ฉบับที่ ๓๔ เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย paang, 9 ธันวาคม 2006.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ


    เดือนสิงหาคม ๒๕๔๕
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    ถาม : การถวายน้ำพระพุทธรูปนี้ควรที่ถวายอย่างสม่ำเสมอไหมคะ ?

    ตอบ: อะไรที่เราทำสม่ำเสมอมันเป็นอนุสติและขณะเดียวกัน มันก็เป็นฌานด้วย คำว่า ฌาน ก็คือเคยชิน เรา พุทธานุสติ จนเป็นฌาน วันนี้ถ้าไม่ได้ถวายน้ำจิตมันจะห่วง อันนั้นแสดงว่าเริ่มเป็นฌานแล้ว ก็ทำต่อไป การถวายข้าวก็ดี ถวายน้ำก็ดี พระท่านไม่ได้ฉันหรอก เพียงแต่ว่าเป็นการสร้างสิ่งยึดเหนี่ยวให้เกิดขึ้นกับใจเราว่าเราต้องทำอันนี้ก่อน ต้องทำอย่างนี้ก่อน เลยทำให้จิตมีที่ยึดที่เกาะในส่วนที่หยาบ มันสะดวกกว่า ก็กลายเป็นว่าเกาะในพุทธานุสติ ถ้าหากมีรูปพระสงฆ์อยู่ด้วยก็เป็นสังฆานุสสติด้วย

    ถาม: แล้วเราอธิษฐานน้ำหลังจากถวายพระพุทธแล้วได้ไหมคะ อธิษฐานว่าขอให้เป็นน้ำมนต์ ?

    ตอบ: ได้จ๊ะ อันนั้นอยู่ที่ความมั่นใจของเรา ถ้าหากว่าประเภทกลัวจะน้อยไปก็เอาสักโอ่งก็ได้ จริง ๆ แล้ว ใช้อิติปิโสทั้งบทนะ อิติปิโส ฯ สวากขาโต ฯ สุปฏิปันโน ฯ ตั้งใจว่าด้วยความเคารพขอบารมีพระท่านช่วยสงเคราะห์ ยิ่งมีกำลังฌานสูงเท่าไรก็มีผลมากเท่านั้น ทำน้ำมนต์ทำไม่ยากหรอก เพราะว่าเราไม่ได้ทำเอง อาศัยบารมีพระพุทธเจ้า

    ถาม: สงสัยพวกที่เขามีอาชีพที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต พวกนี้เขามีกรรมต่อ ๆ กันมา ?

    ตอบ: ก็มีอยู่ในลักษณะที่สืบเนื่องกันมาว่า เขาฆ่าเรา เราก็ต้องฆ่าเขาคืน มันก็ส่วนของปานาติบาตเหมือนกัน แต่ขณะเดียวกัน อย่าลืมโทสะจริตมันต้องมีอยู่ จะถูกฆ่ามันต้องมีอยู่สองอย่าง คือกลัวกับโกรธ กลัวนี้คือกลัวตายเป็นปกติตามสัญชาติญานของคนและสัตว์อยู่แล้ว ขณะเดียวกัน ก็โกรธว่าทำไมเขามาทำเรา ตัวโกรธนี้ถ้าหากว่ามันเป็นโทสะก็อาละวาดไปเฉย ๆ แต่ถ้ามันเป็นพยาบาทเมื่อไรก็จะเป็นจองล้างจองผลาญ จะตามไปเรื่อย ๆ ก็จะตามกันฆ่ากันไปฆ่ากันมาไปเรื่อย ๆ อย่างน้อย ๆ พวกนี้ก็มีกรรมปานาติบาตและโทสะจริตบวกกัน ต้องมาฆ่ากัน ต้องเอาเลือดเอาเนื้อร่างกายของคนอื่นมาขายบ้าง พระพุทธเจ้าเรียกว่า มิจฉาวณิชชา หากินในทางทีไม่ถูกต้อง ค้าขายในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ท่านบอกว่า ขายสุรา ขายยาพิษ ขายมนุษย์ ขายอาวุธ ขายสัตว์มีชีวิต สัตว์มีชีวิตนี้ขายให้เขาฆ่าใช่ไหม ขายมนุษย์ สมัยก่อนเขาค้าทาส สมัยนี้ก็มีเหมือนกันประเภทหลอกเขาไปขาย ท่านบอกว่าผู้ที่เป็นพุทธมามะกะไม่ควรทำ อาชีพเหล่านี้อย่าไปยุ่งเลย ขายสุรา เราไม่ได้บังคับให้เขากิน แต่ว่าถ้าเราไม่สามารถตัดกำลังใจได้ มันก็เหมือนเราสนับสนุนเขาให้ทำความผิด ขายอาวุธ ขายยาพิษ เหมือนกัน ไม่ได้บอกให้ไปฆ่าคนฆ่าสัตว์ แต่มันเอาสิ่งนั้นไปใช้คนที่เขาไม่รู้ ถ้าเราทำกำลังใจได้ มาต่อว่าเรา โทษก็เกิดกับเขา ถ้าเราทำกำลังใจไม่ได้ มันก็เกิดโทษกับตัวเรา มันโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง พระพุทธเจ้าท่านถึงได้บอก มิจฉาวณิชชา ๕ อย่าง ผู้เป็นพุทธมามกะไม่ควรทำ

    ถาม: แล้วอย่างเป็นเพชฌฆาตล่ะเจ้าคะ ?
    ตอบ: อันนั้นปาณาติบาตตรงเลย ถ้าเกาะความดีไม่ได้ไปนรกแน่ ...!

    ถาม: ..................................
    ตอบ: พระพุทธเจ้าตรัสว่า มิจฉาวณิชชา คือ การค้าขายที่ไม่สมควร เป็นการค้าที่ผิดทาง ประกอบไปด้วย ๑ ) ขายสุรา ๒)ขายยาพิษ ๓) ขายอาวุธ ๔ ) ขายมนุษย์ ๕ ) ขายสัตว์ที่มีชีวิต ท่านบอกว่า บุคคลที่เป็นพุทธมามกะไม่พึงกระทำด้วยเหตุ ๒ ประการ

    ประการแรก - ถ้ารักษากำลังใจไม่เป็น จิตเศร้าหมอง จะลงนรกเสียเอง
    ประการที่สอง
     
  2. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ถาม: (คุยเรื่องคู่ครอง )

    ตอบ: เรื่องของเนื้อคู่นี้ ถ้าเป็นบุพเพสันนิวาส คือเคยเนื่องกันมาแต่ชาติก่อนจริง ๆ พบเจอหน้ามันเลี่ยงกันไม่พ้นหรอก ยิ่งเกิดมากเท่าไรความผูกพันก็จะมากเท่านั้น อาตมาสมัยบวชใหม่ ๆ เจอหน้าผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาก็ไม่ได้อยู่ในสเป๊ก รูปร่างก็ไม่ได้อยู่ในสเป๊ก แต่มีแรงดึงดูดมหาศาลเลย ชนิดเราทำอะไรไม่ถูกเลยนะ เห็นคราวนี้ โอ้ย ! ตายละวา ...เจ้าหนี้ตามทวง ความรู้สึกมันว่านั้น แต่คราวนี้ว่า เราไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองไปให้หลบรอดไปได้มากกว่าสติสัมปะชัญญะที่พอมีอยู่เท่านั้น แต่สติที่มีอยู่มันหายไปเกินค่อนหนึ่ง สมาธิก็หายไปเหมือนกัน ทำวัตรก็มองหน้า นั่งกรรมฐานแทนที่จะหลับตาก็ลืมตามองอยู่นั่น ความรู้สึกบอกว่า ถ้าพูดกับเขาแม้แต่คำเดียว เราเสร็จแน่ แล้วยายนั่นเขาก็รู้เหมือนกัน ถึงเวลาก็ต้องแถเข้าไปใกล้ ๆ พอถึงเวลาเขาพูดอะไร ความรู้สึกเราบอกว่า ถ้าพูดแม้แต่คำเดียวเราเสร็จแน่ ยอมเสียมารยาทคุยกับคนอื่น พอเขาเสียบเข้ามา เอ่ยปากถามปุ๊บ เราเดินหนีไปเลย หลบอยู่ ๓-๔ วัน เห็นท่าไม่รอดแน่ พอดีหลวงพ่อสั่งให้ไปประจำอยู่ที่หน้าตึกของท่าน ตรงจุดนั้น ถ้าไม่มีธุระจริง ๆ ห้ามเข้า ก็เป็นอันว่ารอดไป ไม่อย่างนั้นเสร็จ เพราะว่าพวกนี้ ถ้าช่วงวาระเวลาของเขามาถึง บุญกรรมที่มันส่งมาถึงจะทำให้เราอยู่ไม่ได้ แต่ถ้าเราสามารถตื้อให้พ้นช่วงนั้นไปได้ มันก็พ้นไปเลย จนกว่ามันจะมาบรรจบครบรอบอีกครั้งหนึ่ง

    ถาม: แล้วเขาจะไปมีคู่กับผู้อื่น ?

    ตอบ: มันจะไปมี ก็ปล่อยมันไป ยิ่งมีเร็วเท่าไรยิ่งดี หลวงปู่ฝั้น ครูบาอาจารย์ที่เคารพท่านมากที่สุดองค์หนึ่งนะ ท่านบอกว่าท่านธุดงค์ไป ท่านจะข้ามลำน้ำ มีเรือจ้างอยู่สองแม่ลูก พอเห็นหน้าลูกสาวปุ๊บหลวงปู่บอกว่าใจหายแวบเลย หน้าอย่างนี้ใช่เลยล่ะ เสร็จแล้วท่านจะทำอย่างไร ? ท่านก็พอขึ้นเรือได้ บอกขอบอกขอบใจเสร็จก็รีบเดิน เดินอย่างไม่มีสติ ภาวนามันหายหมดเลย เดินไปจนกระทั่งค่ำก็ปักกลดปรากฏว่าเขาตามมา แม่ลูกตามมา แม่มาถึงก็บรรยาย ตัวเองมีนากี่ไร่มีควายกี่ตัว เฒ่าชะแรแก่ชราป่านนี้แล้ว มีลูกสาวคนเดียว ยังไม่เป็นฝั่งเป็นฝาเลย เห็นท่านนี้แหละพอจะเป็นที่พึ่งได้ ถ้าหากว่าท่านสึกหาลาเพศไปก็พร้อมจะยกสมบัติและลูกสาวให้ด้วย หลวงปู่ท่านบอกว่าสติสตังที่จะต่อต้านสักนิดหนึ่งก็ไม่มี ได้แต่เออ...ไปตามเรื่อง บอกว่าตอนนี้ยังเป็นพระอยู่ ถ้าหากสึกแล้วเราค่อยพูดกันอีกทีหนึ่ง เขาบอกว่าพรุ่งนี้เขาจะมาเอาคำตอบ แล้วก็กลับบ้าน หลวงปู่ท่านยอมเสียสัจจะถอนกลดหนีคืนนั้นเลย ปกติพระธุดงค์ถ้าไม่สว่างห้ามถอน หลวงปู่ท่านบอกว่ายอมเสียสัจจะถอนกลดหนีคืนนั้น ธุดงค์ข้ามไป ๓ จังหวัด มีปัญญาให้มันตามมา ถ้าตามมาก็จะยอมรับมันล่ะ แต่ระหว่างที่เดินอยู่นั่นเห็นแต่หน้าลอยอยู่ ท่านบอกว่า เห็นแต่หน้ายายหน้าใบโพธิ์ คือหน้าเป็นรูปหัวใจ เห็นแต่หน้ายายหน้าใบโพธิ์ ตามอยู่นั่นแหละ โอ้โห ! ความผูกพันแรงขนาดนั้น

    ถาม: แล้วตัวผู้หญิง เขาก็ผูกพันด้วยไหมครับ ต้องทั้งสองคนไหมครับ ?

    ตอบ: เขาเห็นปุ๊บเขารู้เลย พระอาจารย์สิงห์ขันตยาคโม ครูบาอาจารย์ใหญ่ สาย หลวงปู่มั่น ท่านบอกว่าเห็นหน้าปุ๊บผู้หญิงหงายหลังสลบ ตัวท่านเองก็เข่าอ่อนกองอยู่ตรงนั้นเหมือนกัน คิดดูว่ามันแรงขนาดไหน นั่นแสดงว่าใช่แน่ ๆ อย่างไรก็หนีไม่พ้น หลวงปู่สิงห์ ท่านก็เจ็บปวดยิ่งกว่านั้นอีก พ่อแม่เขามาบอกว่าขอให้สึกไปแต่งงาน ท่านบอกก็ได้ แต่ต้องทำที่ต้องการนะ อันดับแรกให้สร้างปราสาทลอยอยู่กลางท้องฟ้า เอาไว้เป็นเรือนหอ อันดับที่สองให้หายาอะไรก็ได้ที่กินแล้วไม่แก่ไม่เฒ่า ไม่ตาย โอ้โห ! สิ่งที่ท่านยื่นมาทั้งนั้นนี่นิพพานทั้งหมดเลย ไม่มีที่อื่นนี่ บอกถ้าหาให้ไม่ได้ ไม่แต่ง เอากับท่านสิ ก็คือท่านรู้เสียแล้วว่านิพพานเป็นอย่างไร ในเมื่อรู้แล้วก็พยายามจะไปให้ได้ เขาก็เลยขวางเลยยื่นข้อเสนอเสียเลย มีปัญญาหามาได้ ก็ยอมแต่งเหมือนกัน

    หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี เรียกว่าปรมาจารย์ใหญ่ของสายกองทัพธรรมเหมือนกัน ท่านบอกว่า ไปเยี่ยมเขา ด้วยประเภทที่เรียกว่าจิตห่วงใยตามปกติ เห็นว่าเจ็บไข้ได้ป่วยก็ชวนเด็กวัดไปด้วย เจ้าเด็กวัดระยำเสือกหลับ อาจารย์นั่งมองอยู่ สาวเจ้าก็ตาหวานขึ้นมาเรื่อย ๆ ท่านก็บอกว่าสติสตังมันไม่ค่อยจะอยู่กับเนื้อกับตัว เหงื่อกาฬแตกพลั่ก ก็เลยต้องบอกลา ปลุกเด็กแล้วรีบกลับเลย ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ไปอีกเลย ถ้าคนนี้มาก็บอกเขาด้วยว่าไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นก็เสร็จ น่ากลัวขนาดไหน ?
     
  3. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG]

    ถาม: (คุยเรื่องคู่ครอง)

    ตอบ: มันคล้าย ๆ กับว่า ถ้าวาระและเวลามาถึง มันจะโคจรเข้ามาชนกันเอง อันนี้เป็นแรงกรรมส่ง บุญบาปที่เคยทำร่วมกันมาจะส่งผลเข้ามา เมื่อส่งผลมาถึง คราวนี้ก็อยู่ที่ว่ารักษาตัวรอดไหม และถ้าหากว่าพ้นจากคนนี้ไปแล้ว เดี๋ยวคนใหม่ก็เข้ามาอีก เราไม่ได้เกิดชาติเดียวนะ ในเมื่อไม่ได้เกิดชาติเดียว เนื้อคู่มันก็มีหลายคนไปด้วย คนไหนที่เกิดร่วมกับเรามากชาติที่สุดก็มีอิทธิพลต่อเรามากที่สุด คนไหนเกิดน้อยชาติหน่อย ก็อิทธิพลน้อยหน่อย

    สมัยหลวงพ่อบวชกับหลวงปู่ปาน มีพระอยู่องค์หนึ่งท่านได้อภิญญาและก็ได้ทิพจักขุญาณแจ่มใสมาก ท่านจะบอกเลยว่าวันนั้นเวลานั้น ถ้ามีผู้หญิงคนหนึ่งรูปร่างอย่างนี้ แต่งตัวอย่างนี้มา ผมต้องสึกนะ ก็จริง ๆ ถึงเวลาต้องสึกไปอยู่กินกับเขา แต่คราวนี้ท่านมีอภิญญาอยู่ ก็พยายามรวบรวมกำลังของอภิญญาใช้ในการดูหมอ ใช้ในการรักษาโรคบ้าง หาเงินให้เขาก้อนหนึ่ง ไม่ใช่น้อย ๆ นะ หลวงพ่อบอกประมาณ ๒๐,๐๐๐, บาท ของสมัยนั้น หือ...สมัยนี้ ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ยังจะน้อยกว่าล่ะมั้ง ? อย่าลืมว่าสมัยนั้นก๋วยเตี๋ยว ๒ ชาม ๕ สตางค์ เท่ากับ ๔๐ บาท สมัยนี้ ๕๐ สตางค์ ก็ ๔๐๐ บาท บาทหนึ่งก็แปดร้อยนั่นแหละ เสร็จแล้วท่านก็กลับมาบวชใหม่ แล้วก็บอกไว้อีกว่าวันนั้นเวลานั้น ถ้ามีผู้หญิงหน้าตาอย่างนั้นอย่างนั้นมา ท่านจะต้องสึก แล้วก็สึกอีก สึกอยู่อย่างนั้นแหละ ๔ เที่ยว ๕ เที่ยว

    จนกระทั่งครั้งสุดท้าย พอกลับเข้ามาบวชก็ลาหลวงปู่เข้าป่าเลย หลวงพ่อก็ย่องไปถามว่า ทำไมงวดนี้ไม่อยู่แล้วหรือ ? ท่านบอกว่าหมดหนี้แล้ว ไปแล้ว เผ่นเข้ามาแล้วสบายใจ เพราะว่าของท่านได้อภิญญาอยู่แล้ว พอเข้ามาอยู่ในร่มกาสาวพักตร์รักษาศีลบริสุทธิ์แป๊บเดียว ก็ได้กำลังอภิญญาเต็มคืนมา ไม่เหมือนตอนเป็นฆราวาส มันโดนจำกัดให้ใช้ได้น้อย ท่านรู้ขนาดนั้นยังต้องสึกเลย อาตมาเองยังรอว่า รายต่อไปคือใคร มาจะด่าให้กระจายเลย ถึงเวลาอ้าปากไม่ขึ้น ประมาทไม่ได้ อย่าคิดว่าตัวเองแก่แล้ว

    หลวงพ่อท่านสมัยก่อนก็อายุประมาณนี้แหละ ท่านบอกว่า โอ้โห !....แก่จะตายชักอยู่แล้ว เด็ก ๆ มันเรียน ม. ๕ ม. ๖ อาชีวะบ้าง อะไรบ้าง มาถึงก็ประจ๋อ ประแจ๋เต็มกุฏิไปหมด แล้วหลวงพ่อก็ไม่มีทีท่าจะเล่นด้วย ไป ๆ มา ๆ ก็ประเภทว่าฉันไม่เชื่อหลวงน้าแล้วล่ะ ทำท่าเหมือนอยากจะแต่งงานด้วยแล้วอยู่ ๆ ก็ลืมไปเฉย ๆ อะไรอย่างนั้น หลวงพ่อก็นึกได้แต่เวทนาอยู่ในใจไม่รู้จะช่วยมันอย่างไรวะ ฟังดูในปฏิปทาท่านผู้เฒ่าว่าหลวงพ่อท่านโดนมาขนาดไหน บางอย่างท่านเล่าไว้นิดเดียว แต่ถ้าเรามีประสบการณ์ก็จะรู้เลยว่า นิดเดียวของท่าน กว่าจะผ่านได้ เลือดตาแทบกระเด็นไป

    ถาม: (คุยเรื่องคู่ครอง)

    ตอบ: พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า ไม่ว่าท่านจะหนีไปซอกเขา ไปลำห้วย ในกลีบเมฆ ในถ้ำ ในก้นมหาสมุทรที่ใดก็ตาม ไม่สามารถจะหนีกรรมได้พ้น คุณทำไว้เอง ไม่ต้องไปกลัวมัน ถ้าตั้งใจหนีจริง ๆ หนีพ้น อาตมาอย่างน้อยก็พ้นมาหลายยกแล้ว มันจะมีอีกสักยกสองยกก็เชื่อว่าน่าจะพ้นนะ จำเอาไว้อย่ายื่นหน้าไปให้เขาตบหน้าก็พอ ตบมือข้างเดียวไม่ดังหรอก

    ถาม: (คุยเรื่องคู่ครอง)

    ตอบ: คือมันน่ากลัวมาก มันไม่ใช่ขึ้นแค่นั้นลงแค่นั้น เพราะว่าเราพอถึงเวลาแต่งงานไปปุ๊บ ไหนจะตัวเขา ไหนจะพ่อแม่พี่น้องของเขา แล้วเวลาถึงเวลาลูกอีก หลานอีก ตายล่ะหวา ถึงบอกว่าบางทีก็พูดกับพระว่าตอนนี้นะต่อให้น้องป๊อบมาคุกเข่าต่อหน้าว่า หลวงพี่เจ้าขาสึกไปแต่งกับหนูเหอะ ไม่กล้าไปเลย กลัว จริง ๆ เอ้อ... มันอธิบายเป็นคำพูดได้ แต่ถ้าเห็นนี่ เห็นเลยว่าน่ากลัวจริง ๆ ไม่มีจุดลงท้ายเลย มีแต่ยาวไปเรื่อย ไปเรื่อย

    ถาม: (คุยเรื่องคู่ครอง)

    ตอบ: ไม่ต้องโทษใคร โทษตัวเอง มันแปลกอยู่อย่าง ตอนบวชอยู่มันดูดีไปหมด ก็เลยกลายเป็นว่าถ้าหากว่าสึกไปก่อน เขาก็ไม่โอเคเหมือนกันยุ่งเป็นบ้าเลย ที่ขำ ๆ ก็เคยถามบางคนนะ ผู้ชายเยอะแยะ ทำไมต้องมาแถววัดด้วยวะ คือเราปากเสียว่าตรง ๆ อยู่แล้วใช่ไหม เขาเองก็แน่เหมือนกัน เขาว่าในวัดแหละดีไม่มีเอดส์ ก็บอก เออ....ถ้าวันไหนเจอเอดส์แล้วจะรู้

    ถาม: (เรื่องการบวชของผู้ที่ป่วย)

    ตอบ: ถ้าหากว่าวัดที่เคร่งครัดนี่ ระยะหลังเขาให้ตรวจเลือดก่อนที่จะบวช แต่ว่าก็ยังมีโอกาสพลาด อย่างเช่นว่าการรักษาพยาบาล การให้เลือด การฉีดยา บางทีก็เป็นเหมือนกัน อย่างของอาตมาก็เสี่ยงเหมือนกัน เพราะทำฟันบ่อย ทำฟันแต่ละทีบางทีหมอเขาก็แคะเสียจนเลือดท่วมเลย

    ถาม: อย่างวัดพระพุทธบาทน้ำพุ โยมเป็นเอดส์นี่เขาบวชพระให้เลยหรือว่าใครมีศรัทธาก็บวชได้ครับ ?

    ตอบ: ก็ไม่มีปัญหา คือ ของเขาเป็นวัดที่คนเขารู้อยู่แล้วว่าคนเป็นเอดส์ไปอยู่ด้วยกัน นี่ของเราถ้าหากว่าเขารู้ก็จะรังเกียจ ดีไม่ดีพาลไม่ใส่บาตรให้กินทั้งวัดก็เสร็จล่ะสิ อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าท่านให้ มหาปเทส ๔ คือ ข้ออ้างในการตัดสินธรรมวินัย ท่านให้ไว้ว่า

    ของสิ่งใดควร พิจารณาแล้วว่าควร สิ่งนั้นย่อมสมควร
    ของสิ่งใดไม่สมควร พิจารณาแล้ว ว่าไม่สมควร สิ่งนั้นย่อมไม่สมควร
    ของสิ่งใดควร พิจารณาแล้วว่าไม่สมควร สิ่งนั้นไม่สมควร
    ของสิ่งใดไม่สมควร พิจารณาแล้วว่าสมควร สิ่งนั้นสมควร

    ทีนี้เราฟังแล้วอาจงง ๆ คือว่า ก่อนบวชพระเขาจะมี อันตรายิกธรรม คือ การถามถึงเรื่องที่จะเป็นข้าศึกต่อการบวชอยู่ มันจะมีโรคติดต่อหลายอย่าง คราวนี้พอมาถึงโรคเอดส์ ปัจจุบันนับเป็นโรคติดต่อที่น่ารังเกียจ ในเมื่อเป็นเรื่องที่ไม่สมควร พิจารณาแล้วว่าไม่สมควรสิ่งนั้นย่อมไม่สมควร อย่างนี้เป็นต้น การตัดสินพระธรรมวินัย พระพุทธเจ้าท่านให้เหตุผลไว้ชัดเจน ก็อย่างเดียวกับพวกยาบ้า เฮโรอิน ยาอี สมัยก่อนไม่มีนี่ แต่พิจารณาแล้วเข้าใน มัชชะ คือของมึนเมา ทำให้ผู้เสพเสียสติสัมปชัญญะอะไรอย่างนี้ ถ้าหากว่าทำก็ต้องอาบัติเหมือนกัน จะไปอ้างว่าพระพุทธเจ้าท่านห้ามดื่มสุราเมรัยแค่นั้นเอง ไม่ได้ มันเล่นยาบ้ากันหัวทิ่มหัวตำกัน ประเภทชาวบ้านยังติดคุก แล้วพระจะรอดไปได้อย่างไร

    ถาม: .................................
    ตอบ: ท้าวมหาราชหรือท้าวจตุโลกบาล เป็นตำแหน่ง เหมือนยังกับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ อย่างนี้ เปลี่ยนบุคคลไปได้เรื่อย ๆ

    ถาม: ครองตำแหน่งนานไหมคะ ?

    ตอบ: แล้วแต่วาระของแต่ละคน บุญบาปของแต่ละคนไม่เท่ากัน ในเมื่อกำลังบุญของท่าน ถ้าหากว่าสูง ท่านก็อาจไปนิพพานเร็วหรือไม่ก็เลื่อนขึ้นไปเป็นพรหม ถ้าหากท่านเลื่อนพ้นตำแหน่งไป ก็คัดจากเทวดาที่เป็นลำดับรองลงไป อย่างเช่นพวก รอง ผบ. อย่างนี้ เขาเรียกว่าชั้นของ อินทกะ แต่ละทิศที่มีท้าวมหาราชอยู่จะมีอินทกะ ๑,๐๐๐ องค์ จะคัดอินทกะมาแทนองค์หนึ่ง พอมารับตำแหน่งแทน ตำแหน่งอินทกะที่ว่างลง ก็เลื่อนชั้น วชิระ ขึ้นมาแทน เขาจะมีทดแทนเป็นชั้น ๆ ไป พวกนี้ถ้าอยากรู้ขึ้นไปคุยกับท่าน สนุกจะตาย เพียงแต่จำให้หมดก็แล้วกัน ปวดกระโหลกเหมือนกัน

    ถาม: มีคนเขาบอกว่า ท้าวธตรฐมาบอกว่าให้ไปอยู่ด้วยจะตกลงไหม ถ้าตกลงจะให้อยู่ในโลกมนุษย์อีกเพียง ๕ ปี ?
    ตอบ: ก็ลองดูสิ จะไปยากอะไร ถ้าตกลงแล้วอยู่ได้ ๕ ปี จริงไหม ของพรรค์นี้บางอย่างบอกแล้วว่า ยิ่งรู้เห็นชัดเจน โอกาสโดนหลอกยิ่งง่าย อย่าเพิ่งไปปักใจเชื่อ เตือนแล้วเตือนอีก อย่าเพิ่งปักใจเชื่ออะไรง่าย ๆ เพราะอาจมีการหลอกกัน ยิ่งชัดเจนมากยิ่งหลอกง่าย เพราะฉะนั้นต้องรู้จักยับยั้งชั่งใจด้วย เรื่องที่หนึ่งถูกอย่างเพิ่งเชื่อ เรื่องที่สองถูกอย่างเพิ่งเชื่อ เรื่องที่สามถูกอย่างเพิ่งเชื่อ เป็นอย่างไรมันอยากไปเต็มทีแล้วใช่ไหม ไล่มันไปเลย อาจเป็นความจริงก็ได้ แล้วขณะเดียวกันอาจเพี้ยนก็ได้ เรื่องอย่างนี้ไม่ต้องตำหนิกัน เพราะเรื่องที่เขารู้ เขารู้จริง ๆ แต่ในเมื่อเรื่องที่เขารู้แล้ว มันจะเป็นจริงตามนั้นไหม อีกเรื่องหนึ่ง เห็นเขาไล่ตีกันมา ก็วิ่งเข้าไปขอที ขอที อย่าตีกันเลย คราวนี้มันหันมารุมตีนใส่เรา เพราะกำลังถ่ายหนังกันอยู่ วิ่งเข้าไปขวางกล้องเข้าตอนไหนก็ไม่รู้ เราเห็นจริง ๆ ไหมล่ะ ? แต่เรื่องที่เราเห็นมันจริงไหมล่ะ ? นั่นแหละลักษณะอย่างนั้นระวังเอาไว้

    ถาม: แล้วท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าอยู่ ตอนนี้เปลี่ยนหมดหรือยัง ?

    ตอบ: เปลี่ยนหมดหรือยัง .. สมัยพระพุทธเจ้าก็เปลี่ยนไปทีหนึ่ง เพราะว่าพอพระเจ้าพิมพิสารท่านสวรรคต ท่านก็ขึ้นไปเป็นบริวารของท้าวเวสสุวรรณ เป็นอิทนทกะของท้าวเวสสุวรรณ แล้วปัจจุบันนี้ท่านก็เป็นท้าวเวสสุวรรณเสียเอง
    ถาม: แล้วบริวาร....(ไม่ชัด)......

    ตอบ: ก็ต้องดูความสำคัญนะ ถ้าหากว่าบารมีท่านสูง เป็นพระโพธิสัตว์มาอะไรอย่างนี้ บางทีท่านก็มีสิทธิได้ก่อน องค์ที่เป็นพระอริยเจ้าก็รอ เพราะพระอริยเจ้าไม่อยากได้อะไรอยู่แล้ว ถึงเวลาถ้าโดนมัดมือชกส่งขึ้นหน้า ก็เต้นไปตามบท

    ถาม: แล้วปฏิเสธได้ไหม ?

    ตอบ: ก็ไม่ทราบเหมือนกัน

    ถาม: หลวงพี่ครับ มีอะไรฝากถึงพี่ตั้มไหมครับ เมื่อวานผมโทรไป....?

    ตอบ: มีอะไรฝากไหม.. บอกเขาว่า อะไรที่เกิดขึ้นก็ตามนะ ให้ตั้งสติให้ดี ย่าทำตัวเป็นคนเล่น ถ้าเป็นคนเล่นก็จะไม่เห็นทางออกของปัญหา ต้องทำตัวเป็นคนดูไว้เสมอ เปลี่ยนมุมมองที่มีอยู่ แล้วบางสิ่งบางอย่างที่ยากมันจะง่าย อย่างนี้มันเหมาะสำหรับนักธุรกิจ
     
  4. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ถาม: (ถามเรื่องการช่วยเหลือเพื่อน)

    ตอบ: ก็ต้องดูว่าเราสนับสนุนเขาแล้วจะเป็นผลดีต่อเขาไหม ? ทำให้ธรรมะของเขาก้าวหน้าขึ้นไหม ? ทำให้ทาน ศีล ภาวนา ของเขาเจริญขึ้นไหม ถ้าเจริญขึ้นก็ไม่ถือว่าเป็นการไปขัดขวางเขา แต่ถ้าหากว่าไม่เจริญขึ้น เราเองก็มีส่วนในการขวาง

    ถาม: แล้วอย่างบางทีเราไปไหนนี่ แล้วเจอเหตุการณ์มันผ่านไปแล้ว บางทีมันซ้ำแล้วซ้ำอีก เป็นโรคสมองหรือเปล่า ?

    ตอบ: เรียกว่าโรคทางสมองก็ได้ บางอย่างจะมีนิมิตขึ้นก่อน หรือไม่บางอย่างเราเคยอยู่ในจุดนั้นมาก่อน พอผ่านไปความรู้สึกคุ้นชินจะเกิดขึ้นทันที อาตมาเองเคยฝันเห็นสถานที่หนึ่งอยู่ ๓๐ ปี ติดต่อกัน ทุกครั้งที่มีอันตรายถ้าหนีภัย สู้ไม่ได้แล้วหนีไปตรงนั้น เนื่องจากว่าเราชำนาญภูมิประเทศมาก คุ้นเคยกับมันมาก ถ้าไปถึงตรงนั้นไม่มีใครตามเราได้ หนีพ้นทุกที ๓๐ กว่าปีให้หลัง ถึงไปเจอเข้า ตอนแรกที่ไปเจอก็ไม่รู้ว่าใช่เพราะว่าภูมิประเทศมันเปลี่ยน ปกติแล้วจะเป็นน้ำตกลงมา แล้วเราจะปีนสวนน้ำตกขึ้นไป หลบไปทางด้านหลัง จะมีหินหลบลงไปได้เรื่อย ๆ ไปตามป่าตามเขา ตอนที่ไปถึงเป็นหน้าแล้ง น้ำมันแห้ง ก็เลยไม่นึกว่าใช่ คราวนี้อยู่ไปพักหนึ่งปวดฉี่ หลบไปข้างหลัง พอเห็นปั๊บใช่เลย จำได้ทุกซอกทุกมุมเลย เลยมาดูข้างหน้า อ้าว ! ...ข้างหน้าก็ลักษณะน้ำตกเก่าเพียงแต่ว่ามันแห้งไปเท่านั้นเอง เลยถามเขา โยมบอกว่าจะมีน้ำตกเฉพาะหน้าฝนเท่านั้น เลยรอหน้าฝนอีกที คราวนี้ชัดเจนว่าใช่ที่ ๆ เราเห็นอยู่ตลอดเวลา แสดงว่าแถวนั้นเราเกิดจนช่ำเลย จำติดตาติดใจอยู่ได้อย่างไรก็ไม่รู้ ฝันถึงมันอยู่ได้ตั้ง ๓๐ กว่าปี จนกระทั่งไปเจอมันเข้าถึงได้เลิกฝัน

    ถาม: แล้วของผมนี้เป็นโรคสมองหรือเปล่า ?

    ตอบ: เป็น พวกที่เป็นอย่างนี้ เขาว่าบ้า... ก็อย่าไปเที่ยวบอกคนอื่นซิ เขาจะได้ไม่ว่าเอา

    ถาม: ....(ไม่ชัด)....ก่อนศาสนาพุทธ ๕,๐๐๐ ปี แล้วมาสร้างบารมีต่ออีก หมด ๕,๐๐๐ ปีนี้ ต้องไปรอพระศรีอารย์เพื่ออะไรก็ไม่ทราบ ผมอยากจะถามหลวงพ่อ มันข้องใจมากเลย ?

    ตอบ: ของคุณมันตอบไม่เป็น อาตมาเองเจอ หลวงปู่อ่ำ ท่านเจ้าคุณ พระราชกวี วัดโสมนัส ครั้งแรก เคาะประตูเรียก เปิดประตูมาถามเป็นไงเพื่อนจำกันได้ไหม คนอายุ ๖๐ กว่า ถามคนอายุ ๓๐ กว่า ว่าจำกันได้ไหม แล้วคุณบอกว่าจำไม่ได้ใช่ไหม เป็นผมไม่ตอบอย่างนั้นหรอก เราบอกว่า ผมจำหลวงปู่ไม่ได้ครับ แต่ผมเชื่อหลวงปู่จำผมได้แน่เลย (หัวเราะ) เสร็จ...ท่านก็เลยต้องเล่าให้ฟังว่าเคยปรารถนาพุทธภูมิร่วมกันมาตั้งแต่ยุคไหน ยุคไหน โอย....สนุก

    ถาม: อย่างนี้ถ้าถามหลวงพ่อยังไงดี คือที่ผมคิดมันมีอยู่สองอย่างแน่ อย่างหนึ่งคือไปรับพยากรณ์ แต่อย่างหนึ่งอาจไปเป็นพระสาวกสมัยไหน ?

    ตอบ: ไม่ต้องไปกังวลกับเรื่องในอนาคตหรอก ทำปัจจุบันให้ดีก็พอ


    [​IMG]
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...