ดวงตาแห่งจักรวาล ที่ผมเห็นในสมาธิ

ภาพที่ผมวาดขึ้นมานี้ มันผุดขึ้นมาตอนผมนั่งสมาธิ ดังที่ผมเขียนบรรยายเอาไว้คร่าว ๆ นั่นแหละครับ ตอนนั้นผมก็ไม่ได้คิดอะไร แต่จู่ ๆ มันก็ปรากฎให้เห็นและมีคำบรรยายบอกดังที่ผมเขียนเอาไว้ ตอนนั้นผมได้แต่สงสัยว่า เอ ! มันเป็นภาพที่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน แล้วปรากฎขึ้นมาเป็นภาพจิตใต้สำนึกหรือเปล่าเนี่ย ? แต่ก็นึกไม่ออกในตอนนั้น และยังมีอะไรอีกเยอะแยะที่ผมได้เห็นและได้สัมผัสตอนนั้น...จึงอยากให้ท่านที่เชี่ยวชาญด้านสมาธิและผ่านการปฏิบัติจนได้รู้ได้เห็นอะไรต่าง ๆ ในสิ่งที่คนทั่วไปไม่ได้สัมผัส ช่วยตรวจสอบให้ด้วยครับ แต่ขอเป็นคำตอบจากการปฏิบัตินะครับ ไม่ใช่คำตอบจากทฤษฎี...เออ อีกอย่างถึงผมจะชอบนั่งสมาธิ แต่ก็ยังมีกิเลสเยอะนะครับ ไม่ใช่ผู้วิเศษหรือได้บรรลุธรรมอะไร ดังนั้น แม้ผมจะได้รู้ได้เห็นและสัมผัสอะไรอีกเยอะแยะ แต่ก็อย่าเข้าใจอะไรผิด ๆ ว่าผมหมดกิเลสหรือบรรลุธรรมวิเศษนะครับ เดี๋ยวจะมีคนเข้าใจผิดกันไปใหญ่...

 

ทำไมคล้ายสัญลักษณ์ของกลุ่มอัลลิมูติเลยครับ

 

อันนี้ผมก็ไม่ทราบ จึงอยากให้ผู้ที่เชี่ยวชาญด้านสมาธิช่วยตรวจสอบให้ไงครับ...คือผมไม่ใช่แค่เห็นภาพเฉย ๆ นะ มีคำบรรยายบอกเอาไว้ในขณะนั้นด้วย แต่ผมจำได้ไม่หมด เพราะกำลังงง ๆ อยู่ว่า เฮ้ย ! มันเกิดขึ้นได้ไงเนี่ย และตอนนั้นไม่ได้เล่าสิ่งที่รู้ เห็น อะไรให้ใครฟังสักคนครับ แอบเขียนไว้ในสมุดบันทึก...

 

ภาพเหมือน logo illuminati เลยนะครับ แปลกดี

 

เรื่องดวงตานี่ไม่ทราบแฮะ นั่งแล้วไม่เคยเห็นอะไร
แต่คำบรรยาย ก็ดีแล้วนี่ครับ คงจะเป็นนิมิตมาช่วยยืนยัน ให้ท่านเชื่อเรื่อง กฎแห่งกรรม
อาจจะถึงเวลาที่ท่านจะต้องปฏิบัติ เพื่อละกิเลสจริงจังแล้วมั้ง?

 

ปรุงแต่ง
ปฎิบัติเพื่ออะไร
เพื่อเห็นภาพนิมิต หรือ
วิปัสนูกิเลส เกิดขึ้นให้มีสติรู้ทัน จะดับไปเอง
บอกเท่านี้พอ

 

น่าสนใจครับ

นิมิตเกิดทางตา ทางหู ทางลิ้น ทางกาย ทางจมูก ทางใจ ดับยังไงครับ

 

เป็นสัญญลักษณ์ของดวงตาที่3 เพ่งไปที่กลางดวงตานั้น จิตจะถูกยก ความสว่างไสวและพลังฌานจะเพิ่มขึ้น
เพื่อความปลอดภัย ไม่หลงทาง คุณควรจะฝากตัวเป็นศิษย์มหาโพธิสัตต์แห่งนิกายลับ เป็นผู้นำทาง ซึ่งคนทั่วไปเขาจะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร นี่คือวิถีแห่งโพธิสัตต์วัชรญาณ

 

มีโพธิสัตว์ นิกายลับด้วย
พระโพธิสัตว์ พระนิรยโพธิสัตว์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านทราบหรือไม่ว่า แตกต่างกันอย่างไร
ปุจฉา : พระโพธิสัตว์ บรรลุธรรมแล้วหรือยัง
(ลองวิสัจฉนานะ)
ปุจฉา : ดวงตาที่สาม ที่ว่า กับ ดวงตาเห็นธรรม เหมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไร
(ลองวิสัจฉนานะ)
ปุจฉา : ที่ว่า เห็นธรรม เห็นอย่างไร
(ลองวิสัจฉนานะ)
ปุจฉา : ที่ว่า เห็น เห็นอย่างไร เห็นตามความเป็นจริง หรือ ปรุงแต่ง
(ลองวิสัจฉนานะ)
ปุจฉา : ธรรมธาตุ คือ อะไร และ ธรรมชาติ คืออะไร
(ลองวิสัจฉนานะ)
ปุจฉา : ชาติ คือ ความครอบครองซึ่งรูปนามหรือไม่ ผลของชาติเป็นอย่างไร เกิด ตั้งอยู่ หรือ ดับไป ใช่หรือไม่
(ลองวิสัจฉนานะ)
ปุจฉา : ธรรมชาติ คือ ธรรมอันปรากฎบนสรรพสิ่งว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ใช่หรือไม่
(ลองวิสัจฉนานะ)
ปุจฉา : สิ่งใดเป็นเหตุให้เกิด การเกิด ตั้งอยู่และดับไป
(ลองวิสัจฉนานะ)
ปุจฉา : อวิชชา (ความไม่รู้) >>> สังขาล (ปรุงแต่ง) >>>วิญญาณ(จิตรู้) >>> สฬายตนะ>>> นามรูป >>> ผัสสะ(กระทบ) >>> เวทนา(ความรู้สึก)>>>ตัญหา >>> อุปทาน >>> ภพ >>> ชาติ >>> เกิด ตั้งอยู่ ดับไป >>> ทุกข์
ทั้งหลายเหล่านี้ ใช่ ปัจจัย ที่ทำให้เกิด ชาติ หรือไม่
หากเห็นตามสภาวะเหล่านี้ ใช่ เห็นธรรมหรือไม่
เมื่อเห็น ปฎิจสมุทบาท ใช่ ได้ดวงตาเห็นธรรมหรือไม่
ตกลงแล้ว ดวงตาเห็นธรรม คือ เห็น นิมิต หรือ เห็นนามรูป เห็นเหตุปัจจัย เห็นไตรลักษณ์ กันแน่
(ลองวิสัจฉนานะ)
________________________
สอนได้เท่าที่สอน

 

คล้ายเฉย ๆ ครับแต่ไม่เหมือนที่ผมเห็นในสมาธิ

อาจจะคล้ายกันนะครับ แต่ไม่เหมือนที่ผมเห็นในสมาธิ รูปดวงตาและสีสัน ฯลฯ ที่ผมเห็นไม่ใช่แบบนี้ (ดูภาพที่ผมวาด จะมีลักษณะแบบนั้น) แต่ผมก็จำรายละเอียดไม่ได้ เพราะผมไม่ใช่นักวาดภาพ และจู่ ๆ มันก็ปรากฎขึ้นมาแบบไม่รู้ตัวมาก่อน...

 

ไม่ใช่ว่าผมอยากเห็นแต่มันปรากฎขึ้นมาเองครับ

....

คือต้องทำความเข้าใจด้วยนะครับว่าเวลาผมนั่งสมาธิหรือทำอะไร ผมไม่เคยคิดว่าอยากเห็นนั่น เห็นนี่ (บางครั้งอย่าว่าแต่นั่งสมาธิหรือกำลังปฏิบัติเลยครับ) ขนาดใช้ชีวิตปกติทั่วไป บางครั้งจู่ ๆ ก็ปรากฎอะไรต่าง ๆ ให้เห็นเลยครับ เอาเป็นว่าผมรู้เห็นอะไร มากเกินกว่าที่ใคร ๆ จะคาดคิดก็แล้วกันครับ ส่วนเรื่องปฏิบัติผมเคยปฏิบัติมานานเกือบจะ ๓๐ ปี ผ่านมาแล้ว (แต่ก็เคยทำอะไรผิด ๆ ถูก ๆ มาเยอะเหมือนกัน แฮะ ๆ ๆ ส่วนเรื่องทฤษฎีอะไรนั่น คงไม่จำเป็นต้องเอามาพูดกับผม เพราะผมอ่านพระไตรปิฎกและอรรถกถาเกือบจะทุกเล่ม มีไม่ค่อยได้อ่านเท่าไหร่ก็พวกพระอภิธรรมปิฎก แต่ฉบับย่อความอ่านจบหลายรอบเหมือนกัน)...เอาล่าสุดที่ผมเจอ เมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ที่ผ่านมานี่เอง ขณะที่ผมปั่นจักรยานจากนนทบุรี มาหาเพื่อนแถวบางกระบือ ถนนสามเสน...ขณะที่ผมปั่นจักรยานผ่านสามแยกพิชัยมาได้หน่อยเดียว อากาศก็คลึ้ม ๆ ไม่มีแดด แต่ผมเห็นจักรอันเบ่อเริ้ม หมุนกั้น (เหมือนพัดลมเพดานนะครับ) เหนือศีรษะตามผมไป ตอนนั้นผมได้แต่ร้องว่า "บ่ะ ! เอาอีกแล้ว" ... คือไม่รู้ผมจะอธิบายยังไงดีกับสิ่งที่ผมได้สัมผัสและรู้ เห็น ไม่ว่าจะยืนยันอีกกี่ครั้งผมก็ยังพูดเหมือนเดิมว่า สิ่งเหล่านี้มันปรากฎขึ้นมาของมันเอง โดยที่ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อนนะครับ...

 

นิตยโพธิสัตว์ ครับท่าน ไม่ใช่นิรยโพธิสัตว์ ? สิ่งที่คุณกล่าวใครๆก็รู้ หาอ่านได้ทั่วไป แต่สิ่งที่ผมรู้คุณไม่รู้ไง และอะไรที่ไม่เกี่ยวกับคุณ หรือไม่ตรงตามทิฐิของคุณ ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะคุณไม่ได้อยากรู้จริงๆ แต่ต้องการวิวาทะ เพื่อสนองมานะทิฐิของตัวเองเท่านั้น ไว้คุณมีประสบการณ์เหมือน จขกท. แล้วค่อยมาคุยกัน

 

จริงๆไม่อยากตอบกระทู้นี้เลย --'

เราเป็นผู้น้อยอ่ะค่ะ พี่ๆในห้องนี้เขาเป็นผู้ใหญ่กัน

อันนี้ก็ความเห็นส่วนตัวล่ะค่ะ

คนที่นั่งสมาธิจนจิตสงบได้ระดับหนึ่ง จิตเรามันจะปรุงแต่งภาพขึ้นมา

จริงๆแล้วมันคล้ายๆความฝันนี่แหละ เพียงแต่ตอนนั่งสมาธิเรามีสติรู้ว่าเรานั่งอยู่ แต่ตอนฝันเราไม่มีสติ

คนที่เขาเป็นนักปฏิบัติ เขาจึงพยายามไม่สนใจภาพนิมิต แล้วเดี๋ยวภาพนิมิตนั้นก็จะหายไปเอง (คนที่ไม่สนใจภาพนิมิตเนี่ย เขาจะเป็นคนที่เน้นปฏิบัติให้จิตสงบ ให้พ้นทุกข์อ่ะค่ะ)

ส่วนคนที่หลงในภาพนิมิตก็คือ ยังหลงกับทางโลกอยู่ ยังมีความสงสัย สนใจ ชอบในอภินิหาร อิทธิฤทธิ์

ทีนี้ คุณ จขกท. ไปเห็นภาพดวงตา Lucifer เข้า

ถ้าให้เราคาดเดา เราว่าคุณอาจจะเคยมีอดีตชาติเป็นกลุ่มคนที่ "กำความลับ" เรื่องที่โลกนี้มันเป็น Super-Matrix อ่ะค่ะ

คนกลุ่มนี้ มีแนวคิดคล้ายๆพุทธ แต่เขาไม่เคยมาศึกษาศาสนาพุทธ เขาเลยไปต่อไม่เป็น

เขาเชื่อว่าโลกเป็น Matrix (วิทยาศาสตร์ปัจจุบันก็ยืนยันได้แล้วล่ะว่า โลกนี้เป็น matrix)

แต่เขาไม่รู้ว่า matrix นี้คืออะไร.. เขาคิดว่ามันเป็นจอมมารร้ายที่ขังดวงวิญญาณของพวกเราให้ติดอยู่ใน matrix นี้อ่ะ

แต่ในทางพระพุทธศาสนา โลกนี้เป็นโลกสมมติ เหตุการณ์และสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นรอบๆตัวเราในแต่ละวัน มันก็เป็นแค่เหตุการณ์สมมติให้เรามาเล่นละครภพชาติ กงกรรมกงเกวียน

กลุ่มคนที่คิดว่าโลกเป็น matrix บอกว่าจอมมารร้ายเป็นคนขังวิญญาณพวกเราไว้ในนี้ หลอกเราว่าเราเป็นมนุษย์ ให้เราเข้าไปใจว่าสิ่งต่างๆมีอยู่จริงและหลงใหลไปกับมัน แล้วพวกเขาก็จะพยายามนั่งสมาธิเพื่อให้ตัวเองหลุดออกจาก matrix นี้

แต่ในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า โลกนี้เป็นโลกสมมติ

มารร้ายที่คนกลุ่มนั้นกล่าวถึง.. แล้วพวกเขาไม่รู้ว่าเป็นอะไร.. แต่พระพุทธเจ้าของพวกเรา ท่านรู้ .. มารร้ายที่ทำให้วิญญาณของเรามาอยู่บนโลกในร่างมนุษย์เนี่ย ก็คือ "กรรม" ของพวกเรา เรามาเล่นเกมส์ กฎแห่งกรรม ส่งผลให้ไปเกิดภพนั้น ภพนี้ หมุนเวียนไม่จบสักที

คนกลุ่มนั้นเขาคิดว่า นั่งสมาธิแล้วจะยกระดับตัวเองให้ออกจาก matrix ได้

พระพุทธเจ้าสอนพวกเรา ให้นั่งสมาธิทำให้ใจสงบและหลุดจากโลกสมมติได้ แต่พระพุทธเจ้ารู้ว่า อะไรคือสิ่งที่ยึดเหนี่ยวพวกเราไว้?? มันก็คือ อวิชชา การยึดมั่นถือมั่น กิเลส ตัณหา ความอยาก

เราอ่านเรื่องราวของคนกลุ่มนั้นแล้วเราก็อึ้งเหมือนกัน.. เขาคล้ายๆว่า เขาเป็นฝรั่งอยู่คนละขั้วโลกกับพระพุทธเจ้าเลย คนละทวีปเลย.. แต่เขารู้เรื่องโลกสมมติ

แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ แต่พระพุทธเจ้ารู้ ก็อย่างที่บอกไปคือ มาร้ายที่พวกเขาไม่รู้ว่าคืออะไร แต่พระพุทธเจ้าของเราท่านรู้ว่ามันคือ กรรม

พระพุทธเจ้าท่านรู้วิธีออกจาก matrix และตรัสสั่งสอนไว้ทุกอย่าง

---

เราเห็นภาพนิมิตของ จขกท. เราก็ไม่ทราบหรอกค่ะว่า ทำไมคุณถึงเห็นภาพดวงตานี้ได้.. แต่ถ้าให้เราเดา เราว่า คุณเคยมีอดีตชาติหรืออนาคตชาติ ชาติใดชาติหนึ่ง ที่ผูกพันธ์กับคนกลุ่มนั้นอ่ะค่ะ ^^

ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็ไม่ใช่หนทางแห่งการพ้นทุกข์ล่ะค่ะ

หนทางแห่งการพ้นทุกข์นี่ พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสสั่งสอนไว้หมดแล้ว พวกเรามาถูกทางแล้ว แต่ถ้าใครยังมีข้อสงสัยก็จะเสียเวลาหน่อย (เราเองนี่แหละ --' เป็นคนขี้สงสัย ชอบหาคำตอบให้ได้ก่อน มันก็ดึงๆเราให้ตามหลังคนอื่นนะ เพราะบางคนเขาไม่สงสัยเลย พระพุทธเจ้าบอกอะไรสอนอะไรเขาเชื่อหมดแล้วปฏิบัติตามหมดเลย คนเหล่านี้เขาคงมีบุญมากอ่ะ ส่วนเรานั้นเป็นคนบุญน้อยและขี้สงสัย ชอบหาคำตอบให้ข้อสงสัยก่อน ไม่งั้นเราก็ยังไม่อยากปักใจเชื่อ อิอิ ^^)

 

@phodej
อย่าหลงในนิมิตครับ ลองไปหาโหลด ไฟล์ยาว ๆ สอนสมาธิของหลวงพ่อพุธ ฐานิโยดูนะครับ

"จิตมี 3 มิติ" หลวงพ่อพุทธ

กิเลสมันมีพลังและน่ากลัวกว่าที่เราคิดเยอะนะครับ ระวังด้วย

 

ถ้าคุณจะบำเพ็ญฌานบารมี ก็ต้องเพ่งทะลุผ่านนิมิต พลังฌานจะเพิ่มขึ้น เป็นสิ่งที่โพธิสัตว์จะต้องเรียนรู้ แต่ถ้าต้องการดับสนิทแต่อย่างเดียวก็ทำตามที่คนอื่นแนะนำก็แล้วกัน เพราะผมแตกต่างจากเขา

 

เป็นทางผ่านของการฝึกฝนในสัจจะครับ

หากรู้แล้วยึดไว้ ก็จะเป็นการโน้มไปหามิจฉาทิฏฐิ

หากรู้แล้ว ประครองรู้ไว้ที่จิต ก็เป็นการฝึกสร้างสติให้ก้าวหน้า

หากรู้แล้วปล่อยวาง ความเป็นสัมมาทิฏฐิจะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

ยินดีในการศึกษาธรรมครับ

 

ไปนั่งสมาธิที่วัดมาแต่กลับไม่ถามพระ จะมาถามคนแถวนี้เพื่ออะไร หรือถามแล้วแต่คำตอบไม่ถูกใจ
หรือจริงๆแล้วไม่ได้ต้องการคำตอบ แค่อยากมาเตือนสติคนที่นี่
ปล. ผมไม่รู้ แต่เชื่อว่าเมื่อปฏิบัติก็ย่อมจะพบธรรมมะ ไม่ทราบจขกท.พิจารณาสิ่งที่เห็นว่าอะไรล่ะครับ ผมอ่านคำอธิบายก็ชัดเจนดี ไม่เข้าใจว่าสงสัยอะไร
หรือสงสัยว่าคิดไปเองรึเปล่า เป็นเรื่องจริงมั้ย ถ้าดูจากคำอธิบายผมก็เห็นว่าเป็นจริงนะ เรื่องทำผิดไม่ว่าที่ลับที่แจ้ง คนอื่นไม่รู้ แต่ตัวเรานั่นแหละรู้ ส่วนดวงตาจักรวาลมีจริงมั้ย ไม่รู้ เคยได้ยินแต่บัญชีของยมบาลที่จดว่าใครทำดีทำชั่วอะไรไว้บ้าง

 

รอสักระยะหนึ่งนะครับ ผมกำลังรอหลักฐานบางอย่างของผมอยู่ แล้วผมจะมาแฉอะไรบางอย่างให้ฟัง...(ที่วัดผมไปนั่งสมาธิผมทำเกือบทุกอย่างทั้งล้างโบส ทำความสะอาด ฯลฯ)...แต่เหี้ยห่มผ้าเหลืองในวัดเต็มไปหมด บางวันนั่งตั้งก๊งแดกเหล้าไม่อายเทวดาฟ้าดิน (หรือแม้แต่ผมที่ทำความดีให้พวกมันเห็นอยู่งก ๆ ทุกวัน) แล้วจะให้ผมถามพวกหน้าส้นตีน ที่ไม่เชื่อบาปบุญคุณโทษอะไรอย่างนั้นหรือครับ ?...

 

นิมิตในสมาธิหรือออกจากสมาธินั้น เกิดจากสาเหตต่างๆครับ(ไม่ขออธิบายครับ)

ในฐานะที่คุณนับถือพระอาจารย์มั่น ผมตอบเท่าที่ผมสัมผัสได้นะครับ

สิ่งที่คุณเห็นนั่นคือ ดวงตาของมารในตัวคุณครับ คุณมีความรู้สึกว่า

นักปฏิบัติที่คุณอยากพบเจอในความคิดของคุณนั่นมันไม่มีอยู่จริงในยุคนี้

ความคิดทำให้ความรู้สึกในตัวคุณนั่นขัดแย้งกัน คุณอยู่ระหว่างมารกับธรรมครับ

จริงๆแล้วคุณอาจจะโชคไม่ดีที่ไม่เลือกวัดที่ไปปฏิบัติธรรมนะครับ

ขอบอกเพียงแค่นี้นะครับ

 

สิ่งที่คุณเห็นนี่อาจจะมีความหมายถึง illuminati ที่คอยจับจ้องคนทั้งโลก และควบคุมทุกอย่างอยู่นะครับ