ดวงเดียวเที่ยวไปสู่ความบริสุทธิ์หลุดพ้นจากอาสวะ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 6 สิงหาคม 2011.

  1. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    อ้อลืมบอก คุณอาจจะไม่รู้ว่า ความคิด หรือ ใจเปลี่ยนไป เรื่อยเรื่อยเพราะอะไร รูปไง มีทั้งรูป เคลื่อน หรือ ไม่เคลื่อนนั่งเฉยหลับตาก็ตาม จะบอกให้ เพราะคุณ มีตัวกับหัว(ศรีษะไง) จิต คุณ จะลอย โด่ เด่ โดยไม่มีตัวกับหัวได้ไง................
     
  2. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    คุณ paetrix ครับ คุณเชื่อเรื่องผี หรือ วิญาณ ไหมครับ

    ใจเปลี่ยนไปไม่ใช่แค่รูปเท่านั้นที่ทำให้เปลี่ยนนะครับ

    สถานการณ์ในชีวิตประจำวันทำให้คนเปลี่ยนไปครับ

    ความคิดจะเริ่มเปลี่ยนขณะที่มีอายุมากขึ้นเรื่อยๆ

    ความคิดในสมัยเด็กเปลี่ยนไปมาก จากเด็กมาจนถึงผู้ใหญ่

    เหตุก็เพราะ กิเลส ตัณหา อุปาทาน ที่เข้ามาสะสมอยู่ที่จิต

    ผมได้พยายามบอกถึงการแบ่งแยกสมาธิในแต่ละขั้น

    แต่เท่าที่ได้เห็น มีแต่คนที่มีความคิดแตกต่าง

    ผมขอถามหน่อยนะครับ จิตดวงเดียวในความเข้าใจคุณเป็นอย่างไร

    แต่ จิต ที่เกิด-ดับนั้นผมมีความเห็นว่า เป็นเพราะจิตรับรู้ความรู้สึกจึงเป็นอารมณ์ และอารมณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ก็ดับลงไปได้เองในบางครั้ง แต่บางครั้งผู้คนก็เข้าไปยึดติด หรือ ติดข้องอยู่ในอารมณ์นั้น

    ต้องขอบอกไว้ก่อนว่า ผมไม่ได้บอกว่า"จิตเที่ยง"เพราะไม่มีสิ่งใดในโลกนี้"ที่เที่ยง"

    หากคุณเข้าใจจริงๆ ช่วยอธิบายอย่างละเอียดด้วยครับ ดูว่าจะเหมือนกันไหมเรื่อง"จิตดวงเดียว"

    ผมฝากไว้เท่านี้ครับ

    ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  3. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    มันจะเป็นอนัตตาที่ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ใครหรืออะไรคะที่ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น
    ไม่ใช่เป็นเรา แล้วเราคือใครหรืออะไรคะ
    ไม่ใช่ตัวตนของเรา แล้วที่ใช่มีหรือเปล่าคะ แล้วเราคือใครหรืออะไรคะ

    (smile)
     
  4. ธรรมะสวนัง

    ธรรมะสวนัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,305
    ค่าพลัง:
    +1,255
    ความคิด เป็นอาการของจิต ที่เกิดขึ้นเมื่อ

    ๑.จิตนึกคิดปรุงแต่ง อารมณ์ภายในใจ (ธัมมารมณ์) ที่ได้จดจำไว้ทางใจ

    ๒.จิตนึกคิดปรุงแต่งหลังจากรับรู้อารมณ์ภายนอก (รูป เสียง กลิ่น รส กายสัมผัส)
    ที่ผ่านเข้ามา ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย


    ดังนั้น ความคิดจึงเกิดขึ้นที่จิตทุกครั้ง
    ที่มีอารมณ์ (รูป เสียง กลิ่น รส กายสัมผัส ธัมมารมณ์)
    มากระทบจิต (ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)

    ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ภายนอก (รูป เสียง กลิ่น รส กายสัมผัส)
    หรืออารมณ์ภายใน (ธัมมารมณ์) ก็ตาม

    โดยธรรมชาติแล้ว จิตมีปกติตกไปในอารมณ์และปรุงแต่งไปตามอารมณ์
    ดังนั้นความคิดจึงเกิดขึ้นที่จิตตลอดเวลา ความคิดแล้ว ความคิดเล่า
    สับเปลี่ยนหมุนเวียน ทับถมทวีคูณ ตลอดชีวิต โดยไม่สิ้นสุด

    เมื่อความคิดเกิดขึ้น ก็จะมีการตอบสนอง
    โดยการแสดงออกทางกาย หรือ วาจา ครบ ๓ ทวาร กาย วาจา ใจ


    เพราะมนุษย์มีจิตครองนั่นเอง จึงทำให้เกิดความคิด ซึ่งเป็นอาการของจิต หรือสังขารขันธ์ขึ้น
    นั่นคือ รูปร่างกายมนุษย์เป็นที่อาศัยชั่วระยะเวลาหนึ่งของจิต
    ในขณะที่คนตาย จิตออกจากร่าง ถึงมีตัวกับหัวก็ไม่มีความคิดแล้ว

    เช่นเดียวกันกับ ก้อนหินดินทราย หรือ สรรพสิ่งต่างๆในโลกที่ไม่มีจิตครอง ก็ไม่มีความคิด

    (smile)
     
  5. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ก็ยังพยายามมั่วไม่เลิกเหมือนเดิม ไหนคุยนักคุยหนาว่ารู้จักอนัตตาดี

    อนัตตาที่ไหน แปลว่า ไม่มีตัวตน นั่นคือนิรัตตา

    อนัตตาแปลว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ไม่มีตัวตน

    เมื่อมีของที่ไม่ใช่ ของที่ใช่ก็ต้องมีใช่หรือไม่?

    อะไรที่ไม่มีตัวตนนั้น เป็นการบอกให้รู้ว่าสิ่งนั้นไม่มีอยู่จริงในโลกนี้

    ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ นั่นไม่ใช่ตนของเรา...ชัดเจนนะ

    ที่ถามไปไม่เคยคิดจะตอบเลยนะ อะไรที่เห็นรูปนามเกิดดับ?

    เอาพระพุทธพจน์ให้อ่านไม่เคยคิดจะอ่านเลยนะ

    คิดแต่จะลบหลู่พระพุทธวจนะลูกเดียว

    เอ้าอ่านซะ
    ว่าด้วยสมาธิเป็นเหตุเกิดปัญญา
    [๒๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้สมัยหนึ่ง
    พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี
    ใกล้พระนครสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว.
    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    เธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิ. ภิกษุมีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริง.
    ก็ภิกษุย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงอย่างไร.
    ย่อมรู้ชัดซึ่งความเกิดและความดับแห่งรูป
    ความเกิดและความดับแห่งเวทนา
    ความเกิดและความดับแห่งสัญญา
    ความเกิดและความดับแห่งสังขาร
    ความเกิดและความดับแห่งวิญญาณ.
    �����ûԮ�������� �� - ����ص�ѹ��Ԯ�������� �
    ^
    ^
    พระพุทธพจน์ชัดๆแล้วว่า "เธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิให้เกิดขึ้นเถิด(มีจิตตั้งมั่น)"
    ภิกษุที่มีจิตตั้งมั่นดีแล้ว ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง(วิปัสสนา=เห็นอย่างวิเศษ)
    เห็นอย่างวิเศษอย่างไรเล่า?
    ย่อมรู้ชัดซึ่งความเกิดและความดับแห่งรูป
    ย่อมรู้ชัดซึ่งความเกิดและความดับแห่งเวทนา
    ย่อมรู้ชัดซึ่งความเกิดและความดับแห่งสัญญา
    ย่อมรู้ชัดซึ่งความเกิดและความดับแห่งสังขาร
    ย่อมรู้ชัดซึ่งความเกิดและความดับแห่งวิญญาณ.
    อย่าเอาทิฐิที่ติดดีในดีมาเผยแผ่ ให้คนอื่นหลงเงาของจิตที่ติดดีอยู่อีกเลยนะ
    ถอนทิฐิที่ฝั่งแน่นจนเป็นอนุสัยออกเสียบ้าง เพื่อเปิดทางสู่อกุปธรรมสู่จิตสู่ใจบ้างเถอะ
    อย่ามัวหลงไหลได้ปลื้มกับธรรมะตัดแปะ ที่ค่อยแทะจิตแทะใจให้ตกต่ำลงไปเรื่อยๆนะ
     
  6. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    เอายังไงกันแน่ เดี๋ยวไม่มีตันตน เดี๋ยวไม่ใช่ตัวตน

    พูดเองชัดๆว่า
    ^
    ^
    รูปนามนี้เป็นอนัตตา ไม่ใช่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ควรยึดถือ ใช่ถูกต้อง

    รู้แล้วว่า ไม่ใช่เรา แล้วที่ใช่เราหละอยู่ไหน?

    รู้แล้วว่า ไม่ใช่ตัวตน แล้วที่ใช่ตัวตนอยู่ไหน

    แล้วใครหละที่ไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในรูปนามขันธ์๕นั้น?(ตอบมาซะดีๆ)

    อย่าพูดอะไรลอยๆไปลอยมาหาที่ตั้งไม่ได้ ไม่ใช่ของแท้ ก็ต้องมีของแท้สิ

    ยังจะพยายามดำน้ำไปไหนอีก หมดหวังจริงๆ
     
  7. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    รู้ตัวว่าหลงเข้ามา ก็หาทางออกไปจากความหลงซะ

    หลงทางเสียอนาคต หลงศึกษาทางผิด ติดวัฏฏะไปอีกนาน

    พูดเองชัดๆ แล้วก็ไม่เข้าใจสิ่งที่พูดเองก็มีด้วย
    ^
    ^
    จะเห็นได้ว่า ใครเห็น? ถ้าไม่ใช่จิตเห็นแล้วอะไรเห็น?

    จิตรู้อารมณ์ อารมณ์เป็นสิ่งที่ถูกจิตรู้ ใช่หรือไม่?
    จิตเสพอารมณ์ แล้วดับไป อะไรที่ดับไปอารมณ์หรือจิต?
    เปรียบเหมือนคนเสพยา ยาคืออารมณ์ที่คนเสพใช่หรือไม่?

    เมื่อคนเสพยาเข้าไป"เกิด"อาการเมา นั่นใช่เกิดอาการเมาของคนๆนั้นใช่หรือไม่?

    เมื่อยาหมดฤทธิ์ คนหมด(ดับ)อาการเมา ยาหมดฤทธิ์
    คนนั่นจำเป็นต้องดับ(ตาย)ไปด้วยหรือ?

    ที่เกิดดับคือฤทธิ์ของยากับอาการเมายาของคนใช่หรือไม่?

    เมื่อเจอยาใหม่ เสพยาอีก เมาอีก หมุนเวียนอยู่แบบนี้

    อะไรกันแน่ที่เกิดดับหมุนเวียนเข้ามา ยาหรือคน? ตอบให้ชัดๆหน่อยจะได้หายหลงเสียที

    อธิบายมาขนาคนี้ ถ้ายังไม่เข้าใจ ก็หมดหวังเอาเสียจริงๆเฮ้อ!!!
     
  8. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    จากในความเห็นของผมที่ 43
    ผมสรุป อีกครั้งว่า คุณจขกท.(กระทู้เดิม) เห็นว่า
    1.ศาสนาพุทธสอนว่า มี "จิต" บริสุทธิ์เที่ยงแท้ อยู่ในกายมนุษย์นี้ นอกเหนือไปจาก "ขันธ์ ๕" ตามข้อความ(ความเห็นที่ 41)
    "...เพราะจิตไม่ใช่วิญญาณนั่นเอง..."

    2.มี "จิต" นอกเหนือไปจาก "อายตนะ ๖" ตามข้อความ
    "...จิตไม่ใช่ใจ แต่มาอาศัยครองอยู่ในกายซึ่งมี ใจเป็นอายตนะภายใน..."(ความเห็นที่ 41)

    3.จิตมีดวงเดียวและคงอยู่ตลอดไป คือ
    จิตที่มีสติรู้ในความดับรอบเฉพาะ "ตน"(จิต) มันก็เป็นจิตดวงเดียวและดวงเดิมกับที่ดับรอบไป ตามข้อความ
    "...จิตจึงดำรงอยู่...พออบรมฝึกฝนจิตจนดับรอบในตนเองได้แล้ว
    จิตก็หายไป เหลือแต่ความดับรอบลอยๆไว้ เป็นไปได้หรือครับ???" (ความเห็นที่ 47)

    4.จิตเป็น "จิต"(ไม่มีชื่ออื่น) ที่อยู่เหนือพระไตรลักษณ์ คือ ไม่เกิดไม่ดับ
    ดำรงอยู่อย่างนั้น ไม่มีต้นและปลายของการเวียนเกิดในสงสาร (จากข้อ 1-3)

    5.มีแดนนิพพานอยู่ หลังจากพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ตายดับไปแล้ว
    ซึ่งในเขตแดนนิพพาน เป็นที่อยู่ ของจิตที่ปราศจากราคะ โทสะ โมหะ (ความเห็นที่ 49)
    ผมเข้าใจคุณจขกท.(กระทู้เดิม) ถูกต้องใช่ไหมครับ..??

    1.ถูกต้อง
    2.ไม่ถูกต้อง

    ปล.อย่าคิดว่าเป็นการทะเลาะนะครับ ควรคิดว่า เป็นการเจริญกาลามสูตรก็จะได้ประโยชน์ ตามสมควร
     
  9. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    สืบเนื่องจาก กระทู้นี้ มีคนทำตัวเป็นพยาธิในลำไส้ผม
    รู้ดีไปหมด และสรุปแทนผมไปเสียทุกเรื่องเกี่ยวกับพุทธศาสนา
    ทั้งๆที่ ผมนำเอาพระพุทธพจน์มาแย้งล้วนๆ และแสดงทัศนคติตามมติในพระพจน์ที่ยกมานั้น
    แต่พวกคุณกลับมาสรุปเอาเองว่า พระพุทธพจน์ที่ผมยกมาถามว่าเป็นเช่นนั้นเอง
    แต่คุณทั้งสอง ไม่เคยตอบคำถามแบบตรงไปตรงมาเลย
    พยายามนำเอาอาจารวาทที่รจนามาตามมติของตน
    มาเพื่อลมล้างคำถามที่มีมาในพระพุทธพจน์เหล่านั้นเช่น

    1.ศาสนาพุทธสอนว่า มี "จิต" บริสุทธิ์เที่ยงแท้ อยู่ในกายมนุษย์นี้ นอกเหนือไปจาก "ขันธ์ ๕" ตามข้อความ(ความเห็นที่ 41)
    "...เพราะจิตไม่ใช่วิญญาณนั่นเอง..."(โกทูเบตเตอร์)

    2. คุณในความฝันฯ เห็นว่า มีจิตที่เที่ยงแท้อยู่

    3. คุณในความฝันฯ เห็นว่า จิตไม่ใช่วิญญาณขันธ์(ศิรัสพล)

    ที่เคยถามไว้จากพระพุทธพจน์ที่ว่าดังนี้

    ๗. โสตาปันนสูตร
    (เป็นผู้เที่ยงมีอันจะตรัสรู้ในเบื้องหน้า.)
    [๒๙๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้.
    อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นไฉน?
    ได้แก่ อุปาทานขันธ์คือรูป ฯลฯ อุปาทานขันธ์คือวิญญาณ.
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุที่พระอริยสาวกย่อมรู้ชัดซึ่งเหตุเกิด ความดับ
    คุณ โทษ และอุบายเครื่องสลัดออกแห่งอุปาทานขันธ์ ๕
    เหล่านี้ ตามความเป็นจริง.
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า พระอริยสาวกผู้โสดาบัน
    มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงมีอันจะตรัสรู้ในเบื้องหน้า.

    �����ûԮ�������� �� - ����ص�ѹ��Ԯ�������� �
    ^
    ^
    ชัดๆขนาดนี้แล้ว ยังจะเถียงพระพุทธวจนะให้ชนะอีกหรือ
    พระอริยสาวกย่อมรู้ชัดซึ่งเหตุเกิด ความดับของอุปาทานขันธ์ ๕
    คุณ โทษ และอุบายเครื่องสลัดออกแห่งอุปาทานขันธ์ ๕
    เป็นผู้เที่ยงมีอันจะตรัสรู้ในเบื้องหน้า.
    อะไรของท่านพระโสดาครับ เป็นผู้เที่ยงตรงต่อพระนิพพาน?
    *

    พราหมณวรรค
    ๑. พรหมายุสูตร
    พรหมายุพราหมณ์ต้องการเฝ้าพระพุทธเจ้า
    พรหมายุพราหมณ์ขอดูพระชิวหาและพระคุยหะ...(จิตบริสุทธิ์คือพุทธะ)
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อย่างไรบุคคลจึงชื่อว่าเป็นพราหมณ์
    อย่างไรชื่อว่าเป็นผู้รู้จบเวท อย่างไรชื่อว่าเป็นผู้มีวิชชา ๓
    บัณฑิตบุคคลเช่นไรชื่อว่าเป็นผู้มีความสวัสดี อย่างไรชื่อว่าเป็นพระอรหันต์
    อย่างไรชื่อว่ามีคุณครบถ้วน อย่างไรชื่อว่าเป็นมุนี
    และบัณฑิตกล่าวบุคคลเช่นไรว่าเป็นพุทธะ?

    [๕๙๗] ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ตรัสตอบพราหมณ์ด้วยพระคาถาว่า
    ผู้ใดรู้ระลึกชาติก่อนๆ ได้ เห็นสวรรค์และอบาย บรรลุถึงความสิ้นชาติ
    ผู้นั้นชื่อว่าเป็นมุนีผู้รู้ยิ่งถึงที่สุด
    มุนีนั้นย่อมรู้ จิตอันบริสุทธิ์ อันพ้นแล้วจากราคะทั้งหลาย
    โดยประการทั้งปวง เป็นผู้ละชาติและมรณะได้แล้ว
    ชื่อว่ามีคุณครบถ้วนแห่งพรหมจรรย์ ชื่อว่าถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง
    บัณฑิตกล่าวบุคคลผู้เช่น นั้นว่าเป็นพุทธะ.

    ทรงแสดงอนุปุพพิกถา

    [๕๙๙] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสอนุปุพพิกถาแก่พรหมายุพราหมณ์ คือ
    ทรงประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษของกามทั้งหลายอันต่ำทราม
    เศร้าหมอง และอานิสงส์ในเนกขัมมะ.
    เมื่อใด พระผู้มีพระภาคได้ทรงทราบว่า
    พรหมายุพราหมณ์มีจิตคล่อง มีจิตอ่อนปราศจากนิวรณ์ มีจิตสูงผ่องใส
    เมื่อนั้นจึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย
    ทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค.
    ธรรมจักษุอันปราศจากธุลีปราศจากมลทิน
    เกิดขึ้นแก่พรหมายุพราหมณ์ ณ ที่นั่งนั้นเองว่า
    สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา
    เปรียบเหมือนผ้าขาวที่สะอาด ปราศจากดำควรรับน้ำย้อมด้วยดี ฉะนั้น.

    �����ûԮ�������� �� - ����ص�ѹ��Ԯ�������� �
    ^
    ^
    พระพุทธพจน์ข้างต้นนั้น ชัดเจนในตัวเองนะครับ
    ไม่ต้องตีความใดๆทั้งสิ้นให้เปลื่องสมอง
    "จิตอันบริสุทธิ์ อันพ้นแล้วจากราคะทั้งหลาย โดยประการทั้งปวง
    เป็นผู้ละชาติและมรณะได้แล้ว"? ใช่จิตบริสุทธิ์มั้ยครับ?
    บัณฑิตกล่าวถึงบุคคลผู้เช่นนั้น ว่าเป็นพุทธะ

    พระสูตรกล่าวไว้ชัดเจนแล้วนะว่า จิตบริสุทธิ์อันพ้นแล้วจากราคะทั้งหลาย
    ไม่ใช่เกิดๆดับๆ ไปกับราคะทั้งหลายเหล่านั้น
    ความเกิดและความดับคืออุปกิเลสทั้งหลายที่เกิดขึ้น ดับไปจากจิตนั่นเอง
    จิตจึงบริสุทธิ์ปราศจากเครื่องเศร้าหมองทั้งหลายได้ จิตอันได้รับความบริสุทธิ์

    ในโอวาทปาติโมกข์ ที่ทรงกล่าวไว้ชัดเจนเช่นกันว่า
    ๑.ละชั่ว
    ๒.ทำดี
    ๓.ทำจิตใจให้บริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย

    เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ที่ทรงอุบัติขึ้นมาในโลกได้สั่งสอนไว้
    "เมื่อนั้นจึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย
    ทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค."
    ฉะนั้นเรื่อง "จิต" จึงเป็นหัวใจหลักของพระพุทธศาสนาที่เราต้องสนใจศึกษาอย่างจริงจัง
    ด้วยการลงมือปฏิบัติอริยมรรคตามรอยพระบาทของพระบรมครูจอมศาสดา
    ที่ทรงให้เริ่มต้นด้วยสัมมาสมาธิ(มหาจัตตารีสกสูตร) จึงจะรู้เห็นตามความเป็นจริงได้
    เมื่อสามารถชำระจิตให้บริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองได้แล้ว
    เราเรียกบุคคลเข่นนั้นว่า "พุทธะ" (ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน)
     
  10. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    ไม่มีตัวตน กับ ไม่มีตัวตนที่เที่ยง คุณ แยกไม่ออก หรือ?
     
  11. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    ไปดู สาย ปฎิจจสมุปบาท สิครับ........................
     
  12. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    2
    ^
    ^
    จิตมีดวงเดียวแน่นอนครับ พระบาลีชัดๆไปต้องตีความใดๆ(เอก จรํ)
    ส่วนอาการของจิต(จิตสังขาร)ที่จิตแสดงออกมานั้นมีมากมายเป็นร้อยๆนั้น
    เราก็ล้วนเรียกว่าดวงเช่นกันครับ ถ้าจิตมีหลายดวงคุณจะฝึกฝนอบรมดวงไหน?

    ส่วนเรื่องจิตดำรงนั้น พระพุทธพจน์รับรองไว้ชัดๆ โดยไม่ต้องตีความ
    เมื่อความยึดมั่นอย่างแรงกล้าไม่มี
    จิตย่อมคลายกำหนัดในรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
    ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น. เพราะหลุดพ้น
    จิตจึงดำรงอยู่ เพราะดำรงอยู่ จึงยินดีพร้อมเพราะยินดีพร้อม
    จึงไม่สะดุ้ง เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมดับรอบเฉพาะตนเท่านั้น
    ภิกษุนั้น ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
    กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มี.
    ^
    ^
    เมื่อไม่มีความยึดมั่นถือมั่นอย่างแรกกล้าไม่มีในจิตนั้น
    จิตย่อมเบื่อหน่ายในขันธ์๕ เมื่อเบื่อหน่าย จิตก็คลายกำหนัดในขันธ์๕
    จิตย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย ใช่จิตนั้น(ภิกษุนั้น)ดับรอบเฉพาะตนมั้ย?
    *
    จิตไม่ใช่ใจ(มนัส)แน่นอน มีพระพุทธพจน์รับรองชัดๆครับ
    โกฏฐิกสูตร

    พระมนัสของพระผู้มีพระภาคมีอยู่แท้
    พระองค์ก็ทรงรู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยพระมนัส
    แต่พระองค์ไม่มีความพอใจรักใคร่ พระองค์ทรงมีจิตหลุดพ้นแล้ว

    �����ûԮ�������� �� - ����ص�ѹ��Ԯ�������� ��

    ^
    ^
    ยังจะต้องตีความหรือสรุปว่า เป็นทัศนคติของจขกท.อีกมั้ย?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2011
  13. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    5.มีแดนนิพพานอยู่ หลังจากพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ตายดับไปแล้ว
    ซึ่งในเขตแดนนิพพาน เป็นที่อยู่ ของจิตที่ปราศจากราคะ โทสะ โมหะ (ความเห็นที่ 49)(โกทูเบตเตอร์)

    ^
    ^
    เล่นคิดเองเออเองแทนกันแบบนี้ ก็แย่สิ จขกท.ไม่ได้รู้อย่างนั้น
    แค่สรุปพระพุทธพจน์ แทนพระพุทธองค์ ก็เล่นเอาแย่อยู่แล้วนะ
    ที่เคยพูดไว้ว่า"แดนนิพพาน" ก็คือเขตที่ปราศจากราคะ โทสะ โมหะ"
    กิเลสเข้าไปไม่ถึงซึ่งเขตนั้น
    จะเติมอะไรลงไปกันเองตามชอบใจไม่ได้นะ
    ส่วนเมื่อล่วงลับไปแล้ว เป็นยังไง มีพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวไว้มากมายให้ศึกษา
    ที่พลังจิตก็มีในส่วนนี้ ที่เจ้าของเว็บได้ทำไว้ให้ศึกษากัน
     
  14. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ไม่เคยพูดถึงพระนิพพานเป็นอัตตา ในแง่ที่เป็นตัวๆให้จับต้องได้
    หรือความยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดในสิ่งต่างๆว่าเป็นตน
    และไม่เคยพูดว่าพระนิพพานเป็นสถานทีไหนสักแห่ง
    เป็นที่นั่งเล่น เป็นที่นอนเล่นเย็นสบาย จับต้องมองเห็นด้วยตาเนื้อได้

    แต่พูดเสมอว่าพระนิพพานเป็นตน(สภาวะธรรม)ที่เป็นพึ่ง ที่อาศัยได้
    ดังพระพุทธพจน์ที่ทรงตรัสไว้ว่า
    เธอจงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นนที่พึ่ง
    ที่มีตน(สภาวะธรรม)นั้น ต้องมีอยู่จริง เป็นที่พึ่ง ที่อาศัยได้จริงๆครับ

    ไม่ใช่สภาวะธรรมที่ไม่มีตัวตน(นิรัตตา) คือไม่มีอยู่จริงในโลก พึ่งพาอาศัยอะไรไม่ได้
    ถ้าพระนิพพานไม่มีตน(สภาวะธรรม)ที่อยู่จริงในโลกแล้ว
    พระพุทธองค์ทรงไม่ต้องออกค้นหาอมตะธรรมให้เสียเวลาหรอกนะ

    ถ้าสมมุติบัญญัตินั้นไม่มีอยู่จริงใช่ไหม?
    การจะสมมุติอะไรขึ้นมาได้นั้น สิ่งต้องมีอยู่จริงใช่หรือไม่?
    ฉะนั้น อัตตาตัวตนที่เป็นตัวๆให้จับต้องได้นั้น หรืออัตตาตัวตน
    ที่เกิดจากการเข้าไปยึดมั่นถือมั่น ในอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดที่เป็นรูป อรูปนั้น
    ทุกคนก็รู้ดี มีอยู่จริงเช่นกัน แต่เป็นตนที่เกิดจากทัศนคติแบบข้างบน
    ที่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นเอารูปขันธ์และนามขันธ์มาเป็นตัวตนของตน

    พระพุทธพจน์ที่ยกมานั้น ล้วนเป็นตน(ที่มีอยู่จริงๆ) เป็นที่พึ่งพา เป็นที่อาศัยได้จริง
    หรือจะบอกว่า พระนิพพานไม่มีอยู่จริง(คือไม่มีตัวตนอยู่จริง)?
     
  15. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ยังเล่นสำบัดสำนวนไม่เลิกอีกหรือ?

    ของไม่มีตัวตน จะเที่ยงหรือไม่เที่ยงไม่สำคัญแล้ว

    จะไปมีผลอะไร ก็ของมันไม่มีอยู่จริงในโลก จะพูดถึงทำไม

    ยังไม่รู้ตัวอีกหรือว่า โชว์...อะไรออกมา

    ทำไมต้องแยก ก็ของมันไม่มี จะไปเสียเวลาแยกทำไม? บ้าหรือเปล่า

    คนอะไรดื้นเอาเสียจริงๆ ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนจริง

    เฮ้อ ของมันไม่มียังจะไปนั่งแยกให้โ...ไปทำไม?
     
  16. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    รู้ได้อย่างไรว่าไม่เชื่อ อย่าคิดเองเออเองสิครับ
    ควรจะเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ และไม่ควรเชื่อในสิ่งที่ขาดเหตุผล
    ที่ควรแย้งก็เฉพาะในส่วนที่ขาดเหตุขาดผลเท่านั้น
    ถ้ามีเหตุผลดีจริง มีหรือใครจะไม่เชื่อ ที่ไม่เชื่อเพราะตริตรองตามไปไม่ได้ต่างหาก
    เช่นที่เคยถกธรรมกัน ผมพอระลึกได้บ้าง(คุณยังไม่ได้ตอบผม) ความจริงยังมีอีกหลายข้อ

    คุณเคยพูดไว้ พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์นั้นไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงสมมุติ หรือเพียงขันธ์๕เท่านั้น
    การจะสมมุติอะไรขึ้นมาได้นั้น สิ่งนั้นต้องมีอยู่จริงใช่ไหม?

    ที่ถามไปว่า ปุถุชนคนทั่วไป ก็เป็นเพียงสมมุติ หรือเพียงขันธ์๕เช่นกันใช่มั้ย?
    แสดงว่าปุถุชนคนทั่วไป ไม่แตกต่างอะไรไปจากพระพุทธเจ้า
    หรือพระอรหันต์ทั้งหลายที่เป็นสมมุติเลยสิ

    แล้วตกลงแตกต่างกันตรงไหน?

    และยังถามอีกว่า ถ้าพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ไม่มีตัวตนอยู่จริงหรือ?

    พระพุทธพจน์และคำสอนต่างๆของพระพุทธองค์
    และพระอริยสาวกมาจากไหน ถ้าไม่มีอยู่จริง?
    v
    v
    ดูกรท่านพระอุทายี บุรุษต้องการแก่นไม้ เที่ยวเสาะแสวงหาแก่นไม้
    ถือเอาขวานอันคมเข้าไปสู่ป่า พบต้นกล้วยใหญ่ ตรง ใหม่ ไม่รุงรัง ในป่านั้น
    พึงตัดที่โคนต้นแล้วตัดที่ปลาย ครั้นแล้วลอกกาบอก แม้กระพี้ที่ต้นกล้วยนั้นก็ไม่พบ
    ที่ไหนจะพบแก่นได้ ฉันใด
    ดูกรท่านพระอุทายี ภิกษุจะพิจารณาหาตัวตนหรือสิ่งที่เป็นตัวตนในผัสสายตนะ ๖
    ไม่ได้ ฉันนั้นเหมือนกัน

     
  17. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    ขอยกพระวจนะเรื่องปฎิจสมุปบาท อีก พระ วจนะหนึ่ง" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ชราและมรณะเป็นไฉน ความแก่ ภาวะ ของความแก่ ฟันหลุด ผมหงอก นี้เรียกว่า ชรา ก็มรณะเป็นไฉนความเคลื่อน ความทำลาย ความแตกแห่งขันธ์ นี้เรียกว่ามรณะ".........................."ก็ชาติเป็นไฉน ความเกิด ความปรากฎแห่งขันธ์ นี้เรียกว่าชาติ"................................."ก็ ภพ เป็นไฉน ภพ3เหล่านี้คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ นี้เรียกว่า ภพ".........................."ก็อุปาทานเป็นไฉน อุปาทานทั้ง4เหล่านี้คือ กามุปาทาน ทิฎฐิปาทาน สีลัมพพปาทาน อัตวาทุปาทาน นี้เรียกว่าอุปาทาน"...................."ก็ ตัณหาเป็นไฉน ตัณหา6หมวดเหล่านี้คือ รูปตัณหา สัทตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา ธัมตัณหา นี้เรียกว่าตัณหา"..................."ก็เวทนา เป็นไฉน เวทนา 6หมวดเหล่า ก็คือ จักขุสัมผัสชาเวทนา โสตสัมผัสชาเวทนา ฆานสัมผัสชาเวทนา ชิวหาสัมผัสชาเวทนา กายสัมผัสชาเวทนา มโนสัมผัสชาเวทนา นี้เรียกว่าเวทนา............"ก็ผัสสะเป็นไฉน ผัสสะ6หมวด เหล่านี้คือ จักขุ สัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส นี้เรียกว่า ผัสสะ......................."ก็สฬายตนะเป็นไฉน อาตนะคือ ตาหู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้เรียกว่า สฬายตนะ."................."ก็ นาม รูปเป็นไฉน เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ นมสิการ นี้เรียกว่า นาม มหาภูตรูป4 และรูป ที่อาศัยมหาภูตรูป4 นี้ เรียกว่า รูป"..................."ก็วิญญานเป็นไฉน วิญญาน6หมวดเหล่านี้คือวิญญาน จกขุวิญญาน โสตวิญญาน ฆานวิญญาน ชิวหาวิญญาน กายวิญญาน มโนวิญญาน นี้เรียกว่าวิญญาน"..................."ก็สังขารเป็นไฉน สังขาร3เหล่านี้คือ กายสังขาร วจีสังขาร จิต สังขาร นี้เรียกว่า สังขาร".............."ก็อวิชชาเป็นไฉน ความไม่รู้ทุกข์ ความไม่รู้ในความดับทุกข์ ความไม่รู้ในปฎิปทาที่ให้ถึงแห่งความดับทุกข์นี้เรียกว่าอวิชชา"-----------(วิภังคสูตร นิ.ส.6-17)...
     
  18. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    การปรากฎ การเกิด ดับ ที่ รูป-นามเห็น เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นั่นแหละ การเห็นของรูป-นาม ของ ช่วงแห่งการ เกิด ดับ นั่นแหละ ไม่มีตัวตน ที่เที่ยง จ้ะ........ส่วน ไม่มีตัวตนเป็นทิฎฐิ ที่เขาเรียกว่า มิจฉาทิฎฐิจ้ะ..............................
     
  19. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    คุณ ก็เข้า ใจ ปัจจัยรูป-นามนี่ แต่คุณ มองประเด็นที่พระพุทธองค์สอนไม่เห็น นั่น คืออะไร? อริยสัจ4 ส่วน ที่บอกว่า คนตาย จิต ออกจากร่าง ถ้าคุณบอกว่า เพราะมัน หมดเหตุ ปัจจัย แห่งรูปนาม จะมีเหตุผลที่ถูกมากกว่า การ ที่บอกว่า จิต ลอยออกจากร่าง นะครับ..................
     
  20. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    ...............ตีความจากความเป็น ปุถุชน พระองค์ สอน ให้รู้ อริยสัจ4คือ เรื่องทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ไปทบทวนดูว่า คุณไปให้ความสำคัญกับเรื่องอื่น แถม ยังตีความออกมาผิดจุดประสงค์อีก................
     

แชร์หน้านี้

Loading...