ฉบับที่ ๗๒ เดือนกุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๓

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย MBNY, 14 มีนาคม 2010.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. MBNY

    MBNY Administrator ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2003
    โพสต์:
    6,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +22,504
    ช่วงแรกของเล่ม "ฝ่าด่านทหารป่า" สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๖(ต่อ)
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ




    ถาม: เกี่ยวข้องกับสังขารของเราที่เปลี่ยนแปลงไป วันนี้ไม่สบาย วันนี้เหนื่อย ?

    ตอบ : เกี่ยวจ้ะ เรื่องของฌานสมาบัติ ถ้าร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วย หิวมาก ๆ เหนื่อย ๆ มันจะไม่เอากับเรา แต่เรื่องของสมาธิมันตกได้ แต่กำลังใจที่เข้าถึงจะไม่ตก เราต้องสังเกตจุดนี้ ถ้าสมาธิตกไม่ต้องไปกระวนกระวายกับมันให้เห็นเป็นปกติของมันอย่างนั้น เป็นธรรมดาของมันอย่างนั้น มันอยากตกให้ตกไป เราก็มาใช้การพิจารณาแทน จนกว่าร่างกายดี เราก็ใช้สมาธิต่อไป พูดง่า ยๆ ว่าถ้ามันแย่ เราก็พยายามทำให้มันแย่น้อยที่สุด ทำในสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศลให้ได้มากที่สุด

    อาตมาเองสมัยก่อน บางวันแย่มาก ๆ ฟุ้งซ่าน รัก โลภ โกรธ หลง ความดีเข้าไม่ถึงเลย จับภาพพระอะไรก็เกาะไม่ติด ก็ใช้วิธีไปนั่งหน้าพระประธานให้ทิ่มลูกตาอยู่นั่น ใจอยากชั่วให้คิดชั่วไป ปากอยากชั่วให้พูดั่วไป แต่ตัวกูอยู่ตรงนี้มีปัญญาทำชั่วให้ทำไป จะไปทำได้อย่างไรนั่งอยู่ตรงหน้าพระประธาน

    เพราะฉะนั้นอย่างน้อย ๆ เราไม่ได้ขาดทุนทั้งหมด กายกรรม สิ่งที่ทำด้วยกาย วจีกรรมสิ่งที่พูดด้วยวาจา มโนกรรม สิ่งที่คิดด้วยใจ อย่างดีก็เล่นเราได้แค่สองอย่าง คือมโนกรรม มันคิดได้ ถ้าหากสติไม่ดีอาจหลลุดออกมาเป็นวจีกรรม พูดได้แต่ถ้าสติดี วจีกรรมก็ไม่หลุด กายกรรมก็ไม่หลุดอยู่แล้ยว นั่งแปะอยู่ตรงนั้น ตื๊ออยู่ตรงนั้น ตอนนี้อดีตังสญาณ ย้อนอดีตตูก็ไม่เอา อนาคตังสญาณไปอนาคตตูก็ไม่เอา เอาปัจจุปันนังสญาณ พระองค์เบ้อเร่อทิ่มตาอยู่นี่ อย่างน้อย ๆ ให้มีส่วนที่เป็นบุญเป็นกุศลอยู่ ขาดทุนอย่างไรก็ต้องเอากำไรไว้ให้ได้ จะเล็กจะน้อยแค่ไหนก็เอา บาทหนึ่งสลึงหนึ่งก็เอา พยายามสะสมความดีลักษณะนี้

    บางวาระบางเวลา เจ็บไข้ได้ป่วยมาก ๆ กำหนดภาพพระไม่เห็น เห็นแค่ปลายเกศแหลม ๆ นิดหนึ่ง แต่เรามั่นใจว่าตรงนั้นเป็นพระพุทธเจ้า ก็น้อยจิตกราบตรงนั้นเลย จะเห็นหรือไม่เห็นก็ไม่เป็นไร ความรู้สึกเรามั่นใจพระองค์อยู่ตรงนั้นแน่ เอาแค่ความรู้สึกนั้นก็พอแล้ว ถึงได้เคยสรุปกับบางคนว่า การปฏิบัติความดีบางทีก็ต้องหน้าด้าน ถ้าหน้าไม่ด้านพอเราสู้กิเลสไม่ได้ ต้องหน้าด้านตื๊อทำไป ถึงเวลาจิตตก สมาธิตก พลาดพลั้งให้กับกิเลส ไม่ต้องไปนั่งคร่ำครวญอยู่กับมัน คนสองคนเดิทางมาพร้อม ๆ กันต่างคนต่างล้ม ถ้าคนหนึ่งลุกแล้วไปต่อเลย แต่อีกคนนั่งอยู่ตรงนั้น โอ๊ย...เจ็บเหลือเกิน ปวดเหลือเกิน ไม่น่าที่จะหกล้มเลย มาได้ตั้งไกลแล้ว ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ แล้วลองถามว่าสองคนนั้น ใครจะไปได้ไกลกว่ากัน ?

    เพราะฉะนั้นทันทีที่เกิดความผิดพลาด ให้ตั้งใจใหม่ คิดใหม่ทำใหม่เดี๋ยวนั้นเลย ถ้าศีลขาด ก็ตั้งใจเลยว่าตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ศีลเราทุกข้อจะบริสุทธิ์และตั้งใจระวังรักษาสิกขาบทต่อไป ถ้าทำอย่างนี้ได้ต่อไปสมาธิตกแต่กำลังใจไม่ตก จะมีพื้นฐานรองรับอยู่

    ตอนนี้เรากลายเป็นคนหน้าด้านเต็มตัวแล้ว จะแกล้งเราอย่างไรเราก็ไม่หวั่นไหวแล้ว เพราะพื้นฐานกำลังใจมีอยู่ ล้มปุ๊บแล้วก็ลุก อย่างน้อย ๆ ขึ้นหน้าไปให้ได้คืบหนึ่งก็เอาศอกหนึ่งก็เอา พยายามทำอย่างนี้ สะสมบุญลักษณะนี้ไปเรื่อย ๆ พอถึงวาระถึงเวลากำลังพอ สติปัญญาพอ จะได้ในส่วนที่เราต้องการเอง ดูที่ตัวเอง แก้ที่ตัวเอง

    ถาม : ฝัน (ไม่ชัด)
    ตอบ : ก็ไม่แน่เหมือนกันว่า ส่วนที่ท่านต้องการเราจะมีหรือไม่ เราจะหาได้หรือไม่ เราจะทำได้หรือไม่ ก็ต้องดูว่า ในฝันสิ่งที่ท่านต้องการเราทำได้ไหม เราหาได้ไหม ในเมื่อยังไม่ได้ทำ ก็ยังไม่รู้ว่าผลนั้นจะเป็นอย่างไร เราก็ต้องลงมือทำ

    ถาม : วันนี้นั่งกรรมฐาน ครูฝึกท่านเน้นอยู่เรื่องหนึ่งว่า แม่มีบุญคุณมากกับเรา โยมเองก็มีปัญหากับเรื่องแม่ ไม่ทราบว่าตัวเองควรทำอย่างไร คือแม่ที่ให้กำเนิดมาก็ไม่ได้เลี้ยงดูเรามา แต่พ่อแม่ที่เลี้ยงดูเรามา เราได้คลุกคลีกับท่าน แต่ปัจจุบันท่านได้เสียชีวิตไปหมดแล้ว เราบังเอิญได้พบกับแม่จริง เหมือนกับว่าตอนที่ท่านให้กำเนิดเรา เป็นอะไรที่ผิดพลาด เรื่องนี้ก็เป็นความลับ ไม่มีใครรู้ว่าท่านให้กำเนิดเรา หลังจากนั้นท่านก็ไปบวชชี

    จนวันหนึ่งเราก็ไปตามหาท่านจนพบ เหมือนกับชื่อเสียงท่าน สิ่งที่คนมองว่า ท่านเป็นคนที่ปฏิบัติ และไม่เคยมีครอบครัวมาก่อน แต่เกิดมีเราขึ้นมา ทำให้ท่านไม่ยอมรับในตัวเราต่อหน้าผู้คนอื่น แต่เราก็สื่อภายในรู้ว่า ท่านมีความห่วงใยเรา ขณะที่ไม่มีผู้คนกลับเรียกเราเข้าไปพบ พูดเหมือนกับว่าห่วงใยเรา แต่จิตส่วนหนึ่งของเรามองท่านว่า ทำไมต้องไม่ยอมรับ

    ตอบ : จริง ๆ ก็ไม่ผิด แต่ขณะเดียวกัน เรื่องผิดหรือไม่ผิด ดีหรือชั่ว ก็ขึ้นอยู่กับกำลังใจของเรา ถ้าหากว่าเราเข้าใจจริง ๆ ว่าท่านทำอย่างนั้นเป็นเพราะอะไร ? เกราก็คงไม่ไปตำหนิท่าน ลักษณะเหมือนกับว่า คน ๆ หนึ่งเมื่อทำข้อผิดพลาดแล้ว พยายามจะแก้ไขให้ดี แต่อยู่ ๆ สิ่งที่พยามแก้ไขคิดว่าดีแล้ว กลับโผล่ขึ้นมา ประจานความผิดพลาดของตัวเองใหม่ ลองนึกถึงว่า ถ้าเป็นกำลังใจของเรา เราจะรับตรงจุดนี้ได้ไหม ?

    แต่ขณะเดียวกัน ความที่เป็นสายเลือดเดียวกัน ท่านก็มีความรัก มีความห่วงใจเราเป็นปกติอยู่แล้ว พอถึงเวลาต่อหน้าคนอื่นแสดงให้เห็นไม่ได้ เพราะว่าตัวเองถูกยกไปในตำแหน่งที่เรียกว่า เป็นที่เคารพบูชาของคนอื่นเขาแล้ว คนเขาไม่อยากเห็นว่า มีจุดที่ตำหนิได้ มีจุดที่บกพร่องได้ ท่านก็ต้องรักษากำลังใจของคนหมู่มาก ด้วยการปฏิเสธเขา แต่ลับหลังความที่เป็นบุพการี ความที่เป็นสายเลือดเดียวกัน ท่านก็อดไม่ได้ที่จะแสดงซึ่งความรัก ความห่วงใยกับเรา ถ้าเราเข้าใจตรงจุดนี้ได้ ก็ไม่มีอะไรน่าตำหนิกัน ให้เห็นว่าทุกอย่างเป็นธรรมดา ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือว่า พยายามทำให้เห็นว่าเราเองก็กำลังตั้งใจปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ อยู่เช่นกัน ถ้าหากมีอะไรติดขัด ขัดข้องอย่างไร ก็สอบถามจากท่าน

    ท่านคงสงเคราะห์เราได้อย่างเต็มที่ เพราะว่าตอนนี้ในฐานะของท่านที่เป็นอย่างนั้น ก็คงสงเคราะห์เราได้ในด้านนี้ด้านเดียว ขณะเดียวกัน เชื่อว่าถ้าหากเราก้าวตามรอยของท่าน จะเป็นสิ่งที่สร้างความสุขใจให้กับท่าน อย่างน้อย ๆ เลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองก็ยังไม่ทิ้งแนว เป็นลูกไม้ที่ตกอยู่ใต้ต้น ท่านก็คงมีความสุขแล้วก็หมดกังวลกับเราได้

    ถาม : โยมเลยไม่กล้าตัดสินใจ โยมควรจะไปหาท่านอีก หรือไม่ควรจะไป เพราะว่าการที่โยมไป (ไม่ชัด)

    ตอบ : ถ้าเราไป แล้วแสดงออกว่าเราเข้าใจท่าน สิ่งที่ท่านทำนั้นเป็นอย่างไร ? ไม่ตำหนิท่าน ไม่ว่าท่าน มีแต่ความเห็นใจ ความเข้าใจ จะดีกว่า แต่ถ้าเราทิ้งเงียบไปเฉย ๆ ก็จะเป็นจุดด่าง เป็นข้อตำหนิอยู่ในใจของตัวเอง ให้ท่านติเตียนตัวเองอยู่ได้ตลอดไป ในเมื่อเป็นสิ่งที่ตกค้างอยู่ในใจ ถ้าท่านหวังความหลุดพ้น ตัวนี้จะเป็นตัวขวางท่าน

    เพราะฉะนั้นถ้าไปแล้วแสดงความเข้าใจ แสดงความเห็นใจให้ท่านรู้ แล้วก็บอกท่านว่าไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวลกับเรา สิ่งที่ท่านทำอยู่ เราก็ตั้งใจทำอยู่แล้ว จะเป็นการปลดห่วงให้ท่านได้ง่ายกว่า ขณะเดียวกันก็เป็นการทำหน้าที่ของลูกที่ดีที่สุดด้วย

    คนบางคนมีปัญหาที่เราคิดไม่ถึง แล้วปัญหาของคนทุกคนเป็นเรื่องหนักมาก เพราะว่ากำลังใจของแต่ละคนไม่เท่ากัน ประสบการณ์ในการแก้ปัญหาไม่เท่ากัน ในเมื่อกำลังใจไม่เท่ากัน ประสบการณ์ในการแก้ปัญหาไม่เท่ากัน เรื่องทุกเรื่องก็เลยมีน้ำหนักเหมือนกัน ๆ กัน เราจะบอกเรื่องเล็กแค่นี้ไม่ได้ ทุกเรื่องใหญ่หมด

    เรื่องของจีวรพระ เป็นเรื่องแปลกมากเลย ควรจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ก็ไม่เป็น คือมีทั้งสีเหลือง เหลืองส้ม เหลืองอ่อน สีกรัก กรักทอง แก่นขนุน สีแดง กรักแดง แดงแบบฝาง แดงแปร๊ดไปเลยก็มี ถามว่าอันไหนถูก ก็ถูกทั้งนั้น ถ้าเป็นพม่าห่มสีแดง ไปดูในอภิสมาจาร สิ่งที่ท่านอนุญาตให้ใช้ โดยเฉพาะจีวร จีวรนี่ไม่ได้อยู่ในอภิสมาจารหรอก จะอยู่ในศีล ในปกฏิโมกข์เลย ท่านอนุญาตไว้ว่า ให้เป็นผ้าที่ย้อมด้วยน้ำฝาด สีเหลือง คือเหลืองขมิ้น สีกรัก คือสีแก่งขนุน สีเหลืองเจือแดงเข้ม ตกลงทุกสีใช้ได้ แต่ถ้าหากพระออกป่า ท่านก็มักจะใช้สีกรัก เพราะว่าเปื้อนยากหน่อย ถ้าเป็นสีเหลืองเปื้อนง่าย ก็เลยมีการแยกแยะกันอีก

    ปัจจุบันถ้าอยู่ในกรุงเทพฯ บางทีเขาแยกพรรษาด้วยสีจีวร ห่มจีวรเหลือง ท่านถือเป็นพระใหม่ไปเลย ตั้งแต่ ๑-๕ พรรษา ห่มสีพระราชนิยม ก็เป็นพระปานกลาง เรียกว่า “มิชฌิม” ตั้งแต่ ๕-๑๐ พรรษา ถ้าเป็นพระเถระ ตั้งแต่ ๑๐ พรรษาขึ้นไป เขาจะห่มจีวรที่เป็นสีกรักเขียว ๆ ที่เรียกว่า “สีแก่นขนุน” ขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน บางทีก็สีโน้นบ้าง สีนี้บ้าง วัดเดียวลายไปหมดก็มี บางวัดก็บังคับว่า ถ้าเป็นวัดเขาต้องห่มสีนี้ ปัจจุบันนี้ทางทองผาภูมิก็จะมีอยู่ ๔ สีด้วยกัน

    สีพระราชนิยมส่วนหนึ่ง เป็นสีที่ในหลวงท่านบอกว่าเหมาะ ดูแล้วสบายตาดี ไม่ใช่สีส้มแปร๊ดเลย ขณะเดียวกัน ไม่ใช่ดำมืดจนเกินไป แล้วก็มีสีกรัก แบบแก่นขนุนเขียว ๆ ของพระปฏิบัติ พระป่า พระป่าสายปฏิบัติทางด้านทองผาภูมิก็มีหลายวัด อย่างวัดเวฬุวัน จะเป็นสายของหลวงปู่มั่น วัดป่าภูริทัตตวนาราม ของหลวงปู่มั่น วัดเขาถ้ำสหกรณ์นิคม ของหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง หลวงพ่อชาเป็นมหานิกายในดงธรรมยุต

    เพราะฉะนั้นวัดเขาถ้ำนี่เป็นวัดมหานิกาย ไม่ใช่ธรรมยุต (ไม่ชัด) สายวัดสังฆทานเขา ๔ วัดนี้ท่านจะห่มสีเขียว ๆ เข้มแก่นขนุน จะมีวัดท่าขนุน วัดพุทธบริษัท วัดห้วยสมจิต จะห่มสีน้ำ แล้วก็มีหลายวัดที่เจ้าคณะอำเภอ ท่านบังคับบัญชาตามใจได้ จะห่มสีเหลืองอ๋อยไปเลย จะมีวัดเดียวคือ วัดพุทธโธภาวนาพุเย ท่านจะห่มสีกรักแดง ตามแบบของอาจารย์ท่านคือ หลวงพ่อภาวนาพุทโธที่สึกไปแล้ว

    กลายเป็นว่าอย่างน้อย ๆ ปัจจุบันนี้ทองผาภูมิมีอยู่ ๔ สี แต่ถ้านับพระจีนไปด้วยก็ ๕ สี ทองผาภูมิมีวัดจีนอยู่เหมือนกัน วัดจีนจะอยู่เลยทางบ้านสะพานลาวไป มีอยู่วัดหนึ่ง แล้วก็ทางบ้านพุถ่องเข้าไปจะเป็นพุทธสถานฉงเต๋อ นั่นก็วัดหนึ่ง ผ้าไม่ทำให้หมดกิเลสหรอก หมดกิเลสอยู่ที่การปฏิบัติ

    อาตมาสมัยก่อนที่อยู่วัดท่าซุงก็ห่มสีเหลือง แล้วไปงานวัดหนึ่ง เขาไม่ให้ขึ้นศาลา ทั้ง ๆ ที่เราได้รับการนิมนต์อย่างถูกต้อง เพราะเขารังเกียจสีเหลือง เราก็เลยสบายนั่งอยู่ข้างล่าง ทำเอาท่านที่นิมนต์วิ่งมาประเภทเดือดเนื้อร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง บอกไม่นึกเลยเขาจะทำกันอย่างนี้ บอกเขาว่าไม่เป็นไรหรอกคุณ คือท่านเป็นพระด้วยกัน นั่งข้างบนนั่งข้างล่างก็รับเท่ากัน แล้วผมนั่งข้างล่างผมไม่ต้องสวด สบายดีซะด้วย แล้วอย่างไรที่เรานั่งอยู่ก็โต๊ะอาหารอยู่แล้ว ถึงเวลาไม่ต้องขยับไปไหนได้กินแหง ๆ อยู่แล้ว (หัวเราะ) มองโลกในแง่ดีใช่ไหม ? อะไรเกิดขึ้นกับเราดีทั้งหมด หาประโยชน์จากมันให้ได้ (หัวเราะ) ทำใจอย่างนี้ได้ไหม ? อย่าไปแบกเอาไว้

    คนบางคนบอกว่า “โลกมีไว้เหยียบ ไม่ได้มีไว้แบก” แบกไว้แล้วจะหนัก คนแบกโลกก็อยู่ต่ำ ถ้าคนค้ำโลกก็อยู่กลาง ถ้าคนวางโลกก็อยู่สูง เพราะฉะนั้นมีก็เหยียบเอาไว้ อย่าไปแบกเอาไว้ แบกมันหนัก เราแก้ไขคนอื่นไม่ได้หรอก คนอื่นเป็นโลก โลกทั้งโลกหนักเกินกว่าที่เราจะแก้ได้ แต่เราแก้ไขตัวเราเองได้

    เพราะฉะนั้น ดูที่ตัว แก้ที่ตัว ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เตือนตัวเองด้วยตัวเอง อย่าไปดูจริยาคนอื่นเขา ถ้าคิดจะจับผิดกัน มีข้อบกพร่องให้จับได้ตลอด ฉะนั้นดูที่ตัวเรา แก้ที่ตัวเรา เอาเฉพาะหน้าของเรา อย่าเอาเรื่องของโลก มาเป็นเรื่องของเรา อย่าเอางานของโลก มาเป็นงานของเรา อย่าเอาภาระของโลก มาเป็นภาระของเรา ปล่อยไว้ตรงนั้น กองไว้ตรงนั้นหละ ถ้ากองผิดกองพลาด ไปกองบนหัวคนอื่น ก็ขอโทษเขามั่ง (หัวเราะ) เยอะเหมือนกัน ประเภทไปกองใส่หัวคนอื่น

    อีกไม่กี่วันก็วันมาฆบูชา เพราะฉะนั้นลืมคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ได้นะ ท่านบอกว่า สัพพะปาหัสสะ อะกะระณัง เว้นจากความชั่วทั้งปวง กุสะลัสสูปะสัมปะทา ทำความดีให้ถึงพร้อม สะจิตตะปะริโยทะปะทัง ทำจิตใจให้ร่าเริง เบิกบานอยู่เสมอ ตัวสุดท้ายนี่สำคัญที่สุดสำคัญอยู่ตรงจุดที่กำลังใจของเรา ถ้าเกาะอะไร ถ้าตายไปอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้นทุกวันต้องรักษาจิตใจของเรา ให้เบิกบานแจ่มใสอยู่เสมอ การที่จะเบิกบานแจ่มใสอยู่ได้ สมาธิต้องทรงตัว ถ้าสมาธิทรงตัว กิเลสรบกวนไม่ได้ จิตใจก็จะผ่องใส ปัญญาก็จะเกิด

    เรื่องสีดำ เมื่อตอนบ่าย ๆ มีเด็กสองคนใส่สีดำมา บอกเขาว่า ถ้าเป็นไปได้ อย่าไปใส่เลย สีดำสวย โดยเฉพาะผู้หญิงผิวขาว ๆ ถ้าใส่ดำมันขึ้นด้วย แต่ลักษณะก็เหมือนกับแช่งตัวเองเหมือนกัน มีอยู่สองครั้งด้วยกัน ที่เห็น ๆ คาตาเลย ครั้งหนึ่งเกิดกรณี ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ นักข่าวสองคนใส่สีดำมาทั้งคู่ อย่างกับนัดกันไว้ มาอ่านข่าว เราก็เอ๊ะ! แปลก ปรากฎว่าลักษณะเหมืนอกรรมนิมิต คือ กรรมแสดงเหตุ ตัวเขาเองก็ไม่ได้เจตนา แต่ทำให้ประเภทสามัคคีกันแต่งดำไป แล้วก็เกิดเหตุ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ คนตายไปตั้งเยอะแยะ
    อีกครั้งหนึ่งก็งานสมเด็จย่า นักข่าวทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชายใส่ดำทั้งคู่ ผู้ชายใส่สูทดำ โอเค...เราไม่ว่า แต่ผู้หญิงก็บังเอิญแต่งดำมาอีก แล้วมีข่าวนอกสถานที่ ไปถึงนั่นก็ดำอีก เราก็อะไรวะ ! ต้องมีเหตุแน่เลย แล้วก็สมเด็จย่าสวรรคต ลักษณะนี้เรียกว่า “กรรมนิมิต” จะแสดงเหตุให้เห็นชั่วคราว ก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้น ในลักษณะที่เสียหายถึงส่วนรวม ถ้าหากของเราก็จะอยู่ในลักษณะว่า ถ้าเราถือสาหรือคนอื่นพูดมาก ๆ อดหวั่นไหวไม่ได้ก็เหมือนกับแช่งตัวเองเหมือนกัน

    พวกนิมิตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นการบอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น โบราณเขาจะดูออกดูรู้เลย ช่วงที่คอมมิวนิสต์ตีลาว ก่อนลาวจะแตกมีผีเสื้อซึ่งอพยพตามฤดูกาลของมัน แต่อยู่ ๆ บินข้ามโขงเป็นวัน ๆ เลย ไม่รู้กี่แสนกี่ล้านตัว หลังจากนั้นไม่กี่วัน คอมมิวนิสต์ก็ตีลาวแตก อพยพข้ามมาไทยบานเบอะ ลักษณะของกรรมนิมิตนี่ ว่าไปแล้วไม่เชื่อก็ไม่ได้ แล้วอีกอย่างหนึ่งคนไทยโบราณเขาไม่ได้แต่งดำ งานศพเขายังแต่งขาวเลย ถ้าหากว่าตามกลอนโบราณของสุนทรภู่ว่า “ห่มขาวมุ้ง นุ่งบัวปอก แป้งผัดหน้า” ขาวมุ้ง คือ ผ้าขาวโปร่ง บัวปอกคือ เง่าบัว ก็ขาว คือผ้าขาวเนื้อเรียบ ๆ ตกลงเขาแต่งขาวกันนะ แต่งดำนี่

    ถ้าหากโบราณเขาถือต้องมีสาเหตุอยู่ เราเองอาจปัญญาไม่ถึง ถ้าหากนับจากนิมิตที่เคยเจอมาทั้งสองครั้งนี่ ก็ต้องถือว่ามีผล แต่ขณะเดียวกัน ลักษณะนิมิตที่ว่า คนส่วนใหญ่จะต้องเจอเหมือนกัน คือเขาดูโทรทัศน์ ตอนนั้นเขาจะเห็นเหมือน ๆ กับเรา ในเมื่อคนส่วนรวมเจอก็จะเป็นชะตากรรมของส่วนรวม อย่างเช่นเกิดกรณี ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ หรือกรณีสมเด็จย่าสวรรคตก็ดี เป็นเรื่องกระทบส่วนมากเขา

    ถาม : เขาชอบถือว่า (ไม่ชัด) แล้วห้ามเข้าวัด อย่างนี้จริงไหมครับ ?

    ตอบ : คือบางอย่างเขากลัวชงกัน งานศพที่เขาว่าบางอย่างชงกัน มีนะลักษณะที่ว่าเข้าไปแล้วกระแสเกิดการผลักดันกัน ไม่ดึงดูดกัน ลักษณะนั้นก็เป็นไปได้เหมือนกัน แต่เรื่องการทำบุญทำความดีทำไปเถอะ ยิ่งทำยิ่งดี

    ถาม : การที่นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ หนูคิดเอาเองว่าต้องรบกวนคนที่ได้มโนมยิทธิ พาไปนิพพานเมืองแก้วหรือเปล่าเจ้าคะ ?

    ตอบ : ไม่ต้องจ้ะ

    ถาม : เพราะปุถุชนอย่างหนู ถ้าพูดถึงนิพพาน หนูก็นึกไม่ออกว่าเป็นอย่างไร ?

    ตอบ : ไม่จำเป็น นึกถึงพระพุทธรูปไว้ ว่าคือองค์แทนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านไม่อยู่ที่ไหนหรอก นอกจากพระนิพพาน เราเห็นท่านคืออยู่กับท่าน เราอยู่กับท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน คิดแค่นี้พอ

    ถาม : แล้วมโนมยิทธินี่ช่วยเหลือคนให้เห็น จะได้หายสงสัย ใช่ไหมคะ ?

    ตอบ : ไม่ใช่ช่วยจ้ะ ทำให้ได้ แล้วก็รู้เห็นเอง คนอื่นทำได้เขารู้เห็น เขาหายสงสัยคนเดียว ถ้าเราทำไม่ได้ เราถามไปเรื่อย ไม่หมดความสงสัยหรอก เพราฉะนั้นต้องทำให้ได้เอง เมื่อเรารู้เห็นจะได้หมดความสงสัย

    ถาม : มโนมยิทธิเป็นการทำสมาธิอย่างหนึ่ง ?

    ตอบ : จ้ะ

    ถาม : ภาวนา นะ มะ พะ ทะ

    ตอบ : จ้ะ

    ถาม : ปกติทุกวันนี้ที่หนูทำเอง ก็ดูลมหายใจเข้าออก ก็บริกรรมบ้าง ไม่บริกรรมบ้าง แต่พยายามให้รู้ลมหายใจเข้าออก ถ้าหากจะเจริญมโนมยิทธิก็ภาวนาระหว่างที่ดูลมหายใจ ?

    ตอบ : จ้ะ ก็แค่เพิ่มคำภาวนาเข้าไป ลมหายใจเข้าออกทิ้งไม่ได้อยู่แล้วจ้ะ ยกเว้นมีครูฝึกมาอยู่ตรงหน้า เขาบอกให้หยุดภาวนา เราก็เลิกคิดถึงตรงนั้น หันมาสนใจกับครูฝึกแทน

    ถาม : หนูยังไม่ค่อยกล้า หนูกลัวเห็นอะไรที่ตัวเองตั้งสติไม่ทัน ภาวนาเพื่อจะฝึกมโนมยิทธิ ทางที่ดีควรจะมีครูบาอาจารย์ใช่ไหมคะ

    ตอบ : ? จ้ะ คือน้อยคนที่ทำได้เอง

    ถาม : ระหว่างที่ทำ เราอาจจะเห็นนิมิตหลอกเรา จิตที่เราปรุงแต่งหลอกเราให้เห็นด้วย

    ตอบ : อันนั้นก็มีอยู่ ขณะเดียวกันถ้าเราใช้มโนมยิทธิที่มีครูฝึกควบคุมอยู่ ท่านจะคอยบอกเราว่าควรจะทำอย่างไร ควรจะไปที่ไหน ถ้าอย่างนั้น ไม่ต้องไปกลัวว่าจะเจอสิ่งที่มาหลอก แต่ถ้าหากถึงเวลาไปทำคนเดียวั้น โอกาสนั้นจะมี จะมีโอกาสโดนเขาหลอก เขาแกล้งได้ แต่ท่านจะมีหลักการอยู่แล้วว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็นนั้น อย่าเพิ่งเชื่อ ให้ตั้งใจอธิษฐานว่า ขอรู้เห็นตามสภาพความเป็นจริง ถ้าหากเราอธิษฐานขอรู้เห็นตามความเป็นจริง ถึงเวลาจะรู้เห็นตามความเป็นจริงนั้น

    ถาม : ดูใจตัวเอง บางทีเหมือนกับมีภาพ มีเสียงมา บางทีก็จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง (ไม่ชัด) ต้องมีสติเจ๋ง ๆ เข้ม ๆ ถึงจะหาย

    ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ สติเข้มหรือไม่เข้ม ถ้าทำถึงตรงนั้น ก็เป็น แต่ให้เข้าใจเลยว่าเรารู้เห็น เรารู้เห็นจริง ๆ แต่เรื่องที่เรารู้เห็นไม่แน่ว่าจะจริงสมมุติว่าเราเห็นคนไล่ยิงไล่ฟันกันมา เราเองอาจจะโทรแจ้งตำรวจหรือเข้าไปขัดขวาง ปรากฎว่าโดนเขาไล่เตะเอา เพราะเขากำลังถ่ายหนังอยู่ เราเห็นเขาฆ่ากันจริง ๆ ไหมล่ะ ? แล้วเรื่องที่เราเห็นนั้นเป็นเรื่องจริงไหม ?

    ถาม : บางครั้งหนูรู้สึกรำคาญตัวเองเหมือนกันค่ะ บางทีก็เหมือนมาพูดกับเรา บางทีก็เหมือนกับเราเห็น

    ตอบ : จ้ะ รับรู้ไว้เฉย ๆ ถ้าเป็นไปตามนั้น แล้วค่อยน้อมใจเชื่อ แต่การน้อมใจเชื่อคือเชื่อเรื่องนั้น เรื่องที่เป็นไปแล้ว เรื่องที่ยังไม่เป็นต่อให้รู้มาพร้อมกัน ก็อย่าเพิ่งเชื่อ ถ้าทำใจอย่างนี้ได้ เขาหลอกเราไม่ได้ ส่วนใหญ่เราจะไปเชื่อเลย

    ถาม : แล้วเมื่อไหร่จะหายคะ ?

    ตอบ : ไม่หายจ้ะ ยกเว้นว่าเรามั่นคงถึงขนาดที่ทำให้อย่างไรเขาก็หลอกเราไม่ได้ ต่อไปเขาก็เลิก แต่จะไปรู้เห็นเรื่องอื่นแทน

    ถาม : เหมือนเงาที่มันอยู่ในน้ำ พอน้ำกระเพื่อมเงาก็หายไป ความรู้สึกก็เลยบอกว่าบาง ครั้งสิ่งที่มันเกิดเรารู้ไม่ทัน ถ้าเรารู้ทันว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร เราดับตรงนั้นได้มันก็ไม่มีปัญหา ?

    ตอบ : ใช่ หมดเรื่องเลย จุดสำคัญที่สุดของอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง มันอยู่ตรงตัวจิตที่ปรุงแต่ง ถ้าเราหยุดคิดไม่ไปปรุงแต่งต่อไม่มีปัญหา แต่ส่วนใหญ่มันหยุดไม่ทัน มันต้องเห็นตั้งแต่เหตุ กระทบตากระทบหูปุ๊บ ต้องรู้ทันแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น เสร็จแล้วก็หยุดมันเอาไว้แค่นั้น ถ้าเราเก็บมันมาไว้ในใจ เราคิดต่อเมื่อไหร่เป็นอันตรายกับเราทันที

    ถาม : ไม่ให้คิด ยาก ?

    ตอบ : คิดได้ แต่หยุดคิดให้เป็น ถ้าหยุดคิดไม่เป็นไปยาวเลย



    http://www.grathonbook.net/book/72.html
     
  2. MBNY

    MBNY Administrator ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2003
    โพสต์:
    6,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +22,504
    ถาม: ไม่กี่วันมานี้ฝันดีมากเลย ฝันว่าได้ไปเห็นพระธาตุใกล้ ๆ กับตา แล้วองค์ใหญ่ด้วย องค์ใหญ่ ๆ นี่ต้องเป็นพระบรมสารีริกธาตุของใคร ?

    ตอบ : อาตมาเคยฝัน องค์ขนาดนี้ หล่นลงมาแต็มไปหมดเลย สารพัดสี เราก็เลือกเก็บ เลือกเก็บ อันโน้นสวยกว่าเก็บอันโน้น อันนี้สวยกว่าเก็บอันนี้ เก็บไปเก็บมา เสียงด่าลงมาว่า เฮ้ย อย่าโลภมากนัก แบ่งให้คนอื่นเขามั่งซิเว้ย

    ถาม : นี่มันมีนิมิตครับ แสดงว่าเริ่มดีแล้ว คิดดีไว้ก่อน ?

    ตอบ : น่าจะใกล้ได้บวชแล้ว กับช่วงก่อนจะบวชมันมีนิมิตอยู่สองสามอย่าง ที่มารู้ทีหลังว่ามันก็คือนิมิตที่เว่าเราจะต้องบวช ครั้งแรกมันรู้สึกว่าตัวเองเป็นพระห่มจีวรถือตาลปัตรจะไปงานใครไม่รู้ แต่ยังนุ่งกางเกงอยู่ คราวนี้พอเข้าไปถึงในงาน ก็เห็นพระหนุ่ม ๆ นั่งเป็นระเบียบเรียบร้อยดูน่าเลื่อมใส แต่จิตของเรามันบอกเดี๋ยวนั้นเลยว่า พวกนี้มันดัดจริตแหกตาหลอกชาวบ้านเขา ดังนั้นก็เลยไปนั่งแถวพระแก่ท่าน ไปนั่งต่อจากหลวงปู่มหาอำพัน ก็ดึง ๆ จีวรปิดกางเกงไว้แล้วก็สวดมนต์ไปกับเขาด้วย

    พอมาอีกทีหนึ่ง มันเหมือนกับว่าเราไปอยู่ในงานสำคัญอะไรซักอย่างหนึ่ง ที่เขากั้นเขตเฉพาะไว้มันเป็นลวดหนาม แล้วคนเป็นหมื่น ๆ เลยอยู่หลังลวดหนาม ส่วนทางอีกด้านหนึ่งมันเป็นเต๊นท์เป็นอะไรที่มันร่มเย็นมาก เป็นปะรำพิธีอะไรของเขา เราก็ เอ๊ะ กูจะมายืนทำไม ไอ้ลวดหนามแค่นี้กั้นกูไม่ได้อยู่แล้ว ก็เลยกระโดดข้ามไปฝั่งโน้น กระโดดข้ามลวดหนามไปเลย และก็เข้าไป อ้าว เจอหลวงปู่อีก ก็เลยไปกราบ ๆ หลวงปู่ ไปนั่งสนทนากับท่าน ปล่อยให้คนอื่นมันตากแดดร้อนของมันไป มันเกิดนิมิตนี้ขึ้นมาสองที พอบวชแล้วถึงจะรู้ อ๋อ มันเป็นอย่างนี้เอง สัญญาณมันบอกชัดเลยว่าเราจะไปแล้ว

    ถาม : แต่เราต้องตั้งใจมาก่อนเกิด ?

    ตอบ : จริง ๆ บางอย่างมันเป็นนิมิตที่บอกให้รู้ล่วงหน้า นิมิตนี้มันจะบอกเหตุล่วงหน้า ก็เคยบอกท่านกอล์ฟเอาไว้ว่า วันนั้น เวลานั้น ถ้าหากว่าป้ายวัดเกาะพระฤๅษีเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ผมจะไม่ได้อยู่ คือนิมิตมันเกิดล่วงหน้าบอกไว้ก่อน

    คราวนี้พอป้ายเกาะเขาเอาไปทำให้ด้วยความเมตตา เขาไม่รู้หรอกเขาไปทำป้ายให้เสร็จ ก็บอกท่านกอล์ฟ วันนี้ผมอยู่ไม่ได้แล้ว ผมจะดูว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น ทำไมถึงอยู่ไม่ได้ แล้วอยู่ ๆ ท่านเจ้าคุณจังหวัดก็สั่งให้ไปอยู่ที่วัดท่าขนุน

    ถาม : ใช่องค์ที่เพิ่งมรณภาพหรือเปล่าครับ ?

    ตอบ : ไม่ใช่ คนละองค์ เจ้าคุณราชธรรมโสภณ มันรู้ล่วงหน้านาน แต่ว่ามันไม่มีเหตุที่ทำให้เราต้องไป เราก็ไม่อยากไปอยู่แล้ว ทำไมมันจะต้องย้ายต้องอะไร ตอนแรกพวกป่าไม้ได้ยิน เดี๋ยวผมไปรื้อป้ายออก ไม่มีประโยชน์หรอกเพราะว่ามันเกิดขึ้นแล้ว มันอยู่ลักษณะอย่างนี้

    ถาม : ดูลมหายใจทีไรตัวมันโยกทุกที แล้วมันติดอยู่ตรงนี้ ?

    ตอบ : ก็ปล่อยให้มันโยกไปเต็มที่สิ ไม่ต้องไปสนใจอาการ ปล่อยมันเต็มที่ ไปเลยทีเดียว แล้วมันจะเลิกเอง ถ้าเรามัวแต่ไปกังวลมันจะติดอยู่แค่นั้น ถ้าไม่กังวลมันก็จบแค่นั้น

    ถาม : เรื่องการประเคน ?

    ตอบ : เรื่องของที่จะขาดประเคนน่ะ ต่อให้เราทิ้งเอาไว้แล้วคนอื่นมาหยิบมาจับมาต้อง ถ้าจิตของเราผูกอยู่มันยังไม่ขาดประเคน เพราะฉะนั้นมันก็อยู่ที่เจตนาว่าเราจะให้ขาดประเคนแล้วให้คนอื่นเขานำไปเก็บ ถ้าบอกเขาอย่างนั้นไป มันขาดประเคน ถ้าเอามาต้องประเคนใหม่ แต่ถ้าสมมติว่าอาหารเป็นของเรา เช่นว่า ขนมหรือว่าอะไรอย่างนี้ เรายกให้เณรไปโดยบอกว่า เณรไปหยิบเอานะ เอาเท่าไหร่ก็ได้ ที่เหลือทิ้งไว้ให้หลวงพี่นะ นั่นยังเป็นของเราอยู่ ถ้าหากว่าก่อนเพลไม่ต้องประเคนใหม่ แต่ว่าถ้าให้เขาไปหมดแล้ว เขากินไม่หมดเอามาคืน อันนั้นต้องประเคนใหม่เพราะเป็นสิทธิ์ของไปแล้ว

    ถาม : ของที่ขาดประเคนแล้ว เก็บไว้ในกุฏิได้ไหมครับ ?

    ตอบ : จริง ๆ แล้ว เก็บในกุฏิมันโดนอาบัติ อย่าลืมว่ามันมีอันโตวุฏฐะ อันโตปักกะ สามปักกะ มันอยู่ที่ว่าหุงต้มเอง เก็บไว้เอง เก็บไว้ภายในกุฏิตัวเอง โดนทั้งหมด เรื่องของพระมันละเอียด คือจริง ๆ ท่านป้องกันว่าเก็บไว้ภายในกุฏิจะไปแอบกินซะเอง มันเลยเวลาแล้วโซ้ยเฉยเลย

    ถาม : ในกรณีที่มันไม่มีที่เก็บข้างนอก ?

    ตอบ : ไม่มีที่เก็บข้างนอก ถ้าหากว่ามันไม่ใช่พวกเภสัชไม่ต้องไปเก็บมัน

    ถาม : เป็นพวกเภสัช ๕ แต่ว่าเราเก็บไว้จนขาดประเคน ?

    ตอบ : ถ้าหากว่าขาดประเคนโดยตรง มันจะต้องเสียสละ เพราะฉะนั้นจดวันไว้ดีกว่า สมัยที่พวกผมอยู่ที่วัดท่าซุงนี่ ขีดปฏิทินเขียนไว้เลยว่าประเคนวันไหน พอถึงเวลาวันนั้นก็อย่าให้พระอาทิตย์ตกดิน เรียกเณรมาประเคนใหม่ นับหนี่งใหม่วันนั้น ถ้าพระอาติทย์ตกดินก็ขาด

    เรื่องของการประเคนของน่ะ สาเหตุแรกเริ่มมาจากพระที่ไปพักอยู่ในป่าช้า เมื่อพระไปพักอยู่ในป่าช้า ญาติคนตายเขาเอาอาหารไปเซ่นคนตาย ทำในลักษณะที่เรียกว่า ปุพพเปตพลี คือทำบุญให้คนตายในลักษณะนั้นน่ะ พระเจ้าเห็นของเขาคงไม่ได้เอาแล้ว ก็เลยเอาไปกิน ปรากฎว่าคนที่หวงมันมี ในเมื่อคนที่มันหวงมี ก็เลยอยู่ในลักษณะที่ว่า พอพระไปกินของเขาเข้าเขาไม่พอใจไปฟ้องพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็เลยบัญญัติเอาไว้ว่า ถ้าหกาว่าจะไปกินอะไรต้องให้ประเคน

    คือเป็นการแสดงออกซึ่งการให้อย่างแท้จริงก่อน ถ้ายังไม่แสดงออกในลักษณะนั้น ก็อย่าไปแตะต้องของเขา การประเคนองค์ประเคน คือทำอย่างไรถึงจะประเคนได้ถูกต้อง ท่านบอกว่าผู้ประเคนต้องอยู่ในหัตถบาสคือเอื้อมมือถึง

    อันดับที่สอง ของที่ประเคนนั้นต้องไม่ใหญ่เกินไป ต้องสามารถยกได้ด้วยกำลังของผู้มีกำลังปานกลาง แต่เพียงคนเดียว อันดับที่สาม ให้ประเคนด้วยความเคารพ คือน้อมให้ด้วยความเคารพ ถ้าถามว่าอันไหนสำคัญที่สุด ตัวจุดให้ด้วยความเคารพสำคัญที่สุด แต่ว่ามันมีข้อแม้ อย่างเช่นว่า สมัยก่อนบ้านเศรษฐีรั้วเขาสูง ประเภทยังไงล่ะ เมียหลวงก็เยอะเมียน้อยก็เยอะ เขาหวงของเขา ถึงเวลาถ้ายังไม่เห็นสมควรเขายังไม่เปิดรั้วให้ แต่พระมาบิณฑบาตแล้ว ท่านบอกว่าถ้าในลักษณะอย่างนั้น ถ้าเจตนาจะใส่บาตร โยนข้ามรั้วมาก็ถือว่าเป็นการประเคนแล้ว มันต้องดูด้วยว่าอะไรเป็นอะไร คราวนี้ก็อย่างที่ว่า ถ้าหากว่าจิตของเรายังผูกอยู่ สิ่งนั้นยังเป็นของเราอยู่

    ถาม : เวลาประเคน บางทีต่อกันเยอะ ๆ ถือว่าอนุโลมหรือเปล่าครับ ?

    ตอบ : ก็ถือว่าโดยอนุโลม เพราะว่ายังไงมันก็เอื้อมไม่ถึงอยู่แล้ว ก็ให้จับแตะต่อ ๆ กันไป ถ้าอย่างทางของพม่านี่เขาจะไม่ใช้คนเดียว เขาจะใช้สองคนสามคนยกประเคนทั้งโต๊ะเลย ลักษณะนั้นจริง ๆ มันผิด

    เพราะว่ามันไม่ได้ยกได้ด้วยกำลังของคนคนเดียว แต่ว่าเราดูเจตนาว่าเขาให้ ในเมื่อเจตนาของเขาให้เราแน่นอนแล้ว เสร็จแล้วเขาชอบจัดให้เสร็จทั้งสำรับแล้วก็ยกมา แบบที่ภาษาอิสานเรียกพาข้าว เขาเล่นยกพาข้าวมาทั้งสำรับเลย มันก็ต้องช่วยกันยกเพราะคนเดียวมันเอาไม่ไหว ถ้าลักษณะนั้นก็ต้องอนุโลมให้เขา เพราะท้องถิ่นเขานิยมอย่างนั้น

    ถาม : แปลกดีครับ ผมเห็นที่ราชบุรีเขามีสร้างพระพุทธรูปปางโปรดยักษ์อะไรน่ะ องค์ใหญ่มากอยากสร้างด้วย ?

    ตอบ : ปางโปรดยอาฬวกยักษ์ใช่มั้ย อาฬวกยักษ์นี่เขาอยู่ที่เมืองอาฬวี คราวนี้ว่า พระเจ้าอาฬวีน่ะท่านเสด็จไปล่าสัตว์ เสร็จแล้วก็ล่วงล้ำเข้าไปในเขตพวกยักษ์ ยักษ์มันก็จะจับท่านกิน

    ถาม : สมัยก่อนยักษ์มีจริง ๆ หรือคะ ?

    ตอบ : มีจริง ๆ จ้ะ ยักษ์มันก็จะจับท่านกิน คราวนี้ท่านก็เลยบอกว่า ถ้ากินท่านมันก็จะอิ่มครั้งเดียว แต่ถ้าปล่อยท่านไปท่านเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ ท่านจะส่งคนมาให้กินทุกวัน ตกลงมั้ย ยักษ์มันก็เออ จริง

    เพราะว่าถ้ากินไปตอนนี้มันก็อิ่มทีเดียว แต่ถ้าปล่อยเขาไป กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำอยู่แล้ว มีความมั่นคงต่อสัจจะอยู่แล้ว ก็เท่ากับว่าได้กินอยู่ทุกวัน ก็ตกลงปล่อยไป พระเจ้าอาฬวีไปก็ทำตามสัญญา ส่งนักโทษประหารไปให้วันละคนวันละคนจนนักโทษประหารหมด พอนักโทษประหารหมด ท่านก็ส่งพวกนักโทษที่ไม่ถึงประหารไป จนกระทั่งนักโทษมันหมดคุก พอมันหมดคุกก็ใช้วิธีให้ไปจับเด็ก ๆ ส่งไปให้ยักษ์

    คราวนี้พอจับเด็ก ชาวบ้านชาวเมืองก็แตกตื่นกันหมด ประเภทหอบลูกจูงหลานหนีไปปเมืองอื่นกันหมดเลย พอถึงวันนั้นมันฉุกเฉินขึ้นมาตามสัญญาแล้วมันไม่ ก็เลยต้องส่งพระราชกุมารลูกของตัวเองไปแทน ตัวเองไม่ยอมให้กินหรอกส่งลูกไป

    ตอนเช้าวันนั้นพระพุทธเจ้าท่านเล็งพระญาณดูสัตว์โลกว่าจะไปโปรดผู้ใด ก็เห็นอาฬวกยักษ์กับหัตถอาฬวกกุมารเข้ามาอยู่ในข่ายพระญาณ ก็เลยตั้งใจไปโปรด ปรากฏว่าวันนั้นอาฬวกยักษ์เข้าไปในที่ประชุมของสมาคมของยักษ์ เหมวตยักษ์ที่ไปทีหลังผ่านที่อยู่ของอาฬวกยักษ์ เข้าไปถึงก็ จ๊ะเอ๋ พระพุทธเจ้านั่งอยู่บนแท่นเลย พวกบรรดายักษ์สาว ๆ ก็มาช่วยกันปรนนิบัติพัดวีเป็นการใหญ่ เหมวตยักษ์รู้จักพระพุทธเจ้าเป็นผู้ประเสริฐขนาดไหน ก็ดีอกดีใจผ่านมาโดยไม่คิดก็ได้นมัสการ นมัสการพระพุทธเจ้าเสร็จก็ลาเพื่อจะไปเข้าที่ประชุม เข้าไปถึงก็แจ้งอาฬวกยักษ์ ลาภใหญ่มาถึงท่านแล้ว เพราะว่าขณะนี้พระสมณโคดมผู้เลิศที่สุดในสามโลก อยู่ในที่อาศัยของท่าน

    อาฬวกยักษ์พอได้ยินแทนที่จะดีใจ แหม ฉุนขาดเลย ใครวะย่องเข้าไปในบ้านกู มีแต่สาว ๆ เพียบเลย แกก็เลยรีบลาท้าวเวสสุวรรณกลับออกมา พอไปถึงเห็นพระพุทธเจ้านั่งประทับอยู่ท่ามกลางสนมกำนัลของแก แกก็ตวาดไล่ออกมาว่า พระพุทธเจ้าเป็นสมณะทำอย่างนี้ผิด เป็นพระแล้วไปอยู่ร่วมกับผู้หญิงเยอะ ๆ ได้ยังไง พระพุทธเจ้าก็ไม่ว่าอะไร ก็เดินออกมา อาฬวกยักษ์ ก็เอ๊ะ เขาลือกันว่าพระสมณโคดมเป็นผู้มีอำนาจที่สุด ไม่เห็นจะมีจริงเลยนี่นา พอบอกอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ว่าง่ายซะด้วย ความโกรธมันก็เลยลดน้อยลง พอความโกรธลดน้อยลงก็บอกพระพุทธเจ้า นิมนต์นั่งในที่ของตัวก็ได้ พระพุทธเจ้าท่านก็เสด็จกลับเข้าไปนั่งใหม่

    อาฬวกยักษ์ก็อยากจะลองดูว่าตัวเองสั่งพระพุทธเจ้าได้จริงไหม ก็บอกว่าให้ออกไป พระพุทธเจ้าท่านก็ลุกออกไปอีก เดินเข้าเดินออกกันอยู่สามครั้ง พออาฬวกยักษ์เห็นอย่างนั้น จิตใจก็เลยอ่อนลง ที่คิดจะโกรธจะแค้นก็น้อย พระพุทธเจ้าท่านก็เลยตั้งใจเทศน์โปรด พอเทศน์โปรดเสร็จ อาฬวกยักษ์ก็เลยเข้าถึงพระไตรสรณาคมน์ ตั้งใจว่าจะรักษาศีลตลอดชีวิต ก็พอดีราชบุรุษเอาหัตถอาฬวกกุมารไปถึง พอเอาไปส่งให้อาฬวกยักษ์แกก็เขิน ก็เลยเอาไปประเคนถวายไว้แทบเท้าของพระพุทธเจ้า เพราะว่าถือว่าเป็นสมบัติของตัว พระราชามอบให้แล้ว พระพุทธเจ้าท่านก็อวยพรให้เป็นผู้ที่มีอายุมั่นขวัญยืน แล้วก็ส่งมอบให้ราชบุรุษต่อไป

    จากพระมหากษัตริย์ให้ราชบุรุษ ราชบุรุษเอามาให้ยักษ์ ยักษ์ให้พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าให้ราชบุรุษ ราชบุรุษเอาไปคืนพระราชบิดา ส่งกันมือต่อมือมือต่อมือ เขาก็เลยเรียกกันว่าหัตถอาฬวกกุมาร กุมารแห่งเมืองอาศวีที่โดนส่งไปเรื่อย ๆ มือต่อมือ
    มาตอนหลังท่านนี้เป็นอุบาสกผู้เป็นเอตทัคคะผู้เลิศยอดเยี่ยมกว่าคนอื่นในการสงเคราะห์ว่าลักษณะของการโปรดนี่ โบราณท่านแต่งเป็นฉันท์บทหนึ่งที่อยู่ในบทพุทธเจ้าที่ว่า สามารถที่จะเอาชนะอาฬวกยักษ์ที่ถือว่าเป็นผู้มีจิตใจที่กระด้างดุร้ายได้

    ถาม : เด็กมันถามเรื่อยเลย แต่ผมก็ตอบไม่ค่อยได้ จากโสดาบันไปสกิทาคามี มันมีอะไรที่จะเป็นเครื่องบอกว่า เออ ถ้าเราบรรลุระดับนี้เรียกว่าโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อย่างถามว่าอย่างนางวิสาขานี่เป็นพระโสดาบัน แล้วเสร็จแล้วคนอื่นเป็นพระสกิทาคามี องค์อำนาจตรงที่บรรลุมรรคตรงนั้นน่ะ วัดกันที่ตรงไหน ?

    ตอบ : ถ้าหากว่าเรารู้จักสังเกต พระโสดาบันท่านรักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต พระโสดาบันท่านจะไม่ล่วงศีลด้วยตัวเอง ไม่ยุยงให้คนอื่นทำ ไม่ยินดีเมื่อคนอื่นทำ ส่วนพระสกิทาคามีท่านจะรักษากรรมบถ ๑๐ เป็นปกติ กรรมบถ ๑๐ มันมีศีล ๕ เป็นส่วนหนึ่งแล้ว ก็คือว่าจะไม่ฆ่าสัตว์ แต่ว่าของท่านละเอียดกว่า จะไม่ทำร้ายสัตว์ให้ลำบากโดยเจตนาด้ว ยไม่ลักขโมยเขา และก็ไม่หยิบทรัพย์สินสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ด้วย คนอื่นอาจจะถือวิสาสะได้แต่ของท่านละเอียดท่านจะไม่ไปแตะเขา และก็ไม่ประพฤติผิดในกามคือไม่ล่วงลูกเมียเขาด้วย ขณะเดียวกันเรื่องวาจาพระสกิทาคามีเน้นละเอียดมาก แต่ว่าทั่ว ๆ ไปนี่เขาแค่ไม่พูดปด

    ของพระสกิทาคามีจะไม่พูดคำหยาบด้ว ยไม่พูดส่อเสียดด้วย ไม่พูดวาจาเหลวไหลไร้ประโยชน์ด้วย ขณะเดียวกันท่านสามารถทำให้ราคะโทสะมันเบาบางลงได้ด้วย ลักษณะเบาบางมันแทบจะไม่เกิด ประเภทด่าไปสามวันท่านคิดขึ้นมา อ๋อ ไอ้นั่นมันด่ากู พอความรู้สึกมันคิดขึ้นมาหน่อย ก็หายไปแล้ว

    เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าจะดูกันอย่างไร มีอะไรเป็นเครื่องวัด แต่ว่าของพระสกิทาคามีต้องเป็นกรรมบถ ๑๐ ส่วนพระอนาคามีนี่จะรักษาศีล ๘ ทรงตัวโดยอัตโนมัติเลย ส่วนของพระอรหันต์นี่ไม่ต้องไปวัดท่านหรอก ท่านกลับคืนเป็นคนธรรมดายิ่งกว่าธรรมดา

    ถาม : อย่างคนที่ฝึกมโนนี่ ....(ไม่ชัด)

    ตอบ : ก็ จะใช้คำว่าเป็นโคตรภูของพระโสดาบัน เพราะว่าการจะสัมผัสพระนิพพานได้ต้องมีอารมณ์เทียบเท่าพระโสดาบัน แต่ทีนี้มันเทียบเท่าไม่ใช่เข้าถึงจริง มันก็ควรจะเรียกว่าเป็นโคตรภูของพระโสดาบัน

    ถาม : ........................?

    ตอบ : พูดถึงเรื่องกระสวยอวกาศนั่นนะ ช่วงที่บวชใหม่ ๆ ได้ธุดงค์ไปสถานที่ที่หนึ่ง มันจะมีวัสดุที่เขาต้องการได้มาเพื่อที่จะเอามาทำเป็นแผ่นเคลือบผิวยานอวกาศ วัสดุชนิดนี้ถ้าหากว่าเขาบดละเอียดแล้วปั๊มเป็นก้อนขึ้นมา เผาด้วยความร้อนหลาย ๆ พันองศาจนมันแดง แดงโร่เลยนะ ถ้าจับถูกมุมมันจะไม่ร้อน เขาถ่ายวีดีโอเป็นข่าวจับให้ดูแดงโร่เลยมันจะไม่ร้อน มันจะเป็นฉนวนกั้นความร้อนได้ เขาจะเอาด้านที่มันไม่ร้อนแปะเข้าหายานอวกาศ พอถึงเวลาที่มันแหวกอากาศมาด้วยความเร็วสูง จนกระทั่งประเภทลุกแดงทั้งลำคนข้างในก็ไม่เป็นไร เมืองไทยมีเพียบเลย ภูเขา ๔ ลูก เป็นสารตัวนี้ล้วน ๆ เลย

    อเมริกาเขาอยากได้ ถามเขาดูแล้ว เขาบอกว่าเขาให้กิโลละตอนนั้นล้านเหรียญนะ ถึงได้บอกว่าทรัพยากรเมืองไทยจริง ๆ มันมหาศาลเลย ของเราไปเดินเตะเล่น มันประเภทยังกะก้อนดินก้อนหิน แกล้ง ๆ หยิบมาก้อนหนึ่งก็เกินกิโลแล้ว ลองเอาใบมีดสารพัดประโยชน์ที่มันมีใบเลื่อยไปเลื่อยดูแล้ว

    เนื้อมันเหมือนกระเบื้อง มันเป็นฝุ่นสีเทา ๆ เขาจะเอาไอ้นี่แหละมาบดแล้วก็อัดเป็นแท่ง ๆ พออัดเป็นแท่งแล้ว ถึงเวลาถ้าหากว่าหันที่ถูกด้านออก มันเผายังไงมันร้อนขนาดไหน ความร้อนจะไม่เข้าไป

    ถาม : อเมริการู้จักสารตัวนี้หรือยัง ?

    ตอบ : เขาต้องการเลย เขาได้อยู่แล้ว แต่ว่ามันต้องใช้จำนวนมาก เพราะว่าพวกยานอวกาศเวลามันขึ้นลงแต่ละที แผ่นพวกนี้มันหลุดเยอะ ถึงเวลาถ้ามันขยายตัวมาก ๆ บางทีมันเกาะไม่ติดมันก็มีหลุดบ้างอะไรบ้าง กลับมาทีก็ต้องซ่อมกันที

    ถาม : โห ถ้าอย่างนี้เมืองไทยทำเหมืองนี้ส่งออกอย่างเดียว เก็บภาษี ก็?

    ตอบ : ไม่ต้องทำอะไรเลย ขุดเอาหน้าตาเฉยได้เลย ภูเขา ๔ ลูกเต็ม ๆ

    ถาม : อยู่แถวไหนคะหลวงพ่อ ?

    ตอบ : อยู่ในเมืองไทย หลวงพ่อท่านบอกว่า คุณน่ะมันดีอยู่อย่างหนึ่ง ไปไหนมีกล้องถ่ายรูปไปด้วย ถึงเวลาคุณถ่ายรูปมามันมีหลักฐาน ผมมันได้แต่นั่งพูดอยู่ที่นี่คนมันไม่เชื่อ

    ถาม : (ไม่ชัด)

    ตอบ : ทิ้งอยู่ที่เกาะ ๒ ก้อน น่าจะเกินครึ่งกิโล ไม่รู้เหมือนกันว่าเขารู้จักหรือเปล่า ถ้าเขาไม่รู้จักคิดว่าเราเก็บหินอะไรมาคงโยนทิ้งไปแล้ว คือเอาออกมาเป็นตัวอย่าง มันอยากได้ใจจะขาดเลย

    ถาม : มันเป็นของสงฆ์ก็ไม่ควร ?

    ตอบ : มันไม่ใช่ของสงฆ์ มันเป็นของหลวง มันก็อยู่ในลักษณะที่ว่าถ้าเราไปเอามาในลักษณะหาประโยชน์ เกินบาทเมื่อไหร่ขาดความเป็นพระ

    ถาม : ไม่ อย่างของผมนี่ ?

    ตอบ : อย่างของคุณก็ต้องเสี่ยงเอา เขาเรียกแร่อะไรไม่รู้จำไม่ได้ ถึงได้บอกอย่างอาตมาทุกวันนี้ที่มันอยู่อย่างสบายใจ เพราะว่าอยากรวยเมื่อไหร่ ก็สึกแล้วก็ไปขนเอา มันไปเห็นไปพบมาเยอะเหลือเกิน

    ถาม : แร่ใสที่หลวงพ่อบอกอีก ?

    ตอบ : มันขึ้นมาตั้งนานเนกาเลแล้วแร่ใส ที่ทางใต้เขานิยมเอามาทำเครื่องประดับกันอยู่พักหนึ่ง ที่เขาเรียกเพชรพังงา เพชรภูเก็ตนั่นน่ะ เคยได้ยินชื่อไหมล่ะ นี่แหละคือแร่ใสนั่นล่ะ

    ถาม : ยังมีขายอยู่ไหมคะ ?

    ตอบ : ไม่รู้เหมือนกัน ต้องลงไปถาม ๆ แถวนั้นดู

    ถาม : มันยังไม่แพงใช่ไหมครับ ?

    ตอบ : ไม่แพง เขารู้ว่ามันไม่ใช่เพชรจริง ๆ แต่ว่าพอเอามาเจียระไนแล้ว มันก็มีแสงแวววาวได้อะไรได้เขาไม่รู้ว่าถ้าหากวทำแกนกลางมันแตกตัวออกมาได้เมื่อไหร่มันยิ่งกว่าปรมาณูอีก เพียงแต่เทคโนโลยีของเรามันไม่ถึง คุณจะทำยังไงจะยิงให้นิวเคลียร์มันแตกตัวได้ ถ้าทำได้เมื่อไหร่คนที่แขวนอยู่ก็คงรวยไปตาม ๆ กัน

    ถาม : แล้วตัวเขาเองที่เจียแล้ว มีพลังมั้ยคะ ?

    ตอบ : ถ้ายังทำมันแตกตัวออกมาไม่ได้ มันจะไม่มีปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิคชั่น มันจะมีแต่ลักษณะที่ว่าเหมือนกับก้อนแร่ธรรมก้อนหนึ่ง

    ถาม : แล้วพลังทางอำนาจ ทางจิตอะไรอย่างนี้ ?

    ตอบ : นั่นมันก็แล้วแต่ว่าเราจะประจุมันเข้าไปมั้ย อยากได้ก็เอาไปเข้าพิธีพุทธาภิเษกซะ เขาเจอมาหลายปีแล้ว น่าจะเกือบ ๑๐ ปีแล้ว เพราะว่าตอนช่วงนั้นก็ยังไงล่ะ อยากรู้ว่าหน้าตามันเป็นยังไง ปรากฎว่าเขาได้ขึ้นมาจากพวกเหมืองดีบุกนั่นแหละ ทำเหมืองดีบุกแล้วมันติดขึ้นมา เสร็จแล้วเอาไปให้ร้านเขาดู ร้านเขาบอกว่าไม่ใช่เพชร แต่ว่ามันเห็นว่าความแข็งพอก็เลยเจียระไนดูอกมาสวยดีพอขายได้ ราคามันถูกกว่าเพชรจริง ๆ มากเลย

    ถาม : มันเป็นอะไรครับหลวงพี่ ?

    ตอบ : ไม่รู้ ถามว่าอะไรบอกไม่ถูก หลวงพ่อท่านเรียกว่าแร่ใส ท่านบอกว่าถ้าใช้เป็นเชื้อเพลิง สตารท์เครื่องที่จากขั้วโลกใต้ยันขั้วโลกเหนือพอดี ยังไม่ทันจะเหยียบคันเร่งเลย คือความเร็วของเครื่องยนต์มันจะทำงานได้ถึงขนาดนั้น พูดง่าย ๆ คือว่าเดินทางไปต่างดาวสบายมาก

    ถาม : ผมชอบนะครับที่เขาออกมาประกาศนโยบายสู้ยาเสพติด ท่าทางมันทำจริง ?

    ตอบ : ตอนนี้พวกขาใหญ่มันเผ่นออกนอกหมดแล้ว เพราะว่าไม่มั่นใจว่าอยู่แล้วจะปลอดภัยกับชีวิตไหม เขาประกาศว่า ผมเป็นนายกรัฐมนตรี ผมยังไม่ใหญ่แล้วใครมันจะใหญ่กว่าผม คือมันต้องเจอคนบ้า ๆ อย่างนี้แหละ มันถึงจะกลัว คนเราสมัยนี้มันไม่กลัวความดี มันกลัวแต่คนชั่วกว่า คือตอนนี้แกมีนโยบายว่ายิงทิ้งอย่างเดียว แต่ว่าหนังสือพิมพ์เขาบอกว่ามันจะเหมือนยังกับว่าทำให้ตำรวจยัดข้อหาให้กับคนดี ๆ ได้ มันก็จริง หลักการมันถูกต้องแต่มันอยู่ที่คนปฏิบัติ คนไหนประเภทขัดใจตัวเองหรือเป็นศัตรูก็ฉวยโอกาสยิงทิ้งแล้วอ้างว่าค้ายาเสพติดไปเลย

    ถาม : .............................

    ตอบ : คือลักษณะของพวกนี้ยังไงล่ะ อยู่ในลักษณะว่า ถ้าเพื่อความสุขคนอื่นตัวเองจะเป็นยังไงก็ช่าง คราวนี้พอเขาประเภทกล้าคิดกล้าทำมันก็กล้าถามไปด้วย เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าไปเจอที่อื่นก็อาจจะโดนลูกศิษย์เขาไล่เตะเอา

    ถาม : หนูไม่ซื้อก็ยังมีคนมายัดเยียดแล้วก็ถูกด้วย นานแล้ว ?

    ตอบ : จ้ะ คนเราถ้าถึงเวลาบุญมันสนองยังไง ๆ มันก็ต้องได้ แล้วขณะเดียวกันคนถ้าหากว่ากรรมมันบังหรือว่าบุญไม่ถึงยังไง ๆ มันก็อด มีจ่านายสิบตำรวจอยู่คนหนึ่งซื้อหวยมาคู่หนึ่ง เสร็จแล้วเสียดายเงินไปยัดเยียดขายให้เพื่อน เพื่อนไม่เอาก็พยายามยัดเยียดให้จนกระทั่งลดเหลือคู่ละ ๕๐ บาท เพื่อนก็กัดฟันรับไป รุ่งขึ้นเพื่อนได้ ๖ ล้าน ตัวเองจะยิงตัวตาย อย่างนั้นมันไปบังคับเขาเอง ถือว่าบีบคอให้เขารวย มันช่วยไม่ได้จริง ๆ เลย

    ถาม : เกี่ยวกับการส่งคนไปทำงานน่ะค่ะ ช่วงนี้มันเจอติดขัด ?

    ตอบ : รู้มั้ยมันติดขัดอะไร มันติดขัดที่ปักษ์ใต้เขาน่ะ เขามีขาใหญ่อยู่รายหนึ่ง เขาใช้วิธีมอมยามันหลับไปพอตื่นก็ไปอยู่ที่นั่นแล้ว ถึงเวลาก็ต้องทำงานให้เขาไปเลย คราวนี้พอคนไหนขัดใจเขาก็มีรายการเก็บใส่หลุมถ่าย ทางใต้เขามีเผาถ่านยางพาราเยอะ ยัดใส่หลุมถ่านกว่าจะเผาถ่านเสร็จเรียบร้อยศพมันก็ไม่เหลือซากแล้ว เขาอยู่ในระหว่างที่สอบสวนกันอยู่ พออยู่ในระหว่างสอบสวนกันอยู่ เรื่องของการส่งคนออกนอกอะไรออกนอกระยะนี้มันก็เลยสะดุดติดขัดไปทั้งระบบ ไม่รู้ว่าเกี่ยวกันหรือเปล่านะ แต่นี้เพิ่งขึ้นจากใต้มาไม่นาน เขาเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง

    พวกนั้นมันไปไม่ถูกระบบ แต่ว่ามันทำให้พวกที่ถูกระบบโดนตรวจสอบทั้งหมดเลย มันก็น่าคิดนะ ความโลภของคนมันทำให้ทำกันได้ขนาดนั้น เขาไปดี ๆ ไม่ได้ มันจะต้องหาคนไปส่งเขาตามสัญญา มันใช้วิธีประเภทเลี้ยงอาหารแล้วก็ใส่ยานอนหลับกินหลับไปเลย ถึงเวลาตื่นขึ้นก็ไปอยู่ในที่นั้นแล้ว กลับก็กลับไม่ถูกแล้ว อันนี้เพิ่งจะขึ้นจากใต้มา ขาใหญ่ทางใต้เขาเล่นกันอย่างนั้น คือตัวเองก็คงไปทำสัญญากับเขาว่าจะส่งคนไปเท่านั้นเท่านี้ แหม มันทำยังกับค้าทาส


    http://www.grathonbook.net/book/72.2.html
     
  3. MBNY

    MBNY Administrator ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2003
    โพสต์:
    6,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +22,504
    ถาม: ...................................... ?


    ตอบ : รู้จักวิธีบนกรมหลวงชุมพรมั้ย ในเรื่องของคนเรื่องของอะไร ถ้าต้องการความสะดวกให้บนกรมหลวงชุมพร บนกรมหลวงชุมพรท่านให้จัดหมูต้ม ๑ ชิ้น ถ้าหากว่าได้หัวหมูยิ่งดี ตีซะว่าหัวหมู ๑ หัวแล้ว แล้วก็ไก่ต้ม ๑ ตัว ถ้าเป็นหมูต้มชิ้นหนึ่งต้องไม่ต่ำกว่าครึ่งกิโล ก็เอาเป็นว่า หัวหมู ๑ หัว ไก่ต้ม ๑ ตัว ข้าวปากหม้อ ๑ ถ้วย ก็คือข้าวที่เราหุงเสร็จแล้วตักขึ้นมาก่อนที่เราจะกินน่ะ ทองหยิบฝอยทอง ทองหยิบฝอยทองนี่แล้วแต่เรา ชอบมากก็ใส่เยอะหน่อย ขนมจีนน้ำพริก ๑ ชุด มันจะมีน้ำยา มีน้ำพริก มีซาวน้ำ แต่ให้ใช้น้ำพริกเท่านั้นอย่างอื่นไม่เอา น้ำพริกมันจะเป็นน้ำยาหวาน ๆ น่ะ

    ไปบอกที่ร้านเขาจัดให้เองแหละ ขนมจีนน้ำพริกน้ำยามันจะทำด้วยถั่วพวกนั้นน่ะ ลักษณะเหมือนมังสวิรัติ มันไม่ใช่ปลาอะไรอย่างนั้น ของทั้งหมดให้วางบนผ้าขาวที่ปูกลางแจ้ง ตั้งโต๊ะซะตัวหนึ่ง ปูผ้าขาวแล้ว เอาของวางไว้ จุดธูป ๕ ดอกบนท่าน การบน ถ้าเป็นเวลาเช้าให้ใช้เวลา ๐๗.๕๐ น. อย่าผิดเวลานะ ของท่านสำคัญมากเรื่องเวลา ถ้าผิดเวลาคนอื่นรับไม่ใช่ท่านรับ ถ้าตอนบ่าย ๑๔.๕๐ น. เราเตรียมของเอาไว้ให้พร้อม พอถึงเวลาก็จุดธูปเลย บอกท่านให้สงเคราะห์ว่าต้องการความสะดวกยังไง ๆ บอกท่านไป แล้วพอเสร็จได้อย่างที่ต้องการแล้วให้จัดอย่างนี้ถวายท่านอีกชุดหนึ่ง เป็นอันว่าของท่านนี่จะสำเร็จไม่สำเร็จต้องจ่ายจก่อนครึ่งหนึ่ง พอสำเร็จต้องจ่ายอีกหนึ่ง

    ถาม : ของที่ถวายแล้ว เอาไปไหน ?

    ตอบ : คือของทุกอย่างเราลามาเราก็กินเอง สมัยอาตมาเป็นฆราวาสกวนท่านบ่อยเลย ที่กวนท่านบ่อยเพราะว่าของทุกอย่างลามันก็ของเราอยู่แล้ว เราเองก็ได้กินด้วยก็เลยขยันบน

    ถาม : (ไม่ชัด) ?

    ตอบ : ไม่ต้องหรอกจ้ะ ตั้งใจนึกถึงท่านแล้วก็จุดธูปกลางแจ้ง ของอื่นประเภทดอกไม้ธูปเทียนเราจะจัดอย่างไรก็ตามสบาย แต่ของหลักที่ว่านี้ห้ามขาด

    สมัยก่อนเขาต้องมีสาโทด้วย สมัยนี้ สาโทกำลังฮิต แต่ว่าท่านไม่เอาแล้ว ท่านบอกเป็นเทวดาผู้ใหญ่แล้วขืนมีสาโทเขานินทาเอา โดยเฉพาะเรื่องคน เรื่องบริวาร ลูกน้อง อะไรบนได้หมดเลย แต่ว่าที่ท่านเก่งที่สุดคือเรื่องตามคนหาย ถ้าหากว่าคนหายไป บนขอให้ท่านช่วยตามให้ ถ้าหากว่าตายไปแล้วก็ขอให้ได้ข่าวภายใน ๕ วัน ๗ วัน อะไรอย่างนี้

    ถาม : บนองค์ไหน ขอให้รวย ขอให้รวย ?

    ตอบ : บนได้ทุกองค์

    ถาม : อย่างหนู ทำเกี่ยวกับพวกยานี่บนได้มั้ยคะ ?

    ตอบ : บนได้จ้ะ แต่ว่าเรื่องยานี่ต้องมีหมอชีวกด้วย

    ถาม : ต้องบนท่านยังไงคะ ?

    ตอบ : จริง ๆ หมอชีวกท่านไม่ได้บอกไว้ว่าบนท่านยังไง จะถวายสังฆทาน เจริญกรรมฐาน รักษาศีลอะไรก็ได้

    ถาม : .................. ?

    ตอบ : เรื่องของร้านอาหารไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ยังไงก็ตาม มันขึ้นกับทำเลและฝีมือ โดยเฉพาะลูกค้าประจำสำคัญที่สุดจะไปพึ่งขาจรไม่ได้ ถ้าหากว่าเราย้ายเมื่อไหร่รายได้มันจะตกฮวบไปเลย

    ถาม : หนูเคยพาไปหาหลวงพ่อสมปองช่วงที่ยังไม่เป็นหนี้ค่ะ หลวงพ่อบอกว่าต้องให้หมดเนื้อหมดตัวถึงจะเลิก

    ตอบ : ถ้าอย่างนั้นให้กลับไปบอกท่านใหม่ว่า ให้รวยแล้วถึงจะเลิก แหมเล่นให้พระอย่างนั้นบอกให้หมดเนื้อหมดตัวเดี๋ยวก็แย่สิ ไปกราบท่านซะ บอกว่าสิ่งที่ท่านอวยพรนั้นตอนนี้มันเป็นจริงแล้ว ขอเปลี่ยนเป็นให้รวยแทน

    ถาม : ตอนนั้นไป คิดว่าท่านเป็นเณร ?

    ตอบ : จ้ะ อาตมาก็โดนคนเข้าใจว่าเป็นเณรบ่อย เพราะว่าของเรามันห่มพาดสังฆาฏิเขาคิดว่าเป็นเณรมันรัดอกด้วย มีโอกาสไปหาท่านใหม่ เอาดอกไม้ธูปเทียนไปกราบท่าน ที่ท่านให้พรไว้มันเกิดผลแล้วล่ะ ตอนนี้ขอพรใหม่ขอให้รวย เพราะว่าพระอย่างนั้นนี่พูดเล่นพูดจริงบางทีมันเกิดผลหมด พระที่ปฏิบัติถึงระดับหนึ่งแล้ววาจามันจะศักดิ์สิทธิ์ไปเอง ถึงเล่นกับท่านไม่ได้ คือพระระดับนั้นแล้วเล่นไม่ได้เลย หลวงพ่อท่านบอกท่านต้องระวังคำพูดท่านมากเลย เพราะท่านกลัวว่าเผลอไปแช่งใครเข้าแล้วคนนั้นจะเป็นไปตามปาก

    ถาม : เคยถามว่าเมื่อไหร่จะเลิกได้ ท่านก็บอกว่าให้หมดตัวก่อนถึงจะเลิกได้ ถ้าติดการพนัน ?

    ตอบ : ถ้าหากว่าตั้งใจเลิก ก็เอาดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมาท่าน ขอให้รวยแทนจะได้ไม่เป็นหนี้ ของโยมผิดหลายยกจ้ะ คือยกแรก พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าอย่าให้เป็นหนี้ใคร ท่านว่า อิณาทานัง ทุกขัง โลเก การเป็นหนี้เป็นทุกข์ที่สุดในโลก แล้วมันทุกข์มั้ยล่ะ ? แล้วอีกอย่างท่านบอกว่า เรื่องของการพนัน เที่ยวกลางคืน คบคนชั่วเป็นมิตร ขี้เกียจไม่ยอมทำงาน ท่านเรียกว่า อบายมุข ปากทางที่นำเราไปสู่ความเสื่อม ของโยมมันเล่นซะทั้งบนทั้งล่างเลย

    ถาม : ตอนเที่ยงผมไปฝึกมโนมยิทธิ ปรากฏว่าผมไม่เห็นอะไร เลยไม่แน่ใจว่าผมทำอารมณ์ไม่ถูกอย่างไร ?

    ตอบ : ถ้าเห็นก็ประหลาด ต้องไม่เห็น ถ้าคุณคิดว่าเห็นก็บ้า...!

    ถาม : แล้วต้องทำอย่างไร ?

    ตอบ : การฝึกมโนมยิทธิ อย่าลืมคำว่า “มโน” คือห้วงนึกคือความคิดของเรา ไม่ใช่ตาเห็น ถ้าเราคิดว่าเป็นตาเห็นก็ผิดตั้งแต่ยกแรกแล้ว หลับตาอยู่จะไปเห็นอะไร

    คราวนี้ถามว่าแล้วเราเห็นลักษณะไหน ? เราเห็นลักษณะนึกถึงคน นึกถึงของ นึกถึงบ้าน ชัดไหมล่ะ ? แล้วใช่ลูกตาเห็นไหมล่ะ ? ไม่ใช่หรอก นั่นแหละมโน เขาเห็นกันอย่างนั้น คราวนี้แรก ๆ หากว่าสภาพจิตยังไม่สงบ ภาพจะไม่ปรากฎ ภาพไม่ปรากฎจะเป็นแค่ความรู้สึกในใจเท่านั้น รู้สึกว่าเป็นอย่างนั้น รู้สึกว่าเป็นอย่างนี้ รู้สึกว่าต้องอย่างนั้น รู้สึกว่าต้องอย่างนี้ ความรู้สึกอันแรกที่เกิดมามันใช่ จะถูกต้อง ขอให้น้อมใจเชื่อตามนั้น ถ้าเปรียบไปแล้วจะเหมือนคน ๆ หนึ่งอยู่ในห้องมืด ๆ แล้วเขาส่งของมาให้ชิ้นหนึ่ง เช่น เครื่องคิดเลข เราจับ ๆ คลำ ๆ ลูบ ๆ พักหนึ่ง เราก็ตอบได้ว่าเป็นเครื่องคิดเลข แต่ถ้าเราซ้อมบ่อย ๆ จนกระทั่งเคยชิน พอแตะปุ๊บ ก็บอกได้เลยว่าเป็นเครื่องคิดเลข อย่างนี้เป็นต้น

    คราวนี้พอเราซ้อมอยู่บ่อย ๆ โดยยอมเชื่อความรู้สึกแรก จนกระทั่งจับจุดได้ว่าความรู้สึกอย่างไรถึงจะถูกต้อง พอเกิดความมั่นใจแล้วสภาพจิตจะนิ่ง คราวนี้ภาพจะเกิด พอภาพเกิดปุ๊บ โดยสัญชาตญาณเราก็ไปเพ่งมัน อยากจะเห็นให้ชัด บอกแล้วว่าไม่ใช่ตาเห็น จิตเราต้องไปถึงสถานที่นั้น เราถึงจะเห็นภาพได้ การที่เรานึกถึงตา คือนึกถึงตัว คือการดึงจิตกลับมา ภาพจะหายไป เพราะเราไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว จะไปเห็นอะไรอีก พอถึงเวลาภาพหายไป ตั้งใจภาวนา พอกำลังใจไปถึงจุดนั้นก็เห็นอีก จะเป็น ๆ หาย ๆ อย่างนี้ บางคนเป็นอยู่ ๑๐ ปีก็มี ประสาทจะกลับก็มี แค่เราทำใจว่า

    ก่อนหน้านี้แค่ความรู้สึกก็ถูกต้องอยู่แล้ว การเห็นภาพไม่จำเป็นต้องมีสำหรับเราก็ได้ จะเห็นหรือไม่เห็นก็ช่าง เราจะไม่ใส่ใจอีก ถ้าทำกำลังใจอย่างนี้ได้ ภาพจะเกิดขึ้นและปรากฎอยู่นาน

    หลักการที่สอง ทำให้ได้อย่างที่ครูฝึกเขาบอก จะต้องมีการพิจารณาตัดร่างกา ยอย่าให้จิตเกาะร่างกายนี้ อย่าให้จิตเกาะโลกนี้ เพราะถ้าจิตเกาะยึดเกาะร่างกายนี้หรือโลกนี้ มันจะไม่ไปไหน มันห่วงร่างกาย มันห่วงโลก แต่ถ้าเห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา โลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ เราไม่อยากได้จริง ๆ จิตจะไม่ห่วง จะไปได้ง่าย แล้วจะเห็นภาพได้ชัดเจนแจ่มใสด้วย

    ถาม : แล้วต้องนึกถึงพระ (ไม่ชัด)

    ตอบ : สมควรที่สุดที่จะทำอย่างนั้น กำลังใจของเราไม่มีอะไรกั้นได้ นึกถึงบ้านตอนนี้ ถ้าคนได้อภิญญา เขาเห็นเราอยู่ที่บ้านแล้ว ไม่ต้องเปิดประตู ไม่ต้องลงบันได้ ไม่ต้องเรียกแท็กซี่ ไม่ต้องขับรถเอง แค่นึกก็ถึงแล้ว ระยะทางของโลกถึงดวงอาทิตย์ ๙๓ ล้านไมล์ แสดงเดินทางด้วยความเร็ว ๑๘๖,๐๐๐ ไมล์/วินาที ใช้เวลาประมาณ ๘ นาทีมาถึงโลกเรา แต่ถ้าเรานึกถึงดวงอาทิตย์แค่ไม่ถึง ๑/๑๐ ของวินาที จิตเราอยู่ที่นั่นแล้ว

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเรานึกถึงจุดไหนก็ตาม จิตจะไปปรากฎอยู่ตรงจุดนั้น คราวนี้เรานึกถึงบ้าน จิตจะไปปรากฎอยู่ที่บ้าน เห็นบ้านสภาพบ้านชัดเจน ลักษณะบ้านเป็นอย่างไร ประตูอยู่ตรงไหน ห้องน้ำอยู่ตรงไหน ห้องนอนอยู่ตรงไหน รู้หมด อันนั้นเกิดจากเราเคยชินกับมัน คราวนี้ไปเทวดา ไปพรหม ไปนิพพาน เราจะไม่เคยชินกับสถานที่ละเอียดอย่างนั้น เพราะฉะนั้นขอให้เชื่อความรู้สึกแรก รู้สึกว่าอย่างไร ถ้าครูฝึกถามให้ตอบไปตามนั้น ไม่จำเป็นต้องเห็น ทำตามขั้นนี้ไปก่อน

    ถาม : ถ้าทำเองที่บ้าน ?

    ตอบ : ซ้อมบ่อย ๆ คุณใช้วิธีอย่างนี้ พอถึงเวลาคุณกราบพระเสร็จ ก็ ตั้งใจขอบารมีท่านว่าเราจะฝึกมโนมยิทธิ ขอให้ทำได้ชัดเจนแจ่มใส และคล่องตัวด้วย แล้วกำหนดความรู้สึกทั้งหมดของคุณให้อยู่ตรงหน้าคุณ เหมือนกับว่าเป็นคน ๆ หนึ่งอยู่ตรงหน้า จะเล็กจะใหญ่อยู่ที่เราถนัด เอาตัว เล็กตัวใหญ่แค่ไหนก็ได้ แล้วก็บอกให้เดินหน้า บอกให้ถอยหลัง บอกให้หัน ซ้าย บอกให้หันขวา ทำอย่างกับหัดแถวทหารอย่างนั้นแหละ บังคับให้ชิน

    พอหันขวาเราก็รู้สึกว่าหันตาม หันซ้ายเราก็หันตาม เดินหน้าเราก็เดินตาม ถอยหลังเราก็ถอยตาม ความรู้สึกของเราทั้งหมดให้อยู่กับตัวนี้ พอชินแล้ว ค่อย ๆ ทำนะ เดินวนรอบตัวก็ได้ วนช้า ๆ เพราะว่าถ้าความรู้สึกคล่อง แป๊บเดียวจะครบรอบเลย บอกให้เปิดประตู บอกให้ออกนอกบ้าน บอกให้ ค่อย ๆ เดินวนรอบบ้าน ทำตัวเป็นยามไปเลย ค่อย ๆ ดูไปทีละจุด เปิด ประตูใหญ่ เดินออกไปในซอย ค่อย ๆ ไปปากซอย คราวนี้ความรู้สึกของ เราที่ค่อย ๆ ไป แรก ๆ จะชัดเจน เพราะว่าสถานที่ต่าง ๆ เราคุ้นเคยดี

    แต่คราวนี้พอไกลออกไป ๆ เป็นปากซอย ความคุ้นเคยน้อยแล้ว พอไปถึง จุดที่เราไม่คุ้นเคย แต่ความรู้สึกยังปรากฏชัดอยู่ อาจจะตรงนี้ร้านขายยา ตรงนี้วินมอเตอร์ไซค์ตรงนี้เป็นเซเว่น อีเลฟเว่น จดเอาไว้ แล้วถึงเวลา รุ่งเช้าเดินไปดูว่าตรงไหม? ซ้อมอย่างนี้ทุกวันๆแล้วจะคล่องตัวมาก ต่อ ไปถ้าจะไปสวรรค์ ไปพรหม ไปนิพพานอย่างไร? ก็แค่นึกถึงสวรรค์ นึกถึง พรหม นึกถึงนิพพาน จะไปถึงเลย ทำอย่างนี้ทุกวัน ซ้อมบ่อย ๆ ถ้าไม่ ซ้อมสนิมขึ้น

    ถาม : เวลาซ้อมนั่งหลับตา นึกว่ามีตัวเรา?

    ตอบ : ใช่ นั่นแหละ แล้วก็บังคับตัวนั่นแหละ ให้ค่อย ๆ ไปเปิดประตู เปิดหน้าต่างทีละบาน เดินวนรอบบ้าน อะไรก็ได้ กวาดขยะ อะไรก็ได้ทำ ไปเลย ไม่มีใครว่า ทำอย่างนี้บ่อยๆแล้วจะคล่องตัว พอคล่องตัวจากสิ่ง ที่เราเคยชิน ค่อย ๆ ไปสู่สิ่งที่เราไม่เคยชิน แล้วก็พยายามจดจำ ไว้ว่าเป็นอย่างไร? ถึงเวลาเราก็ไปดูเพื่อเป็นการพิสูจน์ จะได้รู้ว่าเรารู้จริง ไหม? เห็นจริงไหม? อย่าลืมนะไม่ได้เห็นด้วยตา ใช้ตาเมื่อไหร่เจ๊งเมื่อ นั้นเลย

    ถาม : อย่างวันนี้ที่ผมฝึกนี่ ครูฝึกเขาบอกว่าทั้งหมดตอนนี้ไปอยู่ข้างบน แล้ว อยู่ในแดนพระนิพพาน แสดงว่าจริง ๆ นี่ไปได้จริง ๆ

    ตอบ : ถ้าเราคิดถึงตรงไหน จะไปถึงตรงนั้นเลย เพียงแต่ว่าเราเองจะรับรู้ ได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง บอกแล้วว่าไม่มีอะไรกั้นจิตได้ จิตคิดถึงตรงไหน จะไปถึงตรงนั้นเดี๋ยวนั้นเลย ขั้นตอนการใช้ร่างกายทำไม่เกี่ยวกับจิตเลย บอกแล้วไม่ต้องเปิดประตู ไม่ต้องลงบันได ไม่ต้องขับรถ ไม่ต้องขึ้นรถอะไร ทั้งนั้น แค่นึกก็ถึงแล้ว

    ถาม : แต่ในความรู้สึกสัมผัสของเรา มันไม่ถึง

    ตอบ : คราวนี้สำคัญตรงขยันซ้อม ต้องขยันซ้อม ทำบ่อย ๆ ทำทุกวัน ซ้อม ทุกวัน เพื่อให้เกิดความคล่องตัว ก่อนจะไปทำงานกำหนดใจสบาย ๆ นึก เลย วันนี้เราไปถึงที่ทำงานจะเจอใครก่อน คน ๆ นั้นผู้หญิงหรือผู้ชาย ใส่เสื้อ ผ้าสีอะไร แล้วก็จดไว้ พอถึงเวลาก็ไปดู ถ้าหากผิดก็ไม่ต้องสนใจ แต่ถ้าถูก พยายามนึกให้ได้ว่าเราทำกำลังใจอย่างไร? แล้วก็จำกำลังใจช่วงนั้น แล้ว ใช้ช่วงนั้นบ่อย ๆ จะคล่องตัวมาก อาตมาเองซ้อมบ่อย จะออกบิณฑบาตนึก ก่อนเลย วันนี้ใครจะใส่บาตรก่อน ผู้หญิงหรือผู้ชาย ใส่เสื้อผ้าสีอะไร มากลุ่ม นี้กี่คนอย่างนี้ นี่ขนาดนี้แล้วยังต้องซ้อมอยู่นะ ไม่อย่างนั้นสนิมกิน

    ถาม : แก้ทุกข์ได้อย่างไร?

    ตอบ : ถ้าเราไปนิพพานได้ ทุกข์ทุกอย่าง จบ! การที่กำลังใจเกาะอยู่บนนิพพาน รัก โลภ โกรธ หลง ทุกอย่างกินใจของเราไม่ได้ ในเมื่อ รัก โลภ โกรธ หลง กินใจเราไม่ได้ ก็แปลว่าไม่สามารถสร้างทุกข์ให้เราได้อีก มโนมยิทธิคุณค่ามหาศาลที่สุดก็คือ อันดับแรก เรารู้จักนิพพาน อันดับที่สอง เราไปนิพพานได้ อันดับที่สาม เป็นการตัดกิเลสอัตโนมัติ ถ้าเราซ้อม จนคล่องตัว ชนิดนึกก็ถึงแล้ว ถ้ารู้สึกว่าจะโกรธ อย่าเพิ่งให้โกรธขึ้นมา รีบพุ่งกำลังใจไปกราบพระบนนิพพาน ถ้ารู้สึกราคะจะเกิด ให้รีบพุ่งกำลังใจ ไปกราบพระบนนิพพาน ถ้าใจเราอยู่ตรงจุดนั้น จะตัดกิเลสอัตโนมัติ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ทุกอย่างเป็นสมบัติของร่างกายนี้ สมบัติชิ้นนี้จะเจริญ เติบโตงอกงามได้ ต้องมีคนเอาไปออกดอกออกผล ก็คือไปช่วยมันคิดช่วยมันปรุง

    คราวนี้เราส่งจิตขึ้นข้างบน ไม่มีจิตเป็นตัวคิด ตัวปรุง ตัวแต่ง รัก โลภ โกรธ หลง เจริญงอกงามไม่ได้ จะตั้งได้อยู่พักเดียวแล้วสลายไป ถ้าเราทำอย่างนั้นบ่อย ๆ มันก็จะขาดไปโดยอัตโนมัติ เข้าถึงความเป็น พระอริยเจ้าได้ง่าย ๆ นี่คือคุณประโยชน์มหาศาลที่สุดของมโนมยิทธิ แต่ปัจจุบันที่เขาไปใช้อยู่ส่วนใหญ่ใช้ผิด ไปดูอดีต ไปดูอนาคต ไประลึกชาติ แล้วแทนที่จะรู้สึกเข็ด รู้จักเห็นว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ ก็กลับไปนั่งฟื้น ความสัมพันธ์ใหม่ เธอเป็นอย่างนั้นกับฉัน เธอเป็นอย่างนี้กับฉัน แทนที่จะ "ละ"กลับไป"ยึด"ก็ยิ่งทุกข์หนักขึ้น ปัจจุบันเขาใช้ผิดกันเยอะ จำไว้ว่าที่ หลวงพ่อต้องการคือต้องการจุดนี้ อันดับแรก รู้จักพระนิพพาน อันดับสอง ไปนิพพานได้ อันดับสาม ตัดกิเลสอัตโนมัติได้

    ถาม : เป็นสมถะ? ตอบ:เป็นสมถะ ถ้าหากบรรลุ เขาเรียกว่า บรรลุโดยเจโตวิมุติ คือใช้ กำลังใจข่มกิเลสไว้ ไม่ใช่วิปัสสนาที่เป็นปัญญาวิมุติ ใช้ปัญญาคิดจน กระทั่งจิตยอมรับ

    ถาม : (ไม่ชัด)

    ตอบ : พยายามบ่อย ๆ ทำให้ต่อเนื่อง ต้องรักษาอารมณ์ให้เป็น ส่วนใหญ่ พวกเราพอนั่งภาวนาอารมณ์ใจทรงตัวเรียบร้อย ลุกขึ้นก็เลิกเลย เลิกไม่ได้ ลุกขึ้นต้องรักษาอารมณ์นั้น ให้อยู่กับเราให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ โดยเฉพาะอารมณ์ที่เกาะนิพพาน อารมณ์ที่ชินกับการว่างกิเลส แรก ๆ ก็อยู่ได้แป๊บหนึ่ง ก็พังไป พยายามบังคับจิตของเราให้นิ่งอยู่อย่างนั้น แบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่งซัก ๒๐-๓๐ เปอร์เซ็นต์เกาะพระนิพพานไว้เสมอ อีก ๗๐-๘๐ เปอร์เซ็นต์ของเรา เราก็ประกอบหน้าที่การงานของเราไป พอสภาพจิตของเราเกาะอยู่ข้างบนตลอด ก็จะสุขจะเย็นอยู่ตลอด ในเมื่อ สุขเย็นอยู่ตลอด นานไป ๆ กิเลสงอกงามไม่ได้นี่ เพราะกำลังของฌานกดอยู่ งอกงามไม่ได้ก็เหี่ยวไปเรื่อย เฉาไปเรื่อย จนหมดสภาพก็ตายไปเอง

    ถาม : ถ้าทรงได้อยู่เรื่อย ๆ ทรงได้อยู่บ่อย ๆ จะได้เป็นพระโสดาบัน ไหมครับ?

    ตอบ : ดีไม่ดี ก็เป็นพระอรหันต์ไปเลย(หัวเราะ) ไม่จำเป็นต้องเป็นแค่พระ โสดาบัน บางทีอาจโดดเป็นสกิทาคามีไปเลย จากปุถุชนเป็นอนาคามี หรือ จากปุถุชนเป็นอรหันต์ไปเลยก็มี น้อยคนที่จะไปตามขั้น คราวนี้มาว่าต่อ การทำจิตให้ต่อเนื่อง คือเราต้องรักษาอารมณ์นั้นให้ได้ พอเริ่มได้น้อย ค่อย ๆ นานขึ้น ๆ เราเคยชินกับการประคับประคองอารมณ์นั้น อยู่ในท่าม กลางกระแสกิเลส คือต้องชนกับคนนั้น ต้องปะทะสังสรรค์กับคนนี้ เมื่อถึงวาระถึงเวลา เราประคองอารมณ์ของเราให้นิ่งอยู่ได้ ไปเรื่อย ๆ จากชั่วโมงก็จะเป็นวัน จากวันก็จะเป็นอาทิตย์ จากอาทิตย์ก็จะเป็นครึ่งเดือน เป็นเดือน เป็นปีไล่ไปเรื่อย เพราะจิตเคยชินกับการที่ทรงอารมณ์ในลักษณะนั้นนาน ๆ ไป กิเลสจะหมดเอง เพราะว่ามันโดนทับเอาไว้ตายแหงไปเอง แต่ว่าอย่าเผลอนะ เผลอมันตีกลับเมื่อไหร่ สาหัสเลยล่ะ เหมือนกับหญ้าที่โดนหินทับไว้ จะตายแหล่มิตายแหล่ พอเปิดหินเปิดไม้ขึ้นมาเมื่อไหร่ คราวนี้มันงอกงามใหญ่โตเลย เพราะมันกลัวตัวเองจะตาย เพราะฉะนั้นอย่าเผลอปล่อยให้ขาดช่วง ต้องพยายามรักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่องให้ได้

    ถาม : ถ้าไม่ต่อเนื่อง ปัญญาจะไม่เกิดเองหรือครับ?

    ตอบ : อย่าลืมว่า จุดนี้คือตัวปัญญาเลยแหละ เรารู้อยู่ถ้าปล่อยมันเมื่อไหร่ กิเลสทำอันตรายเราได้ ก็อย่าปล่อยมัน ใช้กำลังของมันเกาะนิพพานเอาไว้ ตัวรูปราคะ อรูปราคะ ที่เป็นกิเลสใหญ่ คือการติดในรูปและอรูป ไม่มี อะไรที่ติดได้ง่ายกว่าการใช้กำลังของฌานสมาบัติอีกแล้ว เราก็แค่ใช้กำลัง ของฌานสมาบัติจะเป็นรูปฌาน หรืออรูปฌานเกาะนิพพานแทน ถ้าเรา เกาะถูกจุดไม่ถือว่าติด

    ถาม : (ไม่ชัด)

    ตอบ : เอาอารมณ์จับอยู่อย่างนั้นตลอด ที่บอกแบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่ง นึกอยู่เสมอนิพพานอยู่แค่นี้ พระพุทธเจ้าอยู่แค่นี้ไม่ได้อยู่ไกลเลย

    ถาม : ลมหายใจ?

    ตอบ : ลมหายใจ ถ้ารู้อัตโนมัติก็รู้ไป ถ้าไม่รู้ ให้ความรู้สึกอยู่แค่นี้ก็ใช้ได้ แต่ถ้าทำขนาดนั้นได้ ส่วนใหญ่จะรู้ลมอัตโนมัติอยู่แล้ว ถึงเวลาทำอะไร นึกถึงก่อน พระพุทธเจ้าอยู่นี่ ใสแจ๋วเลย ถ้ามัวเมื่อไหร่ ให้รู้เลยจิตของเรา ตอนนี้ความดีน้อยแล้ว รีบพยายามตั้งใจ นึกถึงท่านให้ชัดเจนแจ่มใสขึ้นมาใหม่ ชนไปชนมา เหลือพระพุทธรูปดำปี๋เลย เออ...ดำก็ยังดี ยังเหลืออยู่ อย่าให้หายไปก็แล้วกัน

    ถาม : (ไม่ชัด)

    ตอบ : พยายามนึกถึงลมหายใจเข้า-ออกใหม่ การนึกถึงลมหายใจเข้า- ออก เป็นการตั้งต้นในลักษณะควบคุมสติสัมปชัญญะของเราให้ทรงตัว พอทรงตัวถึงระดับฌานเมื่อไหร่ จะผ่องใสตามเดิม เพราะตอนนั้นแสดงว่า เราเผลอหลุด เผลอหลุดปล่อยให้กิเลสกินใจได้

    ถาม : อย่างวันนี้ที่ไปฝึก เขาให้นึกถึงพระ แต่ว่านึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก

    ตอบ : พระพุทธรูปก็นึกไม่ได้? น่าจะนึกได้

    ถาม : ไม่ได้ครับ สว่างไปหมด แล้วก็มองอะไรไม่เห็น

    ตอบ : อย่างนั้นไม่ต้อง ถ้าหากว่าสว่างไปหมด มองอะไรไม่เห็น ไม่ต้องไปนึก เรามั่นใจไหมว่าพระพุทธเจ้าอยู่ตรงหน้า ถ้ามั่นใจกราบลงตรงนั้นเลย

    ถาม : ถ้าไม่มั่นใจล่ะครับ?

    ตอบ : ถ้าหากว่าไม่มั่นใจว่ามี ก็ใช้วิธีหน้าด้าน เรามั่นใจตรงนี้เป็นนิพพาน พระพุทธเจ้าไม่อยู่ที่ไหนหรอก ต้องอยู่ตรงนี้แน่ ๆ ก็ตั้งใจกราบลงตรงนั้นเลย
    [​IMG]



     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...