ดอกบัวแห่งแสงพระนิพพาน คือ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย วรณ์นิ, 7 มกราคม 2017.

  1. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ความจริงแล้ว....เพียงแค่....หาหนทางให้กายใจ..มันพ้นออกมาจากการครอบงำของ จิต ให้ได้...นี่คือ หนทางแห่งความพ้นทุกข์ พ้นออกมาจากสิ่งหลอกลวงทั้งหลาย ของโลกของความคิด ของจิต ของอวิชชา
     
  2. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    การตั้งใจฝึก สติปัฏฐาน ให้ถูกต้อง ถูกวิธี คือ หนทาง ที่สั้น ที่สุด ในการ นำพากายใจ ให้ออกมาจากโลกของความคิด โลกของจิตได้

    ....
    ชำระอวิชชา ...ด้วย สติปัฏฐานสี่ กันเถอะ
     
  3. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    หรือจะพูด ชัดๆว่า ...จะฝึกยังไง ให้ กายใจ มัน ออกมาจากจิต...ให้ได้..ก่อน
    มันก็ สติปัฏญาน สี่ นี่แหล่ะ
     
  4. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ใครอยากตกอยู่ในกรงขัง ในโลกของความคิด โลกของจิต ของอวิชชา...ต่อไป ก็...เชิญ..อยู่ในคุกกันต่อไปเถิด

    ใครอยากออกจากคุก....มาฝึกสติปัฏฐานสี่ ..ให้ได้ใน ชาตินี้ กันเถอะครับ
     
  5. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ใครอยากตกอยู่ในกรงขัง ในโลกของความคิด โลกของจิต ของอวิชชา...ต่อไป ก็...เชิญ..อยู่ในคุกกันต่อไปเถิด

    ใครอยากออกจากคุก....มาฝึกสติปัฏฐานสี่ ..ให้ได้ใน ชาตินี้ กันเถอะครับ
     
  6. SegaMegaHyperSuperCyberNeptune

    SegaMegaHyperSuperCyberNeptune "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้ผม"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4,087
    ค่าพลัง:
    +3,394
    แล้วจะเริ่มต้นจากอะไรดีละ ใช้หลายสูตรมันก็ไม่เลิกคิดซะที เกี่ยวกับหนี้เยอะด้วยมั้ย เจ้ากรรมนายเวรมาก่อกวนผมทุกวันเลย
     
  7. SegaMegaHyperSuperCyberNeptune

    SegaMegaHyperSuperCyberNeptune "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้ผม"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4,087
    ค่าพลัง:
    +3,394
    พิจารณาในกาย เวทนา จิต ธรรม มันยากเกินอะ สมองผมก็ไม่ดีแล้ว
    ได้ของใหม่ก็ลืมของเก่าเลย
     
  8. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ผมเคยอธิบาย ไว้ว่า

    ให้ฝึกรู้ตัวทั่วกาย ให้รู้..อยู่ กับกาย...อย่าให้รู้ ไปอยู่กับความคิด

    การฝึกรู้อยู่กับกาย คือ...ต้องรู้ทั่วกาย ได้ ตลอดงัน อย่างต่อเนื่อง...ช่งแรก อาจจะยาก เพราะ รู้ มันชอบ แวบไปอยู่กับความคิด ช่วงแรก ต้องฝึก ดึง ดัน เอาสติมารู้ ให้ทั่วกาย ให้ได้ก่อน ตลอดวัน ....จะทำได้มั้ย
     
  9. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ถ้า เวลาที่ รู้ มันไปอยู่กับความคิด ให้ ..ดึง ดัน รู้นั้น มารู้ให้ทั่วกาย เหมือนเดิม...ทำแบบนี้ ทั้งวัน...เพื่อรู้ทัน เวลา ที่รู้ เผลอ ไปอยู่กับความคิด ให้ ดึง รู้ กลับมา รู้..ให้ทั่วกาย เหมือนเดิม

    หลักๆคือ...ต้องรู้ทั่วกาย (รู้ว่ากายอยู่ท่าไหน ทำอะไรอยู่ คือ รู้ทั่วทั้งกายทุกส่วนพร้อมกันโดยรวม ทั้งกาย)
    และ เวลาที่ รู้เผลอ มัน แวบไปอยู่กับความคิด ..ต้อง รีบ ดึง สติ มารู้ ให้ทั่วกาย เสมอ ทั้งวัน
     
  10. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ปัจฉิมเทศนา การแสดงธรรมครั้งสุดท้ายของพระพุทธเจ้า ก่อนเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ..

    พระองค์ทรง แสดงการ เดินฌาณ หรือญาณ...ตามลำดับ จากต้นไปห่ปลาย แล้วกลับจากปลาย มาหาต้น....แล้วพระองค์ ดับขันธ์ปรินิพพานลง...ในญาณอะไร....แล้วทำไม พระองค์ ถึง แสดง...เรื่องนี้ ให้แก่ สาวก ทั้งหลาย ได้เห็น กัน...

    เพื่อ......
     
  11. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    สติปัฏฐานสี่....พุทธานุสสติ

    กำหนดระลึก เอารูปพระประธานองค์ใหญ่ๆสวยๆ มาประดิษฐานตั้งตรงหน้าเรา กำหนดรู้ระลึกเห็นภาพว่าตัวเรา นั่งหมอบกราบที่หน้าพระประธาน ให้รู้สึกตัวตลอดเวลา เจียม กาย วาจา ใจ...ในตนเองตลอดเวลา...ทำแบบนี้ได้ทั้งวันทั้งคืน....จะดีมาก เพราะ ตัวเราจะไม่ ำปคิดเนื่องที่ชั่ว เรื่องอกุศล ด่าคนอื่นในใจ....ต่อหน้า พระประธานเป็นแน่...เมื่อระลึกรู้สึกตัว ใน กายวาจาใจ อยู่อย่างนั้น ย่อมรู้เท่าทัน ตัวเองอยู่เสมอ...นี่คือ การฝึกความสงบ และฝึกรู้ตัวทั่วพร้อม ตามไปด้วย....ยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าพระประธาน ย่อมยิ่งมี กำลังใจ
     
  12. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต....
    ผ่านเวลามา 2500กว่าปี...พุทธบริษัทต่าง พากัน ปฏิบัติธรรม เพื่อให้ตนเองเป็นผู้รู้ธรรม มีธรรม ท่องธรรม จำธรรม แบกธรรม...สุดท้าย เมาธรรม หลงธรรม กัน ไปทั่ว....เพราะ...คิดเพียงว่า ถ้าตนเองเห็นธรรม ก็เท่ากับตนเอง ได้เห็นพระพุทธเจ้า

    แต่ความจริง ...คำว่า เห็นเรา...ตถาคต....มันไม่ได้หมายความว่า เห็นพระพุทธเจ้า.....ผู้ใดเห็นธรรมความจริง(อริยะสัจ หรือพระไตรลักษณ์)...ผู้นั้นเห็น...ผู้ชี้ทาง (ทางออกจากความไม่รู้)

    ดังนั้น พุทธานุสสติ จึง เป็นการระลึกถึง รูปพระประธาน มาเป็นพยานต่อหน้าเรา ให้เราได้ฝึกรู้ทัน กายวาจาใจ ....โดยระมัดระวัง มีสติ ป้องกัน กายวาจาใจ ของตนเอง ให้ อยู่กับ ความจริงของ กาย วาจา ใจ ของตัวเอง...เหมือน เป็นผู้มีศีล อันจะบริสุทธิ์ได้ด้วย การฝึกสติ นั่นเอง

    และ การที่เรา ระลึกได้แบบนี้ เปรียบเหมือน...เราไม่หลงในธรรม เพื่อที่จะอยากเห็นพระพุทธเจ้า....แต่ เป็น...ผู้ใดเห็นเราตถาคต ผู้นั้น เห็นธรรม ในตน

    ผู้ใดเห็นเราตถาคต...ผู้นั้น เห็นธรรม
     
  13. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    อีกอย่างหนึ่ง....อานาปาณสติ....หรือสติปัฏฐานสี่ ของพระพุทธองค์คือ

    เมื่อฉันิาหาร ทำธุระ เสร็จ ก็หาที่สงบไต้ร่มไม้ ..นั่งตัวตรง คู้บัลลังค์ สบายๆ ตั้งสติต่อหน้าคือที่ลมหายใจเข้าออก ตามองต่ำที่ปลายจมูกหรือ ที่ว่างเหนือปลายจมูก (ตานะ ไม่ไม่สติ) แปลว่า ตาจะวางจุดที่ เหนือปลายจมูกนอกกาย แต่ไม่ไปจับภาพ ที่เห็นนอกกาย...ตามีพิกัด ตรงความว่าง ที่ปลายจมูกนั้น....ทีนี้ ส่วนสติ ให้มีสติที่ลมหายใจเข้าออก ออกคือตามลมออกมาจนถึงนอกกาย เข้าคือ ตามลมจนเข้าไปถึงสุดลม...สติจะต้อง ตามรู้ลม และรู้ตัวทั่วกาย ให้ได้ รู้ตามทั่วกายให้ได้...แปลว่า กายจะมีผัสสะกับอะไร ความคิดอะไรจะเกิด ก็ให้รู้ทันว่า มี...เวทนาเกิด เวทนาตั้งอยู่ เวทนาดับไป...รวมทั้ง ความคิดเกิด ความคิดตั้งอยู่ ความคิดดับไป...นี่คือ การรู้ทั่วกาย

    เมื่อสติ นำมา ระลึกรู้ทั่วกาย หรือเอามากำหนดรู้ทั่วกาย..ได้ทั่วกายจริงๆ...สติจะไม่เหลือให้ เอาไปใช้ทำอย่างอื่นได้เลย....เพราะ

    1.อยู่กับลมเข้าออก
    2.ต้องระลึกหรือกำหนด รู้ ให้ทั่วกาย เวทนาทั้งหมด ความคิดทั้งหมด
    3.ต้องกำกับ สายตาให้อยู่ ระหว่าง ที่ว่างเหนือปลายจมูกนั้น ไม่ออกไปกระทบ สิ่งของ ไม่วกเข้ามาจับที่กาย


    แค่ทำได้สามอย่างนี้... รับรองว่า สติ...มันต้อง ใช้พลัง ของสติ ทั้งหมด ฝึก ฝน อย่าง ยิ่งยวด แน่นอนครับ.....นี่คือ การฝึกสติ ครับ
     
  14. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ................
    ................
    ...............
    ผู้ชนะสามโลก
     
  15. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ผู้ชนะสามโลก....สามโลก อันได้แก่....

    1.โลกนรก (โลกอดีตโลกที่ชั่วในจิต โลกที่ไม่อยาก)
    2.โลกสวรรค์ (โลกอนาคตโลกแห่งความอยาก โลกแห่งอุปทาน)
    3.โลกมนุษย์ (โลกแห่งปัจจุบันที่เคลื่อนไม่แน่นอน โลกแห่งการสร้างอดีต โลกแห่งการอุปทานเรื่องของอนาคตได้)

    โลกนรก โลกที่ชั่ว โลกที่ไม่ต้อวการอยากพบ อยากเจอ อยากทำ อยากรู้ อยากเห็น....โลกที่เกลียด ไม่พอใจ ...ในทุกเรื่องที่ผ่านมา...ในอดีตที่ผ่านมา..ที่มีในจิตใจ.....สู้ได้โดย ยอมรับในกรรมชั่วและผลชั่วของตนเอง รับผิดและยอมชดใช้ด้วยตัวเอง จึงจะชนะได้ ต้องไม่ลืมตัวเอง

    โลกสวรรค์ โลกแห่งความฝันดี หวังดี อยากได้ดี อยากให้ดีกว่าที่เคย โลกที่คิดชอบในจิตใจ ถูกใจ อยากพบ อยากเจอ อยากมี อยากรู้ อยากเห็น อยากสัมผัส เป็นโลกที่สร้างขึ้นมา ด้วยความคิดนึก อุปทาน เกินที่ตนเองเป็นอยู่ในโลกปัจจุบันมนุษย์ ชนะได้โดย...ไม่หลงในความชอบใจ พอใจ ถูกใจ ที่คิดได้นั้น....เพราะ ความจริง มันต้องทำได้ด้วยในปัจจุบัน ...ชนะโดย การไม่หลงตัวเอง

    โลกปัจจุบัน โลกมนุษย์ ปัจจุบันที่ เคลื่อน...เคลื่อนคือ มันเป็นแหล่วแห่งเหตุปัจจัย ที่ส่งผ่านเข้ามาทางผัสสะอายตนะ บวกกับอวิชชาความไม่รู้ไม่เข้าใจ(ขาดปัญญารู้ความจริง) จึงทำให้ ปัจจุบัน มันสามารถเคลื่อนไปเป็น โลกอดีตที่ไม่ชอบ ที่ชั่ว นรกที่ไม่ต้องการ หรือเคลื่อนไปสู่ ความฝัน จินตนาการที่ดีกว่าในอนาคต....จน..ทำให้ ลืมตัวเอง และ หลงตัวเอง...จน ถึงขั้น ไม่ยอมรับในตัวเอง คือไม่ยอมรับในสิ่งที่ตนเป็นอยู่..(แปลว่าเชื่อผิดๆ มีมิจฉาทิฐิในตน คือ ไม่เอาตัวเองในปัจจุบัน ไม่เอาอดีต จะเอา อนาคต...ท่าเดียว....วิธีเอาชนะโลกมนุษย์คือ เรียนรู้ในการที่จะยอมรับ ความจริง

    จะยิมรับความจริงของตัวเองในโลกมนุษย์ปัจจุบันได้ ต้องเรียนรู้ความจริงของโลกอดีตและโลกอนาคตมาก่อน....เรียกว่า โรคอุปทาน...เมื่อหยุดโรคอุปทานได้....ถึงจะมาเรียนรู้ โลกความจริงของ ตัวเองได้ ผโลกความจนิงของตัวเอง คือ โลกของปัจจุบัน ของกายใจ นั่นเอง)
     
  16. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    สามโลก....โลกนรก(โลกอดีต) โลกสวรรค์(โลกอนาคต)...โลกแห่งตัณหา โลกที่ไม่อยาก(โทสะ) กับโลกที่อยาก(โลภะ)....สองโลกนี้ เอาชนะง่ายกว่า โลกปัจจุบันมนุษย์....เพราะ...โลกอดีต โลกสวรรค์ มันไม่เคลื่อน ไปไหน...แต่โลกที่ไม่อยาก กับโลกที่อยาก

    แต่โลกปัจจุบันมนุษย์ คือโลกที่เคลื่อน เปลี่ยนแปลง ไม่แน่นอน ตามเหตุปัจจัย ที่มากระทบ กับ ทาง ผัสสะ อายตนะ และ อวิชชา...(ความไม่รู้) มันจึง เป็นโลกที่ เอาชนะได้ยากสุด....เพราะมันทำให้หลง สร้างโลกอดีต กับโลกอนาคต ขึ้นมา (โลกมนุษย์คือโลกแห่งโมหะ) จึงเอาชนะได้ยากสุดในโลกทั้งสามโลก
     
  17. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    วิธีการ เอาชนะ สามโลกด้วย การเจริญ สติปัฏฐานสี่...กาย เวทนา จิต ธรรม
    1.กาย....อันได้แก่ ผัสสะกาย เวทนากาย อายตนะกาย
    2.เวทนา อันได้แก่ เวทนากาย กับเวทนาความคิด(อุปทาน)..อุปทานคือ มีส่วนที่ใจคิดปรุง กับส่วนที่จิตอวิชชามีสัญญาความจำมาเปรียบเทียบปรุงเพิ่มมา
    3.จิต..(ความคิดของอายตนะใจที่ปรุง กับอุปทานของจิตอวิชชาที่ปรุงเพิ่ม ด้วยเพราะมีสัญญา เปรียบเทียบ ว่า เป็นตัณหา..ชอบ ไม่ชอบ)

    4.ธรรม...คือ ปัญญาที่เรียนรู้ความจริง ข้าใจความจริงของ เรื่อง กาย วทนา จิต...ถ้ารู้แล้ว เข้าใจแล้ว เรียกว่า ปัญญาหรือญาณ

    ......
    สติปัฏฐานสี่....แปลว่า ฝึกสติให้สติรู้ทั่วครอบคลุมทั้งสี่ฐานพร้อมกัน..เลยทีเดียว....โดย...สติ แปลว่า รู้ตัว....ไม่มีสติ แปลว่า ไม่รู้ตัว...ทุกข์ส่วนมากมันจะเกิดมาจากการไม่รู้ตัว เลยสร้าง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม..แล้ว หาตัวคนทำผิดตัวจริง ไม่ได้ ไม่รู้ว่าใครพาทำกรรม...ความคิดเหรอ ใจเหรอ จิตเหรอ จิตใจเหรอ โง่เหรอ ลืมตัวเหรอ ขาดสติเหรอ ไม่รู้ตัวเหรอ...ไม่รู้อะไรเหรอ...เราทำเหรอ เราทำได้ไงเหรอ ใครพาเราทำเหรอ เราถูกหลอกให้ทำเหรอ ทำตามคนอื่นที่เขาว่าดีเหรอ ก็คนเขาทำกันเยอะแยะเหรอ....หาคนผิดจริงๆ ไม่ได้

    ดังนั้น การฝึกสติคือ....ให้เอาจิตที่รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง ลืมตัวบ้าง ไม่ลืมตัวบ้าง นั่นแหล่ะ....มาฝึก จิตที่รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง ลืมบ้าง จำได้บ้างนี่แหล่ะ..(คนละตัวกับที่คิดนะ) เอาจิตรู้ตัวนี้มาฝึก แบเวเนียกชื่อมันว่า ตัวสติ...คือตัวที่ระลึกรู้ (ไม่ไช่ตัวคิดนะ...ตัวคิดบวกเลขตัวนึง ตัวที่จดจำค่าของเลขได้ก็ตัวนึง)

    เมื่อเอาตัวที่ระลึกได้ มีสัญญาเปรียบเทียบได้นี้..จึงเรียกมันว่า สติรู้.....เนี่ย สติรู้....(มันจะรู้มาผิดหรือถูก ก็อย่าพึ่งสนใจมัน แต่จับมันมาฝึก รู้ทันกาย ดูกายให้ทั่ว...ไม่ให้มัน เปรียบเทียบ สร้างอุปทาน เกินจริง เกินที่ความคิดมันจะคิดจะปรุงได้....แบบนี้ก่อน
     
  18. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    เอาสติ มาดูกาย....แปลว่า แยกสติรู้นี้ ไม่ให้มัน ทำงานร่วมกับกาย..อันได้แก่ ผัสสะกายใจ อายตนะกายใจ..แปลว่า งดอุปทานของจิตอวิชชาตัวนี้ เอาไว้ก่อน ด้วยการฝึกให้มัน ดูกาย.ดูใจ... (กายคตาสติ)

    พระพุทธเจ้าท่าน เอาสติมาตั้งที่ลมเข้าออก ที่ไม่จับที่กาย..(แยกออกมาไว้ที่ลมเข้าออก ....(อานาปาณสติ) แต่สตินี้ ยังรู้ทั่วทั้งกาย เห็นการทำงานของกายทุกส่วน กล้ามเนื้อทุกส่วน ผิวหนังทุกส่วน ผัสสะทุกส่วน ที่มันทำงานอยู่..ครบ รวมทั้ง ส่วนที่เป็น งานของอายตนะใจด้วย....เมื่อสติแยกออกมา ตั้งที่ลมเข้าออก...แปลว่า สติรู้ตัวนี้ ไม่ได้ ร่วมปน ร่วมทำงาน อยู่ในกายใจ...เลย แค่ เอามาดู เอามารู้....เท่านั้น....

    ถามว่า ความคิด มันจะคิดมั้ย....คิดสิ...แต่จะยังไม่เห็นความคิดชัดเจน ทั้ง กระบวนการเกิด ตั้งอยู่ ดับไป....เพราะตอแรกเริ่ม สติยัง คง พยายามระลึก ตั้งใจ ดูให้รู้ทั่วกายอยู่....สติยังฝึกความสงบ ไม่มากพอ ที่จะ ข้ามไปเรื่อง ทีาละเอียดกว่า
     
  19. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ฝึกเจริญสติ ดูทั่วกาย....แบบนี้...ขนสะสมความถนัด ความคล่องตัว ความสงบ ความรู้ทัน ความเคยชิน จนเป็น...ฌาณ คือสะสม ความสงบจากการฝึก ดูกายทั่วทั้งกายไปเรื่อยๆ....จนสติมีความสงบรู้เท่าทัน การทำงานของผัสสะอายตนะกาย...เวทนากาย...ที่ส่งต่อไป อายตนะใจให้ใจคืด..จะเข้าใจ ในส่วนที่เป็นผัสสะกาย ที่ส่งไปที่ อายตนะใจ...จะแยกออก และเข้าใจ ว่า ส่วนของผัสสะกาย อายตนะกาย ทำงานแค่ไหน...ส่วนไหนคือส่วนที่ใจคิด ใจทำงาน....ต้อง แยกและเข้าใจได้ด้วยปัญญา ให้ได้...จึงจะสามารถ เข้าไปเรียนรู้ในส่วนของการดูความคิดได้...จริงๆ....(นี่ส่วนความคิดนะ เรื่องของอายตนะใจ ไม่กี่ยวกับ จิต)...เพราะฐานจิต ต้อง เข้าใจเรื่องความคิด เรื่องใจรู้...แยกออก มาจาก จิตรู้...ให้ได้ก่อน...ตามลำดับ...ใครว่าดูความคิดคือการดูจิต...คนละตัวนะครับ....ดูความคิดเพื่อแยกตัวที่คิด กับตัวที่รู้(สติหรือจิต)ออกมาให้ได้ ก่อน เท่านั่นเอง....ถ้าเปรียบเทียบคือนั่งสมาธิเข้าฌาณ เหลือแต่รู้ ที่มองไม่เห็นตัวตน แต่ ปัญญา เรื่อง กาย เวทนา ใจ...จะต่างกัน
     
  20. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ฐานจิต...ฐานสติ......ในสติปัฏฐานที่แท้จริง....สติต้องเรียนรู้ มาตามลำดับจาก กาย เวทนา ความคิด(ใจ)....ตามลำดับมาดังนี้ จึงจะเกิดปัญญา...เมื่อ..มาถึงฐานจิต...(ค่อยว่ากันต่อไป)

    แปลว่า สติรู้(หรือจิต)...จะต้องรู้เห็นความจริงของ โลกธรรม(กายใจ)...มาได้ก่อน ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่สงสัย มาได้ก่อน สะสมปัญญารู้ความจริง คือ ความไม่เที่ยงของ กายใจ มาได้ก่อน...เมื่อปล่อยวางเพราะรู้ความจริงมาได้...จึงจะถือว่า เหลือแต่ฐานจิต(สติรู้)....ตัวนี้..จริง ที่มีพร้อมกับ ธรรมหรือปัญญาที่สะสมมา...นั่นเอง

    ฐานจิต. ก็คือฐานของ อรูปธรรม หรืออุปทานขันธ์ กับ ธรรม...เท่านั้น ที่...รบกัน โดยมี กายใจ...เป็นพยานรับรู้...ภายไต้ สภาวะ อรูปฌานนั้น....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กุมภาพันธ์ 2017

แชร์หน้านี้

Loading...