ดินแดนของเปรต ๑๒ จำพวก

ในห้อง 'ภพภูมิ-สวรรค์ นรก' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 5 เมษายน 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    ท่านสาธุชนและบรรดาพระคุณเจ้าที่เคารพ วันนี้มีโอกาสมาพบกับบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าตามเคย สำหรับวันนี้ถ้าได้ยินเสียงกระแอมมากก็โปรดทราบ หลังจากวันพุธก่อนๆ ที่เคยบอกว่าไม่สบาย ในวันนี้ที่มาพูด กลับหนักขึ้นมา แต่ก็ทนพูดทั้งนี้เพราะอะไร เพราะต้องการให้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ทราบเรื่องราวของไตรภูมิตามตำรา แล้วก็ตามที่บรรดาพระคณาจารย์ต่างๆ ได้พบมา เอามารวบรวมเข้าไว้ แล้วก็พูดให้ท่านฟัง<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>[FONT=Phaisarn, Phaisarn97, MS Sans Serif, LotusBusakorn, System, AngsanaUPC, CordiaUPC] สำหรับวันนี้ ก็คงจะยังไม่เลยไปจากนรก เพราะว่าเรื่องราวของนรกต่างๆ ได้จบลงมาแล้ว แต่ถ้าหากจะเลยนรกไปเสียเลยทีเดียว เรื่องความละเอียดบางตอนจะไม่ปรากฏแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท เพราะว่าเรื่องการลงนรกที่พูดมาแล้ว ดูเหมือนจะไม่มีการพูดที่ตัวบุคคลเท่าใดนัก แล้วการลงนรกตามระเบียบ เมื่อผ่านจากนรกขุมใหญ่ไปไหนต่อไปไหน จนกระทั่งไปเป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดียรัจฉาน แล้วมาเป็นคน ยังไม่มีบุคคลตัวอย่างเล่าให้ทราบ<O:p></O:p>[/FONT]
    [FONT=Phaisarn, Phaisarn97, MS Sans Serif, LotusBusakorn, System, AngsanaUPC, CordiaUPC] สำหรับวันนี้ จะเอาบุคคลตัวอย่างมาพูดให้บรรดาท่านพุทธบริษัทฟัง วันนี้ไม่ใช่นำเที่ยวเสียแล้ว เรามายืนอยู่ขอบยมโลกียนรก คุยกันไปด้วยมองดูยมโลกียนรกด้วย แล้วมองขึ้นไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ จะเห็นดินแดนของเปรต ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก ความจริงก็อยู่ใกล้ๆ ขอบยมโลกียนรกนั้นเอง ดินแดนของเปรตนี้ ท่านกล่าวว่าเปรตในดินแดนนี้ มี ๑๑ จำพวก คือว่า ๑๑ ชั้น<O:p></O:p>[/FONT]
    [FONT=Phaisarn, Phaisarn97, MS Sans Serif, LotusBusakorn, System, AngsanaUPC, CordiaUPC] ที่พ้นจากนรกไปแล้วเข้าเปรตชั้นที่ ๑ มีกรรมหนักมาก ชั้นที่ ๒ เบามาหน่อย ชั้นที่ ๓ เบามาหน่อย จนกระทั่งชั้นที่ ๑๑ เบามาก แต่ก็ไม่มากถึงที่สุด รวมความว่าเปรต ๑๑ ชั้นนี้ ไม่มีโอกาสจะได้รับโมทนาส่วนกุศล แม้แต่สัตว์นรกทั้งหมดก็เหมือนกัน ไม่มีโอกาสจะโมทนาส่วนกุศลที่บรรดาญาติหรือบรรดาท่านพุทธบริษัทที่บำเพ็ญกุศลแล้วอุทิศให้ ท่านที่จะมีโอกาสได้รับโมทนาส่วนกุศลที่บำเพ็ญแล้วจากญาติหรือจากคนอื่นก็มีพวกเดียว คือเปรตพวกที่ ๑๒ ที่เรียกว่าปรทัตตูปชีวิกเปรต แต่ก็เป็นที่น่าเสียดาย บรรดาเปรต ๑๒ จำพวกนี้ เคยพบในฎีกามาลยสูตร เขาบอกชื่อบอกชั้น บอกอาการของการลงโทษไว้ แต่ว่าเวลาที่มาพูดนี่ค้นไม่พบ ไม่ทราบว่าหนังสือเล่มนั้นหายไปไหน คงจะหายไปนานแล้ว ตั้งแต่ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็เป็นอันว่าฟังกันคร่าวๆ ก็แล้วกัน จะฟังตามลำดับชั้นมันไม่มีตำรา ในเมื่อไม่มีตำราจะพูด ขืนพูดไป ดีไม่ดีคนพูดก็จะดันเป็นเปรตไปเสียด้วย จะไม่เป็นเรื่อง เอายังงี้ก็แล้วกัน เรื่องเปรตเอาไว้ไปพูดกันทีหลัง วันนี้เหลือเวลา เรามาคุยกันถึงบุคคลตัวอย่างที่ทำกรรมแล้วต้องลงอเวจี แล้วก็ผ่านนรกบริวารแล้วก็ยมโลกียนรก แล้วก็ตลอดจนเป็นเปรตทุกประเภทถึงปรทัตตูปชีวิกเปรต เป็นอสุรกาย แล้วก็เป็นสัตว์เดียรัจฉาน แล้วก็เป็นคนที่ไม่สมบูรณ์ จนกว่าจะเป็นคนสมบูรณ์ มาฟังกันว่าเขาทำกรรมอะไร แต่ทว่าเป็นที่น่าเสียดายท่านผู้นี้ทำกรรมหนักมากแต่ไม่มีโอกาสลงนรก แต่ที่พูดมานั้นก็หมายความว่า หากท่านพลาดนิดเดียวท่านจะต้องเป็นไปตามกฎของกรรมที่เป็นอกุศล แต่ทว่าบังเอิญจริงๆ ตอนที่ใกล้จะตาย ท่านนึกถึงความชั่วของท่านมาได้ ท่านมีความทุกข์หนัก จิตเลี้ยวเข้าไปหาพระรัตนตรัยมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน คิดว่าเขาเล่าลือกันว่า องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระสมณโคดม เอ๊ะ ไม่ใช่ ทรงพระนามว่าอะไรก็ไม่ทราบ ว่าพระพุทธเจ้าย่อมช่วยคนที่มีความทุกข์ให้มีความสุขได้ มานึกถึงความดีของพระพุทธเจ้าก็เลยนึกถึงคำว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ ว่าขอบารมีพระพุทธ ขอบารมีพระธรรม ขอบารมีพระสงฆ์ จงช่วยข้าพเจ้าด้วยเถอะ จับจิตอยู่ในไตรสรณาคมน์ แล้วจิตออกจากร่าง ตายแล้วกลายเป็นเทวดา เลยไม่ได้รับผลความชั่ว ตอนที่เป็นเทวดานี่พระพุทธเจ้าไปเทศน์พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ เวลานั้นปรากฏว่าท่านจะต้องจุติพอดี มีอากาสจารีเทพบุตรเข้าไปเตือน ท่านมองดูตัวของท่านว่าท่านตายจากเทวดาแล้วท่านจะไปไหน ความจริงเทวดาก็รู้สถานที่ไปเพราะมีอารมณ์เป็นทิพย์ ก็ทราบชัดว่าเมื่อจุติจากเทวดาแล้วต้องไปเกิดในเอวจีมหานรก สิ้นระยะเวลา ๑ กัปตามอายุของอเวจีมหานรก แล้วหลังจากนั้น ออกจากอเวจีมหานรกแล้วก็ผ่านบริวาร ๔ ขุม เมื่อพ้นบริวาร ๔ ขุมแล้วต้องมาตกยมโลกียนรกอีก ๑๐ ขุม เพราะท่านทำกรรมหนัก เรียกว่ากรรมในยมโลกียนรกนี่มีกี่อย่างท่านทำหมดตั้งแต่ปาณาติบาตขึ้นมาเลย ถึงจิตโหดร้าย การประทุษร้ายต่อคู่ครอง นี่เรียกว่าหนักมาก เมื่อพ้นจากยมโลกียนรก ๑๐ ขุมแล้ว ต้องมาเป็นเปรตตามลำดับ ๑๒ จำพวก พ้นจากเปรต ๑๒ จำพวก แล้วก็มาเป็นอสุรกาย เมื่อพ้นจากความเป็นอสุรกายแล้ว หลังจากนั้นก็มาสู่ความเป็นสัตว์เดียรัจฉาน คือเป็นแร้ง ๕๐๐ ชาติ เป็นกา ๕๐๐ ชาติ เป็นสุนัขบ้า ๕๐๐ ชาติ เมื่อพ้นจากภาวะสัตว์เดียรัจฉานแล้วก็เกิดเป็นคน เป็นคนหูหนวก ๕๐๐ ชาติ เป็นคนตาบอด ๕๐๐ ชาติ เป็นคนบ้า ๕๐๐ ชาติ เป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขา ๕๐๐ ชาติ จึงจะมาเป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ นี่ท่านรู้กฎของกรรมของท่าน เมื่อท่านรู้แล้วท่านก็ตกใจ บอกให้อากาสจารีเทพบุตรช่วย ท่านอากาสจารีบอกว่า เราก็เป็นเทวดาเหมือนกัน จะช่วยท่านยังไง คนที่จะช่วยได้ก็เห็นจะมีพระอินทร์องค์เดียว ก็เลยพากันไปหาพระอินทร์ พระอินทร์ก็บอกว่าฉันเป็นเทวดาเหมือนท่านช่วยไม่ได้ ท่านที่จะช่วยได้ก็คือพระพุทธเจ้า เวลานี้กำลังมาแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ไปด้วยกัน ไปฟังเทศน์พระพุทธเจ้า ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าด้วยกัน พระพุทธเจ้าอาจช่วยได้ต่างก็พากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระอินทร์ก็กราบทูลเรื่องราวของสุปติฏฐิตเทพบุตรให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้า ท่านทราบแล้วก็ทรงดำริ ด้วยอำนาจพระพุทธญาณ คือว่าญาณพิเศษของพระพุทธเจ้าไม่เหมือนพวกเรา พวกเรามีความคิดอะไรก็ตาม อย่าเข้าไปวัดกับความดีของพระพุทธเจ้า อันนี้เคยได้ยินพระ ได้ยินฆราวาสหลายท่านมักจะเอาอารมณ์ของตัวเข้าไปวัดกับพระพุทธเจ้า ตัวมีความรู้ยังไงคิดว่าพระพุทธเจ้ามีความรู้เท่านั้น ถ้าอย่างนั้นละก้อ พระพุทธเจ้าก็มีด้วยกันเยอะ ความจริงไม่ได้ พระพุทธเจ้าจะเกิดซ้อนกัน ๒ องค์ไม่ได้ ฉะนั้น พระพุทธเจ้าย่อมมีบุญญาพิเศษยิ่งกว่าคนธรรมดาหรือพระอรหันต์อัครสาวก เรื่องนี้ยกไว้ เพราะมัวมานั่งอธิบายกัน ตอนนี้มันก็ไม่ได้เรื่อง เป็นอันว่าเล่าเรื่องราวของท่านสุปติฏฐิตเทพบุตรต่อไป เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณว่าเทวดาองค์นี้มีกรรมหนัก เพราะว่าอาศัยอะไร อาศัยที่ว่าเมื่อเป็นมนุษย์ เป็นมิจฉาทิฐิอย่างหนัก แต่ก็มาเป็นสัมมาทิฐิชั่วเวลาไม่กี่นาที คือเวลาใกล้จะตาย น้อมจิตเข้ามาเคารพในคุณพระรัตนตรัย เรื่องนี้มีคนถามมาหลายคน ว่าทำบาปมาตั้งเยอะแต่ทำบุญนิดเดียวแล้วจะไปสวรรค์ได้ยังไง อันนี้ไม่น่าเชื่อเขาว่ายังงั้น เรื่องนี้ก็ขอเอาถ้อยคำของพระนาคเสนที่กล่าวตอบพระยามิลินท์มาให้ทราบ พระนาคเสนท่านเปรียบเทียบว่าบาปมีอุปมาเหมือนก้อนหิน ก้อนหินจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม ถ้าเราโยนมันลงในน้ำมันก็จม แต่บุญนี้มีอุปมาเหมือนเรือ ถ้ามีเรือลอยอยู่ ถ้าเป็นเรือลำใหญ่ ไอ้เรือนี่ลำเล็ก มันก็ไม่มีเรือที่ใช้ได้ พายได้ขี่ได้ ลำเล็กมันก็ไม่มี มันใหญ่ทั้งนั้น แต่ว่าจะใหญ่มากใหญ่น้อย ก็เป็นเรื่องความใหญ่ บุญมีอุปมาเหมือนเรือ เอาเรือมาจอดลอยไว้ เอาหินโยนลงไปในเรื่อ หินเมื่อตกลงไปในเรือแล้วหินจะจมน้ำไม่ได้ เพราะเรือขวางไว้ ข้อนี้มีอุปมาฉันใดจิตใจของคนก็เหมือนกัน ที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติปาฏิกังขา ถ้าจิตจะออกจากร่างมีอารมณ์เศร้าหมอง ก็ไปสู่ทุคติมีอบายภูมิ ๔ มีนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดียรัจฉาน จิตเต ปาริสุทเธ สุคติ ปาฏิกังขา ถ้าเวลาจิตจะออกจากร่างที่มีความบริสุทธิ์ นึกถึงส่วนที่เป็นกุศลก็ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ก่อน ถ้าหมดอำนาจของความดีคือบุญ ก็จะกลับมารับโทษตามเดิม เว้นไว้แต่บำเพ็ญบารมีต่อข้อนี้จะมีอุปมาได้เหมือนกับคนเรา ถ้าเป็นหนี้เขามากๆ เจ้าหนี้เขาทวง ดีไม่ดีใช้หนี้เขาไม่หมดจะต้องติดตะรางแทนหนี้ แต่ในขณะที่เจ้าหนี้ทวงหนี้อยู่นั้น บังเอิญทีเดียว เราถูกล็อตเตอรี่เข้า รางวัลที่ ๑ สัก ๒-๓ ใบ มีทุนใหญ่ แล้วก็ใช้ทุนนั่นแหละ ไม่ใช่ชำระหนี้ หนีเจ้าหนี้ไปอยู่เสียต่างประเทศ เจ้าหนี้ก็ไม่มีโอกาสจะทวงได้ เราก็เป็นสุขสบายเพราะทรัพย์สินที่เรามีอยู่ แต่ถ้าหากว่าเราไม่ไปก่อร่างสร้างตัวให้เป็นผู้มีอันจะกินต่อไป กินทุนเก่า ถ้าหมดทุนกลับมาที่เก่าเมื่อไร เจ้าหนี้ทวงใหม่เมื่อนั้นแล้วก็จะมีโทษตามที่เราเป็นหนี้เขา ข้อนี้มีอุปมาฉันใด เรื่องบุญกับบาปก็เหมือนกันท่านพุทธบริษัท<O:p></O:p>[/FONT]
    [FONT=Phaisarn, Phaisarn97, MS Sans Serif, LotusBusakorn, System, AngsanaUPC, CordiaUPC] ตอนนี้มาเล่าเรื่องนี้คั่น ก็เพราะว่าจะได้เข้าใจ บรรดาท่านพุทธบริษัทเข้าใจหรือไม่เข้าใจนี่ อาตมาก็ไม่ทราบเหมือนกัน เป็นอันว่าคุยให้ฟังตามความคิดความเห็นของคนธรรมดาๆ แต่เอามาเปรียบเทียบกับบุญญาธิการหรือพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า<O:p></O:p>[/FONT]
    [FONT=Phaisarn, Phaisarn97, MS Sans Serif, LotusBusakorn, System, AngsanaUPC, CordiaUPC] ในเมื่อพระพุทธเจ้าทรงพิจารณาทราบว่า สุปติฏฐิตเทพบุตรคนนี้ สมัยที่เป็นมนุษย์เป็นมิจฉาทิฐิอย่างหนัก คือแกเกิดมาพอแกทำงานได้ตั้งแต่เล็ก แกก็มีปาณาติบาตเป็นเครื่องอาศัย ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตตลอดเวลา วันดีไม่ละวันพระไม่เว้น ทำบาปเป็นอาจิณกรรม เรียกว่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นอาจิณกรรม แล้วนอกจากนั้น กรรมอะไรล่ะที่เขาว่ามันไม่ดี อทินนาทานลักขโมยเขา ถ้ามีโอกาสก็เอาเหมือนกัน เอาไม่น้อย เอาพอกำลังที่จะเอาไปได้ เรียกว่ามาก กาเมสุมิฉาจาร ชอบจริงๆ ผู้หญิงสาวๆ เด็กๆ เท่าไหร่ท่านสุปติฏฐิตชอบมาก ปรนเปรอด้วยเงินด้วยทอง มุสาวาทรึ? เป็นปกติ การดื่มสุราเมรัยเป็นเกมกีฬา ตานี้มาว่ากัน ถ้าว่าใครเขามาบอกบุญบอกทาน ใครเขามาบอกว่าวัดโน้นเขาจะสร้างนั่น วัดนี้เขาจะสร้างนี่ ไปทำบุญตรุษ ไปทำบุญสงกรานต์ แกเห็นแล้วแกล้งทำไม่เห็น ได้ยินแล้วแกล้งทำไม่ได้ยิน ดีไม่ดีพระเจ้าเทศน์ ส่งเสียงกลบ ทำลายพระธรรมเสียอีก นี่เจตนาของสุปติฏฐิตเทพบุตรเป็นมิจฉาทิฐิอย่างหนัก แล้วก็ทำลายคุณความดีที่บุคคลอื่นจะพึงได้จะพึงถึง ฉะนั้น สุปติฏฐิตเทพบุตรคนนี้ ถ้าเราไม่ช่วยเธอจุติจากความเป็นเทวดาแล้ว เธอจะต้องไปตกอเวจีมหานรก สิ้นเวลาระยะ ๑ กัป พ้นจากอเวจีมหานรกแล้วต้องผ่านนรกบริวาร ๔ ขุม นอกจากนั้นยมโลกียนรก ๑๐ ขุม เธอต้องผ่านทั้งหมด เป็นกฎของกรรมอย่างหนัก จะต้องเป็นเปรต ๑๒ ระดับ เป็นอสุรกาย ต่อมาเป็นแร้ง ๕๐๐ ชาติ เป็นกา ๕๐๐ ชาติ เป็นสุนัข (แล้วเป็นสุนัขบ้าไม่ใช่สุนัขธรรมดา) ๕๐๐ ชาติ ทีนี้พอมาเป็นคน เป็นคนหูหนวก ๕๐๐ ชาติ นี่เพราะกฎของกรรม ที่คนเขาบอกบุญแกได้ยินแล้วแกล้งทำไม่ได้ยิน เวลาพระเทศน์เวลาพระสวดแกล้งส่งเสียงกลบให้คนอื่นฟังไม่ชัดอย่างนี้ติดตามแกมา ต้องเป็นคนหูหนวก ๕๐๐ ชาติ ต่อมาจากนั้นแกก็ต้องตาบอด ๕๐๐ ชาติ ท่านกล่าวว่าในตอนนี้ใครเขามาบอกบุญบอกทาน แกเห็นแล้วแกแกล้งทำเป็นไม่เห็นเลยกลายเป็นคนตาบอด ๕๐๐ ชาติ แล้วก็มาเป็นคนบ้า ๕๐๐ ชาติ ก็เพราะดื่มสุราเมรัยหลังจากนั้นมาเป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขา ๕๐๐ ชาติ เพราะโทษของปาณาติบาตที่ทำไว้มาสนับสนุนเป็นเศษของกรรมจึงจะหมด องค์สมเด็จพระสามิสรพระสุคตได้ทรงทราบก็มีความสงสาร ก็พิจารณาด้วยอำนาจพระพุทธญาณ ว่าถ้าตถาคตจะเทศน์พระอภิธรรมทั้ง ๗ คัมภีร์ เทวดาองค์นี้จะมีผลเป็นประการใดบ้าง เมื่อทรงดำริดังนี้แล้วองค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณว่า ถ้าเราเทศน์พระอภิธรรมเจ็ดคัมภีร์นี้ไม่มีประโยชน์แก่เทวดาองค์นี้เลย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่ากรรมหนัก จริตไม่พอกับพระอภิธรรม คือมีอารมณ์หยาบมาก ถ้าเทศน์จบเธอไม่ได้อะไร ไม่ได้พระโสดาบัน เธอจะต้องไปจุติในอเวจีมหานรก เป็นบุคคลผู้น่าสงสาร นี่น้ำใจของพระพิชิตมารเป็นอย่างนี้ แล้วต่อไปองค์พระธรรมสามิสรก็คิดต่อไปว่า จะเทศน์อะไรดี ก็ทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณว่า ถ้าเราเทศน์อุณหิสวิชัยสูตร เมื่อเธอฟังแล้วจะตรงกับอัธยาศัย พอเทศน์จบเธอจะได้พระโสดาบัน แล้วหลังจากนั้นอบายภูมิตามที่กล่าวมา ความทุกข์ทั้งหมด โทษทัณฑ์ทั้งหมดจะถูกปิด คือไม่มีโอกาสจะลงโทษเธอได้เพราะว่าพระโสดาบันนั้นเกิดเป็นเทวดาแล้วก็เกิดแค่มนุษย์ ถ้ายังไม่ไปนิพพานจุติลงมาเป็นมนุษย์แล้วก็เกิดเป็นเทวดาหรือพรหม พระโสดาบันมีอารมณ์หยาบเกิดเป็นมนุษย์ ๗ ชาติ พระโสดาบันมีอารมณ์อย่างกลางเกิดเป็นมนุษย์ ๓ ชาติ พระโสดาบันมีอารมณ์อย่างละเอียดเกิดเป็นมนุษย์ ๑ ชาติไปนิพพาน ฉะนั้น โทษทัณฑ์ทั้งหลายที่จะต้องตกนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดียรัจฉานไม่มี แต่ทว่าที่มีขันธ์ ๕ เป็นคน ต้องพบกับเศษของอกุศลในฐานะที่มีร่างกายเป็นเครื่องรับ คือมีขันธ์ ๕ เป็นเครื่องรับก็ยังดี เมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงทราบด้วยอำนาจพระพุทธญาณ องค์สมเด็จพระพิชิตมารจึงทรงแสดงอุณหิสวิชัยสูตร เทศน์อุณหิสวิชัยสูตรพอจบ ท่านสุปติฏฐิตเทพบุตรก็เป็นพระโสดาบัน เป็นเทวดาต่อไปจนกระทั่งปัจจุบันนี้ท่านยังไม่ได้จุติ<O:p></O:p>[/FONT]
    [FONT=Phaisarn, Phaisarn97, MS Sans Serif, LotusBusakorn, System, AngsanaUPC, CordiaUPC]นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพ ตัวอย่างของบุคคลผู้ทำความชั่ว แต่ว่ามีความดีนิดหนึ่ง แล้วแถมเป็นเทวดาก็ประมาทในความดี หลงระเริงจนกระทั่งตัวเองจะต้องมารับผลของความชั่ว แต่ทว่าได้ดี ดีที่อากาสจารีเทพบุตรไปเห็นเสียก่อน ไปเห็นวิมานเศร้าหมอง เครื่องทิพย์เศร้าหมอง เหงื่อไหลจากรักแร้ ตามธรรมดาเทวดานี่ เครื่องทิพย์จะผ่องใสอยู่เสมอไม่ต้องซักฟอก วิมานจะ <O:p></O:p>[/FONT]
    [FONT=Phaisarn, Phaisarn97, MS Sans Serif, LotusBusakorn, System, AngsanaUPC, CordiaUPC]ผ่องใส เหงื่อไม่มี ถ้ามีเหงื่อเมื่อใด เครื่องทิพย์เศร้าหมองเมื่อใด ก็แสดงว่าเทวดาองค์นั้นจะต้องตาย นี่เป็นกฎของเทวดา นั่นยังมีบุญอยู่ นี่อาศัยสมเด์จพระบรมครูทรงช่วย จึงพ้นจากนรกไป เมื่อเป็นพระโสดาบันได้แล้วก็ชื่อว่ามีความสุข<O:p></O:p>[/FONT]
    [FONT=Phaisarn, Phaisarn97, MS Sans Serif, LotusBusakorn, System, AngsanaUPC, CordiaUPC] นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท การที่นำเรื่อนี้มาเล่าให้ฟัง ยังไม่เลยนรกไป ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายอาจจะสงสัย ว่าคนทำกรรมประเภทใดบ้าง จึงจะต้องมานรกขุมใหญ่ ในคัมภีร์ท่านบอกไว้ว่าคนที่ละเมิดกรรมบถทั้ง ๑๐ ประการมานรกขุมใหญ่ มากันยังไง แล้วก็รรมบถ ๑๐ ประการนั้น เฉพาะข้อหรือว่าทั้งหมด างคนจะพูดว่า นี่ก็ฉันทำบางอย่างเท่านั้นนี่ ละเมิดบางอย่างเท่านั้น ทำไมจะต้องลงนรกขุมใหญ่ด้วยรึ? แล้วก็ทำกรรมไม่หนักนัก เพียงฆ่าสัตว์ตัดชีวิต นี่เขาก็มีโทษไว้สำหรับโลหะกุมภี แต่ทว่าในบาลีท่านไม่ได้ว่าอย่างนั้น และท่านก็ไม่ได้แจงไว้ชัดว่ามีโทษกี่ข้อจึงมานรกขุมใหญ่ จึงได้นำเอาเรื่องราวของท่านสุปติฏฐิตเทพบุตรมาเล่าให้ฟัง ว่าท่านทำปาณาติบาตเป็นอาจิณกรรม ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ขาดเมตตาปรานี ขาดพรหมวิหาร ๔ แล้วยิ่งไปกว่านั้น ก็กกลายเป็นคนที่นิยมการลักการขโมย เมื่อจิตมันชั่วเสียจุดเดียวมันก็ชั่วหมด ฆ่าสัตว์ได้ ลักขโมยก็ทำได้ มาเรื่องกาเมสุมิจฉาจาร นี่มันเรื่องสำคัญ คนทุกประเภทชอบ ผู้ชายก็ชอบ ผู้หญิงก็ชอบ ชอบเหมือนกัน เรียกว่าต่างคนต่างมีความปรารถนาเสมอกัน ความจริงก็ไม่น่าจะมีโทษ แต่ท่านกล่าวว่าคนที่เกิดมาแล้วนี่น่ะต้องมีบุคคลให้เกิด ที่เรียกกันว่าเจ้าของ คือพ่อแม่ ถ้าไม่มีพ่อแม่ก็มีผู้ปกครอง ถ้าไม่ได้รับอนุญาตก่อนถือว่าเป็นโทษ นี่จัดว่าเป็นโทษในกรรมบถ ๑๐ ส่วนกายกรรม ตานี้เมื่อกายกรรมมันหยาบก็ต้องทำหนัก สำหรับวจีกรรมมันเบากว่า ทำไมจะทำไม่ได้ วจีกรรมเรื่องการโกหก คนถ้าลงลักลงขโมยได้ จะทำกาเมสุมิจฉาจารได้ ไม่โกหกไม่มีหรอก ต้องโกหกกันแน่ เพราะว่าคนที่ลักที่ขโมยเขาต้องแสดงลีลาดี โจรนี่ ต้องทำท่าเรียบร้อยเมื่อเห็นคน พบคนเข้าต้องทำดีทำเป็นคนเรียบร้อย ทำว่าตนเป็นคนดี เขาจะได้ไม่สงสัย ถ้าคนเจ้าชู้ด้วยแล้วถ้าไม่โกหก ผลได้มันจะไม่มีเลย ต้องโกหก ทีนี้สำหรับวาจาส่อเสียดยุยงส่งเสริมให้เขาเข้าใจผิดแตกร้าวกัน คนประเภทนี้ถ้าลงโกหกได้แล้ว ก็ต้องยุยงส่งเสริมชาวบ้านได้ เพราะเป็นคนใจร้ายอยู่แล้ว แล้วเรื่องคำหยาบก็เหมือนกัน ไม่ต้องห่วงขนาดที่แกแกล้งพระเทศน์ได้ แกล้งคนฟังเทศน์ได้ เรื่องคำหยาบทำไม่ได้ไม่มี แล้ววาจาที่ไร้ประโยชน์ก็ทำได้เหมือนกัน มันเป็นของเบา พูดส่งเดช ไม่หาเหตุหาผล นี่เป็นวจีกรรม สำหรับมโนกรรมการเพ่ง เพ่งเล็งทรัพย์สินของคนอื่น แล้วก็เพ่งโทษ อันนี้เป็นของง่าย คนจะขโมยเขามันต้องคิดก่อน ว่าบ้านไหนมีอะไรดีวางอยู่ที่ตรงไหน คนที่เพ่งโทษประทุษร้าย คนที่ทำปาณาติบาตได้มันคิดอยู่แล้ว ว่าปลาตัวนี้ หมูตัวนี้ฉันจะฆ่ามันเป็นประโยชน์มากสำหรับฉัน ตานี้ ข้อสุดท้ายเรียกว่ามิจฉาทิฐิ สิ่งที่ทำมาแล้ว ๙ ข้อนั่นแหละ มันเป็นอาการของมิจฉาทิฐิ ความเห็นผิด จะต้องไปหาตัวมิจฉาทิฐิที่ไหนอีก เป็นอันว่ากรรมบถ ๑๐ ใช้ได้หมด ที่องค์สมเด็จพระสุคตบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า คนที่จะลงนรกขุมใหญ่ได้ก็ต้องอาศัยละเมิดกรรมบถ ๑๐ นี่ไม่ว่าฆราวาส ไม่ว่าพระ ไม่ว่าเณร ก็มีโอกาสลงอเวจีมหานรกได้<O:p></O:p>[/FONT]
    [FONT=Phaisarn, Phaisarn97, MS Sans Serif, LotusBusakorn, System, AngsanaUPC, CordiaUPC] เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท ที่พูดมาไว้ในตอนนี้ เพื่อให้บรรดาท่านพุทธบริษัทเข้าใจว่าการเกิดในนรกเขาเกิดกันยังไง เพราะเล่าเรื่องนรกมานี่รู้สึกว่าจะไม่ละเอียด ไม่ได้กล่าวถึงตัวบุคคลว่า คนที่จะเข้าถึงนรกขุมใหญ่แล้วไปนรกบริวารไปยมโลกียนรก เขาทำกันยังไง เล่าแต่เพียงปัจจัย คือเหตุที่จะต้องตกนรกตามแบบฉบับที่ท่านเขียนไว้ ฉะนั้นวันพุธนี้จึงได้เรื่องราวต่างๆ ที่จะเข้าไปสู่แดนเปรต นำเรื่องของท่านสุปติฏฐเทพบุตรมาสรุปให้ฟัง หวังว่าพระคุณเจ้าและบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทผู้รับฟังทุกท่านพอจะเข้าใจได้บ้าง<O:p></O:p>[/FONT]
    [FONT=Phaisarn, Phaisarn97, MS Sans Serif, LotusBusakorn, System, AngsanaUPC, CordiaUPC] สำหรับวันนี้ ก็หมดเวลาแล้ว จะขอชวน บรรดาพุทธบริษัท และพระคุณเจ้าที่เคารพไปสู่แดนเปรตก็ไปไม่ทัน เพราะเวลามันหมดก็ต้องลาท่านไปก่อน<O:p></O:p>[/FONT]
    [FONT=Phaisarn, Phaisarn97, MS Sans Serif, LotusBusakorn, System, AngsanaUPC, CordiaUPC] ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนและพระคุณเจ้าที่รับฟังทุกท่าน สวัสดี.[/FONT]
    [FONT=Phaisarn, Phaisarn97, MS Sans Serif, LotusBusakorn, System, AngsanaUPC, CordiaUPC][/FONT]
    [FONT=Phaisarn, Phaisarn97, MS Sans Serif, LotusBusakorn, System, AngsanaUPC, CordiaUPC]http://www.geocities.com/puttakun/narok10.html[/FONT]
     

แชร์หน้านี้

Loading...