ฉบับที่ ๖๔ เดือนมิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๒

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 29 มิถุนายน 2009.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    ถาม: การปฏิบัติเข้าถึงมรรคผล...
    ตอบ: เราต้องทำเอง ใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้ ภายนอกอย่างพระพุทธเจ้าก็ดี ครูบาอาจารย์ก็ดี พรหมเทวดาก็ดี ได้แต่สนับสนุน บอกวาระบอกเวลาเท่านั้น อย่างเช่นว่า เอ้อ...ตอนนี้จังหวะที่ควรจะได้มรรคผลแล้วนะ กุศลเก่าของเธอกำลังส่ง ให้เร่งปฏิบัติเข้าไว้ หรือควรจะทำอย่างนั้น ควรจะทำอย่างนี้ แต่คนทำจริง ๆ คือตัวเรา ถ้าไม่ทำก็ฝันไปเถอะ คำพยากรณ์เขาว่ากันตามปัจจุบัน ในเมื่อว่ากันตามปัจจุบัน กำลังใจตอนนั้น ถ้าทำอย่างนั้นตลอดไป มันจะได้เมื่อนั้น ถ้าเราเร่งกำลังใจมากขึ้นมันจะได้ก่อน หย่อนกำลังใจลงมันจะได้ทีหลัง จะไปว่าท่านผิดไม่ได้ มันอยู่ที่เราเอง
    จะว่าไปแล้วเรื่องการถือมงคลตื่นข่าว มันเป็นธรรมดาของปุถุชนทั่วไป ใครว่าอะไรที่ไหนดีก็แห่ไปที่นั่น แต่ถ้าเป็นพระอริยะเจ้าตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป ท่านรู้อยู่แล้วว่าที่ดีจริง ๆ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในส่วนที่เป็นนามธรรมเท่านั้น นอกนั้นที่แห่ไปอาจจะเจอกายเนื้อล้วน ๆ ซึ่งมันพึ่งพิงอย่างแท้จริงไม่ได้ เดี๋ยวท่านก็ต้องจากไป
    เพราะฉะนั้น พระโสดาบันขึ้นไปจะไม่ถือมงคลตื่นข่าว มีจิตใจมั่นคง พระปฏิบัติดี คนปฏิบัติดีที่ไหน ก็น้อมให้ความเคารพเป็นปกติ แต่ถ้าประเภทที่เรียกว่าจะให้เปลี่ยนครูเปลี่ยนอาจารย์ เปลี่ยนการปฏิบัติของท่าน ท่านไม่เปลี่ยนแล้ว คือเห็นผลแล้วจากการปฏิบัติอย่างนี้ ก็จะทำต่อไป อย่างเช่นว่า วัดโน้นให้หวยดีไปนะ วัดนี้ของขลังดีนะไป
    การปฏิบัติเหมือนกับการกินอาหาร คนเรามันก็ต้องมีอาหารที่ตัวเองถูกใจถูกปาก การปฏิบัติแรก ๆ เหมือนกับว่าเริ่มไปกินอาหารอยู่ ถ้าไม่ถูกปากถูกใจ มันยังไม่มีอาหารใหม่ ไม่มีร้านใหม่ มันก็ทนกินไปก่อน เมื่อทนกินไปรู้ว่ามีร้านใหม่ที่ไหนที่มันดีกว่า ที่รสชาติมันถูกใจมากกว่า เขาจะเปลี่ยนร้านของเขาเอง
    สมัยก่อนที่ปฏิบัติใหม่ ๆ ก็ติคนโน้นว่าคนนี้ สำนักนั้นสอนผิด สำนักนี้สอนไม่ดี สำนักนั้นสอนจึงจะถูก สำนักนี้สอนจึงจะดี แต่ปัจจุบันนี้ ความรู้สึกมันก็คือว่า ใครก็ตามสามารถเอาคนเข้าวัดได้ ใช้ได้ทั้งหมด เพราะว่าอย่างน้อยมันเป็นเชื้อ...ปลูกฝังเชื้อแห่งความดีลงในใจของเขาเหล่า นั้น เมื่อถึงวาระถึงเวลา ผลบุญอันนี้ของเขารวมกับผลบุญเก่ามันส่งผลขึ้นมา เขาสามารถก้าวขึ้นไปสู่ระดับที่สูงกว่า เห็นว่าตรงจุดนี้ยังไม่ดีจริง เขาจะไปเสาะแสวงหาตรงจุดที่ดีกว่านั้นเอง เหมือนกับว่าเปลี่ยนร้านไปหาอาหารที่ถูกปากถูกใจตัวเอง ถ้าร้านไหนมันไม่ครบเครื่องครบครันจริง ๆ ถ้าได้ไม่ถูกปากถูกใจท่านก็เปลี่ยนไปเรื่อย พอเจอที่ที่เหมาะสมกับตนเอง คิดว่าจริตของตนเองเหมาะกับอาหารชนิดนี้ และจริตของเราเองเหมาะกับการปฏิบัติแนวนี้ ท่านจะหยุดอยู่ตรงนั้น แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำ
    เป็นไงเปลี่ยนร้านบ่อยไหม ? วันนี้มีคนมาสารภาพ บอกว่าเปลี่ยนการปฏิบัติมาจนนับครั้งไม่ถ้วน ไม่ได้ดีสักที มันก็คงจะเจริญหรอกนะ ขุดบ่อจะเอาน้ำ ขุดไปยังไม่ทันจะได้น้ำเลย เปลี่ยนที่ขุดอีกแล้ว เมื่อไรมันจะได้ล่ะ ?
    เพราะฉะนั้นเรื่องของการปฏิบัติ คว้าจุดใดจุดหนึ่งขึ้นมาต้องลุยให้จบไปเลย ถ้ามันจบสักจุดหนึ่งแล้วที่เหลือมันง่าย กำลังใจเท่ากันหมด เปลี่ยนวิธีการเท่านั้นเอง
    ถาม : ไปในลักษณะเป็นเนื้อนาบุญ
    ตอบ: ลักษณะนั้นก็ไปทำบุญกับท่าน ให้ท่านเป็นเนื้อนาบุญของเรา พาลูกศิษย์ไปรู้จักของดีบ้าง ถ้าหากว่าเป็นคำสอนแล้ว ถึงเวลาถึงวาระทั้งหมดมันก็จะลงอยู่ในพระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั่นแหละ ไม่ไปไหนหรอก
    ธรรมะของเราไม่มี มีแต่ธรรมะของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เราเรียนรู้ตรงจุดไหน แล้วชำนาญ ก็ยกตรงจุดนั้นขึ้นมา...เอามาสอน บรรดาคนที่เขาชอบตรงจุดนั้น ปฏิบัตแล้วได้ผลตามนั้น เขาก็ปฏิบัติตาม ๆ กันมา มันก็เลยกลายเป็นสายกรรมฐานต่าง ๆ ขึ้นมา ทั้งที่จริงแล้ว ทั้งหมดก็คือสายพระพุทธเจ้านั่นแหละ ไม่มีที่อื่นหรอก
    ถาม : ไม่ชัด...ไม่รู้จะเอาธรรมะตรงจุดไหนแก้ปัญหา ?
    ตอบ: หลวงพ่อท่านถึงได้บอกว่าศึกษาให้ครบ ศึกษาไม่ครบกับมันไม่ทัน เปิดตำรารับไม่ทัน ก็โดนเขาตีหงายท้องไปก่อน เคยฟังประวัติ...ปฏิปทาท่านผู้เฒ่าไหมล่ะ ? หลวงพ่อท่านบอกว่าหลวงปู่ปานให้ท่องวิสุทธิมรรคทั้งเล่มโดยเฉพาะส่วนของ กรรมฐาน ๔๐ ต้องจำให้ได้หมดว่ากรรมฐานแต่ละกองนิมิตเป็นอย่างไร คำภาวนาเป็นอย่างไร แต่ละกองมีคุณสมบัติอย่างไร ต่อต้านกิเลสตัวไหน ถึงเวลาจะได้คว้าขึ้นมาถูก
    แต่ว่ามันมีบางอย่าง อย่างที่อาตมาเจอมาเอง มันเป็นเรื่องที่เรานึกไม่ถึง อย่างเรื่องของราคะจริต เราก็คิดว่า เออ...ถ้าเรายังมีราคะอยู่เป็นปกติอย่างนี้น่ะ การสงเคราะห์คนมันก็ลำบาก เพราะมันต้องคอยระวังใจตัวเองเป็นอย่างมาก ก็เลยคิดว่าจะตัดราคะให้ได้ ปล้ำกับอสุภกรรมฐานมาปีแล้วปีเล่า ไม่สำเร็จ แรก ๆ ก็ดูที่ไม่ดี ดูไปดูมาตอนแรกไปใหม่ ๆ ก็อ้วกแตกอ้วกแตนอยู่เลย ปฏิบัติไปปฏิบัติมานาน ๆ เข้า มันชักเลือกดูแต่ที่สวย ๆ ศพเขาผ่ามาตรงเละ ๆ เราก็ไม่ดู เราเลือกดูตรงที่มันยังดีอยู่ ใจมันด้านขนาดนั้นน่ะ เสร็จแล้วก็ เอ๊...ทำไมเราทำแล้วไม่ได้ผล พอดีปีนั้นเรียนนักธรรมโท กล่าวถึง พระเจ้าอุเทนถาม พระรัฐบาลเถระ ว่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นคนหนุ่ม ย่อมมากด้วยกามราคะ เหตุใดจึงทรงธรรมทรงวินัยนี้อยู่ได้ ? พระรัฐบาลเถระกล่าวว่า มหาราชะ ดูกร มหาราช ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาดังนี้ว่า
    มาตุคามนี้สมควรตั้งไว้ในที่แห่งมารดา ก็ตั้งไว้ในที่แห่งมารดา
    มาตุคามนี้สมควรตั้งไว้ในที่แห่งพี่สาว ก็ตั้งไว้ในที่แห่งพี่สาว
    มาตุคามนี้สมควรตั้งไว้ในที่แห่งน้องสาว ก็ตั้งไว้ในที่แห่งน้องสาว
    มาตุคามนี้สมควรตั้งไว้ในที่แห่งลูกสาว ก็ตั้งไว้ในที่แห่งลูกสาว
    ภิกษุในธรรมวินัยนี้พิจารณาดังนี้ จึงทรงพรหมจรรย์อยู่ได้

    โอ้โห...ฟังแค่นี้ สว่างไป ๓ โลกเลย นี่...ตัวเมตตาบารมี รักเขาเหมือนคนครอบครัวเดียวกับเรา เห็นเขาเป็นคนครอบครัวเดียวกับเรา ตัวจิตราคะมันเกิดไม่ได้ เห็นเขาเป็นพี่เป็นน้อง เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นลูกเป็นหลานของเราเอง พอมันมาลงตรงนี้ จึงได้นึกไปที่หลวงพ่อท่านบอกว่า กรรมฐานทุกกอง ถ้าตั้งใจทำไปนิพพานได้หมด แล้วถ้ามันตัดราคะไม่ได้อย่างที่เราต้องการจะไปนิพพานได้อย่างไร ? เพียงแต่มันตัดในมุมไหนในแง่ไหนเราต้อง....(?) มันให้ถึง ต้องจับมันให้ติด พอมาเจอตรงนี้เข้าอสุภกรรมฐานที่ปล้ำมาตั้งหลายปีก็กองอยู่นั่นแหละ โครงกระดูกที่แขวนอยู่ไว้ในกุฏิตั้งหลายปี ก็เอาไปคืนได้แล้ว บรรดาผีทั้งหลายที่เคยแบกศพมาผ่าให้ดูเป็นศพ ๆ ก็เลิกได้แล้ว อันนั้นเขาเมตตาเองนะ เขารู้ว่าพระสมัยนี้คงประเภทหาศพดูได้ยาก แบกมาให้ยันกุฏิเลย แล้วที่แบกมาเจ้าประคุณเอ๊ย...สเป๊กเราทั้งนั้นเลย ชอบยังไง สวยขนาดไหน เอามาหมด ประเภทไม่มีเสื้อผ้าหรอก มันหามหัวหามท้ายมาเลย มาถึงก็วางลง เหมือนกับคนนอนหลับดี ๆ นี่เอง เสร็จแล้วมันก็ผ่ากระจายเลย เราชอบตรงไหนมันผ่าให้ดูตรงนั้น ดูซิว่ามันจะสวยจริงไหม มองตรงไหนมันผ่าตรงนั้น บางทีก็เลือดนองไปทั้งพื้นเลย จะอ้วกแตกอ้วกแตนอยู่
    เรื่องของเทวดาเขาสงเคราะห์นี่มันเป็นจริงเป็นจัง จับได้ต้องได้หมด กระทั่งบอกไม่ไหวแล้ว พอแล้ว มันจะอาเจียน เดี๋ยวเลอะเทอะไปหมด นั่นแหละเขาก็หายวับไปหมด เดี๋ยวก็มาใหม่ อยากได้อีก มาอีก ขนาดนั้นเอาไม่อยู่ แต่พอจับตรงจุดนี้ได้ ท่านที่เคยสงเคราะห์ เออ...ไม่ต้องแล้ว รอดตายไปที มีที่ให้ยืนติดแล้ว ไม่ต้องห้อยต่องแต่งอยู่ปลายเหว ค่อยยังชั่วหน่อย
    ดังนั้นว่ากรรมฐานแต่ละกอง ถึงจะเป็นคู่ศึกของมันกันก็จริง แต่ไม่แน่ว่าจะเอามันอยู่ เพราะวิสัยของเรามันไม่ได้มาด้านนั้น มันดันตะแบงข้างไปอีกด้านหนึ่ง ถ้าเป็นไปได้ มีเวลาศึกษามันให้ครบ ถ้าไม่มีเวลาก็เอากองเดียวตียาวมันไปเลย พวกที่แบกมา มันเป็นศัลยแพทย์ ผ่าเก่งจริง ๆ ไม่ต้องสั่งไม่ต้องบอกเลยนะ แค่เราคิดเท่านั้นเอง เราคิดตั้งใจจะดูตรงไหนว่ามันสวย มันผ่าตรงนั้น ไม่เหลือให้ดูเลย สี กลิ่น รส พร้อมสมบูรณ์แบบ บางทีเราทนเหม็นคาวเลือดไม่ไหวจะอ้วกแตกแล้ว บอกพอทีพอทีไม่ไหวแล้ว เขาก็หายวูบไปหมด
    ถาม : พระโสดาบันเล่นหุ้นเล่นหวย ?
    ตอบ: อ๋อ...ถ้าหากว่าได้มาโดยไม่ผิดศีลผิดธรรม ท่านยังทำเป็นปกติจ้ะ ไม่เกี่ยวเรื่องรับเงิน
    ถาม : แล้วพระสกิทาคา ?
    ตอบ: อันนั้นเริ่มจืดสนิทแล้วจ้ะ สกิทาคามีต้องดูตัวอย่างที่ชัดที่สุด ก็คือ พระมหากัสสป กับนางภัททกาปิลานี พระมหากัสสปนี่แม่มอบสมบัติให้ หวังจะให้ลูกจรรโลงให้รุ่งเรืองไป แต่ว่าท่านไม่ได้คิดใยดีในสมบัติอยากจะบวชอย่างเดียว นางภัททกาปิลานีก็เหมือนกัน แต่ว่าต่างคนต่างไม่ได้บอกกัน พอถึงเวลาเขาจับแต่งงานกัน แต่งก็แต่ง เคารพผู้ใหญ่นี่ไม่กล้าเถียง ไม่กล้าบอกใช่ไหม ? ถึงเวลากลางคืน นอนห้องเดียวกัน ก็เอาพวงมาลัยคั่นกลางไว้ ต่างคนต่างหันหลังให้กัน ลักษณะอย่างนั้น ถ้าไม่ถึงสกิทาคามี ทำไม่ได้หรอก ยังไงกามราคะมันต้องกำเริบแน่ จะหนักจะเบามันต้องมี ถ้าทำได้ขนาดนั้นมันต้องใช่ แล้วเสร็จแล้วรอจนพ่อแม่ตาย อึดขนาดไหน ? รอจนพ่อแม่ตาย พระมหากัสสปในตอนที่เป็นปิปผลิมาณพ ก็บอกนางภัททกาปิลานีว่า ภคินี ดูก่อนน้องหญิง สมบัติทั้งหลายของเรา เธอจงเอาไป ส่วนเราจะออกบวชนะ นางภัททกาปิลานีก็บอกว่า สมบัติทั้งหลายของท่านเหมือนน้ำลายที่ถ่มทิ้งแล้ว เรื่องอะไรเราจะรับเอาไว้ เราก็จะบวชเหมือนกัน
    ในเมื่อใจเดียวกันก็เลยประกาศบอกว่า มหาชนใดก็ตามที่ต้องการสมบัติเห็นปานนี้ก็จงมา ทั้งหมดก็มาก็แบ่งสันปันส่วนกันไป ๒ คนก็ประเภทเหลือแต่ตัว นุ่งห่มผ้ากาสาวพัตร ตั้งใจว่าพระอรหันต์อยู่ที่ไหนในโลก ก็ตั้งจะบวชเพื่ออุทิศพระอรหันต์องค์นั้น แล้วก็ออกเดินทาง ปรากฏว่าไปถึงทางแยก คนหนึ่งก็ไปซ้าย คนหนึ่งก็ไปขวา หมดเรื่องไป พระมหากัสสปเดินไปถึง พหุปัตตนิโครธ พบพระพุทธเจ้านั่งรอยอยู่ท่านตรวจดูอุปนิสัยสัตว์โลกตั้งแต่เช้าแล้วว่า ต้องไปโปรด รับฟังธรรม รับโอวาท ๓ ข้อ เสร็จเรียบร้อย ปฏิบัติกลายเป็นพระอรหันต์ นางภัททกาปิลานีเลี้ยวไปอีกทางหนึ่ง เจอสำนักภิกษุณีไปปฏิบัติกลายเป็นพระอรหันต์
    ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด เพราะว่าพระสกิทาคามีนี่ ราคะ โทสะ โมหะ เบาบางลงมาก พูดง่าย ๆ ก็คือว่าร้อยวันพันปีอาจจะนึกสักแวบหนึ่งว่า เออ...คนโน้นก็สวยดี คนนั้นก็หล่อดี แล้วมันก็แค่นั้น เพราะว่าสติสมบูรณ์มากแล้ว พอนึกได้อารมณ์ใจก็เริ่มตัด มันก็หายไป อยู่ต่อไม่ได้ ดังนั้น ถ้าหากว่าไปแล้ว ว่าพระสกิทาคามียังเล่นหวยเล่นหุ้นไหม ? ถ้าถึงระดับนั้นไม่เอาจ้ะ ทุกอย่างมันเซ็งไปหมดแล้ว ไม่เป็นรสเป็นชาติ
    คราวนี้ในเรื่องของอารมณ์กามราคะ ถ้าพระโสดาบันยัง เป็นปกติ แต่ว่าจะไม่ฝืนในกาเมสุมิจฉาจาร คือหมายความว่า ถ้าหากว่าประเภทไปล่วงเกินบุคคลที่มีเจ้าของจะไม่ทำ ถ้าเจ้าของเขาไม่ได้อนุญาตนี่จะไม่มีพระสกิทาคามีนี่มันน่าจะเหลือ แต่กามราคานุสัย ก็คือว่า สิ่งที่มันนอนเนื่องในสันดาน นาน ๆ มันก็โผล่ขึ้นมาทีหนึ่ง แต่ว่ากำลังใจถ้าละเอียดก็เลยตัดได้ ในเรื่องของพระอนาคามี ต้องใช้คำพูดว่า อยากจะบอกว่าส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ที่จะสร้างฮอร์โมนต่าง ๆ เกี่ยวกับทางกาม มันคงจะเลิกทำงานไปเลย
    เจอสาว ๆ คนหนึ่งสมัยก่อนบวช อายุน่าจะประมาณ ๒๕-๒๖ ปี แต่งตัวสวยพริ้งอยู่ทุกวัน ใช้เปลือกเพื่อปิดตัวเอง กลัวคนจะรู้ว่าเป็นนักปฏิบัติ แต่จริง ๆ แล้วเป็นพระอริยเจ้า อยากจะเชื่อว่าเป็นพระอนาคามี ถามท่านว่า เมื่อทำถึงแล้วจะเป็นอย่างไร ? ท่านบอกว่า ร่างกายส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกามราคะ มันเหมือนหยุดทำงานหมด กระทั่งประจำเดือนก็หายไปเฉย ๆ (หัวเราะ) ไม่น่าเป็นไปได้
    ถาม : อายุ ๒๕ นี่นะคะ ไม่มี
    ตอบ: จ้า... ๒๕ จ้ะ ไม่ใช่ ๕๕ (หัวเราะ) คือพอทำถึงปุ๊บ เหมือนกับว่าส่วนต่าง ๆ ที่จะเกี่ยวในเรื่องของกามมันหยุดหมดเลย เลิกทำงานไปเลย จะเป็นวิธีพิลึกพิลั่นอะไรก็แล้วแต่เถอะ เป็นอันว่ามันหยุดก็แล้วกัน ดังนั้นว่าน่าจะหมดตั้งแต่ตอนนี้ละ ในเรื่องของกามราคะของพระอรหันต์ก็คงไม่ต้องกล่าวถึง เดี๋ยวจะเล่าเรื่องต่อให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องสาวคนนี้ เอาอีกหน่อยหนึ่ง คราวนี้สาวคนนี้เธอมีสามีเป็นปกติ ในเมื่อมีสามีเป็นปกติ พอมาถึงจุดนี้ ก็บอกกับสามีว่า ตอนนี้เรื่องเกี่ยวกับกามารมณ์นี่ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันแล้วนะ จะมีเมียน้อยกี่คนก็อนุญาตให้ จะไปเที่ยวอาบ อบ นวด ยังไงก็เชิญ หัวหกก้นขวิดขนาดไหนก็ไม่ว่า คนเรามันแปลก อะไรที่เขาหวงมันชอบ อนุญาตขนาดนั้นแล้ว ไปซ่าส์นอกบ้านได้ไม่นาน ก็คิดถึงเมียกูในบ้าน ถึงเวลาก็กลับบ้าน วันนี้ยังไงกูปล้ำเมียตัวเองแน่ ! พอมาถึงจับตัวปั๊บ ปรากฏว่า มันอัศจรรย์คงเป็นเรื่องบุญ เพราะว่าตัวเมียร้อนฉ่า จนผัวตกใจ คิดว่าไม่สบายหนักขนาดนี้แล้วทำไมไม่กินยา ไม่รักษาอะไร รายโน้นก็เออ ๆ คะ ๆ ไปตามเรื่อง ก็รอดไป ปรากฎว่า วันต่อมา ผัวเมากลับมา เอ๊า! ป่วยก็ป่วยละวะ กูไม่เว้นแล้ว จะปล้ำเมียตัวเอง ปรากฏว่า วันนั้น เมียก็ไม่รู้ว่า ? น่าจะเป็นเทวดาช่วย เอาเรี่ยวเอาแรงมาจากไหนไม่รู้ ตบผัวเปรี้ยงเดียว กระเด็นติดข้างฝาเลย แล้วเสียงที่ดังออกมา ผัวเขาบอกว่า “ต่อไปนี้ ถ้าหากยุ่งกับผู้หญิงคนนี้อีก จะเอาให้ถึงตาย” น่าจะเป็นเรื่องของเทวดาที่เขารักษา กลัวว่าการล่วงเกินพระอริยเจ้าระดับนั้น มันจะเป็นโทษสาหัส ไม่น่าเชื่อ ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ตบผัวทีเดียวปลิวติดข้างฝาเลย (หัวเราะ)
    นั่นแหละ ตัวอย่างเห็นชัด ๆ แต่ถ้าเราเห็นเปลือกนอกเขาจะไม่รู้เลย ที่ไม่รู้เพราะว่า เขายังแต่งหน้าสวยพริ้งตามปกติ ลักษณะนั้นแหละคือ ลักษณะที่ว่าปิดตัวเองไว้ เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองทำอะไร แต่อันนี้ไม่ยืนยันนะ เพราะว่าอาตมาไม่ใช่ผู้หญิง ก็เลยไม่กล้ายืนยันว่า ถ้าเป็นพระอริยเจ้าขึ้นไปถึงระดับนั้นแล้วร่างกายจะหยุดทำงานเหมือนสาวคน นั้นมั้ย ? (หัวเราะ)
    ถาม : ต้องหาซัก ๒-๓ ตัวอย่าง ใช่เปล่าคะ ?
    ตอบ: มันจะต้องเป็นเอง มันถึงจะยืนยันได้ (หัวเราะ)
    ถาม : แล้วความผูกพันล่ะครับ ?
    ตอบ: ความผูกพัน ความห่วงใย เป็นปกติ สำหรับพระอริยเจ้า อยากจะบอกในลักษณะเหมือนกับปรามาสพระรัตนตรัย แต่โปรดฟังให้จบ พระพุทธเจ้าก็ห่วงใยครอบครัวท่านเป็นปกติ ถ้าไม่ห่วง ท่านก็ไม่เสด็จไปโปรดพุทธมารดา ไม่ห่วง ท่านก็ไม่เสด็จไปโปรดพุทธบิดา พร้อมพระประยูรญาติ ไม่ห่วงท่านก็ไม่เสด็จไปโปรดพระนางพิมพาพร้อมกับพระราหุล ท่านก็ห่วงเป็นปกติ พระสารีบุตรเองเป็นโรค ต้องใช้คำว่า “กระเพาะทะลุ” พูดอย่างอื่นแล้วฟังยาก ถ่ายเป็นเลือดอยู่ตลอด รู้ตัวว่าจะนิพพานคือ ตายแน่ ๆ แล้ว ก็ยังคิดว่า แม่เราเป็นมิจฉาทิฐิอยู่ มีลูกตั้ง ๗ คน เป็นอรหันต์หมดเลยบ้านนี้ แต่แม่เป็นมิจฉาทิฐิอยู่ ต้องกลับไปสงเคราะห์แม่ตัวเอง ถ้าไม่ห่วงแล้วจะไปทำไม แต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ท่านทำตามหน้าที่ของตัว ถ้าทำดีที่สุดแล้ว สงเคราะห์ไม่ได้ท่านจะปล่อยวาง มันไม่เหมือนพวกเราตรงที่ว่า พวกเราถ้าหากว่าทำไม่ได้ ก็จะไปกลุ้มไปกังวลอยู่ ใจมันหมอง แต่ว่าท่านผ่องใสเป็นปกติ ทำแค่ตามหน้าที่เท่านั้น ประเภทที่พูดง่าย ๆ แบบเล่นลิ้นว่า “ห่วงใย แต่ไม่ผูกพัน” อะไรทำนองนั้น
    ถาม : (ไม่ชัด) สังเกตุร่างกาย
    ตอบ: ท่านปิงกลัวว่าเป็นผู้ชาย ถ้าถึงตรงนั้นแล้วมันจะเหี่ยว บอกแล้วว่าไม่ยืนยัน ใครทำถึงก็รู้เองล่ะ แล้วอีกคนหนึ่งก็...ที่หลวงพ่อเล่าไว้ในน่าจะหนังสืออ่านเล่นมั้ง ที่เด็กผู้หญิงอายุ ๕ ขวบ แล้วก็ตายโดยที่ยังไม่หมดอายุ แล้วเด็กผู้หญิงคนนี้ก็ร้องไห้อยู่ที่ตำหนักพระยายม ร้องจะหาแต่หลวงพ่อ ปกติที่ไปลงตรงนั้น บารมี ต้องใช้คำว่า บารมีของพระยายมท่านข่มอยู่สนิททุกรายอาละวาดไม่ออกหรอก แต่เด็กคนนี้จะหาหลวงพ่อ จะหาหลวงพ่อ(หัวเราะ) เทวทูตต้องมาตามหลวงพ่อไป ไปถึงพระยายมท่านก็ชี้แจงว่า เด็กคนนี้ถ้าโตขึ้นจะเป็นพระอนาคามี แต่เธอสวยมาก ถ้าหากว่าเป็นพระอนาคามีแล้วโทษเก่าที่เคยทำอยู่ จะทำให้โดนผู้ชายเบียดเบียน มันจะเกิดโทษมหาศาลสำหรับผู้ที่เบียดเบียนเธอ ก็เลยตัดให้ตายเสียดีกว่า ขึ้นไปต่อเอาข้างบนแล้วกัน ก็มีเหมือนกันนะ ไม่ใช่วาระของอายุ แต่อยู่แล้วจะเป็นโทษต่อคนอื่นเขา แบบเดียวกับพระอรหันต์ว่า ทำไมพอท่านบรรลุแล้ว ถ้าอยู่ในความเป็นฆราวาสถึงอยู่ได้ไม่เกิน ๗ วัน แต่ว่าจริง ๆ แล้ว ปกติที่หลวงพ่อท่านเจอมา ท่านบอกว่า ถ้า บรรลุตอนกลางคืนจะไม่ได้เห็นตะวันขึ้น ถ้าบรรลุตอนกลางวันจะไม่ได้เห็นตะวันตก ต้องตายก่อนแน่นอน เพราะว่าถ้าอยู่ต่อจะเป็นโทษต่อคนอื่นมาก
    เอาตัวอย่างแค่ว่า นางขุชุตตรา นางขุชุตตราในชาตินั้นนี่ เพื่อนท่านเป็นภิกษุณีอรหันต์ มาเยี่ยมแล้วนั่งคุยกัน ตัวแกก็แต่งตัวจะออกไปงานเขา ทีนี้เขามานั่งอยู่ขวางทางทำให้เธอหยิบกระเช้าเครื่องแต่งตัวไม่ได้ ก็บอกว่าพระแม่เจ้าโปรดช่วยหยิบส่งให้ดิฉันหน่อย เพื่อนเธอเป็นภิกษุณีอรหันต์ยังไม่พอ ยังเป็นปฏิสัมภิทาญาณด้วย สภาพจิตเร็วมาก มองปั๊บรู้เลย เธอใช้พระอรหันต์เธอต้องเกิดโทษแน่นอน ถ้าเราไม่หยิบให้เธอ เธอโกรธ เธอลงอวจีมหานรกไปเลย แต่ถ้าเราหยิบให้เธอ การใช้พระอรหันต์ทำให้เธอต้องเกิดเป็นคนใช้เขา ๕๐๐ ชาติ เอาเถอะเกิดเป็นคนใช้เขายังไงก็ยังเบากว่าลงอวเจีมหานรก ก็หยิบส่งให้ นั่นแหละแค่นั้นแหละ
    แล้วอีกตัวอย่างก็คือ นางสิริมา ในชาติก่อนที่เธอเวียนเทียนอยู่ แล้วมีภิกษุณีอรหันต์องค์หนึ่ง ท่านก็เคี้ยวหมากเป็นปกติ ถึงเวลาบ้วนน้ำหมากละอองน้ำหมากมันกระเด็นไปเปื้อนชายผ้าเข้า เธอก็ด่าเอา บอกว่าหญิงแพศยาที่ไหนถึงได้บ้วนน้ำหมากมากระเด็นถูกผ้าเรา เกิดมาชาติใหม่ต้องไปเป็นหญิงแพศยา คือเป็นหญิงนครโสเภณีไปขายตัวให้เขาอยู่ แล้วก็บอกว่าต้องเป็นอย่างนั้นตลอด ๕๐๐ ชาติ นั่นขนาดอยู่ในอุดมเพส คือเพสของภิกษุ ภิกษุณีที่เขาเคารพอยู่แล่ว ยังเป็นโทษกับคนอื่นขนาดนั้น ถ้าเป็นฆราวาสเขาไม่เกรงใจหรอก ยิ่งประเภทอาวุโสกว่าด้วย เดี๋ยวก็ตบหัวโครมใช้งานไปเลยอะไรอย่างนั้น มันจะเป็นโทษใหญ่ต่อคนอื่นเขา ก็เลยตัดให้ตายซะก่อนดีกว่า อยู่ต่อไปคนพูดปรามาสแม้แต่คำเดียวก็ลงนรก ใช้เธอก็ลงนรก ด่าเธอก็ลงนรก อยู่ไปมีแต่โทษทั้งนั้นก็เลยไปเสียเลยดีกว่า
    แต่ถ้าอยู่ในสภาพของพระอย่างนี้ คนเขาให้ความเคารพเป็นปกติอยู่แล้ว จะดีไม่ดีเขาก็ประเภท ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์อยู่แล้ว ไม่มายุ่งมาเกี่ยวด้วย ถึงได้อยู่ได้ แต่ถ้าเป็นฆราวาสหลวงพ่อท่านบอกเท่าที่ท่านดูมา ไม่เคยมีใครอยู่เกินอย่างที่ว่าเลย ในพระไตรปิฎกบอกว่าอยู่ได้ไม่เกิน ๗ วัน ท่านเจอมาจริง ๆ อยู่ได้ไม่เคยเกินวัน บรรลุกลางคืนตายไม่ได้เห็นกลางวัน บรรลุกลางวันตายไม่ได้เห็นกลางคืน
     
  2. คนบรรพต

    คนบรรพต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2007
    โพสต์:
    647
    ค่าพลัง:
    +4,456
    ขออนุโมทนาด้วยครับผม

    ถ้าจัดทำเป็นไฟล์ PDF ได้จะดีมากครับ สะดวกต่อการพิมพ์เพื่อนำมาอ่านเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไปครับผม
     
  3. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG]


    ถาม: (ไม่ชัด) ก็มีพระที่วัด ๆ หนึ่งโทรมาที่สาขา บอกว่าจะซื้อกองทุนวายุภักษ์ ตัวเลขจำไม่ได้ซักประมาณ ๓๐ ล้าน ช็อคเลย
    ตอบ: ได้ยินก็ช็อค

    ถาม : ซื้อกองทุนวายุภักษ์ ๑
    ตอบ: จะบอกความลับให้ว่า หลวงพ่อสาคร เป็นที่อิจฉามารศรีของพระทั้งอำเภอยกเว้นอาตมาเพราะว่าท่านทำเครื่องลดควันท่อไอเสียแล้วประหยัดน้ำมัน คราวนี้ท่านทำได้แล้วท่านขายลิขสิทธิ์ แล้วได้เงินมาเยอะ มาสร้างวัดไม่ต้องไปพึ่งญาติพึ่งโยมเขา ก็เลยทำให้โดนอิจฉาทั้งจังหวัด

    พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า อเนสนา เป็นการหาเลี้ยงชีพในทางไม่ชอบ การหาเลี้ยงชีพของท่านบอกแล้วเป็น ปิณฑิยา โลปโภชนัง นิสสายะปัพพัชชา ปัจจัยคือเครื่องอาศัยของบรรพชิตได้แก่การบิณฑบาต (หัวเราะ) อย่างอื่นไม่ใช่ ไม่ต้องไปทำมาหากินอะไรทั้งนั้น เอาเหอะ เขารวยพอให้เขาซื้อไปเถอะกองทุนวายุภักษ์

    ถาม : (ไม่ชัด)
    ตอบ: บังเอิญว่าท่านฉลาด ท่านก็เลยเก็บได้ งำได้รักษาทรัพย์ได้ ของเรามันโง่ใช้เกลี้ยง (หัวเราะ) เจ้าคณะอำเภอท่านบอก อาจารย์เล็กเก็บเงินไว้บ้างซิ ได้มาเท่าไหร่เอาแต่ใช้หมด ถามว่าจะเก็บไปทำไมล่ะครับ หาซื้อรถขี่ดี ๆ มั่ง เฮ้อ! จริง ๆ ถ้าเป็นอาตมา ถ้ามันไม่จำเป็นจริง ๆ ต้องมาขนสังฆทาน ปิ๊กอัพยังไม่เอาเลย มีแล้วสารพันปัญหา คนขับก็ต้องหา น้ำมันก็ต้องจ่าย พังก็ต้องซ่อม ชนเขายิ่งซวยหนักเข้าไปอีก (หัวเราะ) มันคิดคนละอย่างกัน เขายังต้องการอยู่เขาก็ขวนขวายไป

    ถาม : (ไม่ชัด) ถ้าจำไม่ผิด มีคำกล่าวที่ว่า ให้คิดอยู่แต่กับปัจจุบัน ไม่ให้คิดทั้งในอดีตและไม่คิดทั้งในอนาคต แต่ถ้าไม่คิดถึงอนาคตแล้วเนี่ย เราก็จะไม่มีจุดหมายปลายทาง เป็นการเข้าใจผิดหรือเปล่าครับ ?

    ตอบ: ก็จริง ๆ มันคิดได้ แต่ว่าคุณต้องคิดอย่างระมัดระวัง คิดขณะที่สติควบคุมมันอยู่ เราก็มองเหตุการณ์มองลักษณะเป็นหน้าที่ เป็นงานที่เราต้องทำ พอคิดจบแล้วต้องหยุดให้เป็น ดึงมันกลับมาอยู่กับปัจจุบันนี้ให้ได้ ถ้าเรามีความชำนาญสติ สมาธิสมบุณณ์ ดึงกลับมาเฉพาะหน้าที่ได้ทันทีที่เราเลิกทำงาน เพราะว่าการที่เราคิดไปในอดีต หรือว่าคิดไปในอนาคตมันเป็นการส่งใจไปทั้งคู่ ในเมื่อส่งใจออกนอก ความทุกข์มันก็เกิด

    คิดไปในอดีตส่วนใหญ่แล้วก็ประเภทโหยหาเสียดาย ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นเลย ไม่น่าจะเป็นอย่างนี้เลย น่าจะเป็นอย่างนั้นมากกว่า น่าจะเป็นอย่างนี้มากกว่า ฟุ้งซ่านเปล่า ๆ คิดไปในอนาคตส่วนใหญ่ก็เป็นการฝันเฟื่อง ควรจะเป็นอย่างนั้น ควรจะได้อย่างนี้ มันพาให้ทุกข์เพราะความคิดตัวเองทั้งนั้น

    ถ้าเราหยุดอยู่กับปัจจุบันนี้ได้ ความทุกข์ส่วนอื่นมันหมด มันเหลือแต่นิพัทธทุกข์ คือความทุกข์ปกติของร่างกายเท่านั้น เจ็บไข้ได้ป่วย หนาวร้อน หิวกระหาย อะไรพวกนั้น คิดอย่างมีสติมันเห็นช่องทางชัดเจน แล้วเรื่องมันจบเร็ว มันมองปุ๊บมันทะลุตลอดไปเลย ปัญญาทางโลกมันเป็นเรื่องง่าย ขอให้ทำทางธรรมได้เท่านั้น

    ถาม : เพราะฉะนั้นแม้แต่ในการทำงาน (ไม่ชัด) พอเราเลิกงานเสร็จ ทางที่ดีก็ให้คิดอยู่แต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องคิดถึงเรื่องงานในอนาคต มันจะเป็นอย่างไร ?

    ตอบ: อยู่ตรงไหนก็กองเอาไว้ตรงนั้น เจอใหม่ค่อยว่ากันใหม่ อย่างที่หลวงพ่อท่านบอกไว้ในคู่มือปฏิบัติกรรมฐานแบบง่าย ๆ ท่านบอกว่าเวลางานใจอยู่กับงาน เวลาว่างใจอยู่กับกรรมฐานเอา...จดเข้า เชื่อมั้ยว่า เดี๋ยวเอามาอ่านไม่เหมือนกันหรอก ฟังด้วยกันตรงนี้แหละ ส่วนที่กระทบใจแล้วเห็นว่าดี จะเป็นส่วนที่ตัวเองทำได้ หรือไม่ก็ทำใกล้เคียงแล้ว ส่วนที่ยังทำไม่ได้ ไม่ใกล้เคียงจะเลยหูไปหมด

    สมัยก่อนอ่านหนังสือหลวงพ่อแล้วก็จะขีดเน้นว่า นี่ตรงนี้ดี นี่ตรงนี้ดี ผ่านไปปีสองปีมาอ่านใหม่ อ้าวตรงนี้ก็ดีทำไมไม่ขีดตรงนี้ดี พักเดียวเท่านั้นแหละดีทั้งเล่ม สรุปแล้วเราทำถึงมั้ย ? ถ้าเราทำถึงแล้วมันก็จะรู้เห็นตรงจุดนั้น จะเข้าใจแจ่มแจ้งตรงจุดนั้น ถ้ายังทำไม่ถึง ก็ยังไม่รู้ไม่เห็น มันก็เหมือนกับอ่านข้ามเฉย ๆ ตอนนั้นต้องขอขมาพระรัตนตรัยกันแทบแย่ เท่ากับเราปรามาสพระรัตนตรัย ของที่ดีจริง ๆ ดีทั้งหมดเรากลับไปเห็นว่าดีส่วนเดียว

    ถาม : แม้แต่การมองข้าม ก็ถือว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย ?
    ตอบ: อันนี้ไม่ใช่มองข้าม อันนี้ไปขีดเน้น (หัวเราะ) เอาหางอึ่งของตัวเองไปวัดกับความยาวที่ประมาณไม่ได้ของห้วงจักรวาล คุณเปี๊ยกเป็นไง มีอะไรคุยมั้ย? ปีใหม่ทั้งทีไม่มี ตามคุณนายกลับบ้านก็ล็อคคอไว้เลย คิดถูกหรือเปล่าที่แต่งงาน อยู่ ๆ ก็ได้เจ้านายมาคนหนึ่ง ถึงเวลาก็โทรมารับหน่อย ก็ต้องวิ่งมา แทนที่จะอยู่บ้านนอนสบาย

    ถาม : ทำไมหลวงพี่ไม่พูดอย่างงี้ก่อนล่ะคะ ? (หัวเราะ)
    ตอบ: (หัวเราะ) ตอนนั้นโอกาสพูดมันไม่มีนี่ ตอนนั้นยังถือเป็นคนนอกอยู่ ตอนนี้เป็นคนในแล้วบอกได้ คราวนี้ก็เป็นคนในอยากออก ครอบครัวอื่นก็คนนอกอยากจะเข้า

    ถาม : (ไม่ชัด) ห้ามไม่อยู่
    ตอบ: ใครจะไปห้ามไหวล่ะ พระพุทธเจ้าท่านบอกเอาไว้ชัดเลย การกินหนึ่ง การนอนหนึ่ง การเสพกามหนึ่ง การเสวยอำนาจหนึ่ง ถ้าไม่ใช่บุคคลที่เห็นภัยในวัฏฏสงสารจริง ๆ ไม่มีใครละได้

    ถาม : การกินต้องหมายถึงการกินของดี ๆ ?
    ตอบ: ไม่จำเป็น อะไรก็ได้ ลองเลิกกินดูซิ มันตะกายไปหากินเอง สภาพร่างกายมันต้องการ

    ถาม : กินในที่นี้ไม่ใช่กินเพราะความหิว ใช่มั๊ยคะ?
    ตอบ: มันมีทั้งความหิวด้วย และไม่ใช่ความหิวด้วยต่อให้กิน ๆ ๆ ยัดทะนานมันลงไป จนกระทั่งเซ็งไปเลย รุ่งขึ้นก็ต้องกินอีก เอาไง เป็นบุคคลผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารดีมั้ย เอา วัฏฏะ เฉย ๆ ไม่ต้องไปสงสารมัน สังสาระวัฏ การหมุนเวียนที่ไม่มีจุดสิ้นสุด ไม่เห็นต้นไม่เห็นปลาย

    ถาม : แต่ว่าการกินเนี่ย ถ้าหมายถึงการกินธรรมดา พระอรหันต์ก็ยังต้องกินอยู่ ?

    ตอบ: กิน แต่ทีนี้ของพระอรหันต์ท่านกิน ท่านกินเพื่อยังอัตภาพร่างกายอยู่เท่านั้น เพื่อระงับความกระวนกระวายเท่านั้น ท่านรู้จักประมาณในการกิน ท่านไม่ได้ไปนั่งยัดทะนาน

    มีพระภิกษุอยู่รูปหนึ่ง พวกเราก็เรียก ท่านแดง อดีตเคยเป็นเจ้าอาวาส ปัจจุบันโดนชาวบ้านไล่ออกจากตำแหน่งแล้ว ท่านแดงจะไปยุ่งด้วยทุกที่ พรรคพวกเพื่อนฝูงเขาจะเรียกไอ้ห่าแดง มีอยู่ปีที่แล้วเข้าไปสอนธรรมศึกษากันที่โรงเรียนทองผาภูมิ ก็จะมีอาจารย์เอ๊ดดี้ อาจารย์เอ๊ดดี้นี่จริง ๆ ท่านชื่อ สถิตย์ แต่ว่าหน้าตาท่านเหมือนดาวตลกเอ๊ดดี้ ก็เลยเรียกท่านเอ๊ดดี้ ขนาดพวกกะเหรี่ยงเห็นแกเดินผ่าน “ช่ายเล๊ยคงนี้ลาวจามล่าย เปงดาลาแน่นอง”

    ถาม : หน้าเขาเหมือนกันหมด ?
    ตอบ: นั่นมันเป็นโรคอย่างหนึ่ง พอใครป่วยเป็นโรคนี้ หน้าตาจะเป็นอย่างนั้นหมด อาจารย์เอ๊ดดี้ขนาดนั้นน่ะ พอเวลาท่านแดงนั่งลงด้วย อาจารย์เอ๊ดดี้คว้าชามลุกหนีไปนั่งโต๊ะอื่นเลย ทีนี้ดันผ่าไปนั่งใครไม่นั่ง ไปนั่งข้างท่านกอล์ฟ ไอ้คนปากคัน ท่านก็เลยถาม อ้าว! อาจารย์เอ๊ดดี้ไม่นั่งรวมวงกับเขาเรอะ ฮึ! ไม่เอาหรอก นั่งกับไอ้ห่านั่น พาให้ขายหน้าพวกเราทั้งหมดนั่นแหละ เดี๋ยวคอยดูซิ มันแดกกระจายเลย

    ปรากฏว่าวันนั้นไม่มากหรอก เฉพาะก๋วยเตี๋ยวแห้งว่าไป ๔ ชาม แล้วยังมีก๋วยเตี๋ยวน้ำ แล้วก็ยังมีข้าวเหนียว ยังมีอะไรอีกสารพัด ความจริงคนจีนเขาบอกว่ากินได้ถือเป็นวาสนาใช่มั้ย ? แต่มันต้องกินนะ ไม่ใช่แดกนะ (หัวเราะ)

    ถาม : แล้วเขาหุ่นขนาดไหนคะ น้ำหนัก ?
    ตอบ: หุ่นขนาดไหน น้ำหนักก็น่าประมาณ ๘๐ รูปร่างสูงใหญ่เสียงดังฟังชัด แล้วก็ชอบโชว์ งานหน้าที่ของเราแท้ ๆ เวลามีงานสงฆ์ต้องเป็นโฆษก แกชอบแย่งไมค์ เราก็ยัดให้แก เราจะเหนื่อยน้อยหน่อย เพื่อนเจ้าอาวาสบางรายทนไม่ได้ อาจาย์ไปยอมมันทำไม ไอ้ห่านั่น อ้าว! ก็เขาทำงานให้เรา เราก็สบาย แหม คิดอย่างนี้ก็มีด้วย คือความจริงงานโฆษกมันเหมือนกับโชว์หน้าตัวเอง มันต้องอยู่ตลอดงาน

    ปรากฏว่าปล่อยให้แกไปพักเดียว แกร่วงไม่เป็นท่า พระผู้ใหญ่มาประกาศชื่อถูกแต่งสังกัดวัดผิด ไปคนละทิศกันเลย จะได้เห็นว่าจริง ๆ แล้ว...ยังไงล่ะ การที่คนเราบวชเข้ามาในพุทธศาสนา ถ้าจิตใจไม่ได้ปรารถนาความพ้นทุกข์ ไม่มีความละอายในการปฏิบัติของตัวเอง มันก็ลูกชาวบ้านดี ๆ นี่เอง รัก โลภ โกรธ หลง เต็มหัว เพียงแต่เปลี่ยนกฎกติกาการยึดถือ เปลี่ยนผ้านุ่งผ้าห่มของตัวเอง คือรูปแบบการครองชีพเปลี่ยนเข้ามา เท่านั้นเอง กิเลสเท่ากับชาวบ้านธรรมดาเลย ในเมื่อกิเลสเท่ากับชาวบ้าน ถ้ายังรู้ละอาย รู้จักระมัดระวังก็ไม่มีปัญหา มันไปมีปัญหาตรงที่ว่า ส่วนใหญ่ปราศจากความละอาย ก็ว่ากันซะเต็มที่ไปต้องอย่างป้านิภา ป้านิภาบอก อิฉันจะไหว้พระนะ อิฉันต้องเลือกแล้วเลือกอีก เราจะได้ไหว้พระดี หรือเราจะได้ไหว้ผัวชาวบ้านก็ไม่รู้ (หัวเราะ) แกว่าแสบจริง ๆ เลยป้านิภา

    คราวนี้มาพูดถึงตรงจุดนี้ก็เลี้ยวไปหน่อย เดือนก่อนไปที่ทางใต้ก็แวะไปที่สำนักสายเขาอ้อ ก็มีวัดเขาอ้อ วัดบ้านสวน วัดดอนศาลา สำนักเขาอ้อนี่ถือเป็นสายปฏิบัติใหญ่ของปักษ์ใต้เขา เขายอมรับเลยว่าเขาทำไสยศาสตร์ แต่ทีนี้ไสยศาสตร์ของเขาอ้อเขาช่วยคนอื่นมาตลอด มันก็เลยเป็นในลักษณะของไสยขาว แล้วชาวบ้านก็ขึ้นกันเยอะมากนะ ขึ้นกันเยอะมากให้ความเคารพมากปรากฎที่ไปน่ะ ก็วัดเขาอ้อเองเหลือหลวงปู่กลั่นอยู่

    หลวงปู่กลั่นนี่วิชาการของเขาอ้อเหลืออยู่ติดน้อยมาก ที่อยู่ได้เพราะอายุยืนเหลือเกิน เพื่อนร่วมรุ่นตายเกลี้ยงแล้วเหลือท่านอยู่ก็เลยต้องเป็นเจ้าอาวาสอยู่ ปีนี้ ๙๐ ขึ้น ๙๐ (หัวเราะ) ไปวัดบ้านสวนเหลือหลวงพ่อพรมอยู่ หลวงพ่อพรมท่านก็บอกว่า วิชาการด้านกรรมฐาน คาถาอาคม เกี่ยวกับประเภทปลุกเสกเลขยันต์อะไร ท่านไม่เก่งหรอก ท่านเก่งแต่สมุนไพร เป็นอันว่าได้มาซีกหนึ่ง ไปอีกทีหนึ่ง ก็วัดดอนศาลา คือสามวัดนี้เขาอยู่ใกล้ ๆ กัน เขาเป็นสาขาเดียวกันหมด พระที่เป็นเจ้าอาวาสปกครองส่วนใหญ่ออกจากวัดเขาอ้อกันหมด

    ก็ปรากฎว่าวัดดอนศาลา ไปถึงจ๊ะเอ๋ อ้าว อาจารย์มหาอุทัย เคยรู้จักสนิทสนมกันเป็นเจ้าอาวาสอยู่วัดหาดใหญ่ใน วัดมหัตมังคลารามอ้าว! อาจารย์มาได้ไงเนี่ย ผมเป็นเจ้าอาวาสที่นี่ครับ อ้าว บอกเอ...ทางด้านผม อย่างเก่งเขาก็ย้ายอำเภอ นี่ขนาดย้ายข้ามจังหวัดก็เพิ่งจะเจอที่นี่ เขาบอก ไม่เจอก็ไม่ได้ครับ เพราะว่าผมเป็นคนบ้านนี้ (หัวเราะ) แกไปบวชอยู่หาดใหญ่โน้น แล้วเสร็จแล้วเล่าเรียนจนกระทั่งเป็นมหา เป็นเจ้าอาวาสหาดใหญ่ใน เป็นเจ้าคณะตำบลควนรังด้วย พอถึงเวลาอาจารย์ศรีเงินมรณภาพ หลวงพ่อศรีเงินมรณภาพท่านก็มา ชาวบ้านก็ไปนิมนต์ท่านเป็นเจ้าอาวาสแทน ก็เลยจำเป็นที่จะต้องเป็น ก็ปรากฎว่า พอเห็นอย่างนั้นแล้ว

    มานึกถึงวัดเราเองคือวัดท่าซุง อยู่ยันปักษ์ใต้ฟุ้งซ่านไปท่าซุงได้ เรามาเห็นว่าสายเขาอ้อจริง ๆ น่ะเขาสืบสายมายาวนานมาก ตั้งแต่สมัยปรมาจารย์ทองเฒ่า ไล่ลงมา ๆ จนกระทั่งถึงสมัยหลัง ๆ อย่างหลวงพ่อเอียด หลวงพ่อปาน หลวงพ่อศรีเงิน ไล่ลงมาถึงหลวงพ่อนำ แก้วจันทร์ล้วนแล้ว แต่ว่ามีความสามารถเป็นที่พึ่งของชาวบ้านเขาได้ระดับหนึ่งทั้งนั้นเลย กระทั่งฝ่ายฆราวาสเก่ง ๆ ก็เยอะแยะ

    อย่างปัจจุบันก็ปู่ขุนพันธ์ อาจารย์ประจวบ คงเหลือ อะไรอย่างนี้ เขาสืบสายกันมาหลายร้อยปี ถึงจะมาถึงวาระเสื่อมในปัจจุบันนี้ ถึงแม้มันจะค่อย ๆ เสื่อมลงก็เหอะ แต่ปัจจุบันนี้ฆราวาสที่เก่ง ๆ อย่างอาจารย์ประจวบ คงเหลือ ถ้าบวชกลับเข้าไปเมื่อไหร่คนก็แห่ไปเต็มบ้านเต็มเมืองเหมือนเดิม เพราะท่านเก่งตั้งแต่เป็นฆราวาสแล้ว จะว่าเสื่อมทีเดียว หมดทีเดียวก็ไม่ใช่

    ถาม : ลักษณะเป็นยังไงครับ
    ตอบ: ลักษณะเป็นยังไง ? มันก็มีปีกบินด้วยกระด้งเหมือนอย่างที่ว่า

    ถาม : ผีกระหังนี่จัดเป็นอสุรกายแบบมีเนื้อมีหนัง ?
    ตอบ: ตัวนี้เป็นแบบที่เขาสร้างขึ้นมา ไม่ใช่อสุรกาย เป็นกระหังที่เขาสร้างด้วยวิชาการพวกตำราสร้างอสูรทางตันตระเขา มันใช้ลูกของมันเองทำ

    พม่ากับอินเดียเหมือนกันว่าเขาพยายามดึงเอาเหตุการณ์ต่าง ๆ ในพุทธประวัติให้ตกอยู่ในประเทศของตัว เขาก็เลยพยายามจะสร้างตำนานต่าง ๆ ขึ้นมา เพื่อให้ควาสำคัญแก่สถานที่ของตัวว่าเป็นที่ที่พระพุทธเจ้าเสด็จ เป็นที่พระพุทธเจ้าประทับทำอะไร ๆ อยู่

    คราวนี้ที่เมืองมินบูมีรอยพระพุทธบาทอยู่ ที่เชิงเขารอยหนึ่ง ที่ยอดเขารอยหนึ่ง ก็ตั้งอยู่อย่างนี้ แล้วเราลองคิดดูว่าถ้าเป็นคนจะก้าวอย่างนั้นแล้วจะก้าวไปได้ยังไง ? แล้วพอไปดูเข้าจริง ๆ รอยพระพุทธบาทของเขาเหมือนกับรอยเท้าช้างมากกว่า เพราะกลม ๆ สัญฐานมันกลม ๆ แทบจะไม่มีลักษณะเป็นรอยเท้าคนเลย จะเป็นไดโนเสาร์เหยียบไว้หรือเปล่าก็ไม่รู้นะ แต่ถ้าหากเป็นที่ของเราที่ว่าท่านเหยียบก้าวที่หนึ่ง แล้วก็ก้าวที่สองเหยียบไปที่ยอดเขา ถ้าดูแล้วต้องเป็นที่พระพุทธบาท เพราะว่าก้าวที่สองเป็นที่พระพุทธฉายพอดี ห่างกัน ๖ กิโล(หัวเราะ) อันนั้นของเขาอยู่ที่ตีนเขาแล้วก็อยู่ที่ยอดเขา มันตั้งเด่ ดูยังไงก็ไม่ใช่ แล้วรอยก็ไม่ใช่รอยเท้าคนเป็นกลม ๆ เป็นแอ่งลงไป

    ถาม : แล้วในประเทศไทยที่รอยพระพุทธบาทจริง ๆ มีที่สระบุรีที่เดียวใช่มั้ยคะ ?
    ตอบ: มีอยู่หลายที่เหมือนกัน แต่ว่า ไม่ใช่สมัยเดียวกัน คราวนี้ไม่สำคัญ ว่าจริงหรือไม่จริง สำคัญอยู่ที่คนไหว้นึกถึงอะไร ถ้าหากคนไหว้นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นพุทธานุสสติ จะจริงจะปลอมก็ใช้ได้ทั้งนั้น

    ถาม : ถ้าอย่างนี้การที่พม่าเขาอ้างว่า ของเขาเป็นสถานที่สำคัญก็มีประโยชน์เหมือนกันเพราะว่าคนของเขาก็ยึดมั่นในศาสนาเยอะ ?

    ตอบ: ก็อย่างนั้น แต่ถ้าเอาความเป็นจริงแล้ว บางทีเขาเมกขึ้นมาชัด ๆ เลย ก็พอ ๆ กับอินเดียที่เขาขุดเจอพระบรมสารีริกธาตุแล้วก็มั่นใจว่าเป็นของพระพุทธเจ้า แต่ความจริงข้อความสันสกฤตที่จรึกอยู่ที่ผอบ เขาแปลความเข้าข้างเอง ข้อความนั้นบอกว่า “เป็นอัฐิธาตุของภิกษุแห่งตระกูลศากยะ” ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นพระพุทธเจ้า เพราะว่าตระกูลศากยะออกบวชเยอะแยะไป เจ้าชายนันทะ เจ้าชายอนุรุทธ พระมหานาม พระภัททิยะ เยอะแยะไปหมด

    ถาม : ศากยะวงศ์นี่ทางฝ่าย ?
    ตอบ: ทางฝ่ายพ่อ

    ถาม : พระอานนท์หลังจาก (ไม่ชัด)
    ตอบ: ใช่ แต่ทีนี้ของเขาเองพยายามตีความว่า ศากยะ ตัวนี้ต้องเป็นพระพุทธเจ้า เขาก็เหมาเอาว่าใช่ แล้วก็เอามาให้เรายืมที่พุทธมณฑลปีนั้นน่ะ

    ถาม : แล้วของจีน (ไม่ชัด) พระเขี้ยวแก้ว
    ตอบ: พระเขี้ยวแก้ว พระกรามจ้ะ (หัวเราะ) นั่นฟันกรามจ้ะ ไม่ใช่เขี้ยวแก้ว เขี้ยวคือเขี้ยว

    ถาม : แล้วใช้คำว่าพระเขี้ยวแก้วหมด (ไม่ชัด)
    ตอบ: อันนั้นถ้าใช่นะ ก็แสดงว่าหลวงปู่โกณฑัญญะ ที่เมืองเมียนชาน ก็ใช่ด้วยแบบเดียวกันเปี๊ยบเลย ทรงเดียวกันเปี๊ยบเลย แต่ว่าหลวงปู่ท่านใส่ไว้ในเซฟเก็บไว้ชื่นชมคนเดียว ของเราเข้าไปถามขอดูท่านก็เปิดเซฟให้ดู ตอนนั้นไม่มีกล้องดิจิตอลนี่ถ่ายรูปออกมาก็เอียงกระเท่เร่แล้ว ระยะไม่ได้ก็เลยมัว ๆ แต่ถ้าไปใหม่จะไปสอยซะอีกที

    พระเขี้ยวแก้วที่เห็นครั้งหนึ่งที่สวยจริง ๆ อยู่ในประเทศไทยเรานี่เอง ตอนนั้นที่วัดเบญจมบพิตร เขาจะมีนั่งกรรมฐานกันทุกวัน ไม่ทราบว่าปัจจุบันเป็นยังไง เพราะว่าตอนนั้นตั้งแต่ก่อนบวช ตั้งแต่สมัยเจ้าประคุณสมเด็จพุทธชินวงศ์ท่านยังเป็นพระพุทธิวงศ์มุนีอยู่ ตามประวัติเขาบอกมีอยู่วันหนึ่ง คือ ปกติพอนั่งกรรมฐานแล้วจะมีเสียงกราว ๆ คนก็จะเก็บพระธาตุเรื่อย ๆ แล้วมีสารพัดสีเลย

    คราวนี้ก็มีวันหนึ่งมีโยมผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งกรรมฐานอยู่ท้ายศาลา อยู่ ๆ ก็เลื้อยปรื๊ดขึ้นมาข้างหน้าเลื้อยเหมือนงูเลื้อยเลย แล้วก็อ้าปากคายพระเขี้ยวแก้วออกมา บอกว่า “พวกนาคที่นาคพิภพเห็นว่าพร้อมใจกันทำความดี ก็เลยปลื้มใจให้ยืมพระเขี้ยวแก้วมาเพื่อจะได้บูชาระยะหนึ่ง” เขาจัดไว้ให้ดูสวยจริง ๆ เขาจัดพระเขี้ยวแก้วไว้ตรงกลาง ประมาณซักเท่านิ้วก้อยใสเป็นเพชรเลยจริง ๆ แล้วก็เอาพวกพระบรมสารีริกธาตุสีต่าง ๆ วางเรียง ๆ ล้อม ๆ กันเป็นรูปอย่างโน้นรูปอย่างนี้ ดูสวยมากอยู่ที่ตึกชินปัญชระ ชั้น ๓ ไม่รู้ปัจจุบันนี้ยังอยู่หรือเปล่าเพราะเขาให้ยืม อาจจะเอากลับไปแล้ว
     
  4. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG]



    ถาม: ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน ? คำถามนี้ได้มีผู้ไปถามท่านพระเดชพระคุณหลวงปู่ดูลย์ ท่านได้ตอบว่า “มันก็เกิดมาพร้อมกันนั่นแหละ” เรื่องอารมณ์ขันในการสนทนาอย่างกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านมักจะมีให้เห็นอยู่เสมอ การปฏิบัติธรรมะเราควรเคร่งเครียดมากน้อยเพียงใด ?

    ตอบ: เรื่องของการปฏิบัติธรรมนี่ควรจะมีในส่วนที่รื่นเริงในธรรม แต่ในคราวนี้ในส่วนที่รื่นเริงในธรรมต้องมีพอเหมาะพอควร คือให้กล่าวเป็นกถาวัตถุเรื่องที่ชักชวนให้อยากปฏิบัติ อย่ากล่าวเป็นเดียรฉานคาถา คือในส่วนที่ทำให้เป็นการขวางการปฏิบัตินั้นเสีย

    ไข่ เกิดก่อนพอเป็นตัวขึ้นมาแล้วจึงสมมุติเรียกว่านี่คือ “ไก่” แล้วไก่ค่อยไปไข่ใหม่อีกที (หัวเราะ) อันนี้ถูกมั้ย ไม่ต้องเถียงไข่เกิดก่อนแน่นอน คนจะรู้จักไข่ก่อน พอเป็นตัวขึ้นมาจึงเรียกว่านี่ไก่ นี่นก นี่เป็ด จริง ๆ อยู่ที่คำเรียกมัน ทุกอย่างเป็นสมมุติทั้งหมดเสียเวลาไปคิด (หัวเราะ)

    ถาม : การนอนแผ่ศักราชหมายถึง การนอนแผ่แล้วเหยียดมือและขาออก เรื่องบทแผ่ศักราชนักวิชาการเขาประหลาดใจ ที่บทแผ่ศักราชไปปรากฎในรัฐธรรมนูญในตอนขึ้นต้น แต่ก็ได้คำตอบว่าเป็นธรรมเนียมแบบแผนแต่โบราณที่ปฏิบัติกันมา เวลาพระท่านเทศน์ท่านแสดงบทแผ่ศักราชเพื่อประโยชน์ประการใดบ้างครับ ?

    ตอบ: จริง ๆ เขาใช้คำว่า บอกศักราช บอกศักราชนี่เขาจะบอกให้รู้ว่า ขณะนี้เป็นวันที่เท่าไหร่ เดือนเท่าไหร่ ปีเท่าไหร่ ขึ้นแรมกี่ค่ำ หมายความว่าพระพุทธศาสนาเราล่วงเลยมาแล้วเท่าไหร่ และยังเหลืออีกกี่วัน กี่เดือน กี่ปี จะครบ ๕๐๐๐ ปี สิ้นพระศาสนา

    อันดับแรกก็คือให้คนรู้ว่าวันนี้เป็นวันอะไร อันดับต่อไปก็คือเตือนคนที่ประมาทว่าขณะนี้อายุศาสนาสั้นลงไปทุกที ๆ แล้ว ควรจะรีบทำดีได้แล้ว ไม่อย่างนั้นตายเปล่าไม่มีความดีอะไร คำว่า แผ่ศักราช หรือ บอกศักราช อันเดียวกันคือ ประกาศให้รู้ว่าเป็นวัน เป็นเดือน เป็นปีที่เท่าไหร่ เขาจะขึ้น อิทานิ ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ เริ่มปรินิพพานนะโตปัฏฐายะ ตั้งแต่พระพุทธเจ้าปรินิพพานมา ตอนนี้ก็ต้องเป็น สัตตะจัตตาฬีสุตตะระ ปัญจะสตาธิกานิ ทะเวสังวัจฉะระ สะหัสสานิ ๒๕๔๗ ปีล่วงไปแล้ว (หัวเราะ) เอาแค่นี้ขืนว่าจบมันยาว

    ถาม : มีคนเขามาสอนผมว่า เวลาผัวเมียเขาทะเลาะกัน แต่ละฝ่ายเขาจะหาพวกมาสนับสนุน เขาบอกผมว่าอย่าไปสนับสนุนใครหรือยุยงให้เลิกกัน เพราะเวลาเขาดีกันเราจะกลายเป็นหมา (หมาหัวเน่า) และยังเกลียดขี้หน้าเราอีกต่างหาก ควรจะแนะนำให้เขาปรองดองกันมากกว่า สิ่งที่เขาสอนผมมานี้พอรับฟังได้หรือไม่ครับ ?

    ตอบ: ควรจะเป็นอย่างนั้นเลย เวลาผัวเมียทะเลาะกัน ถ้าเราไม่ใช่คนที่เขาเกรงใจมากขนาดยอมรับฟัง ไปใกล้ ๆ อาจมีลูกหลงให้ (หัวเราะ) แล้วถ้าเราไปเข้าข้างใดข้างหนึ่ง ก็กลายเป็นศัตรูของอีกฝ่ายหนึ่ง แล้วพอเขาดีกันเมื่อไหร่ก็เกลียดขี้หน้าเราอย่างที่ว่านั่นแหละ แต่คราวนี้ว่าถ้าสามารถกล่าวให้เขาเย็นลงได้ก็ให้เขาเย็นลง ให้เห็นโทษของการทะเลาะกันว่าทำให้บ้านแตกสาแหรกขาด ลูกหลานเดือดร้อนอย่างไรก็ว่าไป แต่ถ้าเขาไม่เกรงใจเราเลย ก็หลีกห่าง ๆ เอาไว้ มีโอกาสช่วยเหลือเขาทางอื่นดีกว่า

    ถาม : สามีภรรยาคู่หนึ่งเขามีปัญหากันด้วยเรื่องแฟ้บ หรือผงซักฟอก เนื่องจากภรรยาไปดูโทรทัศน์ว่าเปิดฝากล่องแฟ้บจะได้พบโชครางวัลใหญ่ จึงคิดลงทุนไปซื้อแฟ้บมาหลายลังแล้วมาเปิดดู ปรากฎว่าไม่ได้รางวัลอะไรเลยแม้แต่บาทเดียว ต่อมาเมื่อแฟ้บไม่มีที่เก็บจึงเทน้ำในโอ่งทิ้งแล้วใส่แฟ้บแทนเต็มโอ่งหลายใบ สมัยนี้มีคนเขามักจะพูดกันว่าให้ตั้งชีวิตอยู่ด้วยความหวัง และตั้งความฝันด้วยตัวความหวัง กระผมพอจะรู้อยู่บ้าง แต่ตัวความฝันของคนเรานี้จะเอาอย่างไรดี ?

    ตอบ: ความฝัน หรือความหวัง จริง ๆ อันเดียวกัน หวังไว้แล้วก็ฝันว่าควรจะเป็นอย่างนั้น ควรจะเป็นอย่างนี้ แต่จริง ๆ แล้วควรจะมีปัญญาประกอบอยู่ว่าตัวพอเหมาะพอดีอยู่ที่ไหน แฟ้บหลายโอ่ง เราซื้อมาเราเสียเงินไปแล้ว ถึงของจะไม่เสียหายเราเก็บดีงำดีมีสิทธิ์ใช้หมดก็จริง แล้วจะหมดอีกกี่ปีข้างหน้า เอามันแค่พอดี ๆ ก็แล้วกัน แหมเล่นซื้อแฟ้บมาแกะอย่างเดียวจริง ๆ แต่พวกผงซักฟอกมันน่าอเนจอนาถ ไม่ว่าจะยี่ห้อไหนก็ตามชาวบ้านไปถึงก็ซื้อแฟ้บกล่องหนึ่งเอายี่ห้อบรีสนะ ยี่ห้อเปานะ อันไหนมาก่อนก็ติดปากยี่ห้อนั้นแหละ

    ถาม : ถ้าครอบครัวทั่วไปมีศีล ๕ จะดีหรือไม่อย่างไร ?
    ตอบ: อ๋อ ดีแน่นอนจ้ะ เพราะว่าการที่จะทรงตัวเป็นครอบครัวเดียวกันอย่างมีความสุข พระพุทธเจ้าบอกว่า “ต้องมีทานเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน มีจาคะคือการบริจาคเสมอกัน” ไม่อย่างนั้นแล้วรังแต่จะมีปัญหา

    ผัวรักษาศีล เมียไม่รักษาเดี๋ยวผัวก็ติเมีย เมียรักษาศีล ผัวไม่รักษาเดี๋ยวเมียก็ติผัว จะมีแต่เรื่องระหองระแหงกันอยู่ตลอด เพราะฉะนั้นถ้าครอบครัวไหนมีศีล ๕ ทรงตัวจะตัดปัญหาเรื่องนอกใจออกไปได้เลย เรื่องจะต้องมาหวาดระแวงกันก็ไม่ต้องมีอีก

    ถาม : คุณค่าของบุคคลผู้มีศีล ๕ เปรียบกับอะไรได้บ้าง ?
    ตอบ: ท่านบอกว่า ผู้มีศีล ๕ เปรียบเหมือนกัลยาณชนเป็นบุคคลโดยสมบูรณ์ ถ้าผู้ใดบกพร่องในศีลก็จะเปรียบเหมือนกับว่า ความเป็นสัตว์เดียรฉานหรือสัตว์นรกมันเข้ามาสิงใจของเราแทน ก็ตีเสียว่าถ้าหาก ๕ ข้อเป็น ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เราขาดไปข้อหนี่งก็ความเป็นสัตว์นรกหรือเปรตอสุรกายก็เข้ามาซัก ๒๐ เปอร์เซ็นต์ ๒ ข้อก็ ๔๐ เปอร์เซ็นต์ ไล่ไปเรื่อยครบ ๕ ข้อเมื่อไหร่ก็ไม่มีความเป็นคนเหลือแล้ว กลายเป็นมนุสสเนรยิโก มนุษย์ที่เป็นเดียรฉาน มันสักแต่ว่าเปลือกเป็น แต่ใจกลายเป็นอย่างอื่นไปซะแล้ว บางทีท่านก็บอกว่า ศีล ๕ เปรียบเหมือนดั่งทรัพย์อันประเสริฐ เป็นอริยทรัพย์ที่ไม่มีใครปล้นไปได้ ไม่มีใครที่จะช่วงชิงไปจากเราได้

    ถาม : เราถือศีลไปเพื่ออะไร ?
    ตอบ: ศีล อันดับแรกคือ ความอยู่สุขในปัจจุบัน เราไม่อยากให้ใครฆ่าเรา เราก็อย่าไปฆ่าใคร เราไม่อยากให้ใครขโมยเรา เราก็อย่าขโมยใคร เราไม่อยากให้ใครมาล่วงเกินคนที่เรารัก เราก็อย่าไปล่วงเกินคนรักของใคร เราอยากฟังแต่ความจริงก็อย่าโกหกใคร เราอยากมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เราก็อย่าไปดื่มสุราเมรัย อันนี้ก็คือในปัจจุบัน

    และสุขในอนาคตท่านบอก “สีเลนะ สุคะติง ยันติ” ศีลย่อมทำให้เราสู่สุขคติ เพราะถ้าจิตเราเกาะความดีเป็นปกติเราก็เกิดเป็นเทวดา เป็นพรหม หรือถ้าหากว่าเต็มที่ไม่ต้องการเกิดอีกกำลังของศีลก็ส่งไปนิพพาน ท่านบอก “สีเลนะ โภคะสัมปะทา” ศีลทำให้มีโภคทรัพย์มาก คือคนที่รักษาศีลนี่จะมีสติทรงตัวอยู่เสมอ ไม่เบียดเบียนใคร ทำมาค้าขายกันอย่างสัมมาอาชีวะ เงินที่ได้มาทรัพย์สินที่ได้มามันเย็น คือรู้จักจับจ่ายใช้สอยอย่างมีสติก็เลยทำให้มีสมบัติมาก ขณะเดียวกันถ้าเกิดเป็นเทวดา พรหม ก็มีทิพสมบัติมาก แล้วท่านก็ยืนยันบอกว่า “สีเลนะ นิพพุติง ยัน” ศีลเป็นปัจจัยส่งให้ถึงพระนิพพานได้ นี่เป็นสุขในอนาคต

    ฉะนั้นการรักษาศีลนี่หมายเอาความสุขทั้งสองด้าน คือสุขในปัจจุบันและสุขในอนาคตด้วย

    ถาม : คำว่า ศีล กับ อวิหิงสา เป็นอย่างเดียวกันหรือไม่ ? สิ่งไหนอารมณ์สูงหรือต่ำกว่ากัน
    ตอบ: อวิหิงสา เป็นการไม่เบียดเบียนคนอื่น ศีลทั้งหมดอยู่ในอวิหิงสาอยู่แล้ว อวิหิงสาวิตก คือคิดอยู่ว่าเราจะไม่เบียดเบียนเขา เราจะเป็นมิตรกับคนและสัตว์ทั่วโลก ถ้าจะว่าไปแล้วอารมณ์ อวิหิงสาวิตก เป็นอารมณ์ของพรหมวิหาร ๔ กำลังจะสูงกว่าศีล แต่ถ้าหากว่าทำแล้วทรงตัวเสมอกันกำลังมันเท่ากัน

    แต่ถ้าหากว่าโดยนัยแล้วพวกอวิหิงสาวิตกนี่เป็นกำลังของพรหมวิหาร เขาหมายเอาความเป็นพระอนาคามีขึ้นไป ศีลนี่ไล่ตั้งแต่พระโสดาบัน สกิทาคามีขึ้นไป อันนั้นก็เริ่มต้นจากจุดแรก อันนี้เขากระโดดไปกลาง ๆ เลย กำลังของพรหมวิหารถ้าทรงตัวจริง ๆ เป็นพระอนาคามีเลย แต่ถ้าหากว่าทำได้เสมอกันกำลังเท่ากัน

    ถาม : อารมณ์ใจในสีลานุสสติ ควรตั้งตอนไหน เช้า กลางวัน หรือเย็น ?
    ตอบ: ทั้งวันเลย หลับและตื่น ขยับตัวเมื่อไหร่ให้รู้ว่าศีลจะขาดหรือไม่ (หัวเราะ) ไปเลือกเอาเช้า กลางวัน เย็น ตอนที่เผลอเดี๋ยวก็ลงข้างล่างเท่านั้น ต้องทุกเวลาเลย ยิ่งหลับอยู่รู้ตัวว่าเรารักษาศีลได้ รู้ตัวว่าเรากำลังปฏิบัติในศีลอยู่ยิ่งดี แต่คนที่ทำได้อย่างนี้ถ้าเป็นฆราวาสทำได้น้อย

    ถาม : การท่องศีล ๕ จะถือว่ามีศีลได้หรือไม่ ?
    ตอบ: ไม่ได้ การท่องศีล ๕ เป็นการศึกษาว่าศีล ๕ ข้อมีอะไรบ้างเท่านั้น ศีลจะเป็นศีลได้อยู่ที่มีเจตนางดเว้นรู้ว่าเรามีโอกาสฆ่าเขาเราไม่ฆ่า รู้ว่ามีโอกาสลักขโมยเขาเราไม่ลัก ถ้ามีเจตนางดเว้นอย่างนี้ถึงจะเป็นศีล

    ถาม : เรื่องของนายพรานที่ตัดสินใจถือศีล ๑ ข้อ คือไม่ฆ่าสัตว์ ปรากฎว่าได้ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี อารมณ์ที่ว่านั้นเป็นอารมณ์แบบใด หรือว่าตั้งใจ (ไม่ชัด)

    ตอบ: อันนั้นของเขาตั้งเจตนาจริง ๆ มีโอกาสทำแล้วเขาไม่ทำ ตัวตายดีกว่าศีลขาดกำลังใจสูงขนาดนั้น กำลังใจเขาที่สูงขนาดนั้นถึงเวลา ผลตอบแทนก็เลยมากด้วย

    แต่อันนี้หมายความว่าบุญเก่าในอดีตของเขาอาศัยช่วยจังหวะที่กุศลกรรมนำชีวิตเขา ฉวยโอกาสเข้ามารวมตัวด้วยกัน ถ้าไม่มีศีลข้อนั้นเขาก็ไม่มีวันได้เหมือนกัน เรื่องอย่างนี้ต้องแยกให้ละเอียด

    ถาม : ตรงพรหมวิหาร ๔ ตรงไหนถึงจะรู้ว่าเรารักษาพรหมวิหาร ๔ ได้ทรงตัว ?
    ตอบ: ถ้าหากว่าเราตั้งใจแผ่เมตตาแล้วให้จับลมหายใจต่อเลย ทรงเป็นฌานตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นเมื่อไหร่ก็เริ่มทรงตัว ถ้าจะเอาให้ชัวร์ก็ฌาน ๔ คล่องตัวไปเลย

    ถาม : ในอานิสงส์ของการทำบุญทั้งหมด เช่นว่า ให้ทานมีผลน้อยกว่ารักษาศีล แล้วก็น้อยกว่าการภาวนา จะเห็นได้ว่าการภาวนาเป็นบุญสูงสุด เราจะทำบุญโดยการภาวนาอย่างเดียวจะดีหรือไม่ ?

    ตอบ: การที่เราภาวนาอย่างเดียว ถ้าสมมุติว่าต้องเกิดใหม่อีกจะเป็นคนมีปัญญามาก การที่เราให้ทานเราเกิดใหม่อีกเราจะมีทรัพย์สมบัติมาก การที่เรารักษาศีลเราเกิดใหม่อีกจะเป็นคนมีจิตใจดีงามมีหน้าตาสวยงามมาก

    คราวนี้ถ้าเราเกิดมารวยหน้าตาขี้ริ้วขี่เหร่ ปัญญาไม่ดีมันก็เจ๊งเหมือนกันใช่มั้ย ? หรือไม่ก็เกิดมาปัญญาดีแต่สตางค์ไม่มีก็อยู่ลำบาก หรือไม่ก็รวยซะแทบแย่เลยแต่หน้าตาไม่เอาไหนใครเขาก็ไม่มอง เอ๊ะ!หรือสมัยนี้มันมอง ? เพราะฉะนั้นจริง ๆ ก็คือ ควรทำทั้ง ๓ อย่างให้เสมอกัน

    ถาม : เขาชอบพูดกันว่าเวลาจะให้ทานใดก็ให้นึกถึงตัวเราเองก่อนว่าเราจะลำบากหรือไม่ เรื่องอารมณ์ในจาคานุสสติ ในทางปฏิบัติให้ตั้งเจตนาไว้อย่างไรบ้าง ?

    ตอบ: จริง ๆ ก็คือ ให้ตั้งใจว่าถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่เราจะให้ แต่คราวนี้ว่าในเรื่องของทานนี่นอกจากจะดูว่าเจตนาบริสุทธิ์ วัตถุทานบริสุทธิ์ ผู้ให้คือตัวเราทรงศีลบริสุทธิ์ ผู้รับก็คือภิกษุสามเณรทรงศีลบริสุทธิ์อย่างนี้ หรือไม่ก็คนทั่ว ๆ ไปที่เราจะสงเคราะห์เขามีศีลบริสุทธิ์ ถึงจะมีประโยชน์เต็มร้อยส่วน

    แต่ว่าท่านก็บอกเอาไว้ว่า เวลาให้แล้วต้องไม่ให้ตัวเองและคนรอบข้างเดือดร้อนถึงจะเป็นทานที่ดีจริง ถ้าเราให้แล้วคนรอบข้างและตัวเองเดือดร้อน อาจจะทำให้กำลังใจของเราตกได้ หรือคนอื่นเขาตำหนิได้ แต่เรื่องพวกนี้ต้องยกให้คนประเภทหนึ่ง คนประเภทนี้เขาเรียกว่า “พระโพธิสัตว์” ประเภทนี้ท่านขอให้มี กูให้ ไม่มีอะไรจะให้สละชีวิตเป็นทานก็ได้ ควักลูกตาให้ก็ได้ เชือดเนื้อให้ก็ได้ ควักหัวใจให้ก็ได้ ตัดหัวให้ก็ได้ กำลังใจประเภทนี้ไม่ใช่กำลังใจของคนทั่ว ๆ ไป อย่าไปเลียนแบบท่าน ยกเว้นว่าเราเป็นคนระเภทเดียวกับท่านก็เอาเถอะ

    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีนามว่า “มังคละ” ท่านได้สละบุตรธิดาเป็นทาน ยักษ์มันหิวขอลูกไปกิน แล้วมันก็ร้ายมากพอส่งให้นี่มันเคี้ยวกินต่อหน้าเลย ถ้าเป็นเราก็ลากบาซูก้ามายิงเลย (หัวเราะ) แต่ว่าในอรรถกถาท่านบอกว่า พระองค์ท่านจักมีความหวั่นไหวแม้ซักน้อยหนึ่งก็มิได้ ไม่ได้มีเลย มั่นคงในทานบารมีขนาดนั้น รู้ว่าเขาต้องการก็ให้แม้แต่ลูกที่ตัวเองรักที่สุด มันแสบจริง ๆ เลยเจอไอ้ยักษ์ประเภทนี้เข้า มันเล่นกินต่อหน้าเลย

    ถาม : เรื่องการให้ทานด้วยความโกรธจะมีผลเป็นอย่างไรบ้าง ?
    ตอบ: มีผลเหมือนกัน แต่ว่าการที่เราทำบุญด้วยความโกรธถ้าเกิดเป็นคนรวยก็จริงแต่จะหน้าหงิกอยู่ตลอด ถ้าหากว่าได้ขึ้นไปสู่สุขคติภูมิส่วนใหญ่จะไปเกิดเป็นอสูร

    อสูรนี่มีความเป็นทิพย์เหมือนกับเทวดา แต่หน้าตาสวยสู้เทวดาไม่ได้ เพราะว่าตัวโกรธมันตัดไปซะ อย่างนางปัญจปาปา อันนั้นทำบุญด้วยความโกรธกำลังอารมณ์เสียพ่อใช้งานอยู่ เป็นลูกสาวนายช่างปั้นหม้อ พระปัจเจกพระพุทธเจ้ามาบิณฑบาตดินจะเอาไปปอุดข้างฝา ฝามันแตกลมหนาวก็เข้าได้ กำลังโมโหพ่อ ปั้นดินได้ก็ทุ่มโครมใส่บาตรให้ เกิดมาชาติใหม่กลายเป็นคนมีเนื้อเป็นทิพย์เพราะทำบุญด้วยดิน ใครจับเนื้อแกนี่หลงทุกรายเลย แต่หน้าแกหงิกดูไม่ได้เลย (หัวเราะ) นั่นแหละทำบุญด้วยโทสะ

    ถาม : (ไม่ชัด) การที่เราไปทำทานกันมากเกินไปไม่น่าจะส่งผลดีต่อพระพุทธศาสนา (ที่เขาว่ากัน) เรื่องของทานบารมี เราตั้งใจไว้แล้วว่าจะทำ เมื่อได้ฟังความเห็นที่ไม่ได้เป็นความเห็นของพระสงฆ์ในศาสนาแล้วเราควรใส่ใจหรือไม่อย่างไร ?

    ตอบ: เอาปัญญาตรองดูก็รู้ สิ่งที่เราทำไม่ว่าจะเป็น ทาน ศีล ภาวนา อย่างที่ว่าคือ หมายเอาสุขปัจจุบันอย่างหนึ่ง กับสุขในอนาคตอย่างหนึ่ง คราวนี้ทั้งสองอย่างนี่ กว่าที่คนเราจะสร้างบารมีให้กำลังใจสูงถึงขนาดรับธรรมะแท้โดยส่วนเดียวได้น่ะมันยาก ในเมื่อไม่สามารถรับธรรมะแท้โดยส่วนเดียวได้ก็ต้องมีเครื่องยึดเหนี่ยวอย่างอื่น ซึ่งจะออกมาในรูปของวัตถุมงคลต่าง ๆ

    ส่วนใหญ่ก็ให้ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่ว่าบางสำนักของเขาการสร้างวัตถุมงคลของเขาออกมาอาจจะมีรูปลักษณะแปลก ๆ อย่างพวกปลัดขิกบ้าง นั่นของเขา ๆ เรียนมาตามสายครูบาอาจารย์ จริง ๆ แล้วดูถูกไม่ได้เลยนะ เพราะว่าที่ทำแล้วมีผลจริง ๆ ก็เยอะแยะไป อย่างของหลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ นี่หนึ่งในห้าเสือสงครามโลกเลยนั่นแหละ ปลักขิกของหลวงพ่ออี๋วายน้ำเล่นได้อย่างกับปลา ของหลวงพ่อยิด วัดหนองจอก นี่บินแข่งกับเฮลิคอปเตอร์เลย แล้วคุณว่าเขาทำไม่ได้ผลเหรอ ?

    คราวนี้คนเราตอนแรก ๆ เหมือนกับเด็กหัดเดินต้องมีที่ให้ยึดให้เกาะก่อน เราจะไปบอกให้วิ่งเลยซิร้อยเมตร เอาเหรียญโอลิมปิกมาให้ได้ มันเป็นไปได้มั้ยล่ะ ? มันก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นคนที่เขาว่ามาจริง ๆ เจตนาเขาดี แต่เขาไม่ได้ดูว่ากำลังของคนไม่เท่ากัน เขาก็เลยตำหนิเอาเสียตั้งแต่แรกว่าทำผิด ถ้าหากว่าคนทุกคนเขารู้ว่าอะไรเป็นคุณ อะไรเป็นโทษจริง ๆ ต่อให้พระไม่ทำอะไรออกมาเลย จิตของเขาก็มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่แล้ว แต่เนื่องจากว่ายังไม่มี เราจะต้องหาอุบายอะไรบางอย่างมา เพื่อให้จิตของเขามีอนุสสติมีการเกาะในด้านที่ดี ต่อให้เป็นรูปปลัดขิกก็จริงแหละ แต่เขาต้องนึกถึงคนให้ หลวงพ่ออี๋ให้ก็ต้องนึกถึงหลวงพ่ออี๋ หลวงพ่อยิดให้ก็ต้องนึกถึงหลวงพ่อยิด อย่างนี้ก็จะเป็นสังฆานุสสติ ใจเขามีส่วนของความดีเกาะอยู่ ถ้าตายตอนนั้นอย่างน้อยสุขคติก็จะเป็นของเขา

    ก็น่าคิดเหมือนกัน แต่พวกนี้จริง ๆ แล้วน่าจะยังไง ? ชี้ให้ดูยอดเจดีย์แล้วเราก็รื้อเจดีย์ออกให้ฉัตรตกใส่กบาลมัน มันจะเอาแต่ยอดไม่ได้ดูฐานเลย ดูซิว่าถ้าไม่มีองค์เจดีย์นี่ฉัตรจะตั้งอยู่ได้มั้ย เอะอะจะเอาแต่เพชรยอดมงกุฏ ไม่เอาพื้นเลย พวกนี้ต้องให้เกิดในสมัยพระศรีอาริย์ สมัยพระศรีอาริย์นี่เทศน์ทีเดียวไปกันเป็นแสน ๆ เลย

    ถาม : คาเมนไรเดอร์ หรือไอ้มดแดง เรื่องนี้เป็นเรื่องเทคโนโลยีของญี่ปุ่นที่ก้าวหน้า ไอ้มดแดงเขามักจะให้หน้าที่คอยปราบอธรรมและจะมีหญิงสาว หรือนางเอกคอยพูดคำว่า “กันปะเต๊ะ” ที่แปลว่า สู้เขานะ หรือให้กำลังใจไอ้มดแดง ปัจจุบันประเทศญี่ปุ่นมีความก้าวหน้าในเทคโนโลยีมาก แต่กลับประสบปัญหาทางด้านจิตใจและวัฒนธรรม หรือที่เรียกว่า “วัตถุนิยม” ดั่งจะเห็นได้จากวัยรุ่นคลั่งนักร้องมากกว่าที่อื่น ช่วงหลังมาจึงได้พยายามรื้อฟื้นประเพณีต่าง ๆ ขึ้นมามากขึ้น เช่น การฝึกฝนการชงชา เป็นต้น

    คราวนี้มาถึงบ้านเราที่มีวัฒนธรรมการสร้างการ์ตูนแบบ “จ๊ะจิงจา” คือขายเทปเพลงอย่างเดียว เรื่องการ์ตูนเป็นเรื่องของเด็ก ๆ ที่ชอบใจสิ่งที่ผู้ใหญ่สร้างให้ดูภาพและเสียง สำหรับผู้ที่มีอารมณ์ใจในการปฏิบัตินั้น สภาพสีสันและเสียงที่ปรากฎอยู่เฉพาะหน้าควรตั้งอารมณ์ใจอย่างไร ? สีสันวรรณะที่ปรากฎอยู่เฉพาะหน้านั้นที่ว่ามันหลอกเรา มันหลอกเราอย่างไร ? การพัฒนาทางโลกและทางธรรมมีความเป็นไปได้หรือไม่ ? ที่จะพัฒนาไปพร้อม ๆ กัน

    ตอบ: เริ่มจากการ์ตูนญี่ปุ่นแล้ว ก็ที่ชาวบ้านคือ พวกวัยรุ่นญี่ปุ่นก็พากันกลายไปเป็นพวกวัตถุนิยม บริโภคนิยม คลั่งไคล้พวกนักร้องหนักกว่าที่อื่นเขา จริง ๆ แล้วทั้งหมดนี่เรื่องของความเจริญเราปฏิเสธไม่ได้ มันมาถึงอยู่เรื่อย ๆ คราวนี้เราถาม เอาคำถามสุดท้ายขึ้นมาก่อนที่บอกว่า เรื่องของการพัฒนาทางโลกและทางธรรรมไปด้วยกันได้มั้ย ? จริง ๆ แล้วไปด้วยกันได้ คือ เทคโนโลยีทุกอย่างเราปฏิเสธมันไม่ได้ ความเจริญนี่ แต่เราใช้มันอย่างมีสตติให้มันเป็นเครื่องส่งเสริมเรา อย่าให้มันเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเรา

    อย่างที่ในหลวงเตือนอยู่เสมอ ๆ ว่าให้ใช้เศรษฐกิจพอเพียงน่ะ ที่ท่านบอกพอเพียงไม่ได้หมายความว่าไม่มีอะไรเลย แต่ว่าเรามีเหลือเฟือแล้วเราค่อยไปหาอย่างอื่นเข้ามา ในเมื่อถ้าเราใช้อย่างมีสติอย่างนั้น ทางโลกกับทางธรรมจะไปกันได้ดี

    ส่วนที่ว่าลักษณะของมัน ๆ ล่อลวงให้หลงยังไง ? ก็คือตาเห็นรูปแล้วชอบใจไม่ชอบใจ หูได้ยินเสียงชอบใจไม่ชอบใจ จมูกได้กลิ่นชอบใจไม่ชอบใจ ลิ้นได้รสชอบใจไม่ชอบใจ กายสัมผัสชอบใจไม่ชอบใจ ไอ้ทั้งสองตัวนี้มันเล่นเราทั้งขึ้นทั้งล่อง ชอบใจเป็นอารมณ์ของราคะ ไม่ชอบใจเป็นอารมณ์ของโทสะ เสร็จมันทั้งคู่

    คราวนี้การที่เราถ้าหากว่าไม่เอาสติตั้งอยู่เฉพาะหน้า ตาเห็นรูปใจไปคิดต่อก็จะเป็นอันตรายต่อเรา อย่างเช่นว่าเห็นนักแสดงผู้หญิงสวย ๆ เราเป็นผู้ชายก็เออสวยแฮะ สเปกอย่างนี้ของเราเลย ถ้าเป็นเมียเราก็ดีเนอะ อะไรก็จะว่ายาวไปเรื่อย ก็จะเกิดประเภทไม่ราคะก็โทสะโมหะขึ้นมาบานเบอะ ทำอย่างไรเราจะสร้างสติของเราให้เท่าทันและหยุดมันไว้ทันทีที่เห็น ทันทีที่ได้ยิน ทันทีที่ได้กลิ่น ทันทีที่ได้รส ทันทีที่สัมผัส อย่าให้มันเข้ามาทำอันตรายเราในใจได้ นั่นคือเราต้องหยุดใจของเราอยู่กับปัจจุบัน ตอนนี้เดี๋ยวนี้อยู่กับลมหายใจเข้าออก อยู่กับการภาวนา หยุดการปรุงแต่งทั้งปวง ถ้าเราหยุดได้ สติปัญญารู้เท่าทันห้ามมันทัน เพราะเห็นทุกข์ เห็นโทษของมัน ทุกสิ่งก็เกิดขึ้นไม่ได้ มันก็ดับอยู่แค่นั้น อันนี้หนึ่งข้อสามคำถามเริ่มตอบจากหลังมาหน้า

    ถาม : ในทางจิตวิทยาเขาได้ชี้แนะหนทางในการห้ามปรามลูกวัยรุ่นด้วยประโยคคำถามและรู้สึกว่าจะได้ผลดี แต่เรื่องนี้ไม่ต้องให้นักจิตวิทยาสอนเราก็รู้อยู่แล้ว แต่เราจะใช้ประโยคคำถามในลักษณะประชดมากกว่า เขาบอกกันว่าจะพูดอะไรให้คิดก่อนรู้สึกว่าจะไม่ทันอารมณ์ ถ้าเราจะฝึกพูดให้เข้าหูคนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ไม่ทราบว่าท่านพระคุณเจ้าพอจะมีหลักเบื้องต้นให้แก่กระผมหรือไม่ ?

    ตอบ: จริง ๆ พระพุทธเจ้าท่านบอกเอาไว้ชัดแล้วว่า อย่ากล่าววาจาที่เป็นคำส่อเสียดยุคนอื่นให้แตกร้าวกัน อย่ากล่าววาจาที่เป็นคำหยาบ อย่ากล่าววาจาที่เป็นคำเพ้อเจอเหลวไหล ท่านให้กล่าวแต่ปิยะวาจา คือคำพูดที่ดี ชักนำให้คนอยากปฏิบัติความดี เห็นว่าความดีนั้นทำได้ง่าย เห็นว่าความดีนั้นทำแล้วเป็นเรื่องที่ดีที่จะส่งเสริมเราให้เจริญขึ้น อะไรลักษณะทำนองนี้

    แต่คราวนี้ว่าส่วนใหญ่แล้วพวกเราทุกคนขาดการฝึก ในเมื่อขาดการฝึกพออารมณ์กระทบขึ้นมาก็มักจะอาละวาดก่อนเป็นอันดับแรก ในเมื่ออาละวาดไปก่อนเด็ก ๆ นี่เขาแรงกว่า เขาไม่ค่อยรับอะไรง่าย ๆ หรอก อาละวาดใส่มาเขาก็แรงกลับ ก็บ้านแตกสาแหรกขาดอย่างที่เห็น

    เพราะฉะนั้นถ้าจะทำให้ดีที่สุดก็ต้องเอาอย่างพระพุทธเจ้าท่านว่า หรือไม่ก็ที่โบราณท่านว่านับหนึ่งถึงร้อยไว้ก่อน หรือไม่ก็พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียตำลึงทอง อะไรอย่างนี้ อย่างอาตมาสมัยก่อนแก้อาการปากไวด้วยการเอาเหรียญหลวงพ่อมาอมไว้ ถึงเวลาขยับลิ้นมันติดเหรียญก็รู้ว่าเอ่อ เราจะไม่พูดเรื่องเหล่านี้นะก็หยุดได้ทัน ก็อยู่ที่เราต้องฝึกตัวเราเอง คนอื่นบอกได้เท่านั้นแหละ แต่จะทำได้เป็นผลต้องอยู่ที่ตัวเราทำ

    ถาม : สำนวนภาษาอังกฤษที่ว่า “Bolt and Nut” แปลได้ว่า รู้อะไรก็ตามให้รู้หลัก ๆ ก็พอ รายการแฟนพันธุ์แท้สามก๊กก็มีการตอบคำถาม โดยความจำกันว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร นักวิชาการได้กล่าวถึงประโยชน์ของสามก๊กไว้หลายอย่าง เช่น ๑. การ merg กันหรือการควบรวมกันของกิจการ ๒. การหลั่งไหลของผู้คนที่เรียกว่า สวามิภักดิ์ ๓. ตอนจูล่งฝ่าทัพไปรับอาเต๊าและสุดท้ายอาเต๊า(ไม่ชัด) เรื่องสามก๊ก ที่เกิดขึ้นมาในแต่อดีตเมื่อประมาณ ค.ศ. ๓๐๐ กว่า (ถ้าจำไม่ผิด) แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้เคยเกิดมาก่อน สามก๊กเปรียบเสมือน case study หรือกรณีศึกษาเอาไว้เรียนรู้ผู้คน ไม่ใช่ว่าการจำเรื่องทั้งหมดได้เป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่จะให้ดีเข้าขั้นคบไม่ได้ก็ต้องว่ากันอีกที

    ประเด็นคำถามอยู่ที่ว่าความรู้ของคนทางโลกอย่างหนึ่ง ทางธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าบุคคลผู้นับถือพระพุทธศาสนา เป็นผู้ที่ทนต่อทุกข์และยอมรับกฎของกรรมเพียงอย่างเดียว ไมได้หมายความว่าการยอมรับกฎของกรรมเป็นของไม่ดี และละทิ้งความรู้ในทางโลกทั้งหมด โดยเห็นว่าไม่มีความหมาย ความรู้ในทางโลกและในทางธรรมเราตั้งใจกันอย่างไรดี ?

    ตอบ: จริง ๆ แล้วโลกธรรมเขาให้ไปพร้อมกัน โลกต้องไม่ช้ำ ธรรมต้องไม่เสีย อย่างที่โบราณเขาบอกไว้ว่า รู้จริงสิ่งเดียวอาจมีมั่ง เลี้ยงชีพ ช้าอยู่ร้อย ชั่วลื้อหลานเหลน

    เรื่องของตำราต่าง ๆ โดยเฉพาะสามก๊กนี่ ต้องเอาอย่างที่จีนเขาว่า จีนเขาบอกว่าการเรียนรู้ตามอาจารย์สอนได้ถือว่าเก่ง ถ้าหากว่าเอาไปพลิกแพลงใช้งานได้ผลถึงจะเป็นยอด แต่ถ้าให้เยี่ยมจริง ๆ คุณต้องบัญญัติใหม่

    สรุปรวมทั้งหมดที่คุณว่ามาเลยว่าจริง ๆ แล้วของทุกอย่างที่ผ่านมาแล้วเป็นบทเรียน ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เกิดขึ้น เสื่อมไป เกิดขึ้น เสื่อมเป็นปกติของมันอยู่แล้ว วงจรของมันอยู่อย่างนี้ เรื่องในสามก๊กเกิดขึ้นในสมัยโน้นหลายพันปีมาแล้ว ถึงเวลามันก็มาเกิดขึ้นในปัจจุบันนี้อีก เพียงแต่ว่าบางแง่บางมุมอาจจะต่างไป เราสามารถที่จะนำของเก่ามาเป็นบทเรียนเพื่อแก้ไขของใหม่ได้อยู่ตลอดเวลา

    พระพุทธเจ้าท่านกล่าวถึงจุดสุดท้ายเอาไว้ว่า อิทธิบาท คุณเครื่องแห่งความสำเร็จมันมีข้อสุดท้ายว่า วิมังสา คือเราต้องไตร่ตรองพิจารณาทบทวนอยู่เสมอ ๆ อย่างที่คนสมัยใหม่เขาใช้คำว่า สรุปประเมินผล ในเมื่อถ้าหากว่าเราไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอ เราก็สามารถใช้ของเก่าเพื่อที่เอามาแก้ไขของใหม่ได้ เพราะว่าทุกอย่างมันไปด้วยกันได้ทั้งหมด

    เขาบอกว่าอ่านสามก๊กครบสามจบคบไม่ได้ อาตมาอ่านมาหลายสิบจบ (หัวเราะ) และที่แน่ ๆ เมื่อไม่นานมานี้ปีที่แล้ว ป่วยหนักขึ้นมา ก่อนจะหายป่วยทุกครั้งมันจะมีนิมิตให้รู้ว่าตัวเองทำกรรมอะไรไว้ เคยเกิดสมัยสามก๊กเหมือนกัน แต่ตอนนั้นนี่ไปล่อเขาเสียพรุนเลย ตอนนั้นเป็นนายบ้านควบคุมประชากรจำนวนมากอยู่เหมือนกัน แล้วคราวนี้ นายทหารฝ่ายของขงเบ้งนี่แหละ เขาจะไปกวาดต้อนผู้ชายเพื่อเอาไปเข้ากองทัพ ไอ้เราก็ไม่อยากให้ลูกบ้านลำบาก ก็ไปขวางไว้ การขวางนี่เมื่อมีทางเดียวก็คือเขาบอกว่า นอกจากให้เขาทำงานไม่ได้เท่านั้นแหละ เขาถึงจะเลิกความคิดอันนี้เลิกล้มงานอันนี้ มันก็ต้องสู้กันใช่มั้ย ?
    คราวนี้ตอนจะสู้กันไอ้เรานี่ขาสั่น ของเขานี่เป็นยอดขุนพลเลย เคยสู้เสมอกวนอูมาแล้ว และเราเองก็เป็นตัวอะไรก็ไม่รู้อยู่กลางป่า แต่คราวนี้ว่าเพื่อลูกบ้านเราก็ต้องสู้ เพราะว่ามันมีแต่เสมอตัวกับกำไร มันไม่มีขาดทุนนี่ใช่มั้ย ? เสมอตัวคือ ยังไง ๆ เขาจะเอาคนของเราอยู่แล้ว ถ้าเราแพ้เขาก็เอาไป กำไรคือ ถ้าชนะเขาไม่ได้แน่ ก็ลองดู แต่คราวนี้ฝ่ายตรงข้ามเขาประมาท เขากะน้ำหนักอาวุธของเราผิด ตอนนั้นใช้ทวนเป็นอาวุธก็จริง แต่ด้ามมันเป็นเหล็ก พอเขากะน้ำหนักอาวุธของเราผิดเขาปัดแล้วไม่พ้นตัว แหมแทงทีแรกก็ได้แผลเลย มันก็เกิดกำลังใจสอยมันซะพรุนเป็นรังผึ้งเลย แต่ไม่ได้ถึงตายนะ เพราะว่าเราต้องการจะให้เขาเลิกล้มความคิด แต่แหม ขุนทัพที่ผ่านศึกมามากนี่บาดแผลแค่นั้นมันเรื่องเล็กสำหรับเขา มันก็ยิ่งฮึดสู้เข้าไปใหญ่ ประเภทยิ่งเห็นเลือดยิ่งบ้าอย่างนั้น เราก็เลยจำเป็นที่จะต้องแทงเขาจนพรุนเป็นรังผึ้งไปเลย ไม่ถึงตายหรอกแต่เอาแค่สู้ไม่ได้ (หัวเราะ)

    กรรมอันนั้นแหละ ที่ทำให้อาตมาฉี่เป็นเลือดอยู่เป็นอาทิตย์เลย มันปวดเหมือนอย่างกับโดนหอกโดนดาบมันเสียบอยู่ทั่วตัวเลย อันนี้จบจ้ะ เคยเกิดสมัยนั้นเหมือนกัน ถือว่าเป็นนิทานแล้วกัน

    ถาม : อานิสงส์ของการนอนฟังธรรม กับอานิสงส์ของการจัดบวชพระ ?

    ตอบ: การนอนฟังธรรมก็ต้องดูด้วยว่าใจเราไปอยู่จุดไหน ถ้าหากว่าสามารถน้อมใจไปตามธรรมได้ ธรรมะนั้นบอกให้เราทำอย่างไรเราน้อมจิตน้อมใจไปตามนั้นได้ ตัดสินใจว่าเราจะทำดังนั้น เราจะเป็นอย่างนั้น อันนั้นมันก็ได้ตามแต่ลำดับของธรรมที่เราทำอยู่ ถ้าหากว่าไม่ได้อะไรเลย ฟังธรรมแล้วหลับไปเฉย ๆ ตอนนั้นจิตเกาะความดีอยู่ถึงตายก็ยังไปในที่ดีได้

    การบวชพระ ถ้าหากว่าเป็นการบวชที่เรียกว่า ไม่ได้เบียดเบียนคนอื่นเขา ไม่ได้เลี้ยงเหล้า ไม่ได้เลี้ยงยาที่มันผิดศีลผิดธรรม อานิสงส์นั้นผู้บวชได้อานิสงส์ถ้าเกิดเป็นเทวดาอยู่ได้ ๖๐ กัป ผู้เป็นพ่อเป็นแม่ได้อานิสงส์นั้น ๓๐ กัป ผู้ที่เป็นเจ้าภาพได้อานิสงส์ ๑๕ กัป คนที่ไปช่วยงานได้อานิสงส์ ๘ กัป แค่ ๘ กัป ก็อยู่กันจนลืมโลกแล้ว อันนี้แค่บวชสำเร็จเป็นองค์พระเฉย ๆ ถ้าหากว่าเขาสามารถทำความดีเป็นพระอริยเจ้าได้ก็ยิ่งดีมากขึ้นไปอีกหลายเท่า



    [​IMG]
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...