ฉบับที่ ๓๗ เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย paang, 4 มีนาคม 2007.

แท็ก:
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG]

    [​IMG][​IMG]


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>ช่วงแรกของเล่ม "อดีตที่ผ่านพ้น ๖๑-๖๖"สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    เดือนกรกฎาคม-กันยายน ๒๕๔๔

    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ


    ถาม : ................................
    ตอบ: คือเราตั้งใจจะให้เสื่อม แล้วก็ไปลอด ถ้าอย่างงั้นก็เสื่อม แล้วเรามีโทษปรามาสพระรัตนตรัยด้วย แต่ขณะเดียวกันว่าถ้าหากว่าเป็นของสำนักที่ทำตามแบบของไสยศาสตร์เขาจะมีข้อห้ามของเขาอยู่ อย่างเช่นว่าห้ามลอดใต้ถุนร้าน ห้ามกินฟัก แฟง แตง น้ำเต้า ห้ามด่าแม่เขา ถ้าเราไปละเมิดข้อนี้ของเขาจะเสื่อมไปเลย

    เพราะฉะนั้นไสยศาสตร์กับพุทธศาสตร์ต่างกัน

    พุทธศาสตร์นี้ส่วนใหญ่เป็นอานุภาพของพระ ของพรหม ของเทวดา มันจะยั่งยืนกว่า หลวงพ่อเดิมวัดหนองโพธิ์ ท่านทำเครื่องรางของขลังเอามาลูกศิษย์เอาไปใช้ มีลูกศิษย์คนหนึ่ง ถามว่า หลวงพ่อครับ วัตถุมงคลของหลวงพ่อลอดราวผ้าได้มั้ย? ลอดใต้ถุนร้านได้มั้ย? หลวงพ่อเดิมบอกว่างูเห่ามันเลื้อยลอดพระลอดราวผ้า แล้วลอดใต้ถุนร้านมากัดเอ็ง ๆ ตายมั้ย? คนถามบอกว่า ตายครับ หลวงพ่อเดิมบอกว่า ของ ๆ ข้าก็เหมือนกับงูเห่านั่นแหละ ลอดเท่าไรก็ไม่เสื่อม นั่นแสดงว่าเป็นพุทธานุภาพ

    การฝึกปฏิบัติสำคัญที่สุดก็คือรักษากำลังใจของเราให้ทรงตัวต่อเนื่องกันให้ได้ ถ้ากำลังใจมันทรงตัวต่อเนื่อง รัก โลภ โกรธ หลง มันจะทำอันตรายเราไม่ได้ ส่วนใหญ่ของเราทำพอเลิกมาก็เอ้อระเหยลอยชายลืมไปเลย กำลังใจไม่ได้ รักษาต่อแล้วก็นั่งกลุ้มว่าทำมั้ย ทำไม ทำไม ตอนนี้มันวุ่น มันกลุ้ม มันทุกข์สารพัดสาระเพ ทำตัวเองทั้งนั้นเลย

    ถาม: ..................................
    ตอบ: หยอดตู้ไปเลย สังฆทาน วิหารทาน ธรรมทานน่ะ ธูปเทียน เอามานี่ ธูปเทียนของจำเป็นใช้อยู่ทุกวัน มา...ไว้บนนี้ ถ้าหากว่าพระที่เป็นพระจริง ๆ เครื่องบูชาเหล่านี้สำคัญ

    คราวนี้ลูกศิษย์สายหลวงพ่อมักจะเคยชินเหมือนกันตัวทานบารมี ไปไหนก็ควักกระเป๋า ถึงเวลาก็ควักสตางค์วางลงไป ถ้าหากว่ามีดอกไม้ธูปเทียนไป พระที่เป็นพระจริง ๆ ท่านจะยินดีมากกว่าเงินทองเยอะ

    อันดับแรกคือท่านยินดีในความดีของเรา การที่เรานำดอกไม้ธูปเทียนมาคือตั้งใจมาบูชาพระรัตนตรัย การบูชาพระรัตนตรัยคือเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นกฏกติกาข้อแรกของการเข้าถึงพระโสดาบัน ถ้าท่านเห็นท่านจะดีใจว่าคุณใกล้พระโสดาบันแล้ว แต่เห็นสตางค์เป็นคนละเรื่องเลย ไอ้สตางค์ในความหมายของท่านบางทีมันก็คือเศษกระดาษหรือเศษโลหะเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นถ้าไปหาพระที่เรามั่นใจว่าท่านเป็นพระดีแน่ ๆ ของเหล่านี้อย่าลืม ถึงมันจะเป็นอามิสบูชา บูชาด้วยสิ่งของก็ตาม แต่ว่าอามิสบูชาน่ะผลของมันจะเกิดในลักษณะว่าร่ำรวย ปฏิบัติบูชาผลมันจะเกิดในทางปัญญาดี ทำมันซะทั้งสองอย่างนั่นน่ะ จำไว้ให้แม่น ๆ บางคน เอ๊ะ...ทำไมต้องตั้งขันครู ต้องบูชาครูกันอยู่ตลอด จริง ๆ ทั้งหมดทำก็เพื่อตัวเราเองทั้งนั้น นั่นล่ะจำเอาไว้ให้แม่น เจตนาบริสุทธิ์ วัตถุทานบริสุทธิ์ ผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับบริสุทธิ์ ทานนั้นมีผลเต็มร้อยส่วน คราวนี้ของเราเองเราเพิ่งทำกรรมฐานมากำลังใจมันต้องดีอยู่แล้ว

    ถาม: ตอนนี้เริ่มอายุมากขึ้นค่ะ เริ่มไปวัดไปวานี่ก็จะเริ่มเจอคำถามแปลก ๆ หรือไม่บางอย่างที่ตอนเด็ก ๆ สงสัยน่ะค่ะ แล้วก็ยังไม่ได้คำตอบที่ถูกใจ ก็เลยอยากเรียนถามหลวงพี่น่ะค่ะ ถามหลวงพี่เรื่องธูปเทียนดอกไม้ที่ถวายพระนี่หมายความว่าอย่างไร เทียนนี่จะจุดข้างไหนก่อนน่ะค่ะ ?

    ตอบ: การถวายดอกไม้ธูปเทียนเป็นเครื่องบูชา คือเป็นการถวายแสงสว่างและของหอมเป็นเครื่องบูชา จัดเป็นอามิสบูชาอย่างหนึ่ง อามิสบูชาส่วนใหญ่ผลตอบแทนหรืออานิสงส์ของมันต่อไปในภายหน้ามันจะเกี่ยวกับเรื่องลาภผลเงินทอง แต่ถ้าเป็นปฏิบัติบูชามันจะเป็นด้านของปัญญา

    คราวนี้การจุดธูปจุดเทียนน่ะ ตามความนิยมกัน เขาจะจุดด้านซ้ายของเราคือขวามือของพระก่อน จุดเทียนทางด้านซ้ายมือก่อนแล้วมาจุดทางด้านขวา แล้วธูปก็รวบปั๊บมาก็จ่อไปทางด้านซ้ายอีกเหมือนเดิม

    ถาม: มีความหมายอะไรมั้ยคะ เป็นดอกไม้นี่ทำไมถึงนิยมถวายดอกบัวอะไรอย่างนี้ค่ะ ?
    ตอบ: ดอกบัวส่วนใหญ่แล้วเขาถือว่าเป็นของสูง จริง ๆ แล้ว มันคล้าย ๆ กับปริศนาธรรมอยู่อย่างหนึ่งที่โบราณเขาถือกันมา อย่าลืมว่าดอกบัวต้นกำเนิดมันจริง ๆ คือยู่ที่โคลน แต่ว่าสามารถที่จะชูตัวเองจนกระทั่งพ้นโคลนขึ้นมา พ้นน้ำจนกระทั่งเบิกบานขึ้นมาได้ ท่านเปรียบในปริศนาธรรมที่ว่าคนเราทุกคนน่ะ ต่อให้มีชาติกำเนิดที่ต่ำต้อยหรือว่ามีการกระทำที่ย่ำแย่ขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้ามีความพยายามตั้งหน้าตั้งตาต่อสู้ฟันฝ่าทำความดีไว้สม่ำเสมอ ก็ย่อมมีโอกาสที่จะหลุดพ้นได้เหมือนกับดอกบัวที่ชูพ้นน้ำขึ้นมาเหมือนกัน

    ถาม: แล้วการจบของน่ะค่ะ อย่างถ้าสมมติว่าถวายพระพุทธหรือว่าพระสงฆ์เป็นพวกอาหารหรือปัจจัยอย่างนี้น่ะค่ะ เวลาจบของควรจะจบแบบไหน จบอย่างไร ?

    ตอบ: อธิษฐานเอานิพพานไว้ก่อน ถ้าขอนิพพานนี่อย่างอื่นได้หมดเองแหละ จะขึ้นยอดเขามันต้องละไปตลอดทางอยู่แล้ว

    ถาม: แล้วอย่างที่เวลาเวียนเทียนที่เขานั่งเป็นวงกลม ๆ แล้วเวลาเวียนก็แบบอย่างนี้ ทำอย่างนี้ แล้วก็ปัดอย่างนี้ ?
    ตอบ: นั่นถือตามแบบของพราหมณ์เขา คือมีการวนเข้าสามรอบ วนออกสามรอบ ตอนวนออกนั่นเขาเอาสิ่งไม่ดีออก ตอนวนเข้านั่นเขารับสิ่งดีเข้า เขาตั้งใจอย่างนั้น แต่คราวนี้วนออกแล้วไม่ทันจะไป เราไปวนเข้ามันก็กลับมาใหม่หรือเปล่านี่ไม่รู้ (หัวเราะ)

    ถาม: แล้วเวียนยังไง เขาทำกันยังไง?

    ตอบ: เขาเชื่อถืออย่างนั้นเขาทำกันอย่างนั้น มันเป็นรูปแบบของเขาของเราเองเราตั้งใจจุดถวายพระไปก็หมดเรื่องหมดราวไป

    ถาม: การกรวดน้ำค่ะ อุทิศส่วนกุศลน่ะค่ะ สั้น ๆ น่ะค่ะ แล้วก็ให้ถึงทุกท่านทั้งที่มีกายเนื้อและก็ไม่มีกายเนื้อน่ะค่ะ ?
    ตอบ: ถ้าอย่างนั้นเอาตามแบบของหลวงพ่อน่ะจ้ะ อิทัง ปุญญะผะลัง น่ะเคยท่องมั้ย? ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญแล้ว ณ โอกาสนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินมาแล้วแต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายจงโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่บัดนี้ตราบท้าวเข้าสู่พระนิพพานด้วยเถิด และขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลายที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า เทพเจ้าทั่วสากลพิภพและพระยายมราช ขอเทพเจ้าทั้งหลายและพระยายมราชจงโมทนาในส่วนกุศลนี้ ขอจงเป็นสักขีพยานในการบำเพ็ญกุศลของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด และขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่ท่านทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เสวยความสุขอยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอเธอทั้งหลายจงโมทนาในส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ ความสุข เช่นเดียวกับข้าพเจ้าจะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด และก็อธิษฐานปิดท้ายว่าผลบุญใดที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญแล้ว ณ โอกาสนี้ ขอผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เถิด

    ถาม: แล้วการขอขมาพระรัตนตรัยล่ะค่ะ ?
    ตอบ: การขอขมาพระรัตนตรัยนี่ เราพอทำความดีไปถึงระดับหนึ่ง ไม่ต้องมากหรอก แค่อุปจารสมาธิเท่านั้นตั้งใจทำจริง ๆ มารเขารู้ว่าเราจะพ้นมือเขาแล้ว เขาก็พยายามที่จะหลอกล่อเราทุกวิถีทาง ให้เราหลงผิดเป็นชอบ มีการปรามาสพระรัตนตรัยบ้างอะไรบ้าง

    คราวนี้ถ้าหากว่าใครเป็นดังนั้นเขาให้ตั้งใจขอขมาพระ เพราะว่าการปรามาสพระรัตนตรัยนี่ แปลว่าเราไม่เคารพจริง ถ้าเราไม่เคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง เราจะเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันไม่ได้ ก็ให้ตั้งใจไว้ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เราล่วงเกินต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไปแล้ว ด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจก็ดี จะโดยต่อหน้าหรือลับหลัง เจตนาหรือไม่เจตนาก็ดี ข้าพเจ้าขอกล่าวขอขมากรรมนั้นต่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าขอได้โปรดเมตตาอดโทษแก่ลูกตั้งแต่บัดนี้ ตราบท้าวเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ

    ตั้งใจอย่างนี้แม้ว่าสิ่งนั้นเราไม่ได้เจตนาทำจะเป็นการดลอกดลใจของกิเลสมารหรือตัณหาอุปาทาน อกุศลกรรมใด ๆ ชักนำก็ตาม ถ้าเราเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์เรื่องเหล่านี้ เราไม่ทำอยู่แล้ว แต่เนื่องจากว่ามีการชักนำจากกิเลสมารหรือว่าตัณหาอุปาทาน อกุศลกรรมดลบันดาลให้เป็นไปก็ตาม ถึงไม่ใช่การกระทำของเรา เราก็เต็มใจขอขมา พยายามตื้อไว้บ่อย ๆ เจ้าพวกนี้มันกลัวคนหน้าด้าน ถ้าตื้อบ่อย ๆ สู้ไม่ได้มันถอยไปเอง ให้ขอขมาทุกครั้งเวลาจะสวดมนต์ไหว้พระ หรือว่าจะทำกรรมฐานอะไรให้ตั้งใจทำไว้ก่อน เพื่อกรรมส่วนนี้จะได้ขาดลง ไม่อย่างงั้นมันจะขวางอยู่เข้าไม่ถึงกระแสพระนิพพาน

    ถาม: เวลาไปงานศพน่ะค่ะ แล้วเวลาขอขมาศพหรือเวลาที่ไปจุดธูปไหว้ศพให้พูดว่ายังไงคะ ?
    ตอบ: ไม่ต้องพูดนะ ไหว้ไปหลายศพแล้วมันได้แต่ศพน่ะจ้ะ ให้ไปตั้งใจกราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยเฉพาะพระธรรมตั้งโด่อยู่ตรงหน้าตายไปแล้ว ท่านบอกว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรตั้งอยู่ได้เป็นตัวเป็นตนเป็นเราเป็นเขา นั่นเขาก็ตายให้เราเห็นอยู่แล้ว อีกไม่นานเราก็ตายตามนั้น ตอนนี้สัจธรรมอันประเสริฐขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ตรงหน้าแล้ว น้อมกราบเคารพบูชาในความเป็นจริงที่พระองค์ท่านเห็น และลูกก็ทราบดีว่าอีกไม่นานลูกก็จะตายแหงแก๋ตามนี้ ถ้าตายเมื่อไหร่ขอไปอยู่กับพระองค์ท่านก็แล้วกัน เรามันไปไหว้แต่ศพ

    ถาม: แล้วเวลาไหว้เจ้าที่เจ้าทางอย่างนี้ค่ะ จุดธูปกี่ดอก ?
    ตอบ: จุดธูปกี่ดอก...มัดใหญ่ ๆ โรงงานผลิตธูปจะได้รวยมั้ง

    ถาม: แสดงว่าเขาไม่มีกำหนดเหรอคะ ?
    ตอบ: ไม่มีหรอกจ้ะ แล้วแต่เราชอบใจ จุดมัน ๕ ดอก ๗ ดอก ๙ ดอก ๑๖ ดอก แล้วแต่ที่เขาถือว่าเป็นตัวเลขที่ดี

    ถาม: แล้วนั่งสมาธิกับเดินจงกรมน่ะค่ะ อย่างไหนดีกว่ากัน ?
    ตอบ: ถ้าสามารถทำได้ก็เหมือนกัน เพราะว่าการที่เราทำสมาธิภาวนา จะเป็นอิริยาบถไหนก็ตามถ้าทำถึงมันมีผลเหมือนกันหมด แต่ว่าอานิสงส์ของการเดินจงกรมมันมีต่างหากออกมา คืออันดับแรกท่านบอกว่าธรรมะที่ได้จะไม่เสื่อมง่าย เพราะว่าได้ขณะที่เราเคลื่อนไหวอยู่ เวลานั่งภาวนาถ้าเราขยับลุกไปนี่กำลังใจมันอาจจะเคลื่อนไปได้ เพราะมันเปลี่ยนอิริยาบถ แต่ถ้าเราได้ในขณะที่อิริยาบถเคลื่อนไหวอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว ถ้าเราไปนั่งก็กลายเป็นของง่ายไปเลย

    อันดับที่สองทำให้อาหารย่อยได้ดี เลือดลมก็ปลอดโปร่งได้เร็ว ภาวนาได้ดีขึ้น อันดับต่อไปทำให้เป็นผู้มีความอดทนเดินทางไกลโดยไม่เหนื่อย ก็ลองเดินมันเช้ายันเย็นดูซิ พอชิน ๆ เข้าบ่อย ๆ ต่อไปพอไกลก็เป็นใกล้ไปเอง สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะเป็นอานิสงส์ต่างหากของเขา แต่ว่าจริง ๆ แล้วอิริยาบถไหนก็ตามถ้าทำถึงจริง ๆ มีผลเหมือนกัน แต่อานิสงส์จงกรมมันต่างหากออกมาหน่อยหนึ่ง

    ถาม: ช่วงนี้ปฏิบัติพอสมควรค่ะ อย่างไม่ขาดทุกวัน ยังไงก็ทำ ?
    ตอบ: จ้ะ

    ถาม: มันเกิดการสับสนค่ะ ?
    ตอบ: สับสนตรงไหน ?

    ถาม: บางทีนึกไม่ออกค่ะ ว่าที่เราทำไปมันถูกหรือมันผิด ?
    ตอบ: ถ้าหากว่ายังอยู่ในกรอบของทาน ศีล ภาวนา ไม่ผิดจ้ะ หลุดออกนอกกรอบของศีล ๕ มั้ย ? หลุดออกจากการภาวนามั้ย ? ก็ตรวจดูง่าย ๆ

    ถาม: อย่างเวลาเราชี้แจงเหตุผลให้คนอื่นทราบน่ะค่ะ หรือว่าอะไรก็แล้วแต่ ถ้าเหตุผลของเรามันไม่ถูกจิตถูกใจเขาน่ะค่ะ ถึงเป็นเหตุผลที่ถูก แต่บางครั้งคำพูดของเราอาจจะไปก่อกวนจริตของเขาได้ อย่างนั้นถือว่าเป็นการก่อกรรมเพิ่มมั้ยคะ ?
    ตอบ: มันแล้วแต่ว่าเขาถือสามั้ย ถ้าเขาถือสาก็เป็น แต่อย่าลืมว่า ถึงแม้ว่าเราไม่เจตนาก็ตาม แต่บางอย่างมันก็เป็นกรรมได้ และ กตัตตากรรม กรรมที่ทำโดยไม่เจตนา ถ้ากรรมมวลอื่นไม่ได้ผลกรรม มวลนี้ก็อาจจะให้ผลได้ กตัตตากรรมนี้อย่าง
    พระพุทธเจ้าไง ระหว่างที่ปลงอายุสังขารแล้วเดินจากปาวาลเจดีย์ไป เมืองกุสินารา อยากจะดื่มน้ำขึ้นมา เพราะว่ากระหายมาก ให้พระอานนท์ไปตักน้ำ ปรากฏว่า เกวียน ๕๐๐ เล่มเพิ่งลุยผ่านแม่น้ำไปขุ่นคลั่กเชียว พระอานนท์ก็กลับมากราบทูลว่าไม่มีน้ำ พระพุทธเจ้าตรัสว่าไปเถอะ มีอยู่ พอกลับไปน้ำขุ่น ๆ ไม่น่าเชื่อว่าเดินแค่นั้นมันใสแล้ว ท่านก็กรองน้ำถวายพระพุทธเจ้า พอฉันแล้วพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าเป็นบุพกรรมที่ท่านทำไว้ ชาติหนึ่ง ท่านเป็นลูกชาวนา พ่อแม่ไถนาอยู่ทั้งวัน พอตอนเย็นปลดควายออกจากไถได้ ก็บอกให้จูงไปกินน้ำทีมันหิวน้ำแล้ว ท่านก็จูงไป ไอ้ควายหิวจนหน้ามืด เจอแอ่งน้ำมันก็พรวดเข้าใส่ ท่านเห็นว่าแอ่งน้ำนั้นมันขุ่นไปหน่อยหนึ่ง น่าจะให้มันกินน้ำใส ๆ จะได้ชื่นใจมากกว่า ท่านก็ดึงให้มันย้ายมาหน่อยเดียวแค่นั้นเอง เจตนาดีแท้ ๆ เขาเรียกว่ากรรมไม่ได้เจตนาทั้ง ๆ ที่เจตนาก็เจตนาดีแต่ว่ามันก็ยังอุตส่าห์ตามมาสนองท่านขณะที่เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว

    ตรงจุดนี้ก็ให้ระวังไว้นิดหนี่ง บางอย่างเราหวังดี ปรารถนาดี แต่ใช้คำพูดผิด หรือว่าพูดผิดจังหวะ ผิดกาละเทศะ ผิดเวลา คนหนึ่งรับได้อย่างนี้ อีกคนรับไม่ได้ขึ้นมาก็บรรลัยเหมือนกัน เอาเหอะ อยู่ในโลกนี้มันต้องสร้างกรรมเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ยังไง ๆ ก็ให้มันจบลงแค่ชาตินี้ก็แล้วกัน

    ถาม: ช่วงหลังนี่ทำไม... เขาว่านั่งสมาธิแล้วความจำจะดีขึ้น แต่ทำไมลืมอะไรง่ายกว่าปกติล่ะคะ ?
    ตอบ: อันนี้ย้อนไปถึงก่อนถามเลย เราชราแล้วจ้ะ (หัวเราะ)

    ถาม: คนอื่นเขายังไม่เป็นเลยค่ะ เรื่องชรายอมรับอยู่แล้วแต่ว่ามัน...?
    ตอบ: พอเริ่มชราความจำมันก็ไม่ดีเป็นปกติ แต่คราวนี้ถ้าหากว่าเราจะตั้งใจจำอะไรนะ ถ้าเราสมาธิทรงตัว โดยเฉพาะทรงเป็นฌานเลย แล้วกำลังใจเรามุ่งมั่นอยู่กับสิ่งนั้น เมื่อถึงวาระถึงเวลามันจะนึกได้

    คราวนี้ก็สำคัญอยู่ตรงที่ว่าสติสมาธิของเราเต็มที่แค่ไหน ถ้ามันไม่ได้ ถึงขนาดของเขาเราเองจำไม่ได้มั่งก็ช่างเหอะ มันเริ่มชราแล้วจ้ะ

    ถาม: แล้วที่พูดบ่อย ๆ น่ะ รู้ทั้งรู้ทำไม่ได้ ไม่เข้าใจค่ะ ?

    ตอบ: พยายามบ่อย ๆ คือเรื่องบางอย่างนี่เรารู้อยู่ว่าต้องทำอย่างไร แต่ว่ามันทำเท่าไรก็ยังทำไม่ได้ เพราะอันดับแรกกำลังของเรายังไม่เพียงพอ อันดับที่สองวาระและเวลามันยังมาไม่ถึง เหมือนเราปลูกต้นไม้ต้นหนึ่ง ดูแลรักษามาตั้งนาเนกาเลแต่มันยังไม่ออกดอก ออกผลซักที เพราะว่ายังไม่ถึงฤดูกาลของมัน
    คราวนี้เราก็รู้ทั้งรู้ มันจะออกดอกออกผลแต่มันไม่ออกซักที ทำยังไงล่ะ รอ...รอ ด้วยความอดทนและใจเย็น ขณะเดียวกันสิ่งใดที่เคยทำเป็นความดีก็ย้ำแล้วย้ำอีก ทำแล้วทำอีกไปเรื่อย มันเหมือนยังกับว่า เราทวนแล้วทวนอีกจนกระทั่งมั่นใจ เหมือนก้าวข้ามจุดนั้นไป ผลก็จะเกิดแก่เรา ห้ามขี้เกียจ ต่อให้ย่ำเท้าอยู่กับที่ก็ต้องย่ำไม่งั้นแล้วมันจะถอยหลัง

    ถาม: แล้วระยะเวลาที่รอประมาณแค่ไหนคะ ?
    ตอบ: ประมาณแค่ไหน ?

    ถาม: หมายถึงว่าต่อวันอย่างนี้ค่ะ ?
    ตอบ: ๒๔ ชั่วโมงก็พอจ้ะ

    ถาม: .........................................................
    ตอบ: จริง ๆ ถ้าสำหรับนักปฏิบัติจริง ๆ ทิ้งช่องว่างแม้แต่นิดเดียวให้กิเลสมันแทรกเข้ามาได้ คราวนี้มันตีเราตายเลย แต่ว่าของเราเองนี่ เอาเป็นอันว่าถ้านึกได้เมื่อไหร่ก็รีบทำก็แล้วกัน

    ถาม: อานาปานสติ?
    ตอบ: จ้ะ ๒๔ ชั่วโมง อย่าให้มันขาดทุน ให้มันมีส่วนกำไรให้มากกว่าก็แล้วกัน

    ถาม: ตอนนี้อยู่คนเดียวนานไป คราวนี้พอเราจะต้องมาพูดกับคนเยอะ ๆ ...?
    ตอบ: สมัยหลังการอยู่ปริวาสน่ะ ...ไม่ทราบเหมือนกันว่าเขาไปปั่นข่าวเข้าจนกลายเป็นว่าถ้าได้ทำบุญกับพระออกปริวาสแล้วจะมีบุญมาก ตัวนี้น่ะมันพาบรรลัยเลย พระอยู่ปริวาสจริง ๆ เป็นพระที่ต้องอาบัติหนัก คือศีลข้อสำคัญขาดไปแล้ว ตัวเองขาดความเป็นพระไปแล้ว ต้องอยู่ปริวาสคือโดนกักบริเวณเป็นการลงโทษ ถ้าหากว่าโดนปุ๊บสารภาพปั๊บเลยก็โดนอยู่ ๖ วัน ๖ คืน ถ้าหากว่าโดนแล้วไม่สามารถที่จะกำหนดได้ว่าระยะนานเท่าไหร่...ลืม เขาให้นับตั้งแต่วันบวชมาจนถึงวันมาสารภาพ (หัวเราะ) ถ้าบวชมา ปีหนึ่งก็โดนปีหนึ่งกับ ๖ วัน เป็นการกักบริเวณเพื่อลงโทษ

    คราวนี้พอครบแล้ว เก็บมานัตรัตติเฉท อะไรเรียบร้อยแล้ว ก็ให้พระสงฆ์ ๒๐ รูป เป็นอย่างน้อยสวดอัพภานคืนความเป็นพระให้ ถึงจะกลับมาเป็นพระอีกครั้งหนึ่ง ไอ้คนโดนหนักขนาดนั้นน่ะ มันสามารถสร้างข่าวจนกลายเป็นว่าทำบุญกับพระอยู่ปริวาสแล้วจะได้บุญมาก แล้วก็เลยมีการที่ว่าจัดเพื่อหาเงินกัน บางทีก็จัดหาคู่ โอ้โห...เป็นเรื่องที่มันมากเลย วัดคูหาสวรรค์ สุโขทัย เขาโดนปิดปริวาสไปเลย สั่งห้ามจัดตลอดชีวิตเลย เพราะว่าเขาจัดซุ้มปริวาสคือพระจะอยู่ในที่จำกัด ปรากฏว่าจะมีโยมเข้าไปแต่งซุ้มให้ให้อยู่ ลักษณะแบบว่าอยู่กึ่ง ๆ ป่า แขวนกลดอยู่อะไรอย่างนั้น คราวนี้ก็จะมีคนไปจอง ส่วนใหญ่ก็พวกสาวแก่แม่ม่ายนั่นแหละ ไปถึงก็ไปจอง เสร็จแล้วตกลงปลงใจกันได้ วันออกปริวาสก็สึกผูกข้อมือเพื่อนพระชยันโตให้เลย เป็นไง...คุณฟังแล้วน่าหวาดเสียวมั้ย ?

    นั่นแหละ พอมันเละมาก ๆ เข้า ทางสุโขทัยก็เลยโดนสั่งห้ามจัดปริวาสไปเลย เพราะว่าลักษณะนั้นน่ะจะต้องโดนอาบัติซ้อนอาบัติไปแล้ว คือมีอยู่ข้อหนึ่งว่า ภิกษุเกี้ยวหญิงต้องอาบัติสังฆาทิเสส คราวนี้จะตกลงปลงใจกันได้มันต้องคุยกันแน่น่ะ ไม่คุยกันตีใบ้ก็โดน เขียนจดหมายก็โดน แสดงว่าโดนซ้ำเข้าไปแล้วแก้ตัวยังไงก็ไม่หลุด

    ถาม: ..................................
    ตอบ: คราวนี้เขาไม่เอาอย่างนั้น มันก็เอาแค่กำหนด ๗ วันนั่นแหละ พอออกมาเสร็จเรียบร้อยเขาก็ไปเลย

    ถาม: พอโดนซ้อนต้องอยู่แบบ ...(ไม่ชัด)...?
    ตอบ: มันก็ซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่นั่นน่ะ เสร็จแล้วพอมันจัดแล้ว เนื่องจากว่าโยมเข้าใจเสียแล้วว่าทำบุญกับพระอยู่ปริวาสจะได้บุญมาก เขาก็แห่กันไปทำ เจ้าของวัดได้กำไรก็เลยจัดกันบ่อย แต่ถ้าหากว่าจะจัดเอาอย่างเป็นอันเป็นธรรมจริง ๆ ต้องอย่างวัดซากสมอ วัดซากสมอนี่จัดเพื่อสงเคราะห์จริง ๆ สิบห้าวันนะ พระไปอยู่ต้องช่วยตัวเองตลอด ถึงเวลาวันนี้ฉันใช่มั้ย ? โต๊ะนี้มีหน้าที่เก็บกวาดเช็ดถูล้างอะไรก็ล้างไป ถึงเวลาคุณฉันเสร็จ คุณต้องไปนั่งกรรมฐานหนึ่งชั่วโมง เดินจงกรมหนึ่งชั่วโมง อะไรก็ทำไป จนถึงเวลาครบ ครบเวลาออกมาฉันน้ำปานะเสร็จแล้วต่างคนต่างเข้าที่ ภาวนาของตัวเองไป ถ้าอย่างนี้ละก็จัดแล้วได้บุญแน่ แต่ที่ทำ ๆ กันอยู่นี่ ไม่ค่อยแน่ใจว่าจัดแล้วจะได้อะไรกัน

    ถาม: ..................................
    ตอบ: คืออย่างน้อย ๆ ถ้าหากว่าคนที่ตั้งใจไปเพื่อแก้ตัวเองจริง ๆ มันก็ได้อยู่ แต่คราวนี้เจตนามุ่งหมายมันผิดไปซะแล้ว...ลำบาก ระยะหลัง ๆ นี้อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้น่ะ นานไปสัทธรรมปฏิรูป มันจะปรากฏมากขึ้นเรื่อย ๆ สัทธรรมปฏิรูปก็คือสิ่งที่แฝงคำสอนของท่านเข้ามา ยุ่งมากเลย เฮ่อ...ลำบาก

    ถาม: ไม่เคยไป เพิ่งไป ไปที่นี่น่ะครับ ?
    ตอบ: ดีจัง ผมเองน่ะก่อนหน้านี้คิดจะไปปริวาสเหมือนกัน เห็นเขาไปแล้วมันน่าสนุก แบกกลดแบกบาตรกันไปมันก็ธุดงค์ดี ๆ ปรากฏว่าได้แต่คิด รุ่นพี่เข้าไปกราบลาหลวงพ่อว่าขออนุญาตไปอยู่ปริวาส หลวงพ่อถามว่าแกโดนอาบัติข้อไหน ? ก็อึ้ง...บอกไม่โดนครับ ไม่โดนแล้วไปทำไม ? แกไปแล้วถึงเวลาแกไปอยู่ปริวาสแกก็ต้องมาสารภาพว่าแกผิดยังไง ในเมื่อไม่โดนแล้วไปบอกให้ตัวเองผิดก็โกหกเขาน่ะสิ ทางวัดท่าซุง ก็เลยไม่มีการปริวาสกับใครมาตลอด

    ถาม: ที่ไปเพราะอยากรู้ว่าเป็นยังไง ?
    ตอบ: ครับ ผมว่าถ้าไปลักษณะนั้นจะได้ประโยชน์มากเลย จะได้ศึกษารูปแบบเขาเอาไว้ และอีกอย่างหนึ่งว่าถ้าหากว่านาน ๆ ไป เราต้องไปเป็นเจ้าอาวาสจะต้องไปเป็นครูบาอาจารย์เขา ถึงเวลาถ้าลูกศิษย์เกิดจ้าก...เข้าไปโดนเข้ามันต้องแก้ได้ นั่นแหละครับตัวนั้นน่ะสำคัญที่สุด

    ถาม: ไปศึกษาเอ่อ...เป็นยังไงนะอะไรนะ ?
    ตอบ: แต่ว่าระยะหลังนี่มันมีรูปแบบอันหนึ่งที่ดี คือเขากั้นเขตต่างหากไปเลย ถ้าไม่กั้นเขตต่างหากนี่ พวกคุณเข้าไปเขาต้องมาคุกเข่าสารภาพทีละองค์เลย (หัวเราะ) เหนื่อยตายเลย

    ถาม: ทำแค่ครึ่งคืนเช้าก็... ?
    ตอบ: ก็เก็บรัตติเฉทเสร็จก็ออกมาทำโน่นทำนี่ไป ทำวัตรเย็นเสร็จกลับเข้าไปใหม่ แต่ถ้าหากว่าปริวาสแท้ ๆ ที่แบบอุกฤษฎ์นี่ประเภทแบบไม่ต้องเจอหน้าคนเลยจนกว่าจะพ้น

    ถาม: ผมไปนี่แบบคืนก่อน ๆ นี่แหม...ก่อนที่ผมไป... (ไม่ชัด)... กลางคืนพระเข้ามาบ่อยเหลือเกิน ผมไปนี่ ...(ไม่ชัด)... หลวงพ่ออย่าให้มีพระเข้ามานะหลวงพ่อนะ ?

    ตอบ: (หัวเราะ) ไม่งั้นไปสารภาพกับเขาแย่เลย

    ถาม: บางทีเที่ยงคืนตีหนึ่งตีสองจะตีระฆังแม้ง ๆ ๆ ๆ แล้ว เขาว่าที่เขาว่ากันน่ะครับ ....(ไม่ชัด)... หลวงพ่ออย่าให้พระเข้ามา เข้ามาก็ได้ แต่ให้มาตอนเช้า ?

    ตอบ: คือพระใหม่ ๆ น่ะ คุณฟังรูปแบบเอาไว้ให้ดี ถึงเวลามันจะได้ไม่ได้ไปทำผิด คือว่า พระที่โดนอาบัติสังฆาทิเสสนี่มันเท่ากับขาดความเป็นพระชั่วคราว ในเมื่อขาดความเป็นพระชั่วคราวนี่ ต่อให้เขาบวชก่อนกี่พรรษาก็ตามเขากลายเป็นพระใหม่ไป กลายเป็นคนที่อาวุโสน้อยกว่าเรา ถ้าเราเข้าไปเราเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์เขาจะต้องมากราบเพื่อสารภาพว่าเขาทำผิดอะไร ตอนนี้ได้รับการลงโทษไปแล้วกี่วันกี่คืน ยังเหลืออีกเท่าไหร่ ต่อไปนี้จะไม่คิดไม่พูดไม่ทำอย่างนี้อีก เหมือนถ้าคุณเข้าไปซักสิบคนมันก็ตายแล้ว ต้องสารภาพเป็นสิบครั้ง เอ้อ...ลำบากครับ

    เพราะฉะนั้นระวังให้หนัก หลวงพ่อท่านสอนผมตั้งแต่วันแรกที่บวช พออกจากโบสถ์ปั้บก็เอาพานดอกไม้ธูปเทียนไปกราบหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านบอกว่าการบวชน่ะมันเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่ง คือมันเสี่ยงว่าเราเองจะเอาดีได้หรือว่าเราเองจะลงอเวจีไปเลย เพราะว่าพระโทษผิดทุกอย่างมันตั้งต้นที่อเวจีทั้งหมด อย่างเช่นว่าชาวบ้านถ้าฆ่าปลาวันละตัว ๆ ตลอด ๑๐๐ ปี คือเอาตั้งแต่เกิดยันตายเลยฆ่าทุกวัน สมมติอย่างงั้นน่ะนะ ปรากฏว่าตายแล้วลงอเวจี เขาเรียกว่า อาจิณกรรม แต่พระ...คุณทุบปลาตัวเดียวเท่านั้นแหละครับ ไปเลยที่เดียวกัน โทษของพระเราหนักกว่าชาวบ้านเป็นแสน

    เนื่องจากว่าเราเป็นปูชนียบุคคล คุณลองนึกดูว่าคุณเอง...เอ้า...ถ้าสมมติว่าอายุ ๒๐ ปี พอคุณบวชเข้าไปปั้บพ่อแม่ปู่ย่าตายายต้องมาไหว้เราหมด ไอ้ของเราจะสูงกว่าท่านอยู่อย่างเดียวก็คือศีลล่ะครับ ถ้าเราไม่มีศีลมากกว่าเราจะเอาความดีอะไรไปให้ท่านไหว้ เลี้ยงดูท่านก็เลี้ยงดูเรามา อาวุโสท่านก็มากกว่า เรื่องทางโลกท่านก็รู้มากกว่า ในเมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วยิ่งออกไปบิณฑบาตนี่ยิ่งสะดุ้ง อะไร ๆ ก็ยกทูนขึ้นเหนือหัว เท่ากับว่าเราไปกินไปใช้อยู่บนหัวชาวบ้านเขา ทันทีที่คุณบวชเข้าไปเลือดเนื้อร่างกายไม่ใช่ของพ่อแม่แล้วครับ กลายเป็นของชาวบ้านที่เขาเลี้ยงคุณใส่บาตรให้คุณ ทุกส่วนมันเกิดจากอาหารที่เขาให้มาแล้วเรากินเข้าไป คุณเป็นหนี้เขาทันทีที่อ้าปาก กินข้าวคำแรกหลังจากที่บวชแล้วครับ

    คราวนี้แหละใช้หนี้กันหัวโตละซิครับ ถ้าหากความดีไม่พอ ท่านบอกว่าการบวชถึงจะระยะเวลาน้อย แต่ถ้าตั้งใจทำดีก็เหมือนกับเพชร ถึงเม็ดเล็กก็ราคาสูง ถ้าบวชนานแต่ว่าทำชั่วมันก็เหมือนขี้ ยิ่งกองใหญ่ก็ยิ่งเหม็นมาก




    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  2. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>ถาม : ..........................................
    ตอบ: บุญฤทธิ์ เป็นบุญที่เกิดจากกำลังบุญ ไม่ใช่ฤทธิ์ในลักษณะของอภิญญา มีอยู่ครั้งหนึ่งพระยามารแกล้งพระพุทธเจ้า รายนี้มีโอกาสเมื่อไหร่ก็แกล้ง ๆ จนถึงวาระสุดท้าย ทูลพระพุทธเจ้าอาราธนาให้นิพพาน พระพุทธเจ้าแสดงนิมิตให้พระอานนท์ทราบถึง ๑๖ ครั้ง แต่ว่าด้วยกรรมบังและพระยามารตั้งใจแกล้งจริง ๆ พระอานนท์ก็ไม่เข้าใจที่พระพุทธเจ้าท่านเปรียบว่า ถ้าหากว่ามีเกวียนอยู่เล่มหนึ่ง เก่าคร่ำคร่าเต็มทีแล้ว ดุมก็หลวม กงก็คลอน พื้นก็ผุ ถ้าหากว่าเป็นพระอานนท์มีเกวียนอย่างนั้นอยู่จะเปลี่ยนใหม่ดีหรือว่าจะซ่อมเกวียนเก่าไว้ใช้ต่อไป พระอานนท์บอกว่าเปลี่ยนใหม่ดีกว่าพระพุทธเจ้าข้า พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกครั้งเดียว ท่านแสดงนิมิตว่าท่านใกล้จะไปแล้วถึง ๑๖ ทีด้วยกัน ตั้งแต่ปาวาลเจดีย์ ไปจนกระทั่งถึงเมืองกุสินารา ๑๖ ระยะด้วยกัน พระอานนท์ถูกมารดลใจด้วย ขณะเดียวกันเขาตั้งใจแกล้ง จากคนที่ฉลาดที่สุดก็เลยกลายเป็นว่านึกไม่ถึงขึ้นมา พระพุทธเจ้าท่านก็เลยตัดสินใจปลงอายุสังขาร พอพระพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร แผ่นดินก็ไหว พระอานนท์แปลกใจทูลถาม ว่า ทำไมแผ่นดินถึงไหว พระพุทธเจ้าตรัสว่าแผ่นดินไหวด้วยสาเหตุ ๘ ประการด้วยกัน


    ประการที่ ๑ : เกิดจากลมกำเริบ คือใต้โลกของเรานี้เป็นหินเดือด ๆ พอเดือดมาก ๆ ไอร้อนมารวมตัวกันเกิดเป็นความดันสูง พอความดันได้ที่ก็ผลักพื้นโลกข้างบนให้โยกคลอนได้ เขาใช้คำว่า ลมกำเริบ
    ประการที่ ๒ : เกิดจากผู้มีฤทธิ์บันดาล ผู้ได้ฤทธิ์ได้อภิญญาบันดาลให้เกิดแผ่นดินไหวอย่างไรก็ได้
    ประการที่ ๓ : พระโพธิสัตว์ในชาติที่ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตเข้าสู่ครรภ์พุทธมารดา
    ประการที่ ๔ : พระโพธิสัตว์ประสูติ
    ประการที่ ๕ : ตรัสรู้
    ประการที่ ๖ : แสดงปฐมธรรมเทศนา
    ประการที่ ๗ :
    ปลงสังขาร
    ประการที่ ๘ : ปรินิพพาน พอพระอานนท์ได้ยินใจหายแวบเลยรู้แล้ว แต่ตอนนี้ไม่ทันแล้ว เลยทูลพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่าบุคคลผู้ทรงอิทธิบาท ๔ สามารถอธิษฐานร่างกายให้อยู่ได้ถึง ๑ กัป ขออาราธนาพระพุทธเจ้าอยู่ต่อในลักษณะนั้น พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าไม่ทันแล้ว ท่านรับคำอาราธนาของมารปลงอายุสังขารไปแล้วว่า แต่นี้ไปอีก ๓ เดือนเราจะนิพพานที่ระหว่างนางรังทั้งคู่ของเมืองกุสินารา แล้วท่านก็ตั้งหน้าตั้งตาเดินทางไปเมืองกุสินาราเลย


    เพราะฉะนั้นเรื่องมารแกล้งเป็นเรื่องปกติ ท่านแกล้งตั้งแต่วันแรกที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จออกบวช พระพุทธเจ้านั่งอยู่หลังม้ากัณฐกะพร้อมทั้งนายฉันนะมหาดเล็ก เรื่องนี้เป็นเรื่องอัศจรรย์ เป็นเรื่องของกำลังบุญ ๆ ที่บอกว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า พระอานนท์ก็ดี นางวิสาขามหาอุบาสิกาก็ดี นางบุญทาสีก็ดี มีกำลังได้ ๗ ช้างสารนับว่าเป็นกำลังบุญ มาเห็นได้ชัดตอนที่พระพุทธเจ้าท่านเสด็จออกบวช (ถ้าใครอ่านรายละเอียดตรงนั้น) พระพุทธเจ้าพอทราบว่าพระราหุลประสูติ ถ้าขืนอยู่ต่อไปเห็นหน้าลูกแล้ว ตัดใจออกบวชไม่ได้แน่ เลยตัดใจหนีคืนนั้นเลย เสด็จออกกลางดึกปลุกนายฉันนะ มหาดเล็กขึ้นมาให้ไปผูกม้า บอกว่าเราจะออกมหาภิเนษกรมณ์ นายฉันนะก็ดีใจรอเวลานี้มานานแล้วก็ไปเตรียมม้า ม้ากัณฐกะคอดำ เขาบอกว่าเป็นพญาม้าอาชาไนยตัวประเสริฐ กายขาวปลอดเหมือนดังสีสังข์ ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายหาง วัดได้ ๑๘ ศอก มีศีรษะอันดำประดุจขนนกกาน้ำ เขาเรียก กัณฐกะ (ดำแต่คอ) ม้ากัณฐกะเป็นหนี่งในเจ็ดสหชาติที่เกิดพร้อมพระพุทธเจ้า และอยู่ ๆ มาผูกม้ากลางดึกด้วยสัญชาตญาณรู้ว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จออกบวชแน่แล้ว เลยร้องเสียงลั่นด้วยความดีใจ แต่อรรถกถาบอกว่าเทวดาตั้งใจปิดเสียงไว้ เสียงเลยไม่ได้ยินไปถึงมนุษย์ทั้งหลาย ไม่เช่นนั้นไม่ได้บวชแน่

    เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นม้าตรงไปถึงประตูเมือง ปรากฏว่าประตูเมืองปิดอยู่ (อย่าลืมว่ากำแพงเมืองสมัยก่อนทั้งสูงทั้งใหญ่ ถึงจะกันศึกเสือเหนือใต้ได้) พระพุทธเจ้าคิดว่าถ้าประตูเมืองไม่เปิดเราจะใช้เท้าหนีบม้ากัณฐกะ พร้อมกับจับมือนายฉันนะกระโดดข้ามกำแพงไป เป็นเรื่องหมู ๆ ของท่าน ไปถึงพันธุรเสนาตอนที่แสดงศิลปศาสตร์ที่เรียนมาจากเมืองตักศิลา ไผ่หนึ่งพันลำวางต่อกันแล้วกระโดดฟันทีเดียวขาดหมด กำลังขนาดไหน และไม่ใช่ฟันไม้ไผ่ธรรมดา เพราะคนจะแกล้งเอาเหล็กสอดไว้ในปล้องไม้ไผ่ด้วย พอท่านฟันแล้วเสียงดังผิดปกติท่านก็ถามว่ามีอะไรอยู่ เขาก็บอกให้ว่ามีเหล็กสอดอยู่ข้างใน พันธุรเสนาบอกว่าถ้าบอกให้รู้ก่อนว่ามีเหล็ก จะฟันให้ขาดโดยไม่มีเสียงเลย พระพุทธเจ้าท่านคิดอย่างนั้น นายฉันนะมหาดเล็กก็คิดว่าถ้าหากว่าประตูเมืองปิด เราจะให้พระลูกเจ้าขี่คอแล้วก็จูงม้ากัณฐกะกระโดดข้ามไป

    ส่วนม้ากัณฐกะคิดว่าถ้าประตูเมืองปิดอยู่ เราที่มีพระลูกเจ้าอยู่ข้างหลังและมีนายฉันนะเกาะหางอยู่เราจะกระโดดข้ามไป ทุกคนคิดเหมือนกันหมด ปรากฏว่าเรื่องมันยุ่งมาก เทวดาก็เลยช่วยกันเปิดประตูให้

    เราลองมาคิดดูว่าตัวคน ๆ หนึ่งปกติจะกระโดดข้ามกำแพงก็แย่แล้ว คราวนี้ยังหนีบม้าอีกตัว และก็จูงบริวารอีกคน กำลังของท่านจะขนาดไหน ส่วนนายฉันนะท่านก็ตั้งใจให้พระพุทธเจ้าขี่คอและจูงม้ากระโดดข้ามไป ม้าท่านก็ว่าถ้าหากว่าประตูเมืองปิดอยู่ จะจัดการกระโดดข้ามไปเองพร้อมกับเจ้านายและคนรับใช้ เมื่อออกไปจากกำแพงเมืองแล้ว ก็ด้วยธรรมดาของคนที่เคยอยู่ เคยผูกพันกันมานาน ท่านต้องการดูเป็นครั้งสุดท้าย ในอรรถกถากล่าวว่า แผ่นดินหมุนเหมือนกับกงล้อ พระพุทธเจ้าท่านก็เลยหันไปเพื่อจะดูบ้านเมือง พอหันไปก็เจอพระยามาราธิราชโผล่ออกมาและบอกว่า สิทธัตถะราชกุมาร อีกเจ็ดวันจักรรัตนะคือ จักรแก้ว อันเป็นเครื่องหมายของพระเจ้าจักรพรรดินี้ จะปรากฏแก่เธอแล้วอย่าออกบวชเลย ถ้าจักรแก้วปรากฏขึ้นเมื่อไหร่เธอจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลกทั้งโลก สิทธัตถะราชกุมารหรือพระพุทธเจ้ากล่าวว่า ปาปิมะ ดูก่อนมารผู้มีบาป เราก็ทราบว่าอีก ๗ วันจักรรัตนะจะปรากฏขึ้น แต่เราตั้งใจเสียแล้วจะออกบวช เธอจงหลีกไป พระยามาร ไม่อาจจะทานความดีของพระพุทธเจ้าได้ ก็ต้องถอยไป ตั้งแต่วินาทีนั้นพระยามารตามติดเลย มีโอกาสเมื่อไหร่กูเอาแน่

    คราวนี้กล่าวถึงเรื่องของบุญคน พระเจ้าจักรพรรดิจะต้องปกครองโลกทั้งโลก ปราบได้ทวีปทั้ง ๔ คืออย่างน้อย ๆ ดาวอีก ๓ ดวงที่มีคนอยู่ ท่านต้องปราบได้ ในจักกวัตติสูตร อังคุตตรนิกาย กล่าวถึง สัตตรัตนะ แก้วทั้ง ๗ ประการของพระเจ้าจักรพรรดิ มี...

    ปริณายกรัตนะ (ขุนพลแก้ว) ทำหน้าที่แทนทุกอย่าง รบที่ไหน ไม่เคยแพ้ ถ้าพระเจ้าจักรพรรดิสละราชสมบัติออกบวช ขุนพลแก้วจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิแทน


    คหปติรัตนะ (ขุนคลังแก้ว) มีทิพจักขุญาณที่แจ่มใส สามารถเห็นขุมทรัพย์ทุกแห่งที่อยู่ใต้พื้นดินได้ มีหน้าที่ขนมาใส่ท้องพระคลัง เพื่อให้พระเจ้าจักรพรรดิเลี้ยงดูคนทั้งโลก

    หัตถิรัตนะ (ช้างแก้ว) เป็นช้างเผือกตัวประเสริฐจากป่าหิมพานต์ แม่ช้างเมื่อตกลูกแล้วจะพาลูกมาอยู่ในโรงช้างเอง รู้ว่าตัวเองเกิดมาเพื่อทำอะไร

    อัสสะรัตนะ (ม้าแก้ว) เป็นม้าอาชาไนยตัวประเสริฐจากลุ่มแม่น้ำสินธุ มีกำลังวิ่งได้ถึงวันละ ๑,๐๐๐ โยชน์ เป็นผู้ไม่มีความกลัวเกรงในสิ่งใด ๆ ถึงแม้ศึกเสือเหนือใต้ เสียงมันจะดังขนาดไหนก็ตาม ฆ่าแกงกันขนาดไหนก็ตาม ม้าอาชาไนยจะไม่มีความหวั่นไหว พระพุทธเจ้าท่านเคยบอกเอาไว้ว่าบุคคลที่ไร้ความกลัว เช่น 1)พระพุทธเจ้า 2)พระอรหันต์ สองอย่างนี้เรารู้ว่าท่านไม่กลัวตายแน่นอน เพราะว่าท่านหลุดพ้นแล้ว 3)พระเจ้าจักรพรรดิ ท่านไม่กลัวอะไรเพราะรู้ว่าท่านปกครองคนทั้งโลก ทั้งโลกนี้และโลกอื่นทั้ง ๔ ทวีป ไม่มีศัตรูก็เลยไม่ต้องกลัวใคร 4)ม้าอาชาไนย ไม่กลัวอะไรเหมือนกัน

    อิตถีรัตนะ (นางแก้ว) ส่วนใหญ่จะเป็นนางที่มาจากอุตตรกุรุทวีป ดาวพลูโตโน่น ประกอบไปด้วยเบญจกัลยาณี อิตถีลักษณะครบถ้วนทุกประการ เนื้ออุ่นในหน้าหนาว เนื้อเย็นในหน้าร้อน

    มณีรัตน (มณีแก้ว) เป็นดวงแก้วมณีโชติคู่บารมี จะผุดขึ้นกลางพระลานหลวงแล้วก็เลื่อนไปอยู่ในท้องพระคลังเอง มณีรัตนะอยู่ที่ใดก็ตาม ทรัพย์สมบัติจะปรากฏในที่นั้นตลอดกาล เหมือนอย่างกับแม่เหล็ก แต่เป็นแม่เหล็กดูดสตางค์

    จักกรัตนะ (จักรแก้ว) เป็นการประกาศความดีของพระเจ้าจักรพรรดิว่า สมควรที่จะปกครองในทวีปทั้ง ๔ ท่านบอกว่าปกติจะอยู่ที่สะดือทะเล เป็นจุดที่ต่ำที่สุดของแผ่นดิน อยู่ใต้น้ำ ถึงเวลาจะลอยขึ้นมา พร้อมกับดึงดูดเอาสมบัติที่อยู่ในจุดนั้นมาทั้งหมด ท่านบอกว่าด้วยอานุภาพของจักรแก้ว พระเจ้าจักรพรรดิต้องการบรรทุกคนไปสักเท่าไร่ก็ได้ สามารถไปทวีปอื่น ๆ ได้ในชั่วพริบตาเดียว ดีกว่าจานบินสมัยนี้เยอะ ท่านบอกว่าถ้าพระเจ้าจักรพรรดิต้องการจะออกตรวจตราความสงบเรียบร้อย ความสุขความทุกข์ของประชาชนในทวีปทั้ง ๔ จักรแก้วอาจจะพาออกไปได้ ในขณะที่พ่อครัวเริ่มทำอาหารและกลับมาทันกิน เร็วไหม ดาว ๔ ดวงไปอีท่าไหนไม่รู้ไปทั่วเลย

    คราวนี้บุคคลที่ปรากฏเห็นได้ชัดที่มีวาสนาบารมีมาก อย่างเช่น พระยาชมภูบดี ถ้าหากว่าการสร้างพระพุทธรูปเราจะเห็นว่ามีพระพุทธรูปปางหนึ่งที่เรียกว่า ปางทรงเครื่องมหาจักรพรรดิ หรือปางปราบพระยาชมภูบดี พระยาชมภูบดีเป็นผู้มีบุญมากมีของวิเศษอยู่ก็คือ รองเท้าแก้ว พระขรรค์แก้ว อวิสศร ธนูวิเศษยิงไปสั่งให้ไปฆ่าใครที่ไหนไกลแค่ไหนก็ไป
    วันหนึ่งแกก็ไปเที่ยวเล่นใส่รองเท้าแก้วเหาะไป เหาะมาเจอปราสาทพระเจ้าพิมพิสาร ก็ไม่ได้สวยอะไรกว่าของแกหรอก แต่มันสวยด้วยแรงบุญ พระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบัน ในระหว่างคนมีบุญกับคนมีบุญด้วยกันจะดูกันออก ในเมื่อดูกันออกแกก็เกิดอิจฉาขึ้นมา ปราสาทธรรมดา ๆ มันไม่ได้สวยอะไร แต่คนมีบุญอยู่มันก็สวยเป็นพิเศษ แกก็จัดแจงเอาพระขรรค์แก้วฟันฉับเข้าให้ ตัดยอดปราสาททิ้งให้กุดจะได้ไม่สวย ปรากฏว่าท่านบอกว่าพระขรรค์แก้วอันคมกล้าซึ่งสามารถจะบั่นภูเขาทั้งลูกได้ วันนั้นเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ทำให้พระขรรค์บิ่น แรงบุญจริง ๆ แกยัวะขึ้นมาก็เลยกระทืบ ด้วยกำลังของแกบวกกับอานุภาพของเกือกแก้ว ยังไง ๆ ภูเขาทั้งลูกก็ไม่พอให้กระทบหรอก ปรากฏว่ากระทืบโครมลงไปยอดปราสาททิ่มรองเท้าทะลุ (เจ็บเท้าอีก) ยัวะใหญ่เหาะกลับบ้าน กลับเมืองของแก กลับถึงบ้านเมืองให้เอาอวิสศรแผลงมา สั่งว่า “ไปร้อยหูพระเจ้าพิมพิสาร" อวิสศรก็ไป ๆ ถึงก็ประกาศลั่นมาแต่ไกลเลยว่า เราจะร้อยหูพระเจ้าพิมพิสาร ลูกศรประกาศอย่างนั้น พอพระเจ้าพิมพิสารได้ยินก็เกิดกลัวภัยขึ้นมา (อย่าลืมว่าพระโสดาบันยังหนีตายเป็นปกติอยู่) หลวงพ่อเคยทูลถามพระพุทธเจ้าว่า พระอรหันต์ก็หนีภัยหรือ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ถ้าสมควรก็หลีกเลี่ยงเสีย ถ้าหากว่าเป็นกรรมที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ก็ยอมรับ (ไม่ใช่ไม่หนี ไม่หนีก็โง่) พระเจ้าพิมพิสารรีบหนีไปที่ เวฬุวันมหาวิหาร (สมัยก่อนมีประเทศเล็กใหญ่เต็มไปหมด พระเจ้าพิมพิสารครองแคว้นมคธก็คือประเทศหนึ่ง พระเจ้าปเสนทิโกศลครองแคว้นโกศลอีกประเทศหนึ่ง สมัยก่อนกษัตริย์เยอะ)


    พระพุทธเจ้าท่านอยู่ เห็นอันตรายจะเกิดขึ้นกับพระเจ้าพิมพิสารที่เป็นศิษย์คนสำคัญ ก็ใช้วาโยกสิณหอบลูกศรกลับไปคืนให้กับพระยาชมภูบดี พอเห็นลูกศรโบ๋เบ๋กลับมาปกติไม่เคยพลาด ก็รู้ว่าคนมีบุญมีอยู่ก็อัดอั้นตันใจไม่รู้จะทำอย่างไร พระพุทธเจ้าก็ตั้งใจจะทรมานพระยาชมภูบดี เพราะเห็นว่ามีวิสัยจะเป็นพระโสดาบัน เลยเนรมิตเวฬุวันมหาวิหารกลายเป็นมหาปราสาทแก้วมณี ประเภทที่เรียกว่าพระเจ้าจักรพรรดิอยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้นเลย และเสร็จแล้วพระสงฆ์ทั้งหมดก็กลายเป็นอำมาตย์ข้าราชบริพาร พระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตรกลายเป็นมหาเสนาบดีคู่พระทัย ส่วนเทวดาก็สนุกมากันครึกครื้น กลายเป็นพ่อค้า แม่ค้าเต็มตลาดไปหมด ท้าวจตุมหาราชอาสาเป็นยามเฝ้าประตูให้ แล้วส่งเณรอนาคามีแปลงตัวเป็นทหารถือสาส์นไปส่งให้พระยาชมภูบดีบอกว่าพระเจ้าจักรพรรดิผู้เป็นเลิศแล้วในทวีปทั้ง ๔ ขอเชิญให้ท่านไปพบ

    พระยาชมภูบดีพอเห็นตอนแรกก็ตั้งท่าจะไหว้ (อย่าลืมพระอนาคามีปฏิสัมภิทาญาณท่านเต็มกำลังบุญของท่าน ท่านสวยขนาดไหน มันข่มกันเห็น ๆ อยู่แล้ว) แต่สามเณรก็ห้ามไว้ว่าไปไหว้เจ้านายเราเถอะ เราเป็นแค่คนถือสาส์นเท่านั้น พระยาชมภูบดีถึงกับโอโหขนาดคนถือสาส์นยังขนาดนี้เชียวหรือ พอเสด็จไปถึงเห็นท้าวมหาราชที่เฝ้าประตูอยู่ ก็คิดว่าเป็นพระเจ้าจักรพรรดิก็ตั้งใจจะไหว้อีก ท้าวมหาราชทั้ง ๔ บอกว่าอย่าเพิ่งไหว้เรา ๆ เป็นแค่คนเฝ้ายามหน้าประตูเท่านั้น พอแกเข้าไปเห็นทางเป็นแก้วมณีที่ลาดยาวไปแกก็ถลกผ้าตั้งท่าจะลุยน้ำ เณรก็บอกว่าไม่ต้องหรอกทางที่เห็นเป็นแก้วมณีเดินไปได้ไม่ใช่น้ำหรอก (ใสเป็นน้ำเลย) แกเข้าไปเห็นบรรดาพ่อค้าแม่ค้าเต็มตลาดไปหมด แต่ละคนราศีดีกว่าแกทั้งนั้น ทั้งเทวดาทั้งนางฟ้ามากันเต็มไปหมด แกก็ตั้งท่าจะไหว้เขาอีก ไม่รู้คนไหนเป็นคนไหนเต็มไปหมด เณรก็ห้ามไว้ ให้เข้าไปข้างใน พอเข้าไปเจอพระอานนท์ก็ไหว้ เจอพระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตรก็ไหว้ เจอใครก็ล้วนแต่ดีกว่าแกทั้งนั้น (คนมีบุญเขาดูกันออก บุญพระอรหันต์จะไม่มากกว่าได้อย่างไรเล่า)

    พระพุทธเจ้าเนรมิตตนให้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิเต็มบุญเต็มบารมีของตน (สวยขนาดไหน) พอพระยาชมภูบดีเห็นก็ยอมกราบยอมไหว้ก่อน พระพุทธเจ้าถึงได้คลายฤทธิ์ให้เห็นว่าสภาพที่แท้จริงเป็นอย่างไร พระยาชมภูบดีจึงยอมศิโรราบเต็มหัวใจ (ก็ตั้งแต่ปากประตูเข้ามาก็เป็นเทวดาทั้งนั้น ยอดขุนพลอย่างท้าวมหาราชทั้ง ๔ กลายเป็นแค่ยามเฝ้าประตู) ท่านก็เลยยอมละมานะทิฏฐิ ฟังธรรมกลายเป็นพระโสดาบัน เขาถึงมีพระพุทธเจ้าปางจักรพรรดิ หรือปางปราบพระยาชมภูบดีด้วย นี่เป็นตัวอย่างหนี่งว่าคนมีบุญขนาดนั้นยังไม่ใช่พระเจ้าจักรพรรดิเลย แค่มีรองเท้าแก้ว มีพระขรรค์แก้ว และมีศรวิเศษขนาดนั้น

    อีกรายหนึ่ง หลังพุทธกาลมาแล้ว พระเจ้าอโศกมหาราช เรื่องอื่นไม่รู้ ๆ แต่ว่ามีนางแก้วแน่นอน เขาบอกว่าเป็นนางแก้วคู่บารมีของท่าน ไม่รู้ว่มาจากอุตรกุรุทวีปหรือเปล่า มเหสีคู่พระทัยคนนี้แกมีบุญมาก เขาบอกว่าแกมีผอบติดตัวมาใบหนึ่ง ต้องการผ้ามากเท่าไหร่ก็ดึงออกมา ดึงเท่าไหร่ก็ไม่หมด พระเจ้าอโศกมหาราชเลี้ยงพระเป็นหมื่น ถวายจีวรได้ครบทุกองค์ บรรดาพวกสนมกำนัลอื่น ๆ ที่ไม่รู้บุญของนางก็อิจฉานางอยู่ตลอด

    วันหนึ่งพระเจ้าอโศกมหาราชรำคาญเต็มที ที่แต่ละวันมีแต่นกกระจอกแตกรัง นั่งนินทาแต่พระมเหสี ก็ให้พ่อครัวปั้นขนมขึ้นมา ๑,๐๐๐ ชิ้น แล้วถอดพระธำมรงค์จากนิ้วยัดใส่ไปในขนมลูกหนึ่ง แล้วก็ปั้นคืนไปดังเดิม บอกพ่อครัวเอาไปนึ่งจะสลับลูกอย่างไรก็ได้ แล้วประกาศบอกสนมกำนัลทั้งหมดว่าจะแจกขนมให้คนละ ๑ ชิ้น ใครหยิบชิ้นที่มีพระธำมรงค์อยู่ จะแต่งตั้งให้เป็นอัครมเหสี จะได้เลิกนินทากันเสียที ปรากฏว่าต่างคนคิดว่าตัวเองน่าจะได้ จนกระทั่งหยิบไปแล้ว ๙๙๙ ลูก เหลือเพียง ๑ ลูก พระมเหสีไปหยิบขึ้นมาก็เป็นขนมที่มีพระธำมรงค์อยู่ ขนาดคนอื่นเลือกไปก่อนแล้ว บุญคนยังไง ๆ ต้องมีบุญอยู่

    ตอนที่มีการขุดพบห้องบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระเจ้าอโศกมหาราช ตอนที่ขุดพบนั้นพระเจ้าอโศกมหาราชตั้งใจจะฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ได้ข่าวมีที่ไหนก็ไปขุดอัญเชิญมาสร้างเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ องค์ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุถวายเป็นพุทธบูชา จัดฉลองพระเจดีย์ ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ที่พระยามารจะมาขวางบุญท่าน พระทั้งหมดก็ให้ไปนิมนต์พระอุปคุตมา เรียก กีสะนาคอุปคุต (นาคะ-นาค, กีสะ-ผอม) ตามตำรายุทธจักรโกว้เล้งเขาเรียก พระคุณท่านมังกรผอม พระอุปคุตท่านเอาแต่เข้านิโรธสมาบัติอยู่สะดือทะเล ข้าวปลาอาหารไม่ค่อยได้กินเลยผอม พอขึ้นมาพระสงฆ์ทั้งหมดก็ประชุมกัน ประกาศบอกว่า คนอื่นเขามาลงอุโบสถสังฆกรรม ทำงานทำการเพื่อพระศาสนา มีแต่ท่านไปนอนสบายอยู่คนเดียว

    เพราะฉะนั้นปรับโทษต้องคอยระวังพระยามารรักษาตลอด ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ที่พระเจ้าอโศกมหาราชจะฉลองพระเจดีย์ อย่าให้พระยามารทำลายได้ และท่านก็เป็นองค์เดียวที่ทรมานพระยามารสำเร็จ

    ในเมื่อพระสงฆ์ประชุมลงทัณฑ์ท่านก็ยอมรับ แต่อย่างไรก็ขอกินข้าวก่อน ท่านก็ออกบิณฑบาต พระเจ้าอโศกมหาราชอยากลองของ ว่าแน่แค่ไหนจะมารับหน้าที่นี้ (ผอมเชียวหลวงตา) ทรงปล่อยช้างตกมันออกมาให้ไปเหยียบเสียให้แบนถ้าไม่เก่งจริง ปรากฏว่า พระอุปคุตแค่หันมาใช้นิ้วทิ่มใส่หน้าช้างก้นกระแทกไป แสดงว่ากำลังเหนือกว่ากันขนาดนั้น เขาเรียกว่ากำลังบุญจริง ๆ พระอุปคุตเห็นพระเจ้าอโศกมหาราชไม่ยอมเชื่อความสามารถของท่าน ก็บอกมหาบพิตรว่า อาตมาภาพจะบันดาลให้เกิดแผ่นดินไหว พระเจ้าอโศกมหาราชก็บอกว่า เดี๋ยว ๆ หลวงตาผมจะไปรู้หรือว่าหลวงตาไปดูยามฤกษ์ล่างฤกษ์บนที่ไหนมา อาจรู้ว่าแผ่นดินจะไหวตอนนี้ก็ได้ จะมั่นใจได้อย่างไรหลวงตาทำ ท่านบอกว่าไปตักน้ำมาขันหนึ่ง เดี๋ยวจะให้แผ่นดินไหวแล้วน้ำกระเพื่อมแค่ครึ่งขัน พระเจ้าอโศกมหาราชก็ตักน้ำมา พระอุปคุตก็บันดาลให้แผ่นดินไหว ท่านบอกว่าสะเทือนถึงน้ำรองแผ่นดิน แสดงว่าไหวทั่วถึงจริง ๆ แต่ว่าขันน้ำที่พระเจ้าอโศกมหาราชตักมาไหวอยู่แค่ซีกเดียวอีกซีกหนึ่งนิ่ง ก็เลยยอมรับกราบไหว้ยอมไหว้ มอบภารธุระให้และขอพระคุณท่านโปรดเอาภารธุระในพระพุทธศาสนาด้วย โยมตั้งใจจะชำระพระศาสนาให้บริสุทธิ์ ตั้งใจที่จะทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง ทำมาขนาดนี้อย่าให้งานของโยมต้องเสีย

    พระอุปคุตก็รับปากเพราะว่าพระเจ้าอโศกมหาราชตอนนั้น ประกาศตนเป็นผู้อุปถัมภ์ศาสนาพุทธ เจอนักบวชที่ไหนก็ให้นำนุบำรุงเต็มที่เลย พวกนักบวชนอกศาสนาเห็นกินสบายอยู่สบายก็บวชกันเข้ามาเต็มไปหมด มึงบวช กูบวช ไม่รู้ว่าบวชถูกหรือไม่ถูกไม่รู้ โกนหัวห่มผ้าเหลืองเข้ามา พระเจ้าอโศกมหาราชเลี้ยงหมด บวชเข้ามาก็ไม่ปฏิบัติธรรมตามธรรมวินัย
    พระเจ้าอโศกมหาราชก็เลยปรึกษากับพระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ ขอให้ชำระพระพุทธศาสนา วิธีชำระท่านดุเดือดมาก เรียกพระมาทั้งหมด แล้วให้พระอรหันต์ถามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าทีละคน คนไหนตอบไม่ได้ ถ้าไม่ยอมสึกตัดหัว พระพุทธศาสนาสะอาดเอี่ยมเพราะฝีมือท่านในครั้งนั้น แต่ท่านก็ฆ่าไปบานเลย เพราะคนหน้าด้านไม่เชื่อว่าจะทำจริง มีคนตายเป็นตัวอย่างสัก ๑๐-๒๐ ก็เข็ดไปตาม ๆ กัน ไม่ต้องมาตอบคำถามแล้ว ถอดผ้าเหลืองเผ่นหนีไปเยอะ ทำถึงขนาดนั้นแล้วท่านก็ยังสร้างเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ องค์เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ตัวท่านเองใช้สำลีอันสะอาดพันรอบตัวชุบด้วยน้ำมัน จุดไฟถวายเป็นพุทธบูชายืนเพ่งเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุอยู่ ตั้งใจจุดไฟเผาถวายพุทธบูชา บังเอิญกำลังบุญของท่านสูงก็เลยทำให้เทวดารักษาและอีกอย่างได้สมาบัติด้วย ท่านบอกไฟไหม้อยู่ตลอด ๗ วันแต่ท่านไม่เป็นอันตรายอะไร เป็นเรากล้าทำไหมอย่างนั้น พระเจ้าอโศกมหาราชทำลักษณะนั้นได้เพราะกำลังบุญท่านสูงมากก็เลยไม่มีอันตราย คราวนี้พระยามารก็แกล้งตามปกตินั่นแหละ


    ถ้าหากเราไปประเทศพม่า จะเห็นรูปพระอุปคุตมือหนึ่งกำลังล้วงบาตรจะฉัน ลูกตาก็แหงนมองฟ้าอย่างนี้ ระวังว่าเมื่อไหร่มารจะแกล้ง ที่มีคนถามว่าทำไมพระท่านต้องแหงนมองฟ้า พวกที่รู้ดีบอกว่าท่านดูว่าตะวันถึงหัวหรือยังจะได้หยุดฉัน ก็ยังดีเป็นการคิดเข้าข้างพระอยู่ ถ้าไม่คิดเข้าข้างพระ เสียแน่

    การแหงนมองฟ้าคือท่านระวังไม่ให้มารมาขวาง พอพระยามารมาถึงก็บันดาลฤทธิ์ให้เกิดขึ้นมืดฟ้ามัวฝน มืดมนอนธการไปในทิศทั้ง ๑๐ พระอุปคุตรู้ว่ามาแล้วคู่ปรับ พระพุทธเจ้าไม่ยุ่งกับพระยามารเพราะรู้ว่าคู่ปรับของเขามี คู่นี้เขาเคยฟัดกันมาทุกชาติแล้ว พระอุปคุตก็ชนะมาทุกชาติ

    ถ้าหากว่าเจอรายนี้เข้าถึงจะเอาอยู่ เพราะยอมรับกันมาหลายชาติแล้ว ขนาดพระพุทธเจ้าเขาไม่ยอมรับ พระอุปคุตก็ออกไป พอพระยามารบันดาลความมืดมา ท่านก็เอาความสว่างเข้าไป บันดาลฝนมาท่านก็เอาภูเขากันไว้ พระยามารสู้จนกระทั่งหมดความรู้สู้ไม่ได้ พระอุปคุตจับได้ ตอนสุดท้ายท่านแปลงเป็นนกหนี พระอุปคุตกลายเป็นเหยี่ยวตามไปไล่จับ แกก็แปลงเป็นพญานาคหันมาจะกินเหยี่ยว ท่านก็กลายเป็นพญาครุฑไปจับนาค ไล่กันมันไปเลย พอจับได้พระยามารก็บอกว่ายอมแพ้พระคุณท่านแล้ว ยอมก็ยอมเถอะ แต่ตอนนี้ไว้ใจไม่ได้ ลื้อมันท่ามากนักเขาจะฉลองพระเจดีย์ตั้ง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ขืนปล่อยให้ลื้ออกไปเดี๋ยวก็ยุ่ง เกิดกลับใจจะมากวนเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

    ตอนแรกอธิษฐานหมาเน่าผูกคอเอาไว้ (อย่าลืมว่าพระยามาราธิราชจริง ๆ แกเป็นมาร มารตามพระไตรปิฎกจัดอยู่ชั้นสูงกว่าเทวดา ท่านจะใช้คำว่า เทเว นะวา มาเรนะ วา พรหมุนา วา เทวดา มาร พรหม เรียงตามลำดับ อย่างนี้ตลอดเพราะว่าพวกมารเขามีพื้นที่อยู่ในสวรรค์ชั้นที่ ๖ ปรนิมมิตวสวัตตี สวรรค์ชั้นสูงสุด แบ่งกับเทวดาคนละซีก) ในเมื่อท่านเองอยู่แบบเทวดาก็รักสะอาด อยู่ ๆ เอาหมาเน่ามาผูกคอ แกะเท่าไหร่ก็แกะไม่ออก วิ่งไปหาพระอินทร์ก็แกะไม่ออกบอกข้าก็หมดปัญญา ไปหาท้าวสหัมสบดีพรหม ๆ แกะไม่ออก ให้กลับไปขอขมาพระคุณเจ้าท่านขอให้ท่านแกะให้ เพราะท่านเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงฤทธิ์ สิ่งที่ท่านอธิษฐานมา เทวดา พรหม ไม่มีปัญญาช่วยได้หรอก เพราะพรหมอยู่สุดสุดก็แค่อรหัตมรรคเท่านั้น ก็เลยต้องกลับมาง้อพระอุปคุต ๆ ก็เลยจับเอารัดประคตมัดติดกับภูเขาไว้ บอกว่าให้อยู่ที่นี่แหละ หากพระเจ้าอโศกมหาราชฉลองพระเจดีย์เสร็จแล้วจะมาแกะให้ แกอยู่ที่นั่นโดนมัดไม่ได้กระดิกกระเดี้ยอยู่ ๗ ปีกว่า นั่งรำพึงรำพันเห็นพระพุทธเจ้า พระสมณโคดมท่านทรงคุณอันประเสริฐ เราตามจองล้างจองผลาญท่านตลอด ตั้งแต่แรกจนถึงวาระสุดท้ายท่านไม่เคยถือโกรธ สมณะนี้เป็นลูกศิษย์สมณโคดมทำไมถึงได้ไร้เมตตาขนาดนี้ไม่รู้ จับเรามัดติดกับภูเขามา ๗ ปีกว่าแล้ว

    พระอุปคุตย่องมาแอบฟัง รำพึงรำพันไป พอเห็นความดีพระพุทธเจ้า ท่านก็เลยแกะรัดประคตออกให้ แล้วก็ชี้แจงแสดงเหตุให้รู้ ทำภาพเบื้องหน้าเบื้องหลังให้รู้ว่าเคยเป็นคู่ปรับกันมากี่ภพกี่ชาติ พระพุทธเจ้าอานุภาพเหนือกว่าท่านไม่รู้เท่าใด แต่ที่ท่านปล่อยเว้นไว้ก็เพราะจะรอให้เรามาจัดการเอง

    พระยามารพอทราบเข้าก็ยอมแพ้ยอมกราบ ถามพระอุปคุตว่าพระคุณมีอะไรที่ต้องการให้ช่วยเหลือบ้าง ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็จะทำให้ พระอุปคุตบอกว่าท่านเกิดไม่ทันพระพุทธเจ้า ไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้าในลักษณะกายเนื้อนอกจากธรรมกาย แสดงว่าเห็นเป็นพระวิสุทธิเทพ มาตลอดใช่ไหม ก็เลยไม่ทราบว่ามีพุทธลักษณะแบบไหน อยากจะเห็นด้วยตาตัวเองสักทีหนี่ง พระยามารที่ทำพระพุทธเจ้ามาตลอดช่วยให้เห็นบ้างได้ไหม พระยามารบอกว่าได้ โยมจะเนรมิตกายเป็นพระพุทธเจ้าพร้อมอัครสาวกซ้ายขวาและพระสงฆ์บริวารอย่างสมัยโน้นให้ดู ขออย่างเดียวอย่าไหว้โยม ตอนนี้รู้แล้วท่านเป็นพระอรหันต์ฤทธิ์มากกว่า ไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ กลัวบาปเหมือนกัน ขอร้องว่าอย่าไหว้โยม พระอุปคุตก็ตกลง ประกาศเรียกพระภิกษุสามเณรทั้งหมด ตลอดจนพระเจ้าอโศกมหาราชและบริวาร มาดูพระพุทธเจ้ากันให้เต็ม ๆ ตาวันนี้

    พระยามารก็เร้นกายหายไปหลังภูเขา โผล่มาอีกทีกลายเป็นพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยฉัพพรรณรังสี อัครสาวกซ้ายขวาและพระสงฆ์อีก ๘๔,๐๐๐ องค์ เนรมิตได้ขนาดนั้น พระอุปคุตเห็นนั่งกราบ พระสงฆ์สามเณรเห็นกราบหมด พระยามารตกใจรีบคืนร่างกายเป็นมารตามเดิม มาถึงก็โวยวาย พระคุณเจ้าทำอย่างนี้เวรกรรมก็เกิดกับโยมนะสิ ท่านบอกว่าไม่ใช่หรอก ที่ไหว้นั้น ไม่ได้ไหว้มารแต่ว่าไหว้พระพุทธเจ้า กำลังใจของท่านจดจ่ออยู่กับพระพุทธเจ้าโดยตรง

    เพราะฉะนั้นพวกมารไม่มีโทษ เมื่อท่านรู้ว่าไม่มีโทษท่านก็เลยลากลับวิมานของตัวเอง งานฉลองของพระเจ้าอโศกมหาราชจบ พระอุปคุตก็กลับสะดือทะเลเหมือนเดิม งานเดิมของตัวเองคือเข้านิโรธสมาบัติต่อ วันไหนอยากกินข้าวก็ออกบิณฑบาตสงเคราะห์โยม อย่างน้อยก็ ๗ วันโผล่ที (ทางภาคเหนือของเราจะมีธรรมเนียมใส่บาตรเที่ยงคืน วันไหนตรงกับวันเพ็ญขั้น ๑๕ ค่ำตรงกับวันพุธ เขาจะปลุกพระแหกขึ้ตาขึ้นมารับบาตร เกิดจากพระอุปคุตนี่แหละ คนที่ได้รับการสงเคราะห์จากท่าน บังเอิญตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำและตรงกับวันพุธ ทางเหนือเขาเรียกว่าเป็งพุธ คือวันพุธที่ตรงกับวันเพ็ญ คนที่ใส่บาตรกับพระที่เข้านิโรธสมาบัติก็รวยวันนั้นเลย ต่างคนก็ต่างอยากรวย ถึงเวลาก็แหกขี้ตามารอ คนโน้นใส่บาตรตอน ๖ โมงเช้า อีกคนก็ใส่บาตรตอนตีห้าครึ่งเผื่อฟลุ๊ก ไล่กันไปไล่กันมา กูตัดหน้ามึง ๆ ตัดหน้ากูก็ดึกขึ้นเรื่อย ๆ กลายเป็นเที่ยงคืน ธรรมเนียมการใส่บาตรเที่ยงคืนจึงมาด้วยประการฉะนี้)

    คราวนี้พระเจ้าอโศกมหาราช หลังจากนั้นถึงเวลาพระศาสนาก็กลับกลายเป็นหายจากชมพูทวีป เพราะศาสนาอื่นเบียดเบียน แต่ว่าจุดใหญ่ใจความก็คือว่า บริษัท ๔ ไม่ช่วยกันทำนุบำรุงศาสนา โดยเฉพาะภิกษุ ภิกษุณี บริษัทกลายเป็นว่าทำในสิ่งที่ไม่ดี กลายเป็นข้อโจมตีจากศาสนาอื่นเสียเอง ศาสนาพุทธก็เลยสลายจากชมพูทวีปออกมาทางด้านตะวันออกนี้แทน สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นถาวรวัตถุทางพระพุทธศาสนา ปรักหักพังไปตามกาลเวลา

    ต่อมามีการขุดค้นกันทางประวัติศาสตร์ปรากฏว่าไปพบพระเจดีย์องค์หนึ่งที่พระเจ้าอโศกมหาราชท่านสร้างไว้ เป็นหนึ่งใน ๘๔,๐๐๐ องค์ สร้างเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พอไปถึงข้างล่างมีประตูเข้าไปในเจดีย์ที่เป็นห้องบรรจุพระธาตุ มีโคตรเพชรแท่งเบ้อเร่อวางอยู่ และมีจารึกติดไว้ด้วยว่า ท่านคือพระเจ้าอโศกมหาราช สร้างเจดีย์ขึ้นมาถวายพุทธบูชาทำการฉลอง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน ต่อไปพระมหากษัตริย์ใดก็ตามที่มาพบ ถ้าไม่มีสิ่งของควรค่าแก่การถวายเป็นพุทธบูชาก็จงถือเอาแก้วมณีนี้เข้าไปบูชาพระ (หายสงสัยหรือยังว่าทำไมเพชรใหญ่ ๆ มันอยู่แต่อินเดียทั้งนั้น แต่โดนพวกราชวงศ์อังกฤษยึดไปเอาไปทำคฑาประจำพระองค์บ้าง เพชรยอดมกุฏบ้าง ก็เล่นทิ้งไว้แท่งเบ้อเร่อ) บอกไว้ด้วยว่า พระมหากษัตริย์รุ่นหลัง ๆ ถ้าหากจนไม่มีอะไรที่จะพอถวายพุทธบูชาสมบารมีพระพุทธเจ้าก็จงถือแก้วมณีนี้เข้าไป นั่นแค่เศษเสี้ยวหนึ่ง และนี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า บุคคลที่มีบุญมีบารมีขนาดนี้ยังไม่ใช่พระเจ้าจักรพรรดิเลย เพราะว่าท่านมีรัตนะไม่ครบ ๗ อย่าง

    อย่างเช่นสมัยรัชกาลที่ ๓ ของเราท่านก็บอกว่า ท่านมี ขุนพลแก้ว คือ เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนีย์) มีขุนคลังแก้ว คือ พระยาศรีสหเทพ (ทองเพ็ง) และมีนางแก้ว คือ ลูกสาวตัวเองรับงานรับการเป็นเลขาให้พ่อ ทำงานทำการทุกอย่างไม่ให้พ่อต้องเดือดร้อนมาก แต่ท่านบอกว่าท่านก็มีแค่ ๓ อย่าง เจ้าพระยาบดินทรเดชารบที่ไหน ไม่เคยแพ้ เป็นขุนพลแก้วประจำรัชกาล รบเขมรชนะเขมร รบลาวชนะลาว ลาว เรียกพระยาเสือ ท่านทำราชการไม่เห็นกับการเหนื่อยยาก ออกไปรบทางด้านญวน ลาว เขมร ๑๖ ปีไม่เคยกลับบ้าน พระเจ้าแผ่นดินต้องมีพระราชหัตถเลขาไปว่า กลับมาให้ลูกเมียเห็นหน้าบ้าง อย่าเอาแต่ราชการ ๑๖ ปี หรือ ๑๒ ปีไม่รู้ แต่ไม่เคยกลับบ้านเลย เพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง พวกญวนถ้าบอกพระยาเสือนี่ฉี่ราดเลย รบที่ไหนชนะที่นั่น ประวัติการรบของท่านสะใจมาก ไม่ว่าเขาจะมาด้วยกลยุทธ์กลศึกอันไหน เจ้าพระยาบดินทรเดชาแก้ตกและตอบคืนเจ็บ ๆ แสบ ๆ ทั้งนั้นเลย (ไปหาประวัติท่านอ่าน หาไม่ได้ก็ไปที่โรงเรียนบดินทรเดชาถามดูว่ามีประวัติของพระยาบดินทรเดชาไหม)

    ถาม: อย่างหลวงพี่บอกว่าเผาเพื่อเป็นพุทธบูชา สมมุติในการเผาจิตใจ เขาคิดเป็นพุทธบูชาจริง ๆ แต่เกิดตายอย่างนี้จะเป็นบุญหรือบาป ?

    ตอบ: อย่าลืมว่าก่อนตายเกาะอะไร ? ใจเขาเกาะบุญเต็มที่อยู่แล้ว เพราะว่าตั้งใจถวายเป็นพุทธบูชา อย่างไร ๆ ก็กำไร ถ้าว่าเขามีกำลังใจทำขนาดนั้นได้ ความเข้มแข็งของเขามันเหลือเฟือเกินพอ

    อย่าง พระเยซู โดนทรมานขนาดตรึงกางเขนขนาดนั้น ท่านไปอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต หลวงพ่อถามท่านว่าโดนขนาดนั้นจิตใจไม่เศร้าหมองหรือ ท่านบอกว่าอาศัยกำลังที่อยากจะสงเคราะห์คนอื่นเขา ในเมื่อเขาไม่เข้าใจ เขาจะจับมาทรมานทรกรรมอย่างไรก็เต็มใจอภัยให้เขา กำลังอย่างนั้นถ้าไม่ทรงฌาน ทำไม่ได้หรอก โดนขนาดนั้น และยังให้อภัยอยู่ตลอด ใครจะทำบุญก็รีบทำนะ อย่าถึงทุ่มหนึ่ง ๆ อาตมาจะไข้จับอีก มาลาเรียมันมาตรงเวลา ไม่ต้องห่วงหรอกพวกนี้บารมีดีมาก สัจจบารมีจริง ๆ พวกตรงเวลานี้ถ้าใครผิดนัดแสดงว่าสัจจบารมีพร่อง แสดงว่าเชื้อมาลาเรียนี้สัจจบารมีเต็ม มาตรงเวลาเป๊ะทุกวันเลย

    สมัยก่อนหลวงพ่อท่านบอกว่าท่านไม่สบายจนจะคลานไม่ขึ้น แต่พอถึงเวลางานของพระท่านจะมีกำลัง เพราะว่าท่านสงเคราะห์ ตอนนั้นอาตมาก็ไม่ทราบ รู้แต่ว่าจะโมงเช้าอยู่แล้ว อาตมายังโงเง ๆ อยู่เลยไม่มีเรี่ยวไม่มีแรงจะเดิน พอเจ็ดโมงเช้าตรงเป๊ะ ได้เวลารับสังฆทานไม่รู้มันก็มีแรงมานั่งมาจนบัดนี้

    ถาม: มีคนเขาฝากถามเจ้าค่ะ คือเขาจะคลอดลูก เขาบอกว่าเขาอัลตร้าซาวด์แล้วได้ลูกสาว ทีนี้จะรบกวนว่าจะเอาลูกออกวันไหนถึงจะดีเจ้าคะ ?

    ตอบ: พรุ่งนี้
    ถาม: Tomorrow หรือเจ้าคะ ?


    ตอบ: พรุ่งนี้จะเป็นวันจันทร์ อมฤตโชค ...ผู้หญิงหรือผู้ชาย ?
    ถาม: ได้ลูกสาวเจ้าค่ะ ?


    ตอบ: โฮ้โห ถ้าหากได้ลูกสาว ดาวจันทร์เป็นศุภ-หัวบันไดไม่แห้ง ดาวจันทร์เป็นศุภคือ เป็นมหาเสน่ห์ และอมฤตโชคซะด้วย ถ้าหากว่าระยะนี้ผ่าได้ก็ลุยเลย

    ถาม: สมมุติว่าวันจันทร์ทั้งวัน และถ้าเกิดเตรียมตัวไม่ทันเพราะเร็วค่ะ ?
    ตอบ: ให้ไปดูฤกษ์พรหมประสิทธิ์ มีตลอดยันสิ้นปีเลย ดาวเยอะ ๆ ยิ่งดี แต่จำไว้ว่าลูกกำลังบุญสูงเท่าไหร่พ่อแม่บารมีไม่เท่า เดี๋ยวลูกมันดื้อฉิบหาย


    ถาม: กรณีบารมีพ่อแม่น้อยกว่า ?
    ตอบ: คนที่เกิดร่วมกันนั้น บุญบารมีมันต้องใกล้เคียงกัน (ขู่เข้าหน่อยเดียวทำท่าจะถอยหลัง)

    ถาม: ถ้าหากว่าได้พระมานำมาถวายที่วัดได้ไหมคะ ?
    ตอบ: ก็ขึ้นหิ้งบูชาให้สมกับพระหน่อยสิ


    ถาม: ไม่มีที่วางแล้วค่ะ ?
    ตอบ: ไม่มีที่วาง ถ้าเอามาถวายที่นี่เดี๋ยวยึดทรัพย์


    ถาม: หนูเอาไว้ในตู้ตอนนี้
    ตอบ: จ้ะ ขอให้มันสมควรหน่อย ไว้ที่ไหนก็ให้มันสมควร


    ถาม: มาถวายได้ไหม ?
    ตอบ: ก็บอกแล้วว่ามาถวายที่นี่จะยึด


    ถาม: ถ้าเราวิเคราะห์พิจารณาอารมณ์ตัวเองไม่ได้ หนูไม่รู้ว่าทำไมหนูต้องร้องไห้ทุกทีเลย ?
    ตอบ: เป็นธรรมดาของมัน ตัวนี้เป็นกำลังของปิติ กำลังของปิติเรียกขุททกาปีติ น้ำตามันจะร่วงเอง เป็นเรื่องปกติของมัน อย่าไปห้ามมันด้วย มันอยากร้องไห้ร้องเต็มที่ไปทีเดียวแล้วมันจะเลิก แต่ถ้าหากว่าเราจะอั้นมันไว้ เพราะว่ากลัวอายคน กำลังมันถึงเสียแล้วนี่ ถ้ามาในที่ของความดีเมื่อไหร่ ไม่ว่าคิดจะพูดจะทำมันก็จะไหลอยู่อย่างเดียว ฉะนั้นปล่อยให้มันร้องไห้โฮไปเลย
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>ถาม : ..........................................
    ตอบ: บุญฤทธิ์ เป็นบุญที่เกิดจากกำลังบุญ ไม่ใช่ฤทธิ์ในลักษณะของอภิญญา มีอยู่ครั้งหนึ่งพระยามารแกล้งพระพุทธเจ้า รายนี้มีโอกาสเมื่อไหร่ก็แกล้ง ๆ จนถึงวาระสุดท้าย ทูลพระพุทธเจ้าอาราธนาให้นิพพาน พระพุทธเจ้าแสดงนิมิตให้พระอานนท์ทราบถึง ๑๖ ครั้ง แต่ว่าด้วยกรรมบังและพระยามารตั้งใจแกล้งจริง ๆ พระอานนท์ก็ไม่เข้าใจที่พระพุทธเจ้าท่านเปรียบว่า ถ้าหากว่ามีเกวียนอยู่เล่มหนึ่ง เก่าคร่ำคร่าเต็มทีแล้ว ดุมก็หลวม กงก็คลอน พื้นก็ผุ ถ้าหากว่าเป็นพระอานนท์มีเกวียนอย่างนั้นอยู่จะเปลี่ยนใหม่ดีหรือว่าจะซ่อมเกวียนเก่าไว้ใช้ต่อไป พระอานนท์บอกว่าเปลี่ยนใหม่ดีกว่าพระพุทธเจ้าข้า พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกครั้งเดียว ท่านแสดงนิมิตว่าท่านใกล้จะไปแล้วถึง ๑๖ ทีด้วยกัน ตั้งแต่ปาวาลเจดีย์ ไปจนกระทั่งถึงเมืองกุสินารา ๑๖ ระยะด้วยกัน พระอานนท์ถูกมารดลใจด้วย ขณะเดียวกันเขาตั้งใจแกล้ง จากคนที่ฉลาดที่สุดก็เลยกลายเป็นว่านึกไม่ถึงขึ้นมา พระพุทธเจ้าท่านก็เลยตัดสินใจปลงอายุสังขาร พอพระพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร แผ่นดินก็ไหว พระอานนท์แปลกใจทูลถาม ว่า ทำไมแผ่นดินถึงไหว พระพุทธเจ้าตรัสว่าแผ่นดินไหวด้วยสาเหตุ ๘ ประการด้วยกัน

    ประการที่ ๑ : เกิดจากลมกำเริบ คือใต้โลกของเรานี้เป็นหินเดือด ๆ พอเดือดมาก ๆ ไอร้อนมารวมตัวกันเกิดเป็นความดันสูง พอความดันได้ที่ก็ผลักพื้นโลกข้างบนให้โยกคลอนได้ เขาใช้คำว่า ลมกำเริบ
    ประการที่ ๒ : เกิดจากผู้มีฤทธิ์บันดาล ผู้ได้ฤทธิ์ได้อภิญญาบันดาลให้เกิดแผ่นดินไหวอย่างไรก็ได้
    ประการที่ ๓ : พระโพธิสัตว์ในชาติที่ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตเข้าสู่ครรภ์พุทธมารดา
    ประการที่ ๔ : พระโพธิสัตว์ประสูติ
    ประการที่ ๕ : ตรัสรู้
    ประการที่ ๖ : แสดงปฐมธรรมเทศนา
    ประการที่ ๗ : ปลงสังขาร
    ประการที่ ๘ : ปรินิพพาน พอพระอานนท์ได้ยินใจหายแวบเลยรู้แล้ว แต่ตอนนี้ไม่ทันแล้ว เลยทูลพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่าบุคคลผู้ทรงอิทธิบาท ๔ สามารถอธิษฐานร่างกายให้อยู่ได้ถึง ๑ กัป ขออาราธนาพระพุทธเจ้าอยู่ต่อในลักษณะนั้น พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าไม่ทันแล้ว ท่านรับคำอาราธนาของมารปลงอายุสังขารไปแล้วว่า แต่นี้ไปอีก ๓ เดือนเราจะนิพพานที่ระหว่างนางรังทั้งคู่ของเมืองกุสินารา แล้วท่านก็ตั้งหน้าตั้งตาเดินทางไปเมืองกุสินาราเลย

    เพราะฉะนั้นเรื่องมารแกล้งเป็นเรื่องปกติ ท่านแกล้งตั้งแต่วันแรกที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จออกบวช พระพุทธเจ้านั่งอยู่หลังม้ากัณฐกะพร้อมทั้งนายฉันนะมหาดเล็ก เรื่องนี้เป็นเรื่องอัศจรรย์ เป็นเรื่องของกำลังบุญ ๆ ที่บอกว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า พระอานนท์ก็ดี นางวิสาขามหาอุบาสิกาก็ดี นางบุญทาสีก็ดี มีกำลังได้ ๗ ช้างสารนับว่าเป็นกำลังบุญ มาเห็นได้ชัดตอนที่พระพุทธเจ้าท่านเสด็จออกบวช (ถ้าใครอ่านรายละเอียดตรงนั้น) พระพุทธเจ้าพอทราบว่าพระราหุลประสูติ ถ้าขืนอยู่ต่อไปเห็นหน้าลูกแล้ว ตัดใจออกบวชไม่ได้แน่ เลยตัดใจหนีคืนนั้นเลย เสด็จออกกลางดึกปลุกนายฉันนะ มหาดเล็กขึ้นมาให้ไปผูกม้า บอกว่าเราจะออกมหาภิเนษกรมณ์ นายฉันนะก็ดีใจรอเวลานี้มานานแล้วก็ไปเตรียมม้า ม้ากัณฐกะคอดำ เขาบอกว่าเป็นพญาม้าอาชาไนยตัวประเสริฐ กายขาวปลอดเหมือนดังสีสังข์ ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายหาง วัดได้ ๑๘ ศอก มีศีรษะอันดำประดุจขนนกกาน้ำ เขาเรียก กัณฐกะ (ดำแต่คอ) ม้ากัณฐกะเป็นหนี่งในเจ็ดสหชาติที่เกิดพร้อมพระพุทธเจ้า และอยู่ ๆ มาผูกม้ากลางดึกด้วยสัญชาตญาณรู้ว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จออกบวชแน่แล้ว เลยร้องเสียงลั่นด้วยความดีใจ แต่อรรถกถาบอกว่าเทวดาตั้งใจปิดเสียงไว้ เสียงเลยไม่ได้ยินไปถึงมนุษย์ทั้งหลาย ไม่เช่นนั้นไม่ได้บวชแน่

    เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นม้าตรงไปถึงประตูเมือง ปรากฏว่าประตูเมืองปิดอยู่ (อย่าลืมว่ากำแพงเมืองสมัยก่อนทั้งสูงทั้งใหญ่ ถึงจะกันศึกเสือเหนือใต้ได้) พระพุทธเจ้าคิดว่าถ้าประตูเมืองไม่เปิดเราจะใช้เท้าหนีบม้ากัณฐกะ พร้อมกับจับมือนายฉันนะกระโดดข้ามกำแพงไป เป็นเรื่องหมู ๆ ของท่าน ไปถึงพันธุรเสนาตอนที่แสดงศิลปศาสตร์ที่เรียนมาจากเมืองตักศิลา ไผ่หนึ่งพันลำวางต่อกันแล้วกระโดดฟันทีเดียวขาดหมด กำลังขนาดไหน และไม่ใช่ฟันไม้ไผ่ธรรมดา เพราะคนจะแกล้งเอาเหล็กสอดไว้ในปล้องไม้ไผ่ด้วย พอท่านฟันแล้วเสียงดังผิดปกติท่านก็ถามว่ามีอะไรอยู่ เขาก็บอกให้ว่ามีเหล็กสอดอยู่ข้างใน พันธุรเสนาบอกว่าถ้าบอกให้รู้ก่อนว่ามีเหล็ก จะฟันให้ขาดโดยไม่มีเสียงเลย พระพุทธเจ้าท่านคิดอย่างนั้น นายฉันนะมหาดเล็กก็คิดว่าถ้าหากว่าประตูเมืองปิด เราจะให้พระลูกเจ้าขี่คอแล้วก็จูงม้ากัณฐกะกระโดดข้ามไป

    ส่วนม้ากัณฐกะคิดว่าถ้าประตูเมืองปิดอยู่ เราที่มีพระลูกเจ้าอยู่ข้างหลังและมีนายฉันนะเกาะหางอยู่เราจะกระโดดข้ามไป ทุกคนคิดเหมือนกันหมด ปรากฏว่าเรื่องมันยุ่งมาก เทวดาก็เลยช่วยกันเปิดประตูให้

    เราลองมาคิดดูว่าตัวคน ๆ หนึ่งปกติจะกระโดดข้ามกำแพงก็แย่แล้ว คราวนี้ยังหนีบม้าอีกตัว และก็จูงบริวารอีกคน กำลังของท่านจะขนาดไหน ส่วนนายฉันนะท่านก็ตั้งใจให้พระพุทธเจ้าขี่คอและจูงม้ากระโดดข้ามไป ม้าท่านก็ว่าถ้าหากว่าประตูเมืองปิดอยู่ จะจัดการกระโดดข้ามไปเองพร้อมกับเจ้านายและคนรับใช้ เมื่อออกไปจากกำแพงเมืองแล้ว ก็ด้วยธรรมดาของคนที่เคยอยู่ เคยผูกพันกันมานาน ท่านต้องการดูเป็นครั้งสุดท้าย ในอรรถกถากล่าวว่า แผ่นดินหมุนเหมือนกับกงล้อ พระพุทธเจ้าท่านก็เลยหันไปเพื่อจะดูบ้านเมือง พอหันไปก็เจอพระยามาราธิราชโผล่ออกมาและบอกว่า สิทธัตถะราชกุมาร อีกเจ็ดวันจักรรัตนะคือ จักรแก้ว อันเป็นเครื่องหมายของพระเจ้าจักรพรรดินี้ จะปรากฏแก่เธอแล้วอย่าออกบวชเลย ถ้าจักรแก้วปรากฏขึ้นเมื่อไหร่เธอจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลกทั้งโลก สิทธัตถะราชกุมารหรือพระพุทธเจ้ากล่าวว่า ปาปิมะ ดูก่อนมารผู้มีบาป เราก็ทราบว่าอีก ๗ วันจักรรัตนะจะปรากฏขึ้น แต่เราตั้งใจเสียแล้วจะออกบวช เธอจงหลีกไป พระยามาร ไม่อาจจะทานความดีของพระพุทธเจ้าได้ ก็ต้องถอยไป ตั้งแต่วินาทีนั้นพระยามารตามติดเลย มีโอกาสเมื่อไหร่กูเอาแน่

    คราวนี้กล่าวถึงเรื่องของบุญคน พระเจ้าจักรพรรดิจะต้องปกครองโลกทั้งโลก ปราบได้ทวีปทั้ง ๔ คืออย่างน้อย ๆ ดาวอีก ๓ ดวงที่มีคนอยู่ ท่านต้องปราบได้ ในจักกวัตติสูตร อังคุตตรนิกาย กล่าวถึง สัตตรัตนะ แก้วทั้ง ๗ ประการของพระเจ้าจักรพรรดิ มี...

    ปริณายกรัตนะ (ขุนพลแก้ว) ทำหน้าที่แทนทุกอย่าง รบที่ไหน ไม่เคยแพ้ ถ้าพระเจ้าจักรพรรดิสละราชสมบัติออกบวช ขุนพลแก้วจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิแทน

    คหปติรัตนะ (ขุนคลังแก้ว) มีทิพจักขุญาณที่แจ่มใส สามารถเห็นขุมทรัพย์ทุกแห่งที่อยู่ใต้พื้นดินได้ มีหน้าที่ขนมาใส่ท้องพระคลัง เพื่อให้พระเจ้าจักรพรรดิเลี้ยงดูคนทั้งโลก

    หัตถิรัตนะ (ช้างแก้ว) เป็นช้างเผือกตัวประเสริฐจากป่าหิมพานต์ แม่ช้างเมื่อตกลูกแล้วจะพาลูกมาอยู่ในโรงช้างเอง รู้ว่าตัวเองเกิดมาเพื่อทำอะไร

    อัสสะรัตนะ (ม้าแก้ว) เป็นม้าอาชาไนยตัวประเสริฐจากลุ่มแม่น้ำสินธุ มีกำลังวิ่งได้ถึงวันละ ๑,๐๐๐ โยชน์ เป็นผู้ไม่มีความกลัวเกรงในสิ่งใด ๆ ถึงแม้ศึกเสือเหนือใต้ เสียงมันจะดังขนาดไหนก็ตาม ฆ่าแกงกันขนาดไหนก็ตาม ม้าอาชาไนยจะไม่มีความหวั่นไหว พระพุทธเจ้าท่านเคยบอกเอาไว้ว่าบุคคลที่ไร้ความกลัว เช่น 1)พระพุทธเจ้า 2)พระอรหันต์ สองอย่างนี้เรารู้ว่าท่านไม่กลัวตายแน่นอน เพราะว่าท่านหลุดพ้นแล้ว 3)พระเจ้าจักรพรรดิ ท่านไม่กลัวอะไรเพราะรู้ว่าท่านปกครองคนทั้งโลก ทั้งโลกนี้และโลกอื่นทั้ง ๔ ทวีป ไม่มีศัตรูก็เลยไม่ต้องกลัวใคร 4)ม้าอาชาไนย ไม่กลัวอะไรเหมือนกัน

    อิตถีรัตนะ (นางแก้ว) ส่วนใหญ่จะเป็นนางที่มาจากอุตตรกุรุทวีป ดาวพลูโตโน่น ประกอบไปด้วยเบญจกัลยาณี อิตถีลักษณะครบถ้วนทุกประการ เนื้ออุ่นในหน้าหนาว เนื้อเย็นในหน้าร้อน

    มณีรัตน (มณีแก้ว) เป็นดวงแก้วมณีโชติคู่บารมี จะผุดขึ้นกลางพระลานหลวงแล้วก็เลื่อนไปอยู่ในท้องพระคลังเอง มณีรัตนะอยู่ที่ใดก็ตาม ทรัพย์สมบัติจะปรากฏในที่นั้นตลอดกาล เหมือนอย่างกับแม่เหล็ก แต่เป็นแม่เหล็กดูดสตางค์

    จักกรัตนะ (จักรแก้ว) เป็นการประกาศความดีของพระเจ้าจักรพรรดิว่า สมควรที่จะปกครองในทวีปทั้ง ๔ ท่านบอกว่าปกติจะอยู่ที่สะดือทะเล เป็นจุดที่ต่ำที่สุดของแผ่นดิน อยู่ใต้น้ำ ถึงเวลาจะลอยขึ้นมา พร้อมกับดึงดูดเอาสมบัติที่อยู่ในจุดนั้นมาทั้งหมด ท่านบอกว่าด้วยอานุภาพของจักรแก้ว พระเจ้าจักรพรรดิต้องการบรรทุกคนไปสักเท่าไร่ก็ได้ สามารถไปทวีปอื่น ๆ ได้ในชั่วพริบตาเดียว ดีกว่าจานบินสมัยนี้เยอะ ท่านบอกว่าถ้าพระเจ้าจักรพรรดิต้องการจะออกตรวจตราความสงบเรียบร้อย ความสุขความทุกข์ของประชาชนในทวีปทั้ง ๔ จักรแก้วอาจจะพาออกไปได้ ในขณะที่พ่อครัวเริ่มทำอาหารและกลับมาทันกิน เร็วไหม ดาว ๔ ดวงไปอีท่าไหนไม่รู้ไปทั่วเลย

    คราวนี้บุคคลที่ปรากฏเห็นได้ชัดที่มีวาสนาบารมีมาก อย่างเช่น พระยาชมภูบดี ถ้าหากว่าการสร้างพระพุทธรูปเราจะเห็นว่ามีพระพุทธรูปปางหนึ่งที่เรียกว่า ปางทรงเครื่องมหาจักรพรรดิ หรือปางปราบพระยาชมภูบดี พระยาชมภูบดีเป็นผู้มีบุญมากมีของวิเศษอยู่ก็คือ รองเท้าแก้ว พระขรรค์แก้ว อวิสศร ธนูวิเศษยิงไปสั่งให้ไปฆ่าใครที่ไหนไกลแค่ไหนก็ไป

    วันหนึ่งแกก็ไปเที่ยวเล่นใส่รองเท้าแก้วเหาะไป เหาะมาเจอปราสาทพระเจ้าพิมพิสาร ก็ไม่ได้สวยอะไรกว่าของแกหรอก แต่มันสวยด้วยแรงบุญ พระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบัน ในระหว่างคนมีบุญกับคนมีบุญด้วยกันจะดูกันออก ในเมื่อดูกันออกแกก็เกิดอิจฉาขึ้นมา ปราสาทธรรมดา ๆ มันไม่ได้สวยอะไร แต่คนมีบุญอยู่มันก็สวยเป็นพิเศษ แกก็จัดแจงเอาพระขรรค์แก้วฟันฉับเข้าให้ ตัดยอดปราสาททิ้งให้กุดจะได้ไม่สวย ปรากฏว่าท่านบอกว่าพระขรรค์แก้วอันคมกล้าซึ่งสามารถจะบั่นภูเขาทั้งลูกได้ วันนั้นเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ทำให้พระขรรค์บิ่น แรงบุญจริง ๆ แกยัวะขึ้นมาก็เลยกระทืบ ด้วยกำลังของแกบวกกับอานุภาพของเกือกแก้ว ยังไง ๆ ภูเขาทั้งลูกก็ไม่พอให้กระทบหรอก ปรากฏว่ากระทืบโครมลงไปยอดปราสาททิ่มรองเท้าทะลุ (เจ็บเท้าอีก) ยัวะใหญ่เหาะกลับบ้าน กลับเมืองของแก กลับถึงบ้านเมืองให้เอาอวิสศรแผลงมา สั่งว่า
     
  4. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    วัดพระธาตุห้าดวง ตั้งอยู่ในอำเภอลี้ จังหวัดลำพูน เป็นที่ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เคยเสวยพระชาติเป็นพระโค ชื่อว่า
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...