ฉบับที่ ๖๗ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๒

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย paang, 23 พฤศจิกายน 2009.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG][​IMG]



    ช่วงแรกของเล่ม "จารชนในสายฝน" สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    เดือนมกราคม ๒๕๔๖(ต่อ)
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    ถาม: ...(ไม่ชัด)...

    ตอบ: ปกติแล้ว เรื่องของการพยากรณ์มรรคผล จะเป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าองค์เดียว คราวนี้อันไหนที่กล้าพูด คือได้ยินจากหลวงพ่อ ท่านช่วยยืนยันให้แล้ว ในเมื่อหลวงพ่อท่านช่วยยืนยันให้แล้ว ก็แปลว่าบอกได้ แต่ถ้าให้พูดเองไม่พูดหรอก เพราะโอกาสพลาดมันเยอะ เราไม่รู้รอบเหมือนพระพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นขอยืนยันว่า พระเจ้าตากสินไปนิพพานแล้ว ก็เลยไม่ใช่คุณตากสินคนนี้ รู้ไหม ทำไมคำว่า ตากสิน ภาษาอังกฤษที่เขาเขียน พม่าเขาอ่านว่าตากสิน จริง ๆ คือพม่านี่ ตัว t จะออกเสียง ต หมด เราไปถึงเขาบอกว่านายตากสิน ก็ยังงง ๆ ใครหว่านึกอยู่ตั้งนาน

    เพราะฉะนั้นเขาก็เป็นนายตากสินของพม่า ไม่ใช่เป็นพระเจ้าตากสิน พม่านี่เขาสารพัดจะทำ ตอนที่นายกทักษิณไป เพราะเหตุนี้แหละที่ทำให้พม่าเขาจะเรียกว่าล้าหลังก็ได้ คือมัวแต่มาเล่นไสยศาสตร์อะไรกันอยู่ นายกไทยไป พูดง่าย ๆ คือว่าตั้งแต่แรกเริ่มจนกระทั่งจบนี่ อยู่ใต้การทำไสยศาสตร์เขาตลอดทุกรูปแบบ ไม่ว่าอาหารการกิน ไม่ว่าที่หลับที่นอน กระทั่งอะไรยัดอยู่ใต้หมอนนี่ใส่ไว้เพียบเลย ต้นไม้เอาไปให้ปลูก เขาเอาต้นอโศกให้ปลูก ที่บ้านเราเรียกว่าต้นโศก ก็ต้นโศกนี่ใบมันลู่ ๆ อยู่ในลักษณะว่าไปอ่อนน้อมค้อมหัวให้กับเขาอะไรยังงั้น มันเล่นทำทุกรูปแบบ เสียดายเราดันไปอยู่ที่นั่นพอดี พอไปอยู่พอดีก็เลยเห็นความสนุกของเขา คัน ๆ มือขึ้นมา เราก็เล่นสนุกของเราบ้าง

    ถาม: แล้วหลวงปู่ทวดล่ะครับ ?

    ตอบ: หลวงปู่ทวด สมัยอาตมา หลวงปู่ทวดท่านตามสงเคราะห์อยู่ ยิ่งข้ามไปทางพม่า อย่างกับเขตของท่าน ท่านรับหน้าที่ไปเลย

    ถาม: ท่านยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่หรือเปล่าครับ ?
    ตอบ: เอ้า พระโพธิสัตว์ก็พระโพธิสัตว์ ง่ายดี

    ถาม: ขยายต่อได้ไหมครับ?
    ตอบ: แค่นั้นพอ พูดมากเดี๋ยวผิด ก็ไม่มีอะไรหรอก มีอยู่เที่ยวหนึ่งไปปักษ์ใต้ ไปแล้วสลดใจ ตรงที่ว่าอย่างวัดต้นเลียบ ที่เป็นบ้านเกิดของท่าน ต้นเลียบต้นใหญ่ ๆ ที่เขาฝังรกของท่านตอนเด็ก ๆ เอาไว้ก็ยังอยู่ นั่นถือว่าเป็นสิ่งสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างมาก แล้วที่สำคัญคือเจ้าอาวาส คือหลวงตาเนียร ทางด้านโน้นเขาเรียกหลวงตาว่าตาหลวง ตาหลวงจำเนียร ท่านมรณภาพแล้วไม่เน่า เขาก็เก็บใส่โลงเอาไว้ แต่ปรากฏว่าวัดนั้นไม่มีพระอยู่ เพราะว่ากรรมการมันช่วยกันกินวัดจนไม่มีใครอยู่ได้ ของเรานี่ขอให้มันมีสักอย่างหนึ่ง จะทำให้มันดังให้มันดีขนาดไหนก็ได้ ของเขามีตั้ง ๒ อย่าง แต่ทำไม่ได้
    ส่วนใหญ่พอไปก็จะต้อนให้ไปซื้อวัตถุมงคลกัน นักท่องเที่ยวก็จะรำคาญ เพราะส่วนใหญ่ก็จะไปด้วยความเคารพในองค์หลวงปู่ท่าน คราวนี้แค่นั้นก็ยังไม่เท่าไหร่ ก็ไปวัดพะโคะ วัดพะโคะนี่หลวงปู่ท่านบูรณะในสมัยที่เขาตั้งท่านเป็นสมเด็จพระสังฆราชที่อยุธยา แล้วท่านก็ขอทุนพระเจ้าแผ่นดินไปบูรณะขึ้นมา มีกระทั่งรอยเท้าของหลวงปู่ ท่านเหยียบเอาไว้ให้ และที่สำคัญแก้วจักรพรรดิคู่บารมีหลวงปู่ก็อยู่ที่นี่ แต่เขาไม่ได้ให้ความสำคัญเลย

    ส่วนใหญ่ไปก็ต้อนให้ไปซื้อวัตถุมงคล เราเห็นแล้วรำคาญ ไปถึงกราบ ๆ หลวงปู่ครับ ขอแก้วผมได้ไหม ? ท่านบอกจะเอาหรือ ? เอาครับ ผมไม่ขอไปทั้งลูกหรอก ผมขอแค่อานุภาพของแก้วก็พอ ท่านบอกว่าได้ พอท่านบอกว่าได้ เราก็อาราธนามาใส่พระของเราเสร็จเรียบร้อย กราบงาม ๆ ๓ ที เดินขึ้นรถไปแน่บ ที่เหลือก็ยกเปลือกให้เขาไป ตั้งแต่นั้นมาท่านก็ตามสงเคราะห์ตลอด บางทีป่วยไปไม่ไหว ท่านก็ช่วยค้ำประคองซ้ายประคองขวาไปจนได้นั่นแหละ คือของดีขนาดนั้นถ้ามีอยู่จะเป็นแก้วจักรพรรดิคู่บารมีท่านก็ดี หรือว่าจะเป็นเจดีย์ที่ท่านสร้างก็ดี กระทั่งรอยบาทที่ท่านประทับเอาไว้ก็ดี ให้มีสักอย่างเดียวเท่านั้นแหละ ถ้าเป็นเราถือเป็นต้นทุนมหาศาล จะทำให้ดี จะทำให้ดังขนาดไหน ทำได้ทั้งนั้น แต่เขาไม่ค่อยใส่ใจ

    ถาม: แล้วอานุภาพ แบ่งให้ลูกศิษย์ต่อได้ไหมครับ ?
    ตอบ: ถ้าเวลาพุทธาภิเษกหรืออะไร ก็จะขอให้ท่านช่วย พอขอบารมีของท่าน ขออานุภาพแก้วจักรพรรดิมา ก็โดนย้ายไปอยู่วัดท่าขนุน ตั้งแต่นั้นมางานท่วมหัวเลย รับอะไรไม่รับ รับของอย่างนั้นมา พระเจ้าจักรพรรดินี่ เขาต้องสงเคราะห์คนทั้งโลก ของเราแค่สงเคราะห์พระไม่กี่วัดเองเกือบตาย ก็ทุกวันที่ทำอยู่เหมือนกับสร้างเมืองทั้งเมือง และสิ่งที่เราทำคนอื่นเขาไม่กล้าทำ เขากลัวว่าเงินมันจะช็อต แต่ของเรานี่ไม่ได้กลัวเลย

    เพราะว่าอันดับแรกก็แก้วมณีรัตนของหลวงพ่อใช่ไหม ก็แก้วจักรพรรดิดี ๆ นี่เอง แล้วนี่ยังมาของหลวงปู่ซ้ำเข้าไปอีกรอบหนึ่ง ๒ เด้งขนาดนี้ ไม่ต้องไปกลัว เราจะทำอะไรทำไปเถอะ อาจารย์สมพงษ์นี่ นั่งตัวเกร็งเลย เราจ่ายเงินแต่ละงวด พอกฐินจบปั๊บ อาจารย์สมพงษ์คว้าเงินมาทั้งหมดเลย อาจารย์นิมนต์ครับ กฐินมันได้เงินมาสองแสนหนึ่งหมื่นกว่าบาท พอรับเงินกฐินมาวันนั้น เราก็จ่ายไปวันนั้น ๒ แสนกว่า ๆ พอขยับไปอีก ๑๐ วัน ก็จ่ายไปอีก ๒ แสนกว่า อาจารย์สมพงษ์บอก ถ้าเป็นผมเป็นลมไปแล้ว

    ถาม: ............................................
    ตอบ: ถ้าถามอันนี้ใช้คำว่า เพิ่มปัญญา และต้องขยันด้วย ไม่ใช่เอะอะก็จะให้แต่พระช่วย ถ้าเป็นสายของวัดสุทัศน์ จะใช้คาถาสุนทรีวาณีจะทำให้เกิดความแตกฉานในสิ่งที่เรียน ถ้าตามสายของหลวงพ่อเราจะใช้คาถาท่านปู่พระอินทร์

    ถาม: ถ้าพระธาตุเสด็จ จะมีแสงไหมคะ ?
    ตอบ: มีจ๊ะ สว่างมาก บอกไม่ถูกว่าสว่างขนาดไหน สว่างชนิดที่กลางคืนอ่านหนังสือสบายเลย

    ถาม: ถ้าเกิดว่าไม่สว่างขนาดนั้น เป็นสีแดงล่ะคะ ?
    ตอบ: พระธาตุส่วนใหญ่ท่านจะสว่าง ถ้าหากว่าไม่ขาวก็จะออกนวล ๆ ไปทางสีฟ้าหรือสีเขียวนะจ๊ะ ถ้าหากเป็นพวกสีแดง อาจจะเป็นพวกทรัพย์ใต้ดิน

    ถาม: แต่ไปสว่างที่เกศาหลวงปู่ต่าง ๆ และก็มีพระบรมสารีริกธาตุค่ะ
    ตอบ: อันนี้ไม่มั่นใจจ๊ะ แต่พระธาตุเสด็จเท่าที่พบส่วนใหญ่จะเป็นขาวสว่างนวล หรือไม่ก็ออกสีเขียว ฟ้า ๆ อย่างนั้นคือจะสว่างมาก แต่ว่าจะมีประกายสีเขียว สีฟ้า ให้เรารู้เหมือนกัน สีฟ้าอ่อน สีเขียวอ่อน ๆ

    ถาม: อันนี้แดงเหมือนบั้งไฟพญานาค แต่อันเล็กกว่า
    ตอบ: ไม่มั่นใจเหมือนกัน ต้องดูเอง ตอนที่เห็นพระธาตุเสด็จนั้น ก็กำลังนั่งกรรมฐานอยู่ครั้งแรก ตอนนั้นยังเป็นฆราวาสอยู่ ท่านมา โอ้โห! สว่างไปทั้งฟ้าเลยแล้วก็ลงวูบมาตรงหน้าหิ้งพระที่เรานั่งอยู่ แหม ! ดีใจแทบตายวิ่งไปเปิดตลับดู อ้าวไม่มี ดูไปดูมา อยู่ในตลับพี่ชาย คนนอนหลับไม่รู้นอนคู้ไม่เห็นแท้ ๆ มันได้ไป ของเรานั่งกรรมฐานแทบตายไม่ยักได้ ที่จำได้ เพราะว่าตอนที่ท่านลอยมาท่านแสดงลักษณะให้เห็นชัดเลยว่ามีรูปร่างลักษณะแบบไหน จำได้ว่าเหมือนกับเมล็ดข้าวสาร และมีรอยบิ่นอยู่หน่อยหนึ่ง พอไปเปิดดู อ้าว! อยู่ในกล่องของพี่ชาย เราก็อดไปตามระเบียบ

    แล้วได้ไปพุทธมณพลกันหรือยัง ? ถ้าไปให้ไปก็ให้ไปช่วงนี้ เอาช่วงที่ไม่ใช่วันหยุด เพราะว่าถ้าตรุษจีนหรือมาฆบูชาคนจะมาก แล้วหลังจากมาฆบูชาไม่นานก็จะกลับแล้ว

    ถาม: ไปเขาตะเกียบ
    ตอบ: พระครูวีระศักดิ์ ก็รู้จักสนิทกันดีจ้ะ แต่ว่าระยะหลังไม่ได้ไปมาหาสู่นานแล้ว เป็น ๑๐ ปีแล้ว รู้จักท่านตั้งแต่ยังเป็นฐานานุกรม ตอนนี้เป็นพระครูอะไรแล้วก็ไม่รู้ ท่านชื่อ วีระศักดิ์ ฉายา กิตฺติวโร ที่โน่นก็ใกล้ ๆ หลวงพี่นิภัทรอีกองค์หนึ่ง หลวงพี่นิภัทรท่านโทรศัพท์ไปบอกว่า

    ท่านเล็ก ผมเป็นโรคหัวใจสาหัส หมอที่เป็นเพื่อนของผม เขาบอกว่าผมอยู่ได้อีกเดือนครึ่งแค่นั้นเอง ตายแน่ ๆ หาอะไรสั่งเสี่ยซะหน่อย ผมต้องการให้คุณช่วยผม ถามว่าจะให้ช่วยอย่างไร ? ทำอย่างไรก็ได้ให้ผมอยู่จนงานเสร็จได้ไหม ? ถามว่าทำไมไม่ให้คนอื่นช่วยล่ะ ? ท่านบอกว่าผมมอง ๆ แล้ว ผมเชื่อมือท่านคนเดียว เลยบอกว่าเอาแค่งานเสร็จนะ ท่านบอกว่าได้ ก็ถามพระว่าได้ไหม พระบอกว่าได้ ได้ก็ตกลง ตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้จะ ๕ เดือน ๖ เดือนแล้วยังไม่ตายซะทีเสร็จงานหรือยังก็ไม่รู้ หรือว่าทำช้า ๆ เรื่องอย่างนี้ถ้าถามพระก็รู้ ท่านจะบอกว่าอยู่ได้หรืออยู่ไม่ได้ การที่อยู่ได้หรืออยู่ไม่ได้นั้นเป็นเรื่องของท่านแล้ว ไม่ใช่เรื่องของเราใช่ไหม ? ถ้าท่านบอกว่าได้ ก็แปลว่าได้ ก็ยืนยันกับพี่เขาไปว่าได้แน่ อยู่แค่งานเสร็จ ไม่ได้ถามว่างานอะไร เพราะว่าแวะไปหาพี่นิภัทรทีไรเป็นอันว่าต้องควักกระเป๋าทุกที พี่เขาจะบอกบุญเก่งมาก

    ถาม: หลวงพ่อฤๅษีเคยพบ ครูบาศรีวิชัย ไหมครับ ?
    ตอบ: เคยจ้ะ ท่านบอกว่าพระทองคำ ถ้าพระทองคำกับพระสุปฏิปันโนของหลวงพ่อก็เหมือนกันคือต้องเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจริง ๆ ลูกศิษย์ของครูบาศรีวิชัยก็เหมือนกับ หลวงปู่มั่นนั่นแหละ คือลูกศิษย์ทุกองค์นี่เป็นหลักเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ทั้งหมดเลย

    ล่าสุดก็หลวงปู่ครูบาวงษ์ที่เพิ่งมรณภาพไป รุ่นใหญ่เลยก็หลวงปู่ครูบาขาวปี รุ่นหลัง ๆ ก็หลวงปู่ครูบาบุญทืม หลวงปู่ครูบาพรหมจักร หลวงปู่คำแสนใหญ่ หลวงปู่คำแสนเล็ก หลวงปู่ครูบาชุ่ม วัดวังมุย หลวงปู่ครูบาธรรมชัย มาถึงรุ่นหลวงปู่ครูบาวงษ์ (หลวงปู่ครูบาวงษ์ สมัยนั้นป็นเณรเอง)

    ถาม: หลวงปู่ครูบาขาวปี เท่าที่รู้ท่านไม่ได้บวชเป็นพระนี่ครับ ?
    ตอบ: ก็นุ่งผ้าขาวนั่นแหละ พวกกะเหรี่ยงแทบจะเอาช้างแห่ไปเลย เพราะกะเหรี่ยงเขาถือว่าถ้าห่มผ้าขาวนี่ก็คือพระของเขา เขาเลยดีอกดีใจ ตุ๊นุ่งเหลืองนั่นตุ๊ของพวกเจ้า ตุ๊นุ่งขาวของพวกเฮาเอง ตกลงว่าท่านยิ่งสึกยิ่งสบาย แต่จริง ๆ คนมันไม่มีลูกตา

    ถาม: แล้วอย่างนี้ถ้าท่านไม่ใช่พระโพธิสัตว์ ท่านเป็นพระอริยะขึ้นมาในขั้นสูงสุดจนถึงมรณภาพ ?

    ตอบ: สาหัส ก็ไม่มีปัญหานี่ มีใครสึกพระอรหันต์ได้ เปลี่ยนได้แต่เครื่องแต่งตัวของท่าน หลวงพ่อดาบสอีกองค์หนึ่ง หลวงปู่ครูบาขาวปีวันที่ทางการไปสึกท่าน ท่านอยู่ใต้ต้นไม้ที่แห้งตาย ท่านก็ตั้งสัจอธิษฐานว่า ถ้าหากว่าท่านไม่ได้เป็นผู้ผิดจริง ก็ขอให้เทพยดาฟ้าดินแสดงเหตุการณ์อะไรบางอย่างให้ปรากฏด้วยเถิด พอท่านถอดสังฆาฏิออกพาดใส่ต้นไม้แห้ง ต้นไม้แตกใบใหม่เดี๋ยวนั้นเลย

    ต้นไม้แตกใบใหม่นี่เคยเห็นคาตาอยู่ครั้งหนึ่ง ที่วัดท่าซุงประมาณปี ๒๕๒๘ ครั้งนั้นท่านปรีชาทรงธรรม พยากรณ์ฝากโยมมาให้หลวงพ่อ ท่านปรีชาทรงธรรม ก็คือ พระศรีอริยเมตไตรยท่านบอกว่า พอถึงปีนั้น วันนั้น เดือนนั้น ศูนย์โลกุตตรพลังจะหมุนไปอยู่ที่วัดท่าซุง ถ้าถึงวันนั้น เวลานั้น หากใครที่ตั้งใจในปริยัติ คือเล่าเรียนศึกษาธรรมปฏิบัติ คือ ตั้งใจปฏิบัติธรรม ปฏิเวธ คือ การใช้ผลที่เรียน หรือว่าผลที่ปฏิบัติมา จะมีผลมากเป็นพิเศษ

    วันนั้นเราก็ตั้งใจไปเพื่อรอดูว่าจะมีอะไรบ้าง ก็เห็นคาตาเลย ต้นโพธิ์ใหญ่ที่อยู่เยื้อง ๆ จุฬามณี นึกออกไหม ? ต้นที่อยู่ข้าง ๆ โรงไฟฟ้า ตอนนั้นโรงไฟฟ้ายังไม่มี ต้นโพธิ์ทิ้งใบหมดอย่างกับตายเหลือแค่ก้าน พอช่วยงานวัดเสร็จประมาณสี่โมงกว่า หลวงพ่อท่านมารับแขก เราก็กลับเตรียมตัวไปอาบน้ำ เมื่อเดินผ่านเห็นใบไม้มันค่อยแตกขึ้นมาอย่างกับที่เขาถ่ายหนังสารคดีอย่างนั้นเลย มันโผล่ขึ้นมาแล้วค่อย ๆ ใหญ่ขึ้น ๆ จนกระทั่งกลายเป็นใบโตเต็มที่ของมัน เห็นคาตาภายในไม่กี่วินาที เห็นชัด ๆ เลยถึงได้มั่นใจว่าศูนย์โลกุตตรพลังหมุนไปถึงวันนั้น เวลานั้นจริง ๆ เพราะว่าขนาดต้นไม้แห้งยังสามารถแตกใบใหม่ให้เห็นได้ แต่ถึงว่าจะโตเต็มที่ก็ยังเป็นลักษณะใบอ่อนอยู่ตามโบราณเขาเรียกว่า เพสลาด คือจะอ่อนก็ไม่ใช่ จะแก่ก็ไม่เชิง เป็นใบใหญ่เต็มที่แล้วแต่ยังเห็นเค้าใบใหม่ ๆ อยู่ แตกให้เห็นต่อหน้าต่อตา

    ส่วนของหลวงปู่ครูบาขาวปีท่านก็อย่างนั้น พอท่านพาดสังฆาฏิไป มันก็แตกใบใหม่ แต่เขาก็จับท่านสึก

    ถาม: แล้วที่หลวงพี่พูดถึงพระศรีอาริยเมตไตรย ท่านใช้ชื่อว่าอะไรนะครับ ?
    ตอบ: ท่านปรีชาทรงธรรม ท่านใช้เวลาในเขียนจดหมายมาหาหลวงพ่อ ไม่รู้เหมือนกันว่าติดแสตมป์อย่างไรจึงส่งถึง เวลาท่านฝากของ ฝากข้าวไปวัดท่าซุงก็ไปถึง เอากับท่านสิ

    ถาม: แล้วมีที่อยู่ผู้ส่งไหมครับ ?
    ตอบ: ไม่มี ท่านลงชื่อไปอย่างนั้น แต่หลวงพ่อท่านรู้ ท่านบอกว่านี่เป็นของพระศรีอาริยเมตไตรย แล้วหลวงพ่อท่านสร้างรูปพระศรีอริยเมตไตรยด้วยเหตุนี้แหละ เพราะว่าท่านช่วงสงเคราะห์วัดท่าซุงไว้เยอะมาก สงเคราะห์ไว้ตั้งแต่ระยะแรก ๆ เลย

    ถาม: หลวงพ่อฤๅษีบอกว่า หลวงปู่ครูบาวงษ์เป็นพระโพธิสัตว์หรือเปล่าครับ ?
    ตอบ: หลวงปู่ครูบาวงษ์เป็นพระโพธิสัตว์แน่นอน อีกประมาณ ๑,๐๐๐ ปี ท่านจะมาเกิดใหม่เพื่อบูรณะพระเจดีย์ชเวดากองใหม่

    ถาม: ทำไมต้องสร้างเจดีย์ชเวดากองเหมือนพม่า ?
    ตอบ: พระเจดีย์ชเวดากองเป็นเจดีย์ที่สำคัญมาก เนื่องจากว่าพระพุทธเจ้าในภัทรกัปทั้ง ๕ พระองค์ จะต้องมอบของใช้ หรือว่าพระธาตุส่วนใดส่วนหนึ่งเพื่อให้บรรจุไว้ที่นั่น ถ้าถามหลวงปู่ครูบาวงษ์ เจดีย์ชเวดากองตั้งอยู่กึ่งกลางของชมพูทวีป ศูนย์กลางพอดี

    ถาม: เป็นเจดีย์องค์แรกที่พระพุทธเจ้าได้สร้างหรือเปล่าครับ ?
    ตอบ: พาณิชย์สองพี่น้องที่มีโอกาสถวายอาหารแด่พระพุทธเจ้า และปฏิญาณตนเข้าถึงพระรัตนตรัยเพียง ๒ เพราะตอนนั้นมีแต่พระพุทธกับพระธรรม ส่วนพระสงฆ์ยังไม่มี พระพุทธเจ้าเพิ่งมาตรัสรู้ใหม่ ๆ เรียกว่า ทเววาจิกะอุบาสก อุบาสกพูดถึงพระรัตนตรัยเพียง ๒ พระพุทธเจ้ารับอาหารแล้ว เขาขอของที่ระลึก พระพุทธเจ้าไม่มี ก็เลยมอบเกศาให้ไป ๘ เส้น พอเขากลับบ้านเมืองแล้วก็ไปสร้างเจดีย์ไว้บูชา เชื่อกันว่าสองพี่น้องสร้างเจดีย์ชเวดากอง

    สมัยโน้นเขาเรียกว่า เมืองสิงหคุตระ ก็พอ ๆ กับ เมืองสุนาปะรันตะปะ ก็คือสระบุรี ตักกศิลาก็คือกำแพงเพชร มิถิลา เวสาลี กาสีอยู่พม่า เดินทางไปถึงแล้วทุกเมืองชื่อเมืองก็ยังชื่ออย่างนั้น เวสาลี ก็คือ นาข้าวสาลี แต่บาลีเรียก เวสาลี หรือไพศาลี

    ถาม: ครูบาศรีวิชัย เป็นพระ......?

    ตอบ: ไม่ทราบ รู้แต่ว่าถ้าพระระดับนั้น ลูกศิษย์ของท่านเป็นที่พึ่งของคนได้ทั่วบ้านทั่วเมือง ถ้าไม่ใช่พระโพธิสัตว์ ก็ต้องเป็นอดีตพระโพธิสัตว์ คือลาพุทธภูมิแล้ว แบบเดียวกับหลวงปู่มั่น ซึ่งตอนแรกท่านก็บอกว่าท่านปรารถนาโพธิญาณเหมือนกัน แล้วก็ลา
     
  2. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG][​IMG]


    ถาม: หลวงพ่อฤๅษี พูดถึงหลวงปู่มั่นว่าอย่างไรบ้าง ?
    ตอบ: ไม่เคยได้ยิน

    ถาม: ไม่ได้กล่าวถึงเลยหรือครับ ?
    ตอบ: ไม่มีใครถามถึง เพราะไม่มีใครสงสัย รู้อย่างเดียวว่าหลวงปู่มั่นท่านสร้างพระเป็นพระ ส่วนหลวงพ่อเรางานหนักกว่า หลวงพ่อสร้างคนเป็นพระ หนักกว่าเยอะ สร้างพระเป็นพระ ถ้าหากว่าตั้งใจดี ท่านมีศีลเป็นเครื่องคุ้มอยู่แล้ว ก็เหลือแต่ว่าจะปฏิบัติได้เท่าไหร่เท่านั้น

    ส่วนหลวงพ่อสร้างคนเป็นพระ โอ้โห! คนแปลว่ายุ่งอยู่แล้ว สมัยนั้นบางองค์ได้เห็นหลวงปู่มั่นแค่แวบเดียว มาสมัยนี้ครูบาอาจารย์เป็นหลักชัยให้แก่ญาติโยมจำนวนมากต่อมากด้วยกัน ตอนที่หลวงปู่มั่นไม่สบายท่านนั่งรถไฟไปรักษาตัวที่เมืองอุบล เขาไปรอกันที่สถานีรถไฟ ถึงเวลารถไฟผ่านมาก็พนมมือไหว้หลวงปู่ ๆ ก็โผล่หน้าไปที่หน้าต่าง เออ! ตั้งใจปฏิบัติกันเน้อ นั่นแหละทั้งชีวิตได้ฟังคำสอนแค่นั้น ของเรานี่มันเฟ้อเกินไป

    สมัยนั้นต้องเดินเท้าข้ามกันทีละหลาย ๆ จังหวัดกว่าจะได้พบครูบาอาจารย์ ของเรานี่มันกลายเป็นหนูตกถังข้าวสารและก็ไม่เห็นคุณค่าของข้าวสารเสียด้วย
    หลวงพ่อวิริยังค์เล่าให้ฟังว่า ตอนสมัยที่ท่านเป็นเณร ถึงเวลาพระก็จะไปถามข้อธรรมคำสอนกับหลวงปู่ ท่านเองท่านก็อยากได้ข้อธรรมเพื่อปฏิบัติบ้าง ท่านมีหน้าที่ต้มน้ำ ใช้หม้อดินต้มน้ำทิ้งไว้ พอหลวงปู่เริ่มเทศน์ เสียงหลวงปู่เบามาก ก็ย่องไปใต้ถุนกับเพื่อนเณร ๒-๓ องค์ เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ พอยิ่งฟังก็ยิ่งดื่มด่ำ เพราะว่าธรรมะที่แท้จริงจะลึกซึ้งมาก อัศจรรย์มาก องค์ไหนปฏิบัติอย่างไรก็อธิบายให้ครูบาอาจารย์ฟัง ท่านก็จะแก้ไขให้เป็นฉาก ๆ ไป ฟังเพลินหันมาอีกทีน้ำที่ต้มไว้แห้งหมดหม้อ หม้อดินโดนเผาจนทะลุ ทุกคนไม่ต้องทำอะไรแล้ว ช็อคกันตาตั้ง งานนี้โดนตีตายแน่เลย หลวงปู่ดุขนาดไหนก็รู้

    ปรากฏว่าหลวงปู่ทำเฉยไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ทำอะไรเลย คือคนที่รู้ผิด และที่ผิดเพราะว่าเจตนาจะฟังธรรม ท่านรู้ท่านก็เลยไม่ได้ลงโทษอะไร แล้วคิดดูว่าหลวงพ่อวิริยังค์สร้างเจดีย์สูงที่สุดของประเทศไทย สมัยนั้นเป็นแค่เณร โอกาสจะฟังธรรมโดยตรงยังไม่มีต้องคอยรับใช้พระ

    สมัยปัจจุบันนี้ ถ้าสมัยนั้นก็เหลือหลวงตาบัวองค์เดียวที่เป็นพระ นอกนั้นก็เป็นเณรและมาบวชพระทีหลัง หรือไม่ก็เป็นลูกศิษย์ของลูกศิษย์อีกทีหนึ่ง

    ถาม: ตอนนี้มีกี่องค์คะ ?

    ตอบ: ไม่ทราบจ้ะ ต้องถามท่านดู เพราะที่เหลือ ๆ น้อยมาก ตอนนั้นหลวงตาบัวน่าจะได้สัก ๘ พรรษา อยู่เป็นหลักที่นั่น นึกเอาก็แล้วกันหลวงปู่มั่นสร้างพระเป็นพระ แล้วสมัยนี้กระแสเริ่มบางลง เริ่มจางลง เนื่องจากครูบาอาจารย์ที่ทันหลวงปู่มั่นน้อยลงทุกที และขณะเดียวกันถ้าหากเป็นสายหลวงพ่อก็ค่อย ๆ โตขึ้น เริ่มอายุมากขึ้น คนรู้จักมากขึ้น ก็เลยเหมือนกับว่าอันหนึ่งพอเริ่มลด คลื่นลูกแรกพอเริ่มถอยกำลังลง คลื่นลูกต่อไปก็ดันขึ้นมาพอดี ถ้าหากเป็นผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมกันจริง ๆ ก็ยังมีครูบาอาจารย์ไม่ว่าสายไหนก็ตามก็คือลูกศิษย์พระพุทธเจ้าด้วยกันนั่นแหละ ธรรมะก็มี ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เพียงแต่จะถนัดส่วนไหนมาเท่านั้นเอง

    ถ้าหากว่าเป็นผู้ปฏิบัติตั้งใจจริง นักปฏิบัติสมัยนี้ก็เยอะ ฆราวาสที่มีความสามารถก็มาก ยังเป็นผู้ที่โชคดีอยู่ ส่วนประเภทจนป่านนี้ก็ยังไม่ดูดำดูดี วัดวาอารามหน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่เคยไป ยิ่งนานไปกระแสทางโลกยิ่งเร็วขึ้น ๆ ถ้าอยู่ในท่ามกลางกระแสนั้นความสับสนวุ่นวายก็จะมากขึ้น โอกาสที่จะใช้สติ สมาธิ เพื่อเอาตัวให้รอดก็น้อยลงไปทุกวัน เราต้องเริ่มวางรากฐานตั้งแต่เล็ก ๆ ไม่อย่างนั้นเสร็จเขาหมด สังเกตว่าเด็กสมัยใหม่นี้สมาธิสั้นกันนั้นทั้งนั้น

    ทุกอย่างเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ดูหนังสมัยก่อนถ้าไม่ชอบก็ไปปิดสมัยนี้กดรีโมทเปลี่ยนเอา ๆ

    ถาม: เมื่อก่อนปิดมากก็ไม่ได้ มีแค่ ๒ ช่อง
    ตอบ: สงสารเด็กสมัยนี้มาก ถ้าหากว่าผิดท่าผิดทางไป สาหัสแน่นอน

    ถาม: ไม่นานมานี้ได้ยินลูกศิษย์สายหลวงปู่มั่นพูดว่า อายุพระศาสนาของหลวงปู่มั่นมีอยู่ ๑๐๐ ปี กำลังจะสิ้นสุดแล้ว

    ตอบ: ดู ๆ แล้วถือว่ากระแสเริ่มจางลง เพราะว่าส่วนใหญ่ที่เหลือคือ หลานศิษย์ เหลนศิษย์แล้ว

    ถาม: หลวงพี่เคยพบหลวงปู่เทพโลกอุดรไหมครับ ?
    ตอบ: ไล่ท่านไม่ทันจ้ะ ท่านไปวัดท่าซุง ๓-๔ ครั้งด้วยกัน

    ถาม: ท่านไม่เคยมาสงเคราะห์หลวงพี่บ้างหรือครับ ?
    ตอบ: ไม่เคย เพราะว่าหลวงปู่เอางานเดียวก็คือ งานสงเคราะห์บริวารของท่านเอง ใครเป็นคนของท่านถึงวาระท่านจะไปสงเคราะห์เขาเอง ส่วนใหญ่จะไปสอนในเรื่องอภิญญาสมาบัติ และต่อด้วยวิปัสสนาญาณ เพราะว่าท่านเคยปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน แล้วอยู่ ๆ ก็เลี้ยวมาเป็นสาวกภูมิกะทันหัน ลูกศิษย์ตามไม่ทัน บริวารตามไม่ทัน ท่านก็เลยต้องอธิษฐานตัวเองให้อยู่จนเป็นกัปป์เพื่อที่จะเก็บคนของท่านเอง

    ถาม: องค์อื่นถ้าเกิดบารมีจะทำได้ไหมครับ ?
    ตอบ: ได้ แต่ว่าคนที่ถึงขนาดนั้น ถ้าหากไม่มีงานใครเขาอยากจะอยู่กัน อยู่วันก็ทุกข์วันหนึ่ง อยู่ปีก็ทุกข์ปีหนึ่ง

    ถาม: แต่ท่านไม่ได้อยู่ด้วยขันธ์ ?
    ตอบ: อยู่ด้วยร่างกายมนุษย์นี่แหละ นี่คือตัวอย่างที่ชัดที่สุด ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้มีความชำนาญในอิทธิบาทและอธิษฐานร่างกายให้อยู่เป็นกัปป์ก็ได้ เสร็จแล้วพระอานนท์ก็ไม่ได้ระแวง พระพุทธเจ้าก็บอกว่าปวาลเจดีย์ก็ดี ฉัพพัณตรเจดีย์ก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่ ๆ สำคัญ สมควรที่จะอธิษฐานร่างกายเพื่อให้อยู่ทั้งนั้น พระอานนท์ก็ไม่ได้ทูลอาราธนาให้อยู่ต่อ

    จนกระทั่งพระพุทธเจ้าตรัสเปรียบว่า ถ้าหากเป็นเกวียนเก่าออดแอด คานก็ผุ ดุมก็หลวม ควรที่จะเปลี่ยนเกวียนใหม่ดีกว่า พระองค์เลยตัดสินปลงอายุสังขารไปเลย พอปลงอายุสังขารก็เกิดแผ่นดินไหว โดยธรรมชาติหากแผ่นดินไหว พระพุทธเจ้าบอกว่าเกิดด้วยเหตุ ๘ ประการด้วยกันคือ

    ๑. ลมกำเริบ ก็คือ การเคลื่อนไหวของพื้นดินใต้โลก เพราะว่าพื้นดินใต้โลกเป็นหินละลายร้อน ๆ ถึงเวลากลายเป็นไอขึ้นมาสะสม มากเข้า ๆ ไม่มีที่ไปก็ดันฝาช่องขึ้นมา ดันทีหนึ่งพื้นใต้โลกก็เคลื่อนไหวขึ้นมาเป็นแผ่นดินไหว ภาษาบาลีเรียกว่า “ลมกำเริบ”

    ๒. ผู้มีฤทธิ์บันดาล ผู้ได้อภิญญาสมาบัติต้องการให้แผ่นดินไหวอย่างไรก็ได้ อย่างเช่นพระอุปคุตทำให้ดู พอท่านทำแล้วพระเจ้าอโศกมหาราชก็กล่าวว่า จะเชื่อได้อย่างไรว่าเกิดด้วยฤทธิ์ของท่าน อาจจะบังเอิญพอดีก็ได้ พระอุปคุตบอกว่า ถ้าเช่นนั้นให้พระเจ้าอโศกมหาราชตักน้ำมาหนึ่งขัน แล้วเดี๋ยวจะให้ไหว เสร็จแล้วแผ่นดินก็ไหว น้ำในขันก็ไหวจริง ๆ ท่านก็เลยยอม นั่นเกิดจากผู้มีฤทธิ์บันดาล

    ๓. พระโพธิสัตว์จุติลงสู่พระครรภ์ ตัดสินว่าจะเกิดเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว วันที่เข้าสู่พระครรภ์มารดาก็เกิดแผ่นดินไหว

    ๔. พระโพธิสัตว์ประสูติ ก็เกิดแผ่นดินไหว

    ๕. พระโพธิสัตว์ตรัสรู้ ก็เกิดแผ่นดินไหว

    ๖. พระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนา ก็เกิดแผ่นดินไหว

    ๗. พระพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร ก็เกิดแผ่นดินไหว

    ๘. พระพุทธเจ้าปรินิพพาน ก็เกิดแผ่นดินไหว

    พอเกิดแผ่นดินไหว ท่านใช้คำว่า ไหวจนถึงน้ำที่รองแผ่นดิน แสดงว่าลงลึกมาก พระอานนท์ก็เลยทูลถามว่า แผ่นดินไหวเพราะเหตุใด พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ปลงอายุสังขารแล้ว พระอานนท์กราบทูลให้อยู่ต่อ อธิษฐานร่างกายอยู่ได้ไม่ใช่หรือ ? พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ทันแล้ว เพราะว่าอธิษฐานคือตั้งใจไปแล้ว รับอาราธนาของพญามารไปแล้ว

    ถาม: เสียดาย ไม่งั้นจะได้พบ

    ตอบ: อย่างพวกเรานี้ถ้าได้พบก็เอ้อระเหยลอยชายต่อไป หนูตกถังข้าวสาร ไม่รู้คุณค่าของข้าวสาร มันเยอะเกินไป ต้องใช้ความพยายามไขว่คว้าเอาหน่อย
    ถาม: ในเมื่อมีดีอย่างนี้แล้ว หลวงปู่เทพโลกอุดรอุตส่าห์โปรดบริวารของท่าน ทำไมหลวงพ่อเราไม่อยู่โปรดบ้าง ?

    ตอบ: โปรดไปก็เท่านั้น ถ้าลูกทำตัวน่ารักก็น่าอยู่สงเคราะห์หรอก แต่ละคนก็ล้วนแล้วแต่ทำอย่างกับมันจะอยู่ค้ำฟ้าไม่รู้จักตาย แทนที่จะเร่งรัดปฏิบัติก็ประมาท ทำบ้าง ไม่ทำบ้าง แล้วก็ทิ้งมากกว่าทำเสียด้วย ถ้ายังอยู่ต่อไปก็จะยังประมาทเหมือนเดิม อย่าลืมว่าตอนนั้นแต่ละคนล้วนแล้วแต่คิดว่าหลวงพ่อจะอยู่เป็นร้อยปีทั้งนั้น ไม่ได้คิดว่าหลวงพ่อจะตายด้วยก็เลยประมาทไปกันใหญ่
    สมัยอยู่ที่วัดท่าซุงนั้นไม่เคยไว้วางใจเลยว่าหลวงพ่อจะอยู่ได้ วันไหนที่เกิดฝนฟ้าผิดปกติจะรีบลุกขึ้นมานั่งกรรมฐาน กลางดึกกลางดื่นอย่างไรก็เอา เพื่อที่จะดูว่าหลวงพ่อท่านไปหรือยัง

    ชายาพระอินทร์ในความหมายก็คือ เมียแบบมนุษย์ ส่วนบาทบริจาริกา หรือบรรดานางฟ้าเหมือนกับเครื่องประดับบารมี มันคนละเรื่องกับเมียเลยนะ พวกนั้นจะมีเป็นแสน ๆ ก็มีไป แบบเดียวกับเทวดา นางฟ้า มีเป็นหมื่นเป็นแสน แต่ผู้ที่เป็นเทพบุตร เทพธิดา มีไม่มาก เพราะคำว่า เทพบุตร เทพธิดา คือผู้ที่ไปเกิดอยู่บนตักเขา

    อันนั้นเป็นเทพบุตร เทพธิดา คือเป็นลูกของเขา ถ้าเกิดอยู่ในเขตของวิมานก็เป็นบริวารของวิมานนั้น เหมือนกับเป็นเครื่องประดับที่แสดงออกซึ่งบุญบารมีของท่าน ถ้าหากปัจจุบันก็มีองค์เดียว องค์ที่มีชายา ๔ องค์นั้นตรัสรู้ไปแล้วจ้ะ

    ถาม: ..................................
    ตอบ: นั่นแหละ หลวงปู่ศุข มีอยู่วันหนึ่งหลวงพ่อเล่าให้ฟัง ท่านบอกว่า หลวงปู่ศุขมาหาเป็นเทวดาอยู่ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี คือ สวรรค์ชั้นที่ ๖ ชั้นสูงสุดของสวรรค์ ท่านบอกว่าความจริงแล้วท่านต้องไปเกิดเป็นพรหมแต่ไปไม่ได้ เพราะห่วงลูกอมวิเศษของท่านอยู่ ลูกอมนี้ท่านได้มาจากเขาสามร้อยยอดที่ประจวบคีรีขันธ์ ท่านบอกว่าคืนหนึ่งที่ท่านทำกรรมฐานอยู่ มีเทวดามาบอกว่าถ้าอยากได้ลูกอมวิเศษให้ไปที่เขาสามร้อยยอด และก็ซื้อปลาไปทอดที่นั่น จะมีคนมาขอกิน และคนไหนคลุมหัวมาไม่ได้เห็นหน้าเห็นตามาขอปลา บอกมันว่าเอาลูกอมวิเศษมากแลก ท่านก็อุตส่าห์ซื้อปลาหอบหิ้วกระทะเข้าป่า ไปตั้งกระทะทอด ปรากฏว่ามีมาจริง ๆ ท่านบอกมันเป็นผี พอถึงเวลามันอยากกินปลามากเลย ทอดแล้วปลาคงกลิ่นถูกใจ บอกให้ลูกอมวิเศษมาแลกมันก็ยอมแลก

    พอหลวงปู่ศุขได้ลูกอมวิเศษมาจากที่เทวดาบอกแล้ว จะประเภทล่องหนหายตัวได้ เดินบนน้ำ ดำดินอะไรก็ได้ ท่านก็เลยตั้งใจว่าพอฉันเช้าเสร็จก็จะออกเดินจากเขาสามร้อยยอดที่ประจวบ กลับไปถึงวัดปากคลองมะขามเฒ่าทันเพล
    สมัยนี้รถยนต์ยังวิ่งไม่ทันเพลเลย ประจวบถึงชัยนาทนะจ๊ะ วิ่งกันเช้ายันค่ำ แล้วคราวนี้คนเรือคนแรกที่พบท่าน เขาเล่าให้ฟังว่า หลวงปู่ศุขพอไปถึงริมน้ำก็เรียกเขาให้รับข้ามฝั่ง พอพายไปถึงกลางน้ำ หลวงปู่บอก ร้อนโว้ย ลงน้ำดีกว่าแล้วก็ตุ๊บลงน้ำไปเลย คนเรือคิดว่าหลวงปู่ตกน้ำหรือเปล่า รีบพายเรือขึ้นฝั่ง ปรากฏว่าหลวงปู่ไปนั่งรออยู่บนท่าน้ำตั้งนานแล้ว แสดงว่าจะเดินบนน้ำ เดินใต้น้ำได้ทั้งนั้น เสร็จแล้วหลวงปู่ก็บอกหลวงพ่อว่าเพราะไอ้ลูกอมนี่แหละ ทั้ง ๆ ที่ท่านได้ฤทธิ์ได้อภิญญาขนาดนั้นน่าจะไปเกิดเป็นพรหม ไปไม่ได้ อยู่ได้แค่ชั้นปรนิมมิตวสวัตตีเท่านั้น และบอกหลวงพ่อว่าลูกอมอยู่ข้างเจดีย์พร้อมกับทองอีก ๒๐ บาท ฝังรวมกันไว้ให้หลวงพ่อไปขุดมาเพื่อใช้ประโยชน์ แล้วหลวงปู่ท่านจะไปเป็นพรหมเสียที ไปอย่างนั้นจิตมันผูกอยู่ไปไม่ได้ หลวงพ่อก็บอกว่า ในเมื่อหลวงปู่ยังติดอยู่แค่นั้น แล้วเรื่องอะไรผมจะเอาล่ะ หลวงปู่ศุขตื้ออ้อนวอนเท่าไหร่หลวงพ่อก็ไม่รับ คืนต่อไปหลวงปู่ศุขมาใหม่พาหลวงปู่ปานมาด้วย ให้หลวงปู่ปานเป็นคนขอร้อง เจอคำสั่งครูบาอาจารย์เข้า บอกว่ารับของเขาหน่อยสิ เขาจะได้ไปได้

    อย่าลืมว่าพระโพธิสัตว์เป็นเพื่อนกัน ถ้าหลวงปู่ศุขไม่ใช่พระโพธิสัตว์คงไม่ไปตามหลวงปู่ปานมาหรอก รับของเขาหน่อยสิ เขาจะได้ไปเป็นพรหมได้สบายหน่อย หลวงพ่อท่านก็บอกว่าก็ขนาดหลวงปู่ยังติดอยู่แค่นั้น แล้วผมจะรับทำไมขอรับ หลวงปู่ปานท่านก็แนะนำว่า แกก็อย่าโง่มากสิ ตั้งใจว่าสิ่งนั้นเราขอรับมาแล้วถวายเป็นของสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ไม่ต้องไปขุดอะไรหรอก ทิ้งไว้อยู่ที่นั่นแหละ หลวงพ่อบอกว่าอย่างนั้นก็ได้ ผมรับแล้วนะ แล้วจะตั้งใจถวายเป็นของสงฆ์ในพระพุทธศาสนา หลวงปู่ศุขท่านก็โมทนาแล้วก็ไปเป็นพรหม เป็นเดี๋ยวนั้นเลย บอกว่าจากชุดเทวดาเปลี่ยนเป็นพรหมเลย กลายเป็นแก้วแกมทอง สวยแพรวพราวไปหมด บอกขอบอกขอบใจเสร็จเรียบร้อยก็ไปเลย ประเภทเข็ดมานานแล้ว เสร็จแล้วหลวงพ่อบอกว่าพวกแกจะเอาไหมข้าจะบอกให้ไปขุด ปรากฏว่ามีพระหลายรูปบอกเอาครับ หลวงพ่อท่านบอกว่าขุดแล้วก็อยู่ตรงนั้นเลยนะ จากที่เอาครับก็เลยไม่มีใครเอา ท่านบอกฝังไม่ลึกหรอกประมาณศอกเดียวเอง ใครลองไปขุดก็ได้เจดีย์วัดโน้นไม่ใหญ่เท่าไหร่ ต่อให้ขุดรอบเจดีย์ก็ไม่เหนื่อยเท่าไหร่หรอก

    ถาม: แสดงว่าหลวงปู่ศุขยังไม่ได้รับคำพยากรณ์ ?
    ตอบ: ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะว่าพระโพธิสัตว์ ถ้าหากว่าท่านไม่อยู่ชั้นดุสิต ท่านก็ไปอยู่บนพรหมเลย เวลาของพรหมเร็วกว่า ไปอยู่แป๊บ ๆ ก็ได้ลงมาเกิดแล้ว ที่เร็วกว่าจริง ๆ ก็คือ เวลาของพรหมช้ามากจนเวลาโลกมนุษย์มันผ่านไปเร็ว ท่านก็อยู่ข้างบนแป๊บเดียว ข้างล่างผ่านไปเร็วเหลือเกินแล้ว

    เรื่องลูกอมวิเศษ สมัยเด็ก ๆ มีโยมคนหนึ่งก็ได้ลูกแก้ววิเศษมาจากต้นกล้วยตานี โยมคนนี้แกเชื่อเรื่องผีตานี ในสมัยก่อนเขาต้องไปหักล้างถางพงจับจองที่ดิน เท่ากับไปถางป่าดี ๆ นี่เอง แกไปเจอต้นกล้วยตานีอยู่ในเขตที่จับจองของแก แกก็ไม่ไปโค่นไม่ฟัน เขาก็ดูแลอย่างดี ชนิดที่เรียกว่าไม่มาขีดกั้นรั้วกั้นเขต มีอยู่คืนหนึ่ง แกใช้คำว่าฝันนะ เห็นนางตานีมาบอกว่า นางตานีหมดอายุแล้วจะไปเกิดแล้ว มีของดีอยู่อย่างหนึ่ง และเห็นว่าคน ๆ นี้มีศีลมีธรรม เป็นผู้มีสัจจบารมี และที่สำคัญก็คือให้ความเคารพแก ก็เลยบอกว่าจะทิ้งของสิ่งนั้นเอาไว้ให้ เป็นของดีเอาไว้ป้องกันตัวนะ ไปหาดูเอาเถอะอยู่ที่ต้นกล้วยนั้น

    และรุ่งเช้าแกก็ไปเห็นต้นกล้วยมันออกหัวปลี กล้วยออกปลีมันจะเป็นเครือแล้วใช่ไหม ถ้าหากลูกมันแก่แล้วต้นมันจะตาย แสดงว่าเขาจะหมดอายุจริง ๆ แกหาจนทั่วก็ไม่เจอ แกก็คิดว่าน่าจะอยู่ในปลีกล้วย แต่เห็นว่ากล้วยกำลังออกเครืออยู่ แกก็เลยใจเย็นรอไว้หน่อย เพราะว่ากล้วยตกเครือไม่นานหรอก ไม่นานเขาใช้คำว่าสุด สุดก็คือ หมดหวีกล้วยแล้วจะเหลือแต่หัวปลี พอสุดแล้วก็ไปขอตัดเขามา แล้วผ่าดูข้างในเจอลูกแก้วอยู่ลูกหนึ่ง เป็นลูกแก้วสีเหลืองจางมน ๆ แกบอกว่าแกเอามาบูชาไว้ วันดีคืนดีเปล่งแสงสว่างได้เหมือนกัน ตั้งแต่ได้แก้วนั้นมาไม่ว่าจะทำอะไรก็คล่องตัวไปหมด บางทีไร่ของคนอื่นเขาโดนสัตว์ป่าลงทำลายพืชผลบ้าง แต่ของแกปลอดภัยทุกที ก็เลยกลายเป็นว่าถึงเวลาของคนอื่นโดนทำลายของแกอยู่ได้ ตัวเองก็ไม่ลำบากแล้วที่เหลือก็ขาย กลายเป็นดูฐานะดีกว่าคนอื่นเขา ตอนนั้นเขาใช้คำว่า แก้ววิเศษ เด็ก ๆ ของเราเองได้ยินแล้วอยากได้นัก

    ถาม: สังเกตดูพระเครื่องที่ครูบาอาจารย์แต่ละองค์ทำ มีความนิยมต่างกันอย่างของสมเด็จพระพุฒาจารย์โต มีความนิยมสูง ซื้อขายกันในราคาแพง ของครูบาอาจารย์ที่หลวงพ่อเคยพูดไว้ว่า เป็นพระสุปฏิปันโน เวลาผ่านไป ๒๐ ปี ก็ยังเงียบ ๆ อยู่ไม่มีความนิยมก็มี มีอะไรเป็นเครื่องวัด ?

    ตอบ: ตอนนั้นสมเด็จวัดระฆัง หรือวัดบางขุนพรหมวัดเกศไชโยก็ดี ที่หลวงพ่อโตทำไว้ราคาหลายล้าน พระที่หลวงปู่ปานทำไว้ราคาหลายแสน ถ้าท่านที่ต้องการจริง ๆ สู้เป็นล้านเหมือนกัน พระหลวงพ่อวัดปากน้ำราคาหลายแสน ถ้าหากว่าเป็นรุ่นสวย ๆ รุ่น ๑ ด้วยเป็นล้านเหมือนกัน

    นี่ยกตัวอย่างแค่ ๓ องค์ แล้วทำไมของคนอื่นไม่ได้อย่างนั้นเพราะว่า ทั้ง ๓ องค์นี้ท่านรู้จักพระพุทธเจ้า ในเมื่อรู้จักพระพุทธเจ้า อาราธนาพระพุทธเจ้าช่วยทำพิธีให้ อานุภาพกว้างขวางกว่าของคนอื่นเขามาก คุณประโยชน์เห็นได้ชัดเจนกว่าคนอื่นเขามาก เกิดความนิยมในท้องตลาดขึ้นมาก็เลยราคาสูงกว่าของคนอื่นเขา แต่ในขณะเดียวกันครูบาอาจารย์สายอื่นท่านไม่รู้จักพระพุทธเจ้าโดยตรง ส่วนใหญ่ใช้สมาธิสมาบัติที่ท่านเองฝึกได้ทำขึ้นมา ไม่ได้รับความนิยมมากขนาดนั้น ถามว่ามีอะไรแตกต่าง ก็ต้องบอกว่า ท่านที่ว่ามานี้ท่านรู้จักพระพุทธเจ้า ในเมื่อรู้จักพระพุทธเจ้า เชิญพระพุทธเจ้ามาทำให้ได้ผลก็เกิดมากกว่าคนอื่นเขา

    ถาม: ถ้าอย่างนั้น ผู้ที่สร้างพระสายลำพูน พระรอด ก็เป็นผู้ที่รู้จักพระพุทธเจ้าด้วย ?

    ตอบ: ท่านจะเป็นพระพุทธเจ้าเองด้วย

    ถาม: ฤๅษีวาสุเทพนี้หรือครับ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์หรือครับ ?

    ตอบ: เป็นพระโพธิสัตว์จ้ะ เขาว่าอย่างนั้น

    ถาม: เป็นครูบาวงษ์หรือครับ หลวงพี่เชื่อไหมครับ ?

    ตอบ: เชื่อด้วย เขาว่าอย่างนั้นอาตมาก็เชื่อด้วย เรื่องของกำลังใจของตัวเอง ถ้าอภิญญาสมาบัติคล่องขนาดไหนก็ตามจะจำกัดด้วยเวลา ไม่เหมือนกับอาราธนาพระมาทำให้ วัตถุมงคลของท่านที่ใช้อภิญญาสมาบัติของท่านกำกับเอา หลวงปู่ปาน ท่านให้หลวงพ่อเล็กเอาไปเสกอยู่ ๓ เดือนเต็ม ๆ ช่วงระหว่างพรรษาทุกคืน ถึงเวลายกมาหา หลวงปู่ปาน บอกว่าใช้ไม่ได้ ท่านก็แบกหน้าเหี่ยว ๆ กลับไปทำใหม่

    คราวนี้ถ้าเสกขนาดนี้ใช้ไม่ได้ เลิกแล้วโว้ย จุดธูปอาราธนาพระพุทธเจ้าเสร็จเรียบร้อย พอพระพุทธเจ้าบอกพอแล้ว ก็แบกไปหาหลวงปู่ปาน ท่านบอก เออ! มันต้องอย่างนี้สิ ตกลงเหนื่อยฟรีไปเท่าไหร่ ๘๙ วัน ลักษณะอย่างนั้น เพราะว่าการใช้กำลังของสมาธิสมาบัติ หลวงปู่ปานบอกว่ามันจำกัดด้วยระยะเวลา อาจจะต้องอธิษฐานไว้ว่า ๕๐ ปี ๑๐๐ ปี ๕๐๐ ปี ต้องกำกับด้วยอภิญญาไว้อย่างนั้น อานุภาพจะคงอยู่ได้แค่ช่วงนั้น

    แต่ถ้าหากเป็นการอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้ามา ถึงวาระพอพระพุทธเจ้าเสด็จ พรหมทั้งหลายเทวดาทั้งหมดก็ต้องมา พระพุทธเจ้าก็จะขอให้ท้าวสหัมบดีพรหมและ พระอินทร์ช่วยจัดเทวดาเพื่อรักษาวัตถุมงคลแต่ละชิ้น ไม่ต้องห่วงหรอก เทวดาชั้นต่ำ ๆ อายุของท่านเกินเราไปหลายเท่า แล้วเทวดาก็มากเหลือเกิน ต่อให้สร้างเป็นร้อย ๆ ล้านท่านก็มีครบพอที่จะดูแลได้ ในเมื่อพระพุทธเจ้าช่วยสงเคราะห์ มีพรหม เทวดา กำกับวัตถุมงคลแต่ละชิ้นให้ก็เลยกลายเป็นว่า ของจะมีคุณภาพ ในขณะเดียวกันถ้าไม่เกินวิสัยท่านก็จะสงเคราะห์ให้เต็มที่
    ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่เคยพบมาก่อนเลย ในครูบาอาจารย์องค์อื่น แต่ว่าหลวงพ่อโต วัดระฆังก็ดีหลวงปู่ปาน วัดบางนมโคก็ดี ท่านให้พรเอาไว้ ท่านบอกว่า พระเครื่องของท่านจะแท้ จะเทียม จะใหม่ จะเก่าอย่างไรก็ตาม ถ้านึกถึงท่านอานุภาพเท่ากันหมด ท่านให้ขนาดนี้เลยนะ

    และที่เห็นชัด ๆ เลยก็มีนายทหาร ยศนาวาอากาศโทท่านหนึ่งอยากได้ของหลวงพ่อโต วัดระฆังมาก จนกระทั่งไปเจอเอาที่เซียนทำหลอกไว้ ถึงขนาดวิ่งไปเอากันที่เหนือยันลำพูน ยันเชียงใหม่กันโน่นในราคา ๖๐,๐๐๐ บาท ซึ่งราคาไม่สูงพอสู้ได้แกก็เอา แกก็เชื่อว่าเซียนตาถึงจริง ต้องไม่เก๊ ไม่รู้หรอกว่าเซียนมันทำไว้แหกตก แล้วก็เอาไปให้พรรคพวกของมันที่โน่นไกล ๆ หน่อย จะได้ไม่สงสัยมาถึงตัวมัน พอคุณนาวาโทแกไปได้พระมาแล้ว ขากลับก็กลับมาด้วยกัน ขับรถมารถคว่ำ อีตาเซียนที่หลอกเขาคอหักตาย ตัวคุณนาวาโทแกไม่เป็นอะไรเลย แล้วแกก็เที่ยวพูดกับเพื่อนกับฝูงว่า เพราะเขามีของดีแล้วเขารักษาไม่อยู่ แกได้มาแกก็เลยไม่เป็นอะไร ไอ้คนรู้ยังงี้ขนหัวลุก

    เห็นชัด ๆ เลยที่ท่านบอกว่า ถ้านึกถึงท่านอานุภาพเท่ากัน ส่วนของหลวงปู่ปานนี่ อาตมาเคยทำไว้ชุดหนึ่ง ไปในตลาดพระแล้วเห็นรุ่นที่เขาเรียกว่า รุ่นย้อนยุค เขาใช้คอมพิวเตอร์ถอดบล็อกมา ทำซะเหมือนเลย เราเองก็ เออ! สบายดีโว้ย จัดแจงเหมามาเลย มาถึงก็เอามาทำแล้วใช้ตามแบบหลวงพ่อก็คือบวงสรวงอาราธนาบารมีพระท่านสงเคราะห์ คนเอาไปใช้บอกว่าอานุภาพเหมือนกับที่หลวงพ่อเคยบอกไว้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะถอนพิษสัตว์อะไรได้หมด ก็บอกแล้วว่าถ้าหากเรานึกถึงท่านอานุภาพเท่ากัน จะเก่าจะใหม่ จะจริง จะเทียมท่านไม่ว่า ก็ได้ยินแค่สององค์นี้เท่านั้นแหละ ที่ท่านอนุญาตไว้ ท่านบอกว่าให้พรไว้เลย
     
  3. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    <HR SIZE=1> <!-- / icon and title --><!-- message -->
    [​IMG][​IMG]


    ถาม: แล้วของหลวงปู่ทวดล่ะครับ ?
    ตอบ: หลวงปู่ทวดยังไม่ได้รับมา ถ้าท่านอนุญาตเมื่อไหร่ สบายมาก
    ถาม: จะเป็นลักษณะเดียวกันนี้ไหมครับ ?

    ตอบ: ไม่แน่จ้ะ เดี๋ยวรอดูก่อน ถ้าวันไหนท่านอนุญาตขึ้นมาก็สบาย
    ถาม: ถ้าอย่างนั้น พระผงสุพรรณ นางพญา ที่เขานิยมในเบญจภาคี ผู้สร้างก็คงจะประมาณนี้ไหมครับ ?

    ตอบ: ก็น่าจะอยู่ในระดับนี้แหละ เพราะว่าพระแต่ละองค์ถ้าท่านได้ทิพจักขุญาณ ถ้าไม่ประมาทน่าจะเชื่อว่าท่านต้องรู้จักพระพุทธเจ้า ถ้ามัวประมาทเพลิดเพลินอยู่กับความสามารถตัวเอง อาจจะไม่ถึงแบบเดียวกับหลวงพ่อ ระยะแรก ๆ ท่านก็วิ่งอยู่ระหว่างเทวดากับพรหม นิพพานเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ จนกระทั่งท้าวสหัมบดีพรหมบอกให้ไปนิพพาน ก็ยังไม่รู้จักนิพพานหน้าตาเป็นอย่างไร ไปไม่เป็น

    ถาม: แล้วของหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ หลวงพี่เล็กรู้จักหรือเปล่าครับ ?
    ตอบ: รู้จักแต่ชื่อท่านจ้ะ เพราะเกิดไม่ทัน หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ หลวงพ่อแก้ว วัดพวงมาลัย สองแก้วนี้ดัง ถ้าหากว่าหลวงพ่อทอง ก็มีสองทองเหมือนกันใช่มั้ย ? หลวงพ่อทอง วัดราชโยธา หลวงพ่อทอง วัดเขากบ สมัยหลัง ๆ นี่เขานิยมเอารูปของท่านมาทำแก้ว แหวน เงิน ทอง ก็มีหลวงปู่แหวน หลวงพ่อเงิน หลวงพ่อทอง หลวงพ่อแก้ว

    ถ้าไม่มีหลวงปู่ทวด ประเทศของเราอาจจะเป็นเมืองขึ้นของลังกา ตั้งแต่สมัยนั้น เพราะว่าสมัยนั้นทางลังกาเขาส่งปราชญ์ทางศาสนาของเขามา คือเขาวางแผนกัน ขี้เกียจรบ แต่อยากได้ เพราะอยุธยาอุดมสมบูรณ์มาก ขนาดร่ำลือข้ามประเทศไปถึงยุโรป พวกเนเธอร์แลนด์ พวกฝรั่งเศสมาค้าขายกับเราเยอะแยะไปหมด เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส โปรตุเกส ญี่ปุ่นเต็มไปหมดเลย ลังกาอยากได้ แต่ถ้ารบกันกว่าจะข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงมันก็ไกล แล้วรบไปก็ไม่แน่ว่าจะชนะด้วย พวกบรรดาที่ปรึกษาก็เลยว่า พวกปราชญ์ของเราก็มีเยอะแยะไปหมด ลังกาก็ถือพุทธศาสนา อยุธยาก็ถือพุทธศาสนา ก็ลองดูว่าเราจะทำปริศนาธรรมขึ้นมา ถ้าหากว่าปราชญ์ของเมืองไทยแก้ไขได้ เราก็มีบรรณาการให้ แต่ถ้าหากว่าเขาแก้ไขไม่ได้ ใช้ในลักษณะเรียกว่า ธรรมยุทธ คือรบกันทางธรรม เราก็ขอบ้านขอเมืองของเขา คือลักษณะแลกเปลี่ยนกัน ส่วนใหญ่แล้วท้าในลักษณะนี้เขาจะรับ

    ถาม: แล้วเขาไม่เห็นยกบ้านเมืองให้เรา ?
    ตอบ: ก็เขาตกลงกันว่า ตอนนั้นเขาขนแก้ว แหวน เงิน ทอง มา ๗ เรือสำเภา ถ้าไทยชนะเขายกให้หมด แต่ถ้าไทยแพ้เมืองไทยต้องเป็นของเขา ส่งส่วยดอกไม้เงิน ดอกไม้ทองให้เขา เขาก็เอาทองคำมาหลอมเป็นชิ้นเล็ก ๆ เท่าใบมะขาม แล้วก็จารึกพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ แล้วก็ใส่รวม ๆ กันมาเป็นบาตรเบ้อเร่อเลย มาถึงก็ขอเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน แล้วก็กราบทูลว่าทางพระเจ้าอยู่หัวเมืองลังกา พูดง่าย ๆ ก็คือว่า ไม่อยากจะรบเพื่อให้เสียสัมพันธไมตรี ก็เลยส่งปราชญ์ทางศาสนาเขามา โดยการหลอมทองคำ แล้วจารึกพระธรรมคำสอนมา ถ้าหากว่าทางไทยสามารถเรียงตัวอักษรให้ถูกต้องได้ แก้ว แหวน เงิน ทอง ที่ขนมา ๗ เรือสำเภา ขึ้นไปตรวจสอบได้เลย ของแท้แน่นอน จะยกถวายให้เป็นของกษัตริย์ไทย

    แต่ถ้าหากว่าไทยแพ้นี่ แผ่นดินไทยคืออยุธยา ต้องขึ้นกับลังกา ส่งส่วยดอกไม้เงิน ดอกไม้ทอง ให้ทุกปี ท่านก็รับ ปรากฏว่าพอถึงเวลานิมนต์พระที่ว่ามีความรู้มากี่องค์ ๆ ก็เจ๊งหมด เขาให้เวลา ๓ เดือน จนกระทั่งไม่มีใครที่รับอาสาแก้ปริศนาอันนี้ได้แล้ว เพราะว่าหยิบขึ้นมาก็ ชิ้นหนึ่งก็บาลีคำหนึ่ง ๆ เรียงไม่ถูก แล้วก็ทองเท่าใบมะขามเล็กนิดเดียว ก็ไล่ไปไล่มาก็ปรากฏว่า หลวงปู่ทวดท่านเดินทางเข้ามาอยุธยาเพื่อจะมาเรียนต่อพอดี แล้วตอนที่ท่านเดินทางจากภาคใต้เข้ามา เรือก็โดนมรสุมจนกระทั่งเสียเวลา น้ำจืดหมด จนท่านต้องไปเหยียบน้ำทะเลจืด ไม่อย่างนั้นเขาจะไล่ท่านลงจากเรือ หาว่าท่านเป็นกาลกิณี ท่านมาท่านก็ไปพักอยู่ที่วัดใกล้ ๆ พอหมดท่าขึ้นมาจริง ๆ ก็มีคนบอกว่า มีภิกษุมาจากทางภาคใต้ ขึ้นมาเพื่อที่จะศึกษาต่อ เพราะว่าศึกษาทางใต้จนสิ้นความรู้แล้ว ต้องการจะมาหาความรู้ต่อในอยุธยา ท่านก็เลยนิมนต์มา นิมนต์มาถามว่า พอจะแก้ปริศนาธรรมนี้ได้มั้ย ?

    พอหลวงปู่ทวดท่านเอาพวกบรรดาทองคำที่ทำเป็นใบมะขาม ที่จารึกเป็นตัวหนังสือมาอ่าน ๆ ดูก็บอกพอจะช่วยได้ แต่ไม่รับปากว่าจะสำเร็จหรือเปล่า ก็ยังดี เพราะที่มา ๆ ล้วนแล้วแต่บอกว่า ทำไม่ได้ ในเมื่อองค์นี้บอกพอช่วยได้ พระเจ้าแผ่นดินก็บอกว่า ท่านฝากภาระของประเทศชาติให้เป็นภาระของท่านเลย หลวงปู่ทวดท่านก็จัดแจงครองผ้า จุดธูปเทียน บอกกล่าวพระรัตนตรัย ครูบาอาจารย์ เทพยดาทั้งหมดที่รักษาประเทศไทย ว่า ถ้าหากว่า เมืองไทยจะไม่ต้องเป็นทาส คือไม่ต้องเป็นข้าส่งส่วยให้กับทางด้านลังกาเขา ก็ขอให้ท่านสามารถที่จะเรียงปริศนาธรรมนี้ได้ถูก

    เสร็จแล้วก็เทใส่ผ้าขาว จัดแจงเรียงไล่ไปเลย เรียงไป ๆ จนเสร็จ แล้วก็บอกกับปราชญ์ที่เขามาควบคุมทั้ง ๗ องค์นั้นว่า คุณเอาหนังสือไปซ่อนไว้ที่ไหนอีก ๗ ตัวไม่มี ทั้ง ๗ คนก็เลยต้องยอมแพ้ เพราะว่าเขาเล่นห่อกระดาษม้วนไว้ในมวยผมตัวเอง

    สมัยก่อนเขาชอบเกล้ามวยกัน เขาเลยต้องแกะมาส่งให้ มันเป็นคำต้นของอภิธรรม ๗ คัมภีร์ สัง วิ ธา ปุ กะ ยะ ปะ ที่เขาเรียก หัวใจพระอภิธรรม พอเรียงเข้าไปก็ครบพอดี เมื่อรู้ขนาดนั้น เขาก็เลยต้องยอมแพ้ ต้องยกทรัพย์สมบัติให้ทั้งหมด พระเจ้าอยู่หัวก็เลยตั้งท่านเป็น พระราชครูสามีรามคุณูปมาจารย์ ตำแหน่งเหมือนกับสมเด็จพระสังฆราช แต่ว่าท่านรับตำแหน่งแค่แป๊บเดียว แล้วก็ขอลากลับบ้านกลับเมือง อยู่ต่อไปก็คงไม่มีอะไรให้เรียน เพราะว่าที่นี่เขาแก้ไม่ได้ แล้วท่านแก้ได้ (หัวเราะ) ก็เลยขอลากลับ พระเจ้าอยู่หัวท่านก็ถามว่า ต้องการอะไรบ้าง ท่านก็ขอกำลังพล ขออิฐ ขอปูน ไปเพื่อสร้างเจดีย์ที่วัดบ้านเกิดท่าน ที่วัดพะโคะ ปัจจุบันนี้เจดีย์ก็ยังอยู่ กรมศิลป์ขึ้นทะเบียนไว้ กำลังบูรณะซ่อมแซมกันใหม่ มีโอกาสก็ไปกราบบ้าง มีรอยเท้าของท่านอยู่ด้วย แล้วก็มีแก้วจักรพรรดิอยู่ซีกหนึ่ง

    ถาม: ลูกแก้วนี่เป็นลูกแก้วจักรพรรดิ ?
    ตอบ: แก้วจักรพรรดิ เพราะไปดูแล้วลักษณะเนื้อเหมือนกับของหลวงพ่อ แต่เสียดายว่าไอ้คนเสียสติดันไปทุบซะ คือลูกแก้วนั้น ตามประวัติบอกว่า ตอนนั้นท่านยังเด็ก ๆ อยู่ วันนั้นพ่อแม่ท่านออกไปทำนา ก็อุ้มท่านไปด้วย แล้วเอาท่านนอนไว้ในกระด้ง พอถึงเวลาพักกลางวันจะกลับมากินข้าว พอกลับมาถึงเจองูจงอางตัวเบ้อเร่อเลย มันขดล้อมกระด้งอยู่ พ่อแม่ก็ตกใจว่าจะทำอย่างไรดี ?
    คราวนี้โยมพ่อได้สติ ก็จุดธูปเทียน บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขาว่า “ถ้าสำแดงตัวมาเพื่อสงเคราะห์ลูกช้างอย่างไร ก็ขออย่าได้ทำอันตรายเด็กเลย” งูก็เลื้อยไป พองูไปแล้วก็เข้าไปดู ก็เห็นในมือเด็กมีแก้วอยู่ ก็เชื่อว่าเป็นของคู่บารมีของลูกของตัว แล้วตอนหลังมีเศรษฐีที่เป็นนาย เพราะว่าพ่อแม่เป็นทาสช่วยทำงานให้เขา เศรษฐีที่เป็นนายก็ต้องการจะเอา พยายามบีบบังคับทุกวิถีทางก็เอาไปไม่ได้ ท้ายสุดก็ต้องมาคืน

    คราวนี้ระยะหลัง ๆ ที่เขาเก็บต่อ ๆ กันมาจนถึงยุคหลังนี่ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่คนสติไม่ค่อยดีเอาไป มันเชื่อว่าลูกแก้วจักรพรรดิจะทำให้มันเหาะได้ คราวนี้เหาะไม่ได้ก็โมโห ก็ทุบแตกซะ พอทุบแตกกลายเป็น ๓ ชิ้น ๔ ชิ้น ก็มีคนโน้นเก็บไป คนนี้เก็บไป ทางวัดก็ได้ชิ้นใหญ่ไป มาตอนหลังคนที่ได้ชิ้นเล็ก ๆ ไปก็ต้องเอามาคืน เพราะว่าฝันเห็นแต่งูมาทวงอยู่ทุกคืน (หัวเราะ) ที่มั่นใจว่าเป็นแก้วจักรพรรดิ เพราะว่าลักษณะเดียวกับที่หลวงพ่อท่านมีอยู่ ของหลวงพ่อที่มีอยู่ก็ไม่ใช่ของหลวงพ่อโดยตรง เป็นหลวงปู่ชุ่มถวายมา หลวงปู่ชุ่มที่วัดวังมุย (วัดชัยมงคล) ที่ลำพูน องค์นี้หลวงพ่อบอกว่าสุดยอดมนุษย์จริง ๆ เกิดมาไม่เคยพบไม่เคยเห็น ถามว่าทำไมครับ ? หลวงปู่ชุ่ม ท่านเข้านิโรธสมาบัติได้ ๔ อิริยาบถ

    นิโรธสมาบัตินี่ จริง ๆ มันดับความรู้สึกหมดเกลี้ยงเลย ส่วนใหญ่เขาต้องนั่ง ถ้าไม่นั่งก็นอน ไม่นอนก็ยืน อิริยาบถใด อิริยาบถหนึ่ง แต่หลวงปู่ชุ่มเข้านิโรธสมาบัติได้ ๔ อิริยาบถ ไม่ทราบว่าท่านเดินได้อย่างไร ก็ในเมื่อจิตกับกายมันไม่ได้สัมพันธ์กันเลย แสดงว่าต้องใช้กำลังของอภิญญาอธิษฐานทับเอาไว้ก่อน
    เนื่องจากว่านิโรธสมาบัตินี่มีอยู่ ๒ ลักษณะ ลักษณะหนึ่งก็คือว่าส่งจิตไปตามภพภูมิต่าง ๆ พอครบเวลาแล้วค่อยกลับ อีกลักษณะหนึ่งก็คือใช้จิตจดจ่อพระนิพพานเท่านั้น แต่ว่าทั้งสองลกัษณะนี้จิตกับกายจะไม่เกาะกันเลย จิตจะไม่เกาะกายแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นถ้าไม่ใช้กำลังอภิญญาอธิษฐานไว้ก่อน คงบังคับให้ร่างกายเดินไม่ได้แน่ แล้วลูกแก้วจักรพรรดินี่ทำมาจากปรอท

    สมัยที่ข้ามไปพม่าแล้วมาอยู่กับท่านโมเช่ ระยะหนึ่ง ที่รอยต่อระหว่างด่านช้างกับเมืองกาญจน์อุทัยธานีนี่ ท่านโมเช่เขาทำปรอทเป็น เขาก็สอนให้ ปรอทนี่จะมีตั้งแต่ขั้นแรกคือ จับปรอท มีวิธี ปรอทนี่ในทางวิทยาศาสตร์ เขาถือเป็นโลหะ แต่ทางไสยศาสตร์ถือว่ามันมีชีวิตมันมาได้ มันหนีได้ มันกินได้ ต้องเอาอาหารไปล่อมันให้มันมา แล้วก็ต้องฆ่ามันให้ตาย ถ้าฆ่ามันไม่ตายมันก็หนี พอมันตายที่เขาเรียกว่า “เป็นตัว” คือมันจะแข็งขึ้นมา พอมันแข็งขึ้นมาแล้วก็จะมีการปลุกเสกของมันไปเรื่อย มันจะเป็นมหาเสน่ห์ ป้องกันภัย รักษาโรค ทำเป็นทอง ทำเป็นแก้ว ขั้นตอนจะเป็นอย่างนี้

    คราวนี้ปีนั้นมีพระจากฝั่งไทยข้ามไปเรียนเรื่องปรอท ๕ รูป พอทำถึงขั้นแรก สึกเกลี้ยงทั้ง ๕ รูปเลย คือขั้นแรกจะเป็นมหาเสน่ห์ เสร็จหมด ! ขนาดไปแอบทำกลางป่ากลางดง ผู้หญิงมาจากไหนก็ไม่รู้ เอาไปกินหมด มันจะเป็นมหาเสน่ห์ ป้องกันภัย รักษาโรค ทำเป็นทอง ทำเป็นแก้ว ปรอทที่เป็นทองที่นี่มี ที่ใส่ไว้ให้ดูเป็นตัวอย่าง

    คราวนี้ที่ทำเป็นแก้วนี่ ถ้าเป็นปรอทตัวผู้นี่จะเป็นแก้วจักรพรรดิ ถ้าเป็นปรอทตัวเมียจะเป็นแก้วราหู หลวงปู่ชุ่มท่านบอกว่า ท่านก็ทำไม่ได้ แต่หลวงปู่ชุ่มท่านสำเร็จปรอท เพราะว่าท่านเคยทำตะกรุดปรอทแจกพวกเราอยู่ สมัยนั้นเคยได้มา แต่ท่านบอกว่าท่านก็ทำเป็นแก้วไม่ได้ แต่ที่ท่านได้มานี่อาจารย์ทำให้ ก็ไม่ทราบว่าอาจารย์ท่านคือ หลวงปู่ครูบาศรีวิชัย หรือว่าเป็นอาจารย์ที่ท่านธุดงค์ไปศึกษาตอนข้ามไปพม่าก็ไม่รู้ ? ไม่ได้ถามรายละเอียดท่าน

    ตอนนั้นหลวงปู่ชุ่มท่านจะดังเรื่องตะกรุดปรอท และตะกรุดหนังลูกวัวตายในท้อง ๒ อย่าง ถ้ามีลูกวัวตายในท้อง ชาวบ้านจะรีบแล่หนังไปให้หลวงปู่ทำตะกรุด คราวนี้พอหลวงพ่อพาพวกเราไปกราบหลวงปู่ หลวงพ่อต่าง ๆ ที่เป็นพระสุปฏิปันโนสายเหนือ หลวงปู่ชุ่ม พอพบหน้า หลวงพ่อก็หัวเราะ พวกเราก็ถามว่า เรื่องอะไร ? หลวงพ่อท่านบอกว่า หลวงปู่ชุ่มเกิดเป็นพี่มาหลายชาติ แต่ว่าเป็นพี่ที่ทุกชาติก็ตายเพราะหลวงพ่อสั่งประหาร (หัวเราะ) เป็นพี่ที่รักน้องมาก ขนาดตายเพื่อรักษาวินัยทัพก็ยอม หลวงปู่ชุ่มท่านมาหาหลวงพ่อ ตอนนั้นท่านใกล้มรณภาพ หลวงปู่ชุ่มมรณภาพตอนปี ๒๕๒๓ ก่อนมรณภาพได้ไม่นาน ท่านมาหาหลวงพ่อ เอาแก้วจักรพรรดิให้ บอกว่าหลวงน้อง บริวารของหลวงน้องเยอะมาก การต่อไปข้างหน้าจะยิ่งเยอะมากกว่านี้ ถ้าหลวงน้องมีแก้วจักรพรรดิอยู่ บริวารมากเท่าไหร่ก็จะเลี้ยงดูเขาได้ แล้วก็ถวายหลวงพ่อไว้
    แล้วอีกองค์หนึ่งหลวงปู่ชุ่มถวายในหลวงไป เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวนะ ถึงเวลานึกถึง เราไม่ต้องมีหรอก แต่นึกถึงแก้วจักรพรรดิไว้ ถึงเวลาขออานุภาพแก้วจักรพรรดิช่วยสงเคราะห์ด้วย จะได้มีความคล่องตัวกว่าคนอื่นเขา ส่วนลูกเล็กที่เป็นแก้วราหู แก้วราหูก็จะมีช่องเล็ก ๆ อยู่ให้สำหรับสอดเชือกได้ แก้วราหูนี่เกิดจากปรอทตัวเมีย

    ตอนนั้นคุณอรรณพ กอวัฒนา ยังเป็นร้อยตำรวจโท ตชด.อยู่ ก็รับอาสาหลวงพ่อไปเป็นยามรักษาการณ์ ตอนหลวงปู่ชุ่มเข้านิโรธสมาบัติ หลวงปู่ชุ่มท่านก็เห็นคุณความดีของเขา ก็เลยมอบแก้วราหูไปให้ มาตอนหลังเพื่อนซี้กัน ก็คือตี๋เล็ก (สันต์ สมิทติเวช) ก็ยืมไป แล้วมันก็ไปเที่ยวซ่อง ไปเชียงใหม่ กิตติศัพท์สาวเชียงใหม่สวย เจ้าตี๋เล็กก็ไปรื่นเริง บันเทิงใจอยู่ในซ่อง ผู้กองอรรณพบอกว่า เขาร้อนใจบอกไม่ถูก โทรไปถาม ตี๋เล็กบอกว่า กูจะกลับแล้ว เที่ยวบินเที่ยวนั้นเที่ยวนี้ คุณอรรณพเขารอไม่ได้ ถึงขนาดไปดักรอที่ดอนเมือง
    คราวนี้แก้วราหูนี่ แกให้คนอื่นช่วยถักเชือกหุ้มเอาไว้ แล้วพอถึงเวลาก็แขวนติดตัวเอาไว้ ตี๋เล็กมันยืม มันก็เอาไปทั้งชือกทั้งหุ้มนั่นแหละ พอกลับมา ปรากฏว่าอรรณพก็ไปทวง คือใจของแกประเภทรับสัมผัสได้ บอกมันรู้สึกอย่างไรก็ไม่รู้ รู้สึกอยู่อย่างเดียวว่าจะเสียของไป มันต้องรีบทวงกลับ พอมาถึงเอยปากทวง เจ้าตี๋เล็กมันก็ยิ้ม โธ่เอ๊ย! ของแค่นี้ต้องหวงกันด้วย ก็อยู่ที่คอนี่ ก็ถอดให้ ปรากฏว่าพอถอดนี่ เจ้าสันต์หน้ามันเหลือ ๒ นิ้วเท่านั้นแหละ เพราะว่ามันเหลือแต่เชือกเส้นนั้น กับถุงเปล่า ๆ ทั้ง ๆ ที่ถุงมันถักปิดตายไปเลยนะ แก้วหายไปแล้ว เล่นเอาผู้กองอรรณพเกือบจะหักคอตาสันต์

    ตอนนั้น ๒ คน หนึ่งตี๋ใหญ่ คนหนึ่งตี๋เล็ก ตาสันต์เขาเรียก ตี๋เล็ก เขาก็เรียกผู้กองอรรณพ ซี้เขาว่า ตี๋ใหญ่มาตอนหลังก็ไปรายงานหลวงพ่อ หลวงพ่อก็บอก เออ! ก็มันอยากไปที่ไม่ดีนี่หว่า เขาไม่อยากอยู่กับเอ็งหรอก แล้วถามหลวงพ่อว่า ตอนนี้อยู่ที่ไหนครับ หลวงพ่อบอก หนีมาอยู่ที่ข้านี่ (หัวเราะ) แล้วหลวงพ่อก็หยิบให้ดู

    ในเมื่อมาแล้วก็อุ๊บอิ๊บ ไม่คืน ปัจจุบันนี้ทั้ง ๒ องค์ ก็คงอยู่กับหลวงพี่อนันต์ เพราะว่าตอนที่หลวงพ่อมรณภาพ ย่ามหลวงพ่อ ปกติแล้วจะมีแก้วจักรพรรดิ มีมีดหมออยู่ด้ามหนึ่ง แล้วก็มีเครื่องมือของท่าน มียานัตถุ์ มีหมาก แค่นั้นเอง อย่างอื่นไม่มีหรอก ของเรามันมือซน หลวงพ่อส่งย่ามให้เมื่อไหร่ ก็ล้วงดูมีอะไรบ้าง วันนั้นล้วงเข้าไปเกือบตาย ไปโดนมีดหมอเข้าพอดี โอ้โห! มันดูดอย่างกับโดนไฟฟ้าเป็นหมื่น ๆ โวลต์ ดูดตัวลอยเลย คือกำลังใจเปิดรับพอดี คือของเราตอนนั้นใจสบาย ๆ คิดอยู่อย่างเดียว ล้วงดูพ่อมีอะไรบ้าง ? ไม่ได้ตั้งท่าตั้งทางอะไร ตรงล็อกพอดี โดนดูดเกือบตาย หลวงพ่อหันมาหัวเราะ บอกสมน้ำหน้ามึง (หัวเราะ)

    พอหลวงพ่อท่านมรณภาพ พระทั้งหมดก็คิดอย่างเดียวกัน ในเมื่อหลวงพี่อนันต์ท่านเป็นรองเจ้าอาวาสอยู่ จัดแจงผูกหูย่ามส่งรับไปเลย ปัจจุบันก็น่าจะอยู่กับหลวงพี่อนันต์ท่าน ถ้าไม่มีนี่ เลี้ยงวัดท่าซุงไม่ได้แน่ จำเป็นต้องมีจ้ะ หลวงพ่อท่านบอกว่า ท่านขึ้นไปดูแก้วจักรพรรดิของท่านพระอินทร์ที่ดาวดึงส์แล้ว ลักษณะเหมือนกันทุกอย่าง เพียงแต่ว่า แก้วจักรพรรดิของท่านปู่พระอินทร์อยู่ในความเป็นทิพย์ รัศมีก็เลยสว่างไสวอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากว่าเป็นที่หลวงพ่อ หรือที่ในหลวงท่านมีต้องใช้ทิพยจักษุญาณดู ถึงจะรู้ว่าสว่างแค่ไหน สรุปว่า แก้วจักรพรรดิจริง ๆ ทำมาจากปรอท

    ตอนนี้ทางพม่าก็ยังมีอาจารย์หลายองค์ ที่ท่านสำเร็จปรอทลักษณะนี้ พอทำเป็นแก้วแล้ว อมแล้วจะเหาะไปไหนก็ได้ ไอ้รายโน้นของเขาก็คงคิดอยู่ในลักษณะว่า ในเมื่อเป็นแก้วแล้ว ต้องเหาะได้ พอเอาของหลวงปู่ทวดไป มันเหาะไม่ได้ มันใช้ไม่ถูกต้อง มันก็เลยทุบซะ รู้สึกว่าจะเป็นอะไรตายไม่รู้ ตายระยะเวลาไม่นานหลังจากทุบทำลาย

    ถาม: แล้วเวลาจะใช้ ใช้อย่างไรคะ ?
    ตอบ: อธิษฐานเอา ถ้าอย่างของเรานี่มีลูกแก้วของหลวงพ่อ ก็ใช้ควบคาถาเงินล้านอธิษฐานเอา โดยเฉพาะเรื่องลาภผล จะคล่องตัวมากเป็นพิเศษ

    ถาม: แสดงว่าครูบาชุ่ม ท่านมีบารมีทางลาภ ?
    ตอบ: มีไม่มี ท่านสร้างทางขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ หลวงปู่ครูบาชุ่มพาโยมสร้างทางขึ้นพระธาตุจอมกิตติ ถ้าไม่ได้ขนาดนั้นก็คงไม่ไหวหรอก

    ถาม: (ไม่ชัด)

    ตอบ: จะกลมหรือไม่กลม อะไรก็ตามจ๊ะ ถ้าเป็นรุ่นที่หลวงพ่อทำนี่ อานุภาพก็เกือบ ๆ จะเท่าของจริงจ้ะ

    ที่เขียนว่าปรอทเงิน ปรอททอง นั่นแหละจ้ะ ฝรั่งมันทำไม่ได้ มันทำได้ก็เอาไปปั่นรวมกับโลหะอื่น ๆ ลักษณะเหมือนกับปั่นเพื่ออุดฟัน อย่างนั้นเขาเรียกว่าปรอทเป็น มันจะมีพิษ โดยเฉพาะเข้าปาก มันขยายตัวหลายเท่านี่ ตับ ไต ไส้ พุง แย่เลย ก็ต้องฆ่ามันให้ตายก่อน

    ถาม: สรุปว่าในหมู่พระสุปฏิปันโน ที่หลวงพ่อเคยพาลูกศิษย์ไปกราบนี่ ครูบาชุ่มมีวาสนาทางลาภที่สุดหรือเปล่าครับ ?

    ตอบ: ไม่ทราบเหมือนกันจ้ะ เพราะว่าไม่ได้เอ่ยถามหลวงพ่อท่าน แต่ว่าเท่าที่ได้ยินมา ก็คือว่าหลวงปู่ชุ่มนี่ หลวงพ่อท่านบอกว่าอัศจรรย์ตรงที่ว่าเข้านิโรธสมาบัติได้ ๔ อิริยาบถ ซึ่งท่านไม่เคยได้ยินว่ามีใครเคยทำได้มาก่อนเลย
    แล้วก็หลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุญนาค ที่ตาคลี นครสวรรค์ ท่านบอว่า ถ้าในจำนวนพระปฏิสัมภิทาญาณด้วยกัน ก็องค์นี้แคสเซียส เคลย์ ของรุ่นเฮฟวี่เวท

    (หัวเราะ) สุดยอดเลย เพราะว่าท่านมรณภาพตอนอายุ ๑๒๘ ปี


    ถาม: หลวงปู่สี ?

    ตอบ: จ้ะ ป่านนี้สังขารท่านก็ยังอยู่ อย่างกับทองแดงเลย แล้วอีกองค์หนึ่งก็คือ หลวงปู่ครูบาธรรมชัย หลวงพ่อท่านบอกว่า ถ้าในโลกยุคปัจจุบัน คือ ตอนช่วงของหลวงปู่แต่ละองค์ท่านยังอยู่ ท่านบอกว่า หลวงปู่ครูบาธรรมชัย ทิพยจักขุญาณยอดเยี่ยมที่สุด เพราะหลวงปู่ธรรมชัยท่านมา เพื่อรักษาโรค ถ้าหากว่าทิพยจักษุญาณไม่ดี บอกสมุฏฐานโรคไม่ถูก

    ถาม: (ไม่ชัด) ครบ ๑๐๐ ปี หลวงปู่ปาน มีการแจกผ้ากาสายะ ผ้าสังฆาฏิ ครูบาชุ่มจะมีอยู่ ๒ ลักษณะ ลักษณะหนึ่งเป็นผ้าที่ใช้เข้านิโรธสมาบัติ อีกอันเป็นผ้าที่ใช้ทั่วไป มีความต่างกันอย่างไรครับ ?

    ตอบ: เรื่องของอานุภาพไม่ต้องพูดถึง ท่านแจกให้เป็นอนุสติ นึกถึงท่านก็โอเคแล้ว

    ถาม: เวลาตื่นนอนมาครับ ยังไม่ต้องลุก ให้ทำสมาธิได้เลย ผมก็ลองดู ทำอย่างนั้นมาหลายครั้ง พอตื่นปุ๊บ นึกได้ ก็ พุท โธ ต่อ แล้วก็หลับไปเลย อย่างนี้ผมทำอะไรผิดหรือเปล่าครับ ?

    ตอบ: ไม่ผิด กำลังใจที่จะหลับได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นปฐมฌานขั้นหยาบ ถ้าไม่เป็นปฐมฌานขั้นหยาบมันจะไม่หลับ อย่างน้อยนะ แต่คราวนี้ของเราจริง ๆ เราต้องการที่ว่าให้ภาวนาแล้วรู้ตัว จนกระทั่งลุกไปล้างหน้าล้างตา อาบน้ำอาบท่า ทำงานต่อไปเลย ถ้าอย่างนั้น ต้องผ่านการฝึกกันเป็นขนานใหญ่ เราต้องฝึกจนกระทั่งตื่นกับหลับ อารมณ์ใจเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้น ถึงเวลาหลับอยู่ใจก็ยังภาวนา ตื่นมาก็ภาวนา ของมันต่อ ขนาดตัวเองหลับอยู่มันยังรู้ว่าตัวเองหลับ พอจะตื่นมันต้องกำหนดใจ ถามตัวเองก่อนว่า พร้อมจะตื่นหรือยัง ถ้าพร้อมแล้ว ลืมตาลุกขึ้นนั่ง ยืน เดิน
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...