ฉบับที่ ๕๘ เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 4 เมษายน 2011.

  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    ถาม: (ไม่ชัด) ท่านจะไปเป็นองค์สุดท้าย
    ตอบ: องค์นั้นพระไภษัชยคุรุ พระไภษัชยคุรุ คนจีนเรียกตี่จั๊ง ท่านตั้งมโนปณานไว้ว่า ตราบใดที่ยังมีสัตว์โลกเวียนว่ายอยู่ในวัฎฏสงสาร ตราบนั้นท่านจะไม่เข้านิพพาน พระไภษัชคุรุ คำว่าตั้งนานนี่มันนานมาก......... ลากเสียงยาว ๓ กิโลเมตร ยังยาวไม่เท่า ที่สร้างพระกริ่งรูปพระไภษัชคุรุ พระกริ่งพิชัยสงครามนั่นแหละ ต้องกำลังใจระดับนั้น เพราะว่าการจะตัดเคราะห์ตัดกรรมให้กับคน ถ้าเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าท่านจะยอมรับกฎของกรรม แต่พระโพธิสัตว์นี่ ถ้าเพื่อความสุขผู้อื่นบางทีท่านก็ฝืนกรรมเอา แล้วกำลังท่านสูงซะด้วย ท่านฝืนได้นี่
    ถาม : ท่านได้รับพุทธพยากรณ์รึยัง ?
    ตอบ: น่าจะได้แล้ว แต่คราวนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกนานเท่าไหร่
    ถาม : เวลาอาราธนานึกถึงท่าน....?
    ตอบ: ไม่ต้องหรอก นึกถึงพระพุทธเจ้าก็พอแล้ว องค์ไหนก็ได้ พระพุทธเจ้าทั้งหมด พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหมด พระอรหันต์ทั้งหมด พรหมทั้งหมด เทวดาทั้งหมด พระโพธิสัตว์ปัจจุบันถ้าไม่ใช่พรหมก็เทวดา
    ถาม : ถ้ายังไม่ได้รับพุทธพยากรณ์ ในยุคพระศรีอาริย์จะได้มั้ย ?
    ตอบ: ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทันมั้ย เพราะว่าถ้าคุณเพิ่งคิดอย่างงี้ มันก็อีกนาน ไม่เป็นไรหรอก เจอพระพุทธเจ้าต่ำ ๆ ซัก ๑ ล้านองค์ เดี๋ยวก็ได้รับพยากรณ์เอง ไม่ใช่ ๑ ล้านพุทธันดร นับไม่ได้เลย เพราะพุทธันดรนี่ช่วงองค์หนึ่งถึงองค์หนึ่งใช่มั้ย แล้วมันต้องกัปเดียวกันด้วยนะ ถ้าต่างกัปนี่บางทีมันต่างกันลิบโลก จากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีนามว่าทีปังกรแล้วโลกว่างจากพระพุทธเจ้าศาสนาไป ๑ อสงไขยกัปพอดีเลย ๑ อสงไขยกัป แล้วเสร็จแล้วก็มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีนามว่าโกณฑัญญะ เกิดขึ้นองค์เดียว
    สมัยสมเด็จพระพุทธเจ้าทีปังกรท่านมี ๔ องค์ คือ สมเด็จพระพุทธเจ้ามีนามว่า ตัณหังกร เมธังกร สรณังกร ทีปังกร ๔ องค์ แล้วก็ว่างไป ๑ อสงไขยกัปเต็ม ๆ แล้วก็มาสมัยพระพุทธเจ้ามีนามว่า มังคละ กับสุมนะ ขึ้นมา ๒ องค์ แล้วก็ว่างไปอีก ๑ อสงไขยเต็ม ๆ สะใจ ถ้าไปเจออย่างนั้นเข้าก็อ่วม
    พยายามดูทุกข์ให้เห็น พยายามเกาะนิพพานให้ได้ พยายามศึกษาว่าธรรมอันใด ทำให้คนเข้าสู่นิพพานได้ง่าย ยิ่งทำได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งได้รับพุทธพยากรณ์เร็วเท่านั้น ต้องรู้ละเอียดกว่าผู้อื่นอย่างน้อย ๔ เท่า
    ถ้ากำลังใจผ่องใสมั่นคง ความปรารถนานั้นก็จะสามารถที่จะเข้าถึงได้ง่าย เพราะว่าจิตใจผ่องใสมั่นคงกำลังมันสูง
    ถาม : เจาะจงถวายสังฆทานให้ จะได้อยู่ในภพภูมิที่สูงขึ้น ?
    ตอบ: ดูว่าตัวคนทำได้เท่าไหร่ ตัวคนทำได้เท่าไหร่ ตัวคนรับได้เท่านั้น แต่ว่าตัวปัตตานุโมทนามัย มีข้อยกเว้นอยู่นิดหนึ่งว่าต้องให้คนทำได้ก่อน ตัวเราถึงจะได้
    เพราะฉะนั้น ถ้าหากกำลังใจของเราอย่างเช่นว่า เราทำบุญกรรมฐาน บุญกรรมฐานถ้าจิตเข้าถึงฌาน ตีซะว่าปฐมฌานหยาบก็แล้วกัน ปฐมฌานหยาบกำลังจะได้เป็นพรหมชั้นที่ ๑ ที่เรียบกว่าปาริสัชชาพรหม คนที่โมทนาบุญก็จะได้ตรงนั้นเลย เพราะฉะนั้น คนทำได้เท่าไร คนโมทนาได้เท่านั้น ไอ้กูจะเอา นั่นไม่ใช่นะ ไอ้กูจะเอานั่นตั้งกำลังใจผิด ปัตตานุโมทนามัย ยินดีในผลบุญของคนอื่นที่เขาได้ทำ ขณะที่เราไม่มีโอกาสได้ทำบุญอันนั้น ไม่ใช่สาธุ กูจะเอา นั่นเด็กเข้าใจผิดหมด
    ถาม : วันที่ ๕ ธันวาคม คนเอาดอกไม้ไปถวายรูปในหลวง มีอานิสงส์ไหม ?
    ตอบ: มี เพราะว่า...กล่าวถึงโน่นดีกว่า ถูปารหาบุคคล บุคลลที่สมควรสร้างสถูปคือเจดีย์ไว้บูชา พระพุทธเจ้าบอกว่าประกอบด้วย ๑.องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒.พระปัจเจกพุทธเจ้า ๓.พระอรหันต์ ๔.พระเจ้าจักรพรรดิ บุคคล ๔ ประเภทนี้สมควรสร้างสถูปขึ้นบรรจุอัฐิไว้เป็นที่บูชา เพราะว่าผู้ใดผู้หนึ่งตั้งใจถวายท่านด้วยความเคารพ อย่างน้อยอานิสงส์ก็จะได้ไปสุคติ สุคตินี้ต่ำสุดก็สวรรค์ขึ้นไป
    เพราะว่าพระเจ้าจักรพรรดิจะเป็นผู้ประกอบด้วยศีลด้วยธรรม สั่งสอนคนให้อยู่ในศีลในธรรมเป็นปกติ คราวนี้เรามาดูในหลวงของเรา ว่ามีจริยาแบบนั่นไหมล่ะ ? ในเมื่อในหลวงของเราท่านมีจริยาแบบนั้น คนที่ตั้งใจบูชาก็เหมือนบูชาพระเจ้าจักรพรรดิ อีกอย่างหนึ่งท่านก็ว่าเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านทำก็เพื่อส่วนรวม เพื่อประชาชน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านสั่งสอนมาล้วนแต่อยู่ในศีลในธรรมทั้งนั้น
    เพราะฉะนั้น ถ้าตั้งใจบูชาท่าน คุณความดีก็เหมือนกับบูชาพระเจ้าจักรพรรดิ เคยได้ยินไหม ถูปารหาบุคคล บุคคลที่ควรสร้างสถูปเจดีย์ไว้บรรจุอัฐเพื่อบูชาท่าน พระอานนท์ท่านละเอียดจริง ๆ ก่อนพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ท่านถามละเอียดยิบเลยว่าต้องทำอย่างไร ? แต่ละขั้นตอนแบบไหน ๆ จะจัดงานพระศพอย่างไร ? ถามหมด ขาดอยู่อย่างเดียวแหละ ไม่ได้ถามว่าศีลข้อไหนที่พระพุทธเจ้าอนุญาตให้เพิกถอนได้ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า อานันทะ ดูก่อนอานนท์ สืบไปในสมัยข้างหน้า สิกขาบทบางสิกขาบท ไม่เหมาะสมกับยุคสมัย ตถาคตอนุญาตให้สงฆ์สวดเพื่อเพิกถอนสิกขาบทนั้นได้ คือให้ประกาศยกเลิกได้
    คราวนี้พระอานนท์ไม่ได้ถามว่าข้อไหน ด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้าก็เลยไม่มีใครประกาศยกเลิก ก็เลยคาราคาซังมาจนทุกวันนี้ อย่างข้อห้ามจับเงินอย่างนี้ ปัจจุบันนี้ไม่เหมาะสมแล้ว เพราะว่าไปไหนก็ต้องใช้ เป็นเราจะละเอียดแบบนั้นไหม ท่านถามหมด จะจัดการพระศพอย่างไร ? ท่านบอกว่าจัดการพระศพของท่านเหมือนกับพระเจ้าจักรพรรดิ แล้วพระเจ้าจักรพรรดิจัดการพระศพอย่างไร ? ท่านก็บอกว่าให้ห่อด้วยผ้าขาว ๕๐๐ ชั้น สำลี ๕๐๐ ชั้น สลับกัน แล้วนำลงในรางทองคำที่บรรจุด้วยน้ำมันหอม จุดไฟเผา แล้วถึงเวลาเก็บอัฐิจะทำอย่างไร ? ก็ให้บรรจุไว้ในเจดีย์เพื่อให้เขาบูชา
    ถาม : อาราธนาทำน้ำมนต์รดคนที่โดนของ ?
    ตอบ: ได้เลย ว่าไปเลยเต็ม ๆ ตั้งใจสวดอิติปิโสด้วยความเคารพนะ ขอบารมีพระท่านช่วยสงเคราะห์ให้รักษาโรคในกายของเขาให้หายโดยฉับพลัน เสร็จแล้วจะรดหรือให้เขากินก็ว่าไปเลย เพราะว่าพระกริ่งพิชัยสงคราม นี่ทำมาทุกด้านจริง ๆ นะ ขนาดคนต้องการด้านลาภด้านผล เขาไปบนเพื่อให้ได้โน่นได้นี่ก็ดี เอาไปค้าขายก็ดี ก็ได้ผล แต่ว่าถ้าหากใช้เพื่อป้องกัน ให้ใช้คาถา มหาวิชชโยโหหิ อสังวาโส สัมปะติจฉามิ ถ้าหากว่าใช้ในการรักษาโรคภัย ทำเป็นน้ำมนต์ให้เสกด้วย อิติปิโสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ๓ จบ ถ้าหากว่าจะใช้ในลักษณะให้ลาภ ก็ให้ควบกับคาถาเงินล้าน แล้วอาตมาก็มีสิทธิ์สร้างได้แค่นั้นแหละ ห้ามทำอีกแล้ว ใครมีก็โชคดีไป ตอนนี้รุ่น ๑ เหลืออยู่ ๔๗ องค์ รุ่น ๒ ยังเหลืออยู่ ๕-๖๐๐ องค์ ยังไง ๆ ก็ราคาเดียวกัน ๑๐,๐๐๐ ถ้วน ๆ กว่ามันจะรู้ว่าดีก็รอให้คนอื่นลือกันไปก่อนนะ
    เนี่ย... ผ้ายันต์ เมื่อซัก ๒ อาทิตย์ที่แล้วมามีคนบุกตามไปถึงที่วัดเลย จะตื้อเอาให้ได้ บอกว่าแจกเฉพาะที่นี่เท่านั้น ไล่เขากลับแล้วมันก็ตามมาเอาที่นี่ไปจนได้ เพราะว่าเพื่อนเขาได้ไปแล้ว ไปติดร้านเสริมสวยบอกว่าคนเข้าวันเป็นร้อยเลย เขาบอกว่าร้านเสริมสวย คนเข้าวันละ ๒๐ ก็ถือว่ามากแล้ว คราวนี้พอหมดสัญญาเช่ามันย้ายร้านแกะเอายันต์ไปด้วย เขาบอกคนก็หายเงียบไปเลย เลยตามไปดูว่ามันเป็นของที่ไหน พอเห็นวัดท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี มันตามไปถึงเลย ขับรถไปก็คร่ำครวญไป ทำไมมันไกลขนาดนี้ ไปถึงยังไม่ได้อีก ไล่กลับมาอย่างเลือดเย็นเลย บอกให้มาเอาที่นี่ เขาตามมาเอาจริง ๆ มันอยากได้มากขนาดนั้น คิดดูเราทำมาเพื่อการป้องกัน แต่อย่างว่าพุทธานุภาพ พุทโธอัปมาโน เขาบูชาด้วยความเคารพจริง ๆ ตั้งใจอธิษฐานขอให้เป็นเรื่องการทำมาหากินก็ยังได้
    แบบเดียวกับสมัยที่อยู่วัดท่าซุง พอหลวงพ่อทำมีดหมอชาตรีรุ่นแรก เราเองก็รู้ว่ามีดหมอป้องกันภัย รักษาโรค ติดตัวเป็นมหาอำนาจ ก็อยากจะลองดูว่าด้านลาภผลเป็นยังไง ตอนเช้าตั้งใจบูชาพระ หยิบมีดหมอมาอธิษฐาน ขอทดสอบดูหน่อยว่าด้านลาภผลเป็นยังไง วันนี้จะออกบิณฑบาตแล้ว ปรากฏว่าแทบตายเลย กับข้าวถุงอย่างเดียว ๔ เข่งใหญ่ ๆ บอกเลิกสงสัยไปเลย ขนาดด้านลาภที่ไม่ใช่เรื่องโดยตรง ยังขนาดนี้ แล้วเรื่องของการที่ประเภทป้องกันภัยรักษาโรคที่เป็นหน้าที่โดยตรงนี่ ไม่ต้องพูดถึงเลย ใครอยากลอง ลองเถอะ
    ถาม : มีดหมอทำไมต้องทำปลอกด้วย ?
    ตอบ: ควรจะทำปลอกไว้ เพราะว่ามีดหมอด้ามฤๅษี เขาไม่มีปลอกให้ แต่ว่าหลวงพ่อท่านตกลงกับท้าวมหาราชาว่า ถ้าใครชักมีดหมอออกจากฝัก แปลว่าต้องการความช่วยเหลือแล้ว ดังนั้นอย่าไปชักสุ่มสี่สุ่มห้า พอเย็นนั้นทำมีดหมอเสร็จ คงประมาณทุ่มครึ่ง ก็จะจัดจำหน่ายเดี๋ยวนั้นเลย เพราะว่ามีแค่ ๘๕๐ ด้าม ปรากฏว่ารุ่งขึ้น หลวงพ่อท่านฉันเช้าไปก็หัวเราะไป ท่านบอกว่าท้าวมหาราชท่านมาฟ้องว่าลูก ๆ ของหลวงพ่อ ชักมีดหมอเล่น ทำให้ท่านเตรียมพร้อมมาเก้อ ตกลงกันเลยนะว่าถ้าชักมีดหมอเมื่อไหร่ ท่านต้องเตรียมกองทัพเทวดาของท่านไว้เตรียมช่วยเหลือเลย มันเหมือนอย่างกับให้สัญญาณภัยไว้ในมือ มึงกริ๊งกูกริ๊ง เล่นเอาท่านวิ่งวุ่นไปเลย ปรากฏว่าไม่มีใครใช้ นอกจากมาชักดูด้วยความชื่นชม ของกูสวยอย่างนั้นของมึงสวยอย่างนี้
    หลวงพ่อบอกเสร็จเลย ไม่ค่อยมีใครกล้าชัก จะชักแต่ละทีก็ต้องบอกท่านก่อนว่าจะใช้งานอะไร หรือไม่ก็วันนี้เอามาทำความสะอาดนะครับ อย่าวิ่งเก้อ ต้องบอกท่านก่อนนะ ไม่งั้นยุ่งเลย เท่าที่เจอ ๆ มา คือ ไอ้พวกผีเข้า ถ้าพกมีดหมอหลวงพ่ออยู่ ไม่ทันได้ใช้หรอก เหยียบบันไดบ้านมันเผ่นหนีแล้ว
    ถาม : แล้วดาบฟ้าฟื้นล่ะครับ ?
    ตอบ: ก็แบบเดียวกัน ดาบฟ้าฟื้นนี้คือมีดหมอรุ่นแรกของท่าน
    ถาม : หายากสิครับ
    ตอบ: ก็หายาก ได้รุ่นหลังไว้พอแล้ว หลวงพ่อท่านบอกเลยว่า ของของท่านน่ะ จำไว้เลยว่าหารุ่นสุดท้ายไว้ให้ดีที่สุด เพราะว่าถ้าพระก็ดี พรหมก็ดี เทวดาก็ดีมาช่วยในการพุทธาภิเษกครั้งนี้ มีอานุภาพเท่าไหร่ ครั้งต่อไปจะไม่ต่ำกว่านี้ แต่ถ้ามีพิเศษเมื่อไร ท่านจะบอกเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นรุ่นสุดท้ายจะดีที่สุด เราอย่าไปหารุ่นแรกเลย หลวงพ่อท่านบอกเอาไว้อย่างนั้น ของอาตมา ถ้าพระกริ่งพิชัยสงคราม ก็หารุ่นสองเหอะ อย่าไปหารุ่นแรกเลย แต่ราคาเท่ากันซะแล้ว พวกตำรวจถือว่าอยู่ติดวัดคนละฝั่งน้ำเอง เราบอกว่าถ้าตะวันตกดินเมื่อไหร่ขึ้นราคา ก็ไม่เชื่อ พอรุ่งเช้ามาเจอองค์ละหมื่นร้องจ๊ากไปเลย สมน้ำหน้า
    มีอยู่รายหนึ่งวิ่งมาถึง อีก ๑๕นาที จะ ๖ โมงเย็น เอาไป ๓ องค์ บอกว่ายังไม่ ๖ โมงเย็นครับ ยังไม่ถือว่าตะวันตกดิน เออ...แล้วไป ให้ก็ได้ไอ้พวกตัดสินใจช้า มันต้องเจอของแพงให้เข็ด นี่ติดเอาไว้ในรถ ถึงเวลาต้องใช้เองด้วย มีติดตัวอยู่องค์หนึ่ง ติดรถอยู่องค์หนึ่ง เดี๋ยวหาว่าเราทำเองแล้วไม่ใช้เอง เรารู้ว่าดีเราต้องใช้เองด้วย
    ถาม : มีดหมอหลวงพ่อเดิมท่านสั่งไว้เหมือนหลวงพ่อรึเปล่า ?
    ตอบ: ลักษณะคล้าย ๆ กัน ว่าต้องลำบากจริง ๆ แต่ว่าของหลวงพ่อเรานี่จะมีสมเด็จคำข้าว สมเด็จคำข้าวนี่ท่านอนุญาตให้ว่า ภายในชีวิตหนึ่ง ขอได้ไม่เกิน ๓ ครั้ง จะต้องประเภทลำบากชนิดเลือดตากระเด็นจริง ๆ ท่านบอกให้หากุหลาบ ๓ สี คือ สีขาว สีเหลือง สีแดง อย่างละ ๑๐ ดอก จัดใส่แจกันบูชาพระตั้งพานปูผ้าขาว เอาสมเด็จคำข้าววางบูชาบนพาน หลังจากนั้นสวดอิติปิโสฯ บูชา เสร็จแล้วให้ภาวนาคาถาเงินล้าน ประมาณ ๑ ชั่วโมง ทำอย่างนี้ติดต่อกัน ๗ วัน แล้วต้องเปลี่ยนดอกไม้ทุกวันด้วยนะ พอวันสุดท้ายทำเรียบร้อยแล้วให้อธิษฐานขอในสิ่งที่ปรารถนา
    แต่ท่านบอกเอาไว้ว่า ถ้าไม่ถึงขนาดเลือดตากระเด็นจริง ๆ อย่าเพิ่งไปขอ เพราะโควตามีแค่ ๓ ครั้งเท่านั้น ไม่ใช่ว่ากูมี ๓๐ องค์ กูล่อซะ ๙๐ ครั้ง ๓๐ องค์ก็ ๓ ครั้งเหมือนกัน อาตมายังไม่เคยขอซักครั้ง รู้สึกคุณแสงชัยขอไปทีหนึ่งล่ะ
    ถาม : ได้มั้ย ?
    ตอบ: ได้ ทำไมไม่ได้
    ถาม : มีคนจะทำ แต่หาดอกไม้ไม่พอ
    ตอบ: นั่นแหละก็เลยพาอาตมาลำบากไปด้วย แต่อย่างน้อย ๆ เขาก็ทุกข์เบาลง เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าซื้อนะ ซื้อมาตุนไว้ก็ได้เลยมั้ง ซื้อมาตุนไว้ใส่ถุงพลาสติก แล้วก็แช่เอาไว้ในตู้เย็น คงจะไม่เหี่ยวหรอก ต้องใช้ ๗ วันติดกัน เดี๋ยวหาไม่ได้จะยุ่ง สีแดงหาได้เป็นปกติหรอก สีไหนหายากตุนไว้ก่อน ต้องทำ ๗ วันต่อเนื่องกัน ภาวนาคาถาเงินล้าน ภาวนาช้า ๆ ทำด้วยความเคารพต่อเนื่องประมาณ ๑ ชั่วโมง กี่จบช่างมัน ๗ วันติดกันเท่ากับว่าบังคับให้เราแลกด้วยความดีสูงสุดเลย ทาน ศีล ภาวนา
    ถาม : ต้องถือศีล ๘ มั้ย ?
    ตอบ: ทำอะไรก็ได้ ยิ่งประเภทบริสุทธิ์เท่าไหร่ ผลก็ยิ่งเกิดง่ายเท่านั้น เพราะฉะนั้นกรณีนี้ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ จำเอาไว้ก็พอ สั่งเสียลูกหลานต่อ ๆ ไป
    ถาม : แล้วพระหางหมากล่ะคะ ?
    ตอบ: ไม่ได้บอกไว้จ้ะ บอกไว้แต่สมเด็จคำข้าว แล้วอันนี้อาตมาเองไม่ได้ยินกับหู ได้ยินว่าท่านบอกที่สายลม ลูกศิษย์หลวงพ่อ ข่าวมันแพร่เร็ว ขนาดบอกอยู่ที่สายลมไม่กี่นาทีนี่ถึงอเมริกาแล้ว ก็เลยจำ ๆ เอาไว้ ไม่รู้คนอื่นเขายังจำหรือเปล่า ตอนแรกเราก็คิดว่า เรามีหลาย ๆ องค์ เราก็ขอองค์ละ ๓ ครั้ง ๆ ปรากฏว่าถ้าของ่ายขนาดนั้น ก็ไม่ขลัง มีกี่ล้านองค์ก็เอาไปเหอะแค่ ๓ ครั้งเหมือนกัน ๑ ชั่วโมง ไปช่วยกันทำ อธิษฐานให้หมดหนี้ กำหนดไว้ด้วยนะภายในเท่าไร ถ้าหากว่าไม่กำหนดนี่ยุ่งเลยหมดเหมือนกันนะ แต่อาจจะ ๑๐ ปีข้างหน้า
    ถาม : ถ้าอธิษฐานขอพระคำข้าว พระหางหมากเรื่อย ๆ โดยที่ไม่อยาก...(ไม่ชัด)
    ตอบ: อันนั้นไม่เกี่ยว โควตาปกติ ท่านบอกว่าขอได้ทุกวัน ขอได้ทุกวันอยู่แล้ว เรื่องเล็ก ๆ แต่เรื่องใหญ่ ๆ นี่ทั้งชีวิตแค่ ๓ ครั้งเท่านั้น เคยแนะนำคนไป ๒-๓ คน ไม่รู้ว่าเขาทำได้ผลรึเปล่า ? ไม่มารายงานเลย
    ถาม : (ไม่ชัด)
    ตอบ: มีสิทธิ์สงบ เรียบร้อย ถ้าอยากให้แขกสงบเรียบร้อย มีวิธีเดียวฝังมันไว้ใต้ดิน มันเป็นสันดานประจำเชื้อชาติ ถ้าพูดกันอย่างภาษาชาวบ้าน ๆ เขาบอกว่านิสัยพวกมันกวนตีนเป็นปกติ เพราะฉะนั้นอย่าไปหวังเลยว่า มันจะสงบเรียบร้อย ถึงคนอื่นสงบกับมัน มันก็ไม่สงบกับคนอื่นหรอก
    ถาม : แล้วเราต้องเตรียมตุนอะไรบ้าง ?
    ตอบ: เตรียมตุนอะไร ดูไปเรื่อย ๆ ก่อน เชื่อเหอะข้าวแกงจานละ ๑๐๐ ก็พอมีกิน ๕๐ ก็ให้มันมี บ้านเราเมืองเราสมัยสงครามโลกคนยังเซ็งลี้กันเป็นปกติ ประเภทว่ามีของ ๑ ชิ้น มาบอกขายให้ ๕๐ บาท ไอ้เราบอกขายต่อเดี๋ยวนั้นเลย ๖๐ บาท ไอ้โน่นไปขายต่อ ๗๐ บาท ไปเรื่อย ๆ อย่างงั้น กว่าจะย้อนกลับมาถึงคนแรก ก็เป็นอันว่าขายต่อไป ๑๐ กว่าเจ้าแล้ว ยังไม่เห็นของเลย เขาเรียกว่าเซ็งลี้ ยิ่งกว่าเล่นหุ้นอีก จับเสือมือเปล่าชัด ๆ เลย เล่นลงฝากขายกันต่อเป็นทอด ๆ
    ถาม : (การดูทิศปกติกับการดูเข็มทิศ)
    ตอบ: จริง ๆ แล้วคือดูลักษณะนี้ แต่ของเราถึงจะตะแคงจะเอียงขนาดไหนก็ตาม มันจะชี้ทิศของมันเป็นปกติ
    ถาม : (ไม่ชัด)
    ตอบ: ไอ้นี้มันทิศใต้ แต่ว่าอย่าลืมว่า ตรงกันข้ามที่มันชี้ก็คือทิศเหนือ วางแบบนี้ดูง่ายกว่า ถ้าเราตั้งขึ้นต้องนึกภาพว่ามันชี้ไปทางฝั่งโน้น มันไม่ชี้ตรงนี้ หมุนไอ้สีแดงตรงทิศเหนือแล้วก็เริ่มดูได้เลย ตรงข้ามคือทิศใต้ แค่นั้นเอง จริง ๆ แล้วต้องระดับนี้เพราะแกนโลกจะเอียง ๒๓ ๑/๒ องศา เพราะฉะนั้นเข็มทิศกับทิศจริงจะต่างกัน เข็มทิศจะชี้ตามกระแสแม่เหล็กโลก ก็คือมันชี้ทิศเหนือ-ใต้จริง ๆ แต่ว่าถ้าเราเปรียบเทียบกับตะวันออกตะวันตก จะเห็นว่าตะวันออก-ตะวันตก มันเพี้ยน เพราะว่าแกนโลกเราเอียง ๒๓ ๑/๒ องศา เพราะฉะนั้นถ้าหากจะเอาทิศจริง ๆ ไม่ได้ มันจะเพี้ยนหน่อย เราต้องเผื่อไว้ ๒๓ องศาครึ่งมันก็จะเป็นทิศจริง
    ถาม : หันเข็มแดงไปทาง ๒๓
    ตอบ: เข็มแดงเอาไว้ตรงเหนือนั่นแหละ แล้วปรับให้มันเพิ่มขึ้น ๒๓ องศาครึ่ง หรือไม่ก็แหงนมองตะวันง่ายที่สุด
    ถาม : ตะวันเคลื่อนได้ ?
    ตอบ: ก็เคลื่อนได้อยู่ อย่างหน้านี้มันเคลื่อนแล้ว เพราะแกนโลกเริ่มพลิกแล้ว ที่โบราณเรียกว่า ตะวันอ้อมข้าว ก่อนหน้านี้มันขึ้นมุมนี้ ตอนนี้มันขึ้นมุมนี้แล้ว ๒๓ องศาครึ่ง ถ้าจะเอาก็เอาเข็มทิศทหาร ขว้างหัวคนยังไม่เสียเลย แล้วมันมีดัชนีคงที่มีการล็อคได้ แล้วมีทั้งองศา มีทั้งมิลเลียม มิลเลียมจะละเอียดกว่าองศา คือว่าวงกลมจะมี ๓๖๐ องศา แต่มันจะมี ๗๒๐ มิลเลียม จะละเอียดกว่า ๑ เท่า ทหารเขานับเป็นมิลเลียม แล้วมีการหาเป้าหมายแล้วก็สกัดกลับ สกัดกลับคือพอเวลาเราไปถึงจุดนั้นแล้ว เราอยากรู้ว่าที่เดิมของเราอยู่เท่าไหร่ เราจะใช้สกัดกลับ สกัดกลับนี่ต้องหารครึ่ง คือว่า ๗๒๐ มิลเลียมก็จะเหลือ ๓๖๐ ถ้าหากว่าน้อยกว่า ๓๖๐ เอาไปลบ ๓๖๐ มันก็จะเป็นทิศที่เรากลับ แต่ถ้ามันเกิน ๓๖๐ ให้เอา ๓๖๐ บวกเข้าไป มันจะเป็นมุมสกัดกลับ เราจะต้องเดินตามองศานั้น มันถึงจะกลับที่เดิม
    ไอ้อันนี้อย่าไปรู้เลย ปวดกะโหลกเปล่า ๆ รู้แต่ว่าสามารถขอปืนใหญ่ลงกลางกะบาลตัวเองได้ ภูมิใจที่สุดเลย ผู้กองพิสัยบอก กูยังไม่เคยเจอใครทำได้อย่างมึง แผนที่เข็มทิศทั้งรุ่น เรียนรู้เรื่องอยู่คนเดียว เพราะคนอื่นเรียนไม่รู้เรื่อง มันจะมีช่อง ๑ ตารางเซนติเมตร แล้วต้องซอยออกเป็น ๑๐๐ ช่อง เพื่อที่เราจะอ่านให้ได้ตัวเลข ๖ หลัก จะได้รู้ว่าเป้าหมายปัจจุบันเราอยู่ที่ไหน ส่วนใหญ่เขาจะคำนวณได้แค่ใกล้เคียง เขาจะขอให้ปืนใหญ่ยิงลูกควันแตกอากาศ เพื่อจะได้ชี้จุดว่า ไอ้จุดที่เราอ่านน่ะมันอยู่ตรงไหน ใกล้เคียงถูกต้องแค่ไหน เพื่อเราจะได้รู้ที่หมายของเราว่าเราอยู่ตรงไหน ถ้าเขายิงลูกควันแตกอากาศปุ๊บ แล้วเราก็จะเช็คเอาจากกลุ่มนั้นพอดี
    ของอาตมาไม่ต้องเช็ค กลางกะบาลพอดี อาจารย์ภูมิใจมาก กูไม่เคยเจอใครทำได้อย่างมึงเลย ของเราก็ฟลุคมาก ไม่นึกว่าจะอ่านได้ขนาดนั้น ร้อยเอกพิสัย สมบัติเปี่ยม เป็นอาจารย์สอนอีกคนหนึ่ง ร้อยเอกจักรรัตน์ กลัสสุขวัฒน์ รุ่นนี้ปัจจุบันก็น่าจะอยู่ระดับพลตรีหมดแล้วเป็นอย่างน้อย
    [​IMG]
     
  2. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#fefefe background=images/glass.gif width="100%"><TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center><TBODY><TR><TD>
    ช่วงแรกของเล่ม "มิงกะละบา เมียนมาร์" สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนธันวาคม ๒๕๔๕(ต่อ)
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    ถาม: ................................................
    ตอบ: แล้วมาปี ๒๕๓๗ ปีที่ได้พระยาไชยมงคลมาด้วย ในหลวงก็เสด็จเปิดสะพานมิตรภาพแล้วข้ามไปค้างฝั่งลาวด้วย ไปทำโครงการพระราชดำริห้วยซอนห้วยซั่วนั่นน่ะทางฝั่งลาว
    ลาวสมัยที่เป็นอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ ที่พระยาศรีโคตรบูรณ์ครองเมืองลาวอยู่ คราวนี้ในสมัยที่พระยาศรีโคตรบองแกครองอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์อยู่น่ะ แกเป็นผู้ได้อภิญญาก็เลยประเภทที่เรียกว่าอยู่ยงคงกระพัน ใครก็ฆ่าไม่ได้ บรรดาศัตรูของอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ก็เลยช่วยกัน ติดสินบนคนข้างในให้ช่วยจัดการที ถึงขนาดเสียสละลูกสาวเข้าไปเพื่อให้เป็นเมีย จะได้รู้ว่ามีจุดอ่อนที่ไหน ก็อย่างว่านั่นแหละ พอเจอมารยา ๕๐๐ เล่มเกวียนเข้าก็เผลอบอก บอกว่ามีจุดอ่อนอยู่อย่างเดียวคือเวลานั่งถ่าย ถ้าใครเอาหอกสวนขึ้นมาก็ตาย
    สมัยก่อนที่นั่งถ่ายเขาทำเป็นเล้าสูงขึ้นไป แล้วก็จะมีที่กั้นล้อมอยู่ประมาณแค่อกแค่คอ แล้วข้างล่างเขาจะขุดเป็นหลุมอยู่ คราวนี้พอเขารู้อย่างนั้น ก็แอบไปตอนเช้ามืดที่เขาไปถ่าย ก็เอาหอกแทงสวนขึ้นไป ก่อนแกจะตายแกก็เลยสาปเอาไว้ว่า แกเองไม่เคยทำผิดคิดร้ายกะใคร ในเมื่อคนอื่นปองร้ายแกอย่างนี้ ถึงได้อาณาจักรนี้ไปจากแกก็ตาม จะหาความเจริญไม่ได้จนกว่าจะมีช้างเผือก หินฟู งูใหญ่ และพระราชาเป็นธรรมิกราชมาเหยียบแผ่นดินถึงจะเจริญได้
    มาคราวนี้ช้างเผือกแกได้แล้ว ๒ ตัว หินฟู หินลอยน้ำนี่เขาบอกว่าสะพานมิตรภาพนี่แหละ มันลอยข้ามโขงไปเลย งูใหญ่ก็คือถนน เลื้อยไปถึงไหน กินคนที่นั่นเขาว่า คราวนี้ก็เหลืออยู่อย่างเดียว พระราชาผู้เป็นธรรมิกราช ก็อย่าลืมว่าในหลวงของเราไม่ได้ออกไปต่างประเทศมา ๒๗ ปีเต็ม ๆ แล้ว ยอมข้ามไปลาวแล้วค้างคืนด้วย ตอนนั้นเสาวรสบอกว่าถ่ายรูปหมดเป็นม้วนเลย วิ่งไปหน้าเป็นอยู่ใกล้ ๆ แล้ว ให้เพื่อนถ่ายไปเรื่อย นาน ๆ ได้อยู่ใกล้ชิดพระยุคคลบาทซะที เพราะว่าฝั่งโน้นก็มีแต่ลาว ฝั่งของเรานอกจากข้าราชบริพารแล้วก็มีแต่นักข่าว มันไม่น่าหมั่นไส้เหมือนตอนอยู่ฝั่งไทย เขาก็เลยถ่ายมันซะหมดไปหลายม้วนเลย เขาบอกว่าถ้าได้ช้างเผือก หินฟู งูใหญ่ และพระราชาผู้เป็นธรรมิกราชมาเหยียบแผ่นดิน ลาวถึงจะเริ่มเจริญขึ้นได้ ตอนนี้ก็เริ่มแล้ว ลาวเป็นคอมมิวนิสต์พิลึกพิลั่น เป็นคอมมิวนิสต์ที่ใส่บาตรกันทุกวัน เป็นคอมมิวนิสต์ที่ประเภทรักเชื้อพระวงศ์เป็นอย่างมาก
    ตอนนี้ลาวจะทูลเชิญสมเด็จพระเทพฯ ไปเป็นปกติเลย เอะอะก็แม่นางเทพ แม่นางเทพใช่มั้ย ? ส่วนอีกตัวหนึ่งก็เพิ่งไปเจอที่ย่างกุ้งมาเมื่อต้นปี ช้างเผือกตัวนี้ได้มาจากยะไข่อายุประมาณ ๕ ปี ที่ถ่ายรูปมาที่ให้น้องเล็กเขาไปซีร็อกซ์นั่นแหละ เห็นสวยขนาดนั้นมั้ยล่ะ หายากนะ ตาแดงไปด้วย คือว่าถ้าดูลักษณะแล้วถึงเขาจะไม่เป็นช้างเผือก ลักษณะก็งามกว่าปกติอยู่แล้วนะ อ้วนท้วนสมบูรณ์เลย แต่ว่ามันทรมานสัตว์มากเกินไป ย่างกุ้งร้อนจะตับแตก ในเมื่อย่างกุ้งร้อนจะตับแตก มันดันเอาช้างไปอยู่กลางโรง แล้วก็อยู่กลางแจ้งด้วย ไม่มีน้ำคอยฉีดให้ ทรมานเขาจริง ๆ ไอ้เราเองก็ไม่รู้จะร้อนยังไง ได้แต่ปลงอนิจจัง ถึงจะมีวาสนาบารมีเสวยชาติขนาดนั้นแล้วต้องไปตากแดดอยู่ทั้งวันตูก็ไม่เอาละวะ
    เสร็จแล้วรู้สึกว่ายังไง ประเทศเฮง ๆ ซวย ๆ ในสายตาเราเขามีของดี๊ดี อย่าลืมว่าของเขาแต่ละคน เขามีคนดี มีคนสร้างบุญบารมีมาเหมือนกัน ถึงวาระถึงเวลาของสิ่งที่สมควรเป็นของคู่บารมีคู่แผ่นดินของเขาก็ปรากฏขึ้น ของเรานี่เดี๋ยวรอปลายรัชกาลที่ ๙ ต้นรัชกาลที่ ๑๐ สารพัดของดี ๆ มันก็จะประดังกันมาเอง ถึงเวลานั้นประเภทต่างประเทศนี้ ประเทศไหนประเทศนั้นแหละ คงหาขนตาไม่ค่อยได้หรอก อิจฉาตาร้อนขนตาไหม้หมด ตอนนี้ให้เขาไปก่อน ของที่ดีมากให้เขาไปก่อน เดี๋ยวของดีมากกว่าถึงดีมากที่สุดแล้วเราค่อยเอา ในชีวิตถ้าหากว่าเผลอ ๆ ไปเจอไอ้ประเภทช้างสีทองผ่องอร่ามมาเลย เราคงคิดว่าเขาพ่นสีมา มันมีจริง ๆ
    ตอนแรกเราก็ได้ยินแต่พระยาฉัตทันต์ พระยาฉัตทันต์ พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติใช่มั้ย ? แต่ปรากฏว่าว่าตระกูลฉัตทันต์นั่นน่ะ สีขาวผ่องเหมือนแผ่นเงิน แล้วแผ่นเงินมันไม่ใช่ขาวอย่างเดียว แต่ว่าตระกูลที่สูงกว่าคือ อุโบสถหัตถี อุโบสถหัตถีสีกายเหมือนทองคำ ถัดมาก็ฉัตทันต์หัตถีสีขาวเหมือนแผ่นเงิน ไล่ลงไปเรื่อย เรื่อย ๆ สีขาวนี่ยังมีปัณฑรหัตถี ปัณฑรหัตถีเขาอบกว่า สีเหมือนอย่างกะดอกบัวขาว หรือเหมือนสังข์ขัดตามพหัตถี สีเหมือนทองแดง คังไคยหัตถี ปิงคลหัตถี กาฬวะกะหัตถี กาฬวะกะหัตถีนี่ดำเหมือนนิล
    ถ้าเราดูช้างในปัจจุบันดูง่าย ตัวไหนที่ล่ำสันสูงใหญ่ ถ้าเปรียบกับตัวอื่นแล้วเรารู้สึกว่าขาเขาสั้น ขาเขาอ้วน ๆ สั้น ๆ นะ อันนั้นเลือกไว้ได้เลย นั่นแหละช้างที่มีกำลังมหาศาลจริง ๆ ช้างที่เรารู้สึกว่าถึงเขาตัวใหญ่ แต่มันสูงเพรียวเหมือนกับคนขายาว กำลังจะน้อยมันปะทะกันเมื่อไหร่ให้ ๓ ต่อ ๑ เลย เพราะฉะนั้นช้างประมาณ ๑๐๐ เชือกนี่ จะหาลักษณะที่ว่านี้ชัก ๑๐ ก็ยาก ส่วนใหญ่จะเป็นพวกขายาว ดูง่าย ไม่ต้องดูอะไรมากหรอก ดูหุ่นแค่นั้นพอ ประเภทอ้วน ๆ ล่ำ ๆ เหมือนอย่างกะคนมะขามข้อเดียว รีบเลือกไว้เลย นั่นน่ะดีแน่ล่ะ แล้วค่อยไปดูอย่างอื่น อย่างเช่นว่าลักษณะเป็นยังไง หูตาเป็นยังไง หางเป็นยังไง ที่ศูนย์อนุรักษ์ช้างลำปางเขามีวิธีผ่าจ้าน
    ผ่าจ้านก็คือแยกลูกช้างออกจากแม่ช้าง เพื่อเอามาฝึกหัด แล้วก็ไปโดนพวก N.G.O. มันว่าข้อหาทารุณสัตว์ใช่มั้ย ? พิธีกรรมนี่มันเป็นภูมิปัญญาชาวพื้นบ้านมาเลยนะ พิธีผ่าจ้านเนี่ย เขาจะมีการประเภทปลุกเสกแล้วก็จะตัดไม้ไผ่มาจักตอก พอถึงเวลาเสร็จพิธีแล้วก็ฉีกไม้ไผ่ออกเป็น ๒ ซีก ทำให้ความสัมพันธ์ของความเป็นแม่ลูกมันขาดกันไปเลย ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่มันเป็นน่ะ เป็นจริง ๆ แล้วไม้นั่นน่ะ อย่าเอาเข้ามาในบ้านเชียวนะ รับรองได้ว่าแตกยับเยินกันทั้งบ้านเลย มันอาถรรพ์ถึงขนาดนั้น
    เพราะงั้นเวลาผ่าจ้านเสร็จแล้วเขาจะเอาไม้ไปทิ้งไว้ในป่าลึก กลัวคนที่มันไม่รู้ไปเก็บเข้าบ้านไป แล้วมาปัจจุบัน เขาว่าไปโดนข้อหาทารุณช้างเข้า ตัวเอย่างมันเห็น ๆ ก็คือแม่ช้าง ลูกช้างจริง ๆ มันรักกันจะขาดใจ พอทำพิธีเสร็จเรียบร้อยแม่เหมือนกับลืมลูกไปเลย ลูกขอแม่ก็ไม่สนใจ เพื่อที่ว่าจะได้ฝึกมันได้ง่าย
    เพราะฉะนั้นเรื่องอย่างนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ไสยศาสตร์มีจริงนะ ไม่งั้นตั้งแต่โบราณจนปัจจุบันของเรามา ของเราอาศัยช้างมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการชักลากซุง ช่วยในการทำมาหากิน ก็ดี เป็นพาหนะเดินทางก็ดี ถึงขนาดออกศึกออกสงคราม ขนาดทางจีนเขาบันทึกไว้เขาเรียกคนไทยว่าพระเจ้าช้างเผือก
    ถาม : สมาธิหมุนคืออะไร
    ตอบ: สมาธิหมุนก็คือ อาณาปานสติธรรมดานี่เอง เพียงแต่ว่าเอาสติไปเร่งจังหวะให้มันเร็วขึ้น เร็วขึ้น ๆ เท่านั้น
    ถาม : นอนภาวนาครึ่งหลับครึ่งตื่น รู้สึกว่าตัวเหวี่ยงเร็วมาก แล้วนึกว่าให้มันช้าลง ๆ
    ตอบ: เสียดาย ถ้าหากว่าปล่อยตอนนั้นนี่ ถ้ามันเต็มที่มันจะหลุดไปเป็นมโนฯเต็มกำลังเลย จะเรียกว่าสมาธิหมุนก็ได้
    ถาม : วัดเทพนิมิต ศาลายา เอาเทปหลวงพ่อวัดท่าซุงไปเปิดก่อนกรรมฐาน แปลกใจ ?
    ตอบ: ก็มีสิทธิ์นี่นา เขาเคารพหลวงพ่อ เขาฝึกตามแบบหลวงพ่อเขาสอนได้อยู่แล้ว เราไม่ได้เติม ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์ แถวนครปฐมก็หลายวัด
    ถาม : (ไม่ชัด)
    ตอบ: ทำให้มันต่อเนื่อง ถ้าสภาพจิตมันสืบเนื่องกันตลอด อารมณ์ใจเป็นสมาธิทรงตัวอยู่ไม่...มาก แค่ระดับปฐมฌานเท่านั้น ของเราที่ทำมันทำ ๆ ทิ้ง ๆ พอทิ้งเมื่อไหร่ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ก็กำเริบ แล้วถึงเวลามาปล้ำมัน จะให้มันลงใหม่ มันก็ยาก ต้องทำต่อเนื่องตลอด ทุกลมหายใจเข้า - ออกได้ยิ่งดี
    ถาม : ถ้าดูตรงอนัตตาก่อนความสกปรก... ?
    ตอบ: ถ้าหากว่าทำอย่างนั้นได้ ไม่จำเป็นต้องกายคตาฯ หรอก อะไรก็ได้ให้เห็นว่าทุกอย่างมันตาย มันพังหมด แล้วให้มันเห็นจริง ๆ สภาพจิตยอมรับ มันไม่ต้องเสียเวลาไปดูว่ามันสกปรกมั้ย แล้วกำลังใจมันเกินขึ้นไป แล้วมันยอมรับตลอดมั้ยล่ะ หรือยอมรับแป๊บเดียวเอง ทำได้แค่เพียงแต่ว่ามันยอมรับได้นานเท่าไหร่ บุคคลที่จะเป็นพระอรหันต์ทุกองค์ต้องผ่านกายคตานุสติ ไม่ผ่านไปไม่รอด เพราะอย่างน้อย ๆ ก็หากว่าปล่อยวางมันไม่ได้ ก็ต้องเบื่อมันให้ได้
    ถาม : พระอรหันต์มีอารมณ์เบื่อ ๆ ?
    ตอบ: ก็หากว่าเป็นพระอรหันต์ ท่านก็ไม่รู้จะเบื่ออะไร อารมณ์เบื่อมันเป็นของพระตั้งแต่ปุถุชน หรือว่าคนทั่ว ๆ ไปขึ้นไปจนถึงพระอนาคามี พระอนาคามีท่านเบื่อในร่างกาย เบื่อภาระต่าง ๆ ที่มันผูกพันอยู่ พอถึงเวลาท่านก็สลัดหลุดมันไปเลย อนาคาคือผู้ไร้บ้านเรือน ไม่เอาอย่างอื่นแล้ว ของพระอรหันต์ท่านอยู่สุขในธรรม มีธรรมเป็นสุขวิหาร หาความเบื่อไม่ได้ มีแต่ความสุขโดยส่วนเดียว ความทุกข์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นท่านเห็นเป็นธรรมดา ไม่ไปต่อต้านมัน อะไรที่สามารถบรรเทาได้ก็รักษาดูแลเพื่อให้มันบรรเทาให้ทุกข์น้อยลง ถ้าดูแลรักษาแล้ว ไม่สามารถจะทำให้มันดีขึ้นได้ ท่านก็ยอมรับว่ามันเป็นกฎของกรรม ยอมรับสภาพธรรมดาของมัน ไม่ฝืนมัน ท่านก็มีความสุข
    ถาม : คนหนึ่งเข้าวัด อีกคนหนึ่งไม่เข้าวัด ?
    ตอบ: อยู่กันยากจ้ะ พระพุทธเจ้าท่านบอกเอาไว้ชัดเลยว่าบุคคลที่เป็นเนื้อคู่กัน ต้องมีทานเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน อันใดอันหนึ่งบกพร่องก็รังแต่จะขัดกัน แล้วเกิดการทะเลาะเบาะแว้ง ถ้าขัดกันมาก็คงต้องเลิกรากันไป ทาน ศีล ภาวนา ต้องเสมอกัน คงจะยากนะ ตัดใจบวชชีเสียเถอะลูก เดี๋ยวนี้เขาส่งหาคู่ทางอินเตอร์เน็ตไม่ใช่เหรอ เฮ้อ...ไอ้การแต่งงานน่ะลูก มันเหมือนกะซื้อหวยแล้วหวังรางวัลที่ ๑ แต่ละงวด ๆ มันพิมพ์มากี่สิบกี่ร้อยล้านก็ไม่รู้ แล้วมันก็มีรางวัลที่ ๑ อยู่รางวัลเดียวอย่างนี้ ลำบากจ้ะ
    เอกายโน อะยัง ภิกขเว มัคโค สัตตานัง วิสุทธิยา พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า เป็นหนทางของคนเดียว สามารถนำพาสัตว์เข้าถึงความบริสุทธิ์ สองคนก็ไม่ใช่ โสกะปริเทวานัง สมติกะมายะ สามารถล่วงพ้นความทุกข์โศกทั้งหลายได้ ทุกขโทมนัส สานัง อัตถังคะมายะ ล่วงพ้นความทุกข์ความเศร้าเสียใจได้ ยายัสสะ อธิคะมายะ ธรรมทั้งหลายก็เจริญ จัตตาโร สติปัฏฐานา อันนี้เรียกว่า สติปัฏฐานทั้ง ๔ กตะมาจัตตาโร ๔ อย่างมีอะไรบ้าง อิธะ ภิกขเว ดังนี้ ภิกษุทั้งหลาย กาเย กายานุปัสสี วิหรติ ท่านให้พิจารณากายในกาย ว่าต่อไม่ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูบรรลุ
    ธรรมดาของการเกิดมา ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นสมบัติประจำร่างกายนี่ เมื่อเราอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ มันต้องมีเป็นปกติธรรมดา เพียงแต่ว่ามันอยากมี ก็ให้มันมีไป เราไม่ไปใส่ใจกับมันก็หมดเรื่อง รัก โลภ โกรธ หลง ถ้าหากว่าเราไปนึกคิดปรุงแต่งกับมัน มันก็จะสนุกสนานไปใหญ่โตเลย ถ้าเราไม่ไปนึกคิดปรุงแต่งกับมัน ก็เหมือนกับก๋วยเตี๋ยวปรุงใส่น้ำเปล่า ๆ ไม่มีชูรส ไม่มีน้ำปลา ไม่มีน้ำส้ม ไม่มีพริกขึ้นมา มันไปไม่รอดหรอก จืดสนิท ตายแหงแก๋ สำคัญตรงที่ว่าเราอย่าเผลอไปร่วมมือกับมัน ถ้าเผลอไปร่วมมือกับมัน ตัวจิตสังขาร คือตัวปรุงแต่ง มันก็ปรุงไปเรื่อย ต้องหล่ออย่างนั้น ต้องสวยอย่างนี้ไปเรื่อยเปื่อย ก็ทำให้ราคะ โลภะ โทสะ โมหะกำเริบ
    ถ้าเราหยุดอยู่กับการภาวนา หยุดอยู่กับลมหายใจเข้าออก ไม่ปล่อยให้จิตเคลื่อนไปในอดีต แล้วก็ไม่ให้ไปในอนาคต หยุดอยู่เฉพาะหน้า เป็นอันว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทำอันตรายเราไม่ได้ เพราะงั้นอย่าเผลอไปร่วมมือกับมัน ร่วมมือกับมันเมื่อไร ก็มีแต่จะพาให้เราทุกข์ แค่รักเขาก็ทุกข์แล้วเห็นเขาว่า ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ เริ่มรักก็เริ่มหลง พอหลงแล้วก็หวาดระแวง พอหวาดระแวง คราวนี้ก็ชักจะกินไม่ได้ นอนไม่หลับ มันไปของมันเรื่อยแหละ เพราะงั้นต้องระวังให้ดี รักษาไว้ให้ดี ไม่มีใครรักเราเท่ากับตัวเราเอง คนไหนมันบอกว่ามันรักเรามาก ขาดเราไม่ได้ ให้มายืนคู่กัน แล้วเราเอาถ่านร้อน ๆ แดง ๆ วางบนหัวมันพร้อมกันดูสิ จะปัดของใครก่อน ถ้ารักคนอื่นมาก ต้องปัดให้คนอื่นก่อน เห็นปัดให้ตัวเองทุกทีเลย ลองดูมั้ย ? มาถึงก็ถ่านแดง ๆ คนละก้อน หย่อนใส่หัวมัน เธอรักฉันมาก เธอต้องปัดให้ฉันก่อน ไม่มีซะหรอก ปัดของมันเองก่อน
    ในเมื่อเรารักตัวของเราเอง ก็ให้รักในทางที่ถูก เมตตา...ตัวของเราเอง ก็อย่าทำชั่ว เพราะว่าการทำชั่ว พาให้เราตกสู่อบายภูมิ ต้องเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน ทนทุกข์ทรมานนับชาติไม่ถ้วน ถ้าหากว่ารักตัวเอง ให้ตั้งใจปฏิบัติ ทาน ศีล ภาวนา ให้มากไว้ ถึงเวลาตัวเองจะได้รับแต่ผลดี หลวงปู่มหาอำพันท่านว่า รักษาตัวกลัวกรรมอย่าทำชั่ว จะหมองมัวหม่นไหม้ไปเมืองผี จงเลือกทำแต่กรรมที่ดีดี จะได้มีความสุขพ้นทุกข์ภัย
    อยู่ใกล้พ่อก็ดีขึ้นมาจึ๋ง ห่างอีกก็ไปยาว เอาเหอะอย่างน้อย ๆ มันก็ยังมีอยู่บ้าง อย่าให้ตลอดชีวิต ๓๐ กว่าปีมันเลวซะหมดละกัน
    การที่คนเราจะรักกัน จะแต่งงานแต่งการอยู่กินเป็นคู่ครองกัน พระพุทธเจ้าบอกว่าเกิดจากสาเหตุ ๒ ประเภทด้วยกัน ประการที่หนึ่งเรียกว่า บุพเพสันนิวาส บุพพะ บุพเพแต่ปางก่อน สันนิวาสการอยู่ร่วม การอยู่ร่วมกันมาแต่ปางก่อน แสดงว่าเคยเป็นคู่กันมา ท่านทั้งหลายเหล่านี้ถ้าเกิดเป็นคู่กันมาหลายชาติหลายภพ ถ้าเจอหน้ากันมันหลีกไม่พ้น ประเภทเห็นปุ๊บ ปิ๊งเลย ที่วัยรุ่นสมัยนี้เขาว่าอะไร ใช่เลย ไม่ของมันน่ะ ใช่แล้วเลย ส่วนใหญ่มันใช่ไม่จริง เพราะว่าคนเราไม่ได้เกิดชาติเดียว แต่ละชาติแต่ละภพเกิดมาก็ไม่ใช่หมายความว่าจะเจอคนเดิมตลอดไป เพราะฉะนั้นมันก็จะมีใช่เลย ใช่เลย ๆ ไปเรื่อย ๆ ระวังเอาไว้ให้ดี คนเราถ้าไม่มีศีลควบคุมก็จะใช่ไปเรื่อย ยิ่งใช่มากเท่าไรก็ลงนรกไปมากเท่านั้น
    ส่วนอีกอย่างหนึ่งท่านว่าเกิดจากการเกื้อกูลกันในปัจจุบัน จนเห็นอกเห็นใจกัน ดังนั้นไม่ใช่หมายความว่า ถ้าไม่ใช่เนื้อคู่ คือไม่ใช่บุพเพสันนิวาสแต่ปางก่อน แล้วจะแต่งกันไม่ได้ เสร็จแล้วการแต่งงานกันไปมันก็ต้องลดทิฐิมานะลง ต่างคนต่างต้องฟังอีกฝ่ายหนึ่ง เพราะตอนนี้มันเป็นสภาพครอบครัวแล้ว ไม่ใช่ตัวคนเดียว เราจะเคยทำอะไรก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ ตอนนี้มันแบกขันธ์ ๕ ขึ้นมาเป็นขันธ์ ๑๐ แล้วนี่ ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ของตัวเอง คนเดียวมันก็แย่แล้ว ไปหาเข้ามาขันธ์ ๑๐ คราวนี่แย่ตรงที่ว่าก่อนนี้ ถึงเวลากิน เราไม่กินก็ได้ คราวนี้ถึงเวลากินขึ้นมา นี่เราไม่กิน มันได้อยู่ แต่เขาไม่กินไม่ได้เพราะเขาหิวแล้ว มันก็ต้องทุกข์ในการหามาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเขาเพิ่มอีกคนหนึ่ง มีลูกขึ้นมาก็เป็นขันธ์ ๑๕ มี ๒ ลูกก็ขันธ์ ๒๐ มีแต่จะทุกข์หนักขึ้นไปเรื่อย ๆ บรรดาเทวดาจ้อย นางฟ้าจิ๋ว นี่มันเจ้านายใหญ่ ถึงเวลาพ่อเจ้าประคุณ แม่เจ้าประคุณจะเอายังไงก็แหกปากจ๊ากจึ้นมา ก็ต้องตามใจ ไม่ตามใจก็เสร็จ เพราะว่าเขามีการร้องไห้เป็นกำลัง ผู้หญิงมีน้ำตาเป็นกำลังใช่มั้ย ? ถ้าหากว่าถึงเวลาความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้มันมีแต่จะพอกพูนเพิ่มขึ้น ๆ แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ
    พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า การกินหนึ่ง การนอนหนึ่ง การเสพกามหนึ่ง การเสวยอำนาจหนึ่ง บุคคลจะไม่มีวันเบื่อเด็ดขาด ยกเว้นผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสาร พยายามหลีกหนีมันให้ได้เท่านั้น การมีเนื้อคู่ถือว่าเป็นการเสพกามใช่มั้ย ? เพราะฉะนั้นการกิน การนอน การเสพกาม การเสวยอำนาจอยู่ คนจะไม่เบื่อ มีอยู่อย่างเดียวก็คือว่า พยายามหลีกหนีมัน เพราะเห็นโทษเห็นภัย ก็ลองคิดดูว่าเราอยู่คนเดียวสบายละ เหนื่อยจากงานมานอนแผ่หลาไม่อาบน้ำก็ได้ ไม่กินข้าวก็ได้
    คราวนี้กลับมาบ้าน เจ้านายใหญ่นั่งรอยอยู่ ต่างคนต่างเหนื่อยมา แทนที่จะช่วยเราไม่มีหรอก รอเราช่วยอย่างเดียว มันแทนที่จะทุกข์คนเดียวก็เลยทุกข์หนักขึ้น แล้วอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าหากว่าวันไหนเหนื่อยมาก ๆ แล้ว สติแตกกลับมาแทนที่เราจะช่วยกัน เปล่าหรอก นั่งเต๊ะจุ๊ยอ่านหนังสือพิมพ์รอเราทำกับข้าว โอ๊ยแทบจะขาดใจ มาจากที่โน่น มาถึงจะสลบเหมือด ก็ต้องมาเจอเจ้านายใหญ่อีก ไม่เป็นไรจ้ะ ค่อย ๆ ดูไป อนุญาตให้ลอง ทดลองแล้วไปไม่รอดแล้วค่อยว่ากัน
    หลายคนเขาบอกว่า แต่งงานเพราะถึงเวลาแก่ตัวไปจะได้มีคนดูแล ฝันไปเถอะ แก่ตัวไปแล้วล้วนแล้วแต่มีคนให้เราดูแล ฟังให้ดี ๆ ไม่ใช่แก่ตัวไปจะได้มีคนดูแล แก่ตัวไปจะได้มีคนให้เราดูแล แต่งไปไม่ต้องฝันหรอกว่ามันจะดูแลเรา รับรองได้รายไหนรายนั้น แล้วต้องไปดูแลเขาทั้งนั้น
    สมัยก่อนหมวยนี้ไปกับหลวงพ่อบ่อย ๆ เขาก็ซึมซับเอาสิ่งต่าง ๆ ที่หลวงพ่อพาไป ไม่ว่าจะเป็นทาน ศีล ภาวนา รับเข้าไป ๆ บวกกับการปฏิบัติของตัวเอง เขาตั้งใจว่าไม่แต่งงาน ทางบ้านพ่อเอย แม่เอย อากู๋ อากิ๋มอะไรให้ยุ่งไปหมด พยายามจะแงะให้แต่งให้ได้ แกก็ฝืนมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ มีแต่คนเปลี่ยนความคิดละ พูดว่าเป็นหมวยนี้ก็สบายจังเลยเนอะ มันชักเห็นทุกข์แล้วตอนก่อนนี้ล้วนแต่ว่าทุกข์น่ะดี มีครอบครัวไหนบ้างที่ไม่ทะเลาะกัน ถามจริง ๆ หนูเคยเห็นมั้ย ? ดีแสนดีมันต้องมีวันผีเข้าซักวันหนึ่ง
    อยู่คนเดียวเปลี่ยวกายแสนสบายแต่ไม่สนุก อยู่สองครองทุกข์ถึงสนุกก็ไม่สบาย เลือกเอาก็แล้วกัน
    พระเจ้าฑีฆีติโกศล ตรัสกับฑีฆาวุกุมารว่ารักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ เพราะฉะนั้นถ้าเห็นแก่อนาคตอันยืดยาวเบื้องหน้า อยากจะไปดี รักในการปฏิบัติธรรม เพื่อความหลุดพ้นจริง ๆ ก็รีบ ๆ ตัดกรรมซะ รักยาวให้บั่น ถ้าเห็นแก่ความสุขเฉพาะหน้าในระยะสั้น ๆ รักสั้นให้ต่อ สร้างกรรมต่อไปไม่มีใครว่า พระเจ้าฑีฆีติโกศลโดนพระเจ้าอชาตศัตรูบุกแคว้นโกศลน่ะ จับได้ไปประหารชีวิต เพื่อยึดเอาแว่นแคว้นมาเป็นของตัว ฑีฆาวุกุมารซึ่งเป็นลูกชายหลบไปได้ ถึงเวลาเขาประหารชีวิตก็ย่องมาดู พ่อก็รู้ว่าลูกชายต้องอยู่แถว ๆ นั้นก็เลยตะโกนบอก รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ คนอื่นฟังไม่เข้าใจ แต่ฑีฆาวุกุมารฟังแล้วเข้าใจเลย
    คราวนี้ก็พยายามไปร่ำเรียนวิชาศิลปะศาสตร์อะไรต่าง ๆ นานา จนกระทั่งเติบใหญ่ขึ้นมาก็ไปสมัครเป็นข้าราชบริพารในสำนักพระเจ้าอชาตศัตรู จะได้หาโอกาสฆ่าพระเจ้าอชาตศัตรูเพื่อล้างแค้นให้พ่อ มีอยู่วันหนึ่งพระเจ้าอชาตศัตรูออกเสด็จประพาสป่าพร้อมด้วยข้าราชบริพาร ฑีฆาวุกุมารตอนนั้นเป็นมหาดเล็กตัวโปรด ก็ทำหน้าที่สารถีขับรถให้ ฑีฆาวุกุมารก็แกล้งให้ม้ามันตกใจ วิ่งเตลิดเปิดเปิงจะได้ทิ้งพวกข้าราชบริพารให้ไกล ๆ จนกระทั่งเตลิดเข้าไปในป่าลึก พระเจ้าอชาตศัตรูเหนื่อยเต็มที่ ก็บอกพักก่อนเถอะ เราไม่ไหวแล้ว ฑีฆาวุกุมารก็พัก พระเจ้าอชาตศัตรูก็หนุนตักฑีฆาวุกุมารก็หลับเหนื่อย พระเจ้าแผ่นดินไม่ใช่ว่าประเภทได้มาออกกำลังหนักหนาอย่างเรา ฑีฆาวุกุมารเห็นได้โอกาสก็เลยชักมีดสั้นที่ซ่อนไว้ จะจ้วงซะให้เต็ม ๆ ก็นึกถึงคำพูดของพ่อว่า รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ ก็ลดมีดลง พอขยับจะแทงอีก นึกได้ก็ลดมีดลง ๓ ครั้งด้วยกัน พระเจ้าอชาตศัตรูลืมตาขึ้นมาจ๊ะเอ๋เข้าพอดีก็ตกใจ ร้องขอชีวิต ถามฑีฆาวุกุมารว่าเป็นใคร ฑีฆาวุกุมารก็เล่าให้ฟังว่าเป็นลูกของพระเจ้าฑีฆีติโกศล พระเจ้าอชาตศัตรูก็สำนึกได้ว่า ตัวเองไม่ควรที่จะไปแย่งบ้านชิงเมืองคนอื่นเขาถึงขนาดนั้น ทำให้เดือดร้อนกันไปหมด ฑีฆาวุกุมารก็บอกว่าไม่ต้องกลัวหรอก ตอนนี้เชื่อในสิ่งที่พ่อบอก ก็ให้อภัยพระเจ้าอชาตศัตรูแล้วแต่ว่าต่อไปจะไม่อยู่รับราชการ เพราะการอยู่ใกล้พระราชาเหมือนกับการอยู่ใกล้เสือหรือไฟ จะโดนเสือกัด โดนไฟไหม้เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ จะขอลาออก พระเจ้าอชาตศัตรูก็ได้สำนึกเห็นในความมีน้ำใจ แล้วก็เห็นแก่บุญคุณที่ไว้ชีวิต ก็เลยบอกไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวจะยกแคว้นโกศลคืนให้ เธอกลับไปครองแว่นแคว้นของเธอตามเดิมก็แล้วกัน เรื่องก็เลยแฮปปี้เอ็นดิ้ง ไอ้คำว่าเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรก็มาจากเรื่องนี้แหละ
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD background=images/left.gif width=15> </TD><TD align=right><TD background=images/right.gif width=15> </TD></TR><TR><TD height=11 vAlign=top width=15>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    ถาม: ...............................................
    ตอบ: คือว่าพระรอดรุ่นนี้ หลวงปู่ครูบาชัยวงศ์ท่านสร้างขึ้น พระรอดที่ดังมากจนกระทั่งเป็นเบญจภาคีในจำนวนพระเครื่องสุดยอด ๕ องค์ ก็จะมีสมเด็จวัดระฆัง พระรอดลำพูน พระซุ้มกอกำแพงเพชร พระนางพญาสุโขทัย แล้วก็ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นพระผงสุพรรณใช่มั้ย ๕ องค์ ?
    พระรอดลำพูนสร้างขึ้นโดยฤๅษีวาสุเทพผู้เป็นอาจารย์ของพระนางเจ้าจามเทวี ปรากฏว่าหลวงปู่ครูบาชัยวงศ์ ท่านหลับ ๆ ตื่น นึกขึ้นมาได้ว่า ท่านเคยเกิดเป็นฤๅษีวาสุเทพ ท่านก็เลยสร้างพระใหม่ซะอีกยกหนึ่ง อย่าลืมว่าดินลำพูนแพงที่สุดนะ แค่นิ้วมือแค่นี้ตั้งหลายล้านนั่นแหละดินที่สร้างพระรอด ตอนนี้พระรอดองค์หนึ่งหลายล้าน สมัยโน้นอาจจะไม่เก่งพอ สมัยนี้สะสมบารมีต่อมาเก่งกว่าเดิม สร้างของเก่าก็คงจะดีกว่าเดิม
    ถาม : ทำไมสมเด็จวัดระฆังถึงได้ศักดิ์สิทธิ์ ?
    ตอบ: ทำไมถึงได้ศักดิ์สิทธิ์ ? พระถ้าหากว่าเป็นบารมีพระพุทธเจ้าจริง ๆ ศักดิ์สิทธิ์ทุกองค์ เพียงแต่ว่าใครจะสามารถอาราธนาพระพุทธเจ้ามาเพื่อทำพิธีปลุกเสกของได้เท่านั้น
    ส่วนใหญ่สมัยก่อนเขาจะใช้กำลังของสมาธิสมาบัติเฉพาะตัวของครูบาอาจารย์แต่ละองค์ แต่ว่าหลวงพ่อวัดระฆังท่านเชิญพระมา มาถึงสมัยหลวงปู่ปานวัดบางนมโค ท่านให้หลวงพ่อเล็กปลุกเสกวัตถุมงคล หลวงพ่อเล็กก็จัดแจงเล่นสมาบัติแปดต่อเนื่องกัน ๓ เดือนเต็ม ๆ ครบ ๓ เดือนยกไปถวาย หลวงปู่ปานบอกใช้ไม่ได้ เอาไปทำใหม่ หลวงพ่อเล็กก็ดูก็ได้แค่นี้ แล้วจะทำยังไงอีกล่ะ นึกไปนึกมา อ๋อ อาราธนาพระดีกว่า จัดแจงตั้งเครื่องบวงสรวงอาราธนาพระมาเสก หลวงปู่ปานบอกเออใช้ได้แล้วยกมา ปล้ำอยู่ ๓ เดือน สู้พระทำแป๊บเดียวไม่ได้ เพราะว่ากำลังของเราเนี่ยมันไม่พอ ได้อภิญญาได้สมาบัติก็จริง มันจะจำกัดด้วยเวลาและกฎของกรรม แต่ถ้าหากว่าเป็นเรื่องของพระ เรื่องของเทวดาท่านสงเคราะห์ อายุเทวดาอย่างต่ำ ๆ ชั้นจตุมหาราชก็ต้อง ๒๐๐ ปีทิพย์ ๑๐๐ ปี หรือ ๒๐๐ ปีทิพย์ ๒๐๐ ปีทิพย์มั้ง ชั้นจตุมหาราช แล้วก็วันหนึ่งของท่านเท่ากับ ๕๐ ปีมนุษย์ เอาแค่อายุ ๒๐๐ ปีทิพย์ของท่านก็พอ ให้ท่านเฝ้าไปเสียจนไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่กว่าจะตายเสียที แต่ถ้าเราทำเอง แป๊บเดียวเราตายแล้ว
    เพราะฉะนั้นการอาราธนาพระ ถ้าหากว่าเป็นเรื่องสำคัญหรือว่าเหมาะสม พระพุทธเจ้าท่านจะเสด็จเอง ดังนั้นก็ถือว่าสูงสุดยอดไปเลย ถ้าพระพุทธเจ้าไม่เสด็จก็ให้พระอรหันต์องค์ใดองค์หนึ่ง อย่างพระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตรมาเป็นประธานในงาน ถ้าอย่างไม่มีไม่มีก็ได้ท้าวสหัมบดีพรหมหรือพระอินทร์มาก็เหลือเฟือแล้ว
    ถาม : พระพุทธเจ้าเสกแว็บเดียวก็ศักดิ์สิทธิ์ ?
    ตอบ: จริง ๆ มีหลายที ถึงเวลากำหนดใจนึกถึงท่านปุ๊บ ท่านบอกเสด็จนานแล้ว ต้องดูตัวอย่างชาวบ้านที่ตาคลีไปกราบหลวงปู่แหวนที่ดอยแม่ปั๋ง ตอนนั้นหลวงปู่แหวนยังอยู่ ยังไม่มรณภาพ หลวงปู่แหวนก็บอกว่า มาจากไหนกันล่ะ บอกมาจากตาคลี โอ้ยมาจากตาคลี แล้วทำไมต้องมาถึงนี่ ที่ตาคลีน่ะอาจารย์ของฉันอยู่ที่นั่น ชาวบ้านก็ถามว่าใคร บอกหลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุนนาคน่ะ อาจารย์ฉันเอง บอกว่าหลวงปู่สีไม่ค่อยจะเสกของให้ เอาอะไรไปก็เอามือแปะ ๆ ๓ ที หรือไม่ก็เอามือกอบ ๆ ๒-๓ ที ก็ส่งคืนให้ หลวงปู่แหวนบอกว่าองค์นั้นกอบ ๓ ทีดีกว่าฉันเสก ๓ เดือน เป็นยังไง มันสำคัญอยู่ที่กำลังใจของท่าน ถ้าเข้าถึงความบริสุทธิ์อยู่เป็นปกติแล้ว คิดอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว มันยังต้องไปเสียเวลาอะไร
    อย่างหลวงพ่อเนียม วัดน้อย เจ๊กในตลาดบางปลาม้า เอาน้ำใส่โถไปให้ท่านเสกทำน้ำมนต์ ท่านกำลังก่อสร้างอยู่บนหลังคา เอ้อ เอาไปเหอะ ใช้ได้แล้ว ไอ้เจ๊กมันก็ยัวะ อะไรวะไม่ได้เสกซักกะจึ๋ง บอกใช้ได้แล้ว พอเดินพ้นรั้ววัด มันก็จะเททิ้ง ปรากฏว่าน้ำมันแข็งหมดทั้งขวด ก็เลยหลุดมือตกโป๊ะลงไปกลายเป็นน้ำรูปขวด เลยต้องเอาผ้าขาวม้าห่อกลับบ้าน คราวนี้ก็เลยเชื่อว่าใช้ได้แล้ว
    แต่หลวงพ่อเนียมท่านทำยิ่งกว่านั้นอีก มีปลัดอำเภอคนหนึ่ง อยากจะเลื่อนเป็นนายอำเภอ ไปหาหลวงพ่อเนียม บอกขอรดน้ำมนต์หน่อย หลวงพ่อเนียมท่านกำลังเลี้ยงแมวเลี้ยงหมาท่านอยู่ โน่นน่ะ ไม่ต้องรดหรอกโดดลงไปท่าน้ำหน้าวัดใช้ได้ ปลัดอำเภอคนนั้น ก็โดดตูมลงไปท่าน้ำหน้าวัด อาบซะยกใหญ่แล้วก็ขึ้นมา หลวงพ่อก็บอกเออ ๆ ใช้ได้จริง ๆ ด้วย เลื่อนเป็นนายอำเภอ ปรากฏว่าตอนหลังที่เขาขุดลอกแม่น้ำหน้าวัด เขาขุดได้แผ่นยันต์ ไม่รู้หลวงพ่อเนียมเอาไปฝังไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ตกลงแม่น้ำหน้าวัดใช้ได้หมดเลย คนได้ก็คงไม่ยอมให้ใครหรอก ใครมาเอาได้ดีกันแน่
    สมัยก่อนพอเขาผ่านหน้าวัดน้อย เขาจะวักน้ำมนต์พรมหัวเรือ ขอให้ขายของดี ๆ ขายหมดจริง ๆ ก็ท่านเล่นเสกเอาไว้แล้ว ลงผ้ายันต์ฝังไว้ใต้แม่น้ำเลย กำลังใจท่านที่ถึงแล้ว ก็เหมือนกับไฟฟ้าเป็นหมื่น ๆ โวลต์ แตะเมื่อไหร่ก็ถึงปั๊บเลย
    ถาม : (ไม่ชัด)
    ตอบ: ลักษณะนี้ เพราะว่าหลวงพ่อวัดปากน้ำท่านเข้าถึงธรรมกาย ท่านสามารถพบพระพุทธเจ้าได้
    ถาม : (ไม่ชัด)
    ตอบ: ต้องดู อย่างว่าบางอย่างท่านเจตนา อย่างสมเด็จคำข้าว สมเด็จคำข้าวของหลวงพ่อนี่ พระท่านให้เสกข้าวถึง ๔ เดือนด้วยกัน ทุกวันก่อนจะกินต้องนั่งเสกข้าว แล้วก็แยกออกมาถึงเวลาก็ตากแห้งเก็บเอาไว้ทำผง
    สมัยก่อนเขาตากแห้งแล้วก็ตำทำผงกัน สมัยหลวงปู่ปานท่านก็ใช้วิธีนี้แหละ ท่านเสก ๓ เดือน สมัยหลวงพ่อเจอไป ๔ เดือน เสก ๓ เดือนเสร็จตำเป็นผง จ้างช่างมาปั้นได้พระหน้าตักซัก ๕ นิ้ว องค์หนึ่ง แล้วทำพิธีบวงสรวง หลวงปู่ปานท่านบอกว่า ถ้าข้าไม่อยู่ เวลาอดอยากกันขึ้นมา คือพระเยอะ สมัยหลวงปู่ปาน อยู่วัดบางนมโค พระหลายร้อยนะ ท่านบอกเฉพาะพระนักเรียนที่ไปเรียนบาลีนั่งร่วม ๓๐๐ องค์ ท่านบอกว่า ถ้าหากว่าอดขึ้นมาให้จุดธูปขอกับหลวงพ่อคำข้าว แต่ปรากฏว่าไม่ทันอดหรอก แต่หลวงพ่ออยากลอง ท่านก็จุดขอ วันนี้เอาบ้านเหนือ พรุ่งนี้เอาบ้านใต้ มะรืนเอาหน้าวัด มะเรื่องเอาหลังวัด ได้กินทุกวัน หลวงปู่ปานกลับมาท่านด่าซะหูตูบไปเลย บอกว่าได้เป็นทาสของลิ้นยังงั้นจะหาเรื่องลงนรกแล้ว หลวงพ่อท่านบอกผมอยากลองดูครับ หลวงปู่บอกเออ ถ้าลองไม่เป็นไร ขอขมาพระซะ ขออะไรได้อย่างนั้น
    มาสมัยของท่าน ท่านสร้างเป็นองค์เล็ก อย่างสมเด็จคำข้าวที่เราใช้กันอยู่น่ะ ต้องนั่งเสกแล้วเสกอีก หลวงพ่อท่านเคยปรารภอยู่วันหนึ่งว่า ถ้าแกจะเรียนวิธีทำพระคำข้าวจากข้า ข้าก็ไม่รู้จะถ่ายทอดให้ยังไง คือตอนนั้นวิชาก้นหีบหลวงพ่อมีเท่าไหร่ เราควานมาจนเกลี้ยง มันเหลืออยู่อย่างเดียวก็คือวิธีทำพระคำข้าวนี่แหละ ท่านบอกถ้าแกจะเรียนวิธีทำพระคำข้าวจากข้า ข้าก็ไม่รู้จะถ่ายทอดให้ยังไง เพราะว่าพอถึงเวลาจะฉัน พระท่านก็มายืนเอาข้าวตรงนี้ เอากับอย่างนี้ เสกด้วยคาถาบทนี้ แล้วก็แยกเอาไว้ รุ่งเช้ามาอีกละ เอาข้าวตรงนี้ เอากับตรงนี้ เสกด้วยคาถาบทนี้ บางทีก็คาถาบทเดียวกัน ๆ วันต่อวัน อีกวันหนึ่งกลายเป็นอีกคาถาหนึ่งแล้ว ท่านก็เลยบอกว่าไม่รู้จะทำยังไง มีอยู่อย่างเดียวก็คือว่ารอ รอให้พระท่านมาสั่งเอง ของเราก็กราบเรียนหลวงพ่อว่า ไม่เป็นไรครับ หลวงพ่อทำไว้เยอะ ๆ แล้ว แล้วพอถึงเวลาพวกผมเอาไปขายเอง หลวงพ่อท่านก็หัวเราะ ท่านบอก เออดีเหมือนกันนะ เอาซัก ๕ ล้านองค์ดีมั้ย ปรากฎว่าพระปลัดวิรัชท่านเห็นว่าหลวงพ่อพูด ท่านก็ไปตีความว่าหลวงพ่อเอาจริง ๆ ก็สั่งปั๊มมาซัก ๕ ล้าน นึกว่าจะเหลือ หมดเหมือนกัน
    ถ้าสามารถอาราธนาพระมาได้ ศักดิ์สิทธิ์ทั้งนั้น เพราะพุทโธ อัปมาโณ ธัมโมอัปมาโณ สังโฆอัปมาโณ คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ประมาณไม่ได้ หลวงปู่ปานท่านทำพระองค์เล็ก ๆ แล้วก็สั่งทำบายศรี บวงสรวงชุดใหญ่เลย หลวงพ่อบอกว่าพระองค์เล็กนิดเดียว ทำไมต้องทำบายศรีบวงสรวงชุดใหญ่ขนาดนั้นด้วย หลวงปู่ปานบอกว่าพระพุทธเจ้ามีเล็กเหรอวะ ? หลวงพ่อบอกได้ยินนี่ยกมือไหว้ท่วมหัว ต้องไปขอขมากันอุตลุดเลย ลืม ก็แบบเดียวกับพระของขวัญ ของหลวงพ่อวัดปากน้ำไง องค์นิดเดียว ประมาณนิ้วมือแค่นั้นเอง แล้วเสร็จแล้วก็มีโยมคนหนึ่งว่าพระองค์แค่นี้จะไปคุ้มครองอะไรได้ ปรากฏว่าตอนกลางคืนโยมคนนั้นฝัน เห็นพระของขวัญลอยมาแล้วโตขึ้น โตขึ้น ๆ เต็มไปทั้งจักรวาลเลย แล้วถามว่า แค่นี้พอหรือยัง พุทธานุภาพ อย่าลืม พุทโธอัปมาโณ หาประมาณไม่ได้
    พระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของพระอินทร์น่ะ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์นี่ยาว ๖๐ วา แล้วพระพุทธเจ้าเองตามที่หลวงพ่อท่านบอกว่าสูง ๘ ศอก ถ้าหากว่าตามอรรถกถาบอกว่า ๑๘ ศอก ๑๘ ก็ ๑๘ เถอะ เทียบกับ ๖๐ วา มันก็กะติ๊ดเดียวใช่ไม๊ ? ท่านก็ว่านั่งไปแล้วจะไม่สมพระเกียรติ ลักษณะก็คงเหมือนกับตุ๊กตาวางอยู่บนโต๊ะตัวใหญ่ ๆ พระพุทธเจ้าท่านทราบความคิดพระอินทร์ว่านั่งบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์แล้วอาจจะดูแล้ว คนอื่นอาจจะเห็นว่าท่านองค์เล็กก็เลยไม่น่าเลื่อมใส พระพุทธเจ้าท่านโยนผ้าสังฆฏิไป ปรากฏว่าคลุมบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ทั่วพอดี พอเสด็จขึ้นไปนั่งแล้วพอเหมาะพอดี เหมือนยังกับบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์เล็กลงหรือองค์ท่านใหญ่ขึ้น ถึงได้บอก พุทโธอัปมาโณ ขึ้นชื่อว่าคุณพระพุทธเจ้าประมาณไม่ได้
    อสุรินทราหู ก็คือพระราหูนั่นแหละ เป็นเทวดา เทวดาที่ตัวใหญ่ อัตภาพปกติขนาดทั่ว ๆ ไปของเทวดาคือ ๓ คาวุต คาวุตหนึ่งนี่ ๑๐๐ เส้น คือ ๔ กิโลเมตร ๓ คาวุต ก็ ๑๒ กิโลเมตร เดินมาซักองค์หนึ่งวิ่งกันตับแลบ สูง ๑๒ กิโลเมตร นั่นขนาดเล็กสุดน่ะ มีแต่ใหญ่กว่านั้น อสุรินทราหู แกใหญ่เป็นพิเศษ ประเภทอังเดร เดอ ไจแอนท์รึเปล่าก็ไม่รู้ นักมวยปล้ำตัวเท่าตึก อยากจะไปกราบพระพุทธเจ้าใจจะขาด แต่ด้วยความที่เคารพพระพุทธเจ้ามากเป็นพิเศษ ก็ว่าตัวเราใหญ่เหลือเกิน ถ้าไปพบพระสมณโคดมแล้วต้องก้มลงมอง มันจะเป็นการไม่เคารพ พระพุทธเจ้าท่านทราบความคิดก็เลยเสด็จไปหา พอเสด็จไปหาอสุรินทราหูแล้วท่านก็นอนลักษณะสีหไสยาสน์ ปรากฏว่าสูงเลยหัวอสุรินทราหูไปไม่รู้กี่เท่า นี่ขนาดนอนนะ อสุรินทราหูท่านก็เลยยอมกราบลงตรงนั้นแหละ พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดท่าน
    เพราะฉะนั้นปางไสยาสน์ ถ้าหากว่าลืมพระเนตรเขาเรียกว่า พระปางโปรดอสุรินทราหู อสุรินทราหูนี่ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ความใหญ่ของร่างกาย ท่านบอกไม่ถูก เขาบอกรอยต่อระหว่างคิ้วท่านกว้างโยชน์หนึ่งพอดี โยชน์หนึ่งนี่ ๑๖ กิโลเมตร แล้วตัวท่านใหญ่แค่ไหน หลวงพ่อถามว่าทำไมไปอมดวงจันทร์ล่ะ ราหูท่านบอกว่าจ้างผมก็ไม่ไปอมขี้ดินเล่น ดวงจันทร์ในสายตาท่านก็ก้อนดินก้อนหนึ่งใช่มั้ย ? แล้วถามท่านว่า แล้วมาเพื่ออะไร ? ท่านบอกว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์อยู่แล้ว พระโพธิสัตว์เขาถือว่าเป็นพวกกันหมด เป็นเพื่อนกันหมด มีอะไรจะให้ช่วยบ้างมั้ยล่ะ หลวงพ่อก็เลยให้ช่วยสงเคราะห์เกี่ยวกับกำลังใจของญาติโยมที่จะเข้าถึงธรรม อสุรินทราหูนี่ในภัทรกัปป์หน้าจะตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีนามว่า นารทะ สมเด็จพระพุทธนารทะทศพลสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คืออสุรินทราหูนี่แหละ
    ถาม : ที่ได้พยากรณ์มีกี่พระองค์ ?
    ตอบ: ได้พยากรณ์มีกี่พระองค์ ต้องบอกว่าพระโพธิสัตว์ที่ได้รับการพยากรณ์แล้ว มีกี่พระองค์นับไม่ถ้วน นับไม่ถ้วน
    ถาม : พระพยากรณ์....(ไม่ชัด)
    ตอบ: อยู่ในอเวจีมหานรกจ้ะ นิยตโพธิสัตว์ไม่ได้หมายความว่าจะพ้นนรก นิยตโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ที่มีคติแน่นอนแล้ว หมายความว่าได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าแล้วว่าจะไปตรัสรู้เมื่อไหร่ โตไทยพราหมณ์ แกตรัสรู้ภัทรกัปหน้า แต่ปัจจุบันนี่แกยังอยู่ในอเวจีมหานรก
    ถาม : ท่านอยู่กัปใกล้ ๆ นี่เอง
    ตอบ: ก็จะถึงนี่แหละ โตไทยโยนรสีหโก ธนปาโลติสโสนามะ ปาลิไลยะ สุมังคะโล สามองค์สุดท้าย ถ้านับจากข้างหลังนั่นก็เป็นองค์ที่ ๓ จากข้างท้าย ธนปาโลติสโสนามะ ช้างธนบาลนาฬาคีรี จะเป็นพระพุทธเจ้ามีนามว่า ติสสะ ปาลิไลยะสุมังคะโล ช้างปาลิไลยกะ จะเป็นสมเด็จพระพุทธสุมังคะละสัมมาสัมพุทธเจ้า เสียดายท่านเป็นคนไทยด้วยโตไทยพรามหณ์ พราหมณ์คนไทยชื่อนายโต ชัดมั้ย ?
    โบราณเขาไม่มีนามสกุล ในเมื่อไม่มีนามสกุลก็เลยต้องใช้วิธีว่า หาสัญลักษณ์อะไรที่ให้เข้าใจ จะมีลักษณะเหมือนกับเป็นฉายา อย่างเช่น ภัททิยะศากยะราชา ภัททิยะผู้เป็นราชา ของศากยะ เขาก็จะรู้ว่าองค์นี้ นกุลกะภัทฑิยะ ท่านภัททิยะหลังค่อม ก็จะได้รู้ว่าเป็นองค์นั้น โตไทยพราหมณ์ บอกชัด ๆ เลย พราหมณ์คนไทยชื่อนายโต
    ถาม : (ไม่ชัด)
    ตอบ: เสีย ไอ้เทยยะ ภาษาบาลี ของไทยเราออกเสียไทยะ จำไว้อย่างเวไนยะ ก็เขียนเวเนยยะ เสียเอยยะ เอยกับไอติดกัน คนละครึ่ง เอยยะ เอยยุง
    ถาม : พระพุทธเจ้าความสามารถเสมอกันหมดทุกพระองค์ ?
    ตอบ: ความสามารถเสมอกันหมดทุกพระองค์มั้ย ? ก็ตอบได้ว่าเสมอกันหมดทุกพระองค์ แต่ว่าการสร้างบารมีต่างกัน ต่างกันนี่ทำให้บริวารท่านแตกต่างกัน พระพุทธเจ้าที่เป็นปัญญาธิกะ สร้างบารมี ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป บริวารของท่านมีดี มีชั่ว มีรวย มีจน มีสวยงาม มีอัปลักษณ์ ปะปนกันไป
    พระพุทธเจ้าที่เป็นศรัทธาธิกา สร้างบารมี ๘ อสงไขยกับแสนมหากัปนะ บริวารของท่านดี สวย รวย เสมอกันหมด ในเขตที่ท่านประกาศศาสนาคนชั่วจะเข้าไม่ได้ พระพุทธเจ้าที่เป็นวิริยาธิกะสร้างบารมี ๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัป บริวารท่านดี สวย รวย เสมอกันหมด โลกในยุคนั้น คนชั่วเกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นท่านทำเพื่อบริวารตัวเอง ก็เลยนานไปหน่อย
    ถาม : (ไม่ชัด).....สัตว์มาเกิด
    ตอบ: มี แต่ห้ามชั่ว อยากรู้อีกล้านปีข้างหน้าไปเกิดได้ สมเด็จพระศรีอาริยะเมตไตยป็นพระโพธิสัตว์แบบวิริยาธิกะ
    ถาม : พระโพธิสัตว์ไปเกิดในยุคของพระพุทธเจ้าวิริยาธิกะ ?
    ตอบ: ทำไม เยอะแยะไป ท่านที่จะต้องรับคำพยากรณ์ จะต้องไปเกิดอยู่แล้ว ไม่ว่าในยุคไหนสมัยไหนก็ตามเอาแค่ว่าคิดเป็นพระพุทธเจ้า ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ จะพบพระพุทธเจ้า ๒๕๐,๐๐๐ พระองค์ แล้วในแต่ละชาติที่คิดว่าจะเป็น ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าที่เป็นศรัทธาธิกะก็เจอเข้าไป ๕๐๐,๐๐๐ องค์ ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าที่เป็นวิริยาธิกะก็ล่อไป ๑,๐๐๐,๐๐๐ องค์พอดี จะเป็นอย่างละเท่าหนึ่ง เพราะฉะนั้นถ้าหากว่ายิ่งต้องไปรับการพยากรณ์แล้ว ก็ยิ่งต้องเกิด
    ถาม : พยากรณ์แล้ว....แน่นอน (ไม่ชัด)
    ตอบ: ก็แน่นอนว่าจะต้องได้เป็นเมื่อนั้นเมื่อนี้แน่ แต่ไม่ใช่คติแน่นอนว่าจะไม่ลงนรกแน่
    ถาม : (ไม่ชัด)
    ตอบ: ก็ต้องมีสิ ถ้าหากว่ายังไม่พ้น ก็ไม่ได้รับ โดยเฉพาะว่าอย่างพระพุทธเจ้าของเราได้รับการพยากรณ์ครั้งแรกสมัยสมเด็จพระสัมมมาสัมพุธเจ้า มีนามว่าพระพุทธทีปังกร เมื่อ....สี่อสงไขยกับแสนมหากัปล่วงแล้วโน่น แต่ว่าท่านสร้างมาก่อนหน้านั้นเยอะ การบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระโพธิสัตว์ จะมีมโนปณิธานคิดว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้า ถ้าแบบปัญญาธิกะก็ ๙ อสงไขยกับแสนมหากัป พูดว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้าเรียกว่า วจีปณิธาน นี ๗ อสงไขยกับแสนมหากัป ล่อไป ๑๖ แล้ว ยังไม่ได้ลงมือทำเลย แล้วเสร็จก็ตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าเรียกว่า กายะวจีปณิธาน อีก ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป ถึงได้ต้องเจอพระพุทธเจ้ากันทีหนึ่ง เยอะขนาดนั้น
    ถาม : (ไม่ชัด)
    ตอบ: ประมาณ ๑ ล้านปีมนุษย์ สมเด็จพระศรีอาริยะเมตไตยจะมาตรัสรู้ เกิดมั้ย สมัยนั้นคนอายุตั้งหลายหมื่นปี สมเด็จพระศรีอาริยะเมตไตย จะมีพระวรกายสูง ๘๘ ศอก อย่าคิดว่าใหญ่นะ วันก่อนว่าอะไร สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านามว่า นารทะ สูง ๙๐ ศอกไม่ใช่นะ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีนามว่าทีปังกร มาจนถึงสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโคตมะของเรา รวมแล้ว ๒๕ พระองค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีนามว่าสุมนะ สูงใหญ่ที่สุด ๙๐ ศอก รองลงมาก็มี ๘๘ ศอก ๘๐ ศอก ๗๐ ศอก ๖๐ ศอก ไล่ลงมาถึงสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีนามพุทธกัสสปก็ ๒๐ ศอก องค์ปัจจุบันของเรานี่ในอรรถกถามธุรัตถวิลาสินี ขุทกนิกายพุทธวงศ์ท่านบอกว่า ๑๘ ศอก
    แต่หลวงพ่อท่านบอกว่า ๘ ศอก ก็กลายเป็นว่าท่านเล็กที่สุด อะไรที่ควรจะได้ก็เลยน้อยที่สุด อะไรที่ควรจะลำบากก็เยอะที่สุด องค์อื่น ๆ ท่านบอกว่า ประธานคือความเพียรเพื่อบรรลุมรรคผล มี ๗ วัน ๑๕ วัน ๑ เดือน ๓ เดือน ๕ เดือน ๖ เดือน ๗ เดือน ๑๐ เดือน มีของพระพุทธเจ้าของเรานานที่สุด ๖ ปี
    ถาม : จะรู้ได้อย่างไรว่าได้รับพุทธพยากรณ์รึยัง ?
    ตอบ: ได้รึยัง ? ส่วนใหญ่แล้วในยุคสมัยของท่าน ถ้าหากว่าเป็นนิยตโพธิสัตว์ ก็มักจะเป็นผู้ได้อภิญญาสมาบัติทั้งนั้น ถ้าถามว่ารู้ได้ยังไงนี่ไม่ต้องเสียเวลาหรอก รู้แหง ๆ อยู่แล้ว ทำไปเหอะ อีกนาน
    ถาม : ก่อนได้รับพุทธพยากรณ์นานมากมั้ย ?
    ตอบ: นานมากมั้ย ? ต่ำสุดก็ ๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัป เพราะว่าของปัญญาธิกะคิดว่าจะเป็นมัน ๗ พูดว่าจะเป็นมัน ๙ ตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อให้ได้เป็น ๔ กว่า เพราะฉะนั้น ๗ กับ ๙ มันก็ล่อไป ๑๖ แล้ว คิดว่าจะเป็น ๗ พูดว่าจะเป็น ๙ รวมแล้ว ๑๖ เสร็จ แล้วก็ทำเพื่อให้ได้เป็นอีก ๔ เพราะงั้นต่ำสุดก็ ๒๐ อสงไขยกะ ๓ แสนมหากัป นอนกนั้นก็เพิ่มเท่าตัวจาก ๒๐ ก็เป็น ๔๐ เป็น ๘๐ ไม่เห็นต้นไม่เห็นปลายเลยใช่มั้ย ? เปลี่ยนใจได้นะ
     
  4. Pirita

    Pirita เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    245
    ค่าพลัง:
    +462
    ขออนุญาตคัดลอกคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...