ตายแล้วไม่สูญ..แล้วไปไหน โดยพระราชพรหมยาน ตอน พระใหญ่ตายจากคนไปเกิดเป็นคน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 16 ตุลาคม 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    ตายแล้วไม่สูญ..แล้วไปไหน โดยพระราชพรหมยาน ตอน พระใหญ่ตายจากคนไปเกิดเป็นคน
    [​IMG]
    ..เจ้าคุณราชสิทธาจารย์ ท่านชื่อ "โชติ" เป็นบุตรคนสุดท้องของนายแป๊ะกับนางเหรียญ นามสกุลเมืองไทย อยู่ในหมู่บ้านกระทม ตำบลนาบัว อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ในชาติก่อนท่านชื่อ "นายเล็ง" เป็นลูกชายคนหัวปี มีน้องทั้งหญิงและชายอีกหลายคน น้องถัดจากท่านเป็นผู้หญิงชื่อ "เหรียญ" บิดามารดามีอาชีพทำสวนทำนา นายเล็งมีภรรยาชื่อ "นางปุม" มีลูกสาวด้วยกัน ๓ คน เมื่อท่านอายุได้ ๔๕ ปี ก็มีอาการปวยไข้ไม่สบาย ร่างกายอ่อนเพลียลงตามลำดับ มีทีท่าว่าชีวิตจะอยู่ไปได้อีกไม่นานนัก ขณะนั้นน้องสาวที่ถัดจากท่านชื่อ "เหรียญ" มีครรภ์คลอดบุตรออกมาเป็นชาย

    พอนายเล็งทราบว่าน้องสาวคลอดบุตรแล้ว ท่านก็ถึงแก่กรรมด้วยอาการไข้หนัก ท่านเล่าว่าพอตายไปแล้ว ไอ้จิตหรืออทิสสมานกายมันไม่ไปไหน มันก็คงอยู่ในบ้านนั่นเอง ท่านยังจำได้อย่างชัดเจน มองเห็นร่างเดิมนอนนิ่งหมดลมหายใจอยู่บนแคร่ ก่อนหมดลมท่านมีความรู้สึกคล้ายคนสลบไปนานเท่าไรไม่ทราบ เพราะความเจ็บปวดรวดร้าวทุกข์ทรมานเหลือเกินจนทนไม่ได้แล้วจึงหมดสติ แต่พอรู้สึกตัวความเจ็บปวดทุกข์ทรมานจนทนไม่ไหวก็หายไปหมดสิ้น ตัวก็เบาและว่องไว ลุกออกเดินจากร่างเดิมเหมือนคนถอดเสื้อกางเกงวางไว้อย่างมีระเบียบ ร่างที่ออกไปก็มีหน้าตาเหมือนกับร่างเดิม

    ตอนแรกก็คิดแปลกใจที่เห็นมี ๒ ร่าง แล้วก็หันไปดูคนที่ร้องไห้อยู่รอบๆ ร่างที่หมดลมหายใจ นอนสงบนิ่งอยู่บนแคร่ ท่านก็เข้าไปปลอบลูบศีรษะลูกๆ พูดจาแสดงให้ทุกคนทราบว่าตัวท่านเองยังไม่ตาย แต่ก็ไม่มีใครได้ยินและก็ไม่มีใครสนใจหันมาพูดด้วยเลย ชาวบ้านที่รู้จักนับถือพากันทยอยมาช่วยงานและเยี่ยมเยียนศพ ท่านก็ดีอกดีใจวิ่งเข้าไปต้อนรับเขา ทำตนเหมือนเป็นเจ้าภาพงานศพตัวเอง ใครเอาอะไรมาท่านก็เข้าไปช่วยรับของเหล่านั้นและทักทายปราศรัย แต่เขาก็เดินเฉยไม่มีใครพูดด้วย กลับหันไปทักทายกับบุคคลอื่นๆ

    เมื่อมีการนิมนต์พระมาสวดศพ ๔ รูป ท่านก็เข้าไปไหว้พระทุกรูปแล้วนั่งฟังสวดอยู่ใกล้กับลูกเมีย แต่ก็ไม่มีใครสนใจเพราะไม่มีใครเห็นท่าน แม้แต่คนที่นั่งดื่มเหล้า หลังจากที่พระกลับไปแล้ว ท่านก็เข้าไปห้ามและบอกถึงโทษแห่งการดื่มสุรา แต่ก็ไม่มีใครสนใจมุ่งแต่สรวลเสเฮฮาเฉพาะในหมู่คนในวงเหล้าด้วยกัน ถึงแม้จะไม่มีใครสนใจและพูดกับท่านเลย แต่ท่านก็ไม่เคยคิดจะเสียใจหรือโกรธเลย เมื่อพระมาฉันเช้า ท่านก็กุลีกุจอเรียกผู้คนให้มาช่วยประเคนพระ ทั้งอาหารคาวหวาน หมากพลู ท่านบอกท่านรู้สึกหิวอยู่บ้าง ตอนที่พระให้พรท่านก็พนมมือไหว้รับพร เห็นลูกเมียกำลังกรวดนํ้าอุทิศส่วนกุศลให้ ท่านรู้สึกมีความอิ่มเอิบ มีกำลังมากขึ้น เมื่อเขาอุทิศส่วนกุศลให้อีกก็ดีขึ้นอีกตามลำดับ เป็นเช่นนี้ทุกคราวไป

    เรื่องนี้เป็นตัวอย่างของคนตายและเป็นตัวอย่างของคนเป็น จะได้รู้ว่าการให้ทานมีผลกับคนตายแบบนี้ ไม่ใช่ว่าให้ปลาแห้งไป ให้เนื้อเค็มไป ไม่ใช่อย่างนั้น มันเป็นอานิสงส์ มันเป็นผลทำให้ผู้ตายมีความสุข มีร่างกายสวยขึ้น มีกำลังมากขึ้น

    พอถึงวันเผาศพ ท่านก็ไปกับขบวนงานศพกับเขาด้วย ไม่มีความเศร้าโศกเสียใจเลย นำหน้าศพไปเหมือนกับเป็นศพคนอื่น ช่วยเขายกโลงศพของตนเอง ดูเขาเผาศพเห็นร่างที่ไฟไหม้เหลือแต่กระดูกซึ่งจะต้องเก็บในวันรุ่งขึ้น ตอนนี้เองท่านนึกถึงน้องสาวที่กำลังคลอดบุตร เพราะทราบตั้งแต่วันใกล้จะสิ้นใจ และเป็นน้องสาวที่ท่านรักใคร่มากจึงอยากไปเยี่ยม พอนึกว่าจะไปเยี่ยมก็ไปถึงบ้านน้องสาวทันที เห็นน้องสาวนอนอยู่บนแคร่อยู่ไฟ (สมัยโบราณคลอดลูกใหม่ๆ เขานิยมนอนบนแคร่และก่อไฟผิงไฟให้ร้อนอยู่ใต้แคร่เพื่อให้มดลูกแห้งเข้าอู่เร็วขึ้น) ลูกชายที่คลอดวางอยู่บนเบาะใกล้ๆ ตัวน้องสาว ท่านจึงไปยืนดูน้องสาวและเด็กที่นอนด้วยความรักเอ็นดู น้องสาวเห็นก็ตกใจยกมือไหว้และพูดว่า "พี่เล็งตายแล้วก็ไปที่ชอบๆ เถิด อย่ามารบกวนกันเลย" ด้วยความอยากเห็นหน้าหลานให้ถนัดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะจากไปจึงได้ก้มลงไปดูหน้าหลานด้วยความที่มีจิตผูกพัน

    จิตเข้าไปอยู่ในร่างเด็ก

    ตอนนี้เองท่านรู้สึกว่าตัวหมุนติ้วคล้ายลูกข่าง แล้วหมดความรู้สึกวูบไปอีกครั้งหนึ่ง จิตก็เข้าไปอยู่ในเด็กแบเบาะ ก่อนที่เด็กจะมาเกิด จะต้องมีจิตเข้ามาปฏิสนธิก่อน การที่ท่านเข้าไปแทรกได้ก็เพราะ "ปัจฉาชาโต ปุเรชาโต" แปลว่า "เกิดก่อนหรือเกิดทีหลัง" หมายถึงจิตดวงที่เข้ามาเกิดในร่างเด็กมันถึงวาระตายพอดีและเคลื่อนออกไปพอดี แล้วจิตดวงนี้ก็เข้าซ้อนทันที อย่างนี้เป็นไปได้แต่ว่าต้องตายใหม่ๆ เนื่องจากประสาทยังไม่หยุดทำงาน

    การเกิดครั้งหลังไม่ต้องไปลำบากในท้องแม่ นายเล็งมาเกิดใหม่ชื่อ "โชติ" เป็นลูกคนสุดท้องของนางเหรียญ ซึ่งเป็นน้องสาวของนายเล็งในชาติก่อน ท่านบอกว่าเมื่อยังอยู่ในร่างเด็กรู้สึกอึดอัด คล้ายอยู่ในที่บังคับ จะทำอะไรก็ไม่ได้ จะพูดจะบอกอะไรก็ไม่ได้ คิดจะไปไหนเหมือนก่อนก็ไปไม่ได้เลย ได้แต่ทำท่าทางและส่งเสียงอ้อแอ้ จะบอกให้น้องสาวทราบว่าเด็กที่เกิดใหม่คือนายเล็งพี่ชายก็บอกไม่ได้ จนกระทั่งเมื่อท่านมีอายุ ๔-๕ ขวบ พูดจาได้แล้ว จึงระลึกเหตุการณ์ในชาติก่อนได้อย่างแม่นยำ ท่านบอกว่า เขาสอนให้ท่านเรียกว่าแม่ ท่านก็บอกว่าไม่ใช่คนนี้เป็นน้อง เห็นยายมาท่านก็บอกว่าคนนี้ไม่ใช่ยายแต่เป็นแม่ ถามท่านว่าชื่ออะไร ท่านก็บอกว่าเดิมชื่อ "เล็ง" มีเมียชื่อนั้น มีลูกชื่อนี้ มีไร่มีนา มีควายกี่ตัว ท่านบอกถูกหมด

    บรรพชาเป็นสามเณร

    พอท่านอายุ ๑๖ ปีเต็ม มารดานำไปฝากพระอาจารย์ดุลย์ อุตโล พระอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน ได้เข้าบรรพชาเป็นสามเณร ท่านสามารถอ่านหนังสือขอมและหัดเขียนได้โดยไม่ได้เรียน ท่านบอกคงจะเป็นเพราะท่านชำนาญมาแล้วจากชาติก่อนที่เป็นนายเล็ง

    ตอนอายุ ๑๖ ปี บิดาได้พาไปฝากหลวงน้าฉิมที่วัดนาแห้ว ให้บวชเรียนและได้ศึกษาพระไตรปิฎกขอมจนมีความรู้แตกฉาน ได้บวชอยู่ในพระพุทธศาสนาเป็นเวลา ๑๐ ปี จึงได้ลาสิกขาบทออกมาเป็นฆราวาสครองเรือน มีภรรยาและบุตรสาว ๓ คน

    อุปสมบทเป็นพระภิกษุ

    ในชาติปัจจุบันหลังจากท่านบวชเณรได้ ๔ ปี ก็อุปสมบทเป็นพระภิกษุโชติ คุณสัมปันโน ในปีพ.ศ. ๒๔๗๑ ระหว่างบวชเรียนท่านได้เจริญวิปัสสนากรรมฐานมาโดยตลอดมิได้ขาด และได้มรณภาพเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๗

    คนที่ตายแล้วกลับมาเกิดเป็นคนใหม่ทันที จะสามารถระลึกชาติได้ ๑ ชาติ ก็เพราะเหมือนคนที่นอนหลับแล้วตื่นขึ้นมา จึงสามารถจำเหตุการณ์ต่างๆ ได้อย่างชัดเจน โดยไม่ต้องมีการฝึกทิพพจักขุญาณเพื่อระลึกชาติ.."
    ที่มา http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมบุญสร้างกำแพงแก้ววิหารหลวงพ่อโต-วัดกุฎีทอง-อยุธยา.553352/
     

แชร์หน้านี้

Loading...