ฉบับที่ ๕๕ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 7 กุมภาพันธ์ 2009.

แท็ก:
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,687
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    ช่วงแรกของเล่ม "เส้นทางพระโพธิสัตว์" สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๕(ต่อ)
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    ถาม: ............(เรื่องเว็บ)..........
    ตอบ: ทำเว็บก็อย่าไปเถียงกันกับเว็บอื่น (หัวเราะ) ...ดู ๆ แล้วมันน่าเบื่อเหมือนกัน มันมีอยู่ ๒ สถานด้วยกัน สถานแรกคือ พอคุยไปคุยมา ต่างคนเกิดทิฏฐิขึ้นมา อย่างที่สองคือว่า ความรู้ยังไม่ถึงจุดนั้น ก็ชี้แจงแสดงเหตุให้เด็ดขาดลงไปไม่ได้ เลยกลายเป็นที่ถกเถียงกันไปเรื่อย พระพุทธเจ้าท่านก็บอกเอาไว้แล้ว จงอย่าพูดในเรื่องอันเป็นเหตุให้เถียงกัน เรื่องอันเป็นเหตุให้เถียงกันจำเป็นต้องพูดมาก บุคคลที่พูดมากจิตใจย่อมฟุ้งซ่าน ฟุ้งซ่านก็จะห่างจากสมาธิ ท่านบอกเอาไว้ชัดเลย
    ถาม : พระโสดาบันยังมีการคิดผิดไหม ?
    ตอบ: ผิดอย่างไร ก็ไม่ผิดจากคำสอนพระพุทธเจ้า
    ถาม : ยังมีเห็นแก่ตัวไหม ?
    ตอบ: มีเพียงแต่ว่า อยู่ในลักษณะที่ท่านควบคุมได้ มันจะมีกรอบของมันอยู่ อย่างน้อย ๆ ถ้าหากว่า จะออกนอกกรอบของศีลท่านก็ไม่ไปด้วย คิดได้ แต่โอกาสจะทำน้อยโอกาสจะพูดน้อย
    ถาม : สัตว์ที่มีชีวิตทั้งหลายที่เราซื้อปล่อยไป ในอนาคตการณ์จะมาผูกพันกับเราหรือเปล่า ?
    ตอบ: อันนั้นก็ไม่ทราบเหมือนกัน เราอย่าไปผูกกับมันแล้วกัน มันจะผูกกับเรา เรื่องของมัน คือในลักษณะเราช่วยเขา ถ้ากลับมาก็ในลักษณะตอบแทน
    ถาม : ผมนึก ๆ ตอนปลาลงไป ๕๐ ตัว พอปล่อยลงน้ำ ชาตินี้มาช่วยมันหลุดจากการโดนเขาฆ่ามาปล่อยลงน้ำ ชาติต่อไปต้องมาช่วยอะไรมันอีกหรือเปล่าหนอ เราต้องช่วยมันไปอีกเมื่อไหร่ เมื่อไหร่เราจะต้องเลิกช่วย ?
    ตอบ: มันอาจจะถึงเวลาที่มันช่วยเราก็ได้
    ถาม : แล้วผมก็ เอ! หรือเราเคยเป็นปลามาก่อน แล้วเขาปล่อยเรามาก่อน เราก็มาปล่อยเขาคืน
    ตอบ: อย่าลืมว่า กำลังใจของพระพุทธเจ้าที่ท่านตั้งความปรารถนาจะช่วยขนถ่ายสัตว์โลกข้ามวัฏฏสงสารนี่ ท่านไม่ได้จำกัดจำนวนไม่ได้จำกัดระยะเวลา เต็มกำลังกาย กำลังสติปัญญาของท่าน ท่านก็ว่าของท่านเต็มที่ เพราะฉะนั้นในเมื่อกำลังใจของท่านเป็นลักษณะนั้น ของเรามีหน้าที่เราก็ทำของเราไป
    ถาม : หลวงพ่อสอนว่า เดี๋ยวเราเป็นน้ำที่เต็มบาตร สามารถคว่ำบาตรให้น้ำออกหมดบาตรได้ทันที แต่อย่างเวลาผมจะช่วยใครสักคน เอ! ลูกเมียเราจะเดือดร้อนหรือเปล่า แล้วเราจะยับยั้งอย่างนี้ แสดงว่าเรายังไม่เต็มหรือเปล่า ?
    ตอบ: อันนี้มันจะมีส่วนตรงที่ว่า ของเรามันทำ มันทำด้วยปัญญา ถ้าหากว่ามันเป็นศรัทธา เป็นอธิโมกศรัทธา ก็คือมีแต่ศรัทธาอย่างเดียว ขาดปัญญาประกอบ ทำให้คนรอบข้างเดือดร้อน บางทีมันก็ไม่ใช่ตัวเมตตาที่แท้จริง
    ถาม : นิพพานเราไปได้ทุกขณะจิตหรือเปล่า ?
    ตอบ: มันก็อยู่ที่เราจะไปมั้ย ? ถ้าจะไป มันไปได้ทุกขณะจิตอยู่แล้ว ถ้ามีความคล่องตัวในมโนมยิทธิ หรือ อภิญญา แค่นึกจะไปมันก็ไปแล้ว แล้วมันทุกขณะจิตมั้ยล่ะ ?
    ถาม : มันไม่ชัด
    ตอบ: ไม่ชัดจะเป็นไรไป ขอให้มั่นใจก็แล้วกัน
    ถาม : อย่างเมื่อกี้ให้พรปั๊บ ผมก็นึกเลยว่า ขึ้นไปเลยข้างบน แล้วเอาตัวข้างล่างฟังให้พร
    ตอบ: ก็นั่นแหละ ฉลาดแล้วที่ทำอย่างนั้น หลวงพ่อท่านบอกว่า เรื่องของนิพพานพยายามไปให้มันมากที่สุดในแต่ละวัน เอากำลังใจจดจ่ออยู่ตรงนั้น เพราะว่าการไปนิพพาน เป็นการตัดกิเลสด้วยวิธีที่รวบรัดที่สุด ขณะเดียวกันกำลังใจที่ส่งออกไปในลักษณะนั้น จะเป็นกำลังของฌานสมาบัติเขา เป็นการพักผ่อนวิธีหนึ่ง ท่านบอกว่าบางทีเหนื่อย ๆ ขึ้นมาวินาที สองวินาทีท่านก็เอา บางทีหลอกให้โยมพูดประโยคยาว ๆ หน่อย ตัวเองเผ่นไปแล้ว ง่ายมั้ย ? หลอกให้เขาพูดยาว ๆ
    ถาม : แล้วทำท่านบารมีอย่างไร ที่ถึงว่าจะเต็มภพเต็มภูมิ โดยที่ทำแล้วได้ผลมากที่สุด ?
    ตอบ: คงจะยาก ถ้าเต็มแล้วมันจะวัดด้วยจำนวนอะไรได้ ต่อให้ขนของมาเต็มโลก มันก็ยังไม่พอใจ มันต้องเต็มที่ใจ เพราะฉะนั้นถ้ากำลังใจมันเต็มเมื่อไหร่ ก็แปลว่าใช้ได้แล้ว...
    ถาม : ในระหว่างที่เราจะนั่งปฏิบัติ ตัวผมไม่ชอบมุ่งเน้น บางทีคิดเรื่องนี้...สังขาร...ไปมั่วไปหมด
    ตอบ: ทำอะไรต้องทำอย่างเดียว ให้มันได้ผลซะก่อน กรรมฐานมี ๔๑ แบบด้วยกัน คือกรรมฐาน ๔๐ กับมหาสติปัฏฐานอีกหนึ่ง ๔๑ แบบนี่ แบบใดแบบหนึ่งก็ตาม ถ้าหากเราทำสำเร็จแล้ว อีก ๓๙ แบบ หรืออีก ๔๐ แบบนั้นมันก็จะตามไปด้วยกัน คือกำลังมันเท่ากัน เปลี่ยนวิธีแค่นั้นเอง ต้องเอาให้ได้จริง ๆ อันหนึ่งก่อน ถ้าได้อันหนึ่งแล้วอันอื่นจะง่าย แต่ว่าไม่จำเป็นต้องศึกษาทั้งหมดก็ได้ หัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง ถ้าตั้งใจทำจริง ๆ เป็นพระอริยเจ้าได้ เป็นพระอรหันต์ได้ทั้งนั้น เพียงแต่ว่า บางคนชอบศึกษาหลาย ๆ อย่างด้วยกัน ก็ต้องทำให้ถึงที่สุดของผลของมัน ก็คือว่าอย่างน้อย ๆ ทรงเป็นฌาน ๔ ของโลกียอภิญญาให้ได้ พอถึงตอนนั้นแล้วก็ค่อยเจริญวิปัสสนาญานต่อ กำลังของฌาน๔ มันสูงพอ จะตัดกิเลสได้
    ถาม : (เรื่องเกี่ยวกับกรมหลวงชุมพร) ถ้าเกิดไม่ไปไหว้กรมหลวงชุมพรที่ศาลที่ชุมพรแต่ว่าไหว้หรือบวงสรวง....
    ตอบ: ที่ไหนก็ได้ เพราะว่าถ้านึกถึงท่าน ท่านก็รับรู้ได้อยู่แล้ว
    ถาม : การที่เราไหว้ เสด็จพ่อกรมหลวง ฯ กับไหว้ท่านท้าววิรุฬหก อานุภาพ...?
    ตอบ: ก็องค์เดียวกัน (หัวเราะ) ถ้าหากว่าไหว้เสด็จในกรมฯ ก็ถือว่าเป็นกันเอง สมมติว่าเราไหว้พ่อในบ้านเรา แต่ว่าเวลาพ่อไปอยู่ที่กองบัญชาการกองทัพบก พ่อก็คือผู้บัญชาการทหารบก (หัวเราะ) ตกลงว่เราจะไหว้ในตำแหน่งพ่อดี หรือว่าไหว้ในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกดี ก็เลือกเอา....นั่นแหละตัวอย่างของผู้ปฏิบัติแล้วได้ผลจริง
    แม้กระทั่งในชีวิตฆราวาส โดยเฉพาะอย่างรัชกาลที่ ๕ ก็ดี เสด็จในกรมฯ ก็ดี คนจะยกในระดับเดียวกับพระเลย จะสังเกตดูความเคารพของคนจะเคารพท่านแบบเคารพหลวงปู่ หลวงพ่อที่มีคุณความดีสูง ๆ อย่างนั้นเลย คนที่ทำคุณความดีเอาไว้จริง ๆ แล้ว ท่านถึงได้บอกไว้...อะไรนะ...เพลงทหารเรือ เพลงเก่า ๆ ที่เสด็จในกรมฯ ท่านแต่งเอง ท่านบอกว่าเกิดมาทั้งที จะดีก็ตอนยังเป็น อีก ๔๐๐ ปี ก็ไม่มีใครเขาเห็น ก็คือพอพ้นระยะที่ยาวนานไป คนก็จะเริ่มเลิกนึกถึง ยกเว้นแต่ว่าถ้ายังมีคุณความดีอยู่ คุณความดีนี้จะส่งผลให้ยาวนานไม่รู้จบ ท่านเองท่านก็เสด็จทิวงคตไปนานแล้ว แต่คนก็ยังระลึกถึงความดี ยิ่งนานก็ยิ่งขลัง การนับถือก็กว้างไกลไปเรื่อย ๆ
    ถาม : แม่เขาชอบพูดว่า เขาจะขอใช้กรรมให้หมดในชาตินี้ แต่ไม่รู้จะไปอธิบายอย่างไร ?
    ตอบ: ไม่มีใครใช้หมด แม้กระทั่งพระอรหันต์ก็ดี พระพุทธเจ้าก็ดี ที่เข้านิพพานไป ไม่มีใครใช้กรรมหมด แต่ว่าท่านทำความดีจนถึงที่สุดแล้วหลุดพ้นไป กรรมไม่สามารถจะตามทันได้ เพราะฉะนั้นของเรา ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำความดีของเราไป ถ้ากรรมอันอันไหนมันเข้ามา เราก็ทำใจให้ยอมรับซะ ยอมรับในลักษณะที่ว่ามันเกิดขึ้นเพราะเราเคยทำไว้ ในเมื่อเราทำไว้มันเกิดขึ้นเรารับมันได้ มันก็จะสบายใจ ไม่ไปดิ้นรนต่อต้านอะไร แก้ไขเต็มสติกำลังแล้วแก้ไม่ได้ ก็ยอมรับว่าเป็นกฎของกรรม
    ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ตั้งหน้าตั้งตาสะสมความดีไว้ ไม่ไปกลุ้มใจกับกฎของกรรมที่มันเกิดขึ้น ถ้าทำอย่างนี้ไว้เดี๋ยวก็ไปเร็ว ถ้าเราพ้นไปก็ถือว่าหมด ถ้าหากว่ายังไม่พ้นเมื่อไหร่ มันตามทวงไปเรื่อย
    ถาม : ....(เรื่องทรงหลวงพ่อ)... แล้วนี่เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เป็นของจริงหรือไม่จริง ?
    ตอบ: จริงหรือไม่จริง ? มันใจได้เลยว่าปลอมแน่ ถ้าเป็นหลวงพ่อมาเพราะมีเหตุจริง ๆ คงอยู่ไม่เกิน ๓ นาที ๕ นาทีหรอก นั่นหมายความว่า ท่านต้องการจะใช้งาน หรือต้องการจะช่วยใครอะไรสักอย่างหนึ่ง ซึ่งมันฉุกเฉินจริง ๆ แล้วเขาเองเขาไม่สามารถจะรับได้ ถ้าพวกทั่ว ๆ ไป ลูกศิษย์ของท่านได้มโนมยิทธิทั้งนั้น จะใช้ใครก็ไปหาลักษณะนั้นมันไม่ง่ายกว่าไปประทับทรงมันมันเหนื่อยเรอะ ? หลวงพ่อท่านบอกว่าแกรู้มั้ย ? ว่าข้ายังไม่ทันจะตายเลย สำนักทรงหลวงพ่อฤๅษีลิงดำมีไป ๖๐ สำนักแล้ว ยังไม่ทันตายเลยนะปีนั้น ไม่รู้ว่า
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...