ฉบับที่ ๓๘ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๐

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย paang, 9 เมษายน 2007.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21>[​IMG]</TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    ช่วงแรกของเล่ม "อดีตที่ผ่านพ้น ๖๗-๗๒" สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนกันยายน ๒๕๔๕
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    ถาม : บางทีหนูรู้สึกว่าหนูไม่สามารถพิจารณาตัวเองได้ค่ะ หนูอยากรู้ขั้นตอนว่าหนูจะพิจารณาตัวเองอย่างไร ?

    ตอบ: พยายามดูให้ตลอดว่า ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนหลับตานอนมีอะไร ที่เราไม่ต้องทนบ้าง ทุกอย่างที่เราต้องทนเป็นทุกข์ทั้งนั้น ไม่ล้างหน้าได้ไหม ไม่แปรงฟันไหวไหม ไม่อาบน้ำได้ไหม ไม่กินข้าวได้ไหม ไม่อึไม่ฉี่ได้ไหม ทุกอย่างมันล้วนแต่เป็นสิ่งที่เราต้องทนและต้องทำอยู่ตลอด แม้กระทั่งทำงานทำการก็เพื่อเลี้ยงร่างกาย มันเหนื่อยไหม สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นทุกข์ทั้งสิ้น ตั้งแต่ตื่นและหลับมีความทุกข์อย่างไรดูให้มันเห็นให้หมด แม้กระทั่งกินข้าวทุกข์ไหม ลองเอามือยื่นเข้ายื่นออกสักหมื่นครั้งดูสิเมื่อยขนาดไหน แล้วกินมา ๑๐ กว่าปีนี่มันกี่ครั้ง

    สมเด็จพระเทพฯ ท่านยื่นปริญญาบัตรใช่ไหม ลองไปยื่นขนาดนั้นบ้างยกแขนไม่ขึ้นหรอก ทุกข์ขนาดไหน เราตักข้าวเข้าปากก็เหมือนกันมันก็ต้องอีท่านี้ มีอะไรที่มันไม่ทุกข์บ้างไม่มีหรอก ดูให้เห็นมันให้ตลอด พอเห็นเสร็จถามตัวเองว่าในเมื่อร่างกายที่มีความทุกข์ขนาดนี้ โลกที่มีความทุกข์ขนาดนี้เรายังอยากเกิดอีกไหม ถ้าอยากเกิดก็เกิดให้พอ ถ้าไม่อยากเกิด พอแล้วเข็ดแล้วถามมันดูสิว่าคนที่เรารักมีไหม โอเค
     
  2. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG][​IMG]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : ทำไมต้องลำบากทำมาหากินอะไรหนักหนา ?
    ตอบ: คนอย่างพวกเราสร้างบารมีมาเยอะ ถ้าปล่อยให้สบายจะเตลิดไม่เห็นทุกข์ก็เลยต้องใช้วิธีนี้ ถ้าสังเกตดูจริง ๆ จะเห็นได้ว่าถ้าเป็นสิ่งที่สมควรจะได้เราได้ แสดงว่าบุญมาเหลือเฟือแล้ว แต่บังเอิญกำลังใจของคนประเภทนี้เข้มแข็งเกินไป ไม่มีสายกลาง คือ ซ้ายสุดกับขวาสุดอย่างเดียว ถ้าปล่อยให้สบายเมื่อไหร่มันเตลิดเปิดเปิง เพราะฉะนั้นต้องบี้ให้ตาย

    ถาม: ให้เห็นทุกข์ตลอด ?
    ตอบ: ถ้าเห็นทุกข์เมื่อไหร่ก็จะรู้จักเข้าถึงธรรมเอง

    ถาม: มาสังเกตุตัวเองช่วงแรกทุกข์เพราะตัวเราเอง ความรักหรืออะไรก็ตาม ความรักตัวเราเอง รักลูกรักหลาน มันทำให้เกิดทุกข์ทั้งนั้น ทำไมถึงทำใจได้ลำบากคะ ทั้ง ๆ ที่รู้นะคะ ?
    ตอบ: ก็เพราะสิ่งเหล่านี้ต้องใช้คำว่า สังโยชน์ หมายถึงเครื่องร้อยรัดสัตว์ให้จมอยู่กับวัฏฏสงสาร มันถ่วงอยู่เสมอ ต้องดูกำลังใจ ยายหนูอ้วน เจ้ากิ่งกาญจน์ อายุถ้านับก็ยังน้อยอยู่ เพิ่งจะ ๒๐ ต้น ๆ เขาบอกว่าหลวงพ่อเจ้าขา ทำไมเวลาหนูเห็นคนบางคนที่เขาทำความดีแล้ว ก็เกิดความชื่นชมความยินดีในความดีของคนอื่นเขา แต่มาจับความรู้สึกของตัวเองจริง ๆ แล้วมันร้อน ๆ คือเห็นก็เกิดความรัก ความเคารพ พลอยยินดีที่เขาทำ อยากเลียนแบบในสิ่งนั้นบ้าง ก็บอกว่า คำว่า
     
  3. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : เมื่อกี้จะมาหา อยู่ไกลฝนตก ตายแล้วฝนตก เดินมาก็นึกในใจว่ากูจะไปดีหรือเปล่าหว่า เสร็จแล้วมีเสียงท่านก็มาบอกว่าชีวิตคุณจะอยู่ไปถึงเดือนหน้าจนกว่าพระคุณเจ้าท่านจะมาหรือเปล่า ผมก็บอกว่าผมไปครับ ๆ ?

    ตอบ: นี่แหละที่หลวงพ่อท่านบอกไว้ว่าเราต้องมีครูบาอาจารย์ที่ไม่เห็นตัวถึงจะใช้ได้ เพราะว่าสิ่งที่ท่านให้ข้อคิด ให้อะไรแต่ละอย่างประเภทสับมาตรงหน้าแงพอดี ๆ เลย ประเภทหูตาสว่างเดี๋ยวนั้นเลย

    ถาม: ผมกราบลาเลยนะครับ
    ตอบ: โชคดีมีชัยเลยจ๊ะ ขอให้ก้าวหน้าในการปฏิบัติยื่ง ๆ ขึ้นไป

    ถาม: เดือนหน้าจะมีชีวิตมาถึงหรือเปล่า ?
    ตอบ: เอาเลยถ้าไม่มีก็ไปรอข้างบน (คุยกับญาติโยมที่ยังอยู่ต่อ).....หลังจากอีตา พลฤทธิ์ แล้วก็มีรายนี้แหละที่เล่นอรูปฌาน คนอื่นเขาไม่เอามันยาก คนประเภทนี้แหละที่บอกว่าถ้าเวลาเขาใส่บาตรถ้าเรากำลังใจไม่ดีแทบจะกินของเขาไม่ลง น่ากลัวมากเพราะว่ากำลังใจเขาสูง กำลังใจเขาสูงถ้าหากว่าเราทำไม่ได้อย่างนั้นมันรู้สึกว่าความดีของเราไม่พอที่จะรองรับกำลังใจของญาติโยม สังเกตคำถามของเขาไหมเขาจะเจาะตรงปัญหาของตัวเอง ในเมื่อเจาะจงปัญหาของตัวเองประเภทนี้เขาจะได้ความรู้เฉพาะเพื่อไปปรับปรุงให้ตัวเองก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่ว่าประเภทที่ถามปัญหาทั่ว ๆ ไปในลักษณะอยากรู้อยากเห็นค่อนไปในทางฟุ้งซ่านพวกนั้นจะไม่ค่อยได้อะไร แล้วก็ถามปัญหาเกินจากจุดปฏิบัติอาจจะพาเสียได้

    เพราะหลักการปฎิบัติถึงแนวทางมันเหมือนกันก็จริงแต่ว่าคนที่จะเอาไปปฏิบัติจริตนิสัยที่ทำมามันไม่เหมือนกัน กำลังที่ทำมามันไม่เท่ากัน ถึงเวลาจะมีรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกันไปตามแต่จริตของแต่ละคนถ้าหากว่ามาถามเสียก่อนแล้วรับรู้ไปในลักษณะหนึ่ง พอไปเจอมันไม่เหมือนที่ตัวเองทำ คราวนี้แหละจะไปนั่งค้านตัวเองทำให้เสียผลเสียด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นให้ทำเสียก่อนพอมันมีปัญหาที่เกิดขึ้นมาในระหว่างที่ทำแล้วเราค่อยมาถาม ไม่จำเป็นจริง ๆ อย่าถามแล้วค่อยไปทำ ถ้าถามแล้วค่อยไปทำจะเสียผลได้ง่าย กำลังใจพวกนี้เขาสูงมาก เพราะฉะนั้นถ้าหากเขาไปถามแล้ว คนที่ขาดความคล่องตัวในกรรมฐานกองนั้น ๆ ตอบไป เขาจะรู้เลยว่าไม่ใช่ของจริง ในเมื่อไม่ใช่ของจริงเขาไม่ยอมรับหรอก ที่เขาใช้คำว่าอะไรตอบแล้วมันไม่ซึ้ง มันอธิบายเป็นภาษาคนมันก็ยากอยู่แล้ว แล้วยิ่งอธิบายจากความเข้าใจจากตำรามันยิ่งไม่ใช่ของจริงนี่มันแย่เลยโอกาสจะถูกน้อยเต็มที

    ตกลงเดือนนี้นอกจากบอลโลกพาไปก็มีรายนี้แหละเป็นน้ำเป็นเนื้อที่สุด มานั่งตรงนี้บางทีเหมือนมันอวดความรู้ คือว่าสิ่งที่เขาถามบางอย่างกระทั่งพระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่าเป็น "อจินไตย" ไม่ใช่เรื่องที่ควรตอบ แต่ว่าสำหรับคนบางคนที่ตอบให้เขาไปไม่ใช่อวดว่าเราเก่งกว่า พระพุทธเจ้าเรารู้จริงกว่า ไม่ใช่ แต่ว่าคนประเภทนั้นถ้าหากไม่มีใครคลายข้อข้องใจของเขาลงได้ก็อาจหลงผิดเตลิดเปิดเปิงไปอีกนานเลย กลายเป็นว่าสิ่งที่ทำก็คือการหว่านเชื้อของความดีไว้ในใจของเขาไว้สักนิดหนึ่งให้รู้ว่าจริง ๆ แล้วเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ผู้ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าแล้ว เขารู้ไม่ใช่ไม่รู้ เพียงแต่ว่ามันไม่ใช่เรื่องที่น่าเข้าไปเกี่ยวข้อง พระพุทธเจ้าท่านถึงห้ามเอาไว้ เพราะว่าถ้าเกี่ยวข้อง ท่านบอกว่าเป็นธรรมอันเนิ่นช้าทำให้การปฏิบัติเวลาไปเสียเปล่า

    ในเมื่อเป็นลักษณะอย่างนั้นพอเราทำให้เขารู้ว่าผู้ที่ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้ารู้จริงแล้วรู้ เขาก็จะเกิดความมั่นใจยิ่งขึ้น ต่อไปถ้ามันประเภทหาทางไปไม่เจอมันก็จะเลื้ยวมาเอง เท่ากับว่าเราปลูกฝังความดีบางอย่างลงในจิตใจของเขา เมื่อถึงวาระถึงเวลามันก็จะงอกงามเป็นดอกเป็นผลขึ้นมา งานนี้มันเหนื่อย คงไม่มีใครเขามานั่งทำหรอก คือมันสงสัยจริง ๆ พอไปถามเจอท่านที่อารมณ์ตัดตรงเสียแล้วก็กลายเป็นเรื่องรุงรังรอบตัวก็ไล่ตะเพิดออกมา เลยกลายเป็นว่าพอถึงวาระ ถึงเวลาเราต้องมารับหน้าที่นี้ไปเหอะ เหนื่อยแทบตายชัก แบบเดียวกันกับวันวิสาขบูชาที่ผ่านมานี้ พอสองโมงครึ่งท่านเอ ก็เปิดเทศน์วิสาขะของหลวงพ่อเลย เราก็นั่งกุมกะบาล เอเอ๋ย! แล้วจะเหลืออะไรให้เทศน์วะเนี่ย ? พ่อว่าไปแล้ว อีกสักพักหนึ่ง เทศน์หลวงพ่อจบ โยมบัวทายกอยู่วัดนานรู้มากคว้าไมค์มาบรรยายเรื่องวันวิสาขะซ้ำเข้าอีกคาบหนึ่ง ตานี้กูตายห่าพอดี เป็นเราเจอเข้าไปยกเดียวก็เดี้ยง นี่เจอสองนัดแล้ว ก็เลยบอกกับท่านเอ จริง ๆ ไม่น่าเปิด ครับ...ผมก็คิดอย่างนั้น แต่ว่ามันเปิดอยู่ผมก็เลยตัดสินใจไม่ได้ว่ามันจะเปิดดีหรือไม่เปิดดี ตกลงรักษาเวลาด้วยการเปิดดีกว่า ผมเชื่ออยู่อย่างว่าหลวงพี่ไปได้ ใช่ครับ ผมเองผมก็จะดูว่าท่านจะไปทางไหนเหมือนกัน เพราะว่าเทศน์ของเรามันไม่ได้ใช้ตำรา เล่นถือคัมภีร์ขึ้นไปเป็นเพื่อนเท่านั้นเอง ลักษณะนี้มันไม่ใช่อวดเก่ง แต่ว่าหลวงพ่อท่านเคยสอนเอาไว้ว่าถึงวาระถึงเวลาให้จับภาพพระตั้งใจว่าสิ่งใดที่ท่านต้องการสงเคราะห์คนก็ขอให้ผ่านลงมา เราเองก็ว่าไปตามรู้สึกหรือว่าสิ่งที่ท่านว่ามาปรากฏท่านก็ไปของท่านลื่น ๆ เลย ไปชนิดที่เรียกว่าเราคาดไม่ถึง กราบเรียนท่านว่าไม่กล้าครับหลวงพ่อ ผมกลัวตกธรรมาสน์

    ดูตัวอย่างหลวงตาโชติเจอมาแล้วใช่ไหม หลวงตาโชติก็เห็นว่าหลวงพ่อป่วยบ่อย ๆ พอวันพระญาติโยมมาถึงก็ได้แต่ทำบุญ ใส่บาตร ฟังพระสวดแล้วก็กลับไม่ได้ฟังเทศน์ ประโยชน์มันน้อย หลวงตาโชติเป็นนายพลมาอยู่แล้วกำลังใจแกถึงก็ขออนุญาตหลวงพ่อเทศน์ ถึงเวลาหลวงพ่อก็ถาม มั่นใจนะว่าทำได้ ? มั่นใจครับ อย่างนั้นอนุญาต ท่านก็เตรียมหัวข้อเทศน์ไว้ ถึงเวลาก็ย่อความแล้วขยายหัวข้อจนคล่องตัว กะครึ่งชั่วโมงได้เต็ม ๆ แน่เลย ยังไม่รู้ว่าอาถรรพ์ธรรมาสน์ว่าเป็นอย่างไร พอขึ้นไปมันมืดไปหมด ที่เคยซ้อมจนคล่องนึกไม่ออกเลย ก็เปิดโพยก็มีแต่ย่อ ๆ เอาไว้ แกก็เลยเอาหัวข้อพออ่านหัวข้อจบภายใน ๒-๓ นาทีเท่านั้นเอง แล้วจะทำอย่างไร ? ก็นั่งอึ้งนิ่งเงียบ โยมสง่า สาโรจน์ ทายกตาบอด แกบวชพระมา ๒๐-๓๐ พรรษา พอตาเสียจึงได้สึกออกมาอยู่กับบ้านให้ลูกหลานดูแล คนที่รู้มากขนาดนั้นน่ะ ไม่เกรงใจอยู่แล้ว เห็นไปไม่รอดสาธุส่งเลย หันทะ มะยัง สาธุการัง สะทา มะเสฯ สาธุ มันไล่ส่งเลย หลวงตาโชติแกเสียใจมาก คิดมากประสาทกินไปเลย

    คราวนี้ก็เลยกลัวว่าจะเป็นอย่างหลวงตาโชติ แต่ของเรานี่มันฉุกเฉินมาตลอดตั้งแต่เทศน์กัณฑ์แรกแล้ว ตอนนั้นก็อยู่วัดเทพศิรินทร์ กับหลวงปู่มหาอำพัน วัดเทพศิรินทร์เขามีระเบียบอย่างหนึ่งว่า พระจะบวชกี่วันก็ตามก่อนสึกอย่างน้อยต้องไปเทศน์โปรดโยม ๑ กัณฑ์ เพราะฉะนั้นถ้าคุณคิดจะสึกก็ซ้อมเทศน์ได้เลย

    พอวันนั้นไป คุณอุกฤษ เขาจะสึกเขาจะต้องไปเทศน์โปรดโยมที่บ้าน เห็นเขาซ้อมอ่านใบลานของเขาอยู่ ซ้อมไปซ้อมมาพอถึงวันจริง หลวงปู่บอกว่าคุณไปเป็นพี่เลี้ยงเขาหน่อยซิ ครูบาอาจารย์สั่งก็ต้องไป ๆ ถึงคุณอุกฤษขึ้นธรรมาสน์ไปนั่งสั่นพั่บ ๆ อยู่ข้างบนให้ศีลยังไม่ได้เลย มันไซด์ขนาดหนัก โยมเขาทนรำคาญไม่ไหว บอกอย่างนั้นนิมนต์พระพี่เลี้ยงแทนก็แล้ว จากเราที่ไม่เคยเทศน์เลยและก็ไม่ได้เตรียมตัวมาเลยเราก็แย่สิ จะใช้วิธีไหน ? ก็ต้องใช้วิธีตามแบบหลวงพ่อ ตกลงก็ขึ้นไปเทศน์แทน ก็ว่าตั้งแต่ต้นยันปลาย ได้กัณฑ์เทศน์มา ๗๐๐ บาท จำได้แม่นยำ เทศน์กัณฑ์แรกได้มา ๗๐๐ บาท และหลังจากนั้นก็จะเจอที่เทศน์ฉุกเฉินลักษณะอย่างนี้ ประเภทไปงานเขาแท้ ๆ แล้วอยู่ ๆ เขาก็นิมนต์เทศน์ หรือไม่ก็ประเภทเกิดฉุกเฉินกะทันหันขึ้นมา คนเทศน์ไม่ขึ้นธรรมาสน์เราก็ต้องไปรับหน้าที่แทน ก็เลยต้องใช้วิธีนี้มาตลอด

    จนกระทั่งท่านสมพงษ์มาบอกอาจารย์จะเอาคัมภีร์เทศน์ไหม ? วันนี้วันนี่ต้องใช้คัมภีร์อย่างนี้ วันนี้เทศน์เรื่องนี้ต้องใช้คัมภีร์นี้ บอกไม่ต้องหรอกผมเอาของผมชิ้นเดียวนี่แหละ ถึงเวลาก็ถือขึ้นไปมีอันเดียวจริง ๆ อานิสงส์การถวายพระไตรปิฎก เขาให้มาตอนที่ซื้อพระไตรปิฎกพร้อมตู้ ก็ถือขึ้นไปมาอยู่ตลอด ถือซะจนเปื่อยหมดแล้วเพราะเขาใช้ใบลานจริง ๆ เป็นแผ่น ๆ แล้วก็ผูกเชือก อาศัยมาตลอดเวลา อาจารย์สมพงษ์เขาออกปาก ผมทำอย่างอาจารย์ไม่ได้หรอกครับ ขนาดอ่านยังไปไม่รอดเลย ก็เลยบอกว่าเอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้ายังไงจะได้ซ้อม ๆ พระเอาไว้สักชุดหนึ่ง แล้วช่วงในพรรษาจะเป็นเวลาซ้อมพระพรรษาหนึ่ง จะมีวันพระประมาณ ๑๒ หน พระเดือนละ ๔ ใช่ไหม จะเป็น ๘ ค่ำ ๒ แล้วก็ ๑๔ ค่ำกับ ๑๕ ค่ำ ก็เลยว่าอย่างน้อย ๆ จะมีพระขึ้นเทศน์ ๑๒ องค์สลับกันไป ใครมีแววก็จะถ่ายทอดเคล็ดลับให้ แต่ถ้าเคล็ดลับขนาดต้องไปเทศน์ ๒ ธรรมาสน์ ๓ ธรรมาสน์อะไรนั่นคงจะต้องมีอีกเรื่องหนึ่งเอาไว้ พวกนั้นมันถึงต้องการหักกันอะไรกันมันมากเลย

    ถาม: เมื่อวานนี้เจอคุณหมอ ๆ บอกว่าจะถามที่โรงพยาบาลให้ เซลล์ขายยาโดยตรง ?
    ตอบ: ลดราคาให้ไหม ไม่เติมลมให้ก็ต้องไปจ้างเขาอัดถังหนึ่งละตั้ง ๘๐ บาท ให้มันลดให้สัก ๑๐๐ ก็ยังได้ สงสัย ๕๐,๐๐๐ จะไม่พอ ชุดประดาน้ำเต็มชุดประมาณ ๗๐,๐๐๐ อันนั้นมันพวกลงทะเลลึกเลย ของเราตัดพวกเครื่องวัดอากาศ พวกคอมพิวเตอร์วัดแรงดัน วัดระดับความลึกอะไรออกไป มันก็ลดได้หลายตังค์

    ถาม: แล้วต้องไปเรียนประดาน้ำหรือเปล่าครับ ?
    ตอบ: เป็นอยู่แล้ว ก็บอกพวกนั้นแล้วว่า ถ้าไม่เป็นจะต้องสอน คราวนี้พวกเจ้าหน้าที่ในเขื่อนที่คอยดำ ตรวจสภาพฐานเขื่อนมันมีอยู่ ซึ่งถ้าจะเป็นสมาชิกของมูลนิธิพิทักษ์กาญจน์ หน่วยเดียวกันนี้เท่ากับว่าเขาเป็นลูกน้อง พวกนั้นก็จะรับหน้าที่สอนให้ ถ้าหากพวกนั้นไม่ว่างอาตมาคงต้องสอนเอง คงสนุกน่าดู เพราะว่าอันดับแรกแค่การปรับความดันของหูที่เขาเรียกว่าป๊อบหู นั่นก็มีปัญหาแหละ ของเราทำได้ไหมล่ะ ส่วนใหญ่มันต้องบีบจมูก ของเรามันชินโดยไม่ต้องบีบจมูกแล้วล่ะ แค่อัดลมหายใจดันปึ้กไป หูมันก็จะโล่งแล้ว ลักษณะหูเราบางทีเราสั่งน้ำมูกแรง ๆ แล้วหูดับอย่างนั้นแหละ

    จริง ๆ ก็คือว่าอากาศมันเข้าไปเราทำเพื่อจะไล่ดันมันออกมา ถ้าเราทำอย่างนั้นได้น้ำมันจะไม่เข้าหู ถึงเวลาที่เราทำอย่างนี้อัดลมออกหูส่วนใหญ่ต้องบีบจมูก ของเรามันเคยชินซะแล้ว ขยับกรามหน่อยเดียวก็ไปแล้ว ถ้ามีอากาศอยู่น้ำก็ยังไม่เข้า แบบเดียวกันกับว่าถึงเวลาเราใส่หน้ากากเข้าไป ถ้าหากว่าเราเป่าลมหายใจออกมานิดหนึ่งมันจะไล่น้ำออกหมด เคล็ดลับของการทำให้หน้ากากไม่เป็นไอน้ำก็คือ เอาน้ำลายทาเสียก่อนกลิ่นเหม็นเป็นบ้า ถึงเวลาเอาน้ำลายถู ๆ ให้แห้งไว้ก่อนเสร็จแล้วลงไป ไอน้ำจากลมหายใจเราจะไม่เกาะหน้ากาก มันจะใสอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่อย่างนั้นไอน้ำจากลมหายใจเราเกาะปุ๊บ ก็จะมัวมองอะไรไม่ค่อยเห็น บอกแล้วจะเรียนร่ำทำอะไรไม่ลำบาก

    พอมาถึงจุดนี้แล้วยังไม่เห็นว่าอะไรมันยาก ก็บอกแล้วจนท่านกอล์ฟเขาสงสัยว่าพอเขาทำอะไรไม่ได้ เราก็ทำแทนเขาทุกที เขาบอกว่าตอนแรกเห็นสั่งคนโน้นสั่งคนนี้ นึกว่าอะไรไม่เป็น จนพระท่านอื่นเขาบอกไม่รู้จักสังเกตหรือไง ถ้าคนทำไม่เป็นแล้วจะสั่งคนอื่นให้ทำได้เหรอ ถ้าคนทำไม่เป็นมันจะอธิบายงานไม่ได้ ก็ได้แต่บอกว่าจะเอา แบบนี้ ๆ พอเขาซักรายละเอียดก็เดี้ยงแล้ว หลวงพ่อท่านบอกเอาไว้ ท่านบอกว่าใครที่อยู่กับท่านคำว่า
     
  4. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    ขอเชิญร่วมทำบุญสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม
    ณ วัดพระธาตุห้าดวง อ.ลี้ จ.ลำพูน


    ********************************

    ด้วยทางคณะสงฆ์อำเภอลี้ จ.ลำพูน มีความเห็นพ้องต้องกันว่า จำเป็นต้องจัดสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมขึ้นในอำเภอ เพื่อให้เป็นสถานที่เรียนหนังสือของพระภิกษุและสามเณร ในสายสามัญ และบาลี เพื่อเป็นการส่งเสริมด้านการศึกษาแก่พระภิกษุและสามเณรในอำเภอลี้และอำเภอใกล้เคียง เพื่อให้โอกาสทางการศึกษาแก่ผู้ด้อยโอกาสและยากจน เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนโรงเรียนในอำเภอ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และเพื่อรักษาและสืบอายุพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ต่อไป จึงมีมติให้จัดสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมขึ้น ณ วัดพระธาตุห้าดวง ต.ลี้ อ.ลี้ จ.ลำพูน ซึ่งขณะนี้กำลังดำเนินการก่อสร้างอาคารเรียน ๒ ชั้น จำนวน ๑๐ ห้องเรียน ใช้งบในการก่อสร้างประมาณ ๒,๖๐๐,๐๐๐ บาท (สองล้านหกแสนบาทถ้วน) ซึ่งทางคณะศิษยานุศิษย์จะได้ร่วมกันทอดผ้าป่าถวายสร้างอาคารเรียน สำหรับพระภิกษุและสามเณร เพื่อนำปัจจัยมาก่อสร้างอาคารเรียนให้แล้วเสร็จ ก่อนเปิดเรียนในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๐ นี้

    จึงขอเชิญชวนญาติโยมพุทธบริษัททุกท่าน ร่วมสร้างบารมีทานอันยิ่งใหญ่ โดยร่วมกันถวายปัจจัยเพื่อสร้างอาคารเรียนให้กับพระภิกษุ และสามเณรในครั้งนี้ตามกำลังศรัทธา และขออำนาจของคุณพระศรีรัตนตรัย บารมีธรรมของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธทุก ๆ พระองค์ พระอรหันต์ทั้งหลาย พระอริยเจ้า ครูบาอาจารย์ พรหม เทวดา ทั้งหมด ตลอดจนถึงบารมีขององค์พระเมโตธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ และผลแห่งบุญที่ท่านได้บำเพ็ญมา จงอภิบาลรักษาท่านทั้งหลาย ให้มีความเป็นอยู่อย่างเป็นสุข ปราศจากอุปทวันตรายทั้งปวง มีความรุ่งเรืองในการดำรงชีวิต เจริญในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าถึงอริยมรรค อริยผล เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในปัจจุบันชาตินี้...เทอญ

    หมายเหตุ หากท่านใดที่ต้องการทำบุญ สามารถโอนเข้าบัญชีได้ที่ชื่อบัญชี บัญชีสร้างโรงเรียนปริยัติธรรมวัดพระธาตุห้าดวง ธ.กสิกรไทย ออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 347-2-33423-8

    หรือส่งเป็นธนาณัติมาที่ พระอนันต์ อานนฺโท วัดพระธาตุห้าดวง ต.ลี้ อ.ลี้ จ.ลำพูน 51110 (ขอให้วงเล็บมุมซองว่า สร้างโรงเรียน)

    หรือโทรติดต่อได้โดยตรงที่ เบอร์โทรศัพท์ 053-570244 หรือ 081-6027437
    - ท่านใดต้องการเป็นเจ้าภาพห้องเรียน ห้องละ ๕๐,๐๐๐ บาท (ติดชื่อเจ้าภาพ) มีจำนวน ๒๐ ห้อง เป็นเจ้าภาพ ๑ ห้องรับพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมทรงเครื่องจักรพรรดิปิดทอง ขนาด ๙ นิ้ว ๑ องค์

    - ท่านใดต้องการใบโมทนาบัตร ขอให้เขียนชื่อ ที่อยู่ ให้ชัดเจน เพื่อความสะดวกในการจัดส่ง

    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...