดีไว้ก่อน พอไปดีได้แล้ว คราวนี้มันจะเห็นช่องทางเองว่า จะหนีอย่างไร ? ถึงเวลามันจะรู้ว่าหนีหนี้ได้อย่างไร ไม่งั้นหนีไม่รอดขึ้นมาก็เสร็จ ไม่มีใครที่เป็นผู้บริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง ส่วนใหญ่เคยทำความชั่วมาแล้วทั้งอดีตและปัจจุบัน

    ตัวอย่างที่หนัก ๆ ก็คือ พระองคุลีมาล ฆ่าคนเกินพันนะ นั่นน่ะ อีกรายหนึ่งยิ่งมากกว่าองคุลีมาลอีก ก็คือตามพทาธิกโจร ตามพทาธิกโจร นี่เขาจะเป็นนายโจรเคราแดง ตอนหลังโดนกวาดจับได้ทั้งแก๊งเลย ๕๐๐ กว่าคน เพชฌฆาตเขาก็ไม่มีปัญญาจะฆ่าแล้ว เยอะขนาดนั้นน่ะ เพราะว่าโทษประหารชีวิตหมดทั้งแก๊งเลย แก๊งนี้เลวมาก ตามพทาธิกโจร ท่านก็เลยอาสาบอกว่า ทางการเขาประกาศว่ามีใครอาสาจะฆ่าพวกโจรทั้งหมดนี่ได้บ้าง ต่อให้เป็นโจรด้วยกันก็ตาม จะอภัยโทษให้ ไม่มีใครอาสาสักคนหนึ่ง ถามไล่ไปทีละคน พ่อเจ้าประคุณอยู่ท้ายแถวก็เลยอาสา ฟันหัวเพื่อนซะ ๔๙๙ หัวเป็นอย่างน้อย เขาก็เลยอภัยให้แล้วตั้งเป็นเพชฌฆาต

    ในเมื่อตั้งเป็นเพชฌฆาตแล้วต้องฆ่าอีกตั้งเท่าไหร่ล่ะ รับรองว่าเยอะกว่าองคุลีมาลอีก แต่ว่าองคุลีมาลเมื่อท่านบวชแล้ว ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติดีกลายเป็นพระอรหันต์ กรรมเก่าทั้งหมดก็ถือเป็นอโหสิกรรมไป ไม่สามารถตามทวงท่านได้ ตามพทาธิกโจรก็เหมือนกัน

    ถึงเวลาพระสารีบุตรไปสงเคราะห์ จริง ๆ แล้วท่านเองก็จิตใจกลุ้มมากว่า ฆ่าสัตว์ ฆ่าคนเอาไว้เยอะ สงสัยลงนรกแน่ ๆ พระสารีบุตรท่านฉลาดกว่า ถามว่า ที่ทำน่ะ ทำด้วยความพอใจของตนเองหรือว่าใครสั่ง ก็บอกว่า พระราชาสั่ง ในเมื่อพระราชาสั่ง พระสารีบุตรก็บอกว่า ถ้าหากมันมีนาอยู่ผืนหนึ่ง เจ้าของนาเขาจ้างเราไปทำนา ถึงเวลาข้าวเกิดขึ้นมันเป็นของเจ้าของนา หรือของเรา ตามพทาธิกโจร ก็บอกว่า ก็ต้องเป็นของเจ้าของนา เพราะว่าตัวเรารับค่าจ้างไปแล้ว พระสารีบุตรก็เลยเลี้ยวกลับมาว่า ก็ในเมื่อท่านรับค่าจ้างเป็นเพชฌฆาตแล้ว เวลาท่านฆ่าคน บาปจะตกกับใคร คิดไม่ทัน ก็เลยคิดว่า บาปตกกับพระราชา ตัวเองเลยสบายใจ ในเมื่อสบายใจคิดว่าตัวเองไม่มีกรรม พอพระสารีบุตรเทศน์เข้า จิตส่งไปตามธรรมได้ เป็นพระโสดาบันรอดไปอีก
    ตกลงว่าไม่มีใครที่ไม่เคยทำความผิด แต่ว่าต่อให้ผิดมากมายเพียงไร ถ้าไม่ใช่อนันตริยกรรมแล้ว ตั้งหน้าตั้งตาทำดี ถ้าจิตเกาะความดี จะไปรับผลของความดีก่อน เมื่อรับผลของความดีก่อน ถึงเวลาแล้วก็หาทางหนีกันเอาเองก็แล้วกัน
    น่าลองไหม ไอ้ของเรานี่ไม่ต้องถึงขนาดฆ่ามานับไม่ได้อย่างตามพทาธิกโจรล่ะนะ เอาแค่คน สองคน ก็ประเภทขวัญหนีดีฝ่อแล้ว ปัจจุบันมันก็ฆ่าพิลึกพิลั่น เยอะแยะ ประเภทหั่นเป็นชิ้น ๆ ใส่โถชักโครกบ้าง ฆ่าโบกปูนบ้าง


    ถาม: เขามีวิธีการปฏิบัติอย่างไรในการย่นระยะทางครับผม ?

    ตอบ: ย่นระยะทาง เอากสิณ ๑๐ ให้ได้ก่อน พอได้แล้วมันก็แค่ ใช้ความคล่องตัวในกสิณ ๑๐ อธิษฐานเอา หรือ เน้นในวาโยกสิณ แต่ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้มั้ง ? อาตมาเคยลองดู มันไม่ใช่ย่นระยะทางนะ แต่มันเร็วกว่าปกติ ตอนนั้นใช้คาถา สัมปจิตฉามิ เราเดินก็รู้ว่าทางมันยาวเท่าเดิม แต่คนเดินตามวิ่งตามไม่ทัน แล้วก็อีกทีหนึ่ง นั่นเขาลองเอามอเตอร์ไซค์ลองไล่ดู ก็ไม่ทัน เราไม่รู้เรื่องอะไรเลย เราก็เดินของเราเอ้อระเหยลอยชายของเราไปอย่างนั้น เขามาบอกทีหลัง ของเราก็ภาวนาไปของเราเรื่อยเปื่อย มันอยากวิ่งตามเองนี่หว่า เอาแค่คาถานี้ก้ได้ เพราะว่าถึงเวลาทำมันก็มีผล เหมือนกับอภิญญาใหญ่เหมือนกัน ย่นระยะทางเหรอ ? สมัยนี้หลวงพ่อสอน ขึ้นรถแล้วหลับไปเลย ลืมตาขึ้นมาก็ถึงแล้ว

    ถาม: ...............................
    ตอบ: ถ้าหากมองเห็นว่าธรรมดาของเขาเป็นอย่างนั้น มันก็จะไม่เครียดหรอก แต่คราวนี้สภาพจิตของเรา
    ที่เครียดเพราะยังรับไม่ได้ ถ้ายอมรับได้ มันจะไม่เป็น เพียงแต่ว่าเราจะควานคำว่าธรรมดาเจอไหม ?
    ธรรมดามันเป็นอย่างนั้นน่ะ ทำงานกับคนงี่เง่าอย่างนั้น มันต้องมีปัญหาอยู่แล้ว เรื่องของมัน พอปัญหาเกิดขึ้นก็เป็นลูกโซ่ไปเรื่อย


    ถาม: เราแก้ตัวเราได้ แต่เราแก้คนอื่นไม่ได้ ?
    ตอบ: จริง ๆ ก็คือ แก้ที่ตัว ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด คนอื่นจะเป็นอย่างไร ช่างมัน ถ้าหากว่านายเขามีความยุติธรรม มีสายตาที่ยาวไกลเขาเห็นอยู่แล้วว่าใครผิด
    ถาม: เรื่องเกี่ยวกับงาน เทคนิคอะไรพวกเนี่ย มันเป็นเทคนิค เราแก้ไม่ได้ ?
    ตอบ: ลองหาใครที่มีความสามารถที่จะแก้ไขตรงจุดนั้นได้เข้ามาช่วยเหลือเราสิ ถ้าบ้อท่าจริง ๆ ก็รายงานขึ้นไป


    ถาม: มีคาถาจัดการเจ้านายโหดหรือว่าคนที่สูงกว่าแล้วเขาแบบไม่ค่อยมีเหตุผล ใช้อารมณ์ ?
    ตอบ: เอาอย่างนี้ดีกว่า ไปนั่งท่องคาถาดีกว่าได้สองฝ่าย คือตัวเราก็ได้สมาธิด้วย ขณะเดียวกัน ผลของคาถาก็ทำให้เขารักเขาเมตตาเราด้วย แต่ระวังเอาไว้นะ มันตีกับเราผิดปกติเลย ต่อไปมันอาจจะถมงานมาให้เราเยอะกว่าเดิมอีก รักมากก็ให้เยอะ
    คาถาเมตตาของหลวงพ่อนะว่า พระอะระหัง สุคะโต ภะคะวา นะ เมตตาจิต ถึงเวลาก่อนไปทำงานก็นึกถึงหน้าเขา ว่าคาถานี้ไปเรื่อย ๆ จนใจสบาย เอาซัก ๒๐ นาที ครึ่งชั่วโมง อะไรก็ได้ หรือไม่ก็ระหว่างเดินทางอยู่ก็นึกถึงหน้าเขา แล้วว่าไปเรื่อย ๆ แล้วคอยดูจะต่างกันเป็นฟ้ากับดินเลย พระอะระหัง สุคะโต ภะคะวา นะ เมตตาจิต จำให้ได้ ว่าไปเรื่อย ๆ ตอนแรกว่าจะให้คาถาพวกวัวกินนมเสือ หนูกินนมแมว ไอ้นั่นมันไม่สนุก ยกเว้นผู้ที่แสวงหาความตื่นเต้น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า กำลังกิน ๆ อยู่จะโดนตบชักหรือเปล่า ฉะนั้น เอาคาถาบทนี้ดีกว่า เพราะมันได้ผลเลย


    ถาม: ขออีกทีค่ะ จำไม่ได้ ?
    ตอบ: พระอะระหัง สุคะโต ภะคะวา นะ เมตตาจิต คาถาบทนี้ เป็นของหลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง ที่ภูเก็ต สมัยหลวงปู่ปาน ธุดงค์ลงใต้ได้มา


    สมัยนั้นท่านก็ได้คาถาพระปัจเจกโพธิโปรดสัตว์มาด้วย เสร็จแล้วนายประยงค์ ตั้งตรงจิตร เอาไปทำได้ผล ร้านขายยาตราใบโพธิ์ ของท่านเปิดกิจการจนกระทั่งร่ำรวย หลวงปู่ปานจะต้องการเงินเพื่อการก่อสร้างซักเท่าไหร่ก็ได้ สมัยก๋วยเตี๋ยว ๒ ชาม ๕ สตางค์ นายประยงค์สำรองเงินให้หลวงปู่ ๒๐,๐๐๐ บาท เทียบกับเงินสมัยนี้มันเท่าไหร่ ๒ ชาม ๕ สตางค์ ตีซะสมัยนี้อย่างถูก ๆ ชามละ ๑๕ บาท ซื้อได้เปล่าล่ะ มันล่อไป ๒๐ ไปแล้วมั้ง เอา ๒๐ ก็ได้ ๒ ชาม เท่ากับ ๕ สตางค์ ก็เท่ากับว่า ๔๐ บาท ๕ สตางค์ ๔๐๐ ก็ ๕๐ สตางค์ บาทหนึ่ง เท่ากับ ๘ ร้อยพันบาท ๘ แสน หมื่นบาท ๘ ล้าน ต้องสำรองเงินให้หลวงปู่ทีหนึ่ง ๑๖ ล้าน เขารวยได้ขนาดนั้น เอาไหม มีเงินสำรองเอาไว้ใช้ที ๑๖ ล้าน ตั้งใจจริง ๆ ทุกอย่างมีผลจริง
    คาถามันสำหรับคนจริงเท่านั้น ขอให้ทำจริง ๆ แล้วจะมีผล ส่วนใหญ่มันทำ ๆ ทิ้ง ๆ ไม่เอาจริงเอาจัง คาถาบทไหนที่อาตมาบอกไป แปลว่าใช้ได้ผลด้วยตัวเองมาแล้ว


    สมัยก่อนหัดภาวนาใหม่ ๆ มันคัน อยากมีฤทธิ์มีเดช มีอะไร หลวงพ่อท่านรู้จริต ท่านก็ให้คาถาไป เอาบทนี้ไปทำ ๆ มันจะมีผลอย่างนี้ ๆ นะลูก ภาวนาวันหนึ่งไม่ต่ำกว่า ๓๐ นาทีนะ แล้วอย่าลืมนะเว้ย ศีลต้องบริสุทธิ์ ไม่งั้นไม่ได้ผล กว่าจะรู้ท่านหลอกให้เราปฏิบัติซะเต็ม ๆ ไปแล้ว พอได้ผลก็วิ่งหน้าบาน ท่านเออ ๆ ดี ๆ ลูก เดี๋ยวเอาบทนี้ไปนะ บทนี้มีผลอย่างนี้ ๆ โดนอีก ว่าไปเรื่อย

    จนกระทั่งมาถึงปัจจุบันนี้ นึกไม่ออกว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้น เกิดขึ้นเพราะอะไร ? เกิดขึ้นเพราะว่า กำลังของสมาธิ กำลังของคาถา หรือว่าพระท่านสงเคราะห์ หรืออะไรไม่รู้ มันคล่องตัวลักษณะเหมือนว่า ต้องการอะไรได้อย่างนั้น จนตอนนี้บอกไม่ถูก แยกไม่ออกแล้วมันเกิดเพราะอะไรกันแน่ สมัยใหม่ ๆ ยังแยกออก

    ถาม: .................................
    ตอบ: สมาธิยิ่งดีเท่าไหร่ จะได้ผลมากเท่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าขึ้นกับคนสวดหรือเปล่า ? ขึ้นร้อยเปอร์เซ็นต์เลย


    ถาม: ...........................................
    ตอบ: พื้นฐานต้องมีอยู่แล้ว เรื่องของศีล สมาธิ ถ้าจัดการกับเจ้านายไม่ถึงตาย ถือว่าไม่ผิดศีล เจ้านายนี่ น้อยคนที่จะยอมรับว่า ความผิดพลาดเป็นของตัวเอง ส่วนใหญ่มีลูกน้องให้ มันก็ยัดให้ยันเต เอาตัวรอดไว้ก่อน บุคคลที่ทำอนันตริยกรรมชาตินี้ตกอเวจีมหานรกแน่นอน


    ถาม: พระโมคคัลลาน์...?
    ตอบ: พระโมคคัลลาน์ ท่านเคย ๆ ทำ แล้วท่านก็รับกรรมไปเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าเศษกรรมที่เหลือ เงินต้นน่ะจ่ายไปแล้ว เศษกรรมที่เหลือมันตามมาในชาติปัจจุบันนี้ ทำให้ท่านต้องโดนทุบจนกระทั่งว่า กระดูกป่นเท่าเม็ดข้าวสาร อรรถกถาเขาเปรียบไว้ว่า ถ้าจับใบหูนี่ กระดูกทั้งหมดก็จะไปกองที่ปลายเท้า ถ้าจับปลายเท้ากระดูกทั้งหมดก็จะมากองด้านศีรษะ ละเอียดได้ขนาดนั้น นั่นแค่เศษกรรม
    แต่ว่าตัวต้นจริง ๆ ลงอเวจี ฆ่าพ่อ หนึ่ง ฆ่าแม่ หนึ่ง ฆ่าพระอรหันต์ หนึ่ง ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิต หนึ่ง ทำสังฆเภท คือยุสงฆ์ให้แตกกัน ความจริงทำร้ายพระพุทธเจ้า ทำอย่างไรก็จะไม่หนักหนาเกินกว่านั้นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น โทษก็เลยกลายเป็นทำร้ายพระพุทธเจ้า อย่างเก่งก็ได้แค่ห้อเลือด แต่ว่าความที่เจตนาทำร้ายต่อพระพุทธเจ้า โทษก็เลยกลายเป็นอนันตริยกรรม ลงอเวจี แน่นอน


    ถาม: แต่ว่าก็ยังมีโอกาสที่จะเข้าพระนิพพาน ?
    ตอบ: มี แต่ว่าต้องพ้นจากชาตินั้นแล้ว หลุดขึ้นมาได้เมื่อไหร่ก็เป็นอันว่าได้ ทำชั่วเอาไว้เยอะ ถ้าลงอเวจีเป็นพื้น ต่อไป ขุมอื่น ๆ มันก็เก็บไปเรื่อยแหละ กว่าเงินต้นจะหมดเดี๋ยวดอกเบี้ยตามมาอีก

    ถาม: แล้วพระเทวทัตล่ะคะ ?
    ตอบ: พระเทวทัตนี่ สองอย่างรวมกัน คือว่าทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิตอย่างหนึ่ง จริง ๆ ตั้งใจจะฆ่าให้ตาย แต่ฆ่าไม่สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นเอาช้างนาฬาคีรี มากรอกเหล้าให้เมา แล้วไสไปไล่ชนพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ จัดนายขมังธนูไปยิงพระพุทธเจ้าก็ไม่สำเร็จ ตัวเองก็เลยขึ้นไปบนเขาคิชกูฏ กลิ้งหินลงมาจะทับพระพุทธเจ้า ก็ไม่สำเร็จอีก แล้วอีกอย่างก็คือยุสงฆ์ให้แตกกันกลายเป็นสองฝ่าย ตั้งใจว่าจะชิงอำนาจการปกครองสังฆมณฑลไปจากพระพุทธเจ้าท่าน


    ในเมื่อทำสงฆ์แตกกันก็เป็น อนันตริยกรรมอย่างหนึ่ง ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิตก็เป็นอนันตริยกรรมอย่างหนึ่ง แต่ว่า พระเทวทัต ก่อนที่จะโดนธรณีสูบมิดไปทั้งตัว ได้ตั้งใจขอขมาพระรัตนตรัย โทษก็เลยน้อยหน่อย กลายเป็นว่าลงอเวจีแค่ประมาณสิ้นอายุศาสนานี้ เท่านั้น คือ ราว ๆ ๕,๐๐๐ ปี กับอีกหน่อยหนึ่ง เพราะว่าก่อนพระพุทธเจ้า จะปรินิพพาน ก็เลยบวกเข้าไปอีกหน่อยหนึ่ง เสร็จแล้วขึ้นมาจะเป็น พระปัจเจกพุทธเจ้า บุญเก่าท่านก็ทำไว้เยอะ

    ถาม: แต่ว่าเป็นพระพุทธเจ้าได้ไหมคะ หรือว่าเป็นแค่พระปัจเจกฯ ?
    ตอบ: พระเทวทัตน่ะเหรอ ท่านตั้งใจไว้อย่างนั้นพระปัจเจกพุทธเจ้ามีความสามารถเหมือนพระพุทธเจ้าทุกอย่าง ขาดแต่สัพพัญญุตาญาณอย่างเดียว แล้วก็ไม่อยากสอนใครให้เข้าถึงมรรคผล ยกเว้นบุคคลใดมีวิสัยจะได้มรรคผล ในลักษณะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเหมือนกัน ท่านก็จะสอนเขา ถ้าสำหรับประชาชนทั่ว ๆ ไป ท่านสอนแค่ ทาน ศีล ภาวนาขั้นต้นเท่านั้น ไม่สอนให้ถึงมรรคถึงผล ปัจเจกะ แปลว่า รู้เฉพาะตัว คือขี้สงสัย แต่ไม่อยากสอนใคร ขี้สงสัย ก็เลยอยากจะรู้ให้ครอบ จริง ๆ โอกาสที่คนจะทำอนันตริยกรรมมันยาก คนฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ได้ นี่มันโหดน่าดูเลย แล้วพระอรหันต์ท่านทรงความดีขนาดนั้นน่ะ


    ถาม: อย่างคนที่เมายาบ้าแล้วฆ่าพ่อแม่นี่เป็นอะไรไหมคะ ?
    ตอบ: เป็นจ้ะ เขาไม่ได้ถามว่าคุณเมาหรือเปล่า ? แต่เขาถามว่า คุณทำหรือเปล่า ? เสร็จแหง ๆ เลย
    ถาม: ...............................
    ตอบ: จริง ๆ สังฆเภท ก็คือสงฆ์เขาแยกกัน ประเภทว่าถ้าหากว่าวัดเดียวกันแยกกันทำสังฆกรรมคนละโบสถ์ นั่นชัวร์เลย สังฆเภทแน่ สังฆะเภทะความแตกแยกในหมู่สงฆ์


    ถาม: อ้าว แล้วถ้าเกิดพระพวกนั้นที่บวชเข้ามาไม่ใช่ พระแท้ล่ะครับขาดจากความเป็นพระไปหมดแล้วล่ะ ?
    ตอบ: ขาดตั้งแต่แรกแล้ว โทษอันนี้ก็ไม่มี แต่ถ้าหากว่าเจตนาร้าย มันก็ต้องโดนเหมือนกัน

    ถาม: อ๋อ เจตนาเป็นตัวตั้ง ?
    ตอบ: ตัวท่านไม่ใช่พระ แต่สิ่งที่ทำก็คือโทษของอเวจีเขา เป็นอนันตริยกรรม


    ถาม: หนึ่งกัปนี่จะนับกันอย่างไรครับ ?
    ตอบ: ก็อรรถกถาถึงได้เปรียบว่า เป็นภูเขาหินล้วน กว้างหนึ่งโยชน์หนาหนึ่งโยชน์ ยาวหนึ่งโยชน์ ร้อยปี เทวดาเอาผ้าเนื้ออ่อนเหมือนสำลีมาปัดทีหนึ่ง ร้อยปีมาปัดทีหนึ่ง สึกเสมอพื้นเมื่อไร ก็ได้กัป


    ถาม: เวลาตกอเวจีทีหนึ่งพระพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้ไปแบบ ...?
    ตอบ: ก็ถึงได้บอกไงว่า ถ้าหากว่าในช่วงนี้นะ ถ้าใครขึ้นข้างบนได้ ถือว่า เฮงที่สุด เพราะว่าพระพุทธเจ้ายังเหลืออีกตั้ง ๖ องค์ติด ๆ กัน แต่ขณะเดียวกันใครลงข้างล่างก็ซวยที่สุด ซวยตรงที่ว่า พระพุทธเจ้าไปซะจนหมดทั้ง ๖ องค์แล้ว ยังไม่โผล่ขึ้นมาเลย ตกลงจะเอาเฮง หรือเอาซวยดี


    ถาม: แล้วมันมีความพิเศษอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมกัปนี้ถึงได้เยอะอย่างนี้ ?
    ตอบ: คือมันฟลุคน่ะ ปกติแล้วจะมี สารกัป มีพระพุทธเจ้า ๑ องค์ มัณฑกัป มีพระพุทธเจ้า ๒ องค์ วรกัป มีพระพุทธเจ้า ๓ องค์ สารมัณฑกัป มี ๔ องค์ ภัทรกัป มี ๕ องค์ เต็มที่ก็แค่นี้ ไม่เกินนี้ บังเอิญนี่เป็น ภัทรกัป ๒ กัปติดกัน รวยเป็นบ้าเลย อย่างว่าบางช่วงที่ผ่านมา ระหว่าง กัปหนึ่งที่มีพระพุทธเจ้า บางทีเว้นไป อสงไขยกัป กว่าจะมีมาอีกองค์หนึ่ง ห่างกันถึงขนาดนั้น


    ถาม: จริง ๆ ถ้าขึ้นข้างบนช่วงนี้ ก็ถือว่าโชคดีสุด ๆ ?
    ตอบ: โชคดีสุด ๆ เลย เพราะ ๒ กัปติดกันนะ ๒ กัปไม่ใช่น้อย ๆ นะ ๒ กัป ๑๐ องค์


    ถาม: แล้วหลัง ๆ นี่ พระโพธิสัตว์ท่านเยอะขึ้น ๆ มาก ๆ หรือเปล่าครับ ผมรู้สึกว่า พอศาสนาเหมือนกับว่า พอพระพุทธเจ้าท่านมีเยอะขึ้น ๆ คนที่ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ก็เยอะขึ้น ๆ มันจะทำให้แบบถึงเวลา พระโพธิสัตว์บารมีเต็มจะมาแบบอัด ๆ ๆๆ กัน ?

    ตอบ: อย่างนั้นคนที่บารมีเต็มก็ต้องรีบมาอัดกันด้วย ไม่อย่างนั้นก็เหมือนเดิม นาน ๆ โผล่ที
    ถาม: จริง ๆ ถ้าฟังอย่างนี้ แสดงว่ามันไม่มีจุดจบเลยนะชีวิตที่เกิดใหม่เนี่ย ?
    ตอบ: ก็ดันทะลึ่งเกิดมาแล้ว จุดจบน่ะมี เพียงแต่มันจะทำหรือเปล่าหลุดพ้นได้ก็อันว่าจบ หลุดพ้นไม่ได้ก็เวียนตายเวียนเกิดทุกข์โทษเวรภัยกันต่อไป


    ถาม: แต่จริง ๆ ก็พูดยาก เคยมีคนถามผมว่า ทำไมไม่เปิดโลกให้เห็นกันจะ ๆ ไปเลยว่า นรกอย่างนี้นะ สวรรค์อย่างนี้ จะได้เห็นกันแล้วจะได้รู้จะได้ไม่ต้องมา ?


    ตอบ: เขาใช้คำว่า มันเกินกฏของกรรมที่มันเกินกฏของกรรมเพราะว่า ทุกอย่างให้เป็นจิตแท้เขากระทำ ไม่ใช่เกิดจากการโดนชักจูงหรือว่าข่มขู่กัน เอาเป็นอันว่าถึงเวลาคุณเป็นแล้ว ก็เปิดให้มัน มันนาน ๆ หน่อยแล้วกัน ส่วนใหญ่ก็เปิดแค่แวบเดียว ตอนเสด็จลง

    ถาม: ผมเข้าใจแล้วครับ พอมันไม่ใช่จิตแท้ มันก็ ๆ จะแค่ช่วงนั้น พอถึงเวลาที่มันผ่านไปมันก็ลืม ?
    ตอบ: ดีไม่ดี มันก็เลวเหมือนเดิม มันไม่ใช่ทำดี เพราะเกิดจากจิตใจที่แท้จริง มันกลายเป็นฝืนทำซะแล้ว
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤศจิกายน 2006
  2. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>ถาม : เรื่องสีของพระนิพพาน ฟังจากท่านเล่ามานี้ จริง ๆ แล้ว เป็นสีแก้วหรือสีแก้วผสมทอง ?
    ตอบ: คุณชอบแบบไหน จะมีแบบนั้น เพราะว่าถึงตอนนั้นแล้ว พระนิพพานมันถึงพร้อมทุกอย่าง ต้องการอะไรสิ่งนั้นจะมา คราวนี้ หลวงพ่อท่านชอบในลักษณะ แก้วแกมกาญจน์ คือ แก้วผสมทองถึงเวลาสีก็ออกในลักษณะนั้น แต่คำว่านิพพานมันพูดยาก ถ้าในสายตามนุษย์เหมือนเห็นลมเป็นตัว มองเห็นไหมล่ะ ....ลม ? แต่ว่าเป็นลมที่แพรวพราวมากเลย ระยิบระยับมีประกายมีสีสันอะไรทุกอย่าง คำว่านิพพานอธิบายเป็นภาษามนุษย์คงไม่รู้เรื่องหรอก ไปสัมผัสเอาเองแล้วกันอย่างคุณให้ความสนใจอยู่แล้ว กำลังใจทำถึงเมื่อไร ดีไม่ดีไปถึงเองเลย


    ถาม: แล้วอย่างอารมณ์ตัดร่างกายนี้ ตัดตอนไหน หรือว่าตัดทุกตอนครับ ?
    ตอบ: คือจริง ๆ ต้องรู้สึกเสมอว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ถึงจะเรียกว่าตัดร่างกาย แต่ว่าการปฏิบัติมันก็จะมี วิขัมภนะวิมุตติ คือ หลุดพ้นด้วยความข่มไว้ แต่ ตทังคะวิมุตติ หลุดพ้นด้วยวิปัสสนาญาณนั้น ๆ มันสำคัญตรง สมุทเฉทวิมุตติ หลุดพ้นโดยเด็ดขาดเลยเพราะฉะนั้นที่บอกว่า ตัด ๆ ตัดยังไง ? รู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่ามันไม่ใช่เรา เราไม่คิดจะรักใคร่ใยดี ทรงอารมณ์นี้เป็นปกติเป็นเอกัคตารมณ์ ก็คงเป็นสมุทเฉทวิมุตติเลย ตัดโดยเด็ดขาดและสิ้นเชิงไม่มีการกำเริบใหม่อีก


    ถาม: อย่างที่เราคิดว่าเราไปตัดกิเลสอย่างนั้นอย่างนี้ มันจำเอาใช่ไหมครับ ?
    ตอบ: ถ้าหากว่าเป็นสัญญามันก็แค่จำ เหมือนยังกับว่าจำไปตอบอย่างเช่น รู้ว่าต้องตอบอย่างนี้ ครูถึงบอกว่าถูก กลัวเสียฟอร์มก็เลยตอบไปตามนั้น แต่จริง ๆ แล้วยังไม่ยอมรับ ถ้าใจยอมรับจริง ๆ อย่างเช่นว่ากำลังใจรู้อยู่เสมอว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา พอไปเห็นร่างกายคนอื่น ก็เห็นว่านั้นไม่ใช่ของเขา และไม่ใช่ของเราด้วย มันก็จะไม่เกิดความอยากได้ใคร่ดีในร่างกายของคนอื่นเขา จะเป็นปัญญาที่ยอมรับ แต่ถ้าสัญญาก็แค่จำได้

    ถาม: อย่างสมมติว่าเราได้ยินคำพูดบางคำพูด เมื่ออยู่ในหัวอย่างนี้เราจะรู้ได้ยังไงครับว่าคิดไปเองหรือได้ยินเสียงจริง ๆ ?
    ตอบ: มันมีเรื่องที่เราพิสูจน์ในระยะสั้น ๆ อย่างเช่นว่า หวยออกเลขนี้นะ ลองจำไปดู ไม่ต้องไปเล่นนะ จำไปดู ถ้าเกิดออกตามนั้นก็ให้จำให้ได้ ว่าตอนนั้นอารมณ์เอาวางอารมณ์แบบไหน ? แล้วลักษณะของเสียงมายังไง ? มันถึงถูกต้อง แล้วจำขั้นตอนเอาไว้ ต่อไปถ้ามาอย่างนั้น ก็พิสูจน์อีก ถ้าถูกอีกก็พยายามจำไว พอจำได้มั่นคงว่าเราวางอารมณ์ใจแบบนี้ลักษณะสุ้มเสียงแบบนี้ แล้วเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ต่อไปถ้ามาก็โอเค แต่ว่าจริง ๆ แล้ว เขาไม่ให้เชื่อเสียทีเดียว

    ถาม: ถ้าหากว่าเกี่ยวกับการปฏิบัติอย่างนี้แล้ว ก็คือต้องรอดูไปก่อน ?
    ตอบ: ถ้าหากว่าเป็นการแนะนำเกี่ยวกับกองกรรมฐานที่เราปฏิบัติแล้วเห็นว่าทำตามแล้วจะมีผลก็ลองดู แต่ถ้าเห็นว่าเราทำกรรมฐานอยู่กองหนึ่ง ชวนไปทำอีกกองหนึ่ง อย่าไปสนใจ เป็นการดึงให้สมาธิของเราเสีย


    ถาม: สมมติว่า ได้ยินว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ?
    ตอบ: เรื่องที่เกี่ยวกับมรรคผลนิพพาน เสียงที่มาทำนายห้ามเชื่อเด็ดขาด รับทราบไว้ด้วยความเคารพ แต่ไม่ต้องไปสนใจ เพราะว่าถ้าหากว่าเราไปได้จริง เรารับรู้แล้วเราตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ เพื่อฝึกให้ได้อย่างนั้นจริงก็แค่เสมอตัว แต่ถ้าเรายังไปไม่ได้จริง ถึงเวลารับรู้แล้วเกิดความประมาท นอนตีพุงเฉย ๆ ชาตินี้เราไปได้แน่ ชาตินี้คุณขาดทุนยับเยินเลย เพราะฉะนั้นถ้าเป็นคำทำนายเกี่ยวกับเรื่องมรรคเรื่องผลไม่ต้องไปใส่ใจ ยกเว้นพระพุทธเจ้าเสด็จมาชัดเจนแจ่มใสเลย แต่ว่าลักษณะนั้นของท่านก่อนที่ท่านจะพยากรณ์เรา ท่านก็ต้องมาสอนเราอยู่ระยะหนึ่งแล้ว


    ถาม: ท่านมาสอนเลยหรือครับ ?
    ตอบ: จะว่าท่านมาเลย จริง ๆ แล้วท่านก็อยู่บนนิพพาน ที่เป็นเป็นองค์ท่าน ภาษาพระเรียกว่า ฉัพพรรณรังสี แต่ว่ามาปรากฏเฉพาะหน้าเหมือนกับท่านมาเอง คือในความเป็นทิพย์ท่านสามารถที่จะแบ่งการทำงานออกไปเป็นหมื่นเป็นแสนได้พร้อมกัน อาจโปรดคนเป็นแสน ๆ คน เป็นแสน ๆ ที่ ได้พร้อมกันได้ องค์จริงของท่านอยู่ในนิพพานโน้น ขอให้เป็นองค์ที่ได้เห็น จะเป็นองค์จริงหรือเป็นฉัพพรรณรังสีก็ให้ได้เห็นเถอะสำคัญไม่ได้เห็นนั่นสิ


    ถาม: เรื่องของสงคราม คนจะตายกันหมด ?
    ตอบ: มันไม่หมดหรอก ถ้าตามพยากรณ์ของพระพุทธเจ้า ก็ตายไปฝ่ายละครึ่งใช่ไหม ?


    ถาม: แล้วจะหากินกันได้ไหม ?
    ตอบ: ข้าวแกงจานละ ๑๐๐ คงพอซื้อได้มั้ง (หัวเราะ) บ้านเราถ้าไม่ค้าขายเพลินจะสบาย ถ้าขายเพลินใครสั่งกูจะส่งตะบัน เดี๋ยวก็มาเคี้ยวสตางค์แทน


    ถาม: ก็คือว่า เราไม่ต้องไปวิตก ?
    ตอบ: ไม่ต้องวิตกกังวลหรอก กัมมัสสะ โกมหิ กัมมะ ทายาโท ทำกรรมไว้ดี ยังไง ๆ มันก็ต้องมีกิน

    ถาม: แล้วระบบเศรษฐกิจโลกนี้จะล่มสลายไหมครับ ?
    ตอบ: อย่างน้อย ๆ ทางบ้านเรายังพอทำมาค้าขายได้ เรียกเศรษฐกิจโลกไม่ได้หรอก บอกได้อย่างเดียวว่าต่อไปเอเชียจะเป็นผู้นำ เรื่องนี้ให้ฟุ้งซ่านเลยตายไปพักหนึ่ง


    ถาม: คือยังไม่ถึงขั้นต้องเลิกใช้เงินตรา ?
    ตอบ: มันยิ่งต้องใช้ ไม่ใช้แล้วจะกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจยังไงล่ะ ? เอาแบบสมัยก่อนไหมล่ะ ? คุณเอาของนี้มา ผมเอาของนี้ไป แลกกัน ของอะไรที่มันเคยใช้แล้วมันทำความสะดวกให้ เขาก็ไม่เลิกหรอก


    ถาม: มีเท่านี้ครับ ความสงสัยมันเริ่มลดลง ?
    ตอบ: จำไว้ว่าให้ทำ อย่าไปเที่ยวถาม ถ้าถามแล้วไปยึดถือคำตอบเป็นประมาณ เขาเรียกว่าเป็นอุปาทาน ด้วย ทำแล้วเกิดปัญหา แล้วมาถาม มันจะดี เพราะแก้ไขได้ตรงจิตตรงใจ ถ้าหากว่าถามแล้วเอาไปทำ แล้วมันฟุ้งซ่านหลายเรื่อง เรื่องแรกคือ เอ... ทำไมมันไม่เหมือนเขา แต่ละคนจริตนิสัยต่างกัน จะให้เหมือนกันก็ไม่ได้ แล้วอีกอย่างหนึ่งสถานที่ที่ไป ถ้าเป็นสถานที่เดียวกันแต่คนละจุด มันก็ต่างกันอีก อย่างนี้ เพราะฉะนั้นทำแล้วค่อยถาม ปลอดภัยที่สุด


    ถาม: ......................................
    ตอบ: เมื่อกี้นี้ไปกราบ หลวงพ่อสมเด็จ
    ท่านบอกว่าเรียนบาลีอย่าทิ้งสมาธิเป็นอันขาด ทิ้งเมื่อไรมันจะท้อแล้วจะเลิกเอาง่าย ๆ เพราะว่าวันแรกที่เปิดบาลี มีพระเรียนอยู่ ๑๖ องค์ มาถึงวันนี้เหลืออยู่ ๙ องค์เท่านั้น คือยิ่งสอบก็ยิ่งกำลังใจเสีย ตอนแรกถ้าเรียนไม่ดีเขาก็เสียกำลังใจ เขาจะบอกว่า อาจารย์เล็ก ยังเรียนได้แค่นั้นเอง แล้วจะเอาอะไรกับเขา คราวนี้พอเราเรียนดีขึ้นมา เขาก็หมดกำลังใจอีก เลยไม่รู้จะเอายังไงกัน เพราะว่าสอบผ่านไปสองครั้ง เพราะว่าไม่คุ้นชินกับภาษาบาลีก็เลยตกจุดบ้าง ภาษาบาลีนี้ตกจุดหนึ่งตัดคะแนนหนึ่ง เกินจุดหนึ่งตัดคะแนนหนึ่ง ขาดคำเก็บคะแนนหนึ่ง เกินคำเก็บคะแนนหนึ่ง สอบครั้งแรกโดนเก็บไปสองคะแนน เสียประวัติหมดเลย เพราะระยะหลัง ๆ ๒๐ กว่าปีที่ผ่านมา สอบครั้งใดต้องได้คะแนนเต็ม


    คราวนี้ก็มาครั้งสุดท้ายที่สอบไปก็สิ้นเดือน ครั้งนั้นได้เต็ม เล่นเอาอาจารย์บุ่นอุบเลย หาเก็บยากเก็บเย็นจริง มีใครบ้างหว่าทำได้ขนาดนี้ ก็เลยกลายเป็นว่าเราเรียนไม่ดี ลูกศษย์ก็หมดกำลังใจ เราเรียนดีลูกศิษย์ก็หมดกำลังใจ
    เมื่อไปกราบหลวงพ่อสมเด็จ ก็กราบเรียนท่านเรื่องนี้ ท่านถึงได้บอกว่า เรื่องของการเรียนบาลีนั้นอย่าทิ้งสมาธิ ถ้าทิ้งสมาธิกำลังใจมันจะไม่มั่นคง ถ้ากำลังใจไม่มั่นคง มันอาจถอดใจเอาง่าย ไม่ยอมเรียนต่อกัน คราวนี้จากที่สังเกตกัน อย่าง ท่านเอ ก็ดี ตัวอาตมาก็ดี สรุปแบบเข้าข้างตัวเองว่า คนที่สมาธิดีสอบได้คะแนนดี


    อย่างคราวที่แล้วอาตมาสอบได้ ๗๐ ท่านเอได้ ๖๙ พลาดไปคำเดียว คือเขาห้ามพลาดเด็ดขาดเลย ก็ดีอยู่อย่าง คือทำให้เรารอบคอบขึ้น อะไรต่อมิอะไรต้องมีการตรวจการทานขาดไม่ได้ เกินไม่ได้ เลยกลายเป็นเรื่องหนักในความรู้สึกของคนอื่น ท่าน มหาปรีชา ท่านก็พยายามที่จะยกตัวอย่าง ดูอย่างอาจารย์เล็กสิ อายุท่านก็มากที่สุด งานท่านก็เยอะที่สุด เช้าต้องสอน บ่ายต้องเรียน ทำได้ขนาดนี้ แล้วพวกคุณไม่พยายามหรือ ? กลายเป็นว่ายิ่งยกตัวอย่าง เขาก็ยิ่งฝ่อไปเรื่อย เรื่องของการเรียน ถ้าเราทิ้งมันจะต่อไม่ติด โดยเฉพาะบาลีนี้ เขาบังคับให้ท่อง เหตุที่บังคับให้ท่องเพราะว่าเปรียญ ๑-๒ จะเป็นพื้นฐานไปถึง ๙ เลย แบบทั้งหมดที่เขาให้ท่อง จะเอาไปใช้ตั้งแต่เริ่มแปลไปยันเปรียญ ๙ เลย ถ้าท่องแบบไม่ได้ ต่อไปมันก็จะไม่รอด

    คราวนี้จากที่สังเกตที่ผ่านมา พระอื่นถ้าหากว่าท่านไม่ท่อง เวลาอธิบาย ท่านก็ไม่เข้าใจอีกอย่างหนึ่ง พอว่าตอนนี้ไม่ท่อง ตอนหน้ามาก็ไม่ท่อง ก็กลายเป็นดินพอกหางหมูไปเรื่อย ๆ แล้วก็หมดกำลังใจ ก็เลยมาดูว่าเรื่องของฉันทะ อิทธิบาท ๔ พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นเรื่องทำให้สำเร็จทุกอย่าง ฉันทะความพอใจของท่านไม่เต็มร้อย วิริยะความเพียรท่านก็ไม่เต็ม จิตตะเรื่องปักมั่นไม่มี วิมังสาการไตร่ตรองทบทวนไม่มี สอนนักธรรมในตอนเช้า ถามว่าเมื่อว่าที่สอนนั้น เป็นยังไง ? คือเขาเข้าห้องเรียนโดยไม่ได้อ่านทวนของเก่าเลย สอนแล้วก็แล้วกัน เข้าหูซ้ายทะลุหูหมาไปเรื่อย

    คราวนี้ของเราไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นก็พยายามท่อง พยายามนำ พยายามทำให้ดูเป็นตัวอย่างเพราะว่าจริง ๆ แล้วไม่ได้ตั้งใจคิดจะเรียน ตั้งแต่พรรษาที่ ๔ สอบนักธรรมเอกได้ เพราะว่าเว้นไปพรรษาหนึ่ง เพราะว่ามัวแต่ไปเฝ้าไข้ หลวงปู่มหาอำพัน อยู่ ไม่มีเวลาไปสอบ พรรษาที่ ๔ สอบนักธรรมเอกได้ หลวงพ่อบอกว่า แกจะไปเรียนต่อไหม ถ้าจะไปเรียนต่อข้าจะส่งไปให้เรียนที่กรุงเทพฯ คือว่าวัดที่ท่านรู้จักมันมีเยอะ สำนักเรียนต่าง ๆ มีเยอะ ก็กราบเรียนหลวงพ่อว่า ผมคงไปไกลหลวงพ่อไม่ได้หรอกครับ ไกลเมื่อไรก็เลวเมื่อนั้น ท่านก็เลยบอกว่าตามใจแก

    คราวนี้พอย้ายจาก วัดท่าซุง ไปอยู่ที่ วัดท่ามะขาม ท่านเจ้าคุณก็จะให้เรียน ในช่วงที่ระหว่างให้ย้าย ท่านเจ้าคุณราชปริยัติโมลี ซึ่งก่อนหน้านั้นอยู่ วัดชนะสงคราม เป็นลูกศิษย์ของวัดชนะสงครามด้วย เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อด้วย ก็พยายามลากตัวไปให้เรียน ไปถึงที่ สถาบันบาฬีศึกษาพุทธโฆส โน้น ก็เห็นว่าเวลาเรียนนี้มันต้องทุ่มเทจริง ๆ ของเรางานมันเยอะ ก็เลยปฏิเสธท่านไป ไปถึง เมืองกาญจน์ ที่วัดท่ามะขาม ท่านเจ้าคุณก็จะให้เรียนก็ปฏิเสธท่านไปเรื่อย ๆ มาระยะหลังนี้ท่านบังคับให้เรียนก็ส่งลูกศิษย์ไปเรียนบ้าง จนกระทั่งวาระสุดท้าย ย้ายมา วัดท่าขนุน ท่านขอให้เจ้าอาวาสไปเรียน โดยให้เราทำหน้าที่แทนเจ้าอาวาสก็เบี้ยว ท่านก็เลยใช้วิธีว่า ในเมื่อคุณไม่ยอมไปโรงเรียนผมก็เลยยกโรงเรียนมาให้คุณ เอาโรงเรียนมายัดไว้ในวัดเลย

    คราวนี้ก็เลยกลายเป็นว่า เราเองอยู่ในฐานะผู้นำกลาย ๆ เพราะว่า อาจารย์สมพงษ์ เจ้าอาวาสก็ลูกศิษย์ ท่าน มหาปรีชา ที่มาสอนก็ลูกศิษย์กลายเป็นอาจารย์เขา ถ้าเป็นอาจารย์แล้วทำไม่ดี อย่างที่ว่านั่นแหละมันจะอ้างว่าขนาดอาจารย์เล็กยังเรียนห่วยแตกเลย แล้วเอาดีกับมันแค่ไหน เลยพยายามทำให้มันดี พอทำให้ดี ความเคยชินที่ว่าถ้าทำอะไรก็ต้องทุ่มเทไปเลย ทุ่มเทในลักษณะที่ว่าเรามีวันนี้วันเดียวพรุ่งนี้ไม่มี เพราะฉะนั้นทำวันนี้ดีที่สุด ผลเป็นอย่างไรช่างมัน ปรากฏว่าผลมันออกมาดี คนที่ไม่มีกำลังใจไล่ไม่ทัน ปรากฏว่าเดี๋ยวเขาจะทิ้งไปเรื่อย
    พอไปกราบเรียนหลวงพ่อสมเด็จท่านพูดถึงเรื่องสมาธินี้เห็นชัดเลย ชัดมาก ๆ ชัดตรงที่ว่า พระที่เรียนดีส่วนใหญ่จะเอาสมาธิเข้าว่า องค์อื่น ๆ เท่าที่สังเกตดู องค์ไหนถ้าสนใจทำสมาธิเป็นปกติ องค์นั้นท่านจะเรียนได้อยู่ในระดับดี คราวนี้มันก็จะมีบางพวก บางพวกที่อยู่ในลักษณะแหกคอก เพราะว่าครูจะจับผิดละเอียดมาก เขาก็เลยเปลี่ยนไปจับผิดครูบ้าง สนุกสนานกันใหญ่ สักวันจะโดนครูขว้างกบาลด้วยแปรงลบกระดานเอา ยังไม่รู้ว่าจะไปได้เท่าไร เพราะว่าอายุมากแล้ว ก็กะให้เวลา ๕ ปี อายุขึ้นเลข ๕ เรียนไม่ไหวแล้วก็เลิก ๕ ปี ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น


    แต่ทว่าท่านมหาก็พยายามให้กำลังใจบอกว่าระดับอาจารย์สอบเมื่อไรได้เมื่อนั้นแหละ แต่คราวนี้ขึ้นอยู่กับว่าเราจะรักษาระดับไว้ได้ไหม อย่างภาษิตจีนบอก ขึ้นสูงไม่ลำบาก รักษาระดับจึงยากเย็น ถอยหลังเมื่อไรลูกศิษย์มันโห่เอา แล้วโดยวิสัยตัวเองขึ้นหน้าตาย ถอยหลังตาย จะขึ้นหน้าอย่างเดียว ขึ้นหน้าไปตายเขายังชมว่ากล้า ถอยหลังมาตายเขาว่าขี้ขลาด นิสัยอย่างนี้เอาไปใช้ได้นะเจริญแน่ ๆ

    ไปกราบหลวงพ่อสมเด็จ พอออกมาที่วัดเขาจะมีคติธรรมของ สมเด็จพระสังฆราชอยู่ ญาโณทัยมหาเถระ เขาติดเอาไว้ว่า ถ้าหากว่าบุคคลยังเกิดแก่เจ็บตายอยู่ บุญเป็นเรื่องสำคัญที่สุดต้องขวนขวายทำบุญให้มาก ชัดไหม ? ถ้ายังเกิดแก่เจ็บตายอยู่ก็แปลว่าเรื่องของบุญของบาปยังให้ผลเราเต็มที่ ในเมื่อเรื่องของบุญของบาปให้ผลเราเต็มที่ ก็ต้องขวนขวายในสิ่งที่มันเป็นบุญก่อนเพื่อที่จะได้รับแต่ผลที่ดี เดี๋ยวนี้สายตาแย่แล้ว พอความชรามาเยือน มีดีอยู่อย่างเดียวคือ ดีที่ได้แก่ นอกจากนั้นไม่ดีสักอย่าง

    ถาม: การท่องหนังสือธรรมะ มันเครียดไหมครับ ?
    ตอบ: ใหม่ ๆ มันเครียด เพราะเราไปคิดจะจำมัน มาตอนหลังถือการท่องเป็นสมาธิ ก็เลยเหมือนทำสมาธินั่นหละ วิธีอัดเทปนี้ดีที่สุดเลยเพราะตอนท่องนี้เราต้องทุ่มเท เพราะว่าอันดับแรกต้องดูว่าสายตาผิดหรือเปล่า ปากต้องว่าผิดหรือเปล่า แต่เทปนี่ใจมันคลายไปครึ่งหนึ่งแล้ว คือยังไง ๆ มันอยู่ในเทปแน่ ตั้งใจฟังไป ก็คลายเครียดได้เหมือนกัน

    ถาม: ขออารัมภบทนิดหนึ่งนะเจ้าคะ คือ มีลูกศิษย์ที่เคยมาเรียนพิเศษน่ะเจ้าค่ะ เวลามาเรียนก็มาปฏิบัติมานั่งสมาธิกันอยู่ที่บ้าน พ่อเป็นอาจารย์อยู่เจ้าค่ะ หลังจากนั้นเขาก็ไปจบมหา‘ลัย อายุเขาประมาณ ๒๔-๒๕ หลังจากจบมาเขาไปทำกรรมหนักมากเจ้าคะ ?
    ตอบ: กรรมอะไรหรือ...แบกช้าง ?


    ถาม: ไม่ใช่เจ้าค่ะ เขาโกงกินในลักษณะประมูลงานของราชการแล้วก็โกงกินกัน เขาสามารถมีเงิน จากไม่มีเงินเลยนะเจ้าคะ จากอายุ ๒๔ ปี สมารถมีเงินเป็น ๑๐๐ ล้านบาท ภายในอายุ ๒๘ ปี ?
    ตอบ: แสดงว่าเป็นคนเก่ง


    ถาม: เขาเก่งมากเลยเจ้าค่ะ แต่ว่าเก่งในทางขี้โกง ทีนี้เมื่อประมาณสองอาทิตย์ที่แล้ว เขาขับรถเบนส์สีแดงวิ่งสวนประสานงารถสิบล้อเจ้าค่ะตายคาที่ทั้งตัวเขาและภรรยา และคนในรถอีกหนึ่งคน ตอนนั้นเราเองก็ไม่ทราบว่าเกิดเหตุการณ์ขึ้น แต่ว่าดวงวิญญาณของเขาเจ้าค่ะที่เสียชีวิต ตายโหงอยู่ ณ. จุดที่เกิดเหตุ เขามาหาในสภาพศพที่เละเขาตายในสภาพศพยังไงเขาก็มาหาในสภาพเป็นอย่างนั้นเจ้าค่ะ ทีนี้เขาจะมาให้เราช่วย พอเราจะเริ่มสวดให้เขานะเจ้าคะ พวกเจ้ากรรมนายเวรเขามาเป็นหมื่นเลย ล้อมตัวเขาจนตัวเองต้องถอยมาตั้งหลัก พอเราหันหน้าเข้าไปมอง พวกเจ้ากรรมนายเวรก็หันหน้าเขียวปั้ดไปหมดเลย ก็เลยต้องถอยมาตั้งหลัก ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ?

    ตอบ: ไม่ต้องทำ เพราะว่าบางคนนี่ เอาเป็นแค่ตัวอย่างนะ เปรตญาติ พระเจ้าพิมพิสาร นั่นผ่านพระพุทธเจ้ามาตั้งกี่องค์ ตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้านามว่า ทุมุตตระ๙๑ กัปเต็ม ๆ กว่าจะมาถึงสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีนามว่า โคตมะ แล้วผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง คือผู้ที่ทำบุญร่วมกันมา คือพระเจ้าพิมพิสาร ที่เคยทำบุญร่วมกันมาในชาตินั้น มาถวาย เวฬุวันมหาวิหาร และอุทิศส่วนกุศลให้ ถึงได้รับ พระพุทธเจ้าตั้ง ๕-๖ องค์ ยังช่วยไม่ได้เลย

    ถาม: ตอนนี้ก็เห็นสภาพวิญญาณเขาถูกลากลงไปที่ข้างล่างแล้วนะเจ้าคะ ก็คงต้องปล่อยไปตามสภาวะกรรมของเขาใช่ไหมเจ้าคะ ?
    ตอบ: ต้องอย่างนั้นจ้ะ


    ถาม: ก็ดูจากชะตาเขายังไม่ถึงฆาต ก็เลยจะถามว่านะเจ้าคะ ทำกรรมชนิดใดถึงได้ก่อกรรมทำเข็ญถึงขึ้นตัดรอนชีวิตอายุขัยเขาขนาดนั้น ?
    ตอบ: ตัวส่วนนี้จริง ๆ แล้ว เรียกว่า อุปฆาตกรรม ส่วนใหญ่เกิดจากกรรมในอดีตที่เคยฆ่าคนฆ่าสัตว์มาก่อน คราวนี้แทนที่จะทำความดีเพื่อหนีกรรมส่วนนี้ เขาก็ไปทำแต่ในสิ่งที่ไม่ดี ในเมื่อไปทำแต่ในสิ่งที่ไม่ดีพอบุญขาดช่วงลงกรรมส่วนนี้ก็เข้าแทรกพอดี ก็เป็นอันว่าแบนคาเบนซ์...!


    ถาม: อันนี้คือกรรมของเขาโดยตรงใช่ไหมคะ ?
    ตอบ: กรรมโดยตรงจะเป็นอย่างนี้ ส่วนอีกอย่างหนึ่งโทษปัจจุบันคือโกงกินเงินหลวง ก็คล้าย ๆ กับโกงกินเงินสงฆ์ ถ้าหากว่าโกงเงินสงฆ์ลงอเวจีมหานรก พวกโกงกินเงินหลวงก็ไม่แคล้วเหมือนกัน เพราะเงินสงฆ์กับเงินหลวงมันเป็นของกลางที่จะเป็นประโยชน์แก่คนหมู่มากเหมือนกัน เพียงแต่ว่าอันหนึ่งเป็นประโยชน์แก่สงฆ์หมู่มาก อีกอันหนึ่งเป็นประโยชน์แก่คนทั่วไป ลักษณะก็เลยคล้าย ๆ กัน โทษก็หนักพอกัน ใครรู้ตัวรีบคายคืนมาเสียเร็ว ๆ

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>ถาม : แล้วอย่างพวกที่เขาไปเอาอุปกรณ์สำนักงานไปใช้เป็นของส่วนตัวอย่างนี้ใช่ไหมเจ้าคะ ?
    ตอบ: ถ้าหากว่าจิตละเอียด เขาจะไม่ทำ


    ถาม: แล้วพวกค้ายา พวกนี้เขาจะได้รับกรรมในลักษณะไหนเจ้าคะ ? เพราะตอนนี้มีเยอะมาก
    ตอบ: ไม่ต้องหวงหรอกจ้ะ พวกยามันอยู่ในของมึนเมาทำให้ขาดสติสัมปะชัญญะ ก็โดนโทษอย่างเดียวกับพวกที่ผิดศีลข้อ ๕ ความจริงพระพุทธเจ้าท่านสอนครบ แต่ว่าคนฟังก็ดีหรือว่าคนสอนก็ดี มักจะตีความไม่ครบ ท่านบอกว่า สุรา สิ่งที่กลั่นขึ้นมาประกอบด้วยแอลกอฮอล์ เมรัย สิ่งที่หมักดองประกอบด้วยแอลกอฮอล์ มัชชะ ของมึนเมาที่ทำให้ขาดสติสัมปะชัญญะ จริง ๆ แล้วมันรวมหมดใช่ไหม ? พวกยาเสพติดจัดอยู่มัชชะ คราวนี้คนเขาไม่นิยมที่จะแปลกัน มันแปลแต่คำหน้าคำเดียว คือ สุรา ไอ้เมรัยที่หมักดองนั่นแหละตัวเจ็บเลย


    ถาม: ถ้าเกิดเราจะต้องคอยที่จะไปวิ่ง ไปเที่ยวช่วยเหลือคน คนที่เขามาหาเรา ก็ต้องวิ่ง ต้องไปช่วย เราเหนื่อยใจจะขาด อันนี้ถือว่าเป็นกรรมของเราไหมเจ้าคะ ?
    ตอบ: จะเรียกว่ากรรมของเราก็ได้ จะรียกว่าโง่ก็ได้ แรงไปไหม ? เพราะว่าจริง ๆ แล้วสิ่งทั้งหลายเหล่านี้นะ มันได้รับการดลจิตดลใจมาเหมือนกัน เขาเห็นว่ากำลังใจของเรา ถ้ารวบรัดตัดตรงมันจะเข้าถึงมรรคผลได้เร็ว จะทำให้พ้นจากเงื้อมมือเขา เขาก็หาสิ่งอื่นมาขวาง คราวนี้สิ่งอื่นที่มาขวาง ด้วยวิสัยของเราก็คือสู้ ก็ใช้วิธีนำสิ่งที่น่าสงสารมา ทำให้เราต้องไปใจอ่อนกับมัน ในเมื่อเราต้องไปใจอ่อนกับมัน ก็ทำให้เราต้องเสียเวลา ดังนั้นท่านถึงได้สอนว่า ตัวเมตตาพรหมวิหารนะ ตอนแรกต้องรักตัวเองก่อน สงสารตัวเองก่อน รักษาตัวกลัวกรรม อย่าทำชั่ว จะหมองมัว หม่นไหม้ไปเมืองผี ตอนแรกต้องรักษาตัวเองก่อน เอาตัวเองให้รอดก่อน เมื่อตัวเองรอดแล้ว เราจะช่วยคนหมู่มากก็ช่วยได้ แต่ถ้าตัวเองยังไม่รอด เขาได้ประโยชน์ตรงเฉพาะหน้าตรงนั้นนิดเดียว เราเองสิเสียประโยชน์ไปตลอดกาล ดังนั้นจะเรียกว่าโง่ก็ย่อมได้


    อาตมาเองเมื่อวานกำลังไปโรงเรียนแล้ว ตอนแรกเปิดประตูกุฏิออกมา เจอรถยนต์คันหนึ่งมีคนนั่งอยู่สามคน เขาเองก็มอง ๆ ไปได้สักพักหนึ่ง ท่านเทพวสันต์ พระลูกศิษย์วิ่งมาตาม บอกว่า อาจารย์ครับมีคนรออยู่ ก็บอกปล่อยมันรอไป มันรอฉันไม่ใช่ฉันรอมัน ว่าแล้วก็ขึ้นโรงเรียน ฟังดี ๆ นะ เดี๋ยวจะกลายเป็นคนใจดำ ไปถึงก็นั่งท่องหนังสือ อาจารย์เขาจะใส่ตรงหน้านี่แล้ว ถ้าท่องไม่ได้ก็ตายแน่ใช่ไหม ไปนั่งท่องหนังสือได้สัก ๒๐ นาที เขาก็เดินมา

    คราวนี้ตามมาแล้ว ตามมาจากทางด้านกุฏิขึ้นโรงเรียนมา เราเองก็ไม่สนใจ ก็ท่องหนังสือไปเรื่อย เขาก็กราบ ๆ เสร็จก็เงียบ เงียบก็เรื่องของเขา โยมมีธุระกับอาตมา อาตมาไม่มีธุระกับโยมนี่หว่า ใช่ไหมก็เรื่องของเขา ก็ไม่รู้ไม่ชี้ไปเรื่อย ท่องไปเรื่อย จนกระทั่งเขาเห็นว่าถ้าขืนปล่อยไว้อย่างนี้ เราคงไม่มองเขาแน่ ๆ เลย เขาก็เลยถามว่า หลวงพี่เล็กหรือเปล่าครับ ก็ถามว่ามีธุระอะไร เขาก็บอกว่า เขามาหา หลวงพี่สมปอง ก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นไปหาที่ข้าง วัดท่าซุง ไม่ใช่หาที่นี่ ว่าแล้วเราก็อ่านหนังสือต่อ ก็หมดธุระแล้วนี้ เขามาหาหลวงพี่สมปอง ไม่ได้มาหาอาตมานี่

    คราวนี้พอเขาไป แล้วพระเขาสงสัย ก็พระเรียนอยู่ตั้งเยอะนี่ พระเขาสงสัยว่าทำไมถึงทำอย่างนั้น บอกว่าถ้ากำลังใจในปัจจุบันของอาตมาแล้วนะ ถ้าไม่ใช่มาดิ้นพรวด ๆ ล้มทับตีนอยู่ตรงหน้าก็เดินผ่านไปเลย ถ้ามันล้มทับตีนอยู่ก็จำเป็นต้องช่วยมันหน่อย เพราะเราเดินต่อไม่ได้ กำลังใจเมื่อถึงเวลา ถึงวาระแล้ว มันจะเอาเฉพาะงานตรงหน้าเท่านั้น เรื่องอื่นไม่พยายามเอาแล้ว เหนื่อยพอแล้วจ้ะ ของเราถ้ายังเหนื่อยไม่พอก็ต่ออีกหน่อยก็ได้ เชิญตามสบายจ้ะ

    ถาม: เหนื่อยมากไหมคะหลวงพี่ ?
    ตอบ: เหนื่อยไม่มากจ้ะ เหนื่อยคนเดียว คนเดียวจะไปมากยังไง ใจดำไหม ? มตตา กรุณา แต่ขณะเดียวกัน อุเบกขา ท่านก็สอนไว้ด้วย ส่วนใหญ่มันไม่เบรคขาหรอก ทั้งแขนทั้งขา มันไปหมดอีกต่างหาก


    ถาม: แล้วอย่างนี้ถ้าเราเจอพวกวิญญาณขอส่วนบุญ ?
    ตอบ: ถ้าเขาแสดงว่าเขารับได้ ให้เขาไป ถ้าอันไหนที่เราสงเคราะห์ไม่ได้ก็หยุดไว้แค่นั้น มีจิตคิดสงสาร พร้อมที่จะให้การสงเคราะห์ แต่ขณะเดียวกันเมื่อตอนนี้ยังสงเคราะห์ไม่ได้ก็ต้องปล่อยวางก่อน เขาเรียกว่าอุเบกขาในกรุณา ไม่ใช่เมตตา กรุณา อุเบกขา เฉย ๆ นะ มันมี เมตตาในเมตตา เมตตาในกรุณา เมตตาในมุทิตา เมตตาในอุเบกขา มีกรุณาในเมตตา กรุณาในกรุณา มีกรุณาในมุทิตา กรุณาในอุเบกขา ทั้งสี่ตัวมีลักษณะเดียวกันหมด ถ้าถึงที่สุดนี้ อุเบกขาในอุเบกขา เจอเบรคสองชั้นก็เหมือนกับอาตมานี้แหละ ไม่ถึงขนาดไปดิ้นทับขาอยู่ข้างหน้าก็ปล่อยมันไป

    ถาม: จะพยายามค่ะ
    ตอบ: ไม่ต้องพยายามจ้ะ ถ้ายังไม่เหนื่อยทำต่อไปได้ ไม่เป็นไร ถ้าเหนื่อยแล้วก็พยายามหน่อย

    ถาม: สงสัยค่ะ ตอนนี้มีน้ำมาจากทางเหนือ ก็จะมีการตายหมู่ เกิดขึ้นไม่ทราบว่าพวกที่มีกรรมจากการตายหมู่ เขาทำกรรมอะไรไว้ถึงต้องตายหมู่ ?
    ตอบ: ถ้าหากว่าตายจริง ๆ ก็คือโทษปานาติบาต แสดงว่าได้ทำกรรมมาในลักษณะเดียวกันและพร้อมเพรียงกันทำ อย่างเช่นว่า องคุลีมาล สมัยที่ท่านเป็น อหิงสกะ ที่เป็นโจรอยู่ ท่านฆ่าคนไปในตำราเขาบอกว่า ๙๙๙ นั่นไม่ใช่หรอก ...เกิน เพราะระยะแรกที่ฆ่า แล้วท่านคิดว่าท่านจำได้ ก็ไม่ได้จดไว้ จนกระทั่งจำไม่ได้จริง ๆ ต้องตัดนิ้วมาร้อยไว้ แสดงว่าเกินปรากฏว่าในอดีตชาติ


    มีชาติหนึ่งที่ท่านเกิดเป็นควายป่า ชาวบ้านเอาควายมาเลี้ยงที่ชายป่า ท่านก็ออกมาขวิดควายชาวบ้านเขา ชาวบ้านเขาก็เลยพร้อมใจกัน ล้อมฆ่า ในเมื่อก่อนจะตายท่านก็เลยอาฆาตไว้ว่าจะมาฆ่ามันบ้าง เมื่อกลับมาเกิดใหม่ในชาตินี้พวกที่โดนฆ่าก็คือพวกที่เคยล้อมฆ่าท่านตอนนั้น ถ้ากรรมมาอย่างเดียวกัน ก็จะตายในลักษณะเหมือน ๆ กัน บางทีตายพร้อมกันด้วย ส่วนอีกอย่างหนึ่งก็คือว่าทรัพย์สินสิ่งของที่เสียหาย อันนี้เกิดจากกรรมอทินนาทาน เคยลักขโมยเขามาทรัพย์สินในชาตินี้จะเสียหายด้วยการลักขโมยบ้าง เรียกว่า โจรภัย โดนทำลายด้วยลมบ้าง เรียกว่า วาตภัย โดนทำลายด้วยน้ำบ้างเรียก อุทกภัย โดนทำลายด้วยไฟบ้างเรียก อัคคีภัย

    ถาม: แล้วที่เขาตายหมู่วิญญาณพวกเขาเหล่านี้จะไปเกิดพร้อมกัน หรือว่าต่างคนต่างไปคะ ?
    ตอบ: ต่างคนต่างไป ตามกรรมดีกรรมชั่วที่ทำมา แล้วแต่ว่าหนักเบาแค่ไหน เพราะว่าแต่ละคนก็ไม่ใช่นัดกันทำอยู่ทุกบ่อย สิ่งที่ตัวเองทำเฉพาะตนอยู่ก็มี เหมือนพระพุทธเจ้ากับ พระเทวทัต พระเทวทัตกอบทรายขึ้นมาประกาศว่าเราจะตามจองพระพุทธเจ้าทุกชาติเท่ากับจำนวนเม็ดทรายในกำมือนี้ เสร็จแล้วท่านก็ตามจองมาเรื่อย ไม่ใช่ว่าเจอกันทุกชาติ ไม่ใช่เจอกันทุกครั้ง หากแต่ว่าถ้าชาติไหนพระเทวทัตพลัดลงนรกไป พระพุทธเจ้าท่านเองก็ไปทำบุญทำบาปอะไรของท่านอย่างอื่นไป มีหลายชาติที่ท่านลงนรกไปอย่างหน้าชื่นตาบานเหมือนกัน แต่พอเกิดขึ้นมาพร้อมกันเมื่อไรก็ฟัดกันต่อ แล้วอันนี้เป็นอันว่าพระพุทธเจ้าท่านเสียเปรียบพระเทวทัต เพราะพระเทวทัตเล่นฝ่ายเดียวตลอด เพราะฉะนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าแต่ละชาติจะได้นัดไปทำความดีความชั่วพร้อม ๆ กันอย่างนั้น มันก็มีแต่ละชาติที่ต่างคนต่างทำบ้าง พอมาถึงชาติสุดท้ายพระพุทธเจ้าเกิดเป็นพระพุทธเจ้า พระเทวทัตเกิดเป็นพระเทวทัต ก็มาว่ากันยกสุดท้าย พอยกสุดท้ายแล้วต่อไปเทวทัตท่านเกิดท่านก็เดือดร้อนเองแล้ว พระพุทธเจ้าท่านไม่เกิดแล้วนี่


    ถาม: พวกเคยอาฆาตกันข้ามชาตินี่มีวันหมดไหม ?
    ตอบ: ถ้าหมดความตั้งใจอันนั้นเมื่อไรก็มีวันหมด ถ้ายังไม่หมดความตั้งใจ มันไปเรื่อย ถ้าอย่างการอาฆาตกันเหมือนอย่างกับ นางกุลธิดา กับ ยักษิณี อันนี้ต้องให้อโหสิกรรมกันก่อน นางกุลธิดาแกคลอดลูกเมื่อไรจะมียักษ์ตัวหนึ่งคว้าลูกเอาไปกินเสียทุกทีเลย


    จนกระทั่งแกรู้เลยว่าถ้าคลอดอีกก็เสร็จอีกเพราะฉะนั้นวันนั้นพอคลอดเสร็จ ก็ไม่สนใจว่าร่างกายจะอ่อนแอขนาดไหนก็ตาม อุ้มลูกได้ก็วิ่งไป เชตวัน จะอาศัยบารมีพระพุทธเจ้าช่วย ไปถึงประตูเชตวันมหาวิหารนางยักษิณีตามทันพอดี ปรากฏว่าท้าวจตุมหาราชที่รักษาพระพุทธเจ้าอยู่ในบริเวณนั้น ยักษ์ก็เลยไม่กล้าทำอะไร พระพุทธเจ้าเลยสั่งให้พายักษิณีเข้ามา พอเข้ามาก็ประกาศกรรมในอดีตชาติให้รู้ ว่าชาติหนึ่ง นางยักษ์เกิดเป็นแม่ไก่ส่วนนางกุลธิดาเกิดเป็นแม่แมว แม่แมวกินลูกไก่เสียเกลี้ยงเลย แม่ไก่ยัวะขึ้นมาก็ประกาศเลยว่าจะตามไปกินลูกแกบ้าง พอชาติต่อมาแม่แมวไปเกิดเป็นแม่กวาง แม่ไก่ดันไปเกิดเป็นแม่เสือ กินลูกกวางคืนไป กินกันไปกินกันมาจนมาถึงชาติปัจจุบันนี้ เมื่อถึงชาติปัจจุบันนี้ พระพุทธเจ้าท่านประกาศบอกแล้ว ก็เลยขอให้โจทก์และจำเลยอโหสิกรรมต่อกัน ในเมื่อทั้งหมดออกปากอโหสิกรรมต่อหน้ากัน โดยที่ประกาศว่าจะไม่จองกันต่อ กรรมอันนั้นก็ขาดช่วงลง คือ ความตั้งใจหมดลงแล้ว เมื่อความตั้งใจหมดลงแล้ว กรรมก็ขาดช่วงลง

    ถาม: อันนี้ต้องเป็นทั้งสองฝ่ายเลยไหมคะ ?
    ตอบ: ต้องทั้งสองฝ่าย โจทก์และจำเลยพร้อมกัน ถ้าหากว่าเราให้อภัยฝ่ายเดียว ก็เป็นว่าเราปลดออกจากจุดนั้นได้ แต่เขาเอง เขาก็ตามอย่างที่เทวทัตเล่นพระพุทธเจ้า


    ถาม: ไปงานศพแม่ของน้องที่ทำงานเขามีปี่พาทย์มอญเจ้าคะ ทีนี้พอเข้าไปกราบศพ วิญญาณแม่ของน้องที่เพื่งจะเสียไปก็เดินวนเวียน ๆ อยู่รอบศพของเขา ตอนแรกก็ไม่ทราบว่าทำไมเขาเดินอยู่ แล้วพอเปิดม่านเลิกการบรรเลง ไม่ทราบว่ามีกินรีออกมาได้อย่างไร จากฆ้องวงที่เป็นรูปฆ้องวง ออกมาร่ายรำให้วิญญาณของคุณแม่ของน้องที่เสียไปแล้ววิญญาณเขารับรู้การแสดงได้อย่างไรเจ้าคะ ?
    ตอบ: จริง ๆ ถ้าเป็นคนตาย ก็เปลี่ยนจากกายหยาบเป็นกายทิพย์เท่านั้น อายตนะ ตา หู ลิ้น กาย ใจ อะไรพร้อมที่รับสัมผัสยังมีอยู่เป็นปกติ ก็เลยสามารถรับรู้ได้ ส่วนเรื่องที่มีกินนร กินรี ออกมาร่ายรำน่ะ เคยได้ยินบ้างไหม เคยได้ยินคนเขาพูดไหมว่าเรื่องของเครื่องดนตรีนะ อย่าไปเล่นส่งเดช เขามีครู ก็ลักษณะนั้นแหละ คือเขาประกอบพิธีกรรมของเขามาเรียบร้อยแล้ว แล้วคนที่ไม่รู้ไปเล่นส่งเดชเข้าก็เป็นไข้บ้าง ปวดหัวบ้าง อะไรบ้าง ตามแต่ความหนักเบา แล้วแต่ครูจะเมตตาลักษณะนั้น


    เรื่องของดนตรีอย่างหนึ่ง เรื่องของนาฏศิลป์อย่างพวกลิเก โขนอะไรอย่างหนึ่ง เขาจะมีครูของเขา ถ้าหากว่าเป็นสายที่บริสุทธิ์ตั้งใจทำ เขาเรียกว่าเป็นธรรมทานก็ดี ลักษณะแบบนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรมาก แต่ว่ามันมีบางอย่าง บางอย่างเขาทำในลักษณะดึงคน เขาจะมีการเสกกลอง เสกธง ถ้าเห็นธงต้องไปเข้าโรงของเขา ถ้าได้ยินเสียงกลองยังไงก็อยู่ไม่ได้ ก็ต้องไปหาเขา เขาใช้ในลักษณะว่าหาเงิน ถ้าพวกนี้อันตรายนิดหนึ่ง ถ้ากำลังใจของเราต่ำเมื่อไรโดนเขาครอบงำได้เลย จะสังเกตได้เลย ลิเกบางคนนี่ไปแสดงสุดเหนือสุดใต้พวกแม่ยกตามกันหัวทิ่มหัวตำกัน
    หลวงพ่อท่านเคยอยากจะไปขอเรียน ท่านเรียกว่า นะปัดตลอด ท่านบอกว่าครูลิเกคนหนึ่ง น่าจะเป็น หอมหวล เพราะว่าหอมหวลเป็นลูกศิษย์ของ หลวงปู่ปาน ท่านบอกว่าเขาใช้นะปัดตลอดเสกแป้ง ถึงเวลาเสกแป้งกำหนึ่งแล้วก็เป่าไป ถ้าเป่าไปทิศไหนคนทิศนั้นที่อยู่ในระยะนั้นต้องมา แล้วแป้งกำนั้นจะวิ่งตรงไปข้างหน้าอย่างเดียวจนกว่าจะมีอะไรมาขวางก็ไปติดที่สิ่งกีดขวางนั้น ถ้าไม่มีก็ไปเรื่อยล่ะ แล้วลองคิดดูสิ ถ้ามันไปสัก ๒๐ - ๓๐ กิโล แล้วคนด้านนั้นมาหมดมันจะเยอะแค่ไหน เพราะฉะนั้นไม่แปลกที่เห็นแค่นั้น มีเยอะกว่านั้น


    ถาม: แล้วพวกที่เล่นของ เสกของเข้าในตัวล่ะเจ้าคะ พวกนี้ถือว่าพวกนี้ถือว่าเขามีวิชาไหมคะ ?
    ตอบ: อันนี้ก็เป็นสมาธิอย่างหนึ่ง แต่เขาเรียกว่าเป็น มิจฉาสมาธิ ก็คือใช้สมาธิผิด แต่วิชาเขาก็มี จริง ๆ แล้วพวกนี้เป็นไสยศาสตร์ประเภทหนึ่งเขาเรียกว่า คุณคน ก็คืออาศัยคนทำสิ่งของไปทำร้ายคน ถ้าหากว่า คุณผี หมายถึงบังคับผีไปทำร้ายคน อาจเป็นการเข้าสิง เป็นการบังคับให้ทำอะไรตามที่ตนต้องการ ก็เลยมีทั้งคุณผีและคุณคน สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันจะเป็นประโยชน์แค่ปัจจุบันของเขาเท่านั้น เพราะว่าเท่ากับตัวเองเป็นผู้มีวิชา ก็จะมีลูกศิษย์ลูกหา มีคนขึ้น มีคนไปมาหาสู่ เพื่อที่จะให้ช่วยเหลือ


    แต่ว่าพวกนี้ถ้าไม่มีจริยธรรมจริง ๆ เขาสามารถเอาออกได้ เวลาเราไปขอให้เขาช่วยเขาก็เอาเข้าได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเผลอเมื่อไรเขาก็แถมให้ ถึงเวลาก็ต้องวิ่งไปหาเขา เสียสตางค์ให้เขาอีก คราวนี้พวกนี้มันมีความสุขแต่ปัจจุบัน ทำให้คนอื่นเดือดร้อนได้ ตัวเองอาศัยความเดือดร้อนของคนอื่น เป็นความสุขของตัว ถ้าตายลงนรกก่อน เมื่อลงนรกเสร็จแล้วขึ้นมาเป็นเปรต พวกนี้จะเป็นเปรตพวกหนึ่งใน ๑๒ จำพวก เรียกว่า มหิทธิกาเปรต จะเป็นเปรตที่มีฤทธิ์มาก เพราะตัวเองมีสมาธิสมาบัติมาก่อน มหิทธิกาเปรตนี่อานุภาพเขามาก จะครองพื้นที่เขตใดเขตหนึ่ง ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกเจ้าพ่อ เจ้าป่า เข้าเขา พวกนี้ถ้าเทวดาที่มีศักดานุภาพน้อย ๆ ต้องหลีกให้เขานะ สู้เขาไม่ได้จริง ๆ เพราะพื้นฐานเขามาดีกว่า ถ้าสมมติว่าเป็นเทวดาด้วยพื้นฐานของทาน ด้วยพื้นฐานของศีล แต่นั่นเป็นเปรตด้วยพื้นฐานของสมาธิ สูงกว่ากี่เท่าล่ะ ? ต้องถอยให้เขาเหมือนกัน
    ถาม: แล้วถ้าเรามัวแต่ทำสมาธิ จะเป็นการถ่วงตัวเองหรือเปล่าคะ ?
    ตอบ: รูปราคะ และอรูปราคะ การติดในรูปและสิ่งที่ไม่ใช่รูป สิ่งที่ติดอย่างชนิดที่แกะยากที่สุดก็คือติดในรูปฌานและอรูปฌาน จะเรียกว่าถ่วงตัวเองก็ได้ แต่ในขณะเดียวกัน แค่พลิกกำลังใจนิดเดียวเท่านั้นเอง อาศัยกำลังสมาธิเกาะนิพพานแทน คราวนี้สบายมากเลย เพราะกำลังมันเหลือเฟือแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าจะแก้ข้อนี้ก็เปลี่ยนจากการที่ไปยึดอยู่ในฌาน เปลี่ยนเป็นเกาะนิพพานแทน คราวนี้จะมั่นคงกว่าปกติ เพราะกำลังมันสูง


    ถาม: ถามเรื่องการถวายดอกไม้กับดอกไม้ประดิษฐ์ให้กับพระพุทธรูปเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าจำเป็นไหมเจ้าคะที่ต้องถวายดอกไม้สดเสมอ ?
    ตอบ: เรื่องดอกไม้สดนี่มีตัวอย่างอยู่ก็คือ นางอมิตดา ใน พระเวสสันดรชาดก นางอมิตดาได้ตาชูชกแก่งั่กเป็นผัว อรรถกถาท่านบอกว่านางอมิตดาถวายดอกไม้เหี่ยวบูชาพระ เพราะฉะนั้นถ้าถวายพวกดอกตูม ๆ จะได้เด็กหน่อย คราวนี้เสียวอยู่อย่างเดียว ไปถวายดอกไม้ประดิษฐ์ ถ้าไม่ได้ลักษณะ เบญจกัลยาณี สาวสองพันปีไม่แก่สักที ก็จะได้สาวพลาสติกแถมไปด้วย คาดว่าคงไม่ได้สาวพลาสติกหรอก ก็จะได้สาวเบญจกัลยาณีแบบ นางวิสาขา มากกว่า

    เบญจกัลยาณีนี้ในสี่อย่างแรกเป็นความสวยปกติอยู่แล้วใช่ไหม ? งามผม งามเล็บ งามฟัน งามเนื้อ แต่สุดท้ายนี้เขาว่างามวัย งามวัยเขากำหนดเอาไว้ว่ามีลูกคนแรกอายุเท่าไรผู้เป็นแม่ลักษณะร่างกายจะอยู่แค่นั้นจนกว่าจะตาย นางวิสาขาท่านแต่งงานตั้งแต่ตอนอายุ ๑๖ ก็ตีเสียว่ามีลูกตอน ๑๗ ก็แล้วกัน ก็กลายเป็นว่าเป็นสาว ๑๗ ไปจนถึง ๑๒๐ ปี แกมีลูกอยู่ ๒๐ มีหลานอยู่ ๔๐๐ นั่งอยู่ในกลุ่มหลานสาว ๆ คุณยายอายุ ๑๐๐ กว่าแล้ว คนเขาดูไม่ออกว่าคนไหนเป็นยาย คนไหนเป็นหลาน พระเจ้าปเสนทิโกศล ก็เล็งแล้วเล็งอีกเขาว่านางวิสาขามีเครื่องมหาลดาปสาธน์ ใช่ไหม ? ก็พยายามเล็งดูใครแต่งมาวิริศมาหราคนนั้นแน่ ปรากฏว่าดันไปดูตอนไปวัด เขาก็เก็บเครื่องแต่งตัวก่อนแล้วค่อยไปวัด ไม่เจอสักที

    คราวนี้พระเจ้าปเสนทิโกศลท่านฉลาด ท่านก็คิดเออ.....คนแก่นี่กำลังจะไม่ดี ถึงรูปกายจะหนุ่มจะสาวก็เหอะ คนกำลังไม่ดีเวลาลุกต้องเอามือยันพื้นก่อน พอถึงเวลาเลิกเทศน์ปุ๊บก็มียายแก่ยักแย่ยักยันอยู่คนเดียวแหละ สาวเซ้งเลย แต่ต้องเอามือค้ำยันก่อนถึงค่อยลุก ก็ถึงได้รู้ว่านั่นแหละนางวิสาขา เพราะฉะนั้นก็คาดว่า การถวายดอกไม้ประดิษฐ์ซึ่งมันอยู่ยงคงทนมากกว่าก็อาจมีเนื้อคู่อย่างนางวิสาขา เป็นหนุ่มเป็นสาวสองพันปี ไม่รู้จักแก่สักทีคงไม่ใช่ได้สาวพลาสติกศัลยกรรมมาหรอก

    ถาม: คนที่จะได้เป็นเบญจกัลยาณี ต้องทำบุญอย่างไรบ้างเจ้าคะ ?
    ตอบ: เบญจกัลยาณีนี้ จุดสำคัญที่สุดก็คือว่าซ่อมพระพุทธรูป เป็นพระพุทธรูปปรักหักพังอย่างไรก็ไปซ่อม แต่ว่าขณะเดียวกัน ถ้ามีเมตตาเป็นปกติ มีศีลเป็นปกติก็จะสวยอยู่แล้ว คราวนี้ความสวยนี้จะเสื่อมไปตามวัย เบญจกัลยาณีนี้ถ้ามีลูกเมื่อไรจะอยู่แค่นั้น ได้กำไรกว่าเขาอยู่อันหนึ่ง


    ถาม: ไม่ทราบว่า ภพชาติที่จะได้ผล จะยาวนานแค่ไหน ?
    ตอบ: ก็ต่อไป ๆ ในภายหน้า เขาเรียกว่า อปราปรเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในชาติที่สองที่สามต่อไปเรื่อย ไม่ใช่ปัจจุบันนี้ ปัจจุบันนี้ที่เป็น ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม มันมีอยู่ทั้งความดีความชั่ว ถ้าหากว่าฝ่ายชั่ว ก็คือ ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิต ยุสงฆ์ให้แตกกันเป็นสังฆเภท อันนี้ลงอเวจีมหานรกอย่างเดียว ถ้าทำครบสี่อย่างก็ลงโลกันต์ไปเลย


    คราวนี้ในฝ่ายดี ก็คือสร้างฌานสร้างสมาบัติได้เป็นปกติ อยู่ระดับก็จะส่งผลให้เกิดเป็นพรหมในระดับนั้น ถ้าทรงอรูปฌานได้ก็จะเป็นพรหมในระดับนั้น แต่ว่ามีอยู่อีกอันหนึ่งว่า ถ้าได้ทำบุญกับพระที่ออกนิโรธสมาบัติจะรวยในชาตินั้นทันทีเลย เพราะฉะนั้นทิฏฐธรรมเวทนียกรรมนี้ทำยากหน่อย ให้ผลในปัจจุบัน แต่ว่าให้แล้วให้เลย เหมือนกับการเพาะถ่วงอกกินแล้วหมดเลย ให้ผลเร็วมาก ถั่วงอกนี้ ๓ ชั่วโมงได้กินแล้ว แต่ว่ากินแล้วหมดเลย ขณะเดียวกันกับกรรมอื่น ๆ ที่เป็น อุปัชชเวทนียกรรม อปราปรเวทนียกรรม ให้ผลในการข้างหน้าต่อเนื่องยาวนานไปเรื่อยเหมือนกับเราปลูกไม้ผล ๓ ปี ๕ ปี กว่าจะได้กิน แต่ถ้ามันโตขึ้นมามันได้อยู่เรื่อย
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...