ช่วยแนะนำผมทีครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย บุตรเดียว, 22 กุมภาพันธ์ 2018.

  1. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    ตกภวังค์ครับ
     
  2. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ถ้าเอาจริงๆหลับหรือตื่นก็ให้ผลแบบเดียวกันคือรู้ว่านี่หลับนี่ฝันนะ..ยิ่งถ้าทุ่มเทมากเพราะอยากรู้แรกๆ...จะมีสิ่งติดค้างแต่สติปัญญาไม่สามารถหาคำตอบได้จึงดูเหมือนถูกกระตุ้นตลอดเวลาเคยเป็นเหมือนกันแต่นานมาแล้ว...เมื่อเราเข้าไปในที่ที่ไม่เคยเห็นไม่เคยรู้สึกมาก่อนเราจะตกใจบ้างหรือสงสัยบ้างหรือกระทั่งกลัวบ้างแต่...สิ่งที่เราจะพบคือเมื่อทำซ้ำในปัจจัยเดียวกันหมายถึงสร้างปัจจัยให้คล้ายกันมากที่สุดเราจะไม่พบ...นี่คือความวิเศษของจิต...การจะคลายจากสิ่งที่ทำนั้นต้องอาศัยปัญญาเท่านั้นและปัญญาที่ว่าคือสติ...แล้วเราจะพบอีกครั้งแต่ความรู้สึกต่างกันคือไม่ตื่นเต้นและตกใจกับสิงงที่พบเห็น
     
  3. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ส่วนสัปหงกคือสภาวะที่จิตรับรู้ในส่วนของความรู้สึกแต่ไม่รับรู้ในส่วนของกายที่จริงก็สัมพันธ์กันคือ จิตที่สงบจะรับรู้โดยละเอียดมากกับสิ่งที่เกิดกับกายถามว่า เรานั่งสมาธิใช้การพิจารณาลมคือเราจะรู้แค่ลมเท่านั้นจริงๆเหรอ...เพียงแต่เราให้ความสำคัญในการพิจารณาไปที่ลมแต่ส่วนอื่นก็ยังรับรู้เต็มที่คือไม่ว่าเราจะพิงพนักหรือไม่กายจะเลือกจุดที่นิ่งและไม่คลอนเคลงมากที่สุดเสมอแต่นิ่งอาจคอตก..แต่ไม่สัปหงกหรือหมุนไปมา
     
  4. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ถ้ายังไม่เข้าใจก็ลืมตาแล้วทำเหมือนเดิม...คือให้ความสำคัญที่ลมหายใจแต่ลืมตาถ้าหลุดจะรู้ได้เองว่านี่เรียกว่าภวังค์
     
  5. ชั่งเถอะ

    ชั่งเถอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +339
    วิจารณ์ไม่กล้าครับ ความรู้ผม ไม่สามรถวิจารณ์ ธรรมได้ครับ

    หากจะให้อธิบายตามความรู้ ตามความเข้าใจตามลักษณะอาการที่เคยเป็นยังพอจำได้ครับ อาจมีตกหล่นบ้างตามกาลเวลาที่ผ่านมานานครับ
    ขอออกตัวก่อนว่าอาการเริ่มต้นพวกนี้ผมไม่มีมานานมากแล้ว ฌาน 2 ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปเวลานั้งกรรมฐาน หรือจะทรงฌาน 2 ในระหว่างวันก็ไม่มีอาการพวกนี้เพราะเป็นการใช้ในการทำงาน พูดคุย ผมกำลังอยู่ในช่วงฝึกการใช้ ฌาน 2 ในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ตื่นจนหลับ หรือจะละออกไปฌานอื่น เวลานั้ง ภาวนา เท่านั้น พร้อมกับดูจิตตัวเองไปในตัวดูอารมณ์ ต่างๆที่เกิดขึ้นครับ

    อาการ ฌาน 2 มีดังนี้
    เมื่อเราตั้งมั่นอยู่ใน ฌาน 1 ดีแล้ว ทรงเต็มฌานละเอียดดีแล้ว ระดับหนึ่งคำภาวนาจะหายไปเอง ในลมเดียว หากเป็นช่วงระยะเริ่มต้นของผู้ฝึก ใหม่ ส่วนมากจะไม่รู้ตัวว่าหายไปตอนไหน จริงๆ ตามที่ผมสั้งเกตุตัวเอง ลองพยายามนึกภาวนาใหม่มันจะนึกไม่ออกจริงๆ ต้องใช้ความพยายามสักนิดในการนึกภาวนา และไม่ใช่ว่านึกคำภาวนาออกแล้วฌานมันจะตกลงมาที่ฌาน 1 เลยทีเดียว แต่มันจะค่อยๆคลายออก ที่ละเล็กละน้อย 2-3 ลม แต่หากมีสติดี สักพักคำภาวนาจะหายอีกโดยที่เราไม่ได้เจตนาจะละคำภาวนาเอง เริ่มแรกผู้ฝึกยังไม่ชำนาญก็จะละออกยากหน่อยหากสติแข็งหน่อย แต่หากสติอ่อน ฌานจะขึ้นๆลงๆ ไม่คงที่ในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างฌาน1 และ 2

    หากจะถามผมว่าทำไมคำภาวนาหายไปได้ อันนี้ผมไม่มีปัญญาพอจะตอบได้ครับ รู้แต่มันหายไปเองโดยธรรมชาติของฌาน 2

    ส่วนอาการ โงกหน้าหลังที่ว่าอันนี้พออธิบายได้ครับ จากการสังเกตุส่วนตัว จริงๆ ร่างกายเรามันโยกตลอดเวลาอยู่แล้ว ตามการเต้นของหัวใจจังหวะชีพจร เส้นเลือดหัวใจมันปั้มตลอด เป็นจังหวะ ร่างกายเราก็โยกตามจังหวะนั้นละครับ แต่มันโยกน้อยมากแทบไม่รู้สึกเวลาปกติ หากสังเกตุดีๆ จะสามารถจับอาการโยกพวกนี้ได้ครับ ทีนี้ ฌาน1กับฌาน 2 จิตละเอียดมากหน่อย

    หากค้างนานๆ ใน ฌานทั้ง 2 นี้ จิตละเอียด แต่ยังละกายได้ไม่หมดยังมีความรู้สึกในกายอยู่ พอนั้งนิ่งๆ จิตก็เลยจับอาการโยกเล็กๆ นี้ได้ครับ ให้รู้สึกโยก เยอะมาก เพราะจิตมันละเอียดมากนั้นเองเลยรู้สึกเยอะ จริงๆ โยกไม่ถึง 1 มิลลิเมตรด้วยซ้ำ

    อาการต่างๆ ไม่ได้มีแค่โยก มีครบหมดทุกอย่างครับ แล้วแต่จิตนั้นจะไปจับที่ไหน เส้นประสาทคนเราอยู่ที่ หัวเยอะมาก มือก็เยอะ ที่เหลือก็รองลงไป อาการหัวโต มือใหญ่ ก็เพราะจิตมันไปจับได้ส่วนมากไม่รู้ไม่เข้าใจ พึ่งเคยเจอครั้งแรก คิดว่ามันน่าสนใจเลยไปยึด ยิ่งยึด ยิ่งเพ่งดูมันยิ่งไปกันใหญ่ จริงๆ ไม่มีอะไรเลย แค่อาการต่างๆ ที่มันมีอยู่แล้วตามธรรมชาติของร่างกายเราเองครับ

    ครูบาอาจารย์ พาเรียกอาการพวกนี้ว่า ปิติ ผมก็เรียกตามท่านสอนมา แต่ปิติตัวจริงๆ ผมว่าไม่ใช่อาการพวกนี้ ปิติมันมีแค่อาการชุ่มชื่นหัวใจ+กับมีความสุขด้วย แต่ยังจับสุขได้ไม่ชัด เพราะมีปิติกับอาการพวกนี้บังอยู่

    ตามความจำพอจะบรรยายออกมาได้เท่านี้ครับ อาจมีตกหล่นบ้างขออภัย ท่านชี้ให้ดูในส่วนที่ผมตกด้วยครับ หรือผมเข้าใจคลาดเคลื่อนตรงไหน

    สักนิดนึง อาการพวกนี้ครูบาอาจารย์ผม สายวัดป่าท่านไม่เคยสอนเรื่อง ฌาน เลย มีแค่ 3 อย่างเท่านั้นคือ ขนิก อุปจาร กับ อัปปนาสมาธิ พอครูบาอาจารย์ผม ท่านมรณะภาพไปผมก็เลยเควงไปหาลยปี เท่าที่เข้าใจผมพอจะเทียบที่ ท่านสอนได้ดังนี้ครับ

    ขนิกสมาธิ = สมาธิเด็กอนุบาลก็ทำได้ ท่านว่าอย่างนั้น
    อุปจารสมาธิ = ละเอียดขึ้นมาหน่อย ฌาน 1-3 ตามอาการต่างๆ ที่ท่านอธิบายให้ฟังครับ
    อัปปนาสมาธิ = ละเอียดที่สุด คือ ฌาน 4

    ระดับที่เทียบให้นี้คือท่านสอนมาอย่างนี้อาการอย่างนี้ ผมมาเทียบเองทีหลังครับ เมื่อได้ฟัง หลวงพ่อฤษีท่าน ครั้งแรกก็งง ฌานอารายไม่รู้จัก

    เจริญในธรรมครับ
     
  6. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    เคยมั้ยครับคำบริกรรมมีอยู่โดยที่เราไม่ต้องไปกำหนด
    ลมรู้ได้เองโดยไม่ต้องเพ่งหรือกำหนด
     
  7. ชั่งเถอะ

    ชั่งเถอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +339
    นี้คือลักษณะของผู้ที่ภาวนาจนเป็นนิสัย เป็นประจำจนมันติดตัวติดใจ ตื่นขึ้นมาก็ภาวนาเอง มีความรู้ทั่วตัวตลอด
    อยู่ในสมาธิตลอด ไม่เกินฌาน 1 ครับ

    ผมเคยเป็นมานานจนเมื่อถึงปลายปีที่แล้ว ตอนนี้หายไปแล้วเพราะฌานมันเลื่อนพัฒนาขึ้นมาอยู่ ฌาน 2 ได้จนเป็นปกติครับ พยายามรักษา ฌานหลุดก็รู้ว่าหลุด ก็ภาวนาเข้าใหม่ ถึงฌาน 2 ก็หายไป การเจริญในสมาธิผมมีความก้าวหน้าเรียกว่าช้ามากๆ เต่าเรียกพี่ แต่หากได้แล้วก็ได้เลย เสื่อมก็พักเดียว แล้วเจริญใหม่แล้วจะมาติดอยู่ตรงที่เคยติดนั้นละ ค่อยๆ ก้าวหน้าน้อยๆ อย่างมั่นคง

    ไม่ทราบว่าเจ้าของกระทู้คุณ บุตรเดียวเคยเป็นหรือไม่ครับ หรือเป็นอยู่ในขณะนี้
     
  8. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
  9. pinit417

    pinit417 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +164
    ถ้าคำภาวนาหายไปในฌานที่ 2นี้ จิตจะเอาอะไรเป็นเครื่องยึด เพื่อไปต่อ ฌานที่ 3ครับ..

    คือเรื่องของเรื่อง ผมไม่ค่อยใส่ใจว่าฌาน 1-4 มีอะไรบ้างเป็นอย่างไร...แต่พอมาอ่านในโพสนี้เลยสงสัยขึ้นมา ไปsearch googleก็ไปเจอ linkที่ผมโพสถามคุณไป... อ่านไปเจอคำอธิบาย ฌาน 2เลยงงๆ...
    เพราะจากที่ประสบมา.. จะไม่เจอ คำภาวนาหายแต่ลมหายใจยังอยู่... มีแต่ลมหายใจละเอียดขึ้นเรื่อย แล้วคำภาวนากับลมหายใจ มันหายไปพร้อมกัน...

    สรุปมันเป็นฉันใด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กุมภาพันธ์ 2018
  10. pinit417

    pinit417 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +164
    ต้องถามก่อนว่า มีสติดีไหม...หรือว่าเผลอ แต่พอมีสติแล้วเอ๊ะนี่เราภาวนาโดยอัตโนมัตินี่ (คือไม่ได้มีสติกำกับ).. อย่างนี้หรือเปล่า
     
  11. pinit417

    pinit417 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +164
    ครับ พึ่งเป็นอยู่เหมือนกัน.. ไม่รู้ทำสมาธิแบบคุณหรือเปล่า... แต่คร่าวๆผมพึ่งลองเปลี่ยนแปลงวิธีสมาธินิดหน่อยเพื่อดูว่ามันจะทำได้ง่ายขึ้นไหม โดยการเอาสติหนักแน่นอยู่ที่พุทโธ ส่วนพุทโธก็ตามความสั้นยาวของลมหายใจ... กล่าวคือ เวลาหายใจเข้า...พุทก็ตามลมเข้าไปด้วย เวลาหายใจออก โธก็ตามลมออกมา ปรากฏว่าทำไปซักพักมันจะ แบลงค์คือมืดไปเลย ไม่มีสติด้วยนะ...พอซักพักก็จะรู้ตัว คำภาวนาก็ไม่ได้ภาวนาแล้ว ประมาณนี้...... ซึ่งส่วนตัวผมว่า ไม่น่าถูกต้องนัก เพราะเวลาที่มัน แบลงค์ไปเนี่ย มันดันไม่มีสติกำกับอยู่... น่าจะผิดทาง..

    วันนี้ผมพึ่งลองใหม่ สติหนักแน่นที่พุทโธ พุทโธสั้นยาวเท่าขนาดลมหายใจ แต่ทีนี้ไม่ตามลม..แต่ตั้งพุทโธไว้ที่ฐานจิต อยู่ที่ปลายจมูก โดยพยายามไม่ละออกจากฐานเลย...อันนี้ดีขึ้น ไม่มีแบลงค์ จิตสงบดี มีสติกำกับดี...
     
  12. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014



    เสริมด้วยการเดินจงกรมครับ
    อยู่ในห้องก็ได้ ไม่ต้องเดิน ก้าวละหนึ่งนาที
    จะทำให้เกิดสมาธิเร็วขึ้น แล้วก็ทรงสมาธิได้นานขึ้น
    จะทำให้ไม่ง่วงนอนด้วย
    เมื่อไหร่ที่ง่วงปุ๊บ ก็ออกเดินปั้บเลย อย่าให้ขาดตอน
    หรือ ง่วงหลับไป
    ต่อไปก็ เปลี่ยนเป็น ยืนทำสมาธิ

    นั่ง ยืน เดิน ทำสามอย่างนี้ให้ชำนาญ
    จะแก้อาการง่วงได้ครับ
     
  13. ชั่งเถอะ

    ชั่งเถอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +339
    แนะนำคุณพินิจแบบนี้ครับ อาการแต่ละคนอาจมีต่างกันบ้างไปตามนิสัย ตามสภาวะหรือตามอารมณ์ที่มีส่วนนะขณะนั้น เรื่องลมละเอียดจนหายไปเลยในฌาน 2 คือหมายความว่าคุณพินิจ มีสมาธิดีมาก ละเอียดมาก แทบจะแยกกายกับจิตออกได้ตั้งแต่ ฌาน 2 เลยทีเดียว

    บางคนถ้าถาม เค้าจะบอกลมหายตั้งแต่ ฌาน 1 ก็มี 2 ก็มี 3 ก็มี 4 ก็มี หรือบางคนลมหายใจไม่หายก็มี คือแยกกายกับจิตได้ แต่จิตรู้ว่ามีกายอยู่ ถึงฌาน 4 ก็ยังรู้ว่ามีกาย รู้สัมผัสภายนอกหมด รู้ว่ามีลม รู้ว่ามีเสียง รู้ว่ามีลมมากระทบผิวกาย แต่แค่รู้ ไม่ใช่กายกับจิตไม่แยก แยกแล้วแต่จิตจับได้เองเพราะคุ้นกับอารมณ์ใน ฌาน ทั้งหลายจนสังเกตุได้เอง จะตัดไม่สนใจเลยก็หาย ไม่ตัดก็มา เมื่อสังเกตุเห็นกาย จะเห็นชัดเลยว่า กายกับจิต แยกจากกัน เป็นคนละส่วนกันจริงๆ ทั้งจิตและกายแยกกันโดยเอกเทศ เห็นรูปเห็นอรูป เห็นรูปเห็นนาม ให้พิจารณาได้อีก

    เหมือนท่าน nopphakarn ท่านจะชอบบอกว่า ฌาน 4 คือจิตต้องส่งออกนอก แยกออกจนเห็น ร่างกายนั้งอยู่ข้างหน้า จิตออกมาเดินได้ครับ แต่ผมได้อ่านใน เวปนี้ทั้งเวปอื่น หรือครูบาอาจารย์ อื่นๆ หลวงพ่อฤษี ท่านจะพูดแค่เรื่อง อารมณ์ ณ ขณะนั้นของ ฌาน 4 ในส่วนที่เป็นมาตรฐานของคนทั่วไป ส่วนมาก จิตจะไม่แยกออกจากกายจนเห็นร่างกายครับ ส่วนน้อยที่แยกคือท่านพวกนี้จะมีฤทธิ์มีเดช ตามนิสัยท่านที่ทำมา

    สายสุขวิปัสโกมากที่สุด เกิน 60-70% ไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่ผี ไม่เห็นกายทิพย์ เงียบสุดๆ

    ที่เหลือ จะเป็นสาย มีฤทธิ์ ต่างๆกันไป เห็นหมด นรกสวรรค์

    คนส่วนมากไม่กล้าบอกการปฏิบัติให้กันฟังถ้าไม่คุ้นเคยกันจริงๆ เพราะจะโดนเค้น โดนปรามาส กัน แล้วพอไม่เหมือนที่เค้าเค้นมา จะโดนเยอะ ทำให้ไม่มั้นใจในตัวเอง ผมเขามาถามในเวปพลังจิตแรกๆ โดนซะหมดความมั้นใจในการปฏิบัติไปเลยทีเดียว บางท่านดีมากคอยชี้แนะให้เห็นทาง บางท่านจะด่า จะบอกไม่ใช่ท่าเดียว

    ให้ใช้ที่เค้าด่า ที่เค้าบอกนั้นละครับ เป็นเครื่องมือ ปฏิบัติ พิสูจน์ ศาสนาพุทธ สอนให้พิสูจน์ครับ ผมพิสูจน์ ในกรรมฐาน ในจิต ทั้งอ่านทั้งถาม โดนด่ากลับมา ยิ่งถามใหม่ จนคนด่าเอือม พอจะได้ข้อสรุปให้ตัวเองได้คร่าวๆ


    เจริญ ในธรรมยิ่งๆ ขึ้นครับ
     
  14. ชั่งเถอะ

    ชั่งเถอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +339
    เครื่องยึดของจิต จะต้องละออกครับ ไม่ใช่เอาจิตไปยึด

    ฌาน 1 จิตยึดคำภาวนา รู้ลม ละได้ก็พ้น เข้าฌาน 2

    ฌาน 2 จิตยึดปิติ ละปิติได้ก็พ้น เข้าฌาน 3

    ฌาน 3 จิตยึดสุข ละสุขได้ก็พ้น เข้า ฌาน 4

    ฌาน 4 ยึดรูป มี อุเบกขาเป็นที่ตั้งแต่ไม่ได้ยึด ละรูปได้ก็เข้าอรูป

    ฌาน 5 อรูป อากาศว่าง ละอากาศว่างได้ ก็พ้น เข้าฌาน 6

    ฌาน 6 อรูป วิญญานว่าง ละวิญญานว่างได้ ก็พ้น เข้า ฌาน 7

    ฌาน 7 อรูป ว่าง ละว่าง ละสัญญา ได้ ก็พ้น เข้า ฌาน 8

    ฌาน 8 อรูป ละหมด ไม่เหลือ เหมือนคนตาย ไม่รู้สึกรู้สาใดๆ จิตนิ่งงงงงงงงงงง..................... . . .

    จริงๆ จะพูดว่าละ ก็ไม่ได้ คืออารมณ์ มันแค่ กูไม่แคร์ มีก็มีไป กูไม่สนใจ แม้แต่นึกจำอะไร กูก็ไม่สน อารมณ์นี้อันตราย ติดได้ง่ายมากๆ ยิ่งกว่าอุเบกขา หรือติดสงบซะอีก ไอ้นี้หากมีประสพการณ์เอง จะเข้าใจที่ผม อธิบายให้ฟังครับ

    ผิดถูกขออภัย เพราะยังโง่อยู่ จึง ยังยึดยังสงสัย ร่างกายก็ยึด อะไรๆ ก็ยึด ก็ยังทุกข์ ละได้เมื่อไหร่คงจะสุขจริงๆ

    เจริญยิ่งๆ ในธรรมครับ
     
  15. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    จิตในสมาธิรู้ลมหายใจตอนที่หมดหรือคำบริกรรมถูกละ...จิตจะยึดเอาลมเป็นอารม์บางทีรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงลมหายแต่ไม่ใช่ได้ยินจากหูมันดังมากอย่างต่อเนื่องหากเกิดความสงสัยก็หยุดและออกจากสมาธิพบว่าสิ่งที่ได้ยินอาจไม่ใช่หูเป็นตัวรับรู้จุดนี้เรียกว่าเริ่มจะสู่อุปจารสมาธิ ถ้าทำต่อสัมผัสในลมที่ว่าดังความวูปว่างแสงสีที่เกิดการลอยขึ้นการดิ่งลงจะหายไปเหลือเพียงความรู้สึกบางอย่างเรียกการอยู่กับอารมณ์เดียวเป็นอารมณ์หนึ่งเดียวในสมาธิจิตรับรู้การมีกายแต่มีเหมือนไม่มีเพราะจิตกำลังรับรู้อารมณ์ที่เป็นสุขนั้นอารมณ์เดียวเรียกว่า เอกัตคตารมณ์...
     
  16. บุตรเดียว

    บุตรเดียว สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2016
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +17
    ผมเปนแบบนี้คับถ้าเวลาทำงานใดๆ เปนงานระหว่าวันก้อจะปกรติ หากนั่งพักรึว่างจากกิจกรรมใดๆผมจะเหนลมขึ้นมาเอง แต่คำบริกรรมนั้นจะใส่หรือไม่อยู่ที่เรา ผมเรียกว่าเหนลมอยู่เนืองๆแระกัน
     
  17. บุตรเดียว

    บุตรเดียว สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2016
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +17
    จิงแล้วเป้าหมายของผมที่ผมตั้งกระทู้นี้มาเพื่อขอคำแนะนำตามคำถามด้านบนนะคับ ผมอยากได้คำแนะนำที่จริงจังจากคนที่ผ่านจุดนี้มาแล้วด้วยการปฎิบัติจริง ผ่านจริง ทำด้วยตนเองจริง มีมั้ยครับที่แนะนำผมได้ โปรดไห้ความกรุณาผมด้วย
    ผมไม่ต้องการไห้สอบอารมณ์ หรือ วิเคราะห์ว่าผมอยู่ฌานไหน ปฎิบัติถูกหรือไม่ หรือคำตอบแบบบาลีที่ผมต้องมานั่งตีความ ผมตีความไม่เก่งครับ หากจะมีใครไห้ความกรุณาผมขอคำแนะนำแบบบ้านๆนำมาใช้ได้เลยจะขอบพระคุณเปนอย่างสูง
     
  18. ชั่งเถอะ

    ชั่งเถอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    253
    ค่าพลัง:
    +339
    ใจเย็นๆ ครับ ที่เค้าถามอาการต่างๆ ก็เพื่อจะวิเคราะห์ให้ท่านนั้นเอง แต่ข้อมูลมันน้อยไปซักหน่อย เค้าเลยยังไม่ชัดเจน หลายท่านก็เข้ามาช่วยกันวิเคราะห์ให้ คุณบุตรเดียวนะครับ

    รบกวนคุณบุตรเดียว อธิบายตั้งแต่เริ่มนั้งเข้าสมาธิจนถึงสุดท้ายออกจากสมาธิ ยิ่งอธิบายละเอียด คำตอบที่ได้จะยิ่งตรงมากขึ้นครับ

    ทุกท่านก็อยากแนะอยากสอนท่าน ใจจะขาด เพราะเป็นบุญกุศลมาก ให้ธรรมทาน แต่ติดขัดที่ข้อมูล เชิงลึกของเท่านั้นเอง เดียวเค้าก็มาตอบให้อย่างดีครับ
     
  19. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    ต่อจากนั้นกำหนดยังไง
    อาการต่อไปเป็นยังไงครับ
     
  20. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    งั้นเอาแบบชัดๆ
    แบบ1.หลับเพราะ กำลัง สมาธิหมด
    แบบ2.นอนไม่หลับ เพราะไม่ถอยฌานตอนเลิกปฎิบัติ

    ถ้าเป็นผม ผมคงเลือกแบบข้อ 1 เพราะว่าเข้าสมาธิได้ลึกกว่า สังเกตได้จากปฎิบัติแล้วกำลังหมด
    แล้วไปแก้อาการหลับด้วยวิธีต่างๆ

    แล้วก็ควรฝึกสติเพิ่มในระหว่างวัน และพยายาม โยนิโสมนสิการในระหว่างวันบ้าง
    ไม่งั้นจะติดความสงบในฌาน แล้วไม่ยอม วิปัสสนา
     

แชร์หน้านี้

Loading...