ดอกบัวแห่งแสงพระนิพพาน คือ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย วรณ์นิ, 7 มกราคม 2017.

  1. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ตัวผมเอง เป็นได้แค่ผู้รู้ และผู้พาทำ...ผมทำคนเดียวไม่ได้
    คนที่อยากทำ ไม่จำเป็นจะต้องรู้ แต่มาเรียนรู้ ที่จะเป็นผู้รู้ได้เช่นกัน
    ผมพาทำได้ ต้องมีคนร่วมมือทำ และร่วมใจกันทำ

    เราต้องมาเน้นที่การส่งเสริมทางปัญญาและศีลธรรม ควบคู่ไปกับการใช้ชีวิต ควบคู่กับการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ และเรียนรู้ความถูกต้องทั้งตัวเราเอง ผู้อื่นและธรรมชาติ ต้องแก้ไขไปพร้อมๆกันทั้งหมด ...ค่อยเป็นค่อยไป เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง โดยมีธรรมชาติ(มรรคแปด)คือ...หลักสูตร...ตามรอยพระศาสดา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มกราคม 2017
  2. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ในกระทู้ของคุณบ้องแบ๊ว ผมเขียนถึงเรื่อง จิต เรื่องสติปัฏฐานสี่ เรื่องการตีความพระธรรม จนกลายมาเป็น วิชชาของอาจารย์คนนั้น อาจารย์คนนี้ สำนักนั้น สำนักนี้...ลัทธินั้น ลัทธินี้..วัดป่า วัดบ้าน..ธรรมกลายนั้น ธรรมกลายนี้ มโนมานึกคิดนั้น มโนมานึกคิดนี้ สุญตาคือนิพพาน เป็นต้น..จนทำให้ เกิดมี แดนนิพพาน เมืองนิพพาน ของแต่ละสำนักไป...ซึ่งความเป็นจริง พุทธเกษตร ก็ยังมีอีกที่คือ แดนสุขาวดี..อีกแดน แล้วทำไม ธรรมกลายไม่ไป มโนมานึกยึดไม่ไป สุญตาไม่ไป...พวกถอดจิตไม่ไปกันมั่ง

    สมัยพุทธกาล สวรรค์ของพราหมณ์ ชั้นพรหมของพราหมณ์ ก็มีอยู่แล้วเป็นเรื่องปกติ อภิญญาของพราหมณ์ ก็มีอยู่แล้วเป็นเรื่องปกติ..พวกเขาล้วนแล้วแต่ปฏิบัติเพื่อให้ถึงการพ้นทุกข์จริงๆคือนิพพาน...แต่ก็ไม่ถึง พากันติดที่อภิญญา หรือชั้นพรหม กัน....ซึ่งนิพพานจริงๆนั้น..มันต้องใช้ความรู้ความเข้าใจในจิต ในรูปนามอันยิ่งยวด หรือที่เรีนกว่า ปัญญาอันยิ่ง เพื่อทำความเข้าใจให้ถึง ในอริยสัจสี่...ปัญญาที่ว่าก็คือ..การเข้าใจเข้าถึงในพระไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)...และ วงจรสมุปจกิจบาท...ซึ่งทุกเรื่องก็เป็นเรื่องเดียวกัน...นั่นเอง..ส่วน เรื่องกรรมฐานทั้งหลาย ไม่ว่าจะมีกี่กอง(ที่พราหมณ์มีอยู่เดิม หรือลัทธิอื่นมีอยู่เดิมแล้วก็ตาม)..ทุกกรรมฐาน ก็หนีไม่พ้นต้อง ปฏิบัติให้เข้ากับหลักของสติปัฏฐานสี่ ถึงจะให้ผลคือปัญญาที่จะพาเข้าถึงหลักของพระไตรลักษณ์นั่นเอง....ซึ่งก็จะพาเข้าถึง อริยสัจสี่ อันเดียวกัน..ที่สุดคือ ถึงพระนิพพาน อันเป็นที่สุด..ของการพ้นทุกข์....แต่จากที่ผ่านมาจะเห็นว่า กาลเวลาทำให้ เกิดการแตกต่าง กันของสาวก ซึ่งเกิดจาก..ช่วงของการปฏิบัติ จิต..ทั้งสิ้น..ฝึกจิต ฝึกสติ แบบไหนกัน..จึง ทำให้มีวิชานั้น วิชานี้..ขึ้นมา..เช่น ธรรมกลาย มโนมายึดนึก สุญตานิพพาน..แล้ว วิชา สติปัฏฐานสี่...แบบของพระพุทธเจ้าจริงๆ...มันคงอาจเข้าใจยากเกินไป อย่างนั้นรึ....โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ...อันมี สติปัฏฐานสี่ คือทางที่ตรงที่สุด..(กรณีที่พระองค์ตรัสเอาไว้เช่นนี้ เพราะ มันมีคนเริ่มฝึก ในแบบอื่นมา พระองค์จะบอกว่ามันผิด ก็ไม่อยากพูดให้เสียน้ำใจ พระองค์เลยใช้คำพูดเพื่อเป็นการรักษาน้ำใจไปว่า..เส้นทางอื่นมันก็ดีแต่เป็นการอ้อม เป็นทางอ้อม ที่เป็นการทำให้เสียเวลานาน เสียเวลาเปล่าเฉยๆ สู้ฝึกสติปัฏฐานสี่ โดยตรงไม่ได้....แต่เมื่อพระองค์ตรัสเพื่อรักษาน้ำใจเช่นนี้ ก็ยังมีคน คิดว่า ที่ตนเองทำอยู่นั้น ก็ไม่ผิดอะไร..แต่สุดท้าย ไม่เพียงแต่เส้นทางจะอ้อมจะยาวเท่านั้น มันยังหลงทางไปกับอภิญญา อวิชขาพาหลงไป จนเสียดายก็สายไปเสียแล้ว...(พูดไม่ออก บอกใครไม่ได้ เลยต้องมานั้งอึ้ง ทึ่งเสียว นิ่งเป็นใบ้....อยู้อย่างนั้น..แต่กระนั้นก็ยังมีคน วิปลาส..ไปเห็นเข้า แล้วเกิดศรัทธาบ้าบอ ..บอกว่า น่านับถือ แบบนี้เป็นของจริง..ของจริงต้องนิ่งเป็นใบ้ ..สำรวม..)ทั้งที่ความจริง มันจะจุกอกตาย เพราะ ตนเองเสียเวลาหลงผิดมาเป็นชาติ มาหลายชาติ น่ะสิ ไม่ว่า

    ทำไมไม่คิดบ้างล่ะว่า พระพุทธเจ้าท่านก็ของจริง...แล้วทำไมท่านต้อง เพียรพยายามที่จะชี้ จะสอน...ทำไมท่านไม่นั่งนิ่งเป็นใบ้..ล่ะ
    พูดมาได้ไง ว่า ของจริงต้องนิ่งเป็นใบ้ ของพูดได้ คือ ของปลอม...(คิดเข้าข้างตนเองรึเปล่า ที่ว่า. อึ้ง แทบจะจุกอกตาย เพราะ ตนเองไม่หลงทางเปล่า ยังมีหน้า นำพาคนอื่นให้หลงทาง ตามไปด้วย พอมารู้ตัวอีกทีว่า ตนเองสอนผิด เลยต้อง จังงัง นิ่ง...จะไปต่อก็ไม่กล้า จะถอยหลังก็กลัวเสียหน้า)....เลยนั่งนิ่ง แบบตายคาที่....เหมือนรถหมดน้ำมัน

    เรื่องอย่างนี้...มันเป็นเรื่องที่...ปกติอยู่แล้วที่ อวิชชาพาไป...พระธรรมที่แสดงเอาไว้ในสมัยพุทธกาลนั้น ความจริง มันไม่มีหรอก ที่ว่าจะเป็นเรื่องของอจิณไตย...แต่ที่พระองค์แจงว่าเรื่องบางเรื่องเป็นเรื่องอจินไตย เอาไว้ ก๋เพราะ สติปัญญาในยีนส์ ในดีเอ็นเอ มันยังไม่ถึง ถึงพูดไปก็ยังทำความเข้าใจไม่ได้..เพราะวิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ ไม่ได้ ยังทำไม่ได้..เช่น พลังงานไฟฟ้า แม่เหล็ก เซลล์ ขั้วบวกขั้วลบ รถยนต์ เรือดำน้ำ เครื่องบิน พัดลม ตู้เย็น....สร้างลม สร้างฝน สร้างหิมะ อินเตอร์เนต วิฟิ เหล่านี้...

    แต่มาทุกวันนี้...วิทยาศาสตร์ทำได้ พิสูจน์ได้ ทางรูปธรรม..ถือว่า แทบจะถึงที่สุดของรูปธรรมแล้ว..เหลือเพียงการพิสูจน์ทางนามธรรม..เท่านั้น ซึ่งผู้ที่จะพิสูจน์ทางนามธรรมต่อไป ก็คือ พระพุทธเจ้า องค์ที่5 ในภัทรกัปน์นี้..ซึ่งก็คือ องค์พระศรีอารยะเมตไตรย...นั้นเอง...ซึ่ง มันก็ถือว่า เป็นการ ก้าวเคลื่อน นับเริ่มในการเข้าสู่ ยุคพระศรีอาริย์อยู่แล้ว..ตามปกตื
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2017
  3. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
    ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
    ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ

    .....
    เมื่อใดที่ได้ระลึกถึงคุณของพระพุทธองค์ น้ำตาแห่งความ ปีติ ในคุณแห่งความเมตตาของพระองค์ที่มีต่อสัตว์โลก มันแสนยิ่งใหญ่ หาใดเปรียบปาน พระนิพพาน ที่พระพุทธองค์ ได้นำมา มอบเป็น ของขวัญอันวิเศษที่สุดในสามโลกธาตุ ที่สุดในจักรวาล มันช่าง เป็นสิ่งที่ เลิศ ที่สุดในสามโลกจริงๆ
    .....
    ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
    ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
    ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
    .....
    พระธรรมความจริง ความถูกต้อง อันประเวริฐที่สุด ในสามโลก ในจักรวาล หรือคือพระนิพพาน ..พระนิพพานเป็นการพรรณเปรียบเทียบถึงคุณของพระธรรมอันบริสุทธิ์ยิ่ง เป็นคุณที่มีเอาไว้เพื่อชำระอวิชชา เพื่อเป็นดั่ง เรือพาเราข้ามทะเลทุกข์ หรือออกพ้นจากทะเลทุกข์ ซึ่งก็คือ พาเราพ้นจากความไม่รู้ นั่นเอง
    .....
    สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
    ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
    ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
    .....
    พระสงฆ์สาวกของพระพุทธองค์..เป็นเนื้อนาบุญของโลก
    (ตอนแรก ผมว่าจะไม่เขียน พรรณาคุณในข้อนี้ เพราะ ผมไม่ค่อย มีความศรัทธาในคำสอนที่แตกต่างกันของพระสงฆ์ที่ไม่นับว่าเป็นสาวกของพระพุทธองค์)
    แต่จากประสบการณ์แห่งการปฏิบัติ ทำให้ผมได้พบกับ พระสงฆ์ที่เป็นสาวกของพระพุทธองค์ ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ จึงทำให้ผมได้มีวันนี้ เช่น หลวงปู่เทพโลกอุดร และสหายธรรมของท่าน พระลึกลับบางองค์ คำสอนดีดีบางประโยค ของหลวงปู่มั่น ของหลวงปู่ฝั้น..ดังนั้น ผมจึงต้อง ลงข้อนี้ เพื่อเป็นการระลึกถึงคุณครูอาจารย์ท่านที่มีเมตตา กับผมมา
    .....
    และยังมีคุณจากพ่อแม่ และคุณจากครูอาจารย์ ท่านเจ้าแม่กวนอิม และกัลยาณมิตร จากภพภูมิอื่น ที่เขาหวังดีต่อผมทั้งหลาย ผมจักขอบคุณท่านทั้งหลาย และระลึกถึงความเมตตาของพวกท่าน เสมอ เพื่อเป็นการเตือนสติตัวผมเอง ให้ ระลึกถึงความเมตตาต่อเพื่อนสรรพสัตว์อื่นๆ ต่อไป
     
  4. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ดอกบัวแห่งแสงพระนิพพาน คือ นามธรรมแห่งนิพพาน ที่ แสดงเอาไว้ในโลกมนุษย์ เป็นจุดศูนย์รวมของเหล่าจิตวิญญาณ ทั้งหลาย ทุกภพภูมิ เพื่อการรวมเป็นหนึ่ง เพื่อไกล้ชิดกับโลกมนุษย์ที่สุด เพื่อการเรียนรู้ถึงความถูกต้องในความเป็นมนุษย์ เพื่อการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ที่ดีงามและถูกต้อง ตามธรรมชาติต่อไป...เพื่อเป็นบันไดสู่ยุคพระศรีอารยะเมตไตรยต่อไปในภายภาคหน้า..
     
  5. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ชีวิต....คือ
    สิ่งหล่อเลี้ยงชีวิต.....คือ
    งานเพื่อเงิน......คือ
    ชีวิตเพื่องานหรือเพื่อเงิน......คือ
    ชีวิตทำเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต.....คือ
    ทุกชีวิตต้องทำงานหรือหาเงินเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต....คือ
    ความเหมือนกันของทุกชีวิต.....คือ
    ความจำเป็นของทุกชีวิต.....คือ
    โลกเดียวกันของทุกชีวิต.....คือ...ความเป็นธรรม
    ความเป็นธรรมชาติของทุกชีวิต....คือ
    ความถูกต้องของทุกชีวิต....คือ
    ความมีคุณค่าของทุกชีวิต....คือ

    ทุกชีวิตจะมองเห็นคุณค่าในชีวิตของตัวเองและชีวิตของคนอื่นได้ถูกต้อง ได้อย่างไร?
     
  6. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ทุกชีวิตอยู่ในโลกเดียวกัน แต่ทุกชีวิตพยายามสร้างโลกให้เป็นโลกส่วนตัวในความคิดของตนเองได้ตามจินตนาการ ตามความใฝ่ฝัน ตามความชอบ แต่ ไม่ควรนำโลกส่วนตัว มาสร้างผลกระทบที่ไม่ดีต่อโลกส่วนรวมที่เป็นจริง ความคิดความฝันในความคิดส่วนตัวไม่ควรกระทบหรือเบียดเบียนต่อโลกความจริงอันมีธรรมชาติเป็นหลักอยู่แล้ว เพื่อถ้ามีผลกระทบที่ไม่ดีจากโลกความคิดส่วนตัวต่อโลกตามธรรมชาติส่วนรวม นั่นถือว่า เป็น ความเห็นแก่ตัวเกิดขึ้นมาแล้ว..ดังนั้น ความคิดความฝันที่เป็นโลกส่วนตัวจึงมีผู้บัญญัติ ข้อควรปฏิบัติของทุกชีวิตเอาไว้ นั่นคือ มรรคแปดข้อ...สัมมาแห่งความเป็นกลางที่ไม่มีผลกระทบต่อธรรมชาติ ที่เป็นไปเพื่อความเห็นแก่ตัวหรือเห็นแก่ผู้หนึ่งผู้ใดเลย แต่เพื่อความคงอยู่ร่วมกับธรรมชาติตลอดไป แบบไม่เบียดเบียนต่อธรรมชาติทั้งหลาย อันได้แก่ ธรรมชาตของโลก ของสัตว์ทั่วไป ของคนอื่น และของตนเอง

    ทุกชีวิตเดินอยู่บนพื้นดินก้อนกลมๆอันเดียงกีน ทุกดิน มันมีมาตั้งแต่มีโลก ดินทุกที่ เก่าแก่เท่ากัน มีอายุเท่ากัน น้ำทุกที่เก่าแก่เท่ากันมีอายุเท่ากัน ธาตุทุกที่เก่าแก่เท่ากัน มีอายุเท่ากัน ไม่มีสิ่งใดที่ไหนในโลกที่ พิศดารต่างกัน แค่มัน เปลี่บนแปลงรูปร่างไปตามเหตุและปัจจัยที่มีตามธรรมชาติ ยกเว้นในวัตถุที่เปลี่ยนแปลงไปโดยความคิดหรือเจตนาที่เห็นแก่ตัวของมนุษย์ที่นำเอาอวิชชาเข้าไปเจือปนกับธาตุตามธรรมชาติเพื่อสร้างเป็นวัตถุขึ้นมาตามความคิดแห่งอวิชชา
     
  7. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    หลายๆชีวิต ถูก อวิชชาครอบงำ ครอบครอง พาไป ชี้นำไป ไหลไป หลงไป สู่โลกในความคิดความฝันที่สร้างที่จินตนาการขี้นมา เพื่อต้องการพิสูจน์ว่าควมคิดนั้นของตนเองมันมีดีกว่าความคิดของคนอื่น หรือ ความคิดของตนเองมันดีกว่าธรรมชาติทั้งหลายที่มีอยู่แล้ว เปรียบเหมือน ชีวิตที่เจริญเติบโตตามธรรมชาตินั้น มันไม่ทันใจไปกับความคิดในโลกแห่งจินตนาการของตน จึงมีการคิดค้น้พื่อเอาเปรียบในธรรมชาติ เหมือน การเลี้ยงโคขุน โดย การ ยัดเยียด รูปแบบในการใช้ชีวิตในแบบใหม่ที่ไม่ต้องเป็นไปตามธรรมชาติ จับขัง กักบริเวณ บังคับให้กินน้ำอาหาร อยู่ตลอดเวลา เพื่อต้องการการเติบโตที่เร็วกว่าธรรมชาติ...นั่นเอง..(โตไว ก็ ตายไว)

    เด็กที่เกิดมา ต้องรีบกิน รีบโต รีบเรียนรู้ รีบทำงาน รีบหาเงิน รีบแข่งขัน รีบเพื่ออะไรไม่รู้ จนชีวิตแทนที่จะเข้าถึงธรรมชาติ กลับถูก ชี้นำ ให้เข้าไปอยู่ ในกระแสความคิดความต้องการของผู้ใหญ่ที่มีอวิชชาพาไป จนชีวิต ไม่เหลือวัยเด็กที่บริสุทธิ์ตามธรรมชาติ เกิดมาเป็นวัยรุ่นที่ผิดธรรมชาติร่างกายและจิตใจไม่ควบคู่กัน ร่างกายเป็นเด็กแต่ความคิดเป็นผู้ใหญ่(ความคิดที่ไม่บริสุทธิ์เหมือนวัย) โตขึ้นมาเป็นหนุ่มเป็นสาวที่ไม่งดงาม ไม่สวยงามตามธรรมชาติ แต่โตมาด้วยการส่งเสริมสนับสนุนเพาะเลี้ยงกิเลสตัณหาความอยากจนเต็มสมอง พอมาเป็นผู้ใหญ่วัยทำงาน วัยเป็นผู้นำครอบครัว จึงขาดวุฒิภาวะทางจิตใจ ทางปัญญา ในการที่จะมีความรับผิดชอบตามวัย ตามบทบาทและหน้าที่ของตนเอง ก็ไม่รู้เรื่องแบบนี้...เพราะถูกสอนมาเพื่อให้เอาตัวเองให้รอด ให้เก่ง ให้เป็นที่หนึ่งอย่างเดียว เลยทำให้ ทุกสังคม ที่มีบุคคลที่เจริญเติบโตมาแบบผิดธรรมชาติ ทั้งทางด้านความคิด ความเชื่อ การกระทำ และเต็มไปด้วยความอยากที่เห็นแก่ตัวเหล่านี้ ส่งผลทำให้ทุกสังคมที่คนพวกนี้ ร่วมใช้ชีวิตอยู่นั้น มีความผิดธรรมชาติ ไม่สงบสุข ไม่ปกติ ตามไปด้วย..นี่คือเรื่องใหญ่ๆที่ ทุกคนมองข้ามไป...สังคมจึงวุ่นวาย ตั้งแต่ ครอบครัว ชุมชน ที่ทำงาน การปกครอง และการใช้ชีวิตที่ ผิดจากธรรมชาติไป..จึงทำให้ คนทั้งหลาย เริ่มหันมาปกป้องตนเองมากขึ้น ด้วยการสร้างความคิดความเชื่อ ที่เป็นโลกส่วนตัวกันมากขึ้น เพราะหวังพึ่งพิงโลกส่วนรวมกันไม่ได้แล้ว...นั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มกราคม 2017
  8. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ตามปกติ วัสดุที่เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ เมื่อเน่าเปื่อยผุพังไปมันก็ไปหมุนเวียน อยู่ในแร่ธาตุตามธรรมชาติ ของมัน และวัสดุที่ดี ที่ให้ผลดีแก่สัตว์โลก ก็จะถูกนำมาหล่อเลี้ยงชีวิตของสัตว์โลก ให้คุณเป็นคุณต่อสัตว์โลก ทำให้สัตว์โลกตอบแทนกลับคืนด้วยจิตใจที่รัก และเมตตากรุณา ในอันที่จะส่งเวริมให้มีธรรมชาติดีดีเหล่านั้นเกิดขึ้น ละคงอยุ่ต่อไปเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตของพวกสัตว์โลกต่อไป

    แต่ วัตถุดิบที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยอำนาจกิเลสตัณหาอวิชชาความอยาก เพื่อความเห็นแก่ตัว เพื่อการทำลายธรรมชาติ นั้น ...เมื่อวัตุนั้นเน่าเปื่อยผุพังไป พลังแห่งอวิชชาที่เจือปนอยู่ที่มีอยู่ในวัตถุนั้นก็จะเข้าไปเจือปนกับธรรมชาติทำให้ธรรมชาติไม่บริสุทธิ ถูกเบีนดเบียน ถูกทำลาย ถูกแทรกแซง..ซึ่งมีผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ทางธรรมชาติอย่างสะสม ต่อไป..มิหนำซ้ำ เวลาที่เมื่อวัตถุเหล่านั้นตอนที่ตกอยู่ในความครอบครองของมนุษย์ พลังงานอวิชชาในวัตถุยังเข้าไปใผล ส่งผลกระทบต่อจิตใจของมนุษย์ ให้ครอบงำ กระต้น สะสม ความเห็นแก่ตัวมากขึ้น แก่หลายๆคนที่มาสัมผัส ทั้งทาง ตาหูจมูกลิ้นกายใจ มันจึงเหมือนการแพร่โรคร้ายติดต่อ ให้กับ สัตว์โลกที่ มีอายตนะเหล่านั้นต่อไปอีกด้วย....เป็นต้นทุนสะสมเชื้อชั่วแห่งอวิชชา..

    จะเห็นได้จาก...ตัวอย่างก็คือ เมื่อหาเงินมาได้ เพื่อที่จะเอามาแลกเปลี่ยนให้เป็นไปเพื่อความสุขกายสุขใจของชีวิต...แต่กลับพบว่า สิ่งที่เอาเงินไปแลกมานั้น มันกลับเจือปนไปด้วย อวิชชา ความอยาก ความเห็นแก่ตัว ยาพิษ สิ่งเจือปนของมนุษย์ที่สร้างมันมา ทำมันขึ้นมา จะเพื่อสนองความอยากหรือเจือปนกับความทุกข์ที่คนทำคนสร้างเขามีอยู่ เขาสร้างเขาทำเพราะไม่มีความสุขในการสร้าง ในการทำนั่นเอง

    ดังนั้น จะเห็นว่า ทานข้าวก็ไม่มีความสุข ทานน้ำก็ไม่มีความสุข มีรถ มีบ้าน มีเงิน มีทอง ก็ยังไม่มีความสุข มีสิ่งๆต่างๆมากมายก็ยังไม่มีความสุข หาท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ ก็ไม่มีความสุข..นั่นเพราะ
     
  9. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    นั่นเพราะ ที่ไหนๆ ก็มีแต่คนที่ไม่มีความสุข ที่ไหนๆก็มีแต่สิ่งที่เจิอปนกับความทุกข์ ข้าว อาหาร น้ำ สถานที่..มันขาดความเป็นกลางตามธรรมชาติที่แท้จริงไป มันถูกเจือปนด้วยกิเลสตัณหาความอยาก ความทุกข์ของ คนผู้เป็นผู้ครอบครอง

    อาจจะเหลือบางที่ ที่ มีคนดีดีเป็นผู้ครองครอง ธรรมชาตินั้นก็จะไม่ถูกความชั่วร้ายเจือปน ดังนั้น คนดี มนุษย์ที่ดี จึง มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ รักษาธรร มชาติ ฟื้นฟูธรรมชาติ ให้กลับมาสู่ธรรมชาติที่ร่มเย็น งดงาม สวยงามและสงบสุข ได้ต่อไป.

    พวกเราต้อง ฟื้นฟู คน.ให้เป็นคนดี มนุษย์ผู้ประเสริฐ กันอย่างจริงจังและเร่งด่วน..ก่อนที่จะ ปล่อยให้คนผิดธรรมชาติ มันพากันทำลายธรรมชาติจนพินาศไปกว่านี้ ฟื้นฟูด้วยศีลธรรมของพระพุทธศาสนา ...ส่งเสริมศีลและธรรม..ในการอบรมขัดเกลาจิตใจ ชำระอวิชชากัน ให้เป็น รูปธรรม เป็นหลัก ในการฟื้นฟูโลกทั้งใบ...กันเลยทีเดียว
     
  10. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ดังนั้นในการฟื้นฟูธรรมชาติทั้งหลายในโลก จึงจำเป็นต้อง ฟื้นฟู ความคิด ความเชื่อ ชำระความหลงผิดด้วยศีลธรรมของพระพุทธศาสนา ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูระบบธรรมชาติ ฟื้นฟูระบบการใช้ชีวิต ให้ถูกต้องตามธรรม ตามมรรคแปด...ตามหลักเมตตาธรรม ค้ำจุนโลก..เพราะการให้วิชชาความรู้ ความจริง ความถูกต้อง ของชีวิตตามธรรม ตามมรรค คือหนทางตาม ธรรมชาติหนทางเดียวแห่งการ ฟื้นฟู ธรรมชาติทั้งหมดของโลก ที่จะทำได้..และได้ผล จริง ในการแก้ไข ในความผิดพลาดทั้งหลาย ที่มีมา
     
  11. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ความจริงที่ว่าภัยทางธรรมชาตินั้น ความจริงมันได้ให้ผล ต่อมนุษย์โลกมาอย่างสะสม ค่อยๆเข้มงวด เข้าทุกวัน...ปัจจัยหลักก็คือ อาหารการกิน ที่อยู่อาศัย โรคภัยไข้เจ็บ ความไม่สุขสบายทางกาย แล้วเมื่อใดที่มันเริ่มคืบคลานเข้าสู่จิตใจ เมื่อมันครอบงำถึงจิตใจของมนุษย์ จนทำให้ความคิด ความเชื่อในจิตใจคนมัน หมดสิ้นซึ่งศีลธรรมคือหมดสิ้น หิริโอตัปปะ หมดสิ้นความเกรงกลัวและละอายต่อบาป...เมื่อนั้น คือที่สุดของ การไร้คุณค่าของชีวิต หมดสิ้นการคิดคำนึงถึงการมีอยู่ของคุณค่าของชีวิตของคนอื่นๆเมื่อใด...การพิพากษาชีวิตคนอื่นด้วยความคิดของตนเอง จักเกิดขึ้นมาได้ ทันที

    เพราะชีวิตมันไร้ความเป็นมนุษย์ไปแล้วนั่นเอง...คุณล่ะ คิดว่า ตัวคุณเองจะถึงวันนั้น...เมื่อไหร่
     
  12. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    จะทำอย่างไร เพื่อให้ในจิตใจของคนเรา มีหิริโอตัปปะ มีความละอายต่อบาป และ มีความเกรงกลัวต่อบาป เป็นหลักของการดำเนินชีวิต ตั้งแต่ยังเด็ก ....ทำอย่างไร

    1.ผู้ใหญ่ ต้องไม่ทำตัวเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้เด็กเห็น...อันนี้น่าจะสำคัญที่สุด..ต่อชีวิตของเด็กที่เกิดมา ควรจะได้ถูกอบรมเลี้ยงดูมาให้ได้พบ ได้เห็นแต่ตัวอย่างที่ดีงามจาก ผู้ใหญ่ ....แต่ทุกวันนี้ ผู้ใหญ่กลับเป็นผู้ที่ปลูกฝังนิสัยที่ไม่ดีไม่งามทั้งหลายให้กับเด็กๆซะเอง แบบนี้ จะให้เด็กโตมา เป็นคนดีได้อย่างไร...

    เริ่มที่ ครอบครัว ก่อนเลย พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ลุงป้าน้าอา ที่เป็นผู้ใหญ่ ที่ควรจะทำตัวให้เป็นตัวอย่างและเป็นแบบอย่างที่ดี ให้กับลูกหลาน...ได้เห็น ได้ทำตาม ในสิ่งที่ดีงาม อย่างที่เคยพากันเรียกว่า จารีต ประเพณี วัฒนธรรมที่ดีงามนั่นเอง

    ต่อมาก็คือ ครู ที่โรงเรียน อันนี้คือปัจจัยที่สำคัญมาก เพราะ เด็กตอนอยู่บ้าน มีพ่อแม่ดูแล แต่เมื่อไปโรงเรียน เจอเพื่อนมากมาย หลายรูปแบบ ครูต้องเป็นผู้ที่ต้องคอยเอาใจใส่ดูแล ยิ่งกว่าเป็นพ่อเป็นแม่ของเด็กๆ เพราะ ในสังคมโรงเรียน เด็กมากมาย หลายวัย มาจากสังคมครอบครัวที่ต่างกัน ความคิด ความเชื่อ พ่อแม่ที่ต่างกัน แต่ดูเหมือนทุกวันนี้ สังคมของโรงเรียนหรือครูเอง ยังขาด การดูแลเอาใจใส่ มากเหลือเกิน จนเหมือนโรงเรียน ทำตัวเป็น บริษัทจำกัด เป็นสถาบันเพิ่อการหาเงินของครูไปซะแล้ว แล้วแบบนี้ จะได้เด็กที่โตมาเป็นคนดี มีคุณภาพได้อย่างไร ถ้าครูขาดหัวใจในการทำหน้าที่ ที่สำคัญที่สุดของชีวิต...ของเด็กๆ ตรงนี้ควรจะหันหน้ามา จัดการ แก้ไข ระบบการศึกษา ให้มันดีกว่านี้ และต้องรีบด่วนด้วย เพราะระบบการผลิตครู ระบบการจัดการกับครู ระบบการดูแลชีวิตของครู มันควรจะมีครู (บุคลตัวอย่างของประเทศชาติ) ควรจะมีครูที่ดี มีประสิทธิภาพ..ไม่ไช่จะปล่อยให้ ระบบครู กลายเป็น เหมือนระบบอื่นที่ตกอยู่ภายไต้ ระบบเงิน ระบบกำไร ของ กระทรวงการศึกษาไป...จนเป็นที่กอบโกย ของบรรดาข้าราชการ ที่ดูแลครู...ไป

    แปลว่า ระบบข้าราชการไทย...ไม่ได้รับการดูแล อย่างถูกต้อง และเป็นพิเศษจริงๆ..ข้าราชการไทยจึง มีมาตรฐานต่ำกว่า ที่ควรจะดีกว่าสูงกว่า ประชาชนทั่วไป

    ระบบข้าราชการควรจะ มีการดูแลเอาใจใส่ ใน ด้านของการทำงานที่ ต้อง มีฝ่ายสนับสนุนสูงกว่านี้ เพราะถ้าข้าราชการ มัวแต่เอาเวลา ไปคอยต้องหาเลี้ยงชีพ แก้ปัญหาชีวิตของตนเอง แล้ว จะเอาประสิทธิภาพในการทำงานพัฒนาประเทศชาติและประชาชน ได้เต็มร้อย ได้อย่างไร.....ถึงเวลาที่จะต้อง จัดการ ระบบข้าราชการไทย ใหม่ ได้หรือยัง

    ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน อบต.....ควรจะเอา วุฒิการศึกษา ระดับ ปริญญาตรี ขึ้นไป ...ไม่ควรเอาคนในพื้นที่ อบต.ควรจะเป็นข้าราชการประจำ ที่ มาจากที่อื่นมาบรรจุ จะได้ไม่มีพรรคมีพวก กับคนในพื้นที่ มีการย้ายประจำปี ไปเรื่อยๆ และมีหน่วยงานตรวจสอบต่างหาก รวมทั้ง เทศบาล อำเภอ จังหวัด ไม่ควรให้มีระบบผูกขาด จาก คนเดิม หรือ ของคนในพื้นที่ ต้องหาระบบจัดการด้วยวิธีใหม่ให้ได้ ...ควรจะเป็น ข้าราชการ ที่มาจากรัฐ และ เป็นคนของรัฐ จะได้ ไม่ ร่วมทุจริตกับ ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ได้..แบบนี้ น่าจะดูมี ความใหม่ ในระบบราชการไทย นะ
     
  13. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    มีอีกอย่างนึง ที่ผมอยากพูดถึงมันขึ้นมา นั่นก็คือ โรคเวรกรรม ตามสนอง นั้น....มีจริง

    จากเรื่องของตัวผมเอง อยากเอามาเล่า เป็นตัวอย่างที่ ไม่ดี ที่ผมเคยทำมาสมัยเป็นเด็กและเป็นวัยรุ่น ...
    ปกติ ผมเกิดมาแต่จำความได้ ผมเป็นคน มีแต่โรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน แต่ถึงกระนั้น ผมก็ยังนับว่า เป็นคนโชคดีในเรื่อง ความคิด ส่วนตัว คือผมเป็นคนที่ถือว่า ฉลาดคนนึง แต่ผมไม่เป็นคนขี้โกงนะครับ ผมเกลียดการขี้โกง การเอารัดเอาเปรียบผู้ที่อ่อนแอกว่า หรือผู้ที่เขายากจน ที่เขาไม่ได้มีโอกาสในชีวิตเพราะจน...ตอนเด็กๆผมจะเป็นคนขี้กลัว กลัวทุกอย่าง(เหมือนขี้ขลาด ไม่กล้า ในเรื่องที่จะต้อง ใช้แรง หรือพบเจอความเจ็บปวด ผมไม่ชอบเรื่องความเจ็บปวดแก่ตนเอง...และผมยังกลัวเข็มฉีดยามาแต่เด็ก จะฉีดยาต้องมาช่วยกันจับตัวผมสี่ห้าคน จับแขนจับขา เพราะผมดิ้น ร้องให้...มันไม่เจ็บเท่าไหร่หรอก แต่เกืดความกลัวในใจซะมากกว่า เพราะตอนเด็กๆ ผมถือว่าผมเป็นคนที่คิดมาก หรือ นักจินตนาการ ก็ว่าได้ ผมชอบทำความเข้าใจโดยการคิดจินนาการเป็นภาพ เป็นเรื่องเป็นราว นั่นอาจจะมีสาเหตุมาจาก..ชอบกลัวความมืด กลัวผี ในความฝัน เมื่อหลับตาลง จะเห็นหัวกระโหลก ลอยมาเลย ทำให้หลับยาก หรือตื่นตอนดึกแล้วหลับยาก เพราะสมัยเด็กๆตอนนั้นยังไม่มีไฟฟ้าใช้กัน สมัย พศ 2520 ..ผมเกิด 2515.. แต่ผมชอบเล่นกับเพื่อนๆเด็กด้วยกันมากเลย...เล่นได้ทั้งวัน เข้าป่าหากินผลไม้จับปลาหาของป่า แบบนั้น ทุกวัน
    ส่วนเรื่องที่ไม่สบายแต่เด็กคือ ตัวเล็กขี้โรค ภูมิแพ้ แพ้อากาศ เป็นโรคริดสีดวงทวาร เวลาถ่ายอุจาระจะลำบากมาก..ไม่รู้ว่ามันหายไปตอนไหน ตอนเข้าโรงเรียนรึเปล่าไม่รู้ สมัยเรียน ป3 เล่นปืนไม้ยิงดอกแก็บ ตอนออกพรรษา เอาพร้าทำด้ามปืน ฟันไม้ทำ
    ด้ามปืนมีดอกแบในกระเป๋ากางเกงลูกเสือ 2 แผ่น กางเกงไส่เข็มขัดลูกเสือ เมื่อเอาพร้าฟันไม้ นั่งขัดสมาธิ ด้ามพร้ามันพาดมาที่กางเกง ข้างมีดอกแก็บ ฟันไฟ ด้ามมันสีไปกับดอกแก็บจนเกิดไฟลุกไหม้ ดอกแก็บดินประสิวไหม้ห มดเลย กางเกง ถอดก็ไม่ได้ ติดเข็มขัดกับตกใจ วิ่งไปที่ใหน้ำ ตักน้ำราดตัวเอง หนังที่โดนไปไหม้นี่ ลอกออกไปเลย สุดท้าย เป็นแผลไฟไหม้ที่หนังลอกออกหมดกลายเป็นไฟไหม้ง่ามขาและไหม้ช้างน้อย ลอกหมด เละเลย ต้องทนทุกข์ทรมานเพราะไฟไหม้รวมกับดินประสิว ต้องทาชะโลมด้วย น้ำมันหมา ที่เขาทอดมา สกัดมา เอามาทาเพื่อให้ลดความร้อนลง แต่กระนั้น มันก็ ร้อน เปื่อย เละ ...อย่างสาสมใจ เป็นตั้งนาน หลายเดือนเกือบปี กว่าจะได้ไส่กางเกงเหมือนชาวบ้านเขา ต้องนุ่งห่มผ้าพลาสติกกันฝน ไปไหนไม่ได้ หลายเดือนเลย
    อันนี้วงสัย จะเป็น กรรมเก่า มันส่งผล ดีที่ยังเป็นเด็กอยู่ เลยไม่ค่อยมีอุปทานมาก
    ตอนโตมาเป็นวัยรุ่น นี่สิ ชอบสาวๆ ชอบกอด ชอบล้วงสาวๆ สมัยนั้น ..เป็นผู้บ่าวใหม่ๆ ชอบสาวๆ สมัยนั้นมัน ยังเป็นบ้านป่า ความอาย ความบริสุทธิ์ของสาวๆยัง มีมนต์เสน่ห์ มากนัก พราะสมัยนั้น ยังไม่กล้าผิดทำนองคลองธรรม กัน ผู้หญิงที่เลิกรากับผัวสมัยนั้นจะเป็นเหมือนตัวอย่างที่ไม่ดีแก่ชุมชน คนไม่คบ เหมือนเป็นผู้หญิงที่ ขาดความอดทนหรือ ผัวเดียวไม่พอ เป็นคนไม่ดีแก่หมู่บ้าน...จะไม่ค่อยมีใครเป็นกัน เพราะชื่อเสีย จะโด่งดังไปทั้งตำบลเลย...

    มาพูดถึงกรรม เมื่อตอนโต เจ็บป่วย เจ็บนม ตนเอง เจ็บปวด โดยไม่มีสาเหตุ ...หลายเดือน เลยถามคนที่เขา พอจะตอบได้ เขาเปรยว่า เคยไปจับนมสาวๆโดยที่พ่อแม่เขา หวงหรือเปล่า...เอ๊ะ ..ไช่เลย สมัยเป็นวัยรุ่น เราเคยทำ...อ๋อเวรกรรม มันเป็นแบบนี้นี่เอง

    สมัยที่ครูอาจารย์สอนศีลธรรม ท่านพูดว่า เรื่องกรรมของพ่อแม่ ที่พ่อแม่เคยสร้างมาแล้วมีคนสาปแช่งเอาไว้ นั้น ลูกเมื่อโตมาอายุ เป็นผู้ใหญ่ จะต้องช่วยแบ่งรับภาระเวรกรรม จากพ่อแม่มาครึ่งนึง เป็นเรื่องของการมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ อย่างหลีกเลี่ยงมิได้
    เป็นเรื่องธรรมดาของการตอบแทนบุณคุณที่ท่านเลี้ยงดูเรามา..นี่ก็เรื่องเวรกรรม
     
  14. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ความจริงเรื่องเวรกรรม มันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ที่คนทั่วไป ไม่คอยไส่ใจกัน เพราะถือว่า ทุกวันนี้ เหมือนชีวิตเกิดมาต้องลำบากเหมือนมีเวรมีกรรมกันอยู่แล้ว ไอ้ความสุขสบายตามธรรมชาติเป็นเช่นไร เหมือนจะไม่เคยพบเจอ..กังนั้นเมื่อชีวิตมันลำบากเหมือนเป็นเวรเป็นกรรมอยู่ตลอดเวลา มันจึงไม่ค่อนสนใจว่า เรื่องเวรกรรมเป็นเรื่องที่ไม่ต้องเอามาคิดกันเพราะถึงยังไง มันก็ เจออยู่ดีเจอกันทุกคน อะไรๆก็คงไม่มีใครดีกว่ากัน ก็เลยปล่อยปะละเลย ไม่สนเรื่องเวรกรรม..

    แต่เวรกรรม ในสมัยนี้จะมาในรูป โลกร้อน สังคมวุ่นวาย โรคภัยไข้เจ็บ และ ความไม่สุขสบาย ในการใช้ชีวิตต่างๆ หลายรูปแบบ อยู่ตลอดเวลา

    ผมว่า ต่อไป คนเราเมื่อเคยสุขสบายมานาน ด้วย เครื่องอำนายความสะดวกต่างๆ เมื่อสักวันนึง ไฟฟ้า น้ำประปา น้ำมัน แหล่งน้ำ แหล่งอาหาร ป่า เป็นพิษ หรือดับลง....นั่นจะเป็นวินาทีที่โลกทั้งโลก จะเกิดมหาทุกข์ ขึ้นมาทันที...เพราะ...มันไม่มีอะไรจะมาอำนวยความสะดวกได้อีกแล้ว...นั่นเอง..นี่จะเป็นเวรกรรม ของมนุษยชาติ มั้ยนะ
     
  15. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ความจริงเรื่องเวรกรรม เป็นเรื่องที่ คนในโลก ในสังคม ควรจะหันมาพูดคุย ปลูกฝัง การทำสิ่งใดต้องได้สิ่งนั้น ตามหลักของวิทยาศาสตร์กันอย่างจริงจัง และ ควรตระหนักถึงผลกรรมทั้งหลายที่มนุษยชาติกำลัง ประสบพบเจอกัน..ตามธรรมชาติที่ผิดปกติไป

    กรรมอีกเรื่อง ของเจ้า ช้างน้อย ของผม ก็คือ มันต้องได้รับการผ่าตัด ขลิบหนังหุ้มปลายกระบอก ออกหมดเหมือนอิสลาม เพราะมันเกิดรอยแผลแตกแล้วไม่หายคือพอแผลติดกันมันไม่ยืด ฉี่ลำบาก เพราะเวลา แผลมันติดกันมันติดกันตอนหุ้มอยู่ที่ปลาย..พอจะฉี่ หรือมันพอง มันจะขยายแล้วปริ แผลปริ เจ็บแสบ อยู่แบบนั้น เลยต้องรับการรักษา หมอบอกต้องขลิบเอาหนังหุ้มออกเลย ก็ต้องฉีดยาเข้าลำกล้อง รอบๆช้างน้อย 7 เข็มมั้ง รอบๆตั้งแต่โคลนจรดปลาย..มันเจ็บน้ำตาไหลเลย ฉีดยาชา... แล้วก็ตัดออกแล้วเย็บติดกัน อีกที ทีนี้พอตอนเช้า ยาชาหมดฤทธิ์ โห ปวด..สวดๆ ต้องล้างแผลทุกวันด้วย พยาบาล...ทั้งเจ็บทั้งอาย เลยล่ะ
    นี่ก็คงเป็นกรรม ที่จะจับล้วงลูกสาวคนอื่น โดยการผิดศีลข้อ กาเม อีกละ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2017
  16. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    พูดเรื่อง การทำผิด..ส่วนมากคนที่โดนจับได้ จะสารภาพว่า แบบนี้ ผิดด้วยเหรอ หรือ บอกว่าผมผิดตรงไหน ก็ผมไม่รู้ นี่ ว่ามันจะผิด

    หรือ ถ้าเราไปซื้อของโจรที่ได้มาแบบผิดๆ ถ้าถูกจับได้ เราก็ผิดไปด้วย..ส่วนมาก จะพูดว่า ถ้ารู้ว่ามันผิด ก็จะไม่ทำหรอก

    ถ้ารู้ว่ามันผิด แล้วจะไม่ทำ..จริงหรือ...คนเรา
    เช่น ถ้ามีคนมาชวนเราไปลักขโมย จี้ปล้นเรารู้ว่ามันผิดเราจะไปใหม
    หรือถ้าเราได้ช่อง ไม่มีคนมาเห็น เราจะขโมยมั้ย ทั้งที่รู้ว่า มันผิด

    นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเมียคนอื่น เขาอยากมาเป็นชู้กับเรา เขาจะนอกใจสามี เรารู้ เราจะยอมเป็นชู้กับเมียชาวบ้านมั้ย ...หรือถ้าเราไม่รู้ว่าเขามีสามีแล้ว เราจะยอมเล่นกามหลับนอนกับเขามั้ย แล้วถ้ามารู้ทีหลังว่าเขา สามี เราคือชู้กับเมียชาวบ้าน เราจะบอกว่ายังไง...เราไม่รู้งั้นไช่ใหม เขามาชวนเราเองให้ร่วมทำผิด ..เราต้อง คิดพิจารณามั้ยว่า มันจะผิดตรงไหนหรือเปล่า
    หรือการที่สามีคนอื่น มาชวนสาวเล่นชู้กับตนเอง หรือการที่สามีภรรยานอกใจคู่ของตนเอง...สมมุติตัวเราคือฝ่ายถูกชวนให้เล่นชู้..เราจะทำมั้ย
    มันก็เหมือนการรับซื้อของโจร เพราะเราเป็นคนเลือกที่จะกระทำกรรมนั้น จะโดยไม่รู้ ก็ตาม หรือ แม้จะรู้ ก็ยังจะทำ....แล้วก็คิด้ข้าข้างตนเองว่า ไม่รู้นี่หว่า..แบบนี้ มันก็ผิดอยู่ดี...ถ้าแบบนี้ ผู้ใหญ่ในสังคมมันพากันเป็นแบบนี้ คิดกันแบบนี้..แล้ว คนดีมีคุณภาพที่จะเป็นผู้นำเป็ยแบยอย่างที่ดีให้แก่สังคม เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเด็กๆ จะเอามาจากไหนกัน..แล้ว อนาคตของ ครอบครัว สังคม ที่ ทำงาน ประเทศชาติ...จะเอาความปกติ ความถูกต้อง ความมีระเบียบเรียบร้อย มาจากไหนกัน

    นี่ต้อง ตระหนัก กันให้มากแล้ว
     
  17. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ทุกวันนี้ ยิ่ง เฟสบุค ไลน์ มันเปิดโอกาสให้...คนเราแอบลอบทำชั่ว ทางชู้สาว ที่ เป็นความลับกันได้ง่ายขึ้น มันก็ยิ่งเป็นช่องทางของคนชั่ว เข้าทางคนชั่วล่ะ ทีนี้ จะแอบคุย แอบเจ๊าะแจะ แอบเล่นชู้กันกับ ลูกเมียคนอื่น เอาหน้าที่การงานมาหากินทำผิดศีลธรรมกับลูกเมียคนอื่น...หรือจะปล่อยให้..เกิดมีข่าว สามีฆ่าชู้ หรือภรรยานอกใจสามี ร่วมกับชู้ ฆ่าสามี เป็นข่าวกันอยู่ประจำ งั้นหรือ...โดยไม่มีวิธีป้องกันแก้ไข ทางศีลธรรมหรือกฏหมายกันเลยหรือ

    รับรองเลยว่า...ถ้าไม่มีระบบการจัดการที่ดี มันก็คือหายนะตั้งแต่ ระบบครอบครัว ที่ทำงาน สังคม ชีวิต ต้องพบกับ หายนะ อีกมากมายเลย
     
  18. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ส่วนมาก คนเรามักจะ ถนัดแต่เรื่อง....วัวหายแล้วล้อมคอกทีหลัง หรือ ให้เกิดปัญหามาก่อนค่อยตามแก้ทีหลัง....ไอ้ที่จะมีปัญญา กันไว้ดีกว่าแก้ นั้นไม่มี...กลัวโดนคนอื่นว่าให้ว่า ตีตนไปก่อนไข้ หรือตีโพยตีพายไปเอง...เรื่องแบบนี้..เมื่อมันสามารถเป็นช่องทางกับคนชั่วได้ ก็แล้วทำไมไม่คิดจะ เพิ่มภูมิคุ้มกัน กับคนดี กับคนที่อ่อนแอกว่า ล่ะครับ..หรือต้องให้ คนเข็มแข็ง ข่มเหงเอารัดเอาเปรียบ คนที่อ่อนแอหรือด้อยกว่าตลอดไปล่ะครับ หรือต้องให้คนที่มีอำนาจหน้าที่ ข่มเหงลูกน้องตลอดไปงั้นหรือครับ ..หรือต้องให้มีข่าว ลูกน้องฆ่าเจ้านายชั่วๆของตนเองเป็นข่าวประจำล่ะครับ
    นี่คือสังคมไทย ที่เอารัดเอาเปรียบกันในหน่วยงานแล้ว รัฐบาล กระทำการดูแลหรือปกครองไม่ทั่วถึง เพราะบางครั้ง ได้บุคลากรที่เป็นคนชั่ว มาทำงานซะเอง

    การพัฒนาให้ได้คนดีดี มาเป็นข้าราชการ มัน ทำได้ยากหรือยังไง
     
  19. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ยิ่งทุกวันนี้ มีเฟส มีไลน์....การทำความชั่ว ยิ่งกลายเป็นเรื่อง ปกติของคนในสังคมไป..
    โดยที่ในจิตใจคนที่ไม่มีศีลธรรมไม่มีหิริโอตัปปะในจิตใจ ยิ่งเป็นการก่อกรรม ต่อกันได้ง่ายขึ้น ...จะเห็นก็แต่ มาตรการ ไล่จับคนชั่วทีหลัง จากก่อเหตุไปแล้วตลอด..แบบนี้จะให้ นิ่งนอนใจ เชื่อใจต่อรัฐได้ยังไง ว่า ชีวิตของพวกเราทุกคน ปลอดภัย

    ขอมาตรการ ปกป้องคนดี และปกป้องคนทำดี บ้างเถอะ...กรวดขันกันให้มากกว่านี้เถอะเรื่อง ข้าราชการที่ดี ....ไม่ไช่ เกิดมาเป็นประชาชนแล้วต้องพึ่งตนเอง เพราะพึ่งข้าราชการ ไม่ได้....ถ้าปกป้องความสงบสุข อาชญกรรมไม่ได้ ก็ ทำไมไม่ให้กฏหมายที่ประชาชน มีปืนได้ทุกคนเลยล่ะ จะได้ป้องกันตนเองจากคนชั่วได้ จะได้ป้องกันตนเองจากข้าราชการชั่วๆได้ จะได้ป้องการตนเองจากคนที่เอารัดเอาเปรียบคนอื่นได้
    ให้มันฆ่ากันเอง ไปเลย ..จะได้ อ้างได้ว่า เป็นไปตามกรรมเสียเลย ง่ายดี

    ตายทุกวัน คนก็น้อยลง ...อิอิ...มีปืนกันทุกคน ใครยิงก่อนได้เปรียบ แบบนี้ น่าจะดีนะ
     
  20. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    พูดไปพูดมา ก็ไหลออกทะเลไปอีกละ....เป็นแบบนี้ประจำเลย แจ็ค สะแปโร่....กัปตันโจรกระจอก...สลัดออก รู้หลบรู้หลีก รู้หนี...รู้ช่องทางที่จะออกพ้นไปจากความวุ่นวายของมนุษย์โลก....ออกทะเลไปเล้ยยยยย...

    ความอิสระแห่งชีวิต คือ อย่าผูกปมปัญหาให้กับชีวิต
    อย่านำพาชีวิตเข้าไปสู่การมีปัญหา หรือ อย่าสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นมา ในชีวิต

    พูดเหมือนง่าย เหมือนจะทำได้ง่ายๆ เพราะแค่เรารู้ทัน แล้วก็ อย่าทำมัน.....ก็เท่านั้นเอง...แต่จะมีสักกี่คนกันล่ะที่จะรู้ทันได้ก่อนทุกเรื่อง ว่า เรื่องใดกันที่จะสร้างปัญหาให้เรา....หรือ บางคนรู้ทันได้ก่อนว่า เรื่องแต่ละเรื่องสร้างปัญหาให้กับตัวเรา ได้มากน้อยต่างกันแค่ไหน..มีใครรู้ทันเรื่องแบบนี้ ได้ก่อน ..ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกที่จะกระทำเรื่องต่างๆ เหล่านั้นได้บ้างล่ะ มีสักกี่คนล่ะ

    เพราะถ้าคนเรา มีความสามารถรู้ก่อน หรือหยั่งรู้ได้ก่อน ด้วยความรู้ความคิดที่มีเหตุมีผล ว่า มันจะมีผลคำตอบออกมาเป็นเช่นไร ในการกระทำในแบบต่างๆ ได้ ก็คงจะดี เพราะ ถ้ารู้ว่ามันได้ผลที่ไม่ดี ก็จะไม่เลือกทำมัน หรือ สามารถเลือกทำในวิธีที่ดีที่สุด ที่ให้ผลออกมาดีกับทุกๆคน กับทุกๆสิ่ง...ตามที่ว่ามามันมีอยู่วิธีนึง หรือเส้นทางนึง ที่ให้ผลออกมาดีที่สุด นั่นก็คือ มรรควิถี แปดข้อ นั่นเอง

    แต่จะทำอย่างไร คนเราถึงจะสามารถ รู้คิดในเหตุในผลแห่งมรรคาทั้งแปด ในการช่วยในการที่จะเลือกกระทำกรรม ต่างๆได้ โดยถูกต้องตามธรรมชาติที่ถูกต้องเป็นกลาง เป็นธรรม...

    ทำอย่างไร คนจึงจะ รู้ทันในทุกกรรม ของชีวิต โดยมี มรรคาทั้งแปด เป็นปัญญาในการคิดและการตัดสินใจ ที่จะกระทำกรรมทั้ง ทางกาย วาจา ใจ...ให้ออกมาเป็นสัมมา..ได้ล่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...