ตั่งแต่ศึกษาธรรม คุณไปไกลถึงไหนกันเเล้ว

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ฟำี่ิอกาี, 6 พฤษภาคม 2017.

  1. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014


    ข้อที่หนึ่ง
    ยังอยากให้มีคนมาคอยชมเชย
    ถึงจะทำนั่นทำนี่ได้ อย่างนี้เรียกว่า
    สักกายะทิฏฐิ หรือ การถือตัวถือตน
    หรือ ความหยิ่งในตัวเองยังมีเยอะอยู่


    แนะนำให้ ลองพิจารณา อยู่เนืองๆ ว่า
    เรายังถือตัวอยู่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    พิจารณาเนืองๆ ต่อเนื่องอยู่อย่างนี้
    เดี๊ยวไม่นาน การถือตัวถือตน ก็จะลดลงเรื่อยๆ
    จนกระทั่งหมดในที่สุด เมื่อหมดแล้ว
    จิตก็จะรู้ได้เองว่า เราทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย เสมอกัน
    สามารถบรรลุธรรมได้เท่าๆกัน


    ข้อที่สอง
    ต้องลองดูใหม่ว่า เวลาที่คุณคิดมาก
    คุณทำอะไร ระหว่าง การเข้าญาน หรือ การทำวิปัสสนา
    ถ้าคุณเจอปัญญา แล้วทำสมาธิ เพื่อทีจะให้ใจสงบ
    แสดงว่า คุณชอบแอบหนีปัญหา
    แต่ถ้าคุณ เจอปัญหา แล้วครุ่นคิดแต่เรื่องนั้นอย่างเดียว
    ไม่เปลื่ยนไปคิด เรื่องอื่นเลย แสดงว่า คุณกำลังเป็นโรคจิต
    จิตจะท้อแท้ ซึมเศร้า นึกไม่ออกบอกไม่ถึง เหมือน เบลอๆ
    แต่ถ้าคุณ เจอปัญหา แล้วพิจารณาว่า
    ทุกสิ่งที่เห็นไม่จริง ไม่เที่ยง ก่อแต่ทุกข์
    มันเกิดแล้วก็ดับ ตามสภาพ ไม่ต้องปรุงแต่ง
    เพียงภาวนาว่า ปล่อยวางๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    อย่างนี้ หากคุณเป็นผู้ที่คู่ควรแล้ว
    ทำไปไม่นาน ก็เห็นผล แต่ประเด็นก็คือ
    ต้องฝึกมองบ่อย ทุกอย่างล้วนว่างเปล่า
    เหมือน อากาสธาตุ เกิดเองดับเอง
    ไปตามสภาพของมัน เราก็แค่ ปล่อยมันไปก็แค่นั้น



    สรุปว่า
    คุณอินทรีย์สังขาร ยังไม่แก่กล้า
    แนะนำให้ทำ สายสมาธิ เป็นหลัก
    เมื่อเกิดปัญหา ก็หนีเข้าญานก่อน
    ใจสงบเมื่อไหร่ ค่อยออกมาพิจารณา
    ถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นสิ่งหลอกลวง
     
  2. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014



    สรุปก็คือ
    ไอ้ตัวปรุงแต่งนั่นเอง
    ที่พาให้เรา ไปเกิดเป็น ภพชาติ
    เห็นอะไร ก็ให้วางอารมณ์เฉย
    หรือ อารมณ์อุเบกขา ใส่มัน
    วาง ใจเป็นกลาง ต่อมัน
    เดี๊ยวสักพัก มันก็ปล่อยวางได้เอง
    ตามธรรมดาของมัน แค่ทรงจิตให้ถูก
    ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย
    มันก็จะกลายเป็นเรื่องง่าย
    หากมัวแต่คิดว่า มันยาก
    ก็จะไม่ได้ทำอะไรกันสักที
    แค่คิดง่ายๆว่า เป็นกลางต่อทุกสิ่ง
    เดี๋ยว จิตลิงเจี๊ยกๆ
    ก็จะสงบนิ่งไปเอง
     
  3. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014


    หากเกิดความแห้งแล้ง จนชาวบ้านเดือดร้อนไปทั่ว
    ไหนจะหาข้าวปลา ไหนจะหาน้ำ
    แล้วจะเอาอาหารที่ไหน มาใส่บาตร
    ชาวบ้านอยู่ไม่ได้ พระก็อยู่ไม่ได้ เหมือนกัน
    พระ กับ ชาวบ้าน ต้องไปคู่กัน จึงจะเรียกว่า
    สถานทื่เหมาะสมแก่การปฏิบัติธรรม
     
  4. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014

    เอาคุณธรรมของพระอนาคามี
    มาสอนคนทั่วไป ก็คงไม่เกิดประโยชน์มากนัก
    คนที่เข้าใจได้ ก็คงจะมีแต่ คนในขั้นเดียวกัน
    น้อยกว่านั้น เห็นต่างแน่ๆ
     
  5. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014

    อันนี้ยังเรียกว่า เห็นเพียงข้างเดียว
    เพราะในความจริงแล้ว ต้องแยกกัน ระหว่าง
    นักปฏิบัติ ที่มีครูอาจารย์เป็น พระอริยะเจ้า กับ
    นักปฏิบัติ ที่ไม่มีครูบาอาจารย์เป็น พระอริยะเจ้า


    เพราะว่า อย่างแรก พวกที่มี ครูอาจารย์นั้น
    ไม่ต้องศึกษามากก็ได้ หรือ ไม่รู้อะไรเลยยิ่งดีใหญ่
    เดี๋ยวครูบาอาจารย์ ก็จะเมตตาสั่งสองเอง
    ทำวิปัสสนา+สมถะ ให้มากๆ ได้เลย
    เดี๋ยวพอติดขัดตรงไหน ก็ให้ไปถามครูบาอาจารย์
    ท่านก็จะแก้ไขให้ทันที จะบรรลุธรรมได้เร็วมากๆ
    อาจจะ 2 เดือน ก็บรรลุธรรมได้เลย


    แต่ถ้าเป็นอย่างที่สอง
    พวกที่ไม่มีครูอาจารย์ที่เป็น พระอริยะเจ้า
    เรียกว่า พวกปีกมึน สอนยาก รู้มาก
    เลยไม่มีใครอยากจะสอน เพราะ
    สักกายะทิฏฐิ มีมากเกินไป
    ชนิดที่ว่า พอใครจะสอนอะไร
    พวกนี้จะสอนเรื่องเดียวกัน โต้กลับทันที
    พวกนี้เป็นเหมือน พระปัจเจกะพุทธเจ้า
    จะต้องสอนตัวเอง หาคนอื่นมาสอนไม่ได้
    พวกนี้ จะต้องศึกษาให้มากๆ
    ทั้งด้านสมถะ และ วิปัสสนา
    แล้วก็ต้องลงมือทำด้วยตนเอง
    แต่อย่าให้ ด้านไหน มีมากกว่ากันจนเกินไป
    หากสมถะ ทำมากไปด้านเดียว จะเรียกว่า พวกแอบ
    หากวิปัสสนา ทำมากเกินไปด้านเดียว จะเรียกว่า พวกฟุ้งซ่าน
     
  6. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,293
    ค่าพลัง:
    +12,622
    มจด.ชอบทำตัวแข่งกับปลาไหล
    ย่อมไม่เป็นคุณแก่ตัวเองนะ วันหนึ่งถ้าอยากจะภาวนา
    ขึ้นมาจริงๆ สิ่งที่ได้ก่อไว้จะเป็นตัวรั้งให้ทำได้ช้า
    ลงนะจะบอกให้
    จขกท.ได้คุยเพื่อเปิดโอกาส
    ให้คุณ ได้ปรารภเรื่องความ
    ไม่เข้าใจเกี่ยวกับการภาวนาของตัวเอง กลับไป
    เล่นลิ้น ไม่ให้โอกาสตัวเองเลยน่าสมเพชมาก
     
  7. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,868
    ผมอยู่ในชั้น โลกียวิสัย ไม่น่าจะดึงธรรมพระอนาคามี
    เสมือนว่า ผมเอาตะกร้อไปเก็บเกี่ยวมะม่วง แล้วเอาผลมะม่วงนั้นมาแบ่งให้สาธารณะได้กินกัน

    ควรจะแนะนำให้ผมมีสติเป็นที่ไปที่ดีด้วยการ สรรเสริญสังฆานุสสติ ให้ผมฟัง
    ว่าหากผมมีสติเป็นที่ไปแบบนี้ มีอานิสงค์มาก มีประโยชน์มาก แม้หากผมจะต้องตายไป
    ในเวลาใดเวลาหนึ่ง แต่หากผมยังเป็นผู้ไม่หลงไม่ลืม พระคุณที่เป็นคุณธรรมของ
    โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ ผมนั้นได้ไปดีแน่
    อธิษฐานบารมี คงไม่มีใครตั้งมั่นไว้เพี้ยนๆว่า ขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ไม่แน่นอนต่อพระนิพพาน
    หากแต่ว่า ตั้งมั่นไว้เพื่อให้แน่ต่อพระนิพพาน แน่อยู่ในความไม่แน่

    สติไปเก็บเกี่ยวเอามา กับ มีสติเป็นที่ไปในทิศทางที่ดี
    นี้เป็นสติ คนละตัวกันเลยนะครับ

    จาคานุสสติ ก็ช้วยได้ เรื่องการมีสติไปเก็บเกี่ยวอะไรๆมาเข้าตัวครับ
    และก็ช้วยแก้หลงที่สติไปเกี่ยวมาว่าตัวได้ผลอันนั้น อันนี้อยู่ ได้ครับ
    มีสติเป็นทานบารมี ไม่ได้เอาใครมาเป็นเครื่องเซ่น/เครื่องสังเวย ตัวเอง
     
  8. vornloei

    vornloei สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2017
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +7
     
  9. vornloei

    vornloei สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2017
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +7
    ปฎิบัติถึงแล้วคุณจะเข้าใจที่ผมกล่าว หากยังไม่ถึงระดับคุณคงยังไม่เข้าใจ เพราะคุณๆ ไปยึดติดที่ตัวอาจารย์มากเกินไป มันก็จึงเป็นห่วงพอปฏิบัติไปสักพักก็คิดถึงแต่คำอาจารย์แบบนี้มันถูกไหม แบบนี้มันใช่ไหมจิตมันก็เลยไม่สงบเพราะไปยึดติดอาจารย์นั่นเอง องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงไม่ยึดติดตัวอาจารย์แสวงหา และบรรลุธรรมที่สูงกว่าตัวอาจารย์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2017
  10. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014



    มีพระอาจารย์ สายวัดป่ารูปหนึ่ง เป็น หน่อเนื้อสุกกวิปัสสโก
    ท่านเมตตาต่อ เหล่าสรรพสัตว์ ทั้งหลายอย่างมาก
    จึงได้กรุณาสอนเรื่องการดูจิต
    โดยไม่ได้คิดพิจารณาให้ถี่ถ้วนว่า
    ขั้นจิตในจิต เป็นงานของพระอนาคามี
    ต่ำชั้นกว่านี้ อ่านแล้วก็มีแต่ งงเต๊ก
    แหละที่สำคัญ ธรรมะชั้นสูง
    จะไม่ถ่ายทอดให้กับคนที่เค้าไม่มีวาสนา
    หรือ ถ่ายทอดให้กับ อนุปสัมบัน
    หรือ ผู้ที่ยังไม่ได้บวชเป็น พระภิกษุ หรือ ภิกษุณี
    แม้แต่ เณรน้อย ก็จะโดนห้ามเหมือนกัน
    แต่ถ้า อนุปสัมบัน ผู้ใดมีอินทรีแก่กล้า
    พอที่จะบรรลุธรรมได้ ก็ต้องถ่ายทอดแต่ ในวงใน เท่านั้น
    ไม่ใช่ พูดให้คนทั่วๆไปได้ฟัง
    แม้ได้ฟังสักเท่าไร เค้าก็ไม่อาจจะเข้าใจได้เลย
    มีเพียงหนึ่งในล้านเท่านั้น ก็จะเข้าใจได้
    นอกนั้น จะปรามาสธรรมที่พระแสดงออกมา
    อาจถึงขั้น ตัดสิทธิ์การบรรลุธรรมกันเลยทีเดียว
    พระป่ารุ่นเก่าๆ จึงถือเรื่องนี้มาก
    เวลาจะแสดงธรรมชั้นสูง
    จะให้มีแต่พระเท่านั้น ที่นั่งฟังได้
    หรือถ้าเป็นเณรน้อย ก็จะเป็นเณรน้อยที่รับใช้ใกล้ชิด
     
  11. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014

    ยึดติดอาจารย์ คือ พวกโพธิจิต มี
    พระพุทธเจ้า กับ เหล่าสาวก
    พระโพธิสัตว กับ เหล่าผู้ศรัทธา เป็นต้น
    ก่อเกิดจาก นิสัยที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น
    โดยไม่หวังผลตอบแทน
    พอเกิดมาชาติไหนก็เอาแต่ผู้อื่นท่าเดียว
    กลับกัน พวกที่ได้รับความช่วยเหลือมา
    เมื่อมาเกิดชาติไหน ก็จะต้องมาเกิดใช้กรรม
    โดยการเป็น บริวาร ทุกชาติไป
    กลายเป็นพันธะสัญญา หรือ
    กงกรรมกงเกวียนที่เกื้อหนุนกันไป
    สุดท้าย เมื่อผู้ให้บารมีเต็ม ก็กลายเป็น พระพุทธเจ้า
    ส่วนผู้รับทั้งหลาย กลายเป็น สาวก

    ไม่ยึดติดอาจารย์ คือ พวกปัจเจกะโพธิจิต มี
    พระปัจเจกะพุทธเจ้า เป็นต้น
    ก่อเกิดจาก นิสัยที่ชอบแต่ช่วยตัวเอง
    ไม่ค่อยชอบช่วยผู้อื่น เพราะคิดว่า
    ผู้อื่นก็เท่าเทียมกับตนเหมือนกัน
    มีนิสัยหยิ่งทะนง ไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากผู้อื่น
    เรียกว่า ยอมตายดีกว่า แต่ไม่ยอมอ้อนวอนใคร
    เมื่อมีผู้ยื่นมือมาช่วย ก็จะบอกเค้า
    ไม่ต้องหลอก เราช่วยตัวเองได้
    ทั้งๆ ที่ช่วยตัวไม่ได้เลย แต่หยิ่งทะนงตน
    บางครั้งเกิดมา เป็นผู้ที่มีวิชาดีติดตัว
    แต่จะไม่ยอมมอบให้ใคร
    ยอมให้มันตายไปกับตัวเองดีกว่า
    เพราะคิดว่า ไม่มีใครคู่ครวญ
    ก็เลยตัด สายสัมพันธ์ ที่จะเชื่อมกัน
    ระหว่าง ผู้ให้ กับ ผู้รับ คือ
    เมื่อมีผู้ให้ อยากให้ แต่ผู้รับไม่รับ
    ผลก็เลย ไม่มีใครอยากช่วย
    เพราะเห็นว่า ผู้รับหยิ่งเกินไป
    เมื่อบำเพ็ญจนบารมีเต็ม
    ก็จะถูกอัญเชิญไปยังวิมานแห่งหนึ่ง
    แล้วให้รออยู่ที่นั่น จนถึง
    ช่วงที่ไม่มีใครมาเป็น พระพุทธเจ้า
    ก็จะถูกอัญเชิญมาเกิดเป็น พระปัจเจกะพุทธเจ้า
    แต่ด้วย เพราะไม่เคยช่วยเหลือใคร
    จึงไม่ค่อยมีใคร ตามลงมาเกิดเป็น สาวก
    เละเหตุที่ ไม่ค่อยให้วิชาความรู้ใคร
    หรือ ไม่ยอมถ่ายทอดสั่งสอนบอกต่อ
    จึงตัดสายสัมพันธ์ ไม่อาจสอนใครให้เป็น พระอรหันต์ ได้
    ด้วยกำลัง ความเป็นครู ความปราณี ความใจเย็น
    ความรู้ทั่วถึง ความใจกว้าง ความเป็นแบบอย่างที่ดี
    มีไม่เพียงพอ ที่จะสอนศิษย์ได้ จนสุดทางนั่นเอง


    สรุปคือ
    พระพุทธเจ้า เราเอาเป็นแบบอย่างได้
    แต่ไม่ควรที่จะกระทำการ เหมือนท่าน
    เพราะว่า การทำอย่างนั้น เรียกว่า ปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง
    ใครที่คิดเลียนแบบวิธีการของท่าน
    ก็จะกลายเป็น พวกเห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง ไป
    มัวคิดแต่ทำเรื่องที่มันเป็นไปไม่ได้
    เพราะถ้าหากว่า เป็นไปได้
    ท่านก็จะกลายเป็น พระปัจเจกะพุทธะ ทันที
    ซึ่งก็จะเป็นไปไม่ได้อีก เพราะ ต้องรอให้ว่างเว้น
    ในช่วงที่ไม่มี พระพุทธเจ้า เท่านั้น


    ทีนี้ก็เหลืออยู่ทางเดียว คือ ทางสายอาจาริยะวาท
    หรือ ทางที่ต้องปฏิบัติตามอาจารย์ที่เป็น พระอรหันต์
    คือ ทางสายสาวก นั่นเอง จึงจะ บรรลุธรรมได้
    หากว่า ฝากเนื้อฝากตัวไม่ทัน ดันตายไปซะก่อน
    ก็จบเห่ แทบไม่ได้เกิดอีกเลย เพราะทำกรรมหนักไว้เยอะ
    แต่ถ้า ฝากเนื้อฝากตัวทัน แม้จะตาย หากได้อาจารย์ที่มีความสามารถพิเศษ หยั่งรู้สามโลก คือ สวรรค์ มนุษย์ อบาย
    ก็สบายตัวไป อาจารย์อาจตามมาช่วยไว้ได้

    ที่นี้ มันจะรวมเรื่อง การสอนธรรมะ ไว้ด้วยว่า
    หากเรา เคยสอนธรรมะให้ผู้อื่น
    โดย ไม่ได้เจือด้วยอามิส คือ สินจ้าง
    หรือ ไม่ได้สอนเพราะว่า ได้รับรางวัลตอบแทน
    หรือ ไม่ได้สอนตามมิจฉาทิฏฐิ หรือ สอนธรรมผิดๆ
    การสอนธรรมะให้แก่ผู้อื่นนั้น มันก็จะกลายเป็น
    แต้มสะสม ให้เป็นผู้ที่มีโอกาส บรรลุธรรม ในโอกาสหน้า


    นี่จะตอบโจทย์ที่ว่า หากเราไม่บรรลุธรรมจะสอนธรรมะได้ไหม
     
  12. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,868
    ปรามาส ก้าวล่วง นั้นก็มีได้กับคนชอบ พยากรณ์ นี้หละครับ
    ใครเป็นอะไรมา เป็นแบบไหน หากไม่ไปรู้เทียบเท่าเขา ก็รู้เหนือกว่าเขา
    หลงอยู่กับการทำนายทายทัก เรื่องพระอนาคามีเราจะพูดเหมือนกับว่า
    เราคิดพิจารณาได้ละเอียดถี่ถ้วนกว่าท่านนั้นก็ไม่สมควร
    ผมก็ไม่ได้ใส่ร้ายท่านนะ
    แต่คนที่ตัดสิทธิ์บอกว่ากล่าวธรรมพระอนาคามีไม่เกิดประโยชน์มากนัก
    นั้นท่านก็เป็นคนกล่าวเองนั้นหละ ผมเลยชวนให้ไปพูดถึงการระลึกถึงคุณแทน
    จะให้มานั่งคัดกรองว่าต้องเป็นหนึ่งในล้าน นั้นเท่ากับว่าเราตัดสิทธิ์ 9แสนกว่าคนนั้นออกไป
    โดยส่วนตัวผมก็ไม่ได้มีดีถึงขนาดไปเป็นชั้นสูงอะไร ใครคุยมาผมก็คุยกับไม่ได้เชิดใส่/หยิ่งใส่
    เหยียดเขาให้ไปอยู่กันคนละชั้น อันไหนเราพอจะสังเกตได้รู้ได้ คนอื่นก็มีสิทธิ์สังเกตได้รู้ได้

    หากชวนผมระลึกถึงคุณที่เป็น อนุสสติ 10 ยังพอว่าเพราะผมเป็นฆราวาส
     
  13. vornloei

    vornloei สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2017
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +7
    ไม
    ่ไม่สนทนาด้วยละพูดไปท่านคงไม่เข้าใจ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มิถุนายน 2017

แชร์หน้านี้

Loading...