ฉบับที่ ๖๑ เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๒

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย paang, 10 เมษายน 2009.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ช่วงแรกของเล่ม "หลากรสในพม่า"สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนมกราคม ๒๕๔๗(ต่อ)
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ



    ถาม: ................................................
    ตอบ: ตอนที่หลวงพ่อท่านบอกยกเลิกการใช้นี่ ต้องใช้คำว่าอะไร ผู้อำนวยการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่โน่นโดนสอบสวนเลย ทำอย่างไรให้ลูกค้ารายใหญ่ขนาดนี้บอกยกเลิกการใช้ได้ วัดท่าซุงวัดเดียวใช้เท่ากับห้วยคต ทัพทัน บ้านไร่ ๓ อำเภอรวมกัน คือหลวงพ่อท่านเน้นตรงแสงสว่าง ท่านบอกว่า คนเราคิดจะทุจริต มันจะกลัวแสงสว่างกับเสียงดัง เพราะฉะนั้นให้เปิดไฟให้สว่างเข้าไว้ มันจะได้ไม่กล้าขโมย คำสั่งของท่านคือว่า “ถ้าหากว่ายังไม่สว่างจนเห็นหน้าคนแล้วจำกันได้ อย่าเพิ่งปิดไฟ” อันนี้ท่านสั่งไว้ชัดเลย ต้องรอให้สว่างเห็นหน้าจนจำกันได้แล้ว ถึงจะยอมให้ปิด ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวคนฉวยโอกาสตอนนั้นขโมย ก็ยุ่งกันใหญ่จำไม่ได้ เห็นแต่ตัว


    เห็นความรอบคอบของพ่อไหม ? จะลองทำอย่างนั้นบ้างไหม ? บอกได้คำเดียวว่า บุคคลที่ยิ่งปฏิบัติได้สูงเท่าไร กำลังใจยิ่งละเอียดเท่านั้น ในเมื่อกำลังใจท่านละเอียดขนาดนั้น ท่านก็เลยทำอะไรเรียบร้อยไปด้วย

    คราวนี้เรามาดูตรงจุดนี้ อาตมาเพิ่งจะโดนมาแหม็บ ๆ คือไปซ่อมตึกแดงหลังหนึ่งพื้นที่ใช้สอย ๑,๐๐๐ ตารางเมตรกว่า คือมันตก ๕๐๐ กว่าตารางเมตร แต่เป็น ๒ ชั้น กะว่าเวลาโยมไปวัดเยอะ ๆ ก็จะให้พักที่นั่น แล้วถ้าหากว่ามีการฝึกอบรม หรือว่าสัมมนา หรือว่าเรียนหรือสอนหรือสอบของพระ จะใช้อาคารหลังนั้นได้ ก็ตั้งใจทำใหม่ให้ดีไปเลย

    อาจารย์สมพงษ์กลัวมากเพราะว่าเงินเยอะ เขาถามว่าไหวเหรอครับอาจารย์ บอกว่าไหว ถ้าพ่อสั่งต้องไหว พอทำไปก็ปรับปรุงไปเรื่อย ข้างล่างก็ปูกระเบื้อง ปูพื้นหมด ๕๐๐ กว่าตารางเมตร นี่ค่ากระเบื้องอย่าเงดียว ๑๐๐,๐๐๐ บาทเต็ม ๆ ยังไม่คิดค่าแรงช่าง ยังไม่คิดค่าปูน ค่าทรายเลยนะ พอทำไปก็ตั้งใจว่า ส่วนของเราโละด้านบนออก แล้วทำเป็นห้องกระจกทั้งหมด เพื่อมันจะได้สว่าง คนจะได้เห็นว่าโปร่งน่าอยู่น่าเข้า วางโครงการซะดิบดี พอทำไปจวน ๆ ที่จะโทรศัพท์ไปสั่งช่างให้มาวัดกระจก หลวงพ่อท่านก็โผล่มาบอกว่าให้เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแทน ท่านบอกว่า กระจกดูแลรักษายาก มันก็จริง ถ้าเราทำเป็นห้องกระจกนี่ คนตัดหญ้าประสาทกลับแน่เลย ดีดหินไป ๑ ก้อนก็ยุ่งแล้ว ท่านบอกว่ากระจกดูแลรักษายาก และที่สำคัญคือแพงมาก แล้วท่านก็เตือนเรื่องใช้เงิน บอกว่าให้รอบคอบหน่อย อะไรที่ประหยัดได้ให้ประหยัด ประโยคที่เจ็บปวดที่สุดก็คือ ท่านบอกว่าเงินน่ะข้าหาไม่ใช่แก แหมเกือบลืม ไม่อย่างนั้น ถ้าห้องกระจกอย่างเดียวนี่ พื้นที่ใหญ่ขนาดนั้น ๔๐๐,๐๐๐ บาทไม่รู้จะอยู่รึเปล่า ? หลังหนึ่งพื้นที่ ๕๐๐ กว่าตารางเมตร แล้วทำรอบมันจะเท่าไร ? กะว่า ๔๐๐,๐๐๐ บาทไม่อยู่ กระจกแบบนี้ยิ่งบานใหญ่เท่าไร ยิ่งแพงเท่านั้น เพราะว่าเอาไปยาก

    สมัยที่อยู่เกาะพระฤๅษี ทางด้านโชคอนันต์ เขาจะไปทำกระจกให้ สั่งเขาเสร็จแล้วปรากฏว่าเกือบ ๑ เดือนเขาหายไปเฉย ๆ ก็เลยถามเขาว่าเป็นยังไง ยังหากระจกไม่ได้หรือ ? เขาบอกว่าผมขออนุญาตไม่ทำได้ไหมครับ ? ถามว่าทำไม ? เขาสั่งกระจกมาแล้ว ปรากฏว่าตอนเอากระจกขึ้นทองผาภูมิมา มีรถตัดหน้าแล้วเขาหักหลบลงข้างทาง แตกบรรลัยหมด ๔๐,๐๐๐ กว่าบาทสูญไปเลย เขาเลยไม่ขอทำอีก เพราะทำไปก็ขาดทุน เราต้องไปหาเจ้าใหม่ ตกลงว่าเขาเสียเงินฟรี ๆ แค่ห้องกระจกประมาณ ๓ ด้าน ด้านหนึ่งก็ราว ๆ ๕ ตารางเมตร เอ้ย...ยาวด้านละ ๕ เมตร ๓ ด้าน แค่ที่เกาะฯ ๖๐,๐๐๐ บาทกว่า แล้วคิดดูว่าแค่นี้มีหรือจะไม่ ๔๐๐,๐๐๐ บาท

    เพราะฉะนั้นสิ่งนี้สรุปได้ว่า ท่านที่กำลังใจยิ่งสูงเท่าไร ความละเอียดรอบคอบจะมีมากเท่านั้น ถ้าละเอียดไม่พอรอบคอบไม่พอ มันจะสู้กิเลสไม่ได้ เพราะกิเลสนั้นมันละเอียดเหลือเกิน ของเราบางวันก็ดี บางวันก็เลวไปเรื่อย มันก็เลยไม่รอบคอบ กะว่าเออ...ทำทั้งทีทำให้สวย ทำให้ดีไปเลย สตางค์ก็มีพอใช้ แต่ปรากฎว่าโดนดุเข้าไป ท่านบอกว่าแพงโดยใช่เหตุ ที่สำคัญก็คือเงินท่านหา ไม่ใช่เราหา เก็บไว้ใช้ทำอย่างอื่นมั่ง

    ตอนนี้ก็เลยมีเงินเหลืออยู่หน่อยหนึ่ง ก็เลยไประดมทำส่วนที่เป็นแดนสงบทางด้านล่างติดชายแม่น้ำแคว ตรงนั้นปกติแล้วจะเป็นบ้านของพวกมอญ พวกทวายมาอศัยอยู่เป็นร้อย ๆ คนเลย มันอยู่มาเป็น ๑๐ ปี อยู่กับวัด กินกับวัด น้ำของวัด ไฟของวัด เวลาวัดมีงานอาหารแทนที่จะประเคนพระ มันยกลงไปกินกันหมด ห้ามก็ไม่ฟัง ก็เลยอาตมาไปถึงสั่งอัปเปหิ ให้ถึงเวลากฐิน จะย้ายหรือไม่ย้าย เราไม่ว่า เราก็เริ่มสร้างไปเลย สร้างไป ๒ หลังที่พระมหาปรียชากับท่านเออยู่กัน ในเมื่อเขาเห็นเราเอาจริงแน่ เขาก็ย้ายออกกันหมด ตกลง ๑๐ กว่าปีอยู่เรื้อรังมา มันอยู่สบายจนเคย ไม่รู้ไปอยู่ที่อื่นจะลำบากรึเปล่า เพราะอยู่กับวัด น้ำ-ไฟทุกอย่างพร้อมหมด เราก็รื้อซะเกลี้ยง แล้วเริ่มเฟสที่ ๒ ตอนนี้ทำเป็นกุฏิ ๓ หลัง และศาลานั่งเล่น ๑ หลัง รวม ๆ แล้วบริเวณนั้นจะทำให้เป็นกุฏิคงประมาณ ๑๕-๑๖ หลัง คือถ้าหากว่าพวกเราไปจะได้มีที่พัก ให้พระพักแม่ชีไม่ยอมแน่ เพราะว่าต่ำกว่ากุฏิแม่ชีลงไปประมาณ ๒ เมตร กลายเป็นแม่ชีอยู่สูงกว่าพระ ก็เลยว่าให้โยมอยู่ก็ได้ แต่เขตนั้นจะกั้นรั้วเลย กะว่าทำเป็นรั้วต่าย สูงประมาณ ๓-๔ เมตร แล้วทำประตูเล็ก ๆ สำหรับลงถึงเวลาลงไปก็ปิดซะ คนที่ไม่ต้องการจะได้ไม่เข้าไปรบกวน โครงการมโหฬารเริ่มเฟส ๒ แล้ว

    มาร ๕ อย่างประกอบด้วย กิเลสมาร ความชั่วที่อยู่ในใจของเราเอง ขันธมาร สภาพร่างกายของเราเอง เทวปุตมาร เทวดาที่มาทดสอบกำลังใจของเรา อภิสังขารมาร บุญ-บาปที่มาขวางเรา มัจจุมาร ความตายที่มาขวางเรา กิเลสมาร ความชั่วในใจของเรา รู้อยู่แล้ว รัก โลภ โกรธ หลง ที่มันเกิดขึ้น ขันธมาร คือสภาพร่างกายคอยกลั่นแกล้ง คอยขัดขวางเราอยู่ เวลาที่เราไม่คิดจะทำดี ร่างกายแข็งแรงทำโน่นทำนี่ได้สารพัด บางคนกินเหล้าเมาหัวทิ่มนอนตากน้ำค้างทั้งคืนไม่เป็นไร แต่พอหันเข้ามาถือศีลปฏิบัติธรรมป่วยแทบตาย กลายเป็นบางคนเข้าใจผิดไปเลยว่าเข้าวัดแล้วทำให้เป็นยังงี้ ก็เลยพาลไม่เข้าไปเลย เทวปุตมาร เทวดาที่มาลองใจเรา ถ้าหากว่าเราทำข้อสอบนั้นผ่านได้ ไม่รัก โลภ โกรธ หลง ไปตามการณ์ที่ยั่วยุทดสอบของท่าน เราก็จะไม่แพ้ในตรงจุดนั้นอีก แต่ถ้าหากเราพลาด ไม่สามารถก้าวผ่านไปได้ ท่านก็เลยกลายเป็นมารคือ ผู้ขวาง ผู้ฆ่าของเรา แต่จริง ๆ เจตนาของท่านก็คือต้องการทดสอบให้เราผ่าน

    อภิสังขารมาร บุญ-บาป บาปเรารู้ว่าขวางความดีอย่างไร แล้วบุญขวางได้ยังไง ก็อย่างเช่นว่า อรูปฌาน เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะ อรูปพรหม อายุตั้ง ๘๔,๐๐๐ มหากัป คุณไม่ต้องทำมาหากินอะไรหรอก ติดแหง็กอยู่แค่นั้น พอกินบุญหมดแล้วลงยาว ถ้าหากว่าไม่มีเศษบุญเหลือ ดีไม่ดีลงนรกไปเลย มันขวางได้ขนาดนี้ ตัวสุดท้ายคือ มัจจุมาร บางคนกำลังใจเข้มแข็งแรงมาก เขารู้ว่าถ้าหากว่าปล่อยให้เราทำความดี เราพ้นมือเขาแน่ เขาตัดให้ตายไปเลย อาศัยช่วงจังหวะอุปฆาตกรรมที่เข้ามาถึง ทำให้เราจะต้องสิ้นชีวิตลง เสียเวลาไปเกิดใหม่อีกรอบหนึ่ง ใช้วิธีเหยียบเบรกไว้ก่อน สกัดดาวรุ่ง

    มารทั้งหมดไม่ใช่แค่ความรู้สึกเฉย ๆ มันมีตัวมีตนของมันจริง ๆ สามารถพบเห็นได้ ถ้ามีทิพจักขุญาณจริง แต่ว่ามันแปลกตรงที่ว่าเขาแฝงมาอย่างแนบเนียนที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวของเรา เขาสามารถแฝงเพื่อใช้งานได้หมด อันนี้ฟังไว้เฉย ๆ ไม่ต้องกลัว บอกแล้วว่าเขาเป็นครูที่ดี

    เพราะฉะนั้นครูที่ดีการสอนต้องละเอียดมาก เคยพูดเต็มปากเต็มคำว่า มาร กับความดี หน้าตาเหมือนกันทุกอย่าง เพียงแต่ว่าก้าวสุดท้าย ความดีชักเราไปสุคติ ไปสวรรค์ ไปพรหม ไปนิพพาน แต่มารพาเราลงนรกบ้าง เป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานบ้าง จ่อมจมต่อไป

    เพราะฉะนั้นสรุปว่า เขาทำหน้าที่ของเขา ให้เขาทำไป หน้าที่ของเรา เราก็ทำของเราไป ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ไม่มีใครเป็นศัตรูกับใคร ครูมีความสามารถสูง ขยันออกข้อสอบ เด็กอย่าไปกลัวเลย ให้ตั้งหน้าตั้งตาทำ

    บางทีเรานั่งมองหน้ากันอย่างนี้ เขาดลใจให้อีกคนหนึ่งคิด พูด ทำ ในสิ่งที่ขัดหูขัดตาเรา กลายเป็นโกรธกัน ทั้ง ๆ ที่อยู่ครอบครัวเดียวกัน คนที่รักแสนรัก เขาทำได้ทุกอย่าง โยมที่วัดท่าซุง โยมเอี่ยม ชื่อจริง ๆ เอี่ยมศรี อ่อนคำ โยมก็ไปช่วยหลวงพ่อดูแลวัดท่าซุง ตั้งแต่สมัยที่หลวงพ่อเพิ่งไปอยู่ใหม่ ๆ จนบัดนี้โยมได้ทิพจักขุญาณดีมาก เขาบอกว่าหลวงพี่เจ้าขา หนูดูแล้ว หนูกลัวมากเลย ถามว่าทำไม บอกว่ามารมันวางบ่วงดักเราละเอียดลึกซึ้งเหลือเกิน หนูเห็นมันเป็นตัวเป็นตนมา ถึงเวลามันก็เอาอันนี้บ่วงรัก บ่วงโลภ บ่วงโกรธ บ่วงหลง มันวางดักเต็มไปหมดเลย เราต้องคอยหลบคอยหลีกแทบแย่ กว่าจะผ่านมันไปได้ ถามว่าหลวงพี่เป็นอย่างนี้หรือเปล่า ? บอกว่าอาตมาเจอ หนักกว่าโยมหน่อยหนึ่ง มันเล่นยกพหลพลโยธามาจะบี้เราตาย คือมันรู้ว่าสันดานอย่างเรา ยังไงก็มุมานะไปแน่ ก็เลยใช้วิธีข่มขู่จะให้กลัว แต่บังเอิญเราไม่กลัวซะอีก

    รอยพระพุทธบาทที่สระบุรีมี ๒ รอย รอยหนึ่งอยู่ที่พระพุทธบาทเลย อีกรอยหนึ่งจะอยู่บนเขาพระพุทธฉาย รอยที่พระพุทธบาทเขาเอาคอนกรีตหล่อขึ้นมาเพื่อจะปิดของแท้ไว้ข้างล่าง ไม่ให้คนไปยุ่งเกี่ยวจะได้ไม่ชำรุด เลยออกมาในรูปลักษณะแปลก ๆ แต่ถ้าจะดูของแท้ให้ไปดูที่พระพุทธฉาย รอยที่พระพุทธฉายจะอยู่บนยอดเขาข้างบน รู้สึกเขาจะทำเป็นลักษณะเหมือนมณฑปหรือเจดีย์ครอบไว้ แต่ตรงตัวรอยพระพุทธบาทเขาก่อขอบขึ้นมาแล้วมีฝาปิด เปิดขึ้นมาดู ทำไมถึงใหญ่ พระพุทธเจ้าถ้าตามอรรถกถาท่านบอกว่าสูง ๑๘ ศอก ของสมัยนั้น คนสูง ๑๘ ศอก เท่าไร ๙ เมตร รอยเท้าแค่นั้นเอง เล็กซะด้วย อยู่เลยพระพุทธบาทออกไปไกลเหมือนกัน อยู่ใกล้ ๆ ทางศูนย์กลางทหารม้า เลยเขตศูนย์ม้าไปหน่อยหนึ่ง พระพุทธฉายไม่มีจำลองนะจ๊ะ พระพุทธบาทกับพระพุทธฉายคนละที่ ห่างกัน ๑๐ กิโลเมตรเลย ถ้าหากว่าออกจากพระพุทธบาท กลายเป็นว่าเข้าสระบุรี ถ้าไปไม่ถูกถามหาโรงเรียนทหารม้า จะอยู่ไม่ไกล

    ในมธุรัตถวิลาสินี อรรถกถาพุทธวงศ์ เขาบอกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเราสูง ๑๘ ศอก แต่หลวงพ่อท่านบอกว่า ๘ ศอก ดูจากรอยพระพุทธบาท ถ้าหากว่าวิชาสะกดรอยของทหาร ไม่ผิดน่าจะ ๘ ศอก เพราะวิชาทหารสอนไว้ว่า ขนาดรอยเท้าคูณด้วย ๘ จะเป็นความสูงโดยประมาณ ขนาดรอยเท้าของพระพุทธเจ้าท่านประมาณ ๑ เมตรคูณด้วย ๘ ก็ราว ๆ ๘ เมตร วิชาสะกดรอยเขาจะมีการคำนวณน้ำหนัก คำนวณจำนวน คำนวณขนาด ดูจากรอยเท้าอย่างเดียว ไม่น่าเชื่อ แต่ทฤษฎีของเขาเป็นไปได้ เพราะที่คำนวณมาใกล้เคียงจริง ๆ พระพุทธเจ้าพระนามว่าสุมนะท่านสูง ๙๐ ศอก พระศรีอริยเมตไตรบอกว่าจะสูง ๘๘ ศอก


    ตอนนี้ให้เขาดูแลงานก่อสร้างข้างล่าง แล้วบางทีต้องไปอยู่ที่วัดถ้ำทะลุด้วย พระที่อยู่ถอนตัวออกไป เพราะมีปัญหากับทายก พวกทายกอยู่ที่ไหนก็ตาม มักจะขี่คอพระ บังคับบัญชา ถ้าบังคับบัญชาไม่ได้มันก็หาทางขับไล่ไสส่งพระ คราวนี้พวกท่านยิ้ม อาจารย์นนท์ถอนตัวออกไปหมด ให้เราส่งพระไปอยู่แทน ก็ส่งพวกท่านเอเข้าไป ยังไงให้รักษาการณ์เจ้าอาวาส เอาอาวุโสไว้ก่อน ครบ ๕ พรรษาเมื่อไรจะได้แต่งตั้ง เดี๋ยวนี้ยังกับเป็นโรงเรียนผลิตเจ้าอาวาส ถึงเวลาวัดโน้นก็มาขอ วัดนี้ก็มาขอ บอกเวรเลยสร้างให้ไม่ทันจริง ๆ กว่าจะเป็นเจ้าอาวาสได้ เขาให้ต่ำสุด ๕ พรรษา แล้วต้องรู้ธรรมรู้วินัยดี เขากำหนดว่าอย่างน้อยต้อง ๕ พรรษา แล้วก็มีความในพระธรรมวินัย สามารถที่จะสั่งสอนกุลบุตรได้ โห...แล้วพระกว่าจะอยู่ได้ ๕ พรรษามีโอกาสสึกตั้งเยอะแยะ ถึงเวลาเขาไม่มีหรือว่ามีแล้วสึกไป เขาวิ่งมาขอ เล่นเอาเจ้าคณะอำเภอชักน้อยใจ บอกอะไร ก็ไปปรึกษาอาจารย์เล็ก ผมเป็นเจ้าคณะอำเภอนะ ก็เลยบอกอาจารย์สมพงษ์ คราวหน้าบอกสิ ปรึกษาหลวงพ่อทีไรเสียเงินทุกที ปรึกษาอาจารย์เล็กไม่เสียนี่หว่า...!

    ให้ไปคุมก่อสร้าง ปรากฏว่าต้องย้ายเครื่องโม่ปูนลงไปด้วย ไอ้ที่ทำใหม่อยู่ริมน้ำ ก็เลยไปขนเครื่องโม่ปูนกัน เขางัดไปงัดมาปรากฏว่าท่านเอค้ำไม่อยู่ โดนทับแอ๊กไปเลย ยังดีกระดูกหักหรือเปล่าไม่รู้ เราก็ประเภทมัวแต่ว่า เออ...เขาเป็นอะไรมากรึเปล่า ? ตอนที่เข็นลงไปข้างล่างมันเป็นทางลาดแล้วมันหนัก ไปค้ำอยู่ ปรากฏว่าค้ำไปค้ำมา พอมันเร็วขึ้น ๆ ยันไม่อยู่ มันดันเราพรวดเดียว เข้าไปอยู่ในกอไผ่หนามทั้งกอเลย ออกมาถึงได้ลาย ๆ อย่างที่เห็นนี่ มีแต่รอยแผลขีด ๆ ข่วน ๆ

    อาตมาเองมาจนป่านนี้ ยังไม่เคยรู้จักว่าวันเกิดหน้าตาเป็นอย่างไร เด็กสมัยนี้แหมเขาเกิดกันทุกปีนะ น่าอิจฉา สมัยโบราณเขาจะทำวันเกิดต่อเมื่ออายุ ๖๐ ปี ถือว่า ๕ รอบอายุมากแล้ว ทำวันเกิดซะครั้งหนึ่ง แล้วหลัง ๖๐ ปีไปจะนิยมทำเป็น ๒ ลักษณะ ลักษณะหนึ่งคือ ครบ ๑ รอบ ทำหนึ่งครั้ง อย่างเช่นว่า ๗๒, ๘๔, ๙๖ อย่างนี้ ๑ รอบ คือ ๑๒ ปี รอบ ๑๒ ปีนักษัตร ทำครั้งหนึ่ง บางทีก็นิยมทำรอบ ๑๐ ปี คือ ๖๐, ๗๐, ๘๐, ๙๐ เขาทำกันแค่นั้นแหละจ๊ะ เพื่อนไม่เขียน Card ให้โดนงับหูเลยใช่มั้ย ?

    จำไว้ว่าวันที่เราเกิด คือวันที่เกือบ ๆ ตายของคุณแม่ เพราะฉะนั้นวันเกิดไม่ได้สำคัญที่เรา สำคัญที่คุณแม่ หาพวงมาลัยสวย ๆ ไปไหว้คุณแม่ ขอบคุณค่ะที่ช่วยดูแลหนูมารอดจนป่านนี้ จำเอาไว้นะ เปลี่ยนความคิดซะ วันเกิดของเราไม่ได้สำคัญที่เรา วันเกิดของเราสำคัญที่คุณแม่ ถ้ายิ่งมาสมัยก่อน ๆ โน้น คลอดลูกแต่ละทีมันครึ่งเป็นครึ่งตายเลย ไม่รู้จะรอดรึเปล่า ? เพราะฉะนั้นวันเกิดต้องคุณแม่มาก่อน คนอื่นว่ากันทีหลัง ตัวเราเองจะทำอะไรก็ทำไป แต่อย่าลืมคุณแม่แล้วกัน

    รู้ว่าไม่ดีก็อย่าทำ แต่ไม่ต้องกลัวหรอก เป็นฆราวาสลงนรกยังไงมันก็ไม่ลึกนัก ถ้าเป็นพระแล้วดีแตก ลงลึกแน่เลย

    แต่งงานก็ผิด เพราะว่าพ่อแม่ยังไม่อนุญาต เราจะไปเปรียบเทียบว่าถ้าไม่ได้ขออนุญาตพ่อแม่ มีเพศสัมพันธ์กันแล้วผิด ถือว่าฝรั่งผิดหมด – ไม่ได้ ไอ้นั่นผิดหมดจริง ๆ เพราะว่าเขาไม่มีข้อห้ามเหมือนของเรา ยกเว้นเขามาถือศาสนาพุทธแล้วเขารู้ ลักษณะของบุคคลที่มีเจ้าของตามนัยบาลีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ละเอียดมาก ท่านใช้คำว่าบุคคลผู้มีบิดาปกครอง บุคคลผู้มีมารดาปกครอง บุคคลผู้มีพี่ชายปกครอง บุคคลผู้มีพี่สาวปกครอง บุคคลผู้มีน้องชายปกครอง บุคคลผู้มีน้องสาวปกครอง บุคคลผู้มีญาติปกครอง บุคคลผู้มีพระราชาปกครอง บุคคลผู้มีคนอันจองไว้แล้วด้วยพวงมาลัย อันนี้น่าจะหมั้นหมายไว้ บุคคลอันสุดท้ายนี่เจ็บมาก มีธรรมปกครอง สรุปแล้วตั้งแต่ต้นยันปลายโดนหมด ท่านใช้คำว่า ถ้าหากว่าเจ้าของหรือผู้ปกครองไม่ยินดี คือไม่อนุญาต ซวยแน่ ๆ เลย

    มีอยู่อันหนึ่ง พวกชาวแอฟริกันเผ่าหนึ่ง ถ้าแขกไปเยี่ยม เขาจะให้เมียมานอนด้วย อย่างนี้ไม่ผิด เพราะสามียินยอม จำไว้ว่า การล่วงละเมิดในศีลมีตั้งแต่หยาบจนถึงละเอียด เจตนาที่จะละเมิดมันเริ่มต้นตั้งแต่คิดแล้ว ไม่ใช่ทำอย่างเดียว พูดอย่างเดียว ไม่เป็นไรหรอก หางิ้วหนามสั้น ๆ หน่อย ถ้ายาว ๑๖ องคุลี ก็เอาซัก ๑๕ ครึ่งก็พอ

    ถาม : เห็นจระเข้ แปลว่าอุปสรรคใช่ไหม ?

    ตอบ: โบราณเขาบอกว่า ถ้าหากว่านิมิตเห็นจระเข้ มีอยู่ ๒ เหตุด้วยกัน เหตุแรกคือ ติดสินบนอยู่ยังไม่ได้แก้ คือไปบนอะไรไว้แล้วลืม ประการที่สอง ท่านว่ามีบุคคลจะปองร้ายแล ภาษาโบราณฟังยาก สิทธิการิยะพระท่านว่าคนเขียนว่าไว้ ไม่ใช่พระว่า

    อาตมาเคยฝันเห็น โอ้โห...ตัวมันใหญ่เหลือเกิน ใหญ่จนบอกไม่ถูก กว่าจะรู้เหยียบอยู่บนตัวมันแล้ว คือมันใหญ่เกินไปไง จนเราไม่คิดว่าเป็นจระเข้ แต่บังเอิญตื่นเสียก่อนที่จะโดนมันงาบ ก็เลยรอดใช้วิธีขี้โกง สะดุ้งตื่นก่อน ถือว่ารอด

    ถาม : เด็กซนมาก + ดื้อ
    ตอบ: ธรรมดาจ้ะ เด็กดื้อกับเด็กซน เป็นเรื่องปกติของเด็ก เด็กสมัยนี้เป็นมาก เรียกว่าพวก Hyperactivity ถือว่าเป็นการป่วยไข้อย่างนี้ คือ เป็นผู้ที่มีการแสดงออกที่มันเกินเหตุไปหน่อย หมอถือว่าเป็นผู้ป่วย แต่ว่าสำคัญที่สุด ก็คือเกิดจากการขาดสมาธิ ถ้าหากว่าเด็กมีสมาธิอยู่ก็จะนิ่งอยู่ได้ เมื่อพรรษาที่ผ่านมา พระรูปหนึ่งบวชอยู่ที่วัด ท่านอู๋นั่นแหละ เป็นโรคนี้ นั่งคุยอยู่ตรงหน้า มันถาม เรายังไม่ทันจะตอบได้ครึ่งประโยค มันไปอีกเรื่องหนึ่งแล้ว ไม่ใช่สมาธิสั้นเฉย ๆ จู๋เลยแหละ อาการนี้หมดถือว่าเป็นผู้ป่วยประเภทหนึ่ง

    ถาม : หมอบอกว่าปกติ

    ตอบ: ถ้าสติและสมาธิไม่มั่นคง ลืมปณิธาน ลืมความตั้งใจจริงของตนเองว่าที่เราเข้ามา ตีเสียว่าเข้ามาปฏิบัติธรรมของเรา จุดมุ่งหมายของเราอยู่ที่ไหน จะเป็นความปรารถนาของเขาเลย ถ้าเราลืมเมื่อไรเสร็จเขา มันต้องไม่ลืมทุกอย่างที่ดี ๆ เขาจะเอามาให้เราทั้งนั้น

    คราวนี้เราต้องค่อย ๆ สะสาง เหมือนกับด้ายยุ่ง ๆ ขดหนึ่ง มันพยายามก่อกวน ให้มันยุ่งหนักขึ้นไป ประเภทสอนให้เราถักเสื้อ ยิ่งถักยิ่งสวยว่าไปเรื่อย ลืมไปเลยว่าเราจะสางด้ายนั้นออกมา

    ถาม : ...........................................
    .
    ตอบ: ธงท่านปู่พระอินทร์ คาถาปลุกธงโดยเฉพาะ เขาว่า “สุปะติ” สมัยหลวงพ่อท่านทำ ท่านบอกว่า ต่อให้ถึงที่ตายก็ให้ไปตายที่บ้าน

    ถาม : เรื่องราวลับแล

    ตอบ: ที่ไม่ยอมแข่งกับเขางวดนั้น เพราะว่ากลัวแพ้ ถ้าแพ้แล้วต้องทำตามสัญญา คราวนี้ แหม หายไป ๑ ปีพวกเราลงแดงแน่ มันจะต้องตามกันอุตลุตเดือดร้อนกันไปหมด เลยไม่ยอมรับปากเขา เขาอุตส่าห์เปิดพื้นที่ให้ดูแล้วว่าเดินไปทางไหน ? อย่างไร ? แต่ว่าเขาก็ให้อยู่สัญญา ถ้าหากว่า เราเปลี่ยนใจเมื่อไรไปหาได้ ไปถึงบริเวณนั้นแล้วนึกถึงเขา เขาจะมารับ ถ้าปกติธรรมดาจะไม่เห็นทางเข้ายกเว้นเขาตั้งใจให้เราไป หรือว่า คน ๆ นั้นมีกรรมเนื่องกันมาจึงจะเข้าไปได้

    ถาม : อ่านหนังสือหลวงปู่ธุดงค์ เข้าไปแล้วพบสิ่งแปลก ๆ เหมือนในนิทาน เป็นเรื่องจริง ?

    ตอบ: เหมือนจ้ะ แต่เวลาของเขาช้าจริง ๆ สมัยที่ยังอยู่วัดท่าซุงแล้วธุดงค์ ก็มีรุ่นน้อง ๒ ท่าน คือท่านชาติชาย ตามอาตมาขึ้นไปที่บ้านกระเหรี่ยงตะเพิน วันนั้นจะแยกกันก็เตือนท่านไว้ว่า ตรงทางนั้นอย่าเผลอเลี้ยวผิดนะ ถ้าคุณเลี้ยวผิดจะเข้าเมืองลับแลไปเลย ท่านชาติชายก็ครับ ๆ

    ปรากฏว่าวันนั้นกว่าท่านจะออกไปข้างนอกบ่าย ๒ กว่า ทั้ง ๆ ที่เริ่มเดินทางตั้งแต่ฉันเช้าเสร็จ ท่านบอกว่าก้มหน้าก้มตาเดินไปภาวนาไป อยู่ ๆ รู้สึกว่าภูมิอากาศเปลี่ยนหมด เหมือนกับสว่างผิดปกติ ต้นไม้เขียวใสผิดปกติ แต่แหงนดูแล้วไม่เห็นดวงอาทิตย์ อาจจะยังเช้าอยู่ แต่แสงมาจากทุกทิศทาง ต้นไม้ไม่มีเงาเลย เท่านั้นแหละ ท่านก็รู้ว่าใช่แล้ว เลยรีบออก ท่านบอกว่าแป๊บเดียวเท่านั้น ตอนที่เริ่มเดินประมาณ ๘ โมง แป๊บเดียวเท่านั้นเองออกมาเกือบบ่าย ๒ โมง

    ส่วนอีกท่านหนึ่ง ท่านสหชาติ พอได้ยินอย่างนั้นก็ขึ้นไปพิสูจน์บ้าง ท่านก็เดินดุ่ย ๆ ไป ปรากฏว่าหายไปทั้งคืน แล้วรุ่งขึ้นก็ออกมา ชาวบ้านถามว่าไปถึงไหนมา ท่านพูดสั้น ๆ ว่าหลงทาง คิดว่าคงเข้าไปถึงจุดนั้นเหมือนกัน

    ถาม : (ไม่ชัด)
    ตอบ: จริง ๆ ก็คือมนุษย์เรานี่แหละ เพียงแต่ว่าความดีเขาไม่พอจะเป็นเทวดา แล้วก็ดีเกินกว่าที่จะอยู่กับเราเท่านั้นเอง พวกนี้ส่วนใหญ่ศีล ๕ จะทรงตัว เป็นคน แต่เป็นคนชั้นดี เขาก็ปลูกผักปลูกหญ้าเหมือนเรา แต่ว่าพวกพืชผลของเขาจะงามผิดปกติ เขาเคยไปทำบุญกับหลวงปู่ครูบาชัยวงศ์ประจำ หลวงปู่ครูบาชัยวงศ์บอกให้สังเกตพวกนี้อยู่ มันมีอยู่ ๒ อย่างที่สังเกตได้

    อย่างหนึ่งก็คือ ผิวพรรณของเขาผ่องใสผิดปกติ อย่างที่สองคือว่า พวกนี้ไปทำบุญมักจะเอากล้วยไปด้วย ถ้าหากเป็นกล้วยเป็นหวี หวีหนึ่งจะมี ๑๖ ลูก ถ้ากล้วยเป็นเครือ เครือหนึ่งจะมี ๑๓ หวี พวกลูกศิษย์หลวงปู่ย่องตามไปอยู่เรื่อย บอกว่าเขาแต่งตัวกะมอมกะแมม เหมือนกับชาวบ้านธรรมดานี่แหละ เพียงแต่ว่าผิวพรรณเขาผ่องใส ถึงเวลาตามไป อยู่ ๆ เหมือนกับเดินลับหายไปเฉย ๆ แล้วก็ตามไม่เจอ

    ถาม : ภาษาของเขา ?
    ตอบ: ภาษาของเขาสามารถสื่อสารกับเราได้ทุกคน เหมือนกับภาษาใจนี่แหละ คือใครเข้าไปเขาคุยกับเรารู้เรื่องหมด แล้วคราวนี้ถามว่าพูดภาษาอะไรก็ไม่รู้ ถ้าเราไป เราถนัดภาษาอะไร เขาก็คุยภาษานั้นกับเราได้

    ถาม : เมืองลับแลมีอยู่ที่เดียวในโลก ?

    ตอบ: เยอะแยะไปหมด คือเขตของเขาอาจจะประเภทซ้อนเหลื่อมกันอยู่นิดหนึ่ง แต่ว่าทางเขามีเยอะ เหมือนกับหมู่บ้านโน้นหมู่บ้านนี้ เต็มไปหมด หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังว่า ตอนสมัยท่านยังเด็ก ๆ อยู่ ก็วัยรุ่นแล้ว ปกติแล้วกลางคืนจะเดินทางไป

    คือ สมัยหลวงพ่อท่านยังเด็ก ๆ ตำบลสาลีแทบทั้งตำบล เป็นญาติกันหมด หลวงพ่อท่านบอกว่า ถ้าใครมาคุยว่าเป็นญาติกับข้า อยู่บ้านใกล้ ๆ ฤๅษีลิงดำตั้งแต่เล็กแต่น้อยอย่าไปเชื่อแม่ง เพราะว่าตำบลสาลีทั้งตำบลเป็นลูกพ่อแม่เดียวกันเกือบหมด ลูกหลานตระกูลเดียวกันเกือบหมด แล้วคราวนี้ท่านก็มี นิสัยเฉพาะตัวว่า ก่อนจะนอน ต้องไปไหว้ย่าก่อน ก็จะต้องเดินไป ต้องข้ามไปบ้านอื่น กว่าจะไหว้ย่าเสร็จแล้วก็กลับเรือนตัวเองแล้วนอน ท่านบอกว่าวันนั้นท่านเดินไป อยู่ ๆ เจอบ้านแปลก ๆ อยู่กลางทางไม่เคยเห็น หน้าตาคนก็ไม่รู้จัก ไม่ใช่ญาติเราแน่ ๆ เลย แต่มันอยู่กลางทาง ตอนนั้นไม่ได้สงสัย คิดว่าคนมาอยู่ใหม่ ก็ไปกราบย่าเสร็จแล้ว จะเดินทางกลับมานอน ปรากฏว่าบ้านหลังนั้นไม่มีแล้ว แสดงว่าตอนนั้นของท่านเขาเปิดให้ดูอยู่แป๊บหนึ่ง

    คนจริง ๆ มันเหลื่อมกันอยู่นิดเดียว เหมือนกับว่าเป็นฤทธิ์ที่เกิดจากวิบากกรรม ที่เขาสามารถที่จะปิดทางไว้ไม่ให้คนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาเข้าไป เขามีฤทธิ์โดยวิบากกรรม เรียกว่า กัมวิปากะชาฤทธิ์ ที่หัวหน้าลับแลอยู่ ๆ เขาก็แวบมา เราดู เฮ่ย...ไอ้นี่อภิญญาชัด ๆ แต่คราวนี้จะไปท้าแข่งกับเขา เราก็ไม่มั่นใจ กลัวแพ้ เพราะว่าเขาใช้ประจำ คนใช้ประจำจะคล่องกว่าเรา นึกจะไปไหนก็ไป

    ถาม : เขาออกมาอยู่กับคนไหม ?

    ตอบ: ไม่รู้จะมาทำไม ? มีอยู่ที่ตะเพิน สมัยก่อนเขาก็มาช่วยงานคนข้างนอกอยู่ ถึงเวลามีลงแขก มีเกี่ยวข้าว เขาก็ออกมาช่วยกันเกี่ยวให้ แต่ไอ้หนุ่มข้างนอกไปเห็นสาวของเขาสวยก็ไปลวนลาม เขาก็เลยไม่มาอีก

    ถาม : เขามีเผ่าพันธุ์มาก ?

    ตอบ: ก็ได้ ไม่มีปัญหา เขาก็อยู่ของเขา อย่าลืมว่าเขาไม่ได้มากเท่ากับคนนะ เพราะฉะนั้น ถ้าเขตที่เหลื่อมกันอยู่อย่างนั้น เขาสามารถขยายได้ ๖-๗ พันล้าน พอ ๆ กับเรา

    ถาม : มีทีวีไหม ?

    ตอบ: เขาเห็นว่าเหลวไหลจ้ะ กลายเป็นเพ้อเจ้อไปเลย คือของเขาที่สำคัญคือปัจจัย ๔ นอกเหนือจากนั้นไม่มีความหมาย ความรู้ทางวิทยาศาสตร์อาจจะไม่เท่ากับเรา แต่ความเจริญด้านจิตใจเยอะกว่าเราแน่ ๆ ถ้าหากว่าจะไปนิพพานเขาก็ไปได้ ใจเกาะพระนิพพานก็ไปนิพพานเหมือบกับเรา เขาก็เลยต้องแยกไปอีกเขตหนึ่งต่างหาก ถือว่าเล่านิทานให้ฟังก็แล้วกัน อันนี้ยังดีว่าเป็นลับแลมนุษย์

    ถ้าหากว่าลับแลเทวดา สาหัสกว่านี้อีก ย้ายบ้านตามได้ ไอ้เราธุดงค์เดินซะจนลิ้นห้อยเป็นวัน ๆ แล้ว ก็ไปจ๊ะเอ๋บ้านเขาอีก มันเตรียมไปรอใส่บาตร ย้ายบ้านตามได้ เขาเองแค่คิดก็ไปโผล่ตรงโน้นแล้ว ของเราเดินแทบตาย ลับแลมนุษย์นี่ยังไม่กระไรนักหรอก ไม่หลงเข้าไปไม่มีปัญหา ลับแลเทวดาเขาถูกใจขึ้นมาเขาตามไปทำบุญด้วย

    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  2. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ถาม: ทำไมโลกนี้ไม่มีศาสนาเดียว ?

    ตอบ: เพราะว่าความเชื่อของเคนต่างกัน พอมีคนประกาศจุดยืนขึ้นมาใครคล้อยตามอันไหน ก็ไปข้างนั้น แค่นี้เองจ้ะ

    ถาม : ลูกมีมานะเยอะ

    ตอบ: ไม่เป็นไรจ้ะ ปล่อยเขา เราช่วยแค่ที่ช่วยได้ ถือว่าทำหน้าที่ของแม่แล้ว ที่เหลือก็แล้วแต่เขา

    ถาม : ผีเข้าเพื่อนจะช่วยได้อย่างไร ?

    ตอบ: ถ้าเขาไม่ศรัทธา หรือไม่อาราธนาให้ช่วย บางทีก็ช่วยอะไรไม่ได้

    ถาม : (ไม่ชัด)

    ตอบ: จริง ๆ เขาไม่ได้เข้าจ้ะ เขาใช้อำนาจจิตบังคับอยู่ภายนอก เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่จะใช้คำว่า “ผีเข้า” ฟังง่ายดี

    ถาม : เป็นไปได้หรือ ?

    ตอบ: เป็นไปได้ เยอะด้วย แต่ว่าคน ๆ นั้นต้องมีกรรมอันเนื่องกันมา ถึงวาระถึงเวลาที่เขาจะเล่นงานคน ๆ นั้นได้ ก็คือจังหวะของกุศลกรรมขาดลง อกุศลกรรมเข้ามาพอดี หมายความว่าความดีขาดช่วย ช่วงความชั่วที่เคยทำเข้ามา ก็เลยโดนเขาเล่นงานได้ง่าย

    ถาม : วิญญาณที่มาเล่นงานไม่บาปหรือ ?

    ตอบ: จริง ๆ ถ้าหากว่ามีกรรมเนื่องกันมา เป็นสิทธิของเขาจ้ะ ส่วนจะบาปหรือไม่บาป เขาไว้คิดกันทีหลัง ขอให้ได้เฉ่งไว้ก่อน

    ถาม : ถ้าทำบุญให้เขา ?

    ตอบ: ก็ถ้าหากว่าเป็นวาระของเขาก็ต้องใช้ความพยายามหน่อยจ้ะ เพราะว่าเขาไม่ค่อยที่จะยอมอะไรง่าย ๆ ต้องตกลงกันหลายยกเลยหรือไม่ ก็ต้องทำบุญให้เขาบ่อย ๆ จนกว่าเขาจะใจอ่อน

    ถาม : ปลวกขึ้นบ้าน

    ตอบ: ปลวกขึ้นบ้านไม่อยากฆ่ามัน มีเชลล์ไดร์ฟไหม มันขึ้นเป็นจอมใหญ่หรือเป็นสาย ถ้าหากว่าเป็นสาย เวลากลางวันเราเขี่ยมันออก เพราะปลวกจะหากินกลางคืน พอใกล้สว่างมันจะกลับรู เรารื้อทางเดินของมันออก เสร็จแล้วก็ฉีดยากันไว้ ฉีดพวกเชลล์ไดร์ฟใส่ไว้ได้ มันจะไม่ขึ้นไปอีก แต่ถ้าหากว่าเป็นจอมปลวกใหญ่ ๆ เลยนะ ก็อย่าไปทำลายรังมัน ให้เป็นจอมอยู่อย่างนั้น แต่เราเอาราด ราดใส่มัน มีแบบราด มันจะย้ายหนีไปเอง

    มันบาป แต่ว่าคุณรื้อตอนกลางวันนั่น มันยังไม่มีตัว ไอ้ทางเดินนั่นน่ะ เสร็จแล้วฉีดยาใส่ไป แล้วตอนที่ราดใส่รังนั่นน่ะ พอกลิ่นลงไปมันก็อพยพหนี

    ถาม : เรื่องพระธุดงค์

    ตอบ: พระที่ธุดงค์ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง นอกจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พอกลัวขึ้นมาก็จะยึดที่พึ่งจริง ๆ ถ้าไม่กลัวเมื่อไรก็ไปเรื่อย อาตมาเคยธุดงค์ ไปสถานที่หนึ่ง เป็นป่าดงดิบลึกมาก พวกสัตว์ยังมีมาก เคยไปโดนพวกควายปละ คือ ควายที่หลุดจากชาวบ้านกลายเป็นควายป่าไป มันล้อมอยู่ทั้งฝูงเลย นึกเอาแล้วกัน ป่ามันใหญ่แค่ไหน

    คราวนี้อยู่ในนั้นเป็นอาทิตย์ จิตตรงเปรี๊ยะ ไม่ต้องภาวนา เพราะมันกลัวว่าจะต้องตาย อันตรายเยอะ พอวันที่ออกมาเดินเรื่อย ๆ จนในที่สุดจำภูมิประเทศได้ว่า จากตรงนี้อีกประมาณ ๑ ชั่วโมง เราจะถึงบ้านคน พอรู้สึกว่าใกล้บ้านคน ความรู้สึกว่าอันตรายก็ลดน้อยลง ใจมันคลายออกมาเอง ตอนนั้นสาย ๆ ซักประมาณ ๙-๑๐ โมง แดดสายเริ่มจัดก็ส่องลอดยอดไม้ลงมาได้ ในป่าดงดิบก็มีหลุดมาได้ไม่เท่าไร ก็เป็นเส้น ๆ เป็นลำออกมาแล้ว ไอหมอกมันพันกันอยู่ มันดูสวย ใจไหลตาม กลายเป็นนึกถึงเนื้อเพลง “ดวงตะวันลับทิวเมฆไม้ ใจพี่ก็หาย หายลับไปกับตะวัน” เลิกภาวนาไปเลย แล้วก็ไม่รู้ใครเมตตา ถีบตูมให้กระเด็นลงน้ำไปทั้งตัว โอ้โห แล้วฤดูหนาว เปียกตั้งแต่หัวถึงเท้า สั่นแหง็ก ๆ ไปตลอดทางเลย สมน้ำหน้า นั่นแหละ พอไม่มีที่ให้กลัว มันเริ่มรู้ว่าใกล้บ้านคน เออ...
    ปลอดภัย ใจหลุดออกจากภาวนาเอง เสร็จแล้วมันก็ไหลไปเป็นเพลง โดนไปเต็ม ๆ เปียกม่อล่อม่อแลก

    ถาม : (ไม่ชัด)

    ตอบ: ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะว่าไปไหนก็ขอบารมีครูบาอาจารย์ เทวดาพรหมท่านช่วยอยู่ คราวนี้ตอนเผลอน่ะสิ ท่านก็เลยเมตตาช่วยส่งให้ไปเร็วหน่อย กำลังเดินลงเนินพอดี ทางเดินในป่าส่วนใหญ่ เราจะเดินไปกับลำห้วยลำธาร มันเดินง่ายเพราะว่าในป่าจริง ๆ มันทึบแหวกไม่ไป

    คราวนี้กำลังเดินลงเนินอยู่ ใครยันมือกางเท้ากางร่อนลงไปในแอ่งน้ำข้างล่างพอดี เปียกไม่มีเหลือ เปียกหมดทุกชิ้นที่มีเลย เผลอจ้ะ คือว่าช่วงนั้น มันแน่นเกินไปก็ว่าได้ เพราะว่า ๗-๘ วัน มันทรงเปรี๊ยะไม่กระดิกเลย ไอ้ผีก็คอยจะหลอกจะแกล้ง พวกสัตว์ต่าง ๆ บางทีมันหากินห่างนิดเดียว ใจต้องคอยระวัง ก็คอยแผ่เมตตาคอยภาวนา มันทรงตัวของมันเอง ไม่ต้องขยับเลย พอทรงตัวนาน ๆ มันก็คงเหนื่อยมั่ง ถึงเวลารู้สึกตัวปลอดภัย แหม มันหลุดพรืด คลายของมันโดยอัตโนมัติ ภาวนาก็ไม่ต้องภาวนา หลุดออกมาก็ไม่ต้องตั้งท่า มันหลุดของมันเอง

    ถาม : (ไม่ชัด)

    ตอบ: จำเอาไว้ว่าคนเราสำคัญตรงจิตแรกที่ยึด แม่ตั้งใจทำบุญปีใหม่ ตอนที่กำลังทำบุญใจเกาะบุญอยู่ ถึงหลังจากนั้นช่วงหนึ่งตีว่าครี่งวัน-วันหนึ่งก็ตาม ใจเขาจะฟุ้งซ่านเรื่องอื่น แต่ถ้าเสียชีวิตตรงนั้น จิตแรกที่เกาะบุญอยู่จะส่งผลให้ก่อน เพราะฉะนั้นเขาจะสบายไปเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปกังวลหรอก แบบเดียวกับที่หลวงพ่อเคยสอนพวกเราว่า แต่ละวันตื่นนอนให้ตั้งใจว่า มันจะตายด้วยอุบัติเหตุอะไรก็ดี เราขอไปพระนิพพาน แล้วท่านบอกว่าวันนั้นทั้งวันจะฟุ้งซ่านเรื่องอะไรก็ตาม แต่จิตแรกมันมีสภาพจำ เราตั้งใจไว้อย่างนั้น มันเหมือนกับเราเซตคอมพิวเตอร์ไว้ หรือไม่ก็ซื้อตั๋วรถนั่งรออยู่ ถึงเวลารถมันไปของมันเอง จริง ๆ ต้องถือว่าโชคดีปีใหม่ แม่ไปสบาย แต่คราวนี้สายตาของพระมองคนละอย่างกับชาวโลก สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นความทุกข์ของชาวโลก ถ้าสายตาของพระจริง ๆ จะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะว่ามันสอนใจให้รู้ว่าโลกนี้ทุกข์จริง ๆ ร่างกายนี้ทุกข์จริง ๆ เราทุ่มเทเงินกี่หมื่นกี่พันล้าน ก็ไม่สามารถที่จะซื้อพระนิพพานได้ แต่ถ้าเราเห็นทุกข์แล้ว เราเบื่อมัน เราต้องการไปนิพพาน เราไปได้

    เพราะฉะนั้นความทุกข์ทุกอย่างมีคุณค่ามหาศาล เพียงแต่เรามองมันให้เป็นรึเปล่า ? เท่านั้นเอง แล้วเราก็จะไปเก็บมันเอาไว้ จริง ๆ ทุกข์เก็บไม่ได้ เรากำหนดรู้ แล้วก็ปล่อยให้มันเป็นธรรมดาของมันอยู่อย่างนั้น อย่าเก็บมันมาใส่ใจ ถ้าใส่ใจเราแบกทุกข์หาบทุกข์อยู่ มันจะหนัก เขาให้กำหนดรู้เฉย ๆ รู้แล้ววาง รู้เท่าทันมันว่าเราไม่ต้องการเกิดมาทุกข์อย่างนี้อีก รู้เท่าทันมันว่าโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์เช่นนี้ เราไม่ปรารถนามันอีก ไปนิพพานดีกว่า จำไว้นะ รู้แล้ววาง อย่าไปรู้แล้วแบก ไม่เป็นไรจ้ะ เดี๋ยวแบกเหนื่อย ๆ เข้าก็เลิกไปเอง

    ถาม : ศาสนาเสื่อม ?

    ตอบ: เหตุผลก็ต่าง ๆ กัน แต่ว่าเหตุที่ศาสนาไม่สามารถจะดำรงอยู่ได้นานนั้น เกิดจากภายในทั้งสิ้น ไม่มีภายนอก ภายในคือ บริษัท ๔ ได้แก่ ภิกษุ พระสงฆ์ทั้งหมด ภิกษุณี ก็คือพระสงฆ์ที่เป็นหญิงทั้งหมด อุบาสก คือผู้ชายที่ปวารณาคนเข้าถึงพระรัตนตรัย อุบาสิกา คือผู้หญิงที่ปวารณาตนเข้าถึงพระรัตนตรัย ทั้ง ๔ เหล่านี้ไม่สามัคคีกัน ไม่ช่วยเหลือกัน รักษาและจรรโลงพระศาสนาก็จะเสื่อมหมด สาเหตุเกิดจากภายในทั้งนั้น ภายนอกใครตีเท่าไรก็ไม่มีผล เพราะว่าพุทธศาสนาเป็นของแท้พิสูจน์ได้ ก็เลยสำคัญอยู่ที่พวกเราเอง

    ถาม : ถ้าเผื่อบริษัท ๔ ไม่สามัคคี โอกาสที่พุทธศาสนาจะไม่ถึง ๕,๐๐๐ ปี?

    ตอบ: จริง ๆ แล้วมันต้องลากถูไปจนถึง เพราะว่าคนดีก็มีอยู่ สิ่งที่พระพุทธเจ้าทำนายถูกต้องแน่นอนไม่มีพลาด เพียงแต่ท้าย ๆ ของศาสนาในอันตรธานปริวรรตของปฐมสมโพธิถกาจะกล่าวถึง การเสื่อมสูญหมดสิ้นทั้ง ๔ อย่าง อันประกอบด้วย ปริยัติอันตรธาน ปฏิเวธอันตรธาน ปริยัติอันตรธาน คือการศึกษาเล่าเรียนธรรมะไม่มี ปริเวธอันตรธาน ก็คือผลของการศึกษา เล่าเรียนก็พลอยไม่มีไปด้วย ลิงคอันตรธาน เพศของภิกษุก็เสื่อมไป ธาตุอันตรธาน พระบรมสารีริกธาตุก็สูญสิ้นไป

    ท่านกล่าวเอาไว้ว่า ถึงวาระปลายศาสนาอย่างนั้น มันจะเกิดเป็นมิคสัญญี คำว่า มิคสัญญี คือ สำคัญว่าเป็นเนื้อเป็นปลา เจอหน้าฆ่ากันแหลกเลย ถึงวาระนั้นถึงเวลานั้นก็บอกว่าพระอินทร์จะปลอมเป็นชายแก่ เอารถเข็ญทองคำเท่าลูกฟัก ไปเที่ยวประกาศว่าใครรู้ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้พระสูตรใดพระสูตรหนึ่งให้ท่องบ่นมาให้ฟัง จะมอบทองคำนี้ให้ ก็ไม่มีใครรู้ ประกาศว่าใครรู้แม้แต่หัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง กล่าวมา จะมอบทองคำนั้นให้ก็ไม่รู้ จนกระทั่งรู้ว่าแม้แต่คำหนึ่งบอกให้ก็ไม่รู้ ถ้าอย่างนั้นแล้วจึงถือว่าศาสนาเสื่อมสิ้นลง พอถึงวาระถึงเวลาอย่างนั้น ท่านจะปล่อยให้ไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก

    ถาม : ศาสนาของพระพุทธเจ้าบางพระองค์ไม่ได้รวบรวมพระไตรปิฎกไว้ ?

    ตอบ: ก็จริง ๆ เขาใช้มุขปาฐะ คือจำจดบอกเล่ากันปากต่อปากมาเรื่อย ๆ อย่าลืมว่าคนสมัยก่อนปัญญาดีกว่าเรามาก เอาแค่พุทธกาล อย่างพระอานนท์ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ท่านท่องได้หมด จำได้หมด บอกได้หมด รู้ด้วยตั้งแต่ต้นยันปลาย เทศน์ที่ไหน เทศน์กับใคร เมื่อไร เนื้อหาว่าอย่างไร บอกได้ทุกคำ ระยะแรก ๆ ก็จะเป็นมุขปาฐะสืบทอดกันมาเรื่อย ๆ เหมือนกัน เสร็จแล้วพอมาหลังพุทธปรินิพพาน จึงมีการสังคายนาพระไตรปิฎก เพราะว่าถ้าไม่รวบรวมไว้เป็นหลักฐาน เดี๋ยวเขาจะคัดค้านคำสอนว่าไม่ทราบว่าออกจากพระโอษฐ์พระพุทธเจ้าจริงหรือเปล่า

    เพราะเกิดจากพระสุภัททะวุฒบรรพชิตที่ท่านกล่าวจาบจ้วงพระพุทธเจ้า พระมหากัสสปเห็นว่าอันตรายจะเกิดกับธรรมวินัยถึงได้รวบรวมขึ้นมาไว้ พูดง่าย ๆ ก็คือถ้ามีเป็นหลักฐาน อย่างปัจจุบันนี้ ฝรั่งเอะอะก็ต้องมีเอกสารยืนยัน คราวนี้เอกสารยืนยันนี้มัน ๒,๐๐๐ กว่าปี มันก็พยายามที่จะมายืนยันว่า อันนี้เป็นการแต่งเติมขึ้นมา อันนี้สรรเสริญคุณพระพุทธเจ้าเกินจริง ก็ว่าของมันไปไปเรื่อย

    ศาสนาของพระพุทธเจ้านามว่า ปทุมมุตระ ศาสนาของท่านอายุ ๓๐,๐๐๐ กัป ไม่ใช่ ๓๐,๐๐๐ ปีโปรดทราบ อายุพระศาสนา ๓๐,๐๐๐ กัป อายุของคนประมาณ ๘๐,๐๐๐ หรือ ๑๐๐,๐๐๐ ปี แสดงว่ากำลังของท่านตั้งใจจะกวาดให้ไม่เหลือ

    ถาม : (ไม่ชัด)

    ตอบ: อันนี้จริง ๆ บางทีก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ท่านสร้างมา แล้วก็บริษัทบริวารทั้งหมดของท่านที่จะต้องสงเคราะห์ คราวนี้ถ้าบริษัทบริวารที่ท่านจะสงเคราะห์เพื่อเข้าถึงมรรคผลถ้ามันยังมาไม่หมด อายุของศาสนาก็ต้องยาวหน่อย เพื่อที่จะรอ

    ถาม : (ไม่ชัด)

    ตอบ: จ้ะ ถ้าอยากมันจะไม่ผ่าน อาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกายให้กำหนดรู้ไว้ว่ามันเกิด อย่าไปสนใจมัน ถ้ามันมีลมหายใจอยู่ ให้สนใจอยู่กับลมหายใจ ถ้ามันมีคำภาวนาอยู่ ให้สนใจคำภาวนา ถ้าทำลักษณะนี้ จะก้าวผ่านไปได้ แต่ถ้าเราไปสนใจมัน ดิ้นรนอยากพ้นจากมัน อยากให้มันมา อะไรก็ตาม มันจะก้าวพ้นไม่ได้

    ถาม : เหมือนมีพลังบางอย่าง

    ตอบ: ขณะที่เราภาวนา กำลังสมาธิพอมันทรงตัว มันจะสะสมเป็นพลังงาน คราวนี้ถ้าหากว่าพลังงานนี้ไม่ได้ใช้ออก บางทีมันก็กระทบกระทั่งเรารู้สึกได้ว่าตอนนี้ของมันกำลังเต็มที่ กำลังมีอยู่ เขาให้ใช้กำลังนั้นในการพิจารณาตัดกิเลส คือพยายามดูว่าร่างกายของเราให้มันไม่เที่ยง ให้มันเป็นทุกข์ ให้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราให้ได้ หรือไม่ก็ดูทุกข์ สาเหตุของการเกิดทุกข์ รู้สาเหตุแล้วก็ดับเหตุนั้นเสีย ทุกข์ก็จะดับ หรือไม่ก็ดูว่ามันเกิดดับอยู่เสมอ มันเป็นทุกข์เป็นภัย มันเป็นของน่ากลัว มันเป็นของน่าเบื่อหน่าย มันควรจะไปเสียให้พ้น พอเราหันมาคิดพิจารณาอย่างนี้ กำลังของมันก็จะใช้ไปตามนั้น แล้วถึงเวลาพอพิจารณาไปจนเต็มที่แล้ว มันจะกลับมาภาวนาโดยอัตโนมัติ เพื่อเพราะสร้างกำลังนั้นใหม่ เราก็จับตัวภาวนาใหม่ พอภาวนาไปจนตันเต็มที่ไปไม่เป็น เหมือนกับอัดอั้นตีบตันไปไม่ถูก เราก็ถอยออกมาพิจารณาใหม่ มันต้องสลับไปสลับมาถึงจะก้าวหน้า ไม่อย่างนั้นทำเมื่อไรก็จะติดแหง็กอยู่แค่นี้

    ถาม : คิดพิจารณาว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่

    ตอบ: จ้ะ ให้รู้ว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ให้รู้ว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ โดยเฉพาะร่างกายเราเป็นทุกข์ โลกนี้เป็นทุกข์ เสร็จแล้วอยากจะพ้นทุกข์นี้ไหม ? อยากจะไปให้พ้นโลกนี้ไหม ? พยายามดูให้เห็นว่าร่างกายเป็นแค่เครื่องอาศัยเท่านั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา

    ย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกระทั่งมันไม่เถียงเรา พอบอกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา มันไม่เถียงเลยถึงจะใช้ได้ แต่ถึงใช้ได้แล้วยังต้องทำบ่อย ๆ เพื่อความอยู่สุขของเรา พิจารณาไปเรื่อย ย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ห้ามเบื่อ

    ถาม : ไม่ได้หลับ แต่ผงกหัวหลับ ?

    ตอบ: อันนั้นจริง ๆ สติมันขาดจ้ะ สติมันขาด มันหยาบไปหน่อยก็เลยตามลมหายใจเข้าออกไม่ได้ พอถึงเวลามันเผลอมันก็โงก แล้วถึงเวลาพอเรามีสติรู้ตัว ก็มาคว้าลมหายใจใหม่ พยายามทำบ่อย ๆ เดี๋ยวมันละเอียดขึ้นมันก็จะไม่เป็น

    ถาม : นั่งแล้วรู้ตัวกะทันหัน ?

    ตอบ: อาการนั้นแหละที่บอกว่ามันหยาบไปหน่อย มันตามลมไม่ทัน พอมันตามลมไม่ทัน ถึงเวลามันก็เหมือนกับตัดหลับไปเฉย ๆ แต่จริง ๆ มันไม่หลับ มันมารู้ตัวบางทีก็ตอนวูบ ตกใจก็ลืมตาขึ้นมาคว้าลมหายใจเข้า-ออกใหม่

    ถาม : นั่งแล้วเหมือนจะลอยออกไป แต่เราเรียกกลับ ?

    ตอบ: จริง ๆ ถ้าหากว่าในอดีตเราเคยสร้างพวกฤทธิ์พวกอภิญญาอยู่ ถ้ากำลังมันพอ จะหลุดออกไปเลย นั่นคือกายในที่แท้จริงของเรา เราก็แค่กำหนดให้มันไปกราบพระพุทธเจ้า ให้มันไปพระนิพพาน ให้ไปรับรู้อะไรพวกนั้นต่าง ๆ ได้จ้ะ แต่ว่าบังเอิญกลัว ก็เลยดึงมันกลับ

    ถาม : นั่นคือ...?

    ตอบ: ลักษณะของจิตที่มันจะออก ออกไปแบบที่ถอดภายในไป ที่เรียกว่ามโนมยิทธิ

    ถาม : เขาชวนทำบุญ ควรปฏิบัติตนอย่างไร

    ตอบ: ถ้ามีพร้อมที่จะทำได้ ทำไปเลย ถ้าไม่มีพร้อมที่จะทำหรือว่าทำแล้วตัวเราลำบาก ก็ปฏิเสธไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำเป็นบุญเป็นกุศลทั้งนั้น นี่หมายถึงว่าสิ่งที่เขาชวนไปทำ มันเป็นบุญเป็นกุศลทั้งนั้น คราวนี้ถ้าเราทำแล้ว เราต้องมีตัวอุเบกขาตามหลังไปด้วย คือทำไปแล้วอย่าไปเสียเวลา อย่าไปสงสัย ให้รู้อยู่อย่างเดียวว่าเราทำ เราได้แล้ว อันดับแรกที่ได้คือ ได้สละออก เป็นการตัดความโลภ อันดับที่สองเป็นการสร้างเสริมทานบารมีของเราให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น เพื่อการเข้าสู่พระนิพพานของเรา ส่วนที่เหลือไปทำอะไร ไปทำที่ไหน ถ้าหากว่าเราไม่มีความมั่นใจ หรือว่าอะไรก็ตาม ให้ถือว่าเมื่อมีผู้ต้องการ เราสามารถสละออกได้ เราพอใจแล้ว เอาแค่นั้นพอ ถ้าไม่อย่างนั้น เราจะกลุ้มเอง

    เพราะถ้าขาดตัวอุเบกขาบารมี ไปคอยคิดอยู่เสมอ ๆ บางทีบุญมากมันจะกลายเป็นบุญน้อย ที่บุญมากหลายเป็นบุญน้อย ก็คือว่ามัวแต่ไปห่วงไปกังวลอยู่ พอไปห่วงไปกังวลจิตมันหมองแล้ว เอาเป็นว่าถ้าสละออกได้ ได้สละออกแล้ว ก็เอาให้จบแค่นั้น

    ถาม : ควรจะห่วงเขาหรือตัวเรา ?

    ตอบ: จิรง ๆ ที่น่าห่วงที่สุด คือตัวเรา เพราะถ้าตัวเราไม่รอด เราก็ช่วยใครไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันว่าถ้าเราเอาตัวของเราไม่รอด เราเองแย่แน่ ๆ ส่วนตัวของเขาเอง เขาอาจจะรอดก็ได้

    ถาม : เพราะฉะนั้นก็ทำไป

    ตอบ: ทำไป เหมือนกับอย่างกับว่า รู้ว่าเขาต้องการเราก็ให้ เอาแค่นั้น เห็นคนมันลำบาก ประเภทมาถึงแบมือมา เราก็ส่งให้ไปเลย ไม่ต้องไปสนใจ มันจะเอาไปกินเหล้า มันจะหลอกลวงเรา มันจะมาต้มตุ๋นเรา ไม่ต้องไปสนใจ รู้ว่าเราได้สละออกก็พอ

    ถาม : (ไม่ชัด)

    ตอบ: ก็ดูว่าเรื่องของการปฏิบัติ มันต้องโลกไม่ช้ำ ธรรมไม่เสีย แต่ขณะเดียวกัน ถ้าไปถึงจุด ๆ หนึ่งแล้ว สิ่งที่เราทำถ้ามันเป็นบุญกุศลแท้แน่นอน เรารู้ว่าทำอันนี้ดีต่อตัวเราและคนรอบข้างแล้ว ต่อให้มันเสียสักคนสองคนก็ต้องยอมสละ

    อย่างเช่นว่า ถ้าหากว่าเราปฏิบัติในส่วนของศีล ๘ ศีล ๘ นี่เรียกว่าที่นินทาของชาวบ้านดีนักแล อาตมาสมัยก่อนไปนั่งมองเขากินไม่พอต้องควักกระเป๋าจ่ายให้เขาด้วย ถ้าเรารู้ว่าเราทำแล้ว ตัวนี้หลักการปฏิบัติจะก้าวหน้าขึ้น ถ้าการปฏิบัติของเราก้าวหน้าขึ้น เราสามารถช่วยคนได้อีกมาก หรือว่าเป็นพื้นฐานสำคัญของการเตรียมบวชของเรา เราทำแล้วดีแน่ แต่พ่อแม่หรือเพื่อนฝูงบอกว่าอย่าไปทำมันเลย อะไรอย่างนั้น ประเภทที่เรียกว่าเอ็งจะบ้าไปทำไมวะ ? อยู่คนเดียว ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องไปฟังหรอก เราทำของเราไปเหอะ เคยโดนเขาว่าบ้ามั้ย ? ถ้ายังไม่เคย ยังใช้ไม่ได้นะ นักปฏิบัติต้องให้คนสรรเสริญว่าบ้าได้ ถึงจะพอเอาตัวรอด

    ถาม : วัดท่าซุงปิดกี่โมง ?

    ตอบ: ถ้าเป็นสมัยหลวงพ่อปิด ๖ โมงเย็น ถ้าหากว่าจะไปไหว้พระไม่เกิน ๔ โมงหรอก แวะเข้าไปก็ได้ ไม่ทันก็กราบข้างนอก แบบอาตมาคุกเข่ากราบกลางลานนั้นเลย ไม่เห็นมีปัญหาเลย ก็เราจะกราบ

    ถาม : สังฆทานไม่เกี่ยวกับอานิสงส์

    ตอบ: ไม่ได้เกี่ยวกันเลย มันเต็มที่กำลังใจ คือกำลังใจพร้อมสละออกอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ชีวิตถ้าเขาจะเอา เราก็ให้ได้ มันเป็นเรื่องของบารมีคือ กำลังใจล้วน ๆ อานิสงส์ก็คือสิ่งที่เราทำแล้วมันตอบแทนมาให้ ถึงต้องการหรือไม่ต้องการมันก็ให้ แต่จะว่าไม่เกี่ยวเลยก็ไม่ได้ เพราะว่าอานิสงส์นี่แหละที่ทำให้เราเข้มแข็งขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงขนาดที่ปล่อยวางได้แม้แต่ชีวิตตัวเอง

    การปล่อยวางไม่ยึดมั่นถือมั่น นั่นเลยการสร้างบารมี ถ้าหากว่าเราไปปล้ำ ๑๐ ตัวน่ะ มันเหนื่อย จริง ๆ แล้วทำตัวใดตัวหนึ่งให้มันจริง ๆ อีก ๙ ตัวพลอยได้ไปด้วย สมมติว่าอย่างพวกเราชอบถวายสังฆทานจัดเป็นทานบารมี ถือว่าเราเริ่มด้วยทานบารมี คนจะทำทานบารมีได้ต้องมีความรู้ว่าทานบารมีนี้ดี เราจึงทำ ก็ต้องมีปัญญาบารมีใช่ไหม แล้วบุคคลที่ให้ทานคนอื่นได้ ต้องมีความเมตตา ความสงสารเขาจึงจะให้ได้ มันก็ต้องมีเมตตาบารมีด้วย ในเมื่อมีเมตตาบารมี

    ศีลบารมีจะคุมเป็นปกติอยู่แล้ว เพราะศีลเป็นการเบียดเบียนคนอื่น ในเมื่อเรารักเขาเมตตาเขามันก็เบียดเบียนเขาไม่ได้ การที่เราจะสร้างบารมีมันก็ต้องประกอบไปด้วยความเหนื่อยยาก อาจจะต้องแสวงหาทรัพย์สินมาด้วยความลำบาก ต้องใช้ความอดทน อดกลั้น ขันติบารมีเราก็มีอยู่ ตั้งหน้าตั้งตาจะทำบารมีให้เต็มจริง ๆ ความพากเพียรมันต้องมี วิริยบารมีของเราก็มี เราตั้งใจว่าเราจะต้องทำให้ได้ ไม่ถึงพระนิพพานไม่เลิก อันนี้ก็เป็นสัจจบารมี ตั้งใจว่าทำความดีของเราทั้งหมดเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา จิตเรามุ่งตรงต่อพระนิพพาน อันนี้เป็นอฐิษฐานบารมี เสร็จแล้วก็อย่างที่ว่านั่นแหละ พอถึงเวลาเรามีหน้าที่ทำ เรามีหน้าที่ให้ เราได้ทำแล้ว เราได้ให้แล้ว ส่วนเขาจะเอาไปทำอย่างไรเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับเรา เป็นอุเบกขาบารมี

    ขณะเดียวกันในขณะที่เราสร้างบารมีเหล่านั้น เราเจตนาให้ เพื่อเป็นการละความโลภ ตัดความโลภจริง ๆ ไม่ได้คิดว่า เออ...ให้เขาแล้ว เขาต้องมารักเรา ชอบเรา ถ้าเป็นเพศตรงข้ามต้องมาเป็นผัวเราเมียเรา ตัวเนกขัมมบารมีมันก็มีอยู่ สรุปแล้วตัวเดียวได้ครบไหมล่ะ ? เพราะฉะนั้นคุณเริ่มตัวไหน อีก ๙ ตัวมันมาด้วย เพราะถ้ามันเต็มซักตัว ตัวอื่นก็เหมือนกัน

    ถาม : จะอธิบายอย่างไรว่าการทำตามพระพุทธเจ้าจะมีผล ?

    ตอบ: ก็...จริง ๆ ก็คืออธิบายของหลักการทำก็แล้วกันว่า หลักการทำบุญคือว่าอันดับแรก ถ้าเจตนาบริสุทธิ์ คือให้เพื่อเป็นการตัดความโลภ ละความโลภจริง ๆ ไม่ได้แอบแฝงว่าเราจะให้เพื่อให้คนอื่นชมเรา เราจะให้เพื่อให้เขาถ่ายรูปไปลงหนังสือพิมพ์ เพื่อให้เขาออกโทรทัศน์ เจตนาบริสุทธิ์

    อันดับที่สอง วัตถุทานบริสุทธิ์ ได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเราเอง ไม่ได้ลักขโมย หยิบฉวย ช่วงชิงหลอกลวงใครมา อันดับสาม ผู้ให้คือตัวเรามีศีลบริสุทธิ์ อันดับสี่ผู้รับคือพระสงฆ์หรือฆราวาสก็ตามมีความบริสุทธิ์ ถ้าหากว่าบริสุทธิ์โดย ๔ ส่วนนี้ อานิสงส์จะเต็ม ส่วนใดส่วนหนึ่งบกพร่องก็คือว่าบกพร่องไปตามส่วน

    บอกเขาว่าเหมือนอย่างกับเราจะผสมของชิ้นหนึ่ง ที่มันประกอบไปด้วยของ ๔ อย่างด้วยกัน ถ้าอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ผ่านการสกัดมาจนกระทั่งบริสุทธิ์เต็มที่ของมันของนั้นคุณภาพก็จะไม่ดี ถามเขาว่าหลักการอย่างนี้พอฟังได้ไหม ? จะได้เห็นง่ายหน่อย เพราะว่าตัวอย่างที่จะเอาชัด ๆ เลย อย่างทำบุญกับพระออกนิโรธสมาบัติรวยวันนั้นเลย โอกาสที่พวกเรากันเองจะทำมันยังยาก แล้วเขาจะไปหาที่ไหน ?

    ถาม : ทำบุญ...ไม่คาดหวัง

    ตอบ: จริง ๆ แล้วมันน่าจะดี เพราะว่าเป็นอัปมัญญา ลักษณะคล้าย ๆ กับสังฆทาน คือถ้าคนหมู่มาก ไม่ว่าคนใดคนหนึ่งก็ตาม ถ้ามีความต้องการเราพร้อมจะให้ แต่จริง ๆ แล้ว ถ้าเราเลือกคุณภาพหน่อยมันจะดี

    คราวนี้ตัวอย่างอย่างนี้มีในพระไตรปิฎกอยู่ แต่เรายกไปเขาก็ไม่รู้เรื่อง เหมือนกับว่าเขายกตัวอย่างในคัมภีร์ไบเบิลมา ถ้าเราไม่ศึกษา เราก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน ดังนั้นถ้าเรายกตัวอย่างไปจะกลายเป็นเชียร์กันเอง ให้เขาสังเกตอย่างนี้สิ บอกเขาว่ามันมีการพิสูจน์ได้เหมือนกัน แต่คุณต้องเสียเวลาระยะหนึ่ง คือให้คน ๒ คน เป็นอาสาสมัครในการให้ทาน คนหนึ่งเราให้ทานกับผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีทาน มีศีล มีภาวนาเป็นปกติ อีกคนหนึ่งเราให้ทานกับพวกลักเล็กขโมยน้อย เร่ร่อน จรจัด ขนาดไหนก็ตาม ให้มันไปเสร็จแล้วบอกว่าลองวัดผลดูว่า ในระยะ ๑ ปี สมมติว่า ๑ ปี แต่ละคนมีประสบการณ์อะไรดีหรือไม่ดี ให้เขาบันทึกเอาไว้ ถึงเวลาเอามาประเมินผลก็ได้ เพียงแต่ว่ามันต้องเสียเวลาเป็นระยะยาวหน่อย

    ถาม : วัดแจกวัตถุมงคล ไม่ใช่...

    ตอบ: ถ้าเขาว่าเด็กที่เพิ่งตั้งไข่ให้มันวิ่งเลยได้ไหม ? คุณพูดอย่างผู้ใหญ่ว่าของนั้นไม่สำคัญ เราไม่จำเป็นที่จะต้องไปนั่งเก้าอี้ ๓ ขา หรือเก้าอี้กลมมีล้อ เพื่อหัดยืนหัดถีบ เพราะว่าเราวิ่งได้แล้ว แต่ไอ้นั่นสำคัญที่สุด สำหรับเด็กที่เพิ่งหัดยืนหัดเดิน กำลังใจของคนแต่ละคนไม่เท่ากัน กำลังใจที่ต่ำต้องมีที่เกาะที่อาศัยก่อน เพื่อให้เป็นหลักยึดเหนี่ยวของจิตใจได้ จะได้สร้างกำลังใจตัวเองให้สูงขึ้น แต่ถ้าไปอยู่ในจุดที่เป็นพื้นฐานมั่นคงแล้ว เขาไม่ต้องอาศัยสิ่งยึดเหนี่ยว เขาก็ไปได้

    ดังนั้นถ้าหากว่าเขาพูดมาน่ะ...ใช่ แต่ว่ามันพูดถึงยอดเจดีย์ โน่น...ฉัตรอยู่บนยอดเจดีย์ เราจะเอาฉัตรแล้วไม่เอาตัวเจดีย์ ยอดเจดีย์ลอยอยู่ได้ไหม ? ทุกอย่างต้องมีการเริ่มต้น ต้องค่อยเป็นค่อยไป ระดับกำลังใจของแต่ละคนไม่เท่ากัน คุณจะเอาธรรมบริสุทธิ์โดยส่วนเดียว ทั่วประเทศไทยมีรับได้ไม่ถึง ๑,๐๐๐ คน

    ถาม : หมายความว่า คนที่ทำระดับนี้...

    ตอบ: มันอวดรู้มากไป ยังรู้ไม่จริง ถ้ารู้จริงจะไม่ตำหนิใคร เพราะว่าทุกระดับมีความสำคัญทั้งนั้น หลวงปู่ดู่ท่านบอกว่า คนดีเขาไม่ตีใคร เลือกพูดแต่ส่วนที่ดีของคนอื่นเขา เพราะท่านดีหมด ในเมื่อท่านดีหมด สิ่งทีท่านเห็น มันก็ดีทั้งหมด แต่ขณะเดียวกัน คนมองโลกในแง่ร้ายเห็นอะไร ก็คิดว่าไม่ดีไปหมด เชื่อเหอะ

    เคยอ่านเรื่องไผ่แดงของคึกฤทธิ์ไหมล่ะ ? น่าจะอ่านซักหน่อย ไผ่แดงของคึกฤทธิ์จะมีสมภารกร่างเป็นตัวเอก เป็นเจ้าอาวาสวัดไผ่ตัน มีคู่ปรับก็คือนายแกว่น นายแกว่นเป็นผู้มีอิทธิพล แล้วแกก็ปลุกระดมชาวบ้านว่า ศาสนาเป็นยาเสพติด ส่วนใหญ่เข้ไปพักหนึ่งก็ติดหนุบติดหนับเลย ศาสนาเป็นยาเสพติด ทำให้ประชาชนประเภทที่เรียกว่าขี้เกียจ เอะอะก็จะถือแต่สันโดษ ไม่มีความดีอะไรพอที่จะยึดถือ แล้วเสร็จแล้ววันนั้นได้ข่าวคอมมิวนิสต์จะบุก ชาวบ้านก็ไปหาสมภารกร่าง ไปขอผ้ายันต์ ไปขอพระ เพื่อเป็นเครื่องป้องกันตัว จะได้สู้กับคอมมิวนิสต์ พอมีกลุ่มคนโผล่พ้นชายทุ่งมา ตาแกว่นวิ่งพรวดพราดไปถึง สมภารขอผม ๑ องค์ นั้นแหละไอ้คนที่บอกว่า ศาสนาเป็นยาเสพติด ทุกสิ่งทุกอย่างทำให้ยึดติด มันเอาซะเอง กลัวตายขึ้นมา ขอมั่ง

    เราจะเอาธรรมะบริสุทธิ์โดยส่วนเดียว บุคคลที่รับได้มันน้อยเต็มที การสงเคราะห์คนก็ดูเบา คนที่ไม่ต้องการเลยก็มี ที่ไม่ต้องการเลย ถึงเวลาให้ไปแล้วส่งคืนมา จริง ๆ จะว่าดีหรือมันดีแค่นั้น การมั่นใจในตัวเองน่ะดี การสละออกน่ะดี แต่มันเหมือนกับเดินไปอยู่กลางดงที่เขาตีรันฟันแทงกัน ไม่มีเกราะป้องกันตัว ถึงเวลาส่งเกราะให้ ถอดคืน ผมไม่จำเป็นต้องใช้หรอกมีสิทธิ์เดี้ยงน่ะสิ

    แต่ขณะเดียวกันคนที่ฉลาด มีปัญญายังไงเขามีเอาไว้ อาราธนาเอาไว้ทุกวัน ถึงเวลามีอะไร ถ้ามันหนักก็เป็นเบา ถ้ามันเบาก็เป็นหาย อย่างน้อยบรรเทากฎของกรรมไปได้ช่วงหนึ่ง ก็เลือกเอาว่าเราจะเอาแบบไหน ? ไม่ประมาทให้ถึงพร้อมอย่างพระพุทธเจ้าท่านว่า หรือว่าจะประมาทด้วยความมั่นใจตัวเองเกินไปดี เท่าที่เจอมา ส่วนใหญ่คนประเภทนั้น ดีแต่ตำหนิคนอื่นเขา ตัวเองไม่ค่อยได้ทำหรอก ไปเที่ยวมองหาจุดอ่อนแล้วก็มาว่า บางอย่างรู้ไม่จริงก็ว่าไปเรื่อย


    [​IMG]
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...