ตำนานตั่วเหล่าเอี๊ย /เจ้าพ่อเสือ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ศักดิ์, 29 กรกฎาคม 2008.

  1. ศักดิ์

    ศักดิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,187
    ค่าพลัง:
    +2,022
    เมื่ออาทิตย์ก่อนได้มีโอกาศไปกราบองค์ตั่วเหล่าเอี๊ย ที่ศาลเจ้าพ่อเสือบริเวณถนนตะเนาว ซึ่งชื่อว่าคนมีหลายท่านที่สับสนองค์ตั่วเหล่าเอี๊ย กับองค์เจ้าพ่อเสือคือองค์เดียวกันหรือไม่ เลยข้อนำข้อมูลมานำเสนอครับ
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • thumbnail.jpg
      thumbnail.jpg
      ขนาดไฟล์:
      15.8 KB
      เปิดดู:
      38,643
  2. ศักดิ์

    ศักดิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,187
    ค่าพลัง:
    +2,022
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=650 align=center><TBODY><TR><TD height=130>
    </TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD>
    [​IMG]คนจีนมีเจ้าที่เกี่ยวพันกับทิศหลายทีม หนึ่งคือเทพเจ้าแห่ง 5 ขุนเขาใน 5 ทิศ คือเหนือ, ใต้, ออก, ตก, และทิศตรงกลาง และมีอีกหนึ่งที่คนผู้มีภูมิวิชาเรื่องฮวงจุ้ย จะต้องรู้จักดีคือ เทพสัตว์ประจำทิศทั้ง 4 คือ
    • <LI class=text_white>แซเล้ง หรือมังกรเขียว ประจำอยู่ทิศตะวันออก <LI class=text_white>แปะโฮ่ว หรือเสือขาว ประจำอยู่ทิศตะวันตก <LI class=text_white>จูเซียะ หรือนกเจ้า ประจำอยู่ทิศใต้
    • เฮี่ยงบู้ หรือคู่มิตรงูและเต่า ประจำอยู่ทิศเหนือ
    เทพทิศเหนือคือ เฮี่ยงบู้ นักพรตเต๋านับถือท่านมาก กำเนิดของเทพทิศเหนือคือ การอุบัติขึ้นเองบนสวรรค์ จากการรวมตัวของเทหวัตถุในจักรวาล เกิดเป็นเทพดวงดาวองค์หนึ่งที่ได้จุติลงมาเกิดเป็นมนุษย์ในยุคอึ้งตี่ โดยเป็นโอรสของ “ เสียงเสียฮวงโฮ้ว ” แปลว่ามเหสีเสียงเสียแห่งรัฐเจ็งลัก
    ด้วยตำนานการเกิดที่ค่อนข้างพิสดารตามแบบนิทานโบราณว่า มเหสีเสียงเสียทรงครรภ์นานถึง 14 เดือน แล้วได้ประสูติโอรสออกทางซี่โครง ณ วันที่ 3 เดือน 3 ของจีน
    เมื่อ เฮี่ยงบู้ อายุได้ 14 ปี ได้ออกจากวังไปเที่ยวชมเทศกาลโคมไฟ แล้วเกิดได้คิดสัจธรรมว่า เกิดเป็นคนนี้ช่างยากเสียจริง ทำอย่างไรหนอจึงจะตัดกิเลสทางโลกให้ได้ เฮี่ยงบู้ จึงสละทางโลกไปปลีกวิเวกที่เขาบู๊ตึ้ง ร่ำเรียนธรรมในแนวทางของเต๋า แล้วที่สุดก็กลายเป็นเซียน แล้วได้รับราชโองการแต่งตั้งจากเง็กเซียนฮ่องเต้ ให้เป็นเทพรักษาทิศเหนือ ด้วยพระนามว่า เฮี่ยงบู้ แปลตรงตัวว่า กำลังลึกลับอัศจรรย์
    เฮี่ยงบู้ มีวรกายสูงใหญ่ถึง 9 ฟุต และมีพักตร์กลมดั่งดวงจันทร์ คิ้ว, ตา มีอำนาจ ผมดำ มีเคราและร่างกายกำยำแข็งแรง ผิวกายดำขลับ ทรงมงกุฎหยก แต่ชุดทรงกลับเป็นหญ้า เลื่องชื่อมากว่าทรงไล่ผีเก่ง
    บางตำราบอกว่า เฮี่ยงบู้ เป็นอีกภาคหนึ่งของเง็กเซียนฮ่องเต้
    อย่างไรก็ตาม, บางท้องที่และบางสมัยไหว้ เฮี่ยงบู้ ในฐานะเทพดวงดาว จากที่คนโบราณได้แบ่งฟ้าเป็น 28 ช่อง หรือ 28 กลุ่มดาว ในสมัยจั่นกว๋อ ได้มีคนจัดแบ่ง 28 กลุ่มดาวใหม่เป็น 4 กลุ่มใหญ่ แล้วให้ชื่อเป็นสัตว์ 4 ชนิดคือ
    • <LI class=text_white>มังกรเขียว สำหรับกลุ่มดาวทางทิศตะวันออก <LI class=text_white>เสือขาว สำหรับกลุ่มดาวทางทิศตะวันตก <LI class=text_white>นกเจ้า สำหรับกลุ่มดาวทางทิศใต้
    • เต่า สำหรับกลุ่มดาวทางทิศเหนือ
    ต่อมาเต่าถูกจับคู่กับงู แล้วเป็นสัญลักษณ์ประจำองค์ของ เฮี่ยงบู้ ครั้นถึงสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ เฮี่ยงบู้ ถูกวาดภาพให้เป็นเทพผมยาว ทรงชุดใหญ่และถือดาบ
    สมัยราชวงศ์เหม็ง ตามศาลเจ้านิยมสร้างองค์ เฮี่ยงบู้ ไว้บูชา โดยมีคู่มิตรเต่า งู อยู่เคียงองค์ แล้วคนเกิดเชื่อถือกันว่า ถ้าไหว้ท่านด้วยน้ำและไฟ จะช่วยให้พ้นภัยพิบัตินานา
    ในสมัยราชวงศ์เซ็ง ฮ่องเต้มีโองการให้ไหว้ เฮี่ยงบู้ ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระองค์ ด้วยความเชื่อส่วนพระองค์ว่า เฮี่ยงบู้ เป็นผู้ดูแลโชคชะตาของคน พระองค์จึงไหว้เพื่อขอพรให้ทรงพระชนมายุยืนยาว
    หลังจากสมัยต่างๆ เหล่านี้ เทพทิศเหนือ เฮี่ยงบู้ จึงเป็นที่เคารพกราบไหว้ของคนจีน ไหว้เพื่อขอพรให้โชคดี

    จิตรา ก่อนันทเกียรติ
    (หนังสือทำเนียบเทพเจ้าของจีน)
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. ศักดิ์

    ศักดิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,187
    ค่าพลัง:
    +2,022
    อีกตำนานหนึ่งกล่าวว่า
    [​IMG] ยุคเขียว บรรพกาลล่วงมาแล้ว เมืองลกฮง กึงตัง ประเทศจีน ยังมีมานพหนุ่มรูปร่างกำยำใหญ่ผู้หนึ่ง ประกอบอาชีพเป็นคนฆ่าหมูและวัว เพื่อส่งไปยังตลาดจำหน่าย คืนหนึ่งเกิดนิมิตฝันเห็นนักพรตแต่งตัวแบบนักบวชเต๋ามาหา และบอกให้เขาวางมือจากการฆ่าสัตว์ได้แล้ว ว่ามานพมิได้เกิดมาเพื่อการนี้ แต่ท่านเกิดมาเพื่อสร้างบารมี ควรหันมาบำเพ็ญธรรมแล้วจะสำเร็จ

    เมื่อตื่นเช้าขึ้นมา มานพหนุ่มประหลาดใจในนิมิตฝันนั้น จึงปรึกษาหารือกับมารดา เพราะเขาเป็นบุตรกำพร้า บิดาเสียแต่เขายังเยาว์วัย มีเพียงมารดาที่เลี้ยงดูอบรมเขามา มารดาปกติเป็นคนใจบุญ จิตใจมีเมตตา จึงเห็นด้วยกับความฝันของผู้เป็นบุตร ทั้งสองจึงตกลงยุติการฆ่าสัตว์ขายอันเป็นอาชีพของมานพหนุ่ม

    เมื่อตั้งใจบำเพ็ญปฏิบัติธรรมไปได้ 3-4 วัน นักพรตที่นิมิตฝัน ก็มาปรากฏกายที่หน้าบ้าน ถามมานพหนุ่มว่า เขาตัดสินใจเด็ดเดี่ยวที่จะบำเพ็ญพรตให้สำเร็จหรือยัง มานพหนุ่มตอบตกลงทันที และจัดการทรัพย์สินรวบรวมเป็นเงินก้อนหนึ่ง ไว้เลี้ยงดูมารดาผู้ชรา แล้วเก็บข้าวของออกเดินทางตามนักพรตขึ้นเขาไปบำเพ็ญพรต

    ด้วยความมานะ ตั้งใจหมั่นปฏิบัติบำเพ็ญ แต่การปฏิบัติก็ไม่มีความก้าวหน้า ไม่ประสบผลแต่อย่างไร ศิษย์ที่มาใหม่ต่างสำเร็จไปก่อนเขา ทำให้มานพหนุ่มรู้สึกเสียใจ ท้อใจ วันหนึ่งจึงถามท่านนักพรตผู้อาจารย์ว่า เขาจะมีวันสำเร็จธรรมไหม ท่านอาจารย์ตอบแก่เขาว่า ตราบใดที่ภายในของเขายังสีดำอยู่ ก็อย่าถามถึงความสำเร็จเลย

    พอกลับไปถึงห้องพัก มานพหนุ่ม ครุ่นคิดอย่างหนัก อีกทั้งเสียใจ ข้องใจ ในคำพูดของอาจารย์ว่า ภายในของเขา สีดำ นั้นหมายความว่าอย่างไร เพราะเขามีความตั้งใจมั่นมาบำเพ็ญธรรม ก็เพื่อความสำเร็จ ถ้าภายในคืออุปสรรค เขาก็ยินดีพลีชีพเพื่อบูชาธรรมที่หวังจะ สำเร็จนั้น ๆ

    คิดได้ดังนั้น เขาก็คว้ามีดขึ้นมาคว้านท้อง ลากไส้และกระเพาะออกมา พอเครื่องในเหล่านั้นหลุดพ้นจากร่าง เขาก็รู้สึกตัวเบาและบรรลุธรรมทันที เนื่องเพราะอาชีพที่ฆ่าสัตว์มามาก และมานพหนุ่มเอาชีวิตตนแลกธรรม เพื่อทดแทนบาปเคราะห์กรรม ที่มาเป็นอุปสรรคขัดขวางการบำเพ็ญได้สำเร็จ

    อาจารย์นักพรตทราบความ เร่งรุดมาที่ห้องพักมานพหนุ่ม เข้าช่วยเหลือรักษา พยาบาลจนมานพหนุ่มเป็นปกติ โดยท้องมานพหนุ่มปราศจากลำไส้ และกระเพาะ แต่มิเป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิต เพราะฌานสมาบัติแห่งธรรม หล่อเลี้ยงรักษาให้เป็นอยู่

    เมื่อสำเร็จธรรม นักพรตเห็นสมควรที่ท่านจะลงจากเขาไปโปรดผู้คน ก่อนจากกัน ท่านอาจารย์ได้ มอบธงให้มานพหนุ่มผืนหนึ่ง เป็นสีขาว มานพจัดเตรียมสัมภาระลงเขาโดยเอากระเพาะและลำไส้ ของเขา ที่ตากแห้ง เก็บไว้ นำติดตัวลงมาด้วย ครั้นเดินทางถึงตีนเขา ได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของหญิงสาว จึงเข้าไปดู พบหญิงท้องแก่กำลังจะคลอดบุตร มานพหนุ่มบอกแก่หญิงคนนั้นว่า ท่านเป็นผู้ชายและเป็นนักบวช มิใช่หน้าที่ที่จะช่วยการคลอดได้ ได้แต่มอบธงผืนที่อาจารย์มอบให้แก่หญิงคนนั้น เพื่อรองรับเด็กทารก หญิงคนนั้นคลอดบุตรออกมาอย่างปลอดภัย เมื่อตัดสายสะดือเช็ดคราบเลือดแล้ว ยกทารกน้อยอุ้มขึ้นในอ้อมกอด หญิงคนนั้นได้ขอบใจท่านมานพหนุ่ม และส่งคืนธงที่เปื้อนเลือดคืนแก่ท่าน

    มานพหนุ่มจึงนำธงไปล้างที่ชายคลอง พอธงจุ่มลงน้ำ น้ำในคลองพลันเปลี่ยนเป็นสีดำทันที รวมทั้งธงของเขาก็กลายเป็นสีดำด้วย โดยไม่ได้ระวัง ระหว่างที่ล้างกระเพาะและลำไส้ที่เก็บไว้ชายพก ตกลงไปในน้ำ เขาก็คิดว่าดีเหมือนกัน ไม่ต้องเป็นภาระเก็บรักษาอีกต่อไป มานพหนุ่มลงเขาโปรดผู้คนอยู่จวบจนสิ้นวาระขัยจากมนุษย์โลก ไปเสวยทิพย์สมบัติ องค์เง็กเซียนฮ่องเต้จ้าวแห่งสวรรค์ โปรดประทานยศให้เป็น

    ผู้ตรวจการภพสาม ตำแหน่ง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2008
  4. bnbk

    bnbk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,047
    ค่าพลัง:
    +15,613
    รวมๆ ที่เล่าขานกันในเวปต่างๆ แต่พอดีไม่ได้เก็บ link ไว้
     
  5. bnbk

    bnbk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,047
    ค่าพลัง:
    +15,613
    ประวัติเจ้าพ่อเสือ
    ในอดีตกาลประมาณ ๑๕๐ ปี ต้นสมัยแผ่นดินพระนั่งเกล้า ฯ รัชกาลที่ ๓
    กล่าวถึงการสร้างวัดมหรรณพารามเสียก่อน เพราะเกี่ยวโยงกับประวัติเจ้าพ่อเสือ วัดมหรรณพ์สร้างเมื่อสมัยรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า ฯ ผู้สร้างคือ กรมหมื่นอุดมรัตนราษี (พระองค์เจ้าอรรณพพระราชโอรสในสมเด็จพระนั่งเกล้า) สถานที่สร้างวัดยังเป็นป่า บริเวณหลังวัดมหรรณพ์ ยังมีสัตว์อาศัยอยู่คือ เสือปลา เสือบอง อีเห็น กระต่าย งูเหลือม งูหลาม เป็นต้น มีหมู่บ้านเล็ก ๆ อยู่แห่งหนึ่ง โดยมากมีฐานะยากจน ยายผ่องกับนายสอนลูกชาย อยู่ด้วยกันเพียงสองคนแม่ลูกเท่านั้น นายสอนเป็นลูกที่มีความกตัญญูต่อแม่บังเกิดเกล้ายิ่งนัก สองชีวิตต้องทนอยู่กับความยากลำบาก ต้องผจญชีวิตกับอาชีพที่ไม่เป็นแก่นสารแบบหาเช้ากินค่ำ นายสอนลูกชายยายผ่องเป็นไข้มา ๖-๗ วัน เมื่ออาการค่อนข้างทุเลาบ้างแล้วก็เตรียมตัว จะเข้าป่า เพื่อหาหน่อไม้ เก็บผักหักฟืนตามเคย ถึงตัวจะลำบากยากเข็ญอย่างไรก็ไม่ท้อถอย ตนก็เอาหาบขึ้นบ่าพร้อมทั้งมีดกับเสียม ออกจากเรือนเข้าป่าทันที ชะตาร้ายกำลังเดินตามหลังนายสอนมาทุกย่างก้าว สถานที่เคยมีผักมีหน่อไม้มีฟืนก็ไม่มีเลย คิดว่าพรุ่งนี้จะต้องตัดไม้เผาถ่าน เมื่อเดินกลับเห็นกวางตายอยู่ตัวหนึ่ง เพิ่งตายใหม่ ๆ ยังไม่เน่า แกคิดด้วยเชาว์ไวว่ากำลังตกอยู่ในระหว่างอันตรายแล้ว เพราะกวางนี้ถูกเสือกัดตายกินเนื้อยังไม่หมด มันต้องพักอยู่ในบริเวณใกล้ ๆ เจ้ากวางตัวนี้แน่ แต่อยากจะได้เนื้อเอาไปฝากแม่สักก้อนหนึ่ง เมื่อคิดดังนั้นแล้วก็ตัดความกลัวออกไป ตรงเข้าไปเอามีดเฉือนเนื้อโคนขาไปสองก้อน เอาใบบอนห่อแล้วเอาผ้าขาวม้าห่ออีกชั้น แล้วเอาคาดสะเอว รีบฉวยหาบขึ้นบ่าเดินเลาะไปตามริมหนองเพื่อเก็บสายบัว ทันใดนั้นนายสอนต้องสะดุ้งสุดตัว เพราะเจอเข้ากับเสือใหญ่อย่างจัง เมื่อมันเห็นนายสอนยืนอยู่ใกล้หนองน้ำ นายสอนเห็นดังนั้น ก็ชักมีดเหน็บปลายแหลมออกเตรียมป้องกันตัว จะหนีก็ไม่พ้น จำใจต้องสู้แม้จะตายก็ไม่เสียดายชีวิต เป็นห่วงแต่แม่คนเดียวเท่านั้น เจ้าเสือเห็นได้จังหวะก็เผ่นเข้ากัดทันที นายสอนก็เอี้ยวตัวเอามีดแทงถูกที่ต้นคอ เจ้าเสือยิ่งโกรธจัดเพราะถูกแทงจนเลือดสาด มันเผ่นเข้าใส่อย่างบ้าเลือด นายสอนหลบไม่ทัน จึงจ้วงแทงไปตรงหน้าเสือ ถูกที่แสกหน้าอย่างจัง เจ้าเสือถูกแทงถึงสองแผลแล้ว มันก็แผดเสียงลั่นด้วยโทสะของมัน แล้วก็เผ่นเข้าใส่นายสอนอย่างรวดเร็ว ไหนจะทานกำลังของมันได้ จึงเสียทีถูกมันฟัดอย่างเต็มที่ แล้วก็ฟัดเหวี่ยงเต็มที่ จนแขนขาดติดอยู่ที่ปากของมัน นายสอนเห็นเช่นนั้นก็ลุกวิ่งโดดลงไปในหนองแล้วดำน้ำหนีไปอยู่กลางหนอง เจ้าเสือก็ออกวิ่งตามไป เมื่อมันเห็นว่าจะทำอะไรนายสอนไม่ได้ มันก็กลับเอาแขนของนายสอนกินจนเกลี้ยง แล้วก็บ่ายหน้าเดินตรงไปที่ซากกวางของมันอีกครั้ง เมื่อนายสอนเห็นเสือไปนานแล้ว แน่ใจว่ามันคงไม่กลับมาอีก จึงขึ้นจากหนองน้ำหาทางลัดรีบกลับบ้าน ประมาณสองยามก็ถึงบ้านแต่อาการหนักมาก นายสอนนอนสลบอยู่แถว ๆ รั้วบ้านของตนเองยายแผ้วเป็นน้องของยายผ่องเป็นห่วงพี่สาวของตน เพราะยายผ่องร้องไห้ไม่หยุดเป็นลมหลายครั้งเพราะเป็นห่วงลูก วันรุ่งขึ้นเช้ามืด ยายแผ้วเตรียมต้มข้าวต้มเสร็จแล้วก็ออกจากบ้านเอาไปให้พี่สาวของตนกิน เมื่อจวนจะถึงประตูรั้ว เห็นคนนอนตะแคง มีเลือดเกรอะกรังไปทั้งตัวก้มลงมองดูหน้า จำได้ว่าเป็นนายสอนหลานของแก จึงรีบเข้ารั้วขึ้นเรือน ตะโกนบอกยายผ่องว่า สอนกลับมาแล้วแต่นอนสลบอยู่นอนรั้ว ยายผ่องได้ยินว่าลูกกลับมาแล้ว แกก็ลุกจากที่นอนรีบเดินไปหาลูกทันที ยายแผ้วก็เรียกชาวบ้านให้ช่วยกันหามนายสอนขึ้นบนเรือนแล้วให้หลานชายไปตามหมอคล้ายมาบำบัดปัดรังควานโดยเร็ว ประมาณครึ่งชั่วโมงนายสอนก็ฟื้น เบื้องต้นนายสอนก็แก้ผ้าขาวม้าออกจากสะเอวแล้วส่งให้ยายผ่อง บอกให้แม่เอาเนื้อกวางไป แม่เฒ่าถามว่าได้เนื้อมาจากไหน นายสอนก็เล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตนจนละเอียด อีกสองชั่วโมงต่อมานายสอนก็ถึงแก่ความตายยายผ่องเป็นหญิงชราอนาถาไร้ที่พึ่ง แกก็ต้องดิ้นรนหาทางช่วยชีวิต ตามแบบและสติปัญญาของแก คุณยายได้ไปที่ว่าการอำเภอ ขอร้องให้นายอำเภอจับเสือมาลงโทษให้ได้ นายอำเภอแสงผู้พิทักษ์มวลชนได้ยินยายผ่องขอให้จับเสือมาทำโทษแทนลูกของแกก็นึกแปลกใจ ตั้งแต่เป็นนายอำเภอมาหลายปี ยังไม่เจอกับคดีเช่นนี้ เมื่อนายอำเภอเห็นว่า แกพูดถูกและสงสารแกมาก จึงรับปากว่าจะจับเสือมาทำโทษให้ตามความประสงค์ แล้วให้คนไปตามปลัดโต ซึ่งมีความรู้ความสามารถและปฏิบัติหน้าที่ดีที่สุดมาหาทันที เมื่อปลัดโตไปหานายอำเภอก็แจ้งเรื่องให้ทราบ ปลัดโตก็รับปากทันที สามวันผ่านไป ขบวนล่าเสือของนายปลัดโตออกตะลุยป่าหลายทิศหลายทาง ถึงจะมีคนมากก็ตาม เมื่อปลัดโตประกาศว่าจะล่าเสือ ก็ขันอาสาเข้าร่วมขบวนตะลุยพยัคฆ์ร้ายกันมากเริ่มวันที่สี่ก็ยังไม่ได้วี่แววหรือร่องรอยเลย เป็นอันว่าปลัดโตต้องประชุมพรรคพวกกันอีกครั้ง ตกลงที่ประชุมให้ยกขบวนกลับเสียก่อน เมื่อพรรคพวกพากันกลับแล้ว ปลัดโตเท่านั้นที่ยังไม่ยอมกลับบ้าน ได้แวะไปนมัสการหลวงพ่อบุญฤทธิ์ในพระอุโบสถ และนมัสการหลวงพ่อพระร่วงในพระวิหาร วัดมหรรณพาราม อ้อนวอนหลวงพ่อทั้งสองพระองค์ ขอให้ทรงช่วยดลบันดาลจับเสือร้ายให้ได้ การจับก็ขอรับรองว่าจะไม่ฆ่าเสือเป็นอันขาด ถึงแม้เสือจะทำร้ายก็ตาม ขอให้หลวงพ่อพระร่วงทรงช่วยกล่อมใจเสือร้าย ให้กลายเป็นเสือเลี้ยงให้ได้ ถ้าจับลูกเสือไม่ได้คราวนี้ลูกต้องลาออกจากตำแหน่งราชการทันทีเมื่อนายปลัดโต ได้กล่าวคำพรรณนาให้หลวงพ่อฟังจนหมดสิ้นแล้ว ก็กราบนมัสการลาหลวงพ่อออกจากพระวิหาร แทนที่จะกลับไปอำเภอ เพื่อรายงานเสียก่อนแต่กลับเดินอ้อมไปทางหลังวัด ถึงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งก็นั่งพักนั่งคิดอยู่สักพักหนึ่งก็หลับไปครั้นลืมตาตื่นขึ้นต้องสะดุ้งตกใจแทบขาดใจ เห็นเสือนอนหมอบอยู่ตรงหน้า คิดจะหนีก็หนีไม่พ้นคิดจะสู้ก็สู้ไม่ไหว เพราะเอาปืนพิงไว้กับต้นไม้ มีดก็วางไว้ห่างตัว จะลุกขึ้นเอาปืนยิงก็กลัวไม่ทันเสือ ได้แต่นั่งนึกภาวนาถึงหลวงพ่อพระร่วงขอให้ช่วยชีวิตและขอให้ทรงช่วยเปลี่ยนใจเสือให้กลับเป็นใจคน ให้รู้สึกผิดชอบชั่วดีให้จับเสือได้ง่าย ๆ เหมือนจับลูกแมว เสร็จอธิษฐานแล้วเห็นอาการของเสือไม่มีร่องรอยแห่งความดุร้ายเหลืออยู่เลย มันทำตาริบหรี่คล้ายกลับยอมให้จับโดยดี ปลัดแกล้งขู่สำทับว่าเจ้าเสือร้ายเจ้าฆ่านายสอนใช่หรือไม่? เสือพยักหน้ารับว่าจริงปลัดโตก็ว่า เจ้าเป็นตัวจริงแน่หรือ? เสือก็ก้มหัวให้ดูแผลที่ถูกนายสอนแทงที่หน้าผากแผลยังไม่หายมีรอยเลือดเกรอะกรังติดอยู่ที่หน้าที่ต้นคอ ปลัดก็แน่ใจว่าเป็นตัวจริง เพราะรู้ว่านายสอนแทงเสือถูกที่หน้าผากกับต้นคอ ปลัดก็เอาเชือกผูกคอเสือแล้วจูงเสือไปที่ว่าการอำเภอ เมื่อถึงอำเภอก็ผูกเสือไว้กับเสา แล้วเข้าไปบอกนายอำเภอ นายอำเภอแสงตกใจร้องบอกให้ช่วยกันปิดประตูอย่าให้มันเข้ามาได้ ปลัดบอกว่ามันไม่ดุ ไม่กัดใคร ๆ ทั้งนั้น เมื่อนายอำเภอแน่ใจแล้วปลัดก็จูงเข้าไปที่ว่าการ แล้วสั่งให้ไปตามยายผ่องทันที นายอำเภอก็เริ่มพิจารณาคดี พูดเสียงดังถามเสือว่าเจ้าฆ่านายสอนตาย แล้วเอาแขนไปกินข้างหนึ่งจริงหรือไม่ เสือก็พยักหน้ารับว่าจริง เจ้ารู้ไหมว่าอาญาแผ่นดินตราเป็นกฎมายไว้สำหรับลงโทษผู้กระทำผิด เสือก็ก้มหัวรับรู้ นายอำเภอบอกว่า เจ้าจงฟังคำตัดสินเดี๋ยวนี้ เมื่อตัดสินต้องยอมรับโทษทันที เสือก้มหัวยอมรับ นายอำเภอก็แจ้งโทษให้ฟัง แล้วตัดสินประหารชีวิตทันที เสือก็ก้มหัวยอมรับโทษตามคำตัดสิน ลงนอนหมอบราบกับพื้นหลับตาเฉย แต่มีน้ำตาไหลซึม นายอำเภอ ปลัดโต และใคร ๆ ที่ยืนมุงดูอยู่แน่นอำเภอ เมื่อเห็นอาการของเสือเช่นนั้น ต่างก็สงสารบางคนน้ำตาไหล ไม่มีใครสักคนที่จะโกรธแค้นเสือ มีแต่สงสารไม่อยากให้นายอำเภอฆ่า เพราะมันแสดงอาการแสนที่จะสงสาร
    ฝ่ายยายผ่องเมื่อฟังคำพิพากษาตัดสินประหารชีวิตเสือ ได้เห็นอาการของมันทุกอย่าง และเห็นมันหมอบลงรับคำตัดสิน พร้อมกับเห็นน้ำตาไหลซึม อาการที่เคยโกรธเสือมาก่อน ก็พลันหายไปจนหมดสิ้น ยายผ่องร้องไห้แล้วพูดกับนายอำเภอว่า ขอชีวิตเสือไว้เถิดอย่าได้ฆ่ามันเลย ฉันไม่ขอเอาเรื่องโกรธแค้นกับมันอีกต่อไปแล้ว และขอให้นายอำเภอยกเสือตัวนี้ให้เป็นลูกของฉัน แทนลูกที่ตายไปแล้ว นายอำเภอแสงกับปลัดโต ซึ่งมีความสงสารมันเหมือนกับคนอื่น ๆ เมื่อได้ฟังคำขอร้องของยายผ่องเช่นนั้นก็รีบฉวยโอกาสตัดสินใหม่ทันที บอกกับเสือว่า จงฟังคำตัดสินใหม่ เสือก็ผงกหัวยอมรับฟัง นายอำเภอตัดสินว่า เมื่อเจ้ายอมรับผิดโดนดีแล้ว ก็ยกโทษประหารให้ แต่เจ้าต้องเป็นลูกของยายผ่อง และต้องรับเลี้ยงดูแกแทนลูกชายที่ตายไป เสือก็ลุกขึ้นยืน พร้อมกับพยักหน้าอยู่หลายครั้ง เมื่อเสร็จสิ้นการชำระคดีแปลกประหลาดแล้ว นายอำเภอก็สั่งปิดศาลทันที ตั้งแต่ยายผ่องได้เสือมาเป็นลูกแทนนายสอนแล้ว ก็มีความสุขยิ่งกว่าเดิมหลาบเท่า เพราะเสือมิได้อยู่เฉย ๆ เข้าป่าหาอาหาร กัดเอาหมูบ้าง เอาเก้งบ้าง กวางบ้าง และจับสัตว์อื่น ๆ บ้าง เอามาให้ที่รักของมันอยู่เป็นนิจ แกก็แล่เนื้อกินบ้าง เอาเนื้อสดเนื้อแห้งขายชาวบ้านร้านค้าบ้างมิได้ขาด ยายผ่องตั้งชื่อเสือว่าสอนแทนลูกที่ตาย ในละแวกบ้านย่านนั้นไม่มีขโมยเลย แต่ก่อนหน้าเสือมาอยู่ ข้าวของเป็ดไก่ ไร่ผักมักจะหายกันบ่อย ๆ ถ้าวันไหนคืนไหนเสือไม่เข้าป่า มันจะส่งเสียงร้องคำรามดังไปไกล ทำให้เกิดความหวาดกลัวแก่เจ้าพวกหัวขโมยไม่กล้าย่างกรายเข้าไป ชาวบ้านร้านตลาดพลอยอยู่เย็นเป็นสุขไปด้วย
    วันหนึ่งเสือเข้าป่าแล้วหายไปถึงสามวันยังไม่กลับ ทำให้ยายร้องไห้คิดถึงไม่เป็นอันกินอันนอน ความทราบไปถึงนายอำเภอกับปลัด ทั้งสองคนรีบมาเยี่ยมทันที นายอำเภอขอให้ปลัดช่วยตามเสืออักครั้งเพื่อช่วยชีวิตยาย ปลัดโตก็ออกเดินทางไปเพียงคนเดียว เพราะถือว่าไม่มีอันตรายใด ๆ จากสัตว์ แล้วไปพบคนกลุ่มหนึ่งกำลังล่าสัตว์อยู่ในป่า ปลัดโตเห็นคนกลุ่มนั้นก็จำได้ว่าเป็นพวกเดียวกันทั้งนั้น ต่างก็สนทนากันอยู่สักพักหนึ่ง ชายกลุ่มนั้นถามปลัดโตว่ามาทำไมในป่าคนเดียว ปลัดตอบว่ามาตามเสือ ชายกลุ่มนั้นบอกว่าพวกเขากำลังไล่ล้อมยิงเสืออยู่เหมือนกัน ปลัดถามว่าเสือมีลักษณะอย่างไร เมื่อได้รับคำตอบแล้ว ปลัดบอกว่าเป็นเสือตัวเดียวกันกับที่ตนกำลังตามหาและขอร้องมิให้ยิง ชายกลุ่มนั้นบอกว่าตามล่ามันมาสามวันแล้ว เพราะเสือตัวนี้ดุร้ายมาก เป็นอันว่าชายกลุ่มนั้นรับคำว่าไม่ล่าเสือตัวนี้อีก อีกสักครู่หนึ่งเขาเหล่านั้นเห็นเสือวิ่งลัดพุ่มไม้อยู่ข้างหน้า ปลัดก็ออกตามตะโกนเรียกชื่อมันอย่างดัง บอกกับเสือว่าให้รีบกลับบ้านโดยเร็ว เพราะยายผ่องเสียใจมากกำลังรออยู่ที่บ้านไม่ต้องกลัวใครยิงอีกแล้ว สักครู่ใหญ่เสือก็มาถึงตรงไปหายายเห็นแกเป็นลม มันก็หมอบเอาคางเชยที่เท้า ยายผ่องได้สติฟื้นขึ้นมองเห็นเสือก็ดีใจเอามือลูบหัวแล้วถามมัน ปลัดก็เล่าเรื่องที่โดนนักล่าสัตว์คอยดักยิงมันต้องหนีเตลิดเข้าป่าลึกเพื่อเอาตัวรอด มิเช่นนั้นก็ถูกยิงตายแน่ เสืออยู่กับยายผ่องประมาณเจ็ดปี ยายก็ถึงแก่กรรม เมื่อมันเห็นยายแม่ของมันเป็นลมตายเสียแล้ว มันก็ส่งเสียงร้องไม่หยุด เมื่อครบสามวันแล้วจึงช่วยกันเผา จัดทำเชิงตะกอนเตี้ย ๆ ขนเอาฟืนมามาก เผาศพเป็นกองไฟใหญ่ เผากันจริง ๆ ใครมีฟืนเท่าไรก็เผาจนหมดในระหว่างไฟกำลังโหมลุกเต็มที่อยู่นั้น เสือซึ่งมีอาการหงอยเหงาเศร้าซึมมาหลายวันแล้ว น้ำตาไหลเป็นทางมันจะนึกอย่างไรไม่ทราบ ก็ออกวิ่งวนไปรอบ ๆ กองไฟ ไม่รู้ว่ากี่รอบ ส่งเสียงร้องอยู่เรื่อย วิ่งไปร้องไป และขณะร้องคร่ำครวญอยู่นั้น ได้กระโจนเข้ากองไฟที่กำลังลุกโชติช่วง ถูกไฟเผาดิ้นทุรนทุรายอยู่ครู่หนึ่งก็ตายตามที่แม่รักไป ยอมพลีชีพบูชาแม่ด้วยชีวิต ซึ่งอาจมีมนุษย์จำนวนน้อยนิดเท่านั้น จะกล้าเสียสละอย่างนี้ได้ ทำให้คนตกใจส่งเสียงร้องด้วยความหวาดเสียวและสงสาร ๗ วันผ่านไป การเผาศพระหว่างแม่ผู้เป็นมนุษย์กับลูกผู้เป็นสัตว์ ชาวบ้านรวมทั้งนายอำเภอแสงกับปลัดโตปรึกษากันว่าจะสร้างศาลให้เสือ ผู้มีความจงรักภักดีต่อแม่เฒ่าผ่อง ถือว่าเป็นสัตว์พิเศษกว่าสัตว์ทั้งหลาย เพราะร่างกายกับชีวิตเท่านั้นที่เป็นเสือ แต่ดวงจิตสูงส่งเป็นอัจฉริยจิต สถิตด้วยแสงธรรมการสร้างศาลประดิษฐานรูปเสือ ผู้คนสละทรัพย์สละแรงงาน ร่วมแรงร่วมใจกันเป็นจำนวนมาก สร้างใกล้ ๆ บริเวณหน้าวัดมหรรณพาราม เอากระดูกเสือบรรจุในแท่นปั้นรูปประดิษฐานบนแท่นอย่างสง่าน่าเกรงขาม อัญเชิญดวงวิญญาณเสือ ขอให้เป็นเทพเจ้าสิงสถิต ณ ศาลวิมานทองแห่งนี้ตลอดกัลป์เป็นนิรันดร ขอให้ปกปักรักษาประชาราษฎร์ให้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข ทำมาหากินซื้อง่ายขายคล่อง เจริญสุขทุกทิวาราตรี เมื่อฉลองเสร็จแล้วติดแผ่นป้ายไว้ที่หน้าศาลจารึกชื่อว่า ศาลเจ้าพ่อเสือ
    ปัจจุบันศาลเจ้าพ่อเสือจะเปิดให้ผู้คนเข้ามา 08.00-16.00 น. สถานที่ตั้งอยู่ที่ถนนตะนาว แขวงเจ้าพ่อเสื้อเขตพระนครี การเดินทางโดยรถประจำทางต้องขึ้นสาย 10 12 19 35 42 56 96
    พิธีการไหว้คือ ไปสักการะ เจ้าพ่อเสือ เจ้าพ่อกวนอู เจ้าแม่ทับทิม ฯลฯ ด้วยธูป 18 ดอก ปัก 6 กระถาง เทียนแดง 1 คู่ พวงมาลัย 1 พวง
    /--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------/
     
  6. bnbk

    bnbk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,047
    ค่าพลัง:
    +15,613
    อยากให้คนเกรงขาม ไหว้“เจ้าพ่อเสือ”
    “ศาลเจ้าพ่อเสือ” หรือที่คนจีนเรียกว่า “ตั่วเล่าเอี้ย” เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ ที่คนจีน รวมไปถึงคนไทย ให้ความเคารพ และนิยมมากราบไหว้กันมาก ศาลนี้สร้างโดยชาวจีนแต้จิ๋ว เดิมตั้งอยู่ ถ. บำรุงเมือง เมื่อมีการขยายถนนในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงย้ายมาสร้างใหม่ ที่บริเวณทางสามแพร่ง ถ. ตะนาว เขตพระนคร
    ลักษณะอาคารสร้างตามรูปแบบศาลเจ้าที่นิยมทางภาคใต้ของจีน เทพเจ้าประจำศาลคือ “เสียนเทียนซั่งตี้” หรือที่คนไทยเรียกว่า “เจ้าพ่อเสือ” นั่นเอง เรื่องราวตำนานของเจ้าพ่อเสือที่ชาวบ้านย่านนี้เล่าขานนั้น เชื่อมโยงกับหลวงพ่อพระร่วง วัดมหรรณพ์ ด้วยสะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องชาวไทยและชาวจีนในละแวกนี้ที่มีมาช้านาน
    “เสือ” เป็นสัตว์ที่คนจีนเชื่อว่ามีฤทธิ์เดชมาก สามารถปราบผีหรือสิ่งเลวร้ายของชีวิตได้ หากบ้านใครตั้งอยู่บริเวณทางสามแพร่ง หรือจุดที่ถือกันว่าจะมีวิญญาณเลวร้ายพุ่งเข้าบ้าน จะนิยมเอาเสือคาบดาบไปแขวนไว้ที่หน้าบ้านเพื่อขจัดสิ่งเลวร้าย เคราะห์ร้ายที่จะมากล้ำกรายชีวิตของเราให้พ้นไปหรือว่าบรรเทาลงได้ วิธีสักการะ ไหว้ด้วยธูป 18 ดอก ปัก 6 กระถาง เทียนแดง 1 คู่ และพวงมาลัย 1 พวง ส่วนการสักการะเจ้าพ่อเสือ จะต้องซื้อเครื่องเซ่นซึ่งประกอบด้วย หมูสามชั้น ไข่สด และข้าวเหนียวหวาน ชุดเล็กราคา 20 บาท และชุดใหญ่ ราคา 50 บาท
    เวลาที่เหมาะสมสำหรับการเดินทางไปสักการะคือ 06.00 - 17.00 น. ทุกวัน ควรแต่งกายสุภาพ และเพื่อความสะดวก ควรเดินทางด้วยรถประจำทาง หรือรถแท็กซี่ เนื่องจากสถานที่จอดรถมีจำนวนจำกัด
    การเดินทาง รถประจำทางสาย 10, 12, 19, 35, 42 และ ปอ. 12
    /--------------------------------------------------------------------------------------------------/
     
  7. bnbk

    bnbk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,047
    ค่าพลัง:
    +15,613
    เจ้าพ่อปราสาททอง เจ้าพ่อเสือ สิ่งศักดิ์สิทธ์ของชาวจีน
    โดยกิตติ
    ถ้ากล่าวถึงองค์พระปฐมเจดียแห่งเมืองนครปฐม ทุกท่านก็คงต้องรู้จักกันเป็นอย่างดี องค์เจดีย์อันเลื่องชื่อขจรไปไกล ประกอบกับ พระร่วงโรจนฤทธิ์ พระปฏิมาทรงความ ศักดิ์สิทธิ์ที่มีประชาชนทั้งชายไทย และ อีกหลายประเทศแห่แหนกันเข้าไป สักการะบูชากันไม่ขาดสาย จนทำให้ บริเวณสถานที่ขององค์พระปฐมเจดีย์ กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวไปโดยปริยาย นอกจากนี้ภายในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ แห่งนี้ก็ยังมีศาล คนที่แวะเวียนไปกราบนมัสการ องค์พระปฐมเจดีย์ และพระร่วงโรจนฤทธิ์แล้ว ส่วนหนึ่งยังให้ความสำคัญต่อดวงวิญญาณทิพย์ ทั้งหลายที่สถิตอยู่ ณ สถานที่นี้ด้วย ศาลเจ้าพ่อปราสาททอง เจ้าพ่อ เสือ อันเป็นเทพในคติความเชื่อที่ชาวจีนให้ความ ศรัทธากันอย่างเนืองแน่น อีกทั้งยังมีศาลเจ้าแม่ พระอุมา ซึ่งเป็นที่กราบไหว้ขอพรกันตามความ ประสงค์ของชาวไทย ทั้งสองสถานที่นี้ได้ถูกสร้าง ขึ้นมาจากความศรัทธาทั้งสิ้น โดยกล่าวกันว่า "เจ้าพ่อปราสาททอง" ท่านเป็นเทพผู้ปกปักรักษา และเป็นใหญ่ ในเขตเมืองนครปฐมนี้เลยทีเดียว อันมีบริวาร เป็นพญาเสือใหญ่ก็คือ "เจ้าพ่อเสือ" นั่นเอง ส่วนเจ้าแม่พระอุมานั้น ท่านเป็นหญิงสาวสี่มือ ผู้ปกปักรักษาถ้ำ จึงทำให้เกิดรูปหล่อจำลอง ขนาดเท่าคนจริงของผู้หญิงที่มี ๔ มือ อยู่ภาย ในถ้ำเล็กๆ แห่งหนึ่งภายในเขตที่ตั้งขององค์พระ ปฐมเจดีย์ ความศรัทธาของผู้คนนั้นมีมากมาย ขนาดไหนต่อศาลทั้งหมดดังที่กล่าวมานั้น คุณ อำนวย ดีสวัส อายุ ๕๐ ปี ผู้ซึ่งมีหน้าที่ดูแล ความเรียบร้อยของศาลภายในองค์พระปฐมเจดีย์ ได้อธิบายถึงเรื่องนี้ว่า... ศาลเจ้าพ่อปราสาททอง และ เจ้าพ่อ เสือนั้น ส่วนมากจะเป็นพวกคนไทยเชื้อสายจีน และคนจีนที่มากับคณะทัวร์ต่างๆ ให้ความเคารพ กราบไหว้ พวกพ่อค้า แม่ค้าชาวตลาดในองค์ พระปฐมเจดีย์ที่มาค้าขายกันยามเย็นนี้ให้ความ นานแล้วว่า วันดีคืนดีจะมีคนมักจะได้ยินเสียง นับถืออย่างมากเลย จะเข้ามากราบไหว้บนบาน และก็จะนำเอาผลไม้ ขนมต่างๆ มาถวายแก้บน ส่วนคนที่เขาบนบานในเรื่องใหญ่ๆ แล้วสำเร็จก็ จะแก้บนกันด้วยลิเกบ้าง ละครรำบ้าง แล้วแต่ บนบานศาลกล่าว ความสำเร็จนั้นสามารถดูได้จากโรง ลิเกด้านล่างที่มาตั้งรับจ้างแสดงแก้บนแบบถาวร โดยเฉพาะวันสารทจีน ตรุษจีน จะมี บรรดาชาวจีนมาไหว้กันอย่างล้นหลาม การบน บานส่วนมากก็จะเป็นไปในด้านการค้าขาย ทำ ธุรกิจ ค้าขายอะไรทำนองนี้ นับว่าท่านมีความศักดิ์สิทธิ์มาก ถึงมี ผู้คนศรัทธากันอย่างที่เห็น แวะเวียนมากราบ ไหว้ไม่ได้ขาด" ดังคำอธิบายสามารถทำให้เข้าใจถึง ความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าพ่อปราสาททอง และ เจ้าพ่อเสือ ที่มีต่อคนชาวจีนมากน้อยขนาดไหน ได้เป็นอย่างดี คราวนี้เราไปดูความศักดิ์สิทธิ์ของ พระแม่อุมา เทพ ๔ มือภายในถ้ำกันบ้าง จากคำ บอกเล่าของแหล่งข้อมูลคนเดิม... "ทางด้านนี้ก็เป็น "ถ้ำเจ้าแม่พระ อุมา" ความศักดิ์สิทธิ์นั้นก็คงไม่แตกต่างกันสัก เท่าไหร่ แต่ความแตกต่างมันอยู่ตรงที่คนศรัทธา ส่วนใหญ่คนที่จะมากราบไหว้บนบานต่อองค์ ท่านนั้น มักจะเป็นคนไทย หรือพวกแขกชาว ต่างชาติ จัดได้ว่ารูปปั้นด้านในนั้นเก่าแก่มาก ทีเดียว คือตั้งแต่ฉันเกิดมาก็เห็นว่า มีอยู่แล้วใน ถ้ำ เป็นรูปปั้นที่มีความแปลกตรงที่ว่า เป็นผู้หญิง แต่มีมือมีแขนถึง ๔ ข้าง เห็นเขาเล่ากันมาว่า ท่านเป็นเทพเจ้าที่คอยปกปักรักษาถ้ำ หรือเจ้าถ้ำ อะไรทำนองนี้แหละ คนที่มาบนบานก็มีทั้งคนธรรมดา และพวกร่างทรงทั้งหลายที่ทุกๆ ปีพวกเขาจะพา กันมากราบไหว้บูชา ทางด้านความศักดิ์สิทธิ์นั้นจะไปใน ทางโชคลาภซะมากกว่า เพราะคนที่มาแก้บน ส่วนมากแล้วจะเล่าขานบอกกล่าวให้ฟังว่า "เจ้าแม่ไปเข้าฝันให้ถูกหวย" ของแก้บนก็ตาม ความเชื่อว่า ผู้หญิงต้องรักสวยรักงาม มาแก้บนด้วยน้ำหอม ตุ๊กตานางรำ สร้อยไข่มุก พวงมาลัยเสื้อผ้าแพรไหมต่างๆ และที่สำคัญคือ ขลุ่ย" ในเรื่องของขลุ่ยนี้ มีเสียงเล่ากันมา โบราณๆ หรือเรียกว่า บางเพลงไม่เคยได้ยินมา ก่อน แต่ก็เพราะที่สุด จนในที่สุดก็เลยมีคนอยากจะพิสูจน์ ว่าเป็นเสียงของเจ้าแม่เป่าขลุ่ยจริงหรือไม่ อย่างไร ยามดึกสงัดก็มีคนกลุ่มหนึ่ง ได้ยินเสียงขลุ่ยดัง กล่าว เลยเดินตามเสียงนั้นไปอย่างเงียบๆ ไม่ เอะอะ จนใกล้ถึงบริเวณหน้าปากถ้ำของ เจ้าแม่พระอุมา ก็ต้องถึงกับตะลึง เพราะสิ่งที่เห็น อยู่นั้นก็มีแสงไฟสว่างเรืองรองอยู่ด้านใน ก้าวขา สืบเท้าเข้าไปเรื่อยๆ จนพอมองเห็นสิ่งที่อยู่ในถ้ำได้ถนัด ว่า รูปปั้นของนางส่องแสงเรืองรอง และแขน ทั้งสี่ข้างสามารถขยับเขยื้อนได้ คนทั้งหมดที่เห็นเหตุการณ์ประหลาดครั้งนั้นเป็นพนักงานอำนวยความสะดวก สถานที่จอดรถในตอนที่องค์พระปฐมเจดีย์มีงาน ใหญ่ๆ นั่นเอง ซึ่งสามารถเล่าเรื่องราวที่เห็นมา ให้คนอื่น รวมทั้งฉันด้วย จึงรู้ว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นมีจริง และ เจ้าแม่พระอุมาแห่งถ้ำนี้ก็ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ซะด้วย ไม่ว่าจะเป็นด้านโชคลาภวาสนา ฯลฯ รวมไปถึงพวกนางแบบ นางงาม ที่ กำลังจะเข้าประกวด ตามงานสำคัญต่างๆ ก็ต่าง พากันมาบนบานต่อองค์เจ้าแม่ให้ช่วยเหลือใน เรื่องให้ได้ตำแหน่ง ก็เป็นที่รู้จักกันในวงการดารานัก ประกวดทั้งหลายเช่นกัน เครื่องแต่งกายอย่างดี ราคาแพงๆ พวกนางงามทั้งหลายก็เคยนำเอามา แก้บนกับเจ้าแม่หลายครั้งหลายคราด้วยกัน เป็นเรื่องแปลกที่เกิดขึ้นในสถาน ที่ศักดิ์สิทธิ์องค์พระปฐมเจดีย์ แห่งเมือง นครปฐม ความศรัทธาของประชาชนเป็น เรื่องละเอียดอ่อน เข้าใจยากจริงๆ หากท่าน สนใจก็แวะไปยังองค์พระปฐมเจดีย์ได้ มา เที่ยวที่นี่รับรองเลยว่าไม่เสียเที่ยว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่สถิตอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ จะ ช่วยดลบันดาลให้ทุกท่านพบแต่ความสำเร็จ ในสิ่งที่หมายอย่างแน่นอนที่สุด.
    /------------------------------------------------------------------------------------------------------------/
     
  8. bnbk

    bnbk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,047
    ค่าพลัง:
    +15,613
    ประสบการณ์ลี้ลับ: "เจ้าพ่อเสือ" ตำนานความเชื่อของคนจีน
    โดย สายทิพย์
    ริมถนนตะนาว ฝั่งตะวันตก ปัจจุบันคือที่ตั้งของ “ศาลเจ้าพ่อเสือ” ในอดีตศาลเจ้าพ่อเสือแห่งนี้ เคยปรากฏเรื่องราวมึนตึงระหว่างชาวจีน กับพระเจ้าแผ่นดินไทย โดยเป็นเรื่องที่เล่าขานต่อ ๆ กันมา
    “ศาลเจ้าพ่อเสือ” แต่เดิมไม่ได้ตั้งอยู่ที่นี่ แต่มีเหตุให้ต้องย้ายศาลในสมัยรัชกาลที่ 4 หรือแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในยุคนั้นทางการต้องการจะทำถนนตัดผ่าน เพื่อความเจริญรุ่งเรือง ให้เกิดความสะดวกสบายในการคมนาคม ถนนที่จะสร้างมีสายหนึ่งจำเป็นต้องตัดผ่านที่ตั้งศาลเจ้าพ่อเสือพอดี คือถนนบำรุงเมือง ซึ่งก็เป็นพระราชประสงค์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 4 ที่ทรงดำริให้ตัดถนนรุ่นแรก 3 สาย คือ ถนนบำรุงเมือง ถนนเฟื่องนคร และถนนเจริญกรุง
    ถนนบำรุงเมืองเมื่อจะต้องตัดผ่านที่ตั้งศาล จึงจำเป็นต้องรื้อศาลไปหาที่ตั้งใหม่ เลยเป็นปัญหาที่จะต้องกระทบกระเทือนใจชาวจีน ซึ่งให้ความนับถือเจ้าพ่อเสืออย่างมาก เพราะศาลเหล่านี้ชาวจีนในกรุงเทพฯ ได้ร่วมใจกันสร้างไว้เคารพกราบไหว้ มาตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ในราวรัชกาลที่ 2 หรือรัชกาลที่ 3 ด้วยเหตุนี้รัชกาลที่ 4 จึงทรงเห็นใจและทรงเข้าใจปัญหาที่เกิดทุกประการ แต่เพื่อความเจริญของบ้านเมืองจึงไม่มีทางเลือกอื่น
    ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ชาวจีนเกิดความไม่พอใจ เพราะเป็นความหวงแหน อันเกิดจากความเชื่อที่ว่า สถานที่ตั้งศาลเจ้าพ่อเสือของพวกตน มีความศักดิ์สิทธิ์ มีชัยภูมิหรือฮวงจุ้ยที่ดี ซึ่งจะบันดาลโชคลาภและปกปักลูกหลานชาวจีนให้รุ่งเรือง และมีความอยู่เย็นเป็นสุข ครั้นจะให้โยกย้ายไปอยู่สถานที่ใหม่ เกรงว่าจะไม่ดีเหมือนที่เก่า คนจีนในยุคนั้นจึงคิดหาอุบาย ให้ทางการย้ายการสร้างถนนบำรุงเมืองให้ตัดห่างไกลออกไป โดยการไปจ้างร่างทรงมาทำพิธี ทำเป็นว่าเจ้าพ่อเสือมาเข้าทรง มีการพูดภาษาจีนด้วยเสียงอันดังทำนองว่า “ถ้าใครบังอาจมาย้ายศาลเจ้าพ่อเสือนี้ก็ขอให้มีอันเป็นไปต่าง ๆ นานา หากอยากให้บ้านเมืองเกิดอาเพศก็ลองด ูจะได้เห็นอานุภาพของเจ้าพ่อเสือ”
    เหตุการณ์ทรงเจ้าในครั้งนั้นเล่ากันว่ารุ่งขึ้นคนทรงถึงกับล้มป่วย เพราะออกอิทธิฤทธิ์มากเกินไป และเหตุการณ์นี้ก็ล่วงรู้ไปถึงพระกรรณรัชกาลที่ 4 เพราะมีข้าราชบริพารในพระองค์มาคอยสอดส่องพฤติกรรมชาวจีนอยู่ รัชกาลที่ 4 จึงทรงมีอุบายแก้ลำชาวจีนโดยจัดให้มีการทรงเจ้าขึ้นบ้าง และจัดให้ใหญ่กว่าหลายเท่า ในระหว่างพิธีทรงได้จัดฉากให้มีผู้ซักถามเจ้าพ่อปลอม คนถามก็เป็นข้าราชบริพารในวังนั่นเอง โดยมีคำถามว่า
    “เดี๋ยวนี้บางกอกเจริญกว่าก่อนมาก มีฝรั่งอั้งหม้อเข้ามาขี่รถม้ามากมาย เมื่อพระเจ้าแผ่นดินตัดถนนผ่านใกล้ศาลเจ้า ฝรั่งอั้งหม้อขี่รถม้าผ่านไปผ่านมา ปะเหมาะม้าลากรถฝรั่งมันบังเอิญมาขี้ไว้ตรงหน้าศาลเจ้า จะเป็นการดูหมิ่นเจ้าพ่อเสือหรือไม่” คนทรงฟังคำถามแล้วก็แกล้งแสดงอาการโกรธเกรี้ยว ตะโกนดังลั่นออกมาว่า “ไม่ได้ ๆ พระเจ้าแผ่นดินเมืองไทย ท่านลงทุนตัดถนนเพื่อความเจริญของบ้านเมือง มาขัดขวางพระองค์ท่านไม่ดีหรอก เราคนจีนมาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ต้องเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม มากกว่าผลประโยชน์ส่วนตัว เราคนจีนซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยตัองเคารพคนไทย และนโยบายของพระเจ้าแผ่นดินไทยที่ทรงเป็นประมุข ฉะนั้นควรย้ายศาลเจ้าพ่อเสือให้ห่างถนนที่ฝรั่งมันขับรถผ่าน เพราะหากให้ศาลอยู่ที่เดิม ก็จะเกิดความเดือดร้อนแก่ผู้เดินทาง เพราะไปกีดขวางทางสัญจร
    คนจีนเมื่อได้ฟังเจ้าพ่อเสือในร่างคนทรงปลอม ก็เกิดความเชื่อเพราะความเคารพอยู่แล้ว จึงยินยอมให้รื้อศาลเจ้าพ่อเสือเก่ามาสร้างในที่ใหม่ อยู่เยื้องวัดมหรรณพ์ อย่างที่เห็นในปัจจุบัน โดยเงินก่อสร้างศาลเป็นเงินพระราชทาน จากท้องพระคลังมหาสมบัติส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเป็นเงินที่คนจีนในบางกอกสมัยนั้นร่วมกันบริจาคสร้าง
    ความเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของ “ศาลเจ้าพ่อเสือ” มีทั้งคนจีนและคนไทยนิยมไปกราบไหว้ บนบานขอโชคลาภ โดยเชื่อว่า “เจ้าพ่อเสือ” สามารถดลบันดาลให้สมหวังในสิ่งที่ต้องการได้ ดังนั้น ทุกเทศกาลโดยเฉพาะช่วงปีใหม่ และตรุษจีนที่ศาลเจ้าพ่อเสือแห่งนี้ จะคลาคล่ำด้วยคลื่นฝูงชนเบียดเสียดเข้าไปไหว้สักการะขอพร เพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิต
    /----------------------------------------------------------------------------------------------------------/
     
  9. bnbk

    bnbk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,047
    ค่าพลัง:
    +15,613
    เจ้าพ่อเสือ…ขุนศึกผู้จงรักภักดี
    .......เจ้าพ่อเสือมีปรากฏอยู่หลายแห่ง แต่เจ้าพ่อเสือที่จะกล่าวต่อไปนี้ มีสถานที่ตั้งอยู่ริมถนนตะนาว ข้างที่ว่าการกรุงเทพมหานคร ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่นับถือเจ้าพ่อเสือ แต่จะมีสักกี่คนที่ทราบถึงประวัติ ความเป็นมาของท่าน…
    ไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่า ศาลเจ้าพ่อเสือแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อใด แต่สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างมาแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยปี เดิมที่ลักษณะของตัวศาลสร้างด้วยไม้เล็กๆ แต่ในเวลาต่อมาได้มีผู้มีจิตศรัทธา นำเงินมาถวายเพื่อนำไปบูรณะสร้างตัวศาลขึ้นใหม่
    .......คุณบักเซียม แซ่แต้ ซึ่งเป็นชาวจีนที่เกิดและโต บริเวณข้างศาลเจ้าพ่อเสือ ได้เล่าให้ฟังว่า สมัยที่เขายังเป็นเด็ก เคยมาวิ่งเล่นข้างๆ ศาลเจ้าพ่อเสือ และเคยได้พบกับเหตุการณ์แปลกๆ เป็นประจำ…
    "ได้ยินเหมือนกับเสียงของเสือคำราม น่ากลัวมากทีเดียว ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าที่นี่มีความสำคัญขนาดไหน รู้แต่เพียงว่าเตี่ยสั่งห้ามเอาไว้ อย่าเข้ามาเล่นซนในนี้อย่างเด็ดขาด"
    "เหตุการณ์ผ่านมากี่ปีแล้วครับ?"
    "หลายปีแล้ว ดูเหมือนว่าราวๆ 50-60 ปี นี่แหละ"
    "ตอนนั้นศาลมีสภาพเป็นอย่างไร?"
    "ตัวศาลยังเป็นตัวไม้อยู่เลย สภาพโดยรวมก็ดูเก่าๆ ส่วนมากแล้วพวกศาลเจ้าต่างๆ ในระยะแรกๆ มักจะเป็นไม้ทั้งนั้น การสร้างด้วยอิฐด้วยหินราคาค่อนข้างแพงจึงไม่นิยมกัน"
    .......ตำนาน "เจ้าพ่อเสือ"
    .......เป็นเรื่องของความเชื่อที่ว่าเสือเป็นสัตว์ที่มีพลังอำนาจมาก สัตว์ทั้งปวงต่างก็มีความเกรงกลัว แต่อีกความเชื่อกลับเขียนบอกว่า เรื่องนี้เป็นนิยายปรัมปรา มีแม่ทัพชาวจีนคนหนึ่ง มีความสามารถในการรบเป็นอันมาก นอกจากจะรบเก่งแล้ว เขายังมีวิชาอาคมสามารถแปลงตัวเป็นเสือได้อีกด้วย ความสามารถนี้เองที่ทำให้คนทั่วไปยกย่องและเชิดชู แต่สิ่งนี้กลับทำให้ฮ่องเต้เกิดความไม่สบายใจ กลัวว่าในวันข้างหน้า แม่ทัพคนนี้จะมาล้มล้างราชบัลลังก์
    เมื่อสงครามสงบโดยที่ชัยชนะเป็นของแม่ทัพคนนี้ ตัวของฮ่องเต้ก็ยิ่งหวาดระแวงมากยิ่งขึ้น ในที่สุดฮ่องเต้จึงได้วางแผนการที่จะกำจัดแม่ทัพคนนี้ โดยการจัดให้มีงานเลี้ยงขึ้นภายในพระราชวัง โดยเชิญแม่ทัพคนนี้ให้มางานเลี้ยง
    ......ฮ่องเต้ได้ผสมยาพิษอย่างแรงใส่ลงไปในเหล้าแล้วให้แม่ทัพดื่ม ซึ่งแม่ทัพก็ดื่มทั้งที่รู้ว่าเหล้าแก้วนั้นมียาพิษผสมอยู่ แต่ด้วยเป็นผู้ที่มีวิชาอาคมแก่กล้า เหล้าผสมยาพิษแก้วนั้นไม่อาจทำให้แม่ทัพเสียชีวิตตามที่ฮ่องเต้ต้องการ แม่ทัพได้ถามฮ่องเต้ว่าทำแบบนี้เพื่ออะไร ฮ่องเต้ตอบว่าต้องการจะกำจัดเขาออกไปเพราะกลัวว่าในภายภาคหน้า เขาจะมีความมักใหญ่ใฝ่สูง ต้องการอยากจะเป็นฮ่องเต้ขึ้นมา
    ทางฝ่ายแม่ทัพได้ยินเช่นนั้นก็มีความเศร้าเสียใจ ด้วยจิตใจของเขามีแต่ความซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อฮ่องเต้มาก ขนาดถึงขั้นยอมตายเพื่อราชบัลลังก์ได้
    แม่ทัพพยายามกราบทูลองค์ฮ่องเต้ให้เข้าใจแต่ก็ไม่เป็นผล พระองค์ได้มีรับสั่งให้แม่ทัพพิสูจน์ในคำพูด โดยการให้เนรเทศตัวเองออกไปอยู่ยังเมืองอื่น โดยจะไม่ย้อนกลับมายังแผ่นดินนี้อีกเลย ซึ่งแม่ทัพก็น้อมรับพระบัญชา ยอมออกจากเมืองโดยจะไม่หวนคืนกลับมา
    ......ทางฝ่ายหัวเมืองต่างๆ เมื่อทราบข่าวต่างก็เริ่มแข็งข้อ พยายามแยกตัวเป็นอิสระจากฮ่องเต้ บางเมืองยังได้มีการจัดทัพเพื่อมาทำสงครามกับทางเมืองหลวง ซึ่งในขณะนั้นขวัญและกำลังใจของพวกทหารหลวงไม่มีเหลืออยู่เลย
    สงครามที่เกิดขึ้นฝ่ายเมืองหลวงทำท่าว่าจะเป็นฝ่ายเพลี้ยพล้ำ ฮ่องเต้เตรียมที่จะสละราชบัลลังก์ แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสือโคร่งตัวโตปรากฏขึ้น เสือตัวดังกล่าวได้ช่วยองค์ฮ่องเต้ให้รอดพ้นจากเงื้อมือข้าศึกเอาได้อย่างทันท่วงที ทหารของข้าศึกเป็นจำนวนมากถูกเสือตัวนั้นกัดตาย ที่เหลือก็หนีแตกกระเจิงกลับไป
    ฮ่องเต้รู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของเสือตัวนั้นมาก พระองค์ทรงได้ทำการชุบเลี้ยงเสือไว้ในวัง ต่อมาฮ่องเต้เกิดมีความหวาดกลัวเสือตัวนั้น เพราะคิดว่าในวันข้างหน้าเสืออาจจะมาทำร้ายพระองค์ ฮ่องเต้จึงได้ให้คนมาสังหารเสือตัวนั้นจนตาย
    พอเสือสิ้นชีวิตลงเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดฝันก็เกิดขึ้น ร่างของเสือตัวนั้นได้กลายเป็นแม่ทัพกล้าผู้นั้น ฮ่องเต้จึงได้ทราบความจริงว่า ที่ผ่านๆ มาทั้งหมด พระองค์เป็นฝ่ายผิดมาโดยตลอด พระองค์ได้สังหารผู้ที่มีความจงรักภักดีต่อพระองค์
    .......ฮ่องเต้ทรงจัดการกับศพของแม่ทัพอย่างสมเกียรติ ทรงมีรับสั่งให้สร้างรูปปั้นของแม่ทัพไว้ที่หน้าประตูเมือง เพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงความยิ่งใหญ่ และจิตใจที่เสียสละของแม่ทัพกล้าผู้นั้น
    ต่อมาได้มีหัวเมืองต่างๆ ส่งกองทัพมาเพื่อที่จะตีเมืองหลวง แต่เมื่อกำลังของกองทัพเคลื่อนพลมาถึงหน้าประตูเมือง ความมหัศจรรย์ก็พลันบังเกิดขึ้น ม้าที่ทหารขี่มานั้นแสดงความตื่นตระหนก และสลัดทหารที่ขี่อยู่บนหลังตกลงมา ทัพของข้าศึกจึงต้องแตกพ่ายกลับไปอีกครั้ง
    จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้ฮ่องเต้ทรงมีความเชื่อว่า วิญญาณของแม่ทัพกล้าผู้ซื่อสัตย์ต่อพระองค์ ยังคงวนเวียนคอยคุ้มภัยให้บ้านเมืองมีความร่มเย็นเป็นสุข ฮ่องเต้จึงทรงพระราชทานนามให้แม่ทัพกล้า ว่า "ขุนศึก-ยอดทหารเสือ"
    "ขุนศึก-ยอดทหารเสือ" เป็นที่เลื่อมใสและศรัทธาในหมู่คนจีนเป็นอันมาก พวกเขามีความเชื่อว่ายามที่พวกชาวบ้านมีทุกข์ หากว่าได้ทำการบนบานขอให้ท่านช่วย ทุกข์ภัยดังกล่าวก็จะหมดไปในทันที
    ......แต่การเรียกนามของแม่ทัพกล้า ว่า "ขุนศึก-ยอดทหารเสือ" เป็นการไม่บังควร เพราะเป็นคำเรียก "เฉพาะ" ขององค์ฮ่องเต้ ดังนั้นพวกชาวบ้านทั่วไปจึงเรียกนามของท่านว่า "พระเจ้าเสือ" ซึ่งเป็นคำเรียกที่ถือว่ามีความเหมาะสมอย่างที่สุด
    การบูชาพระเจ้าเสือ
    หากว่าท่านมีทุกข์ร้อน หรือมีปัญหาติดขัดใดๆ เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภายในครอบครัว หรือว่าเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับหน้าที่การงาน หากท่านบนบานขอให้เจ้าพ่อเสือมาช่วยท่าน สิ่งที่ผู้คนนิยมบนบานมากที่สุด ได้แก่ ไก่ต้ม ไข่ต้ม ดอกไม้สีสด เป็นต้นว่า สีแดงสด สีเหลืองสด หากเป็นผลไม้ให้ถวาย ส้มเขียวหวาน
    คุณบักเซียม แซ่แต้ ได้เล่าให้ฟังว่า เจ้าพ่อเสือ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ผู้คนเป็นจำนวนมากนับถือ แต่ก็มีพวกนักเลงกลุ่มหนึ่ง นอกจากจะไม่นับถือเจ้าพ่อเสือแล้ว ยังพยายามทำให้คนทั่วไปเห็นว่า เจ้าพ่อเสือ ไม่ได้มีความศักดิ์สิทธิ์อย่างที่ชาวบ้านทั่วไปเชื่อกัน
    ......."มันเป็นพวกนักเลงหลังวัง พวกนี้เป็นแกงค์ก่อกวนจริงๆ พยายามทำตัวเป็นนักเลง ทำให้คนอื่นๆ เกรงกลัว หัวหน้ามีชื่อว่าแดง หลังวัง ไอ้นี่เลวสุดๆ มีอยู่คราวหนึ่งพวกชาวบ้านจัดงานประจำปีเพื่อถวายให้เจ้าพ่อเสือ เป็นงานยิ่งใหญ่ มีผู้คนมาเที่ยวกันเป็นจำนวนมาก ตอนที่พวกชาวบ้านกำลังเที่ยวกันเพลินๆ อยู่นั้น พวกของ แดง หลังวัง ก็ชักปืนออกมา แล้วยิงขึ้นฟ้าเสียงดังปัง ปัง ชาวบ้านพากันวิ่งหนีเอาตัวรอด ตำรวจได้ยินก็กรูกันมา พวกของไอ้แดงก็แตกหนีกระเจิง ตัวไอ้แดงหนีเข้าไปแอบอยู่ในศาลเจ้าพ่อเสือ ตำรวจจะเข้าไปจับก็ไม่กล้า เพราะไม่รู้ว่ามันจะยิงสวนออกมารึเปล่า ครู่ใหญ่ ก็มีเสียงของไอ้แดงร้องขอความช่วยเหลือ ชาวบ้านและตำรวจได้ยินชัดเลยว่า มันตะโกนบอกว่า เสือจะกัดมัน แล้วมันก็วิ่งหนีออกมา ตามตัวมีรอยข่วน เลือดโชกเต็มไปหมด ไอ้แดงเพ้อเหมือนคนบ้า มันบอกว่ามีเสือตัวโตอยู่ในศาลเจ้า พอตำรวจเข้าไปดูในศาลก็ไม่พบเสือแม้แต่ตัวเดียว จากวันนั้นไอ้แดงก็กลายเป็นคนเสียสติไปเลย เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เจ้าพ่อเสือท่านมีความศักดิ์สิทธิ์มาก"
    คงจะเป็นบทเรียนที่ แดง หลังวัง จ่าย…แพง ที่สุดในชีวิต!!!
    /----------------------------------------------------------------------------------------------------------/
     
  10. bnbk

    bnbk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,047
    ค่าพลัง:
    +15,613
    อริโยวาท
    พระเฮี้ยงเทียงเสี่ยงตี่(เจ้าพ่อเสือ)
    ไหลเรียงทะเลกรรมทุกข์หนักหนา รู้ขจัดภาพมายาฝึกเทพเซียน รักษามโนธรรมผูกเหตุเซียน หกโจรเวียนติดยึดกำราบสิ้น
    จงใช้ใจที่ฉุดช่วยตนเองไปฉุดช่วยโลก จงใช้ใจที่รักครอบครัวไปรักประเทศชาติ จงใช้ใจที่ยังประโยชน์แก่ตนไปยังประโยชน์แก่ผู้อื่น จงใช้ความรักที่มีต่อบุตรภรรยาแล้วเพิ่มเติมอีกหลายเท่าไปเคารพบิดามารดาจงใช้ใจที่แสวงหาวัตถุไปแสวงหาความรู้ จงเอาใจที่แสวงหาทรัพย์ไปแสวงหาธรรม จงเอาใจที่ชอบกามไปแสวงหาคุณธรรม จงเอาใจที่ทำชั่วไปทำความดี จงเอาใจที่รักชีวิตตนไปรักสรรพสิ่ง จงเอาใจที่กล่าวหาคนอื่นไปกล่าวหาตนเอง ทั้งหมดที่กล่าวมา เมื่อราวบรวมเข้ามาแล้วก็คือการอุทิศส่วนน้อยของตนไปสำเร็จ ส่วนรวมของตนก็จะลุถึงสภาวะของเทพเซียน ยุคสมัยธรรมกาลผ่านกี่ยุคหากไม่หยุดความเลวร้ายก็กลายเก่าพิบัติภัยคงอยู่อีกนานเนาจักแผดเผา
    ให้โลกวิปโยคนานสูญธรรมขาดธรรมถลำลึกจงตรองตรึกด้วยปัญญาอย่างกล้าหาญมีธรรมรักธรรมตลอดกาลอภิบาลโลกให้พ้นภัยเอย
    /----------------------------------------------------------------------------------------------------------/
     
  11. bnbk

    bnbk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,047
    ค่าพลัง:
    +15,613
    ศาลเจ้าพ่อเสือ
    ปีก่อสร้าง : พ.ศ.2377 บริเวณถนนตะนาว ตัดกับ ถนนอุนากรรณ บนเกาะรัตนโกสินทร์ละแวกนี้ เป็นบริเวณที่อุดมไปด้วย สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ติดๆ กัน ไม่ว่าจะเป็น
    วัด สุทัศน์เทพวราราม ที่ตั้งเคียงกับ วัด มหรรพาราม ซึ่งเป็นโบสถ์พราหมณ์ เดินเลยมาอีกนิดก็จะพบ ศาลเจ้าพ่อเสือซึ่งเป็นวัดสายลัทธิเต๋า และที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ
    สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าว เป็นสถานศักดิ์สิทธิ์ต่างศาสนา ที่ล้วนแล้วแต่มีอายุกันมาเกินศตวรรษทั้งสิ้น
    ตามลักขณาสถิตย์ปีนี้เป็นปีมะโรง หรือที่เรามักจะเรียกให้เป็นปีมงคลกันว่า ปีมังกรทองนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ศาลเจ้าจีนตามความเชื่อทางสายลัทธิมหายาน
    จะเนืองแน่นไปด้วย ผู้มาสักการะมากเป็นพิเศษ รวมทั้งสถานที่ยอดนิยมอย่าง ศาลเจ้าพ่อเสือก็เช่นกัน ศาลเจ้านี้มีชื่อภาษาจีนเต็มๆว่า ศาลเจ้าเสียนเทียนซั่งตี้
    ซึ่งเราจะเห็นชื่อป้ายของศาลนี้ เป็นแผ่นหินดำจำหลักตั้งอยู่เหนือประตูทางเข้า เมื่อเดินลึกเข้าไปด้านใน เราก็จะได้ยินเสียงคำว่า เฮง เฮง
    ของเจ้าหน้าที่ศาลที่ยืนอยู่ด้านซ้ายมือ หน้ารูปปั้นเทพเจ้าเสือ เอ่ย อวยพรแด่ผู้ที่นำสิ่งโปรดปรานของ เจ้าพ่อเสือ อันได้แก่ ไข่สด
    ข้าวสาร และ หมูสามชั้นมาถวาย อีกทั้งผู้คนก็นิยมมาเสี่ยงเซียมซีในศาลเจ้านี้ที่ขึ้นชื่อว่า ทายแม่นเหมือนตาเห็นอีกด้วย
    นอกจากจะเป็นที่เลื่องชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์แล้ว ศาลเจ้าแห่งนี้ ยังมีความงามด้านสถาปัตยกรรม และ การตกแต่งภายในอีกด้วย โดยเฉพาะโบราณวัตถุที่ประดับอยู่ภายในศาลเจ้านั้น บางชิ้นมีอายุกว่า 100 ปีเลยทีเดียว เนื่องจากวัดนี้เองก็มีอายุถึง 166 ปีแล้ว หากคุณมีโอกาสได้เข้าไป ลองสังเกตดูลวดลายปูนปั้น หรือกระเบื้องเคลือบสี หรือแม้แต่กระถางปักธูปดู แล้วคุณจะรู้ว่าที่นี่มีที่ให้ทัศนามากพอสมควร แต่เราขอแนะนำว่าอย่าไปทัศนาในวันไหว้เชียว เพราะตาของคุณอาจจะแสบร้อนจากควันธูปเทียน ที่ตลบอบอวลอยู่ทั่วศาลเจ้าจนมองอะไรไม่เห็นนะ
    สิริลักษณ์ จินตนะดิลกกุล
    /----------------------------------------------------------------------------------------------------------/
     
  12. bnbk

    bnbk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,047
    ค่าพลัง:
    +15,613
    คำสวดถวาย “องค์ตั่วเล่าเอี๊ยกง”
    เทียง เอียง เอียง จุ้ย เหมี่ยง เมี้ยง ปัก เทียง จุ้ย เต็ก เหล่ง ขี่ เชี้ยง
    จิง บู้ สิ่ง เจี่ยง เง็ก ฮือ ห่วย เสี่ยง เต็ง กิม ขวก ตี่ หง่วง เทียง
    จี๋ เพ้า กิม ตั่ว เง็ก กวง เหยี่ยว โหงว ลุ้ย สิ่ง เปีย หู่ แก่ เปี่ยง
    หลัก เต็ง เง็ก นึ่ง สุ่ย จอ อิ๋ว โปย สั่วะ เจียง กุง อ่วย เอ่า เชี้ยง
    โปย ข่วย สิ่ง กู จั่ว เจี่ยง กั่ง หง เซี่ย จก เท้ง ปวย เซี้ยง
    อุย เฮี้ยง สิ่ง เล้ง ทงสี่ ไฮ่ เสียะ ซี ฮก เจ๊ก บ่วง มิ้ง เตียม
    เหียง เก็ง หุก เกาะ แจ่ สก สก เจ็ง เล้ง เหียก สิ่ว ห่วย จวง เงี้ยม
    กิม ซี้ อู้ อี่ ห่ง หุก เสี่ย จี เซียว เล้า เจี๋ย เยี่ยว เชง เฮียง
    ซำ กุ๋ย กิว ไป่ คึง เค่า เชี่ย เหี่ยง เทียง เสี่ยง ตี่ เกี้ย เหมี่ยว เฮี้ยง
    ฮก หง่วง ไต่ ชี้ย เทียง จุง กั่ง อี๋ ตื๋อ เอียว ม้อ เจง สุ่ย เซี้ยง
    กิ้บ กิบ หยู่ หลุก เหลง
    จบคำสวดบูชา “องค์ตั่วเล่าเอี๊ยกง” แห่งศาลเจ้าพ่อเสือ กรุงเทพมหานคร
    /----------------------------------------------------------------------------------------------------------/
     
  13. bnbk

    bnbk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    1,047
    ค่าพลัง:
    +15,613
    เทพเจ้าที่คนจีนนิยมกราบไหว้
    - เทพเจ้าแห่งโชคลาภ (ไฉ่ซิ้งเอี้ย) ปางมหาเศรษฐีชัมภล : ทุกวันตรุษจีน ชาวจีนจะไปกราบไหว้หรืออัญเชิญเข้าสู่เคหสถานร้านค้าของตน ถือว่าเป็นเทพให้คุณด้านโชคลาภ ทรัพย์สมบัติ การค้าขาย
    - เจ้าพ่อเสือ : มีฐานะเป็นเทพเจ้าชั้นรอง แต่ก็เป็นที่นิยมกราบไหว้ โดยเฉพาะคนที่กำลังมีคดีความ ต้องขึ้นศาล ของบูชาที่ขาดไม่ได้ คือ เนื้อหมูและไข่ และต้องลูบมันหมูใส่ปากเจ้าพ่อเสือด้วย ถือว่าถวายของต้องโฉลกจะมีโชคมีชัยได้ลาภผลพูนทวี
    - เทพเจ้ากวนอู : เป็นบุคคลจริงในประวัติศาสตร์ 'สามก๊ก' ของท่านสูงใหญ่ หน้าแดง คิ้วดก ตาดำ หนวดเครายาว น้ำเสียงดังกังวาน อุปนิสัยรักษาคำพูดด้วยชีวิต รักคุณธรรมชอบการอ่านหนังสือ มีความสามารถในการรบ เมื่อท่านเสียชีวิต ทางราชการยกย่องให้เป็นเทพารักษ์เรียกว่า 'กวนตี่' หรือ 'บู๋ตี่' คือ เทพเจ้าแห่งสงคราม หรือเทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ ชาวจีนจึงทำรูปปั้นไว้บูชา เพื่อขจัดทุกข์สิ่งชั่วร้ายต่างๆ จากบ้านเรือนและนำโชคลาภ ความเป็นสิริมงคลเข้ามาแทนที่ เพื่อให้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุข
    - เทพเจ้าไท้ส่วยเอี้ย : หรือเทพเจ้าคุ้มครองดวงชะตา ชาวจีนให้ความสำคัญมาก ดังจะเห็นได้จากโหราศาสตร์หรือดวงจีนที่ผูกพันกับเรื่องนักษัตรปีเกิด หรือดวงชะตาชีวิตของมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม ไม่ว่าชะตาชีวิตจะดีหรือไม่ดี ชาวจีนจะต้องไหว้ เทพเจ้าคุ้มครองดวงชะตา (ไท้ส่วยเอี้ย) เพื่อให้คุ้มครอง หากดวงชะตาชีวิตดีอยู่แล้ว ก็จะช่วยส่งเสริมให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ถ้าชะตาชีวิตไม่ดีก็จะช่วยให้หนักเป็นเบา คุ้มครองป้องกันจากอุปสรรคทั้งปวงให้ผ่านพ้นไปด้วยดี จนผ่านปีนักษัตรนั้นไปได้ด้วยความราบรื่น
    - ตี่จู่เอี๊ย (ศาลเจ้าที่) : ตามบ้านเรือนร้านค้าของคนไทยเชื้อสายจีน จะมีศาลเจ้าเล็กๆ สีแดงตั้งอยู่ในบ้าน ด้านหลังด้านใดด้านหนึ่งของบ้านหรือร้านค้า ซึ่งถ้าเข้าไปดูใกล้ๆ จะเห็นรูปจำลองเทพสถิตอยู่ โดยมีความเชื่อว่าจะช่วยให้ครอบครัวอยู่ร่มเย็นเป็นสุข จะปกป้องภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นกับครอบครัว และช่วยอำนวยให้กิจการค้าประสบความสำเร็จ การบูชาเจ้าที่จะใช้น้ำชาบูชา ซึ่งอาจจะบูชา 3 ถ้วย หรือ 5 ถ้วย แล้วแต่เจ้าของร้านค้า พร้อมด้วยผลไม้ เช่น ส้ม และผลไม้อื่นๆ ตามฤดูกาล
    - - -- - - - - - - - - - -- - - - - - - - - --
    ข่าวและภาพ จาก : กรุงเทพธุรกิจ วันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548
    ที่มา : http://www.bangkokbiznews.com
     
  14. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,129
    เจ้าพ่อเสือ ๑.jpg

    ขอบคุณสาระดีดีครับ
     
  15. ศักดิ์

    ศักดิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,187
    ค่าพลัง:
    +2,022
    ผมมีภาพมงคลมาฝากเป็น องค์เจ้าพ่อเสือ(ตั่วเหล่าเอี้ย) องค์นี้เช่ามาจากศาลฯ ช่วงที่ศาลกำลังซ่อมอยู่ ทำจากผงธูปซึ่งยังมีให้เช่าที่ศาลฯ[​IMG] [​IMG]
    http://www.tewaracha.com/history-jao-poh-siue.shtml
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2008
  16. ศักดิ์

    ศักดิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,187
    ค่าพลัง:
    +2,022
    ปักเก็กจิงบู้เหี่ยงเทียงเสี่ยงตี่

    คำสวดถวายองค์ตั่วเล่าเอี๊ยกง<O:p</O:p

    <O:p</O:p
    เทียง เอียง เอียง จุ้ย เหมี่ยง เมี้ยง
    ปัก เทียน จุ้ย เต็ก เหล่ง ขี่ เชี้ยง<O:p</O:p
    จิน บู้ สิ่ง เจี่ยง เง็ก ฮือ ห่วย
    เสี่ยง เต็ง กิม ขวก ตี่ หง่วง เทียง
    จี๋ เพ้า กิม ตั่ว เง็ก กวง เหยี่ยว<O:p</O:p
    โหงว ลุ้ย สิ่ง เปีย หู่ แก่ เปี่ยง<O:p</O:p
    หลัก เต็ง เง็ก นึ่ง สุ่ย จอ อิ๋ว
    <O:p</O:p
    โปย สั่วะ เจียง กุง อ่วย เอ่า เชี้ยง<O:p</O:p
    โปย ข่วย สิ่ง กู กื่อ จั่ว เจี่ยง<O:p</O:p
    กั่ง หง เซี่ย จก เท้ง ปวย เซี้ยง<O:p</O:p
    อุย เฮี้ยง สิ่ง เล้ง ทง สี่ ไฮ่<O:p</O:p
    เสียะ ซี ฮก เจ็ก บ่วง มิ้ง เตียม<O:p</O:p
    เหียง เก็ง หุก เกาะ แจ่ สก สก<O:p</O:p
    เจ็ง เล้ง เหียก สิ่ว ห่วย จวง เงี้ยม<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    กิม ซี้ อู้ อี่ ห่ง หุก เสี่ย<O:p</O:p
    จี เซียว เล้า เจี๋ย เยี่ยว เชง เฮียง<O:p</O:p
    ซำ กุ๋ย กิว ไป่ คึง เค่า เชี่ย<O:p</O:p
    เหี่ยง เทียง เสี่ยง ตี่ เกี้ย เหมี่ยว เฮี้ยง<O:p</O:p
    ฮก หง่วง ไต่ ซื้อ เทียง จุง กั่ง<O:p</O:p
    อี๋ ตื๋อ เอียว ม้อ เจง สุ่ย เซี้ยง<O:p</O:p
    กิ้บ กิบ หยู่ หลุก เหลง

    <O:p>[music]http://palungjit.org//attachment.php?attachmentid=371261&stc=1&d=1217395752[/music]</O:p>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. ศักดิ์

    ศักดิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,187
    ค่าพลัง:
    +2,022
    [​IMG]
    บทสรรเสริญองค์ตั่วเหล่าเอี๊ย
    เหี่ยง เทียง เสี่ยง ตี่ กง เหี่ยง เทียง เสี่ยง ตี่ กง เหี่ยง เทียง เสี่ยง ตี่ กง ฮุกโจ้ว(สวดถวาย 9จบ)
    [music]http://palungjit.org//attachment.php?attachmentid=377304&stc=1&d=1218296572[/music]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2008
  18. jaroenthai

    jaroenthai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    913
    ค่าพลัง:
    +3,962
    ตั่วเหล่าเอี๊ย

    เหี่ยง เทียง เสี่ยง ตี่ กง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_0652.JPG
      IMG_0652.JPG
      ขนาดไฟล์:
      65.8 KB
      เปิดดู:
      1,514
  19. ศักดิ์

    ศักดิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,187
    ค่าพลัง:
    +2,022
    องค์ท่านน่าเกรงขามมากครับ
     
  20. ปัจเจกพุทธะ

    ปัจเจกพุทธะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +121
    มีเรื่องหนึ่งผมสงสัยอยากจะถามผู้รู้หน่อยครับ เรื่องมีอยู่ว่า บริษัทที่ผมทำงานอยู่ได้อัญเชิญยันต์ของเจ้าพ่อเสือมาใส่กรอบแล้วว่างไว้บนหิ้งที่ห้องทำงาน แล้วตอนกลางคืนเมื่อไม่นานมานี่ ท่านได้ปรากฎตัวให้ผมเห็น คือท่านนั่งอยู่ที่ชั้นวางเอกสารใกล้ๆกับหิ้งของท่าน หน้าตาสีแดง คิ้วหนาติดกัน ใบหน้า หน้าเกรงขาม ตอนนั้นผมตกใจมาก เพราะไม่รู้ว่าเป็นใครเพราะที่ทำงานของผมนั้นมีเจ้าที่มากกว่า1จึงมีเรื่องราวมากมายให้เล่าสู่กันฟัง ที่ผมสงสัยจึงอยากจะถามผู้รู้ว่า
    1. การตั้งหิ้งของท่านควรหันหน้าไปทางทิศไหน(ตอนนี้อยู่ต่ำกว่าหิ้งพระอยู่แล้ว)
    2. การจุดธูปไหว้ท่านควรจุดกี่ดอก(ไหว้ที่หิ้งที่ทำงาน)
    3. วิญญานที่ผมเจอจะใช่เจ้าพ่อเสือหรือป่าวหรือจะเป็นบริวารของท่านที่ให้มาประจำตำแหน่ง
    ขอเรียนถามผู้รู้ด้วยครับ

    อายันตุ โภนโต อิธะ ทานะ สีละ เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจาธิฏฐานะเมตตุเปกขา ยุทธายะ โว คัณหะถะอาวุธานีติ.

    ดูก่อนพระบารมีทั้งหลาย ขอเชิญพระบารมีคือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิฐานะ เมตตา และอุเบกขา จงมาที่นี่โดยเร็วพลัน แล้วพากันถือเอาอาวุธ เพื่อยุทธ์กับพญามาร (กิเลส) เถิด.
    อนุโมทนาครับ.
    บริจาคเงินช่วยวัดพระบาทน้ำพุ
    โทร.1900-222-200 6บาท/นาที
     

แชร์หน้านี้

Loading...