ฉบับที่ ๗๓ เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๓

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย MBNY, 23 กรกฎาคม 2010.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. MBNY

    MBNY Administrator ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2003
    โพสต์:
    6,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +22,504
    ช่วงแรกของเล่ม "ฝ่าด่านทหารป่า" สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๖(ต่อ)
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    ถาม: จำเป็นไหมครับ ต้องไปนั่งเพ่งพระพุทธรูป ?
    ตอบ : ถ้าจะทำอย่างนั้นก็ได้ แต่ว่าของเราเหมือนกับคนรวยแล้วหาเรื่องเหนื่อย คือคนที่จะฝึกมโนมยิทธิได้ พื้นฐานเก่าต้องมีอยู่แล้ว ถ้าไปย้อนกลับทำอย่างนั้นใหม่ เสียเวลา แต่จะเรียกเสียเวลาก็ไม่ได้ เพราะเราต้องการกำลังใจที่มั่นคงขึ้น เพียงแต่ว่าตอนเราย้อนเข้าไปทำลัษณะนั้น เป็นการย้อนเข้าไปสู่ฌานสมาบัติใหม่ ถ้าตายตอนนั้นไปแค่พรหม แต่ถ้าเราเอาจิตเกาะนิพพานไว้ จะชัดไม่ชัดก็ไม่ว่า เรามั่นใจตรงนี้ใช่แน่ ถ้าตายตอนนั้นจะไปนิพพาน
    ถาม : คำภาวนา สัมปจิตฉามิ กับ นะ มะ พะ ธะ ต่างกันอย่างไรครับ ?
    ตอบ : ต่างกันที่ว่า นะ มะ พะ ธะ เป็นการฝึกมโนมยิทธิอย่างเดียว แต่สัมปจิตฉามิ เป็นกำลังของอภิญญา มโนมยิทธิเป็นพื้นฐานของกสิณแค่กองเดียว อาจจะเป็นอาโลกกสิณ กสิณแสงสว่างได้ โอทาตกสิณ กสิณสีขาวก็ได้ เตโชกสิณ กสิณไฟก็ได้ เป็นอำนาจของกสิณกองเดียว แต่สัมปจิตฉามินี่ ถ้าหากเราทำได้คล่องตัว เราใช้อำนาจของกสิณ ๑๐ ได้ครบเลย ดังนั้นถามว่าต่างกันไหม ? ต่างกันเยอะ ถ้าหากว่าทำได้คล่องตัวจริง ๆ จะได้ชัดเจนเหมือนตาเห็นเลย
    ถาม : ที่หลวงพ่อท่านให้ภาวนา นะ มะ พะ ธะ เพราะว่า ?
    ตอบ : ที่ท่านให้ทำอย่างนี้เพราะว่า เป็นการทำที่ง่ายที่สุด อันนั้นเป็นพื้นฐานอภิญญา เหมือนกับเก็บเงินซื้อรถเบนซ์ เอาจักรยานได้เร็วกว่า
    ถาม : (ไม่ชัด)
    ตอบ : นั่นของเขามีความคล่องตัวในนอดีตอยู่แล้ว อาตมาเองเคยโดนไล่เตะออกจากกลุ่มมาแล้ว คล่องตัวเกินไป แค่ครูฝึกเขาพูดคำ เรารู้ว่าทั้งประโยคคืออะไร เขาชิงตอบก่อน ครูฝึกก็เอ๋อรับประทานไปด้วยซ้ำ ทำให้เขาเสียจังหวะไปหมดทั้งขบวนเลย ไป ๆ มา ๆ เขาก็เลยต้องเชิญตัวออกไปนอกห้อง อยู่ร่วมกับเขาไม่ได้ คือคนที่เคยทำมาแล้ว ถ้าของเก่ามีจริง ๆ จะคล่องตัวขนาดนั้น ไม่ต้องไปสงสัย เขาทำมาแล้ว ของเรา ๆ ก็พยายามทำให้ได้อย่างเขาก็แล้วกัน
    ถาม : แล้วของเราที่มาได้จี๊ด ๆ ก็ต้องทำต่อไปใช่ไหมคะ ?
    ตอบ : ทำได้เยอะ แต่เราไม่มีความตั้งใจที่จะไปฟื้นมั้นจริง ๆ
    ถาม : ถ้าอย่างพวกผมมีได้จริง ๆ ถ้าจะฟื้นนี่ก็ต้องทำบ่อย ๆ
    ตอบ : ต้องประเภททุ่มเทกันเลย ถามว่าทำบ่อยแค่ไหน ไม่ต้องมากหรอก วันละ ๒๔ ชั่วโมงก็พอ คือพยายามประคับประคองใจไว้ อย่าให้รัก โลภ โกรธ หลง กินใจได้ ถ้ารัก โลภ โกรธ หลง กินใจไม่ได้ นิวรณ์ ๕ กินใจไม่ได้ สภาพจิตจะแจ่มใสเป็นปกติ นึกเมื่อไหร่ก็เห็นเมื่อนั้น นึกเมื่อไหร่ก็ไปได้เมื่อนั้น
    ถาม : อารมณ์เบื่อทุกข์ กับ อารมณ์ขี้เกียจ ต่างกันเยอะไหมครับ ?
    ตอบ : ต่างกันเยอะเลย ถ้าเบื่อจะต้องขยัน ยิ่งขยันเพราะรู้ว่าถ้าไม่ขยันแล้วตัวเองแย่แน่ ๆ เพราะว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์ เพราะฉะนั้นขยันนี่เป็นตัวฉันทะ ตัวขี้เกียจเป็นถีนมิทธะ
    ถาม : ................................
    ตอบ : หมอชีวกโกมารภัทร ถ้าหากนับแล้วต้องเป็นบรมครูแพทย์ เพราะว่าตอนช่วงที่เรียนจบ อาจารย์บอกว่าให้เดินทางไปรอบสำนักทั่วบริเวณ ๑ โยชน์ ให้หาสิ่งไหนที่ทำยาไม่ได้มาให้ท่าน ปรากฎว่าท่านหาเสียทั่วแล้ว หาไม่เจอ ท่านบอกทุกอย่างเป็นยาได้หมด อาจารย์บอกว่าถ้าอย่างนั้นก็จบ ถ้ายังหาได้ก็ยังไม่จบ สอบผ่าน หาไม่เจอ ชัดเจนที่สุดก็คือ รักษาพระเจ้าจัณฑปัชโชค ท่านไม่สบายต้องกินยาเข้าเนยใสถึงจะหาย แล้วคนอื่นรักษาไม่ได้ เพราะว่าเข้ายาไปทีไร ท่านได้กลิ่นทุกที แต่ว่าหมดชีวกรักษาได้ เพราะว่าท่านใช้สมุนไพรตัวอื่นกลบกลิ่นมันก่อน มารู้ตอนเรอมันหายแล้ว (หัวเราะ)
    แต่ว่าชอบอยู่อย่างหนึ่ง มีอยู่ ๒ ครั้ง คือครั้งแรกท่านทำยาถ่ายถวายพระพุทธเจ้า ยาถ่ายนั้นไม่ต้องกิน แค่ดมเท่านั้นนะ อันนั้นเจอมากับตัวเอง เรื่องแค่ได้กลิ่นยาแล้วมีผลต่อการรักษา ถึงได้เชื่อว่าได้จริง ๆ แล้วอีกสูตรหนึ่ง ยาของหมอพร เสด็จในกรมหลวงชุมพร แก้หอบหืด เขาตำแล้วพอกกับหัวเข่า ไม่ได้เกี่ยวกันเลย หอบหืดเป็นที่ปอดใช่ไหม ? แต่หาย
    ส่วนอีกอย่างหนึ่ง แก้ผู้หญิงตกเลือด เขาจะใช้ถั่วเขียวกำมือหนึ่ง พอตำแล้วผสมน้ำนิดหน่อย ให้ลักษณะเหมือนแป้งเหนียว ๆ แล้วพอกหัวแม่เท้า เอาผ้าพันไว้ หายจริง ๆ จ้ะ ขนาดประเภทหมอรักษาไม่ได้ จะตายเอา ใช้วิธีนี้รักษาหาย ใช้พอกหัวแม่เท้า เอาผ้าพันไว้ แล้วหาน้ำเย็น ๆ ในตู้เย็น คอยหยดให้เปียกอยู่เรื่อย ๆ
    ถาม : แสดงว่าสมัยนี้ทุกอย่างก็ยังเป็นเหมือนเดิม พืชพันธุ์ธรรมชาติ แต่คนเราไม่มีความรู้เอง ?
    ตอบ : ทุกอย่าง แต่ว่าทิพจักขุญาณเสื่อมไป (หัวเราะ) ทิพจักขุญาณไม่คล่องตัวเหมือนสมัยก่อน สมัยก่อนเขาไม่ได้เรียนเฉย ๆ ส่วนใหญ่เรียนสมาธิควบคู่ไปด้วย
    ถาม : แล้วยาผีบอก ?
    ตอบ : ก็นั่นแหละ ถ้าหากว่าคุณไม่มีทิพจักขุญาณแล้ว จะติดต่อกับผีอย่างไรจ้ะ
    ถาม : บางคนเขาบอกว่า ผีมาบอกในฝัน
    ตอบ : ฝันก็ได้ แต่อย่าลืมว่าฝันที่จะแม่นน่ะ มีลักษณะกรรมนิมิต และเทพสังหรณ์ จัดเป็นทิพจักขุญาณอย่างอ่อน ต้องมีพื้นฐานนี้อยู่
    คราวนี้อีกตอนหนึ่ง ตอนที่ท่านทำยาถวายพระพุทธเจ้า ตอนปลงอายุสังขาร ท่านบอกว่าถ้าฉันเข้าไปแล้วอาการเป็นอย่างไร จะแสดงออกมาหมด พอพระพุทธเจ้าไม่ฉัน ท่านเลยเอาไปทิ้งลงไว้ในบ่อ แล้วน้ำก็ฟูมาถึงปากบ่อ คือยาที่แรงขนาดดันน้ำฟูได้ขนาดนั้น ถ้าอยู่ในร่างกายคน แล้วอาการไข้จะเหลือหรือ ? ก็ดันออกมาหมด ท่านก็รักษาตามอาการ แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่รับ เพราะว่าท่านปลงอายุสังขารแล้ว อีก ๓ เดือน ท่านจะปรินิพพาน ที่เมืองกุสินารา
    ถาม : หนูเคยขอเห็นท่าน แต่ท่านมาแบบประกายเจิดจ้า คิดว่าท่านน่าจะอยู่นิพพาน แต่มาอ่านหนังสือบอกว่าท่านมาเข้าทรงตอน พ.ศ. ๒๕๐๐ ท่านก็ร้องห่มร้องไห้
    ตอบ : พวกทรงนั้นไม่แน่ว่าของแท้ ทรงนี่ปลอมเกิน ๙๐ เปอร์เซ็นต์
    ถาม : แล้วจะดูอย่างไรว่าของแท้ ?
    ตอบ : ใช้ทิพจักขุญาณดู ถ้าไม่มีทิพจักขุญาณ ก็พิสูจน์ง่าย ๆ วิธีแรก ถ้าหากว่าเป็นของแท้ มาเป็นเวลา ไม่ได้มาพร่ำเพรื่อ เมื่อไหร่ก็ทรงได้
    ถาม : รู้ว่ามีองค์ลง แต่ว่าองค์ที่ลง ใช่อย่างที่บอกหรือเปล่าไม่รู้ ?
    ตอบ : ว่าปลอมไว้ก่อน เพราะเท่าที่เจอมาปลอมเกิน ๙๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าเจอที่เป็นของจริง ก็อยู่ลักษณะทดสอบท่านไม่ได้เหมือนกัน เพราะของท่านเก่งจริง ประการที่สองคือว่า ถ้าหากเป็นของจริง ท่านทั้งหลายเหล่านี้จะไม่เรียกร้องเงินทอง ส่วนใหญ่ต้องการแค่ความเคารพ คือจะเป็นพวกดอกไม้ธูปเทียนเสียมากกว่า หรือเงินบูชาครู ๓ บาท ๙ บาท ๑๐๘ บาท เต็มที่ไม่เกินนั้น
    บางสำนักท่านถึงขนาดจัดเตรียมไว้ให้คนไข้เลย คนไข้ไม่ต้องเตรียมไป ตกลงท่านไม่ได้อะไรเลย จนกระทั่งของบูชาครูก็เตรียมไว้ให้แล้ว ประการสุดท้ายคือว่า ถ้าเป็นของจริงสิ่งที่ท่านรับปากไว้ว่าจะช่วย ถ้าท่านบอกว่าช่วยได้ จะได้ผลตามนั้น ถ้าบอกว่าไม่ได้ ก็คือไม่ได้ เกินความสามารถเกินวิสัยของท่าน
    ถาม : แล้วถ้าเกิดเราเห็นว่ามีองค์มาจริง แต่เป็นองค์เทวดา (ไม่ชัด)
    ตอบ : จะอะไรก็แล้วแต่ท่าน จำไว้ว่า อย่าไปขัดคอเขา จะจริงจะปลอมไม่ควรไปขัดเขา พูดง่าย ๆ คือว่าประเภทต่างคนต่างอยู่เลย ต่อให้เข้าไปอยู่ในพิธี ก็กำหนดจิตบอกท่านว่า ท่านจะทำอะไรก็เชิญท่านตามสบาย เราไม่ยุ่งด้วยแค่ขอดูอย่างเดียว
    ส่วนใหญ่แล้วสิ่งที่เป็นของปลอม ท่านจะอ้างของสูงเพื่อความเลื่อมใสของคนหมู่มาก หลวงพ่อท่านเคยบอกว่า เล็กเว้ย ! ข้ายังไม่ตายเลย มันทรงหลวงพ่อฤๅษีลิงดำไป ๖๐ กว่าสำนักแล้ว นั่นเล่นทรงทั้งเป็นเลย (หัวเราะ) ยังไม่ทันจะตาย
    ถาม : (ไม่ชัด)
    ตอบ : มีอยู่อันหนึ่งคือว่า ตอนแรกจริง ตอนหลังปลอม เหตุการณ์นี้คือว่าเรื่องของพรหม เรื่องของเทวดา หรือเรื่องของพระนี่ เรียกว่าใครมาก่อนก็เป็นศิษย์ของคนนั้น บางทีช่วงเข้าทรงไม่ใช่วาระ ไม่ใช่เวลาของท่าน ตัวเองดันทะลึ่งไปขอให้ท่านทรง คนอื่นก็มาแทน พอมาแทนแล้วก็ติดใจ ต่อไปก็มาอีก ท่านนั้นก็เลยไม่มา กลายเป็นของปลอมไป
    ถาม : ตอนรับขันธ์ทำไมป้าของหนู ญาติ ๆ กันค่ะ (ไม่ชัด) พอไม่รับ สามีตาย ลูกตาย ตัวเองก็ป่วยมาก พอรับปั๊บก็หาย ?
    ตอบ : ท่านทั้งหลายที่มาทรงนี่ จะต้องมีกรรมอันเนื่องกันมาในอดีต ถ้าในอดีตเคยมีกรรมเนื่องกันมา เขาถึงจะมาอาศัยร่างของเราได้ แต่ว่าโดยความเป็นจริงแล้วก็คือ ถ้าเราไม่อนุญาตจริง ๆ เขาก็ใช้ร่างของเราไม่ได้ ยกเว้นจะกลั่นแกล้งให้เราลำบากจนกว่าจะยอมรับเขา มีบางคนผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก พอยอมรับเขาตั้งขันธ์รับเขาขึ้นมา ไม่กี่วันเท่านั้นก็กลับอ้วนท้วนสมบูรณ์เหมือนเดิม
    ถาม : ประเพณีของการรับขันธ์ ทั้งที่เราก็มีขันธ์อยู่แล้ว ?
    ตอบ : ลักษณะอย่างนั้นกลายเป็นว่า เขาต้องการคนนั้นเท่านั้น เพราะว่าคนอื่นที่จะมีกรรมเนื่องกันมาให้เขาอาศัยได้ ไม่มีไง เขาก็ต้องไปบีบเอากับคนนั้น ซึ่งจะทำให้คนนั้นเดือดร้อนอยู่ เคยต่อรองเขามาหลายรายแล้ว ต่อรองในลักษณะว่า อันดับแรก ถ้าหากว่าจะเข้าทรงอย่าให้มีอาการพิลึกพิลั่น จนกระทั่งเขาหรือครอบครัวของเขาต้องไปอับอายขายหน้าคนอื่น อย่างที่สองคือ สิ่งที่ช่วยเหลือคนอื่นขอให้มีผลจริงตรามนั้น และอันสุดท้าย ถ้าจำเป็นต้องใช้เขาจริง ๆ โดยที่เขาจะต้องสละเรื่องการทำมาหากิน อาชีพการงานตามปกติ มาเพื่อสงเคราะห์คนตามความต้องการของคุณ คุณต้องให้เขารวยก่อน เคยต่อรองมาแล้ว กี่ข้อ ๆ มันรับปากหมด มาข้อรวยก่อนนี่ มันหยุดกึก ขอคิดก่อน ถามว่าจะเอาหรือไม่เอา เอาก็ได้ ถ้าเขารับปากได้ ได้จริง ๆ ช่วยต่อรองมาหลายรายแล้ว (หัวเราะ)
    ถาม : ถ้าอย่างนี้เขาก็ไม่ใช่เทพสิคะ ?
    ตอบ : จะมีเทวดาก็มี พรหมก็มี พระก็มี แต่อาจจะเป็นพวกสัมภเวสี หรือว่ากาลกัญจิกอสุรกาย มหิทธิกาเปรตก็มี ก็ต้องดูว่าของเขาเป็นใคร ? แต่ถ้าหากท่านรับปากว่าช่วยให้รวย นั่นช่วยได้จริง ๆ
    ถาม : แปลกว่าคนที่หนูเล่าว่าเป็นป้า เขาให้รูปปั้นฤๅษีมา ก็เอามาไว้ที่บ้าน เมื่อก่อนก็อยู่ดี แต่พอหนูเริ่มปฏิบัติธรรม แล้วมีเอาหลวงพ่อมา ฤๅษีหล่นลงมาคอหักเลย (หัวเราะ) หนูเลยเอาไปทิ้งวัด
    ตอบ : นึกว่าบังเอิญแล้วกัน
    ถาม : หน้าฝน ฝนตกมากน้ำจะท่วม ผมไม่ได้หยุดฝน แต่ผมจะทำให้ฝนชลอ ตกเป็นช่วง ๆ ไม่ให้มาก ถ้ามากแล้วน้ำจะท่วม เพราะพื้นที่จะระบายไม่ทั้น ไม่ทราบว่าจะไปรอดไหมครับ ?
    ตอบ : ก็ขึ้นอยู่ว่าคุณทำได้จริงไหม ? อย่างนี้จริง ๆ ก็เป็นแค่ know how เอาไว้ก่อน แล้วต้องมีการทดสอบเพื่อยันยันผล แล้วผลที่ยืนยันจะเป็นผลแล็ปไม่ได้ ต้องเป็นของจริงด้วย ถ้าหากว่าของคุณเอาเขาไปพิสูจน์ไม่ได้ ก็ไม่รอดหรอก ความคิดดี มีโอกาสเป็นไปได้ ต้องลองดูก่อน นี่แหละ...คือสิ่งที่คุณจะเริ่มฝืนกฎของกรรม ลองดูก็แล้วกัน
    ถาม : ผมไม่ได้ฝืนมากครับ ผมฝืนนิดหนึ่ง
    ตอบ : นิดหนึ่งก็แค่ทั่วกรุงเทพฯ ไม่มากหรอก ๑๐ กว่าล้านคน คือถ้าเขาเคยกระทำสิ่งที่เป็นโทษมา ถึงเวลาเขาก็ต้องลำบากเดือดร้อน ลองดูก็แล้วกัน ถ้าหากว่าทำไปแล้วมีแต่คนขวางรอบข้าง แสดงว่าสิ่งนั้นยังไม่สมควร ถ้าทำไปแล้วมีแต่คนสนับสนุนก็สมควรทำแล้ว
    ถาม : พอรู้จริง ๆ ว่าเป็นกฎแห่งกรรม กฎนี้ห้ามทำ กฎนี้ห้ามละเมิด
    ตอบ : ไม่ได้ว่าอะไร บอกให้ไปทำเลย เพียงแต่บอกให้รู้ว่า จริง ๆ แล้วไปฝืนเรื่องของธรรมชาติเขา ธรรมชาติเขาให้คล้อยตาม เขาไม่ให้ไปขัดขวาง
    ถาม : คนที่เขาโดนน้ำท่วม แสดงว่าเขาเคยทำกรรมมา ?
    ตอบ : จะต้องมีกรรมที่เป็นอทินนาทานมาแน่นอนเลย
    ถาม : ถ้าหากว่าเราไม่เคยทำ สมมุติว่าจะโทษมีเหตุร้าย ?
    ตอบ : เอาอย่างนี้ จะยกตัวอย่างให้ฟัง คือหลวงตาปรีชา แกไปจำพรรษาที่วัดถ้ำสุมะโน พัทลุง วันนั้นน่ะน้ำท่วมหาดใหญ่ แกดันทะลึ่งคิดจะไปเยี่ยมโยมน่ะ แล้วแกก็ไปติดอยู่ ๕ วัน ยังดีที่กรรมน้อยหน่อย ห้องที่โยมเขายกให้ มีตู้เย็นมีอาหารเต็มตู้พอดีเลย แต่ก็ติดอยู่ ๕ วัน ตอนที่รถลอยตุ๊บป่องทั้งหาดใหญ่นั่นแหละ
    ถาม : ผมไม่เข้าใจครับ ผมเรียนทางโลกมา ฝรั่งเขาคิดว่า อะไรที่ต้องแก้ต้องแก้ทุกอย่าง ไม่ได้สนใจ แต่ถ้าคนไทยคิดว่ากฎแห่งกรรม ไม่ต้องไปแก้มัน ทุกอย่างไม่แก้ ๆ ก็ไม่ไปไหนสิครับ ?
    ตอบ : ก็บอกว่าลองดูได้ ถ้าหากว่าสำเร็จก็แปลว่าสมควรแล้ว ถ้าหากว่าไม่สำเร็จก็แปลว่าไม่สมควร ก็แค่นั้นเอง ไม่ได้ค้านนี่หว่า บอกให้ลองเสียด้วยซ้ำไป
    ถาม : กรรมที่ว่าบ้านพัง ของหายบ่อย ๆ นี่ ?
    ตอบ : อทินนาทานทั้งนั้นแหละจ้ะ พวกทรัพย์สินสูญหาย หรือว่าโดนภัยธรรรมชาติ พวกนี้เป็นเศษกรรมจากอทินนาทาน
    ถาม : แล้วกรรมพวกหลงทางไปไหนไม่ถูก ลืมง่าย ?
    ตอบ : เจตนาชี้ทางผิดให้คนอื่นหรือเปล่า ?
    ถาม : ในแม่น้ำโขง เราไม่ค่อยเจอหรือรู้เรื่องเกี่ยวกับจระเข้เลย เป็นเพราะว่าเรื่องพญานาคดังกว่า หรือเพราะว่าไม่มีจริง ๆ
    ตอบ : เจ้าเพชรรัตน์ รัตนวงศา เป็นอุปราชของประเทศลาวสมัยก่อน ท่านเป็นนักล่าสัตตว์ฝีมือดีด้วย พอมีจระเข้อาละวาดรบกวนชาวบ้านเมื่อไหร่ ท่านจะลงเรือกลไฟไล่ยิงกระจายเลย ไม่เหลือ ท่านเล่นเสียสูญพันธุ์เลย จะไปเหลืออะไร
    ถาม : อย่างแม่น้ำมูล แม่น้ำชี ?
    ตอบ : บางเที่ยวที่ท่านออกยิงมัน ท่านบอกว่าได้ถึง ๓๐๐ กว่าตัว แล้วพอหลาย ๆ เที่ยวเข้ามันไม่สูญพันธุ์หรือ เจ้าเพชรรัตน์ รัตนวงศา มาอยู่เมืองไทยตั้ง ๒๐ กว่าปีก่อนจะทิวงคตต ช่วงที่ลาวแตกท่านหนีข้ามมาอยู่เมืองไท ยเพื่อที่จะต่อสู้เรียกร้องเอกราชคืนจากฝรั่งเศส คุ้นเคยกับคนไทยดีมากเลย
    ถาม : ผมมีเพื่อนประมาณ ๓ คน อยากเป็นนายก อยากเป็นจริง ๆ เลยครับ ?
    ตอบ : คุณรู้ไหมว่าอาตมาเป็นนักเรียนทหาร แล้วสอบได้ที่ ๑ ของรุ่น ตอนนั้นกระแสปฏิวัติแรงมาก คือถ้าเราเอ่ยปากมันต้องช่วยน่ะ เพื่อน ๆ ก็บอกว่าถ้ามึงปฏิวัติสำเร็จ อย่างแรกที่มึงจะทำคืออะไร ? บอกจะปิดโรงงานสุรา โรงงานยาสูบ และกองสลาก เขาบอกมึงเป็นนายกได้ ๓ วัน ประเภททุบหม้อข้าวเขาทั้งนั้นเลย แล้วมาปัจจุบันนี้ก็ต้องมาบวชพระอยู่นี่ มันเกิดเร็วไป ถ้าเกิดสมัยนี้น่าจะมีสิทธิ์ ฉะนั้นทุกอย่างเราคิดได้ เราทำได้ แต่ว่าถ้าไม่ใช่วาระไม่ใช่เวลาของมัน ก็ต้องปล่อยให้คนอื่นเขา
    ถาม : อย่างที่เพื่อนผมเขาอยากเป็น เมื่อถึงเวลาก็ได้เป็น ?
    ตอบ : คนที่ว่า พอถึงวาระนั้น เวลานั้นทุกอย่างทั้งกุศลกรรมของเขาที่ทำมาแต่เดิม จะส่งผลให้ช่วงนั้นพอดี คน ๆ นี้จะนำประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองมาก เพราะว่าสิ่งที่ในหลวงวางรากฐานอยู่ เขาสานต่อได้
    ถาม : ผมจะใช้อย่างที่สองเป็นอย่างแรกได้หรือเปล่าครับ ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นอย่างแรกนี่ต้องใช้ความพยายามหน่อย เขาทำกันเป็นหมื่นเป็นแสนครั้ง ไม่ใช่ประเภทที่สองที่ไม่ได้แล้วก็บอกว่าผมจับไม่ได้เลย
    ถาม : นอกเหนือจากจับลมหายใจ แล้วมีวิธีอื่นไหมครับ ?
    ตอบ : วิธีอื่นคือ วิ่ง อาตมาเคยทำแล้ว คนเราบางทีถ้าหากว่าร่างกายดีเกินไป มันก็ไม่เอากะเรา มันมีแต่จะฟุ้งซ่าน วิ่งให้มันเหนื่อยลิ้นห้อยไปเลย เสร็จแล้วเสร็จกัน ก็นั่งตอนพักเหนื่อยจับลมหายใจมันจะได้เร็ว วิธีทรมานตัวเองไม่สังเกตเหรอ พระบางทีเดินจงกรมกันข้ามวันข้ามคืน ทรมานมันจนกว่ามันจะยอมรับ
    ถาม : ลองดูแล้ว ไปวิ่ง ๙ รอบ แล้วสวดอิติปิโสไปเรื่อย ๆ ทำได้พอจบแล้ว ก็จับอะไรไม่ได้แล้ว
    ตอบ : ตอนวิ่งน่ะได้แล้ว
    ถาม : แล้วจะต่ออย่างไรหลังจากที่เราวิ่ง
    ตอบ : ถึงเวลาเราก็พัก ถ้าหากว่าพักแล้วอยากทำต่อก็วิ่งใหม่ ขยันออกกำลัง การปฏิบัติยืนก็ได้ เดินก็ได้ นั่งก็ได้ ถ้าอิริยาบถนั้นไม่เอากับเรา ต้องเปลี่ยนอริยาบถใหม่ อาตมาเคยใช้มือเดินแทนเท้าเป็นกิโล ๆ ไปเลย ถึงได้บอกว่าตีลังกาก็สามารถภาวนาได้ ยืนยัน
    ถาม : คราวนี้เราพบว่าวิ่งแล้วสวดมนต์ได้แต่ในนั้นหาคำตอบไม่ได้เลย มันไม่เกิดวิปัสสนาขึ้น
    ตอบ : ถ้าวิ่งแล้วหยุดเดี๋ยวนั้นตอนนั้นแล้วก็ภาวนา ร่างกายของเราถ้าหากว่ามันมีที่จะต้องเหนื่อยจะต้องกลัวจิตมันจะรวมตัวง่าย ถ้าหมดทำจริง ๆ เดี๋ยวพาไปป่าช้า กลัวผีจะหักคอยังไงก็ต้องภาวนา
    ถาม : ไม่เป็นไร และถ้าว่ายน้ำอาการทำอย่างไร เพราะว่าเราต้องหายใจอยู่กับผิวน้ำ
    ตอบ : เราก็แค่รู้ มันหายใจแรงหรือเบา หายใจทางปากหรือจมูก มือไม้เคลื่อนไหวอย่างไร มันได้ทุกเวลาแหละสำคัญคือให้ทำจริง ๆ เท่านั้นแหละ
    ถาม : ทำไมหนูขี้เกียจจังคะ ?
    ตอบ : อันนั้นเป็นปกติ เขาเรียกว่ากลัวจะได้ดี ได้ดีเร็วไปเดี๋ยวกิเลสจะเศร้าหมอง ต้องตามใจมันหน่อย


    http://www.grathonbook.net/book/73.html
     
  2. MBNY

    MBNY Administrator ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2003
    โพสต์:
    6,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +22,504
    ถาม: หลวงพี่คะ ไปดูหนังเรื่ององค์บากมา ๒ รอบแล้ว
    ตอบ : เป็นอย่างไร ตกลงเป็นหนังไทยหรือหนังเขมรกันแน่
    ถาม : พระเอกหน้าเหมือนเขมรหรือคะ ?
    ตอบ : ไม่ใช่หรอก ชื่อออกไปทางนั้น สุรินทร์นี่ไม่กุยก็เขมร กุยคนไทย เรียกส่วย เขาจะมีภาษาพูดต่างหากของเขา อีกพวกนหึ่งก็เขมร แต่ฟังชื่อพระเอกแล้วเขมรชัวร์
    ถาม : นักมวยไม่ใช่หรือครับ ใช่มวยโบราณหรือเปล่า ?
    ตอบ : การต่อสู้ของโบราณเขาเรียก พหุยุทธ พหุ แปลว่า มาก จะใช้หมัด เท้า เข่า ศอก ศีรษะ ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเป็นอาวุธได้ทั้งหมด หลักการต่อสู้ขั้นต้นมันต่างกัน แต่ถ้าทำถึงตอนสุดท้ายมันเหมือนกัน จะเหมือนกันตรงที่ว่าหากก้าวขึ้นระดับสูงต้องใช้กำลังใจมากกว่ากำลังกาย จะใช้สติสัมปชัญญะควบกับสมาธิ
    ถาม : อีกหน่อยมวยไทยจะขึ้นมาเป็นอาวุธประจำชาติ คนรุ่นใหม่จะใช้เยอะ
    ตอบ : ตอนนี้ฝรั่งเขาจะเห่อมวยไทยกันมาก ต่างประเทศเขาจะมีค่ายมวยไทยเป็นปกติ หลายประเทศอย่างเนเธอร์แลนด์ ถ้าใครฝึกมวยไทยเขาต้องไปขึ้นทะเบียนมือไว้ เขาถือว่ามือเป็นอาวุธถ้าใช้ไปทำอันตรายคนอื่นผิดกฎหมายเท่ากับใช้อาวุธ
    ถาม : มือเป็นอาวุธหรือครับ ถ้าเราใช้ศอกแทนได้ไหม ?
    ตอบ : เหมือนกัน อวัยวะในร่างกายของคุณ ถ้าหากส่วนไหนที่คุณใช้เป็นอาวุธก็เสร็จเลย เขาป้องกันคนของเขาขนาดนั้น เพราะเขารู้ฤทธิ์มวยไทยดี
    ถาม : นี่ขนาดเป็นมวยเวทีนะครับ ถ้าเป็นมวยโบราณจะอย่างไรครับ ?
    ตอบ : มวยโบราณนี่ทีเดียวอยู่ ตั้งแต่อาตมาลงมือมายังไม่เคยซ้ำใครเลย เพราะฝึกแบบโบราณ มวยโบราณเขาจะมีแม่ไม้ลูกไม้และจะมีท่าลับไม้ตาย รับรองว่าทีเดียวอยู่ไม่ต้องซ้ำ
    ถาม : ถ้าหลวงพี่เป็นคนสอนมวยท่าจะดีค่ะ
    ตอบ : เคยสอนแล้วที่วัดท่าซุง สอนเด็กวัด วันแรกมีมา ๕-๖ คน วันที่สองมา ๒๐ กว่าคน วันที่สามเหลืออยู่ ๒ คน เด็กสมัยนี้ความอดทนไม่พอ เริ่มดันขึ้นมาก็จะเข้าท่าเลยไม่ได้ ต้องเริ่มจากพื้นฐานถ้าพื้นฐานไม่ดี โอกาสบาดเจ็บมีสูง สมัยที่หัดอยู่เฉพาะท่าก้าวเดินอย่างเดียวครูเขาให้หัดอยู่ครึ่งปีเต็ม ๆ ถ้าไม่ได้อย่างใจเขาไม่เปลี่ยนให้
    ถาม : ผมเองรู้จักคนเป็นมวยจีน มีตบมีเตะ ที่ลอยมาก มันต่างกันไหมครับมวยไทยกับมวยจีน ?
    ตอบ : ก็บอกแล้วว่า พอถึงจุดสุดท้ายแล้วมันเหมือนกัน
    ถาม : ผมเห็นมวยไทยที่ตี ๆ กันทุกวันนี้ไม่ค่อยท่าไหร่
    ตอบ : ไอ้นั่นเขาใช้กำลังกาย แต่ถ้าหากว่าคุณไปเจอของแท้แล้วคุณจะรู้ว่าเป็นอย่างไร ลักษณะเหมือน ๆ กับกำลังภายในเลยล่ะ อย่างพวกเหินเตะ ท่าหนุมานเหินหาว ของเราไม่มีใครเขาทำให้เห็น ปัจจุบันที่แสดงอยู่ก็มีอาจารย์สเกณฑ์ แก้วผดุง คนเดียว เขาเป็นอาจารย์เปิดค่ายมวยไทยอยู่อังกฤษ อันนั้นทำได้คือเขาให้ฝรั่งยืนขึ้นแล้วอีกคนหนึ่งขี่คอ เอาดาบเสียบลูกแอปเปิ้ลแล้วชูสุดแขน เขาเตะถึง
    ถาม : แล้วหลวงพี่เตะถึงไหมคะ ?
    ตอบ : สมัยนี้ไม่รู้ว่าจะไหวไหม
    ถาม : สมัยโน้นก็ได้
    ตอบ : สมัยโน้นให้คนล็อคคออยู่ เตะกบาลมันได้
    ถาม : หลวงพี่เปิดสอนดีกว่าค่ะ
    ตอบ : ก็บอกแล้วว่ามันอดทนไม่พอ ในเมื่ออดทนไม่พอไม่รู้จะว่าอย่างไร ช่วงที่ว่านั้นแหละ วันแรก ๕-๖ คน วันที่สอง ๒๐ กว่าเกือบ ๓๐ คน วันที่สามเหลือ ๒ คน แล้ว ๒ คนก็อยู่ได้ไม่ถึง ๗ วันก็ไปอีกแล้ว เขาอ้างว่าเขาจำเป็นต้องขึ้นเวทีเลย
    เขาก็ถามว่าคู่ต่อสู้ของเขามันรัดเอวตีเข่าเก่งมากจะทำอย่างไร ก็เลยบอกว่าถ้าเป็นผมก็สบายมาก คนเอามือมารัดเอวเราอาวุธมันหมดไป ๒ อย่างแล้ว หมัด ๒ ข้างมันไม่ได้ใช้แล้ว เขาบอกว่าถ้าปรานีเขาก็ให้เบา ๆ หน่อย แต่ถ้าไม่ปรานีไม่เห็นแก่อนาคตก็หักแขนมันทิ้งไปเลย เราดูตรง ๒ แขน ดูตรงจุดนี้จุดอื่นไม่ได้ งอศอกแนบตัวแล้วกระชากลงไป ถึงได้บอกว่ามวยไทยโบราณไม่ต้องซ้ำโดนตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น ไอ้คนแขนหักมันจะเหลือหรือ คุณลองจิ้มลงไปมันจะเป็นจุดอ่อนระหว่างแขนพอดี
    ลองดูว่าตั้งใจกระชากศอกลงไปเต็ม ๆ มันจะเป็นอย่างไร นั่น ๑ ใน ๓๖ จุดของร่างกาย มวยไทยเขาสอน มวยจีนเขาก็อาศัยเรื่องจุดเรื่องเส้นเหมือนกัน มันจะเป็นจุดอ่อนของร่างกายที่ป้องกันไม่ได้ เพราะว่าเราดันเอาแขนไปรัดเขา แล้วมวยไทยโบราณเขาอนุญาตให้เตะผ่าหมากได้ ตอนสมัยที่เรียนอยู่บอกว่า ครูครับทำไมถึงให้เตะผ่าหมากได้ ครูบอกว่าร่างกายคนมี ๒,๕๐๐ ตารางนิ้ว แค่ ๑๐ ตารางนิ้ว ป้องกันไม่ได้สมควรโดนจริงไหม
    ถาม : ที่เขาฟาดลงไปบนหัว ไม่ตายหรือคะ ?
    ตอบ : บนหัวไม่เหลือหรอกจ้ะ
    ถาม : เอาศอกลงไป หัวเป็นที่ ๆ แข็งที่สุดและก็เป็นจุดอ่อนที่สุดด้วยหรือคะ ?
    ตอบ : จุดอ่อนก็คือ อยู่ที่กลางหัวและขมับสองข้าง
    ถาม : แต่ว่าท่าที่เอาหัวชน อันนั้นเป็นอย่างไรคะ ?
    ตอบ : อันนั้นเขาใช้หน้าผาก กระดูกส่วนหน้าผากจะแข็งกว่า ท่านั้นเขาเรียกว่า ฤๅษีมุดสระ จะพุ่งใช้หัวชน โบราณคำว่าพยุหยุทธ เขาใช้อาวุธครบทุกส่วนกระทั่งหัวด้วย สมัยนี้หัวเขาไม่ให้แล้ว มีขบวนทุ่ม ทับ จับ หัก สมัยนี้ดันไปเรียกว่ายูโด ที่แท้เป็นมวยไทย บอกแล้วว่าแรก ๆ ต่างกัน แต่พอถึงท้าย ๆ จะเหมือนกันเพราะต้องใช้กำลังสมาธิควบกัน กำลังกายใช้ได้แค่กำลังอย่างเดียว แล้วยังมีประเภทเลี่ยงที่แข็งตีที่อ่อน ผ่อนหนักให้เป็นเบา อะไรพวกนี้
    ถาม : แต่ท่าที่ จา พนม เขาทำ หนูว่ามันเปิด ๆ คือเวลาตั้งการ์ดยังไงก็เปิด ๆ ค่ะ
    ตอบ : มันอยู่ที่ความคล่องตัว ของเขาบางอย่างเป็นการล่อให้คู่ต่อสู้เข้ามาทำ ก็อยู่ในลักษณะเปิดจุดอ่อน มวยไทยของเราถ้าหากว่าพลาดก็เสร็จเขาเลย เพราะมีหลายท่าที่ต้องล่อให้เขานำก่อน แต่ถ้าหากว่าเรากันได้แล้ว ใช้ท่าของเราออก เขาก็เสร็จเลยเหมือนกัน
    ถาม : ต้องหุ่นคนตัวใหญ่ ๆ แบบฝรั่งหรือเปล่าคะ ?
    ตอบ : ไม่จำเป็น ครูแนบ ชมศรีเมฆ เขาเป็นโปลิโอด้วย ต่อให้ลูกศิษย์ด้วยการนั่งอยู่บนครกตำข้าว ลูกศิษย์ ๔ คน รุมอยู่รอบตัวทำอะไรไม่ได้ ขนาดต่อให้ ๒ ขา เหลือแต่แขนแล้วนะ เป็นโปลิโอแต่เตะหนักมากเลย
    ถาม : อ้าว แล้วแกบังคับขาของแกได้อย่างไรคะ ?
    ตอบ : เขาไม่ได้เป็นจนกระทั่งบังคับขาไม่ได้ เป็นลักษณะสั้นข้างยาวข้าง อย่าเข้าไปในจังหวะที่เขาเตะถึงก็แล้วกัน
    ถาม : แล้วตำราที่ว่าด้วยเรื่องมวยไทยทุกจุดของร่างกาย
    ตอบ : ส่วนใหญ่สืบต่อกันมา ไม่ได้ไปผลิตขายเป็นตำรา แต่ว่าลูกศิษย์อาจารย์เดียวกัน คนหนึ่งคือ ปัญญา ไกรทัศน์ ซึ่งเห็นแก่เงินมากไป เอาไปทำเป็นตำราขายฝรั่งไปเรียบร้อยแล้ว สมัยก่อนถ้าอายุไม่ถึง ๒๕ ปี ครูเขาจะไม่ปล่อยให้ขึ้นไปต่อสู้กับใคร เขาถือว่ากระดูกยังไม่แข็งพอ แต่สมัยนี้เอาเด็กเพิ่ง ๑๐ ขวบขึ้นไปตีกันให้มั่ว
    ถาม : คำว่ากระดูกยังไม่แข็งพอ นี่หมายถึงว่าอาจจะหักง่าย ๆ หรือคะ ?
    ตอบ : พูดง่าย ๆ ก็คือว่า ถ้าหากคู่ต่อสู้อายุมากกว่าเขาก็จะไม่ให้สู้ด้วย เพราะว่าถือว่าเขากระดูกแข็งกว่า ผ่านประสบการณ์มามากกว่า เขาไม่เกี่ยงน้ำหนัก เขาเกี่ยงแค่อายุ น้ำหนักไม่เกี่ยง ตัวใหญ่ตัวเล็กแค่ไหนได้ทั้งนั้น แล้วอีกอย่างก็คือถ้าไหว้ครูท่าเดียวกัน ถือว่าเป็นศิษย์สายเดียวกัน เขาไม่ชกกันหรอก สมัยนี้เห็นกี่คน ๆ ขึ้นไปก็เทพพนม พรหมสี่หน้าเหมือนกันหมด
    ถาม : จะโดนฝรั่งซึ่งเขามีมาก ต่างชาติจะเอาวิชาไป
    ตอบ : ถ้าเรามีวินัย ฝรั่งทำอะไรไม่ได้หรอก เพราะว่าธรรมชาติเขาใช้คืนไม่เป็นดูอย่าง รามอน เดร็กเกอร์ ที่ชนะไทยได้ ก่อนชกแต่ละทีเขาซ้อม ๓ เดือน แล้วพี่มาดของเราซ้อมถึง ๓ วันไหม ถ้าเรามีวินัยแบบเขาก็สบาย มวยฝรั่งที่อายุการชกของเขามาก อย่างเช่นว่า ๓๐ กว่า ๔๐ หรืออายุ ๕๐ กว่ายังชกได้ เพราะว่าเขามีวินัยในการซ้อม เขาซ้อมจนกว่าเขาจะมั่นใจเขาถึงขึ้นชก ของเรามันมั่วไปรับสตางค์อย่างเดียว
    ถาม : กลัวอย่างเดียว เอาวิชาไปเบ่งพาวเวอร์กับคนไทยอย่างนี้ครับ
    ตอบ : จะไปยากอะไรล่ะ ยูโดใคร ๆ ก็รู้ว่าเริ่มที่ญี่ปุ่น แต่แชมป์โลกยูโดไม่เคยมีญี่ปุ่นสักที
    ถาม : แชมป์ซูโม่ ยังเป็นคนฮาวายเลย
    ตอบ : อเมริกัน ฮาวาย เป็นแชมป์มาตั้ง ๗ ปีซ้อนแล้ว บอกแล้วว่าวินัยต่างกัน ของเราพอไปถึงจุดหนึ่งสบายแล้ว จะขี้เกียจเหมือนลักษณะของเรา ฝึกสมาธิจะต้องขยันอดทน แล้วก็ทำสม่ำเสมอ
    ถาม : จะทำอย่างไรเกี่ยวกับการชดใช้กรรมที่ส่งผลมาชาตินี้คะ ?
    ตอบ : ไม่มีใครใช้หมดจ้ะ ควรทำความดีหนีกรรม การทำความดีที่มีกุศลมาก ๓ อย่างคือ
    ทาน คือ การให้ อันนี้เสียของเสียเงิน
    ศีล คือ การรักษาศีล มีอานิสงส์มากกว่าให้ทาน เป็น ๑๐๐ เท่า
    ภาวนา คือ การหัดทำสมาธิ มีอานิสงส์มากกว่าการรักษาศีล เป็น ๑๐๐ เท่า
    เพราะฉะนั้นถ้าหากจะชดใช้กรรมมันเป็นความคิดที่ดีคือ ให้มันหมดหนี้หมดสินไปเลย มันเป็นไปไม่ได้เพราะทำไว้เยอะเหลือเกิน
    ถาม : ถ้าเป็นพ่อถ้าเป็นลูก ช่วยได้ไหมคะ ?
    ตอบ : ก็ช่วยตรงที่ต้องแนะนำให้ท่านทำจ้ะ เรื่องของกรรมที่ว่าดีหรือชั่วก็ตามใครทำใครได้ ไม่ใช่ว่าพ่อทำแล้วถึงลูก หรือลูกทำแล้วจะไปถึงพ่อ แต่ว่ามีอยู่อย่างหนึ่งคือถ้าทำแล้วบอกท่าน ๆ พลอยยินดีด้วยท่านจะมีส่วนในผลบุญอันนั้น
    ถาม : แล้วถ้าหากผลบุญมากว่า จะพอช่วยได้ไหมคะ ?
    ตอบ : ถ้าหากผลบุญมากกว่ามันจะหนีห่างไปได้ชั่วคราว เหมือนกับหมาไล่กัดแล้วเราวิ่งหนี แต่ถ้าหากว่าเราประมาทชะลอฝีเท้าลงมันอาจจะไล่ทันอีก เพราะฉะนั้นเราทำความดีเราต้องเสริมมันให้ต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ หยุดไม่ได้ ต้องเป็นคนบ้าในสายตาขของเพื่อน สมัยนี้ถ้าหากเข้าวัดเข้าวาทำบุญใส่บาตรส่วนใหญ่เขาว่าบ้า ไปห้างเดินแฟชั่นดีกว่า
    ถาม : อาจหนักเป็นเบาใช่ไหมคะ ?
    ตอบ : จากหนักจะเป็นเบา จากเบาจะเป็นหาย แต่ว่าไม่สามารถจะชดเชยแก้กันได้ เพียงแต่ว่ามันหนีห่างออกไปได้ พระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าที่เข้านิพพานไปแล้วจนนับไม่ได้ ไม่มีใครใช้หนี้กรรมเก่าหมด มีแต่ทำดีจนถึงที่สุดแล้วหลุดพ้นไป ในเมื่อหลุดพ้นไปเจ้าหนี้เขาอยู่ที่นี่ ท่านอยู่ที่โน่น ตามทวงท่านไม่ได้ ก็จบแค่นั้น
    ถาม : เคยสวดมนต์ แล้วรู้สึกไม่ค่อยดีกำลังจะใช้กรรม แล้วสักพักหนึ่งก็รู้สึกเกิดเหตุร้าย ๆ ค่ะ
    ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ นั่นคือโชคดีที่เราสวดมนต์ไหว้พระ ถ้าหากว่าส่วนของความดีเราไม่ได้ทำอยู่ มันจะร้ายกว่านั้นอีก เมื่อกี้บอกแล้วมันผ่อนหนักเป็นเบานะจ้ะ ถ้าเราไม่ได้ทำมันจะหนักกว่านั้นอีก
    ถาม : พอสักระยะหนึ่งมันก็จะดีขึ้นค่ะ
    ตอบ : เพียงแต่ว่าของเราไม่ค่อยทำต่อเนื่อง พอรู้สึกตัวก้าวไปถึงไม่ดีก็เลิกดีก็เลิกเหมือนกัน ตกลงจะดีหรือไม่ดีตูก็ไม่ทำต่อทั้งนั้น แย่ล่ะสิ เหมือนกับเราหิวข้าววันละ ๓ มื้อ แต่เราไปกินทีแล้วเราก็พอแล้ว ไหวไหมล่ะ อีก ๓ วันก็ไส้แขวนขึ้นมาบนคอหอย
    การสวดมนต์ถ้าทำเป็นอานิสงส์มหาศาล เพราะว่าเป็นทานได้ เช่น เราตั้งใจจะไม่โกรธไม่เคืองใคร ไม่ฆ่าใคร ไม่ลักขโมยใคร ไม่ผิดลูกผิดเมียใคร เราเป็นผู้หญิงก็ไม่ผิดลูกผิดผัวใคร ไม่โกหกใคร ไม่กินเหล้า อันนี้เขาเรียกว่า อภัยทาน เราตั้งใจทำทานตรงจุดนี้ด้วยการนั่งสวดมนต์ คุณนั่งสวดมนต์อยู่ก็ได้แค่คิดเท่านั้น ไปทำไม่ได้ เป็นอันว่าส่วนนี้ได้
    คราวนี้พอเราอยู่ตรงนั้นให้เราตั้งใจว่า ส่วนของอภัยทานทุกข้อที่เราว่ามาก็คือ ศีล เราตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ส่วนของศีลเราก็ได้ ขณะเดียวกันถ้าเราสวดด้วยความตั้งอกตั้งใจจริง ๆ ใจจะตั้งมั่นเป็นสมาธิ ส่วนของสมาธิเราก็ได้ ตกลงบุญใหญ่ ๓ ตัวเราได้ครบเลย
    ดังนั้นว่าเราทำเป็นไหม ? ถ้าเราทำเป็นไม่ใช่แค่สวดมนต์ไหว้พระ แต่เป็นเรื่องทาน ศีล ภาวนา ไปในตัว พอเราทำแล้วหาจังหวะดี ๆ บอกคุณพ่อคุณแม่ บอกอย่างไรอย่าให้ท่านคิดว่าเราเพี้ยนไปแล้ว บอกท่านว่าเราได้ทำความดีตรงนี้ ขอให้ท่านโมทนาด้วย โมทนาคือพลอยยินดี ถ้าท่านไม่ด่าคืนมาก็เป็นอันว่าโอเคล่ะ ท่านจะได้มีส่วนในผลบุญนั้นด้วย
    แต่คนที่คอยโมทนาผลบุญของคนอื่นถึงเวลาเขาทำเราก็สาธุ มันมีจุดอ่อนอยู่นิดหนึ่งที่ว่าตัวคนทำต้องได้ผลก่อน คน ๆ นั้นถึงจะได้รับเพราะว่าไปอาศัยเขา ดังนั้นคนนั้นยังไม่ได้รับผลเมื่อไหร่ ตัวของคนที่คอยโมทนาบุญเขาก็จะไม่ได้รับผลตามนั้น สู้ทำเองไม่ได้
    ดังนั้นมีวิธีไหนบ้างที่จะแนะนำให้ท่านทำเป็นต้นว่า อาจจะเปิดเทปธรรมะ วีซีดีธรรมะ หรือว่าหนังสือธรรมะเอาวาง ๆ ทิ้ง ๆ ให้มันเกะกะลูกตาท่านเล่น ถ้าวันไหนท่านหยิบขึ้นมา เออ! ค่อยยังชั่วหน่อย ถ้าวันไหนท่านไม่หยิบขึ้นมาอ่านก็ไม่ต้องไปเคี่ยวเข็ญท่าน แต่ใช้วิธีทำที่ตัวเรา ถ้าตัวเขาตั้งใจปฏิบัติในทาน ศีล ภาวนา แล้วมีความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีเห็นได้ชัดเจน เป้ฯอันว่าไม่กลับบ้านดึก มากเอาแค่ตี ๒ ก็พอ ถึงเวลาท่านว่าก็ไม่เถียง รู้จักเก็บออมถนอมคำ ไม่โกรธใคร ไม่ว่าใครง่าย ๆ พอมันมีความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีเห็นได้ชัด เดี๋ยวท่านสนใจถามขึ้นมา ถ้าท่านสนใจแล้วถามขึ้นมา อีตอนนั้นเสร็จเราแน่ ๆ เลยจะจูงไปทางไหนก็ไปแล้วแต่
    คราวนี้ตัวเราสามารถทำได้ไหมว่า ให้มันมีผลที่ดีที่ท่านเห็นอย่างชัดเจน ตรงจุดนั้นมันต้องอาศัยความอดทน แล้วก็ให้ทำสม่ำเสมอ ถ้าเป็นภาษาพระต้องมีขันติบารมี คืออดทนพอ มีสัจจบารมีคือความตั้งใจจริงมากพอ ไหวไหมล่ะ ?
    ถาม : ทำก่อนนอนได้ไหมคะ ?
    ตอบ : ก่อนนอนได้จ้ะ และตื่นนอนเอาอีกนิดหนึ่ง ตั้งใจว่าตอนนี้เราจะนอนแล้ว ถ้าเหตุร้ายใด ๆ จะพึงมีพึงเกิดขึ้น ขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ช่วยปกปักษ์รักษาปัดเป่าให้ผ่านพ้นไป ขอให้ครอบครัวของเรามีความสุข ขอให้คุณพ่อคุณแม่มีความสุข ก้าวเข้ามาในทางธรรมะเร็ว ๆ
    พอตื่นนอนก่อนจะไปทำงานก็เหมือนกัน สวดมนต์ไหว้พระเสียหน่อย เราจะไปทำการทำงานแล้วอันตรายใด ๆ ที่จะพึงมีพึงเกิดก็อย่าให้เกิดขึ้นเลย ด้วยอำนาจของพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ ขอให้ปัดเป่ามันพ้นจากเราไป ขอให้ประสบแต่สิ่งที่ดี ๆ ขอได้จ้ะ เพียงแต่ว่าต้องทำให้พอ ถ้าทำพอเมื่อไหร่สิ่งที่เราขอมันจะได้ ถ้าทำไม่พอยังไม่ได้หรอกจ้ะ หาสตางค์ได้ ๒,๐๐๐ แล้วไปซื้อเบนซ์ไม่ได้หรอก ต้องรอให้ครบล้านแปดก่อน ต้องขยันสะสมความดีไว้เรื่อย ๆ จ้ะ


    http://www.grathonbook.net/book/73.2.html
     
  3. MBNY

    MBNY Administrator ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2003
    โพสต์:
    6,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +22,504
    ถาม: อยากรู้ว่าเมื่อไหร่บ้านจะมีความสุข ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าเรามีความสุขเมื่อไหร่ ทุกอย่างมันดีหมด สำคัญที่ใจเรา ใจเราสำคัญที่สุด ถ้าใจของเราดี กระแสความดีเป็นกระแสเย็นที่แผ่ออก คนรอบ ๆ ข้างจะค่อย ๆ ดีขึ้นมาเอง
    เพราะฉะนั้นไม่ต้องแก้ที่คนอื่น เราแก้ตัวเราได้ แต่เราแก้โลกภายนอกไม่ได้ เรื่องของคนอื่นแม้ว่าจะครอบครัวเดียวกัน มันเป็นเรื่องของโลกทั้งหมด โลกมันหนักเกินไป มันใหญ่เกินไป เพราะฉะนั้นแก้ที่ตัวเราพอ กำลังความดีพอมันจะเหมือนแม่เหล็ก มันจะค่อย ๆ ดูดเหล็กที่ใกล้ที่สุด คือคนในครอบครัวเข้ามาก่อน พอคนในครอบครัวเข้ามาอยู่ในวงจรเดียวกัน ในกระแสเย็นเดียวกัน ความสุขมันจะเกิดขึ้น ถึงแม้มันจะสุขไม่มาก แต่ว่ามันสามารถระงับความเร่าร้อนที่เกิดจากกาย-วาจาได้ ให้มันเหลือแต่ใจก็ยังดี ใจมันจะร้อนมันจะกลุ้มอย่างไรซึ่งมันให้เปลือกนอก
    สรุปแล้วบันดาลให้ไม่ได้ ต้องทำเองล้วน ๆ อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนต้องเป็นที่พึ่งของตน เวลาที่คนมาเลย์ คนสิงคโปร์มาจะมีปัญหามาก เพราะจะให้เสกให้มันเดี๋ยวนี้เลย บอกให้ไปทำเอง
    ถาม : พวกอิสลามหรือเปล่าครับ ?
    ตอบ : ไม่ใช่ เป็นพุทธเหมือนกัน แต่เป็นพุทธมหายานเสียเยอะ
    ถาม : มหายานเขาเสกได้หรือครับ ?
    ตอบ : เขาคิดว่าทำอย่างนั้นได้ เพราะว่าพระโพธิสัตว์อย่างพวกคุณไปทำให้เขา พระโพธิสัตว์บอกแล้วว่าเพื่อความสุขของคนอื่น ตัวเองยอมรับโทษทุกอย่าง ในเมื่อยอมรับโทษทุกอย่างก็ทำให้เขามีความสุขไป ตัเวองฝืนกฎของกรรมก็รับเละไปคนเดียว
    ถาม : หลวงพ่อคะ ถ้าเกิดสติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวอย่างนี้
    ตอบ : อันนั้นต้องตั้งใจภาวนา จับลมหายใจเข้า-ออก เคยทำไหมจ้ะ หายใจเข้า “พุท” รู้ว่ามันผ่านจมูก-ผ่านกลางอก-ลงไปสุดที่ท้อง หายใจออก “โธ” จากท้อง-มาอก-ไปจมูก แค่นี้เองง่าย ๆ สบาย ๆ ไม่ต้องไปบังคับลมหายใจ หายใจตามปกติแค่เรากำหนดรู้ตามไปเท่านั้น ถ้าความรู้สึกมันวิ่งไปจากลมหายใจ ไปคิดเรื่องอื่นปุ๊บดึงมันกลับมาใหม่ มันคิดถึงหน้าแฟน คนนั้นหล่อดี คนนี้รวยด้วย มีรถสวยอีกต่างหาก อะไรอย่างนี้ไม่ต้องคิด ถึงมันกลับมา เสร็จเรียบร้อยมาอยู่ที่นี่ใหม่ มันอาจจะ “พุท” ไม่ทัน จะ “โธ” ไปอีกก็ดึงมันกลับมาใหม่ แรก ๆ เหมือนกับลิง แรงมันดีเอาเชือกผูกคอมันไว้มันดิ้นตายเลย แต่พอนานไป ๆ มันจะค่อยนิ่ง เพราะว่ามันเหนื่อยแล้ว ตัวสมาธิมันจะเริ่มทรงตัว
    ถ้ายุคของพวกเราเหลวงพ่อสงสารมาก เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันร้อนมันเร็วไปหมด สมัยก่อนสมัยหลวงพ่อโทรทัศน์จะต้องค่อย ๆ ไปบิดเปลี่ยนช่อง สมัยเรารีโมทคอนโทรล ๓๐ เมตร เปลี่ยนได้มันเร็วเกินไป แล้วทุกอย่างต้องการอะไรก็คลิ๊กเอาง่ายดี อินเตอร์เน็ตมี ก็เลยทำให้สมาธิของพวกเราสั้น โดยเฉพาะอินเตอร์เน็ตก็ดี คอมพิวเตอร์ก็ดีมันจะทำให้พวกเราแย่ภายหลัง เพราะเราถือว่าทุกอย่างมีข้อมูลอยู่ในนั้น ถึงเวลาไปค้นเอา หัวของเราก็เลยว่างเปล่า ไม่ได้เก็บอะไรไว้ ถ้าใครทุบเครื่องคอมพิวเตอร์พัง รับรองได้ท่านทำอะไรไม่ถูก
    เพราะฉะนั้นพยายามสร้างสมาธิไว้ มันมีประโยชน์มหาศาล เพราะว่า อันดับแรก ทำให้เราอยู่สุขในปัจจุบัน ขณะที่คนอื่นเขาเร่าร้อนไปกับกระแสโลก แต่ของเราเองจะตั้งมั่นและมีสติ เหมือนกับว่าเวลาน้ำไหลมาแรง ๆ พัดทุกอย่างไปหมด แต่เราบังเอิญเป็นเสาที่ปักอยู่กลางน้ำ ถ้าหากสมาธิยิ่งมั่นเท่าไหร่ ก็คือเสาที่ยิ่งใหญ่และก็ยิ่งปักลึกเท่านั้น จะทำให้เรามั่นคงอยู่ได้ท่ามกลางกระแสนั้น เราก็จะไม่คล้อยตามเขาไปง่า ยๆ เพราะว่ามีสมาธิเป็นเครื่องช่วย
    อีกอย่างหนี่งก็คือสุขในสัมปรายภพ ถ้าหากคนที่สติสมาธิตั้งมั่นปัญญาจะเกิด จะเห็นช่องทางที่ดีที่ไป ถ้าตายก็เป็นเทวดา เป็นพรหม หลุดพ้นได้ก็ไปนิพพาน จะไม่ลงไปอบายภูมิง่าย ๆ กับใคร จะไม่ต้องไปเกิดเป็นสัตว์นรกให้เขาทรมาน ไม่ต้องไปเป็นเปรต อสุรกาย อด ๆ อยาก ๆ ไม่ต้องไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน
    ถาม : หนูเคยไปดูดวงมาค่ะ เขาบอกว่าเมษาจะดวงไม่ดีให้ไปสะเดาะเคราะห์ แต่มันทำให้เราตอนนั้นเราร้อนใจ เอ๊ะ! เราจะเกิดอะไรขึ้น เราจะเป็นอะไรไหมคะ ?
    ตอบ : ตัวนั้นแหละ เป็นวิธีหากินของเขา บรรดาพวกหมอดู พวกหมอสะเดาะเคราะห์ต่าง ๆ ตอนแรกเขาจะทักให้เรากลัว แล้วถ้าเราถามถึงวิธีแก้ของเขาเมื่อไหร่ แปลว่าเสียเงินมากทุกที ถามเมื่อไหร่จะหมดเคราะห์ จำเอาไว้ว่าเรื่องของดวงก็คือ กรรมเก่าที่เราทำมา ไม่ว่าจะดีจะชั่ว ดีที่เป็นส่วนบุญเรียกว่า กุศลกรรม ชั่วที่เป็นส่วนบาปเรียกว่า อกุศลกรรม เรียกกรรมทั้งคู่ กรรมดี-กรรมชั่วจะให้ผลกับเราตลอด
    ทางด้านโหราศาสตร์พวกพรามหณ์ พวกพราหมณ์เขาเก็บสถิติต่อเนื่องมาเป็นพัน ๆ ปี ในเมื่อเก็บสถิติต่อเนื่องมา สรุปได้ว่าคนที่เกิดวันเวลานั้นหรือใกล้เคียงนั้น ถึงวาระอายุเท่านั้น ๆ จะมีเรื่องดีหรือไม่ดีเกิดขึ้น คนที่เกิดเวลาเดียวกันหรือใกล้เคียงกันแปลว่า ทำบุญ-ทำบาปมาใกล้เคียงกัน ถึงวาระ ถึงเวลาผลบุญ-ผลบาปจะให้ผลคล้ายคลึงกัน แต่ว่าสูงสุดจะรู้ได้เต็มที่ได้ไม่เกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ส่วนใหญ่จะเหลือระดับ ๖๐ เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นเรายังมีโอกาสรอดอีก ๒๐ หรือ ๔๐ เปอร์เซ็นต์
    ถ้าหากว่าเราทำปัจจุบันดีผลกรรมที่เป็นอดีตจะส่งผลให้กับปัจจุบัน วินาทีถัดจากนี้ไปตรงนี้จะเป็นอดีตแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเราทำปัจจุบันนี้ให้ดีไปเรื่อย ๆ มันก็เป็นอดีตที่ดีส่งผลเพิ่มขึ้นมา อนาคตของเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้ เพราะฉะนั้นเรื่องของทาน ศีล ภาวนา ตัวบุญใหญ่ที่ว่า ๓ เรื่องนี้ ถ้าเราตั้งใจทำจริง ๆ ผลของกรรมเก่าให้ผลไม่เกิน ๒๕ เปอร์เซ็นต์ ไม่ต้องไปกลัวมันหรอก
    ถาม : แล้วอย่างหนังสือพรหมชาติ เชื่อถือได้ไหมคะ ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าเราแตกฉานชำนาญจริง ๆ เชื่อถือได้แต่ไม่เกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ยังมีพวกหัวแข็งเหนือบุญเหนือบาปคือ ๒๐ เปอร์เซ็นต์ที่เหลือนั่นแหละ คือพวกที่เอา ทาน ศีล ภาวนา เข้ามา ในเมื่อเขาเอาเข้ามา ผลบุญใหญ่ส่งผลบุญให้ อนาคตของเขาก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีเรื่อย ๆ ตำรามันจะผิด อาตมาทำเขาเผาตำรามารายหนึ่งแล้ว
    ถาม : หลวงพ่อคะ คู่บารมี คู่กรรม นี่คล้ายกันไหมคะ ?
    ตอบ : มันอันเดียวกันเลย แต่ใช้คำพูดต่างกันเท่านั้น เอาเป็นว่าคนเราที่เกิดมาแล้วจะแต่งงานอยู่กินด้วยกัน แบ่งเป็น ๒ ประเภท ประเภทแรกภาษาบาลีเรียกว่า บุพเพสันนิวาส คำว่า บุพเพ แปลว่า แต่ปางก่อน สันนิวาส คือการอยู่ร่วม เคยอยู่ร่วมกันมาแต่ปางก่อนคือเป็นเนื้อคู่กันมาก่อน อันนี้เราเรียกว่า คู่บารมี หรือคู่เวรคู่กรรม ก็ไม่ได้หมายความว่าจะดีทั้งหมด บางชาติผลของอกุศลคือ บาปเข้ามาส่งผล ก็อาจจะตีกันหัวร้างข้างแตกไป แต่ยิ่งตีกันเท่าไหร่ลูกดกทุกที ถ้าหากชาติไหนกุศลกรรมส่งผลให้ ก็อาจจะดีแสนดีเสียจนยิ่งกว่าพระก็มี
    อีกอย่างหนี่งก็คือว่า แต่งงานกันเพราะว่าเกื้อกูลกันจนเห็นใจกัน ในปัจจุบันจะเริ่มต้นนับหนึ่งกันในชาตินี้ ชาติต่อ ๆ ไปอาจจะเจอหรือไม่ได้เจอก็ได้
    ดังนั้นว่าเรื่องของคู่บารมีหรือเนื้อคู่ ใช้คำว่าเนื้อคู่ดีกว่า มีทั้งบุพเพสันนิวาส และเกื้อกูลกันในปัจจุบัน เป็นได้ทั้งนั้นแหละ คนไหนที่หมอบอกว่าเนื้อคู่ไม่มี ไม่จริงหรอก กวักมือข้องถนนตามมาเป็นฝูงเลย
    ถาม : พวกเกย์ล่ะครับ เกย์นี่เนื้อคู่ผู้ชายหรือครับ ?
    ตอบ : จริง ๆ อย่าไปตำหนิเขานะ เรื่องของการสร้างบุญสร้างบารมี วาระเวลามาถึงมันจะเป็นอย่างนั้น เรื่องการสร้างบารมีอันนี้ไม่ต้องเรียกร้องสิทธิสตรี ว่ากันตามความเป็นจริง ผู้หญิงบารมีจะน้อยกว่าผู้ชาย
    การสร้างบารมีจะมี ๓ ระดับ ๙ ขั้น คือ สามัญบารมี-ขั้นต้น อุปบารมี-ขั้นกลาง ปรมัตถบารมี-ขั้นสูง แล้วแต่ละขั้นจะมีหยาบ กลาง ละเอียด ถ้าหากว่ายังเป็นสามัญบารมี อุปบารมี ไม่เกินขั้นกลางจะต้องไปเกิดมาเป็นผู้หญิงก่อน พอเริ่มเป็นอุปบารมีขั้นปลายเขาจะกลับเป็นผู้ชาย ตอนเริ่มใกล้จะเป็นผู้ชายจะติดนิสัยผู้ชายมาเรียกกันว่าทอม แต่พอเริ่มเป็นผู้หญิงมาเป็นผู้ชายใหม่ ๆ ก็กลายเป็นตุ๊ดสายตาของเรา มันเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ว่าปัจจุบันพวกท่านทั้งหลายที่อยู่ระหว่างอุปบารมีมันเกิดมาก เราจะไปตำหนิเขา อันนี้ไม่ต้องไปตำหนิใคร
    ถาม : ไม่ใช่ว่าเขาเป็นอะไรหรือครับ ?
    ตอบ : ไม่ใช่อะไรผิดปกติเลย เป็นเรื่องปกติ แต่ว่ามีผู้หญิงบางประเภท ต่อให้เป็นปรมัตถบารมี คือขั้นสูงสุดแล้วก็ต้องเกิดเป็นผู้หญิงอีก ท่านทั้งหลายเหล่านี้มีประเภทที่ ๑. เนื้อคู่ของพระโพธิสัตว์ เพราะว่าเขาอธิษฐานตามกันมา ต่อให้สร้างบารมีมาถึงขั้นนั้นแล้วก็ต้องเกิดเป็นผู้หญิง
    ประเภทที่ ๒. ผู้ที่จะมาเป็นแม่ของพระพุทธเจ้าในชาติสุดท้ายอย่าง สันดุสิตเทพบุตร อย่าลืมว่าเทพบุตรลงมาเกิดเป็นนางสิริมหามายา ผู้ชายใช่ไหมแต่ต้องมาเกิดเป็นผู้หญิงเพราะว่า เขาอธิษฐานมาว่าจะต้องมาเป็นแม่ของพระพุทธเจ้า
    ส่วนประเภทที่ ๓ คือ เป็นผู้ชายแล้วแรดมาก แหม! พวกเจ้าชู้มากนี่มันจะโดนบังคับด้วยแรงกรรม ให้เกิดมาเป็นผู้หญิง เพื่อใช้โทษที่ตัวเองแรดมา (ขออภัยที่ใช้คำง่ายเกินไป) เพราะฉะนั้น ๓ ประเภท ต่อให้เป็นปรมัตถบารมีแล้วก็ต้องเกิดเป็นผู้หญิง คนไหนที่เปิดเผยแล้วก็พูดจาอย่างชนิดที่เรียกว่า กระจ่าง ชัดเจน นิสัยใจคอกว้างขวางเหมือนผู้ชาย อะไรนั่น ให้ระแวงไว้ก่อนว่าเขาเคยเป็นผู้ชายมา
    ถาม : แล้วอย่างเราเกิดมาอย่างนี้ ต้องมาเก็บกวาดบ้าน ทำกับข้าว รีดผ้าที่เราทำแบบนั้แสดงว่าก่อนหน้านี้เราเกิดเป็นผู้หญิงบ่อยหรือครับ ?
    ตอบ : ผู้ชายทุกคนต้องเป็นผู้หญิงมาอยู่แล้ว อาจจะไม่เคยเป็นผู้หญิงบ่อยก็ได้ เพียงแต่ชาตินี้ผู้หญิงเขามอบความไว้วางใจให้ ในเมื่อเขามอบความไว้วางใจให้ก็ทำไปเถอะ
    ถาม : หลวงพ่อค่อนข้างเชื่อเรื่องเวรกรรมอยู่แล้ว ถ้ารักมีอุปสรรค
    ตอบ : รักมีอุปสรรค สนุกค่ะ ถ้าได้มาง่าย ๆ ไม่สนุกหรอก ธรรมดาจ้ะ
    ถาม : แล้วถ้าเกิดดูพรหมชาติมาว่าเนื้อคู่คนนี้ ถ้าเกิดเขาบอกว่าไม่ใช่ เนื้อคู่คนนี้ จริงหรือเปล่าคะ?
    ตอบ : อันนั้นมันจริงตอนนั้น ก็บอกแล้วว่าเราเริ่มต้นนับหนึ่งได้ นั่นมันอาจจะไม่ใช่ในอดีต แต่เราจะเอาปัจจุบันนี้ อดีตไม่นับ เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่
    ถาม : หนูเป็นคนค่อนข้างแข็งนิดหนึ่ง เคยดูดวงแล้วรู้สึกอยากฝืนดวง จะทำให้ได้จะเอาชนะอะไรอย่างนี้
    ตอบ : ลักษณะอย่างนี้แหละ เราจะเป็น ๒๕ เปอร์เซ็นต์สุดท้าย พยายามทำมันให้ได้ มันได้จริง ๆ อาตมาเคยฝืนมาเสียเยอะแล้ว
    ถาม : แต่เรื่องศรัทธาพระหรืออะไร ตัวเองก็ศรัทธาพระพุทธเจ้า แล้วก็สวดในพระพุทธองค์ ไม่คิดว่าอัน ไหนขาด สำหรับตัวเองคือมุ่งไปจุดเดียว
    ตอบ : อันนั้นเกือบถูกร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว จำไว้ว่าถ้าจะเกาะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้เกาะตรงส่วนที่เป็นพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ คือส่วนของความเป็นนามธรรมว่าท่านดีอย่างไร แล้วเราเกาะความดีของ ท่าน อันนั้นไม่ใช่ไปเกาะตัวคน
    ถาม : บางทีก็รู้มาว่าเขาใช้สวดมนต์ไม่ถูกต้อง หรือเขารู้กัน
    ตอบ : อันนั้นเขาเรียก มิจฉาสมาธิ เขาสร้างสมาธิให้เกิดแต่ไปใช้ในทาง ที่ผิด อย่าไปยุ่งเลย ไม่สนุกหรอก เดี๋ยวเดือดร้อนไปด้วย ไม่ต้องไปสู้กับใคร หรอก ตั้งใจขอบารมีพระ ถึงเวลาก็ขออธิษฐานภาพพระก็ได้ ตั้งใจนึกถึงพระ พุทธเจ้าองค์ใหญ่ ๆ ครอบเราไว้ทั้งตัวเลย เวลาไปไหนขอให้ท่านคุ้มครอง จะได้ปลอดภัย มีอะไรอีกไหม ก็เรานั่นแหละ เหลียวไปหาใครมันจะหาย สงสัย บางทีไปถามพระที่อื่นเขาไม่ตอบก็มีหรือตอบไม่ถูกก็มี
    ถาม : หลวงพ่อครับ ก็ยังติดอยู่ดี จับลมหายใจไม่ได้
    ตอบ : ก็ไม่ได้ว่าอะไร ก็บอกแล้วว่าให้พยายามใช้แบบพระวัดท่าซุง สมัยแรก ๆ เขาอมฮอลล์ ไม่ได้พูดเล่นนะอมฮอลล์สัก ๓ เม็ดรวด เอา ฮอลล์เมนทอล พอหายใจเข้าแล้วมันจะเย็นตามไปมันจะจับได้
    ถาม : จะได้ถึง ๓ ที่หรือครับ
    ตอบ : ใช่ เรื่องของการจับลมหายใจเข้า-ออก ในวิสุทธิมรรคเขาบอกว่า ผุสนา คือ จับสัมผัสของมัน กับ อนุผัสนา ไม่เอาสัมผัส ของมัน ของเราถ้าหากไม่เอาสัมผัสแล้วเรารู้สึกเหมือนไม่ได้อะไรเลย ก็เอา มันเสียอย่างหนึ่งก็ได้คือเขาไม่เอาสัมผัสอะไรเลย เขาบอกว่าเหมือน อย่างกับว่าถ้าหากสัมผัสอยู่ที่เดียวอยู่ปลายจมูก เขาเปรียบเหมือนกับ ว่าปล่อยวัวออกจากคอก เราไม่ต้องไปสนใจว่าวัวข้างในมีเท่าไหร่ นับตัวที่ผ่านประตูคอกทีละตัวเดี๋ยวมันก็ครบเอง
    ดังนั้นมันรู้สึกแค่นี้ก็เอาแค่นี้ก่อน พอจิตละเอียดขึ้นมันจะรู้มากไปเอง ตอนนี้จิตยังหยาบ อยู่มันจะจับอากาศที่มันสัมผัสอยู่ข้างในได้ยากหน่อย ฉะนั้นเริ่มต้น ใหม่ ไม่ได้พูดเล่น พี่ ๆ ที่วัดท่าซุงเขาอมฮอลล์ภาวนามากันก่อน ไม่รู้จะทำอย่างไรมันจับลมหายใจยากจัง อมเม็ดเดียวไม่พอล่อไป ๓ เม็ดเลยจะได้รู้ พอหายใจเข้า แหม! มันเย็นชื่น มันต้องมีวิธีและก็ เคล็ดลับ บางอย่างท่ปี ระเภทดดั แปลงให้ได้ ถ้าไม่ได้สมาธิมันจะไม่ มั่นคง ลมหายใจเข้า-ออกเป็นตัวสร้างสมาธิที่ดีที่สุด เขาเรียก อานาปานสติ และอานาปานสติเป็นแม่บทใหญ่ เป็นพื้นฐานใหญ่ของ กรรมฐานทุกกอง พระพุทธเจ้าสอนว่า ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ อานาปานสติรองรับได้หมด
    ถาม : พอเรานั่งจับได้ตรงนี้ เกิน ๓ ครั้งแล้วก็หายไป
    ตอบ : เริ่มต้นดึงกลับใหม่ เมื่อกี้อย่างที่บอกเด็ก ๆ เขา พอมันหายก็เริ่มต้นใหม่
    ถาม : พี่ไก่บอกว่าไม่ต้องไปยุ่งกับมันอีกถ้ามันหายไป ก็เลยงงแปลว่าอะไร
    ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นในลักษณะที่ว่า มันหายไปเพราะสมาธิทรงตัวเป็น ฌาน เราก็แค่รับรู้เฉย ๆ ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน แต่คราวนี้คุณยืนยันว่ามันไม่ใช่ แน่ ก็ต้องกลับไปยุ่งกับมันใหม่ ถ้า ๓ ครั้งแล้วหายก็พยายามเอาครั้งที่ ๔ ให้ได้ เอาทีละแต้ม ๆ ขยับไปทีละกระเบียดไม่ต้องเอามาก คนอื่นเขา ก้าวไปทีละเมตรสองเมตรเราไม่ต้องไปยุ่งกับเขา เอาของเราทีละนิด ๆ นั่นแหละ มันจะเป็นการทดสอบความอดทนของเรา จะได้รู้ว่าขันติบารมี เราดีแค่ไหน เป็นการทดสอบความตั้งใจ สัจจบารมีของเราดีแค่ไหน เป็น การทดสอบความเพียรพยายาม คือวิริยะบารมีของเราดีแค่ไหน ถ้าทำได้ บารมี ๑๐ อยู่ในนั้นครบเลย
    ถาม : ถ้าเราเถียงแม่ละคะ เราไม่เถียงตอบแต่แบบให้เขาบ่นอยู่คนเดียว แล้วอีกอันเราก็ไม่ได้คุยกับเขา เราบาปไหมคะไม่คุยกับเขา?
    ตอบ : จำไว้ว่าเรื่องของบาป แปลว่า เราคิดชั่วด้วยใจ พูดชั่วด้วยวาจา ทำชั่วด้วยกาย ถ้าไม่ได้คิดจะต่อต้านท่าน เพียงแต่รู้ว่าเข้าใกล้โดนแน่ ๆ ก็เลยไม่เข้าไป ไม่ต้องไปพูด ไม่ต้องไปคลุกคลี อะไรมันก็ไม่เรียกว่า บาป เพราะเราไม่ได้ทำอะไร คนที่ทำคือแม่ต่างหาก แม่บรรเลงแล้วล่ะวจีกรรม เต็ม ๆ เลย ๒ รูหู
    ถาม : เมื่อคราวที่แล้วกระผมได้กราบนมัสการถามเกี่ยวกับเรื่องของหมอดู ว่า คนที่เป็นหมอดู ๆ ดวงให้บุคคลต่าง ๆ ตามหลักวิชาการนั้นไม่มีโทษ มีคำกล่าวของพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า ธรรมทั้งหลายล้วนมีใจเป็น ประธาน คำตรัสของพระพุทธเจ้าเป็นเช่นนี้แล้ว เมื่อคนที่ไปดูดวงได้รับ ฟังคำทำนายทายทักของหมอดูว่า จะต้องเกิดอาเพทเหตุร้ายหรือเหตุ การณ์ต่าง ๆ อย่างนี้แล้ว ผู้ฟังคล้อยตามทำให้เกิดเหตุนั้นได้หรือไม่?
    ตอบ : ถ้าหากว่าเชื่อแล้วไปมุ่งมั่นอยู่ในลักษณะที่ว่าเราต้องแย่แน่ ๆ เลย หมอดูเขาบอกว่าไม่ดีอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้ เหตุที่ไม่ดีจะเกิดกับเราลักษณะ นี้มันเหมือนกับแช่งตัวเอง ไอ้ที่แช่งตัวเองนี่กำลังใจเข้มแข็งก็แย่เหมือนกัน เพราะว่าท่านบอกแล้ว มโนเสฏฐา มโนมยา-สูงสุดที่ใจ สำเร็จที่ใจ ที่ใจ เราไปคิดว่ามันไม่ดีมันก็เลยพลอยไม่ดีไปจริง ๆ เท่ากับเปิดโอกาสให้สิ่ง ไม่ดีมันเข้ามา เราไปคิดว่ามันไม่ดีมันก็เลยพลอยไม่ดีไปจริง ๆ เท่ากับเปิดโอกาสให้สิ่ง ไม่ดีมันเข้ามา
    ถาม : และในเช่นเดียวกันถ้ามีบุคคลไปฟังคำทำนายหมอดู แต่ไม่ยอม รับคำทำนายนั้น ผลสะท้อนจะกลับไปยังหมอดูด้วยหรือไม่
    ตอบ : ไม่กลับ แต่ว่าถ้าหากว่ากำลังใจเข้มแข็งจริง ๆ เป็นผู้มั่นคงใน ทาน ศีล ภาวนา จริง ๆ สิ่งที่ไม่ดีนั้นสามารถผ่านพ้นไปได้ อย่างเก่งก็เกิดขึ้นเพียง เล็กน้อยไม่หนักมากอย่างที่เขาบอก
    ถาม : เมื่อบุคคลใดเชื่อฟังคำทำนายของหมอดูในปัจจุบันเป็นจำนวนมาก ไม่ได้คิดถึงทำคุณงามความดี แต่คิดในเรื่องลาภ ยศ เงินทอง เพศ และคู่ครอง อย่างนี้การดูหมอจะเป็นการโต้แย้งในเรื่องของกฎของพระ พุทธเจ้าหรือไม่?
    ตอบ : จะเรียกว่าโต้แย้งก็ใช่ แต่อย่าลืมว่าเขาเก็บสถิติกันมา แล้วสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นความดีความชั่วอะไรนั้น คนที่ทำมาใกล้เคียงกันมันก็จะเกิดในวาระ ที่ใกล้เคียงกัน ทำให้สามารถที่จะยำใหญ่รวมขึ้นมาเป็นหลักสูตรของ หมอดูเขาได้ ดังนั้นถ้าหากว่าเขาชี้แล้วว่าต้องเป็นอย่างนั้น ๆ แล้ว เราพยายามทำปัจจุบันนี้ให้ดี มันก็สามารถที่จะผ่านพ้นสิ่งที่ไม่ดี นั้นไปได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่ากำลังใจจะเข้มแข็งพอไหมเท่านั้นเอง
    ถาม : หลวงพ่อได้กล่าวในคำสอนว่า ผู้ที่ฝึกทิพจักขุญาณได้แล้ว ท่าน ว่าอย่าเป็นหมอดูอย่างนี้คนนี้
    ตอบ : คือว่าท่านบอกว่าให้เป็นหมอดู ไม่ใช่อย่าเป็น
    ถาม : ให้เป็นหรือครับ?
    ตอบ : เออ! ท่านบอกว่าถ้าได้ทิพจักขุญาณแล้ว อย่างน้อยต้องเป็น หมอดูให้ได้ถึงจะนับได้ว่าใช้ได้
    ถาม : วันนั้นไปฟังเทป ท่านบอกว่าอย่า ๆ เป็นหมอดู
    ตอบ : คำว่าอย่าเป็นหมอดูของคุณ ๆ ใช้ผิด หลวงพ่อท่านบอกว่าอย่า ไปเป็นขี้ข้าใคร
    ถาม : บุคคลที่รักธรรมชาติ ชอบและชื่นชมธรรมชาติ เวลาตายคิดถึง ความงามของธรรมชาติ ตายแล้วไปไหน?
    ตอบ : ตายแล้วไปไหน ถ้านึกถึงป่า ตายแล้วเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไม่รู้ว่า ชอบธรรมชาติของคุณมีอะไรบ้าง?
    ถาม : ภูเขา ต้นไม้ครับ
    ตอบ : เสร็จแหง ๆ เขาเรียกว่า กรรมนิมิต คือ นิมิตบอกเหตุ คือถ้าเห็นป่าจะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ถ้าเห็นไฟจะเกิดเป็นสัตว์นรก ถ้า เห็นดินแดนแห้งแล้งอดอยากจะเกิดเป็นเปรต อสุรกาย ถ้าหากว่า เห็นก้อนเนื้อจะเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าเห็นเทวดาอยู่หน้า-พรหมอยู่กลาง- พระอยู่หลังจะเกิดเป็นเทวดา ถ้าเห็นพรหมอยู่หน้า-เทวดาอยู่กลาง- พระอยู่หลังจะเกิดเป็นพรหม ถ้าหากว่าเห็นพระอยู่หน้า-พรหมอยู่กลาง- เทวดาอยู่หลังได้ไปนิพพานแน่ คราวนี้นิมิตอันนี้ดันไปจับอยู่กับป่า เขาลำเนาไพรเข้าก็มีสิทธิ์
    ถาม : เวลาไปตามร้านค้าต่าง ๆ เจ้าของร้านมักจะตั้งรูปพระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไว้ในร้าน ก่อนเปิดร้านก็จะทำการบูชาพระและตั้งใจอธิษฐานกับพระว่า ขอให้ขายของหรือสินค้าได้มาก ๆ อย่างนี้เป็นการสมควรหรือไม่?
    ตอบ : สมควร เดี๋ยวเราอย่าเพิ่งเถียงกัน อธิบายก่อน สมควรก็คือว่าเรื่อง ของพระพุทธเจ้านี่ไม่ใช่ศาสนาแห่งการร้องขอ เป็นศาสนาของเหตุและ ผล ถ้าคุณสร้างเหตุเพียงพอคุณตั้งความปราถนาเอาไว้กับอะไร จะได้อย่างนั้น แต่ถ้าคุณสร้างเหตุไม่เพียงพออธิษฐานให้ตายมันก็ไม่เป็น เพราะฉะนั้นลักษณะนั้นเป็นความตั้งใจของเขา ถ้าเหตุของเขาเพียงพอ เขาจะได้อย่างนั้น แต่ถ้าไม่เพียงพออธิษฐานไปเถอะลูกค้าไม่มาหรอกจ้ะ ต้องทำให้พอถ้าทำไม่พอมันไม่ได้
    ถาม : ปัจจุบันยังมีคำสอนของพระพุทธองค์ที่อธิบายว่า นิพพานัง ปรมัง สุญญัง-นิพพานมีสภาพสูญ ต้องการพระนิพพานเพื่อเข้าสู่ความดับ สูญของวิญญาณ ในขณะเดียวกันก็มีผู้ฟังและผู้ศึกษาเข้าใจว่าเป็นแบบ นั้น คนที่เข้าใจผิดมีผลเสียอะไรหนักหรือไม่?
    ตอบ : อันนั้นถือว่าเป็นมิจฉาทิฐิ ถ้าหากว่าตายจะมีอเวจีเป็นที่ไป เท่าที่ อาตมามีประสบการณ์เห็นคนที่สอนอย่างนี้ลงโลกันตร์ไปเลย ตอนแรก ก็สงสัยเพราะว่าโลกันตร์ที่โทษมันหนักหนาสาหัสมาก โอกาสที่คนจะลง มีน้อยมาก แต่วันนั้นลงไปบังเอิญเจออาจารย์ใหญ่ท่านไปอยู่ที่นั้น ก็ ถามว่าทำไมถึงลงโลกันตร์เพราะว่าโทษมันหนักเหลือเกิน มัน ๔ เท่า ของอเวจีถึงลงโลกันตร์ได้ ท่านบอกว่าท่านสอนคนเป็นมิจฉาทิฐิ คนเป็น ต้องตกอเวจีมหานรก กว่าจะไล่ครบทุกขุมตามกรรมที่เคยทำมา กว่าจะ เป็นเปรต กว่าจะเป็นอสุรกาย กว่าจะเป็นสัตว์เดรัจฉาน กว่าจะเกิดเป็นคน มันนานเหลือเกิน ทำคนให้ห่างความดีได้เนิ่นนานขนาดนั้นและจำนวน มากขนาดนั้น โทษของเขาเลยหนักกลายเป็นลงโลกันตร์ไปเลย อันนี้ เป็นนิทานเฉย ๆ เล่าให้ฟังไปคุยมา ใครสอนว่านิพพานสูญก็ระวังไว้เถอะ
    ถาม : ...................?
    ตอบ : แต่จำไว้ว่ากรรมที่ทำให้สัตว์เกิดนั้นมีอยู่ ถ้ากรรมที่ทำให้สัตว์เกิด นั้นไม่มี ทำยังไงมันก็ไม่เกิด โพธิราชกุมารพยายามจะมีลูกแทบเป็นแทบ ตายมีไม่ได้ เพราะว่าไปทำกรรมหนักเอาไว้เลยมีลูกไม่ได้ ชาติหนึ่งแกเคย เป็นพ่อค้า ไปค้าขายทางเรือแล้วเรือแตกไปติดเกาะ เกาะมีนกอยู่เยอะ มัน ไม่เคยเจอคนมันก็ไม่หนี แกก็เก็บไข่นกกิน กินไข่นกจนหมดก็ยังไม่มีเรือ ผ่านมา แกก็เลยเก็บลูกนกกิน กินลูกนกจนหมดก็ยังไม่มีเรือผ่านมา แกก็ เลยฟาดพ่อนกแม่นกไปด้วย พระพุทธเจ้าก็เลยบอกว่าโพธิราชกุมารถ้า หากว่ากินเฉพาะไข่นก วัยหนุ่มสาวจะไม่มีลูกจะมีลูกวัยกลางคนกับวัย ชรา ถ้าหากว่ากินแค่ไข่นกกับลูกนก วัยหนุ่มสาวกับวัยกลางคนจะไม่มีลูก จะไปมีลูกวัยชราอย่างเดียว แต่นี่เขากินทั้งพ่อนกแม่นกไปด้วย ชาตินี้ยังไง ก็ไม่มีลูก
    เพราะกรรมที่ไปทำเขาถึงขนาดนั้นมันส่งผลให้พอดี ตกลงโพธิ ราชกุมารก็เลยไม่มีลูก แกนิมนต์พระพุทธเจ้าไปแล้วก็ปูผ้าขาวตลอดทาง ตั้งแต่ประตูวังจนถึงพระราชฐานชั้นใน อธิษฐานว่าถ้าแกจะมีลูกขอให้พระ พุทธเจ้าเหยียบผ้าขาวอันนี้ พระพุทธเจ้าไปถึงสั่งพระอานนท์รื้อหมดเลย แล้วก็บัญญัติเอาไว้ว่าห้ามภิกษุเหยียบบนผ้าขาวตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา กลัวเขาอธิษฐานไว้
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...