ติดตามสถานะการณ์

ปอกเปลือก ทรราช
สภาพมัสยิดที่พวกอัลเคด้าใช้เป็นซ่องโจรหลังถูกสหรัฐโจมตีทางอากาศเมื่อวันที่ 16 มี.ค.60 สมาชิกพวกผู้ก่อการร้ายอัลเคด้า/อัลนุสราฟรอนท์ ที่รอดชีวิตรวมตัวกันเก็บศพพวกเดียวกันในที่เกิดเหตุ ฝีมือของลูกพี่ใหญ่ของพวกที่ถูกโจมตีนั่นแหละ (17 มี.ค.60)
-----------

.

 

ปอกเปลือก ทรราช



โพลชี้: ประชาชนชาวอังกฤษมากกว่าครึ่งไม่รู้ว่าเกิดสงครามในเยเมนจากการรุกรานของซาอุดิอาระเบีย ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนจากสำนักโพล YouGov ของอังกฤษ แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลอังกฤษและตะวันตกประสบความสำเร็จในการปิดหูปิดตาประชาชนได้เป็นอย่างดี
--------------
http://www.presstv.ir/Detail/2017/03/18/514769/UK-YouGov-poll-Yemen-war-Saudi-Arabia
http://en.iuvmnews.com/2017/03/18/over-half-of-people-in-uk-unaware-of-saudi-war-against-yemen-poll/
http://www.independent.co.uk/news/u...udi-air-strikes-civilian-deaths-a7636271.html
http://en.farsnews.com/newstext.aspx?nn=13951228000710
.

 

ปอกเปลือก ทรราช
แพ็กคู่แบบฝรั่งเศส: ทหารหน่วยลาดตระเวนของฝรั่งเศสวิสามัญผู้ร้ายที่พยายามแย่งปืนทหารในสนามบิน Orly กรุงปารีส, เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บจากการดวลปืนกับผู้ร้ายทางเหนือของกรุงปารีส
-------------
ทหารฝรั่งเศสหลายนายระดมยิงชายคนหนึ่งดับคาสนามบิน Orly ในกรุงปารีส ซึ่งผู้ต้องสงสัยคนดังกล่าวได้พยายามแย่งอาวุธปืนจากทหารนายหนึ่งซึ่งทำหน้าที่ลาดตระเวนภายในสนามบิน มีการอพยพประชาชนออกจากอาคารผู้โดยสารหลังเกิดเหตุ
"ชาวคนดังกล่าวประสบความสำเร็จในการยึดอาวุธปืนจากทหารนายหนึ่ง แต่เขาก็ถูกกำจัดอย่างรวดเร็วโดยหน่วยรักษาความปลอดภัย" Pierre-Henry Brandet โฆษกกระทรวงมหาดไทยของฝรั่งเศสกล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์ส
เจ้าหน้าที่ตำรวจฝรั่งเศสกล่าวกับสำนักข่าว RT ว่า "เรายืนยันว่าชายคนดังกล่าวซึ่งพยายามแย่งอาวุธจากทหารนายหนึ่งได้ถูกกำจัดไปแล้ว ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดมากไปกว่านี้" รายงานข่าวกล่าวอีกว่าไม่มีผู้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บรายอื่น
ชายคนดังกล่าวก่อเหตุคนเดียว แหล่งข่าวจากฝ่ายตำรวจกล่าวกับรอยเตอร์สว่า เขาทราบจากหน่วยข่าวกรองว่าผู้ก่อเหตุเป็นมุสลิมหัวรุนแรง
ต่อมา Pierre-Henry Brandet ยืนยันว่าผู้ก่อเหตุคนดังกล่าวได้ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งได้รับบาดเจ็บบริเวณชานเมือง Stains กรุงปารีสในช่วงเช้า การยิงกันเกิดขึ้นหลังจากตำรวจชุดลาดตระเวนได้สั่งให้รถยนต์ของชายคนหนึ่งจอดเพื่อขอตรวจบัตรประจำตัวประชาชน
อัยการฝ่ายต่อต้านการก่อการร้ายจะเข้ามาทำคดีนี้ กระทรวงมหาดไทยกล่าวว่าการก่อเหตุในครั้งอาจจะมีการก่อการร้ายเป็นแรงจูงใจ แต่ยังเร็วเกินไปที่จะด่วนสรุป เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวพ่อและลูกชายของผู้ก่อเหตุไว้แล้ว
[วันที่ 16 ก็เกิดเหตุการณ์พัสดุไปรษณีย์ระเบิดที่สำนักงาน IMF ในกรุงปารีส และนักเรียนมัธยมวัย 17 ปีควงอาวุธปืนไรเฟิล ปืนพกสั้น และระเบิดก่อเหตุในโรงเรียนแห่งหนึ่งหวังสังหารครูใหญ่ วันนี้มาเป็นคู่อีกแล้ว - ผู้แปล]
The Eyes
เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
https://www.facebook.com/fisont
https://vk.com/theeyesproject
18/03/2560
----------
https://www.rt.com/news/381219-shooting-paris-orlya-airport/
https://sputniknews.com/europe/201703181051715909-paris-aorly-airport-operation/
https://www.rt.com/news/381227-police-paris-shooting-injured/

 

ปอกเปลือก ทรราช
พอรบแพ้ก็ขอพาครอบครัวย้ายไปรบต่อที่อื่นตามระเบียบ: กบฏซีเรียและผู้ก่อการร้ายสละฐานที่มั่นแห่งสุดท้ายในจังหวัด Homs ไปยังพื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือของอะเลปโป เขตอิทธิพลของตุรกี



-------------



สำนักข่าว AMN ของเลบานอนรายงานจากกรุงดามัสกัสประเทศซีเรียว่า มีพวกกบฏจำนวน 2,000 กว่าคน (พร้อมทั้งครอบครัว เด็ก ผู้หญิง และคนชรา) ได้ละทิ้งพื้นที่ยึดครองของตนเองใจกลางเมือง Homs ตามข้อตกลงที่ได้ทำร่วมกับฝ่ายรัฐบาลซีเรีย
รายงานข่าวบอกว่าชุดแรกประกอบด้วยผู้ก่อการร้าย 150 คนได้เดินทางออกไปจากอำเภอ Al-Waer ฝ่ายรัฐบาลซีเรียและฝ่ายกบฏ (/ผู้ก่อการร้าย) ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกัน ซึ่งพวกผู้ก่อการร้ายยอมมอบฐานที่มั่นแห่งสุดท้ายของตนเองคืนให้กับฝ่ายรัฐบาลซีเรีย แลกกับการอพยพไปอยู่ที่อื่น เช่นทางเหนือของจังหวัดฮอมส์ อิดลิบ และ Jarabulus ใกล้ชายแดนตุรกี
แหล่งข่าวในพื้นที่รายงานว่ามีประชาชนประมาณ 20,000 คน ซึ่งรวมทั้งพวกผู้ก่อการร้าย 300 คน ได้แสดงความต้องการที่จะย้ายที่อยู่ไปยังหนึ่งในสามแห่งของพื้นที่ที่ได้ตกลงกันไว้ คาดว่าจะจำนวนผู้อพยพจะเพิ่มขึ้นถึง 30,000 คน เมื่อมีการดำเนินการตามข้อตกลง ประมาณ 10,000 คนเลือกที่จะอยู่ในพื้นที่ต่อไป หลังจากมีการรับรองสถานะโดยทางการซีเรียแล้ว
ในขณะเดียวกัน กองทัพฝ่ายรัฐบาลซีเรียก็จะทำการยกเลิกการปิดล้อมทันที ขบวนรถขนสิ่งของบรรเทาทุกข์ก็จะสามารถเข้าไปในพื้นที่ได้โดยง่ายยิ่งขึ้น
[ข้อสังเกต: เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า ไม่ได้มีเฉพาะชาวซีเรียเท่านั้นที่ต่อสู้ฝ่ายรัฐบาลซีเรียในนามของ "กบฏสายกลางฝ่ายค้านซีเรีย" มีพวกต่างด้าว ต่างชาติ จำนวนมากที่ฉวยโอกาสขนสมาชิกครอบครัวของตนเองเข้าไปยึดพื้นที่ทำกินและที่อยู่อาศัยของคนท้องถิ่นช่วงที่ซีเรียกำลังวุ่นวายกับสงครามกลางเมือง
ส่วนใหญ่พวกนี้อพยพมาจากตุรกี และประเทศใกล้เคียง พอรบแพ้ ก็จะขอย้ายไปอยู่ที่อื่น โดยมีหน่วยงานของยูเอ็น กาชาดสากล และ NGO ท้องถิ่นคอยอำนวยความสะดวกให้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรก และไม่ใช่ครั้งสุดท้าย การอพยพของพวกที่อ้างว่าเป็นกบฏสายกลางซีเรียครั่งใหญ่ที่สุดซึ่งเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ก็คือการอพยพออกจากอะเลปโปตะวันออก หลังกองทัพฝ่ายรัฐบาลซีเรียและพันธมิตรประสบความสำเร็จในการปลดปล่อยพื้นที่แห่งนั้น
ประชาชนชาวซีเรียท้องถิ่นเจ้าของที่อยู่อาศัยตัวจริง จะไม่อพยพตามพวกกบฏและผู้ก่อการร้ายเหล่านั้น สังเกตได้จากกรณีของอะเลปโปตะวันออก หลังจากพวกกบฏและผู้่ก่อการร้ายย้ายออกไปแล้ว เจ้าของบ้านตัวจริงก็พากันย้ายกลับเข้าไปซ่อมแซมดูแลบ้านเรือนของตนเอง
ล่าสุดมีรายงานข่าวว่า สหรัฐส่งเครื่องบินรบและโดรนสังหารไปถล่มพวกที่อพยพไปก่อนหน้านี้ที่จังหวัดอิดลิบทางเหนือของซีเรีย (ถล่มมัสยิด) ซึ่งสหรัฐกล่าวว่าพวกนั้นเป็น "ผู้ก่อการร้ายอัลเคด้า" ซึ่งก็คือพวกที่อพยพไปจากพื้นที่ต่างๆในซีเรียแบบนี้แหละ พอมีข่าวว่าสหรัฐบอมบ์มัสยิดที่อิดลิบ พวกกบฏและผู้ก่อการร้ายเหล่านี้ขอย้ายไปอยู่ในพื้นที่ดูแลและเขตอิทธิพลของกองทัพตุรกีในซีเรียแทน ไม่ไปแล้วอิดลิบ ไปที่ Jarabulus และพื้นที่ใกล้เมือง Manbij ดีกว่า แน่นอน ตุรกีก็จะได้กำลังพลเพิ่มในการทำศึกกับเคิร์ดทางตอนเหนือของซีเรียต่อไป - ผู้แปล]
The Eyes
เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
https://www.facebook.com/fisont
https://vk.com/theeyesproject
18/03/2560
----------
https://www.almasdarnews.com/article/first-batch-rebels-leaves-last-stronghold-syrias-homs-photos/

 

ปอกเปลือก ทรราข
คลิปข่าวพวกกบฏและผู้ก่อการร้ายยอมอพยพครอบครัวของตนเองออกจากฐานที่มั่นแห่งสุดท้ายในจังหวัด Homs และกองทัพฝ่ายรัฐบาลซีเรียจะเข้าไปดูแลพื้นที่ต่อไป โดยมีรัสเซียเป็นคนกลางในการเจรจา (18 มี.ค.60)
----------------

.

 

ปอกเปลือก ทรราช
ช่างหัวการแซงชั่นประไร! 3 ใน 4 ของประชาชาวรัสเซียไม่เห็นด้วยกับการร้องขอให้ตะวันตกยกเลิกการคว่ำบาตรรัสเซีย เพราะว่าพวกตะวันตกเจ็บหนักกว่ารัสเซีย (Screw the Sanctions! 3 in 4 Russians Oppose Begging West to Lift Restrictions) - โพลชี้
-------------

วันที่ 18 มี.ค.60 Sputnik รายงานว่าชาวรัสเซียจำนวนมากถึง 76% คัดค้านความพยายามใดๆที่รัฐบาลจะยกเลิกการแซงชั่นของพวกตะวันตกต่อรัสเซีย สำนักโพล Russian Public Opinion Research Center (VTsIOM) ที่เก่าแก่ที่สุดของรัสเซียเปิดเผย

จากรายงานของสำนักโพลแห่งนี้พบว่า 3 ใน 4 ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่า รัสเซียไม่ควรผลักดันการยกเลิกการคว่ำบาตร เนื่องจากการคว่ำบาตรได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศ (ตะวันตก) เหล่านั้นซึ่งกระทำต่อรัสเซียก่อนมากกว่า ดังนั้นประเทศเหล่านั้นนั่นแหละที่ควรจะเป็นฝ่ายยกเลิกการคว่ำบาตรก่อน ตัวเลข 76% เพิ่มขึ้นจาก 57% ของประชาชนที่มีมุมมองเหมือนกันนี้ในปี 2015

รายงานข่าวยังกล่าวอีกว่า มีผู้ตอบแบบสอบถามเพียง 18% เท่านั้นที่กล่าวว่าควรจะยกเลิกข้อจำกัดต่างๆ โดยอ้างถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจที่รุนแรงต่อรัสเซีย เมื่อสองปีที่แล้ว ผู้ที่มีมุมมองแบบนี้มีจำนวนถึง 33%

ผู้ตอบแบบสอบถาม 27% เชื่อว่าการแซงชั่นมีผลกระทบที่มีนัยสำคัญในการทำให้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในประเทศเลวร้ายลง 32% กล่าวว่าการแซงชั่นไม่มีผลกระทบที่รุนแรงอะไร 35% กล่าวว่าในทางตรงกันข้าม การแซงชั่นกลับส่งผลบวก (เพิ่มขึ้นจาก 32% ในปี 2015) 79% ระบุว่าโดยส่วนตัวแล้วพวกเขาและครอบครัวไม่ได้รับผลกระทบจากการแซงชั่น มีเพียง 17% เท่านั้นที่กล่าวว่าตนเองได้รับผลกระทบ

สำนักโพลแห่งนี้ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นระหว่างวันที่ 1-2 มีนาคม 2017 จากผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 1,200 คนจากเมืองและภูมิภาคต่างๆของรัสเซียทั่วประเทศ ค่าความผิดเพี้ยนของโพลไม่เกิน 3.5%

The Eyes
เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
https://www.facebook.com/fisont
https://vk.com/theeyesproject
19/03/2560
----------
https://sputniknews.com/russia/201703181051727422-russians-sanctions-polling/

 

ปอกเปลือก ทรราช
ตุรกีโมเดล: ผู้ก่อการร้ายที่ก่อเหตุชิงยิงตำรวจและถูกยิงตายหลังชิงปืนจากทหารฝรั่งเศสที่สนามบิน Orly กรุงปารีสตะโกนว่า "ข้ามาที่นี่เพื่อพลีชีพให้กับพระอัลเลาะห์ จะต้องมีความตายเกิดขึ้น"
-------------

วันที่ 18 มี.ค.60 RT พาดหัวข่าวว่า "คนร้ายที่โจมตีที่สนามบินตะโกนว่า 'ข้ามาที่นี่เพื่อพลีชีพให้กับพระอัลเลาะห์ จะต้องมีการเสียชีวิต' อัยการกล่าว" (Airport attacker shouted ‘I am here to die for Allah. There will be deaths’ — prosecutor)

ทางการฝรั่งเศสมองว่าการโจมตีที่สนามบิน Orly เป็นการกระทำของผู้ก่อการร้าย และได้คุมขังผู้ต้องสงสัยไว้แล้วจำนวน 3 คน อัยการกรุงปารีสกล่าวว่า นาย Ziyed Ben Belgacem (สัญชาฝรั่งเศส) ซึ่งเป็นผู้ก่อเหตุได้ตะโกนสโลแกนของอิสลาม ก่อนที่จะถูกยิงปลิดชีพโดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย

"ข้ามาที่นี่เพื่อพลีชีพให้กับพระอัลเลาะห์ จะมีความตายเกิดขึ้น" (I am here to die for Allah, there will be deaths) ชายวัย 39 ปีร้องไห้ในขณะที่เขาพยายามฉกปืนไรเฟิลจากหนึ่งในสมาชิกหญิงสาวกองทัพอากาศซึี่งปฏิบัติหน้าที่ ณ สนามบิน Orly นาย Francois Molins อัยการกรุงปารีสกล่่าวในการแถลงข่าวในเมืองหลวงของฝรั่งเศสในตอนเย็นวันเสาร์

[ศรัทธาเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าไม่ประกอบด้วยเหตุผลและปัญญา มันก็จะก่อ "ปัญหา" และเป็น "มิจฉาทิฎฐิ" (ความเห็นผิด) และไม่สามารถแยกแยะได้ว่าการกระทำแบบไหนถูกหรือผิด หลงผิดและถูกคนอื่นชักจูงและมอมเมาให้กระทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ด้วยการอ้างว่าการเบียดเบียนและการกระทำต่อผู้อื่นด้วยความรุนแรงนั้นเพื่อศาสนาและเพื่อพระเจ้าของตนเอง

หากเขาต้องการที่จะพลีชีพตัวเองเพื่อพระเจ้าจริง ทำไมเขาถึงไม่เป่าศรีษะตัวเองหรือไปกระโดดน้ำตายหรือทำอย่างอื่นที่คนอื่นไม่ได้รับความเดือดร้อนไปด้วย? ข้ออ้างของพวกขี้ขลาดก็คือการโยนความรับผิดชอบจากการกระทำความชั่วของตนเองไปให้ "พระเจ้าและศาสนา" - ผู้แปล]

ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ของฝรั่่งเศสได้เปิดเผยว่า นาย Ben Belgacem พลเมืองชาวฝรั่งเศสได้ก่อเหตุยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึี่งจนได้รับบาดเจ็บ ในขณะที่พยายามหยุดรถของเขา ที่จุดตรวจแห่งหนึ่งใกล้สนามบิน Le Bourget ซึ่งเป็นสนามบินแห่งหนึ่งใกล้กรุงปารีส ตามรายงานข่าวบอกว่าผู้ร้ายรายนี้ได้จี้และชิงรถยนต์คนหนึ่งมาได้ก่อนมุ่งหน้าไปยังสนามบิน Orly หนึ่งในสนามบินที่เป็นศูนย์กลางด้านการคมนคมที่จอแจที่สุดของประเทศ

อัยการโมลินส์กล่าวว่า นาย Ben Belgacem ได้ถือถังน้ำมันเบนซินเข้าไปในตัวอาคารผู้โดยสาร ซึ่งเขาได้เหวี่ยงลงพื้นก่อนเกิดการวิวาทกับหน่วยลาดตระเวนของกองทัพอากาศ จากนั้นทหารจำนวนสองนายก็เข้าสะกัด และยิงกระสุนออกไป 8 นัด เข้าร่างของชายคนดังกล่าวจำนวน 3 นัด ปลิดชีพเขาในทันที พบคัมภีร์อัลกุระอานที่ร่างของเขาด้วย

พี่ชายและพ่อของผู้ก่อการร้าย ตามรายงานข่าวบอกว่าได้รับข้อความจากผู้ก่อเหตุเพียงไม่กี่นาทีก่อนที่เขาจะเสียชีวิต ถูกควบคุมตัวในช่วงเวลาที่เกิดสถานการณ์ที่ตึงเครียด

อัยการ Molins กล่าวอีกว่าญาติคนหนึ่งของนาย Ben Belgacem ได้เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหลังเกิดเหตุโจมตี และนำไปสู่การอพยพผู้คนออกจากสนามบิน Orly เครื่องบินโดยสารได้รับคำสั่งให้เปลี่ยนเส้นทางไปลงที่สนามบิน Charles De Gaulle ซึ่งอยู่ใกล้ๆแทน

อัยการกล่าวว่า นาย Ben Belgacem เกิดในกรุงปารีส เคยถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 5 ปีในข้อหาขโมยอาวุธสำหรับความผิดที่ก่อไว้ในปี 1998 และเขาก็เคยติดคุกอีกสองครั้ง เป็นเวลา 3 ปี และ 5 ปีในข้อหาค้ายาเสพติด (drug trafficking)

หลังเกิดการโจมตีกรุงปารีสในปี 2015 บ้านของเขาก็ถูกตรวจค้นด้วย แต่เขาไม่ได้อยู่ในลำดับที่สำคัญอันดับต้นๆในแฟ้ม S ซึ่งเป็นบัญชีรายชื่อของผู้ต้องสงสัย (suspects) ที่อันตรายที่สุด (ของทางการฝรั่งเศส)

The Eyes
เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
https://www.facebook.com/fisont
https://vk.com/theeyesproject
19/03/2560
----------
https://www.rt.com/news/381259-airport-attacker-allah-death/

 

ปอกเปลือก ทรราช
จีนและรัสเซียสะกัดแถลงการณ์ของยูเอ็นเกี่ยวกับชาวโรฮิงญาในพม่า
-------------

จีนกับรัสเซียขวางแถลงการของยูเอ็นกรณีปัญหาชาวโรฮิงญาในพม่า โดยกล่าวว่ากรณีโรฮิงญาในพม่าเป็นเรื่องภายในของเขา ประเทศอื่นไม่ควรเข้าไปก้าวก่าย ในขณะเดียวกัน ยูเอ็นโดยเฉพาะมาเลเซียกลับเงียบกริ๊บกรณีฮ.อาปาเช่ (สงสัย) ของกองทัพซาอุดิอาระเบียสังหารโหดผู้ลี้ภัยชาวโซมาเลียซึ่งมีเอกสารของ UNHCR นอกชายฝั่งเยเมน ซึ่งพยายามเดินทางข้ามไปยังซูดานเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 42 คนรวมทั้งเด็กและผู้หญิงด้วย กรณีโรฮิงญานั้นมาเลเซียด่าพม่าว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวมุสลิมโรฮิงญา

แต่กรณีการสังหารหมู่ผู้ลี้ภัยชาวโซมาเลียซึ่งประชากรส่วนใหญ่ของโซมาเลีย (99.8%) เป็นชาวมุสลิม นิกายซุนนี ถูกสังหารโดยซุนนี (วาฮะบี) ซาอุดิอาระเบีย มาเลเซียกลับเงียบกริ๊บ ตุรกีก็เงียบ สหรัฐ: "อะไรเหรอ?" ยูเอ็น: "มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นจริงเหรอ?" อียู: "ไม่รู้ไม่ชี้"

The Eyes
เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
https://www.facebook.com/fisont
https://vk.com/theeyesproject
18/03/2560
----------

 

รถวิ่งอืดเครื่องสั่น “วาล์ว” เสียหรืเปล่า? ศุกร์ 17 มีนาคม 2560


ระบบวาล์ว คือชิ้นส่วนสำคัญที่บรรจุอยู่ในเครื่องยนต์ เมื่อคุณขับรถถึง 100,000 กิโลเมตร หรือเมื่อมีอาการรถวิ่งอืด รอบเดินเบาสั่นเหมือนเครื่องจะดับ จำเป็นต้องมาตั้งระบบวาล์วเพื่อให้การขับขี่เป็นไปอย่างปกติเหมือนดังเดิม ส่วนรถติดแก๊สวาล์วจะเสื่อมเร็วกว่าปกติ ควรตรวจสอบที่ระยะ 50,000 กิโลเมตร หรือตามที่คู่มือรถกำหนดโดยช่างผู้ชำนาญการ ซึ่งคุณสามารถไปเช็กได้ที่ศูนย์บริการ หรืออู่ที่คุณไว้วางใจได้เลย

วาล์วมี 2 ลักษณะ วาล์วไอดี และวาล์วไอเสีย ถูกติดตั้งอยู่ในฝาสูบ หากวาล์วมีระยะที่ผิดปกติไปจากเดิม จะส่งผลกระทบต่อเครื่องยนต์ เช่น ระยะวาล์วห่างเกินไปจะทำให้เครื่องยนต์เผาไหม้ไม่ดีพอ แรงม้า และแรงบิดลดลง ยังส่งผลให้กินน้ำมันมากขึ้นอีกด้วย ส่วนวาล์วตัวใดที่ชำรุด หรือสึกมากไม่สามารถปิดได้ ที่เรียกติดปากว่า "วาล์วยัน" โดยมากแล้วชำรุดที่วาล์วไอเสีย สูบใดวาล์วยัน สูบนั้นกำลังอัดจะรั่ว เวลาติดเครื่องยนต์ อาการจะคล้ายๆ กับจุดระเบิดไม่ครบสูบทำให้เครื่องสั่นมาก

อาการวาล์วยันคือ

1. รถจะวิ่งอืดผิดปกติ อัตราเร่งจะหายไป

2. รอบเครื่องยนต์ผิดปกติวูบเหมือนจะดับ

3. รถกินน้ำมันผิดปกติ

อาการวาล์วรั่ว มี 2 กรณีคือ

1. วาล์วรั่ว คือเวาล์วปิดไม่สนิท ทำให้ไอดีรั่วเข้ามาห้องเผาไหม้ ก็จะทำให้เกิดควันดำ

2. มีควันขาว แต่ในกรณีที่มีควันขาวนั้น ก็อาจเกิดจากสาเหตุอื่นได้เช่นกัน เช่น แหวนลูกสูบหลวม หรือ ปลอกสูบเป็นรอย

หากรถคุณเจออาการดังที่กล่าวมา ก่อนที่ความเสียหายจะเพิ่มมากขึ้น ให้รีบนำรถเข้าศูนย์ซ่อมได้เลย เพราะค่าใช้จ่ายในการปรับตั้งวาล์วไม่แพง อยู่ที่หลักพันบาทต้นๆ ขึ้นอยู่กับยี่ห้อรถยนต์ แต่ถ้าเครื่องยนต์วาล์วรั่วเตรียมปาดเหงื่อได้เลย เพราะค่าใช้จ่ายในการซ่อมก็ราคาประมาณหลักหมื่น ต้องเปิดฝาสูบ ตรวจเช็ค ปรับตั้งเปลี่ยนวาล์ว งานใหญ่แน่นอน

ที่สำคัญควรระวังช่าง หรืออู่บางที่ให้ดี เพราะคุณอาจโดนหลอกได้ เนื่องจากอาการอาจเป็นแค่วาล์วยัน แต่ตอนเก็นเงินดันบอกว่าวาล์วรั่ว มั่วเก็บเงินคุณมากกว่าความเป็นจริง ยังไงต้องดูให้ดีนะครับเพราะราคาค่าซ่อมมันต่างกันมากทีเดียว

http://www.silkspan.com/v2/article/1786/

 

6 ปี ฟุคุชิมากับความจริง! Fukushima: 6 years after Japan's worst nuclear disaster! โดย : ปิยมิตร ปัญญา piyamitara@gmail.com
ที่มา www.matichon.co.th

เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2011 ถูกผลักลงลึกไปเรื่อยๆ ในลิ้นชักความทรงจำของคนทั่วไป แม้ว่าในความทรงจำของผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์แผ่นดินไหว ที่ต่อด้วยคลื่นยักษ์และหายนะทางนิวเคลียร์ครั้งร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ทุกอย่างยังคงสดใหม่อยู่ก็ตามที

ผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงดังกล่าว คือผู้ที่ญาติมิตรตกเป็นเหยื่อของสึนามิไปในวันนั้นร่วมๆ 19,000 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านที่พำนักอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของฟุคุชิมา วินาศภัยที่เกิดขึ้นกับโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ฟุกุชิมา-ไดอิจิ ในเวลาต่อมา ส่งผลให้ทางการญี่ปุ่นต้องบังคับอพยพผู้คนโดยรอบบริเวณ ออกนอกที่อยู่อาศัยดั้งเดิมอีกกว่า 160,000 คน

6 ปีผ่านไป มีเพียงจำนวนน้อยมากของตัวเลขดังกล่าวนั้นสามารถเดินทางกลับเข้าไปอยู่ในถิ่นที่อยู่อาศัยแต่เดิม เมื่อเจ้าหน้าที่ทางการคิดว่าพื้นที่เหล่านั้นปลอดภัยแล้ว

ในปัจจุบันนี้ เมื่อตรวจสอบอาณาบริเวณ ฟุคุชิมา-ไดอิจิ และพื้นที่โดยรอบเพียงผิวเผินก็จะพบเห็นการเปลี่ยนแปลงมากมายจากบริเวณเดียวกันนี้เมื่อ 5 ปีก่อน อันเป็นวาระแรกๆ ที่บุคคลภายนอกได้รับการยินยอมให้เดินทางเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าว

เมื่อ 5 ปีก่อน ฟุคุชิมา-ไดอิจิ เต็มไปด้วยเศษซากสิ่งของปรักหักพังที่คลื่นยักษ์หอบมาจากที่ไหนก็ไม่รู้มากองเอาไว้ ท่อฉีดน้ำดับเพลิง ท่อนเหล็ก ซีเมนต์ อิฐที่เป็นซากสิ่งปลูกสร้างและอาคารกระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณ ขณะที่คนงานหลายพันพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อจัดการกับปัญหาการรั่วไหลในเตาปฏิกรณ์ ท่ามกลางความหวั่นกลัวระดับกัมมันตภาพรังสีที่กำกับอยู่ในทุกย่างก้าวของพวกเขา

6 ปีผ่านไป อาคารเตาปฏิกรณ์ที่เสียหายถูกเสริมความแข็งแรงขึ้นมาอีกครั้ง แท่งเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้วมากกว่า 1,300 ชิ้น ถูกจัดการเก็บรวบรวมและเคลื่อนย้ายออกจากสระเก็บของเตาปฏิกรณ์หมายเลข 4 พื้นดินของโรงไฟฟ้าทุกตารางนิ้วถูกเคลือบด้วยสารเคลือบพิเศษ ที่จะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้น้ำฟ้า-ฝน หิมะ และอื่นใด แทรกซึมลงไปใต้ดิน เพิ่มปัญหาให้กับการบริหารจัดการน้ำใต้ดินของ บริษัท โตเกียว อิเลคทริก เพาเวอร์ หรือ เทปโก ผู้รับผิดชอบการบริหารจัดการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งนี้ให้มากยิ่งขึ้นไปอีก

คนงานซึ่งครั้งหนึ่งเคยจำเป็นต้องเปลี่ยนการแต่งกายเป็นชุดป้องกันรังสีหนาหนักทุกครั้งที่จำเป็นต้องย่างกรายเข้าไปในอาณาบริเวณโรงไฟฟ้า ตอนนี้เพียงสวมเสื้อผ้าบางๆ ตามปกติทั่วไปและใช้เพียงหน้ากากศัลยกรรมเท่านั้นในพื้นที่ส่วนใหญ่ภายในโรงไฟฟ้า

พนักงาน 6,000 คนซึ่งส่วนหนึ่งเป็นพนักงานสัญญาจ้าง สามารถดื่มกิน “อาหารอุ่น” และหยุดพักผ่อนบรรเทาความเหนื่อยล้าที่อาคาร “เรสต์ เฮาส์” ซึ่งเพิ่งเปิดใช้งานเมื่อปี 2015

มองจากภายนอก อันตรายไร้ตัวตน ไม่มีรูปลักษณ์จาก ฟุคุชิมา-ไดอิจิ บรรเทาเบาบางลงเรื่อยๆ สถานการณ์ดูเหมือนจะมากหรือน้อยก็ “อาจ” อยู่ภายใต้การควบคุม

แต่น่าเสียใจที่ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น

จากแนวชายหาดที่ทอดตัวลดเลี้ยวไปกับริมน้ำ เมื่อมองเหนือขึ้นไปบนยอดเนิน สิ่งผิดปกติอย่างแรกในสายตาของทุกผู้คนคือแนวถังเหล็กกล้าเรียงรายเป็นแถวนับไม่ถ้วน แต่ละถังสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามอย่างเอกอุในการต่อสู้กับการลงทัณฑ์ของธรรมชาติในแต่ละวัน แต่ละปีที่ผ่านมา

แผ่นดินไหวใหญ่ก่อให้เกิดสึนามิ คลื่นขนาดมหึมาถาโถมเข้าใส่ฟูกุชิมา-ไดอิจิ ส่งผลให้ระบบการทำงานของเตาปฏิกรณ์ผิดปกติ เกิดสภาวะ “โอเวอร์ฮีท” ขึ้นในส่วนเก็บแท่งเชื้อเพลิง ร้อนจัดจนแท่งเชื้อเพลิงหลอมละลาย แล้วยังทวีความร้อนต่อเนื่องถึงขนาดทำให้ห้องนิรภัยทะลุ แท่งเชื้อเพลิงทั้งหมดที่หลอมจับตัวเป็นก้อนร่วงลงสู่ก้นเตา แพร่กัมมันตภาพรังสีมรณะให้กับน้ำใต้ดินทั้งหมดในอาณาบริเวณดังกล่าว

ถังเหล็กเหล่านั้นคือภาชนะเก็บกักน้ำปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีเหล่านั้น

ตอนนี้กาลเวลาผ่านไปนาน 6 ปี ปริมาณน้ำปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีเพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 900,000 ตัน และยังไม่ยุติ

น้ำปนเปื้อนยังคงเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ ในระดับความเร็วที่ทำให้คาดกันว่าอีกไม่ช้าไม่นานก็คงทะลุผ่านปริมาณ 1 ล้านตัน

ปัญหาน้ำปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสี คือปัญหาใหญ่ เทปโกพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อจำกัดการปนเปื้อนให้คงอยู่จำเพาะภายในอาณาบริเวณฟุคุชิมา-ไดอิจิ ครั้งหนึ่งถึงขนาดทุ่มงบประมาณ 24,500 ล้านเยน เพื่อทำให้พื้นดินบริเวณโดยรอบเตาปฏิกรณ์ทั้งหมดจับแข็ง ทำหน้าที่เป็นเหมือนเกราะอย่างดีป้องกันไม่ให้น้ำใต้ดินแทรกซึมเข้าสู่บริเวณฐานใต้ดินของเตาปฏิกรณ์แต่ละตัว

แต่จนแล้วจนรอดความพยายามที่อวดอ้างเอาไว้มากก็ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง น้ำใต้ดินยังคงแทรกซึมเข้าไป ผสมปนเปเข้ากับกัมมันตภาพรังสีปริมาณสูงมากที่รวมตัวเป็นหนึ่งเดียวอยู่กับน้ำที่เคยทำหน้าที่ “หล่อเย็น” ให้กับเตาปฏิกรณ์เหล่านั้น

ยูอิจิ โอกามูระ โฆษกของเทปโกยอมรับว่า โครงสร้างของกำแพงดินเยือกแข็ง ที่ทำให้ดินในอาณาบริเวณจับตัวแข็งภายใต้อุณหภูมิเย็นจัดลึกลงไปถึง 30 เมตร ยังคงปล่อยให้น้ำใต้ดินเล็ดรอดเข้าไปจนถึงฐานของเตาปฏิกรณ์อยู่ทุกวัน วันละ 150 ตัน

เหตุผลส่วนหนึ่งอาจมาจากแนวของพื้นดิน 5 ด้านที่ยังคงเปิดไว้โดยเจตนา เพื่อป้องกันไม่ให้ระดับน้ำในบริเวณฐานใต้ดินของเตาปฏิกรณ์สูงขึ้นมากและเร็ว จนไหลนองออกมาเร็วมากยิ่งขึ้น และใช้วิธีค่อยๆ ปิดผนึกพื้นที่เหล่านั้นต่อไป

โอกามูระเชื่อว่า ถึงเดือนเมษายนน่าจะจำกัดปริมาณน้ำปนเปื้อนให้อยู่ที่ระดับ 100 ตันต่อวันได้ แล้วขจัดปัญหาน้ำปนเปื้อนทั้งหมดได้ภายในปี 2020

ปี 2020 เป็นวาระที่มหานครโตเกียวกำหนดจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันมหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติอย่างโอลิมปิกเกมส์ขึ้นมา

หากต้องการกำจัดการปนเปื้อนของน้ำใต้ดินให้ได้โดยเด็ดขาด สิ่งที่จำเป็นต้องทำก็คือค้นหาสาเหตุของการปนเปื้อนและจัดการกับต้นเหตุดังกล่าวให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยการนำเอาเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ออกไปให้หมด หรือด้วยการ “ปิดตาย” บริเวณที่เป็นแหล่งที่มาของสารกัมมันตภาพรังสีโดยถาวรต่อไป

แต่จะทำอย่างหนึ่งอย่างใดได้ จำเป็นต้องรู้ให้ได้ก่อนอื่นว่า สภาพภายในเตาปฏิกรณ์ปรมาณูแต่ละเตาเป็นอย่างไร

นั่นคือเหตุผลของการจัดส่งหุ่นยนต์ 2 ตัวเข้าไปภายในเตาปฏิกรณ์ฟุคุชิมา-ไดอิจิเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

เป้าหมายของปฏิบัติการด้วยหุ่นยนต์ครั้งนี้คือ เตาปฏิกรณ์หมายเลข 2 ซึ่งจู่ๆ เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ ปริมาณรังสีอันตรายเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เกิดวินาศภัยไม่คาดฝันขึ้นมาก่อนหน้านี้

ระดับกัมมันตภาพรังสีในบรรยากาศโดยรอบเตาปฏิกรณ์หมายเลข 2 เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 530 ซีเวิร์ตต่อชั่วโมง ทั้งๆ ที่เมื่อปี 2012 วัดค่าดังกล่าวได้เพียง 73 ซีเวิร์ตต่อชั่วโมงเท่านั้นเอง

ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ เจ้าหน้าที่ของเทปโกส่งหุ่นยนต์ตัวแรกเข้าไปภายในเตา หุ่นตัวนี้ทำหน้าที่เป็น “หุ่นกำจัดสิ่งกีดขวาง” เพื่อเปิดทางสะดวกให้กับหุ่นยนต์ที่จะทำหน้าที่สำรวจภายใน ที่กำหนดจะเข้าไปตรวจสอบภายในห้องเก็บเชื้อเพลิงของเตาปฏิกรณ์ในเวลาต่อมา

หุ่นยนต์กำจัดสิ่งกีดขวาง มีทั้งอุปกรณ์ตักเพื่อดันสิ่งกีดขวางออกให้พ้นทาง และยังมีท่อฉีดน้ำแรงดันสูงสำหรับฉีดเพื่อทำความสะอาดเส้นทาง มันทำงานภายใต้การควบคุมจากระยะไกลโดยเจ้าหน้าที่ซึ่งศึกษาสภาพเส้นทางผ่านทางกล้องวิดีโอที่ติดตั้งอยู่กับตัวหุ่น

แต่มันทำงานได้เพียง 2 ชั่วโมง เคลียร์เส้นทางเพียงส่วนเดียวของเส้นทางทั้งหมด เจ้าหน้าที่ก็จำเป็นต้องดึงหุ่นยนต์กลับออกมา เมื่อสังเกตพบว่าวิดีโอตามเวลาจริงของหุ่นมีสัญญาณรบกวนถี่ขึ้นและมืดมากขึ้นตามลำดับ เป็นสัญญาณแสดงให้เห็นว่าอุปกรณ์ของมันเริ่มได้รับความเสียหายจากกัมมันตภาพรังสีภายในแล้ว

ในวันที่ 9 มีนาคม เทปโกตัดสินใจส่ง “สกอร์เปียน” หุ่นยนต์ที่ติดตั้งกล้องถ่ายทอด 2 กล้อง พร้อมเซ็นเซอร์สำหรับการตรวจสอบสภาพภายในเตาปฏิกรณ์ ลงไปตามเส้นทางที่เคลียร์ไว้เป็นบางส่วนอีกครั้ง เพื่อตรวจสอบจุดที่แท่งเชื้อเพลิงหลอมละลายติดอยู่ ว่าอยู่ตรงไหนและอยู่ในสภาพเป็นอย่างไรให้ได้แน่ชัด

หลังจากใช้เวลาราว 2 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่ควบคุมสกอร์เปียนให้เดินทางไปตามเส้นทางที่ต้องการได้เพียง 1 ใน 5 ของเส้นทางทั้งหมด แล้วก็ยกมือยอมแพ้ จำเป็นต้องยุติความพยายามทุกอย่างลงเพียงแค่นั้น

เจ้าหุ่นสกอร์เปียน “ตายแล้ว” วิศวกรรายหนึ่งบอก

“สกอร์เปียน” เป็นหุ่นยนต์สำรวจที่บริษัทโตชิบาผลิตขึ้นมาเพื่อใช้งานสำรวจในพื้นที่ที่มีสารกัมมันตภาพรังสีเข้มข้นโดยเฉพาะ โตชิบาเชื่อว่ามันจะทำงานอยู่ได้นาน 10 ชั่วโมง ภายใต้ระดับความเข้มข้นของสารกัมมันตภาพรังสีสูงถึงระดับ 1,000 ซีเวิร์ตต่อชั่วโมง เพื่อให้มีเวลานานพอในการสำรวจและเก็บข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการดำเนินการขั้นต่อไปกับเตาไฟฟ้านิวเคลียร์พิการทั้ง 3 เตา

เอาเข้าจริงมันทนทานอยู่ได้เพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้นเอง

ตามข้อมูลเท่าที่ได้ สกอร์เปียน “ตาย” อยู่บริเวณรางด้านใต้เกราะแรงดันของเตาปฏิกรณ์ เมื่อเส้นทางของมันถูกเศษชิ้นส่วนของแท่งเชื้อเพลิงและอื่นๆ ขวางทางอยู่

ตอนที่มัน “ตาย” ข้อมูลจากเซ็นเซอร์วัดปริมาณรังสีของมันแสดงให้เห็นว่า ปริมาณกัมมันตภาพรังสีตรงจุดนั้นอยู่ที่ 250 ซีเวิร์ตต่อชั่วโมง ลดลงจากปริมาณที่หุ่นยนต์กำจัดสิ่งกีดขวางเคยวัดเอาไว้ในจุดเดียวกันนี้ซึ่งมีปริมาณรังสีสูงถึง 650 ซีเวิร์ตต่อชั่วโมง ที่สามารถทำให้ผู้ชายแข็งแรงตายได้ทันทีในเวลาเพียง 1 นาที

ชุนจิ อูชิดะ ผู้จัดการฟุคุชิมา-ไดอิจิ ยอมรับว่าถึงตอนนี้วิศวกรของเทปโกยังมีข้อมูลเกี่ยวกับสภาพและจุดที่ตั้งของแท่งเชื้อเพลิงภายในเตาปฏิกรณ์ “จำกัด” มาก เทียบได้เหมือนกับได้แอบดูแล้วเห็นภาพจำกัดมากผ่านช่องมองเล็กๆ เท่านั้นเอง

ไม่มีใครแน่ใจนักว่าเกิดอะไรขึ้นกับสกอร์เปียน ทำไมมันถึง “ตาย” กระนั้นเทปโกก็ยังไม่มีและยังไม่ได้คิดถึงวิธีการอื่นๆ นอกเหนือจากนี้

เนาฮิโร มาซูดะ ประธานฝ่ายการเตรียมการเพื่อปลดระวางโรงไฟฟ้าฟุคุชิมา-ไดอิจิ ยืนยันว่าอยากให้มีปฏิบัติการโดยหุ่นยนต์ทำนองเดียวกันนี้อีกครั้ง ก่อนที่จะมีการตัดสินใจอื่นๆ ต่อไป

ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ จนถึงขณะนี้เตาปฏิกรณ์หมายเลข 2 เป็นเพียงเตาปฏิกรณ์เดียวเท่านั้นที่เทปโกเข้าไปจัดการอย่างหนึ่งอย่างใดมาโดยตลอด ในขณะที่เตาปฏิกรณ์หมายเลข 1 และเตาปฏิกรณ์หมายเลข 3 ยังไม่มีการแตะต้องใดๆ ทั้งสิ้น

ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เทปโกกำหนดจะส่ง “หุ่นยนต์กันน้ำ” เข้าไปในเตาปฏิกรณ์หมายเลข 1

ส่วนเตาปฏิกรณ์หมายเลข 3 ซึ่งเสียหายหนักที่สุด ยังไม่มีแม้แต่แผนการใดๆ ทั้งสิ้น

มาซูดะยังคงยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่าจะสามารถเก็บเอาแท่งเชื้อเพลิงที่หลอมละลายอยู่ในเตาปฏิกรณ์ทั้งหมดออกมาได้ภายในปี 2021 หนึ่งทศวรรษเต็มๆ ของเหตุการณ์วินาศภัยครั้งนี้

แต่ ชอว์น เบอร์นี ผู้เชี่ยวชาญนิวเคลียร์อาวุโส ของกรีนพีซ เยอรมนี ยืนยันว่าปัญหาท้าทายที่เทปโกเผชิญอยู่ในเวลานี้นั้น “ไม่เคยมีมาก่อน” และ “แทบจะอยู่นอกเหนือความเข้าใจ” ของผู้เชี่ยวชาญด้านนิวเคลียร์ทั้งหมด และยืนยันว่าการกำหนดเอาปี 2021 เป็นปีปลดระวางและจัดการเคลียร์ปัญหาฟุคุชิมา-ไดอิจิ ชนิดถาวรนั้น “ไม่สอดคล้องกับความจริง หรือไม่ก็ไม่น่าเชื่อถือ” ใดๆ ทั้งสิ้น

ภารกิจสำรวจที่ล้มเหลวที่เตาหมายเลข 2 เป็นการยืนยันความเป็นจริงดังกล่าวนี้ให้ชัดเจนมากขึ้นไปอีก

เบอร์นีชี้ว่า การกำหนดเคลื่อนย้ายเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ที่หลอมละลายอยู่นับเป็นร้อยๆ ตัน โดยที่ยังไม่มีใครรู้ตำแหน่งที่แน่ชัดและสภาพที่แท้จริงของมันให้ได้ภายในปี 2020 เป็น “จินตนาการ” โดยแท้

เป็นกำหนดเวลาที่ยืนอยู่บนความต้องการของ ชินโสะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น และอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ของญี่ปุ่น ที่ต้องการจัดโอลิมปิกเกมส์และต้องการกลับมาใช้พลังงานนิวเคลียร์อีกครั้ง

แต่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานตามสภาพความเป็นจริงในที่เกิดเหตุและความเป็นจริงทางวิทยาศาสตร์ใดๆ ทั้งสิ้น

แม้แต่ ชุนอิจิ ทานากะ ประธานคณะกรรมการกำกับดูแลนิวเคลียร์ของญี่ปุ่นยังยอมรับว่า ความมั่นใจของเทปโก ไม่น่าจะเป็นไปได้ในความเป็นจริง

“ตอนนี้เรายังเหมือนเดินอยู่ในความมืดอยู่เลย”

article and photos http://www.matichon.co.th/news/499889

https://totallycoolpix.com/blog/2016/02/fukushima-5-years-later-by-arkadiusz-podniesiski

 

ศาลรับฟ้องอธิบดีเชื้อเพลิงฯ แชร์ภาพเฟซบุ๊กตัดต่อ หมิ่นประมาท “หม่อมกร”
เผยแพร่: 20 มี.ค. 2560 19:54:00 ปรับปรุง: 20 มี.ค. 2560 21:03:00 โดย: MGR Online


ศาลอาญากรุงเทพใต้ ประทับรับฟ้องคดี “ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี” ยื่นฟ้อง “วีระศักดิ์ พึ่งรัศมี” อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ฐานหมิ่นประมาท กรณีแชร์ข้อความเท็จพร้อมภาพตัดต่อทางเฟซบุ๊กทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง

รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 29 ม.ค. 2559 ม.ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี อาจารย์มหาวิทยาลัยรังสิต และกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาการบังคับใช้พระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 และพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)ได้ยื่นฟ้อง นายวีระศักดิ์ พึ่งรัศมี อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ในฐานความผิด หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา และศาลได้นัดไกล่เกลี่ยในวันที่ 4 เม.ย. 2559 จากนั้นได้นัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 2 พ.ค. 2559 และล่าสุดศาลได้พิจารณาแล้วเห็นว่าคดีมีมูล จึงประทับรับฟ้องไว้พิจารณาต่อไป

สำหรับคำฟ้องในคดีดังกล่าวนี้ สรุปได้ว่า เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2558 จำเลยได้แชร์หรือส่งต่อรูปภาพจากเฟซบุ๊กชื่อว่า “อยากคุยกับหม่อมกร” ซึ่งเป็นเฟซบุ๊กที่ได้ลอกเลียนและดัดแปลงข้อมูลจากเฟซบุ๊กชื่อว่า “คุยกับหม่อมกร” ของโจทก์มาอย่างต่อเนื่อง และโจทก์ก็ได้แจ้งความไว้กับกองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางไว้แล้ว โดยจำเลยได้นำข้อความ หรือรูปภาพตัดต่อล้อเลียนทำนองหมิ่นประมาทมาแชร์ยังบัญชีเฟซบุ๊กชื่อว่า “Veerasak Pungsassamee” ของจำเลย โดยรูปภาพและข้อความที่แชร์หรือส่งต่อนั้น เป็นรูปภาพและข้อความที่มีการดัดแปลงต่อเติมทางอิเล็คโทรนิคส์ในข้อมูลของโจทก์ที่เผยแพร่ในเฟซบุ๊ก “คุยกับหม่อมกร” เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เรื่องราคาตลาดโลกของน้ำมันดิบ เพื่อเป็นความรู้ให้แก่ประชาชน แต่ข้อความและรูปภาพที่จำเลยแชร์มานั้น มีการเพิ่มข้อมูลหมิ่นประมาทต่อบุคคลที่สาม หรือต่อสาธารณชนต่อท้ายข้อมูลที่โจทก์เผยแพร่ในเฟซบุ๊ก “คุยกับหม่อมกร” ให้รับทราบโดยทั่วไปว่า “น่าคิดว่า 1. บ้านหม่อมเติมน้ำมันดิบเหรอ......เขียนเชิงสงสัยไม่น่าผิด แต่ชี้นำให้คนอื่นคิดผิดๆ เพราะตัวเองเคยเป็นแกนนำคนคิดผิดเนี่ย เลวนะ จะไปใช้มุกตรวจสอบโดยสุจริต คงไม่มีใครเชื่อ เพราะพฤติกรรมก่อนนี้ชัดเจนความผิดสำเร็จแล้ว” อีกทั้ง ภาพที่จำเลยเผยแพร่นั้น ได้แต่งเติมรูปภาพของโจทก์ไปในทางดูหมิ่นให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โดยใช้สีคาดตา และเติมเขาในรูปถ่ายของโจทก์ แสดงว่าจำเลยมีเจตนาทำให้บุคคลโดยทั่วไปสับสนหลงผิดไปว่า โจทก์เป็นบุคคลที่ไม่ดี แย่ ไม่ควรได้รับการยอมรับนับถือ อันส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงานของโจทก์ในปัจจุบัน ซึ่งต้องได้รับการยอมรับนับถือจากบุคคลโดยทั่วไป ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง การกระทำของจำเลย จึงเป็นการจงใจทำความผิดฐานการหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาทางอินเทอร์เน็ตที่บุคคลโดยทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ทั่วกรุงเทพมหานคร และทั่วประเทศ และอีกทั้งคนไทยในต่างประเทศทั่วโลกอีกด้วย

คำท้ายฟ้องได้ระบุว่า การที่จำเลยได้กระทำตามข้อความที่กล่าวมาในคำฟ้องนั้น ถือว่าเป็นความผิดต่อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และมาตรา 328 ขอให้ศาลออกหมาย นัดไต่สวนมูลฟ้องและเรียก จำเลยมาพิจารณาพิพากษาลงโทษตามกฎหมาย และขอให้ศาลสั่งและบังคับจำเลยลงโฆษณา/เผยแพร่/ตีพิมพ์คำพิพากษาของศาลทั้งหมด พร้อมลงข้อความยอมรับว่า จำเลยมีเจตนาให้ร้ายโจทก์ และลงคำขอโทษโจทก์ ในหนังสือพิมพ์รายวันไทยรัฐ เดลินิวส์ ผู้จัดการรายวัน ผู้จัดการรายสัปดาห์ มติชนรายวัน มติชนรายสัปดาห์ ข่าวสด บางกอกโพสต์ ไทยโพสต์ โพสต์ทูเดย์ ทั้งในรูปแบบสิ่งพิมพ์ที่วางจำหน่ายในท้องตลาด และทางสื่อออนไลน์ที่เผยแพร่ทางเว็บไซต์ www.thairath.co.th www.dailynews.co.th www.matichon.co.th www.manager.co.th www.khaosod.co.th www.bangkokpost.com www.thaipost.net www.posttoday.com เป็นเวลา 7 วันติดต่อกัน โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าโฆษณาทั้งหมด และให้จำเลยลบภาพและข้อความอันเป็นเท็จและหมิ่นประมาทโดยในระบบคอมพิวเตอร์



นายวีระศักดิ์ พึ่งรัศมี อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ(ภาพจากแฟ้ม)
http://m.manager.co.th/Politics/detail/9600000028581

 

จีนสั่งปิดโรงไฟฟ้าถ่านหิน รายใหญ่เเห่งสุดท้ายในกรุงปักกิ่งเเล้ว !
updated: 20 มี.ค. 2560 เวลา 14:53:52 น.


ก ก ก
สำนักข่าวซินหัวของจีน รายงานว่า โรงไฟฟ้าถ่านหิน Huaneng Beijing Thermal Power Plant ถูกทางการสั่งหยุดเดินเครื่องแล้ว โดยถือเป็นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่รายสุดท้ายที่ถูกทยอยปิดไป ทำให้กรุงปักกิ่งเป็นเมืองเเรกของจีนที่มีโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดทั่วทั้งเมือง

โดยคาดว่าการสั่งปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินจะช่วยลดการใช้ถ่านหินได้ถึง 1.7 ล้านตัน ลดการปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ได้ 91 ตัน ก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ราว 285 ตัน และฝุ่นละออง 110 ตัน
ซึ่งก่อนหน้านี้ โรงงงานอีก 3 แห่งที่เคยใช้ถ่านหิน มากกว่า 6.8 ล้านตันต่อปี ก็ถูกปิดตัวไปแล้วในระหว่างปี 2014-2015 ที่ผ่านมา

สำหรับโรงไฟฟ้าถ่านหิน Huaneng Beijing ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1999 ตั้งอยู่บริเวณชานเมืองทางตะวันออกของกรุงปักกิ่ง เดินเครื่องเผาไหม้ถ่านหิน 5 เครื่อง กำลังการผลิตทั้งหมด 8.4 แสนกิโลวัตต์ และความจุความร้อน 26 ล้านตารางเมตร

ทั้งนี้ ปัจจุบันกรุงปักกิ่งมีโรงไฟฟ้า 27 แห่ง โดยทั้งหมดผลิตจากพลังงานสะอาด มีกำลังการผลิตติดตั้ง 11.3 ล้านกิโลวัตต์ อย่างไรก็ตามรัฐบาลจีนยังไม่มีเเผนการสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ในเร็ววันนี้

http://m.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1489996565

 

ไขทุกปัญหา!! ภาษีขายของออนไลน์
3 years ago



TAXBugnoms AomMoney Guru


สำหรับที่มาของบทความ “ภาษีขายของออนไลน์“ ในตอนนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่ @TAXBugnoms ได้มีโอกาสร่วมพูดคุยในรายการ Money Makeover FM102ดำเนินรายการโดย คุณรัชชพล เหล่าวานิช และคุณศลิลนา ภู่เอี่ยม ในหัวข้อเรื่อง ภาษีสำหรับธุรกิจขายของออนไลน์ ซึ่งหัวข้อนี้เป็นหัวข้อที่เพื่อนๆพี่ๆน้องๆทั้งหลายมักจะสงสัย และเข้าใจผิดเรื่องการเสียภาษีกับการขายของออนไลน์อยู่เป็นจำนวนมากครับ วันนี้เลยถือโอกาสชี้แจงให้ฟังกันแบบหมดเปลือกในบทความเดียวกันไปเลย

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่า.. เมื่อเกิดการซื้อขายขึ้นมาระหว่างคนขายกับคนซื้อ ไม่ว่าจะรับเป็นเงินสด เช็ค แคชเชียร์เช็ค เช็คของขวัญ อะไรทั้งหลายแหล่ รู้แน่ๆว่าสามารถแปรเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันใจแล้วล่ะก็ เรานับว่าเป็น “เงิน” ทั้งหมดครับ และเมื่อขายของออนไลน์เพื่อเงินนี่แหละ จึงทำให้เรามีหน้าที่ต้องเสียภาษีอีกด้วย

เพราะฉะนั้น “การเปิดร้านค้าออนไลน์” ไม่ใช่เปิดขึ้นมาแล้วไม่ต้องเสียภาษี เพราะถ้ามีรายได้ขึ้นมาเราก็ต้องเสียภาษีเหมือนการขายของตามปกติ โดยมีภาษี 2 ประเภทที่เกี่ยวข้องกับการขายของแบบเราๆ นั่นคือ “ภาษีเงินได้”และ “ภาษีมูลค่าเพิ่ม”


แนะนำให้อ่าน: เครดิตภาษีเงินปันผล คำนวณง่ายๆเผื่อจ่ายภาษีน้อยลง

1. ภาษีเงินได้ ถ้าหากเราเป็นร้านค้าที่เปิดโดยคนธรรมดาบ้านๆอย่างเราๆ ก็ถือว่าต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยภาษีเงินได้นั้นจะมาจากการคำนวณ “เงินได้สุทธิ” แต่ถ้าหากจดทะเบียนเป็น “นิติบุคคล” อย่างห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท อันนี้ก็ต้องเสียเป็นภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยคำนวณจาก “กำไรสุทธิ” แทน

2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม จะต้องเสียก็ต่อเมื่อเรามีรายได้เกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี เมื่อไรที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ที่ว่านี้เรามีหน้าที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและเรียกเก็บจากผู้ซื้อสินค้าทันที เช่น สินค้าราคา 100 บาท ต้องบวก “ภาษีมูลค่าเพิ่ม” เข้าไปอีก 7 บาท ซึ่งลูกค้ามีหน้าที่ต้องจ่าย 107 บาทนั่นเอง

แนะนำให้อ่าน: คุ้มสุดๆ!! โปรโมชั่น!! นิรโทษกรรมทางภาษี ยกเว้นความผิดให้แถมไม่คิดภาษีอีกด้วยยย

แต่ทว่า.. บทความนี้ขออนุญาตเจาะลึกในเรื่อง ภาษีขายของออนไลน์ สำหรับบุคคลธรรมดาที่เปิดร้านค้าออนไลน์เท่านั้นนะคร้าบ เพราะถ้าพูดเรื่องของนิติบุคคลไปด้วยเดี๋ยวจะยุ่งกันไปใหญ่ และสำหรับบุคคลธรรมดา เราจะพิจารณาภาษีด้วยวิธีนี้ครับ

1. กรณีที่รายได้ไม่ถึง 1.8 ล้านบาทต่อปี เราจะเสียภาษีแค่ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
2. กรณีที่รายได้มากกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี เราจะเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีมูลค่าเพิ่ม

สำหรับวิธีการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ในกรณีขายของออนไลน์ แบ่งออกเป็น 2 วิธีได้ดังนี้คร้าบบบ



1. เงินได้จากการขายของออนไลน์ ถือเป็นเงินได้ประเภทที่ 8 (เงินได้ประเภทอื่นๆ)
2. สามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายได้ 2 วิธีคือ แบบเหมาในอัตรา 80% ของรายได้ และ แบบตามความจำเป็นและสมควร

สำหรับวิธีการเลือกหักค่าใช้จ่ายแต่และแบบนั้น
เราควรจะเลือกแบบไหนกันดี ขอแนะนำให้พิจารณาแบบนี้ครับ

ถ้าเป็นการขายของออนไลน์ทั่วไป เช่น เสื้อผ้า ของใช้ เครื่องสำอางค์ ฯลฯ ประเภทสิ่งของจับต้องได้ต่างๆ ขอแนะนำให้หักค่าใช้จ่าย “แบบเหมา” ไปเลยดีกว่า แต่ถ้าหากอยากหักค่าใช้จ่ายตามจำเป็นและสมควรเพราะประหยัดภาษี ก็ขอแนะนำว่าให้มั่นใจว่าเอกสารหลักฐานที่เรามีนั้นครบถ้วนถูกต้อง มิฉะนั้นอาจจะมีปัญหากับพี่สรรพากรได้ แล้วจะกลายเป็นเสียภาษีมากกว่าเดิมไปซะงั้น

3. ส่วนที่เหลือหลังจากหักค่าใช้จ่าย ให้นำมาหัก “ค่าลดหย่อน” ตามกฎหมายเพื่อคำนวณเงินได้สุทธิกันต่อเลยครับ



หลังจากนั้นคูณด้วยอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามลำดับขั้นบันได เพื่อหาภาษีที่เราต้องจ่าย แต่ขอเตือนไว้ก่อนครับว่า ถ้าหากเรามีรายได้จากการขายของออนไลน์เกิน 1,000,000 บาทต่อปี !!! เราต้องคำนวณภาษีจากเงินได้พึงประเมินโดยนำ 0.5% มาคูณเงินได้ของเราด้วยครับ

และหลังจากนั้น ให้นำมาเปรียบเทียบภาษีที่คำนวณได้ทั้งสองวิธี และเลือกว่าภาษีที่คำนวณตามวิธีไหนได้มากกว่าให้ใช้วิธีนั้นในการเสียภาษีครับ!! (โหดจังเลย)



ทีนี้เรามาดูตัวอย่างสำหรับ วิธีการคำนวณภาษีเงินได้สำหรับคนขายของออนไลน์กันดีกว่าครับ สมมุติว่า… นายหมอนัทแห่งคลินิกกองทุนเปิดร้านขายเสื้อผ้าออนไลน์สำหรับท่านชายโดยเฉพาะ (เอ๊ะ!! ยังไง) โดยมีรายได้ตลอดทั้งปี 5,000,000 บาท และตัวหมอนัทเองนั้นยังโสดสนิทศิษย์ส่ายหน้าอยู่

ดังนั้น วิธีคำนวณภาษีจากเงินได้สุทธิตามวิธีที่1 ของหมอนัทคือ
= (รายได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน) x อัตราภาษี

1) รายได้ของหมอนัท 5,000,000 บาท
2) ค่าใช้จ่ายของหมอนัท 80% x 5,000,000 บาท = 4,000,000 บาท
3) ค่าลดหย่อนส่วนตัวของหมอนัท 30,000 บาท
4) เงินได้สุทธิ จาก 1-2-3 = 970,000 บาท
5) ภาษีที่คำนวณได้ (ตามอัตราภาษีก้าวหน้า) คือ 109,000 บาท

เมื่อเปรียบเทียบกับวิธีคำนวณภาษีจากเงินได้พึงประเมิน x 0.5%
= 5,000,000 x 0.5% = 25,000 บาท

สรุปว่า…
นายหมอนัทจะต้องเสียภาษีจำนวน 109,000 บาท

ถาม-ตอบภาษีขายของออนไลน์ (FAQ)

1. รายได้เท่าไรต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษี ยื่นด้วยแบบแสดงรายการอะไร
ตอบ : เมื่อรายได้เกินกว่า 30,000 บาทต่อปี เรามีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการแม้จะไม่มีภาษีชำระก็ตาม ด้วยแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ ภ.ง.ด. 90

2. ยื่นไม่เป็น คำนวณภาษียากแบบนี้ไม่ไหว ต้องทำยังไงดีล่ะ
ตอบ : ยื่นแบบผ่านอินเตอร์เน็ตสิครับ สะดวกที่สุด คำนวณให้หมดด้วย เชิญยื่นได้ที่ www.rd.go.th ครับผม

3. ถ้าไม่ยื่นเลยจะมีความผิดอะไรบ้างหรือเปล่า แบบว่ากลัวเสียภาษี
ตอบ : ค่าปรับยื่นแบบ 200 บาท เงินเพิ่ม 1.5% ต่อเดือนของภาษีที่ชำระ และที่สำคัญ พี่สรรพากรอาจจะคิดเบี้ยปรับอีก 1 เท่า หรือ 2 เท่าของเงินภาษีที่ต้องชำระอีกด้วย

4. กรณีที่เป็นเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ (ผู้เยาว์) จะเสียภาษีอย่างไร
ตอบ : ในกรณีที่บุตรยังไม่บรรลุนิติภาวะ (อายุเกิน 20 ปี) ให้ถือเป็นเงินได้ของบิดาหรือของมารดาหรือผู้ที่ใช้อำนาจปกครองแล้วแต่กรณีไปครับ

5. ทางสรรพากรจะมีแนวทางตรวจสอบอย่างไร จับได้จริงหรอ?
ตอบ : ทางสรรพากรมีการตรวจสอบธุรกิจ e-commerce ตั้งแต่ปี 2555 แล้วครับ ดังนั้นโปรดระวังตัวให้ดี ไม่แน่ว่าผู้โชคดีอาจจะเป็นคุณ!!!

6. เสียภาษีไปทำไมไม่เห็นได้อะไรกลับมา
ตอบ : เพราะผลตอบแทนของภาษีที่เราเสียนั้นไม่ได้ผลตอบแทนกลับมาเป็นรูปธรรม ดังนั้นทำใจให้สบายๆแล้วทำตัวให้ถูกต้องตามกฎหมายดีกว่านะคร้าบ

7. ทำไมไม่ไปตามเก็บคนที่ไม่จ่ายภาษีหรือพวกคนโกงบ้าง มัวแต่รีดจากคนทำมาหากินอยู่ได้
ตอบ : ครับ แต่ถ้าเราไม่เสียภาษีเราก็ทำผิดกฎหมายเหมือนกันนะครับ แฮร่

8. เราสามารถใช้ค่าลดหย่อนได้เหมือนมนุษย์เงินเดือนหรือเปล่า พวก LTF, RMF ทั้งหลาย
ตอบ : ใช้ได้เหมือนบุคคลธรรมดาตามปกติครับ สำหรับคนที่ขายในนามบุคคลธรรมดา แต่ถ้าขายของออนไลน์ในนามร้านค้าจดทะเบียนอันนี้อาจจะหมดสิทธิ์คร้าบ

สุดท้ายนี้ สำหรับวิธีการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากรณีขายของออนไลน์นั้น ก็มีวิธีการคำนวณง่ายๆสั้นๆ แค่นี้เอง(หรอ??) ดังนั้น ถ้าหากใครสงสัยอะไรก็คอมเม้นท์คำถามไว้ได้ที่กล่องคอมเม้นท์ด้านล่างนี้ครับ ผมจะได้รวบรวมปัญหาทั้งหมดที่เพื่อนๆพี่ๆน้องๆสงสัย เอามาเขียนบทความให้อีกครั้งหนึ่งคร้าบบบบ

http://www.aommoney.com/taxbugnoms/taxtips/ไขทุกปัญหา-ภาษีขายของออนไลน์#gs.CVcCbxQ

 

ปอกเปลือก ทรราช
หลังจากรอบแรกหนีตายจากซีเรียแบบหางจุกตูด อิสราเอลขู่ฟ่อๆว่า ถ้าซีเรียบังอาจต่อต้านการรุกรานจากอิสราเอลอีก พ่อจะถล่มระบบป้องกันภัยทางอากาศของซีเรียให้ยับไปเลย! ฮิ้วววว
----------

วันที่ 19 มี.ค.60 Sputnik พาดหัวข่าวว่า "ข่าวลือแพร่สะพัด? อิสราเอลขู่จะขยี้ระบบป้องกันภัยทางอากาศของซีเรีย หากเครื่องบินรบของตนเองตกเป็นเป้าหมายอีก" (Escalation Looming? Israel to Crush Syrian Air Defense if Jets Targeted Again) [เสียงของผู้รุกรานอธิปไตยประเทศอื่น ไม่มีชาติไหนหน้าด้านเท่าขานี้อีกแล้ว - ผู้แปล]

นาย Avigdor Lieberman รมว.กลาโหมอิสราเอลได้ขู่ว่าจะทำลายระบบป้องกันภัยทางอากาศของซีเรีย หากซีเรียกำหนดเป้าหมาย (เพื่อทำลาย) เครื่องบินรบของอิสราเอล (ที่ละเมิดน่านฟ้าของซีเรีย) อีกครั้ง

"ครั้งหน้าที่พวกซีเรียใช้ระบบป้องกันภัยทางอากาศของตนเองต่อต้านเครื่องบินของพวกเรา เราจะทำลายพวกมันทิ้งโดยไม่รีรอแม้แต่น้อย ระบบรักษาความปลอดภัยของอิสราเอลอยู่เหนือคนอื่นทั้งหมด จะไม่มีการประนีประนอมกันเด็ดขาด" นาย Lieberman โฮ่งผ่านสถานีวิทยุประชาชนของอิสราเอลเมื่อวันอาทิตย์นี้

การแสดงความคิดเห็นของรัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอลเกิดขึ้นหลังจากเครื่องบินรบของอิสราเอลได้โจมตีเป้าหมายหลายแห่งในซีเรียในตอนกลางดึกของวันพฤหัสบดี

ในวันศุกร์หน่วยข่าวกรองของอิสราเอลและนาย Yisrael Katz รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานปรมาณู (Atomic Energy Minister) [กระทรวงนิวเคลียร์ - ผู้แปล] ได้ยืนยันการโจมตีว่า อิสราเอลได้กำหนดเป้าหมายไปที่คอนวอยซึ่งคาดว่าใช้สำหรับขนอาวุธต่างๆไปให้ขบวนการเฮชบอลเลาะห์ชีอะห์

"กองทัพอากาศของอิสราเอลได้มีปฏิบัติการโจมตีทางอากาสใส่คอนวอยในซีเรีย ซึ่งขนอาวุธจำนวนหนึ่งไปให้กับพวกเฮชบอลเลาะห์" นาย Katz กล่าวในแถลงการณ์ ซึ่งเผยแพร่โดยโฆษกของเขา

ผู้บัญชาการกองทัพซีเรียออกแถลงการณ์ตอบโต้ว่า ทางซีเรียได้ยิงเครื่องบินรบลำหนึ่งของกองทัพอากาศอิสราเอลตก ซึ่งได้ละเมิดน่านฟ้าของซีเรีย ในขณะเดียวกันกองทัพอิสราเอล (IDF) ก็ได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวอ้างของฝ่ายซีเรีย

ในการตอบโต้ IDF กล่าวเมื่อวันศุกร์นี้ว่า อิสราเอลได้ใช้ขีปนาวุธ Arrow ที่ล้ำสมัยของตนเองยิงขีปนาวุธต่อต้านอากาสยาน (S-200) ของซีเรียตกหนึ่งลูก ที่ยิงใส่เครื่องบินรบของอิสราเอล

"พวกเราไม่มีความสนใจในการแทรกแซงสงครามกลางเมืองของซีเรีย พวกเราทั้งไม่สนับสนุนและไม่คัดค้าน (ประธานาธิบดีบัชชาร์) อัสซาด และพวกเราก็ไม่มีความสนใจที่จะให้เกิดอุบัติเหตุกับรัสเซียขึ้นมา" นาย Lieberman กล่าวเมื่อวันศุกร์นี้

[มาจับ "ตอแหล" ของอิสราเอลดูนะครับ วันที่ 15 ธันวาคม 2016 เว็บไซต์สำนักข่าว Time of Israel พาดหัวข่าวว่า "นายลิเบอร์แมนกล่าวว่า อัสซาดเป็น 'นักฆ่าที่โหดร้าย' จะต้องออกไป" (Liberman says Assad is a ‘butcher’ who must go) รัฐมนตรีกลาโหมของอิสราเอลได้ประณามการเข่นฆ่าในซีเรีย เรียกร้องให้อิสราเอลขัดขวางการมีส่วนร่วมของอิหร่านในประเทศที่กำลังเกิดสงคราม

พวกผู้ก่อการร้ายอัลนุสราฟรอนท์ที่กำลังรบอยู่กับกองทัพฝ่ายรัฐบาลซีเรียและเหล่านักรบเฮชบอลเลาะห์ในที่ราบสูงโกลันที่อิสราเอลยึดไปอย่างผิดกฎหมายจากซีเรีย ได้รับการสนับสนุนจากอิสราเอล ถ้าฝ่ายซีเรียโจมตีพวกอัลนุสราฟรอนท์ในที่ราบสูง อิสราเอลก็จะยิงปืนใหญ่ ขีปนาวุธ หรือส่งเครื่องบินรบไปถล่มฝ่ายซีเรียและเอชบอลเลาะห์แทน ถ้าพวกอัลนุสราฟรอนท์ได้รับบาดเจ็บ อิสราเอลก็จะหาหยุกยาไปให้ และบางครั้งก็นำตัวไปรักษาในโรงพยาบาลของอิสราเอลด้วย แบบนี้ "ยิวอิสราเอล" ไม่เรียกว่า "การแทรกแซง/การมีส่วนร่วม" ในสงครามกลางเมือง ตรรกะของยิวมันเป็นแบบนี้แล - ผู้แปล]

หลังเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมา ในวันศุกร์กระทรางต่างประเทศของรัสเซียได้เรียกนาย Gary Koren เอกอัครราชทูตของอิสราเอลประจำกรุงมอสโคเข้าไปพบเพื่อหารือเกี่ยวกับการพัฒนาของสถานการณ์ กระทรวงต่างประเทศของรัสเซียกล่าว ไม่มีรายละเอียดมากกว่านี้ RT รายงาน

[สาเหตุที่รัสเซียเรียกทูตอิสราเอลเข้าไปพบ อันที่จริงน่าจะบอกว่าเรียกไปต่อว่าหรือเรียกไปเตือนมากกว่า เพราะว่าพื้นที่ที่เครื่องบินรบ (F-16) จำนวน 4 ลำของอิสราเอลไปโจมตีนั้นเป็นพื้นที่แถวเมืองพัลไมร่า และปัจจุบันนี้ก็มีหทารของรัสเซียทั้งหน่วยรบพิเศษและหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวด้วย อันที่จริงหน่วยรบพิเศษและที่ปรึกษาทางทหารของกองทัพรัสเซียได้ปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ร่วมกับทั้งกองทัพฝ่ายรัฐบาลซีเรียและพวกนักรบเฮชบอลเลาะห์อยู่แล้ว

ถ้าทหารรัสเซียได้รับอันตรายจากการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลในซีเรีย เรื่องมันก็อาจจะไปกันใหญ่ และเครื่องบินรบของอิสราเอลอาจจะหล่นตุ๊บๆๆๆทั้งฝูงโดยไม่รู้ในน่านฟ้าของซีเรียก็ได้ พี่ไม่อยากทำ น้องก็อย่าอ้อนอีนพี่นักสิ นี่เรียกมาเตือนดีๆ เพราะเห็นแก่มิตรภาพนะนี่ อย่าบังคับให้พี่ต้องใช้ Pantsir-S1 หรือ S-400 กับน้องเลยนะ อิสราเอลก็ยังไม่สำนึก ยังเสนอหน้ามาขู่เจ้าบ้านอีก ยิว! ผู้รุกรานมีสิทธิที่จะบินเข้าไปในบ้านของสูเจ้าชาวซีเรียได้ แต่สูเจ้าผู้เป็นเจ้าของบ้านห้ามยิงนะเฟ้ย ถ้ายิง เครื่องบินข้าจะตก! จากนั้นยิวก็จะวิ่งไปฟ้องอเมริกาว่าถูกผู้ร้ายรัสเซียรังแก

ช่วงที่ฝ่ายกองทัพรัฐบาลซีเรียและรัสเซียยึดเมือง Palmyra คืนจากพวกไอซิสได้เป็นครั้งแรกเมื่องกลางปีที่แล้ว รัสเซียได้ส่งระบบขีปนาวุธป้องกันภัยทางอากาศ Pantsir-S1 ไปประจำการที่เมืองแห่งนี้พร้อมกับชุดคุ้มกันและหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดด้วย ไม่รู้ว่าหลังยึด Palmyra ได้เป็นครั้งที่สองรัสเซียได้ส่ง Pantsir-S1 เข้าไปประจำการที่เมืองแห่งนี้อีกครั้งหรือไม่ รัศมีการตรวจจับทางเรด้าร์องขีปนาวุธตระกูลนี้อยู่ที่ 32 - 36 กม. รัศมีการยิงไกลอยู่ที่ 24-28 กม. สามารถล็อกเป้าหมายได้พร้อมกันถึง 20 เป้าหมาย และสามารถยิงใส่เป้าหมายได้พร้อมกันถึง 3 เป้าหมาย ความเร็วของมิสไซล์อยู่ที่ 1,300 m/s (Mach 3.8) และ 780 m/s (Mach 2.3) ที่ระยะ 18 กม. - ผู้แปล]

The Eyes
เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
https://www.facebook.com/fisont
https://vk.com/theeyesproject
20/03/2560
------------
https://sputniknews.com/middleeast/201703191051746758-israel-syria-strikes/
https://www.rt.com/news/381303-israel-threatens-syria-defense/
https://sputniknews.com/middleeast/...ia-mediating-syria-israel-conflict-prospects/
https://www.rt.com/news/381199-netanyahu-syria-airstrikes-hezbollah/
http://www.mid.ru/ru/foreign_policy/news/-/asset_publisher/cKNonkJE02Bw/content/id/2697226
http://www.dailystar.com.lb/News/Mi...cher-assad-must-go-says-israeli-minister.ashx
http://www.timesofisrael.com/liveblog-december-15-2106/
https://guardian.ng/news/butcher-assad-must-go-says-israeli-minister/
https://en.wikipedia.org/wiki/Pantsir-S1

 

ปอกเปลือก ทรราช
สภาพโรงพยาบาลสนามที่ชานเมืองโมซูลประเทศอิรัค ภายในการดูแลของกองทัพอิรัคและพันธมิตรสหรัฐ บอกได้คำเดียวว่า ห่วยมาก เทียบกับโรงพยาบาลเคลื่อนที่ของรัสเซียในซีเรียไม่ได้เลย (19 มี.ค.60)
--------------

.

 

ปอกเปลือก ทรราช
คลิปเยอรมันทำลายตึกสูง 60 เมตร ซึ่งก่อสร้างตั้งแต่ปี 1969 ด้วยระเบิด 250 กิโลกรัมที่เมือง Bonn เมื่อวันอาทิตย์นี้ (19 มี.ค.60)
-----------------

.

 

ปอกเปลือก ทรราช
กองทัพอิรัคซัดกับไอซิสทางตะวันตกของเมืองโมซูล พลเรือนพากันหนีตายเป็นจำนวนมาก (19 มี.ค.60)
-------------

.

 

ปอกเปลือก ทรราช
สงครามอิรัค สนามรบโมซูล คลิปรวมเหตุการณ์ขบวนการก่อการร้ายไอซิสใช้คาร์บอมบ์ (VBEID) โจมตีกองทหารของอิรัค (19 มี.ค.60)
--------------

.

 

ปอกเปลือก ทรราช
ในศาสนาอิสลาม ผู้หญิงเป็น "อิหม่าม" ได้หรือไม่?
----------

คำถามนี้น่าสนใจครับ เห็นหลายคนกล่าวในโซเชียลมีเดียว่าการพูดว่า "ผู้หญิงเป็นอิหม่าม" (Imam) ได้นี่ก็ถือว่าไม่ถูกต้อง และเป็นการบิดเบือนแล้ว จริงหรือ? จริงๆ แล้วประเด็นเกี่ยวกับเรื่องอนุญาตให้ผู้หญิงเป็นอิหม่ามได้หรือไม่นั่น ได้มีการโต้เถียงกันมาเป็นเวลานานแล้ว

ก่อนอื่นขออธิบายคำว่า "อิหม่าม" ก่อนนะครับว่าหมายถึงอะไร "Imam" หมายถึงตำแหน่งหรือบุคคลที่ดำรงค์ตำแหน่งผู้นำในการประกอบพิธีกรรมและการสวดมนต์ประจำมัสยิดหรือชุมชนชาวมุสลิมในศาสนาอิสลามทั้งในนิกายซุนนี (Sunni) และ ชีอะห์ (Shi'a) กล่าวคือเป็นตำแหน่งที่คล้ายกับ "นักบวช" หรือ "เจ้าอาวาส" หรือ "เจ้าสำนัก" ประจำมัสยิดของศาสนาอิสลามนั่นแหละ คล้ายกับที่วัดต่างๆของชาวพุทธก็มี "เจ้าอาวาส" เป็นผู้นำหรือ "อธิบดีสงฆ์" ของแต่ละวัด ถ้าศาสนาคริสต์ก็มี "บาทหลวง" เป็น "นักบวช" หรือบางคนอาจจะมีตำแหน่งเป็น "เจ้าอาวาสหรือผู้นำของโบสถ์" ด้วย

หน้าที่หลักๆของอิหม่ามก็คือเป็นผู้นำในการนำสวด ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เทศนา เป็นครูสอนศาสนา เผยแพร่คำสอนที่ถูกต้องตามพระคัมภีร์ เป็นนักปราชญ์ ผู้ทรงภูมิความรู้ในคำภีร์อัลกุลอ่าน ซึี่งถือว่าเป็นคัมภีร์ที่สูงสุดของศาสนาอิสลาม

กลับมาที่คำถามแรกนะครับ "ในศาสนาอิสลาม ผู้หญิงเป็น "อิหม่าม" ได้หรือไม่?" คำตอบมีทั้ง "ได้" และ "ไม่ได้" หมายความว่ายังไง? ก็หมายความว่าบางประเทศอนุญาตให้มี "อิหม่ามเพศหญิง" ได้ และก็ได้รับ "การยอมรับ" ในชุมชนชาวมุสลิมนั้นๆด้วย บางประเทศไม่อนุญาตให้มีอิหม่ามผู้หญิง ถือว่าผิดกฎหมายชารีอะห์

วันที่ 27 สิงหาคม 2016 เว็บไซต์ของสำนักข่าว The Telegragh ของอังกฤษพาดหัวข่าวว่า "ผู้หญิงนำศาสนิกสวดมนต์ในมัสยิดสำหรับผู้หญิงแห่งแรกในเดนมาร์ก" (Women lead prayers at Denmark's first female-run mosque) หนังสือพิมพ์ The Gruadian ของอังกฤษรายงานว่า มัสยิดแห่งนี้ชื่อ "Mariam" ตั้งอยู่ที่กรุง Copenhagen เมืองหลวงของเดนมาร์ก มีผู้หญิงสองคนชื่อ "Sherin Khankan" และ "Saliha Marie Fetteh" ทำหน้าที่เป็น "อิหม่าม" นี่คือตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงในโลกปัจจุบันนี้

+ ประเทศที่มีผู้หญิงเป็นอิหม่ามหรือเป็นผู้นำพิธีกรรมทางศาสนา (ข้อมูลจากวิกิพีเดีย)
---------

1.) แคนาดา: ในประเทศแคนาดามีขบวนการศาสนิกชน (prayer) ที่นำโดยผู้หญิงตั้งแต่ปี 2003 ในปี สมาคมสหมุสลิม (United Muslim Association - UMA) ได้แสดงถึงความมุ่งมั่นขององค์กรในการอนุญาตให้ผู้หญิงสามารถเทศนาและเป็นผู้นำสวดมนต์ (ทำละหมาด) ในมัสยิดได้ และก็เกิดขึ้นจริง

2.) จีน: ในประเทศจีนมีมัสยิดหลายแห่งที่มีผู้หญิงเป็น "อิหม่าม" เช่นในกลุ่มชาติพันธุ์ Hui แต่ไม่ใช่อุยกูร์ โรงเรียน Quranic ซึ่งเป็นโรงเรียนสตรีได้เปิดมัสยิดสำหรับสตรีและมีสตรีเท่านั้นทำหน้าที่เป็นอิหม่ามตั้งแต่ปี 1820 เป็นต้นมา

3.) ตุรกี: มุสลิมชาวเติร์กตระหนักถึงอิทธิพลของตนเองในการตีความศาสนาอิสลาม มัสยิดของรัฐแห่งหนึ่งได้ฝึกผู้หญิงหลายร้อยคนให้เป็น "vaize" ซึ่งสำนักข่าว BBC แปลว่า "อิหม่ามอาวุโส (senior imams)" ส่วนหนังสือพิมพ์ The Washington Post แปลศัพท์นี้ว่า "นักเทศน์หญิง" (female preachers) (หรือ "ครูสอนศาสนาเพศหญิง")

มี 15 จังหวัดในประเทศตุรกีที่อนุญาตให้ผู้หญิงดำรงค์ตำแหน่งเป็นถึง "deputy muftis" ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษเกี่ยวกับกฎหมายด้านศาสนา ทำหน้าที่เฝ้าจับตาเฝ้าระวังการทำงานของอิหม่ามในมัสยิดต่างๆ ในปี 2005 มี "ครูสอนศาสนา/นักเทศน์" (preachers) เพศหญิงชาวมุสลิมกระจายอยู่ทั่วประเทศตุรกีประมาณ 150 คน

ที่อังกฤษอนุญาตให้ผู้หญิงแปลเพศทำหน้าที่นำสวดมนต์ในตอนเย็นวันศุกร์ได้ ส่วนที่สหรัฐก็เช่นกัน (บางชุมชนของชาวมุสลิม) อีกเคสหนึ่งในสหรัฐ Amina Wadud ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน ได้เป็นผู้นำในการนำสวดในตอนเย็นวันศุกร์และเทศนาในนิวยอร์ก (2005)

The Eyes
เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
https://www.facebook.com/fisont
https://vk.com/theeyesproject
20/03/2560
------------
http://www.telegraph.co.uk/news/2016/08/27/women-lead-prayers-at-female-run-mosque-in-copenhagen/
https://www.theguardian.com/world/2...rayers-denmark-first-female-run-mosque-mariam
https://en.wikipedia.org/wiki/Women_as_imams
http://www.islamswomen.com/articles/can_a_woman_be_imam.php
http://theislamicmonthly.com/female-imams-in-america/
https://www.ft.com/content/2ccda9ea-17c7-11e6-bb7d-ee563a5a1cc1
http://www.npr.org/2010/07/21/128628514/female-imams-blaze-trail-amid-chinas-muslims
http://www.independent.co.uk/news/uk/home-news/first-woman-to-lead-friday-prayers-in-uk-1996228.html
http://www.thenewsminute.com/articl...-opened-denmarks-first-women-run-mosque-48105

 

ปอกเปลือก ทรราช
ทำเนียบเครมลินไม่ขอแสดงความคิดเห็นกรณีทรัมป์เรียกปูตินว่า "คุกกี้แข็งโป๊ก" (a tough cookie)
----------

วันที่ 20 มี.ค.60 TASS รายงานว่า นาย Dmitry Peskov โฆษกทำเนียบเครมลินของรัสเซียได้งดแสดงความคิดเห็นต่อการตั้งข้อสังเกตของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ เกี่ยวกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซียว่าในมุมมองของตนเองนั้นปูตินเหมือนกับ "คุกกี้แข็ง" (a tough cookie) [สงสัยกลัวฟันหัก หรือไม่ก็ติดคอตายมั๊ง จึงไม่กล้างับปูติน - ผู้แปล]

"ทั้งภาษารัสเซียและภาษาอังกฤษต่างก็มีความหลากหลาย โดยธรรมดาแล้ว พวกนักการเมืองบางคนก็มักจะใช้ความหลากหลายจากภาษาแม่ของพวกเขาเอง ทางเครมลินไม่ขอร่วมดื่มด่ำในการวิเคราะห์ทางภาษาศาสตร์ด้วยนะครับ" นาย Peskov กล่าว [ภาษาชาวบ้านบอกว่า ไม่บ้าจี้ด้วยหรอก เอาที่คุณสะบายใจละกัน - ผู้แปล]

ทรัมป์ได้ตั้งข้อสังเกตในการให้สัมภาษณ์กับ Fox TV ของสหรัฐ เมื่อวันอาทิตย์นี้ ทางพิธีกรได้เอ่ยถึงชื่อนักการเมืองและนักธุรกิจของสหรัฐหลายคน รวมทั้งผู้นำของรัสเซียด้วยโดยขอให้ทรัมป์ใส่คำบรรยายให้กับแต่ละคนด้วย

"ผมไม่รู้จักเขา แต่แน่นอนว่าเขาเป็นคุกกี้ที่แข็งชิ้นหนึ่ง ผมไม่รู้ว่าเขาทำอะไรเพื่อรัสเซียบ้าง เรากำลังจะเจอซักวัน ผมเดานะ" ทรัมป์กล่าว เกี่ยวกับนางฮิลลารี่ คลินตัน คำแรกที่ทรัมป์พูดออกมาก็คือ "ผิดหวังครับ/ไม่สบอารมณ์" (disappointed)

The Eyes
เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
https://www.facebook.com/fisont
https://vk.com/theeyesproject
20/03/2560
------------
http://tass.com/politics/936464
https://www.rt.com/usa/381301-trump-putin-tough-cookie/
https://sputniknews.com/politics/201703191051751407-putin-trump-tough-cookie-comparison/