ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปอกเปลือก ทรราช
    ปูตินสั่งให้ทุกท่าเรือของรัสเซียงดค้าขายด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐ

    FB_IMG_1505838355868.jpg FB_IMG_1505838346811.jpg FB_IMG_1505838352467.jpg

    -----------

    วันที่ 19 ก.ย.60 RT รายงานว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซียได้แนะนำให้รัฐบาลอนุมัติกฎหมายทำให้เงินรูเบิลเป็นสกุลเงินหลักในการซื้อขายแลกเปลี่ยนทุกท่าเรือของรัสเซียภายในปีหน้า เว็บไซต์ทำเนียบเครมลินประกาศ

    เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของบริษัทรับจ้างบรรทุกขนสิ้นค้าขึ้นลงที่ท่าเรือ (stevedoring companies) ที่มีภาระผูกพันธ์กับสกุลเงินต่างประเทศ รัฐบาลได้รับคำแนะนำให้กำหนดช่วงระยะเวลาการทำธุรกรรมช่วงหนึ่ง ก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นการชำระสินค้าด้วยเงินรูเบิลของรัสเซีย

    นาย Igor Artemyev หัวหน้า FAS หน่วยงานเฝ้าระวังการผูกขาดด้านการค้าของรัสเซียกล่าวว่า หลายหน่วยงานและบริษัทตามท่าเรือของรัสเซียยังคงใช้เงินดอลลาร์ของสหรัฐ แม้ว่าท่าเรือเหล่านั้นจะเป็นของรัฐก็ตาม

    ได้มีการเสนอข้อเสนอให้เปลี่ยนการเก็บภาษีท่าเรือเป็นเงินรูเบิลเป็นครั้งแรกโดยประธานาธิบดีปูตินเมื่อหนึ่งปีครึ่งที่แล้ว แนวคิดดังกล่าวไม่ได้มาจากบริษัทขนส่งขนาดใหญ่ ซึ่งต้องการที่จะเก็บรายได้เป็นเงินดอลลาร์และสกุลเงินต่างประเทศอื่นๆ เนื่องจากความผันผผวนของเงินรูเบิล

    Artemyev กล่าวว่า การบังคับให้ชาวต่างชาติต้องซื้อเงินรูเบิลรัสเซีย ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อเงินรูเบิล

    [สองปีที่แล้ว สหรัฐและอียูรวมหัวกันโจมตีค่าเงินรูเบิลของรัสเซีย เนื่องจากปัญหายูเครน และแค้นที่รัสเซียผนวกไคร์เมียกลับคืนสู่แผ่นดินแม่ของรัสเซียอีกครั้ง ทำให้ค่าเงินรูเบิลอ่อนลงเป็นอย่างมาก พวกนักธุรกิจจึงพากันหันไปพึ่งเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นหลัก แต่รัสเซียก็ค่อยๆปรับตัวได้ในที่สุด

    คราวนี้เพื่อรูเบิลเริ่มฟื้นตัวได้ ปูตินก็เริ่มออกหมัดสวนกลับบ้าง ยกแรกให้เวเนซูเอลาออกหมัดก่อน โดยการงดใช้เงินดอลลาร์สหรัฐในการซื้อขายน้ำมัน และจีนก็ปล่อยเงินกู้จำนวนมากด้วยเงินหยวนให้กับอิหร่าน ที่ถูกสหรัฐกลั่นแกล้งด้วยการคว่ำบาตร - ผู้แปล]

    The Eyes
    เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
    https://www.facebook.com/fisont
    https://vk.com/theeyesproject
    19/09/2560
    ---------
    https://www.rt.com/business/403804-russian-sea-ports-ruble-settlements/
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    อเมริกาเสนอให้ปฏิรูปสหประชาชาติ:

    แม้ว่าสหประชาชาติขณะนี้จะดูเหมือนเป็นลูกไล่อเมริกาแล้ว แต่โดนัลด์ ทรัมป์ก็รู้สึกว่ายังไม่ได้ทำตามที่ตัวเองต้องการ พูดง่ายๆ ก็คือสหประชาชาติยังไม่ได้ตอบสนองต่อความต้องการของตนเอง จึงเสนอให้มีการปฏิรูปองค์กรสหประชาชาติใหม่ มีตัวแทนประเทศต่างๆ ๑๒๘ ประเทศเข้าเซ็นชื่อร่วมปฏิรูปไปด้วย

    รัฐบาลรัสเซียบอกว่าข้อเสนอในการปฏิรูปนั้น เลขายูเอ็นเองไม่ได้รับรองด้วย รัสเซียจะไม่ยอมเป็นเครื่องมือให้มีการปฏิรูปยูเอ็นเพื่อให้เข้าทางอเมริกา (http://russiafeed.com/russia-not-willing-to-be-a-part-of-us-proposed-un-reforms/) ไม่รู้ว่าเมืองไทยไปหลับหูหลับตาร่วมเซ็นกับเขาด้วยหรือปล่าวนะครับ ถ้าเผลอไปเซ็นเข้าแล้ว ต่อมา ปรากฏว่าแนวทางปฏิรูปดังกล่าวกระชับอำนาจให้อเมริกามากขึ้น ผู้แทนรัฐบาลไทยตอนนี้ก็คงไม่ต่างอะไรกับเป็นขี้ข้าทางสมองของอเมริกา

    หลักการของผมก็คือสังคมโลกทุกวันนี้ไม่เหมือนสมัยรัชกาลที่ ๔ ซึ่งพยายามสะกัดอิทธิพลชาติมหาอำนาจเพื่อให้ประเทศไทยอยู่รอด สมัยนั้น เราไม่มีทางเลือกมาก ต้องยอมเขามาก แต่ปัจจุบันนี้มี จึงสมควรจะกำหนด positioning ของไทยให้อยู่บนเวทีการเมืองระหว่างประเทศให้ชัดเจน ๑.ดำรงเอกราชหรือบูรณภาพแห่งดินแดนเอาไว้ได้ ๒.มีจุดยืนอย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ตกเป็นขี้ข้าทางความคิดของชาติใด โดยเฉพาะชาติที่บ้าอำนาจอย่างอเมริกา

    ๑๙ กันยายน ๒๕๖๐
    *หมายเหตุ: ๑.ถ้าจะแชร์ ไม่ต้องขออนุญาตแต่โปรดอ้างที่มาให้ชัดเจน ๒.หากจะวิจารณ์โปรดใช้คำสุภาพ สองข้อนี้สำคัญเพื่อป้องกันมิให้ผิดพรบ.คอมพิวเตอร์ โปรดสะกดใช้คำให้ถูกต้องตาม *หลักภาษาไทย* ด้วย ข้อความวิจารณ์ที่ *หยาบ* และ *สะกดผิด* จะลบออกทุกครั้งที่เห็น
    https://sputniknews.com/world/201709181057489397-128-nations-us-declaration-un-reform/
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    FB_IMG_1505865190703.jpg

    รวมวาทะเด็ด "อองซานซูจี" แถลงกรณีโรฮิงญา
    อองซานซูจี มุขมนตรีแห่งรัฐของเมียนมา แถลงชี้แจงการทำงานของรัฐบาลกรณีชาวมุสลิมโรฮิงญาในรัฐยะไข่อพยพหนีภัยความรุนแรงในพื้นที่นับตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคมเป็นต้นมา โดยเป็นการแถลงที่กรุงเนปิดอว์ของเมียนมาแทนการเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติที่สหรัฐฯ ในวันพรุ่งนี้
    "เมียนมาปกป้องสิทธิมนุษยชนของทุกคน ไม่ใช่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง"
    "เราเป็นประชาธิปไตยที่ยังอ่อนวัย แต่เราต้องรับมือทุกอย่าง ต้องรับมือปัญหาในรัฐยะไข่ไปพร้อมๆ กับเรื่องอื่น ขอเชิญทุกคนมาร่วมกับเราอย่างสร้างสรรค์และกล้าหาญ เพื่อหาทางออกของปัญหานี้"
    "ผู้ที่ต้องหนีภัยในรัฐยะไข่ ไม่ได้มีแค่มุสลิม แต่รวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ด้วย ไดเนะ มารู เด๊ะ เลมาจี และฮินดู ซึ่งทั่วโลกอาจจะไม่ตระหนักถึงการดำรงอยู่ของพวกเขา"
    "เราอยากทราบว่าทำไมชาวมุสลิมจำนวนมากต้องหนีภัย..แต่คนทั่วโลกคงไม่รู้ว่าชาวมุสลิมในรัฐยะไข่ส่วนใหญ่ยังอยู่ในพื้นที่ ไม่ได้เข้าร่วมการอพยพในครั้งนี้ เราต้องคุยกับทั้งผู้ที่หนีไปและผู้ที่ยังอยู่"
    "รัฐบาลเมียนมาพร้อมรับผู้ลี้ภัยกลับประเทศ และพร้อมจะเริ่มกระบวนการพิสูจน์สัญชาติเมื่อไหร่ก็ได้"
    อ่านเพิ่มเติม: https://news.voicetv.co.th/world/525115.html
    Cr.VoiceTV
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Watchers

    FB_IMG_1505866399853.jpg FB_IMG_1505866323304.jpg FB_IMG_1505866326576.jpg FB_IMG_1505866329260.jpg FB_IMG_1505866331972.jpg FB_IMG_1505866340172.jpg FB_IMG_1505866368528.jpg FB_IMG_1505866371496.jpg

    #Earthquake
    20 ก.ย.60
    เวลา 01:14 น. เวลาไทย
    แผ่นดินไหวแมกนิจูด 7.1 ลึก 56 กม.
    พิกัด 98.51°W 18.57°N
    ประเทศเม็กซิโก
    Mw 7.1 PUEBLA, MEXICO
    (link: http://ift.tt/2wvpr5R)
    USGS: https://earthquake.usgs.gov/earthquakes/eventpage/us2000ar20#executive
    แผ่นดินไหว 7.1 เม็กซิโกครั้งนี้ เกิดใกล้เคียงวันครบรอบ 32 ปี ของแผ่นดินไหว 8.0 รอบที่แล้ว (19 ก.ย.1985)
    อัพเดท 03:50
    มีผู้เสียชีวิต 107+ ราย (ไม่เป็นทางการ) และบาดเจ็บจำนวนมากจากแผ่นดินไหว 7.1 ในเม็กซิโก ยอดยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ทั้งนี้รัฐบาลเมียนมาไม่ต้องการเห็นการเห็นประเทศถูกแบ่งด้วยเหตุผลเรื่องความเชื่อ ศาสนา

    ซูจีแถลงครั้งแรก วิกฤติโรฮิงญา ขอประณามทุกความรุนแรง ย้ำรัฐกำลังแก้ปัญหา

    เขียนวันที่ วันอังคาร ที่ 19 กันยายน 2560 เวลา 11:48 น. เขียนโดยisranews

    ซูจี แถลงครั้งประวัติศาสตร์ ต่อวิกฤติโรฮิงญา อ้างที่ผ่านมารัฐบาลได้พยายามแก้ไขปัญหาโดยคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนแล้ว และขอประณามทุกความรุนแรงที่เกิดขึ้น ในส่วนของเหตุที่คนต้องอพยพ ขอเวลาสอบสวนข้อเท็จจริง เผยว่า คนที่หนีออกไป จะต้องถูกคัดกรองก่อนกลับเข้ามา เชิญนักข่าว นักการทูตลงพื้นที่ดูความจริง ว่าทำไมยังมีมุสลิมอีกจำนวนหนึ่งอยู่ได้ไม่มีปัญหา

    Rohingya-190917.jpg

    เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 60 ที่กรุงเนปีดอว์ ประเทศเมียนมา นางอองซาน ซูจี มุขมนตรีรัฐบาลเมียนมา แถลงความคืบหน้าการทำงานของรัฐบาล โดยเฉพาะประเด็นโรฮิงญา นับครั้งแรกตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ความสงบขี้นเมื่อวันที่ 25 ส.ค. ที่ผ่านมา

    โดยนางซูจี ระบุถึง ความกังวลจากนานาชาติ ต่อวิกฤติชาวโรฮิงญา ที่ปัจจุบันที่อพยพไปยังบังคลาเทศแล้วกว่า 400,000 คน ว่า ที่ผ่านมาเราประณามความรุนแรงทุกอย่างที่กระทบต่อสิทธิมนุษยชน เรามีความตั้งใจที่จะสร้างสังคมที่สงบสุข มั่นคง และมีนิติธรรม ที่ผ่านมามีข้อกล่าวหามากมาย ซึ่งเราก็รับฟังทุกความเห็น และเราต้องมั่นใจว่าสิ่งที่ถูกกล่าวหานั้นมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงและพิสูจน์ได้

    นางซูจี กล่าวอีกว่า เมียนมาไม่ห่วงเรื่องที่นานาประเทศจับตา( international scrutiny) เพราะเป็นเรื่องที่มีพันธะสัญญากับนานาชาติอยู่แล้ว ย้อนกลับไปเมื่อวันที่9 ตุลาคมปี 2016 มีกลุ่มมุสลิมใช้กำลังโจมตีตำรวจ ทำให้เกิดปัญหาตามมา มีคนถูกฆ่าตาย หลายคนหนีไปยังบังคลาเทศทางการพยายามแก้ปัญหาและให้สังคมอยู่กันอย่างกลมเกลียวให้ประเทศปกครองด้วยกฎหมาย และได้มีการเชิญ ดร.โคฟีอันนัน อดีตเลขาธิการใหญ่แห่งสหประชาชาติ ไปเยี่ยมเยียนและเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาในการแก้ไขปัญหาครั้งนี้ แต่ก็ยังไม่ประสบผล

    นางซูจี กล่าวยืนยันว่า นับตั้งแต่ วันที่ 5กันยายนเป็นต้นมา ไม่ได้เกิดเหตุการณ์ปะทะกันเพิ่มเติมในรัฐยะไข่ และที่ผ่านมาทางการเมียนมาทำทุกวิถีทางเพื่อให้ปฏิบัติการทางการทหารในการปราบปรามกลุ่มก่อการร้ายให้ไม่กระทบกับประชาชน และแม้จะมีชาวมุสลิมจำนวนมากอพยพเข้าไปยังฝั่งบังกลาเทศ แต่ก็มีชาวมุสลิมอีกจำนวนหนึ่งที่ยังคงอาศัยในพื้นที่ได้อย่างสงบ จึงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

    ในส่วนประเด็นเหตุการณ์ จำนวนผู้อพยพชาวโรฮิงญาจำนวนมากนั้น นางซูจีกล่าวว่า กำลังมีการเตรียมการสอบสวนเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง แต่ทั้งนี้ที่ผ่านมารัฐบาลได้มีความพยายามในการพัฒนาพื้นที่รัฐยะไข่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องถนนหนทางที่เชื่อมหมู่บ้านห่างไกล เรื่องการศึกษาทั้งในขั้นพื้นฐานและระดับสูง โดยเปิดโอกาสในทุกคนเข้าถึงได้โดยไม่มีการปิดกั้น รวมไปถึงการเข้าถึงระบบสาธารณสุข และปัจจัยพื้นฐานอย่างที่อยู่อาศัย แต่ก็พบว่ายังมีหลายชุมชนที่ผู้นำปฏิเสธการเข้าร่วมในแผนพัฒนาครั้งนี้ รัฐจึงต้องเพิ่มพยายามในการโน้มน้าวให้ทุกชุมชนได้เข้าร่วมเพื่อพัฒนาประเทศต่อไป

    นางซูจี กล่าวด้วยว่า เมียนมากำลังเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นประชาธิปไตยแต่ประชาธิปไตยของเมียนมาอาจจะยังไม่สมบูรณ์แบบขอให้ประชาคมโลกมีความศรัทธาและเชื่อมั่น ประเทศเมียนมาเป็นประเทศที่สลับซับซ้อนในเรื่องชาติพันธุ์มากมาย แม้ว่าผู้คนคาดหวังว่าเราจะแก้ปัญหาได้ในเวลาอันสั้นแต่รัฐบาลของเราอยู่มาได้แค่18เดือนเท่านั้นซึ่งยังสั้นเกินไปที่จะจัดการปัญหาต่างๆอย่างที่มีคนคาดหวังแต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่พยายามจัดการปัญหาพวกนี้

    นอกจากนี้ นางซูจียัง เชิญชวน นักการทูตและนักข่าวจากทั่วโลกเข้าพื้นที่เพื่อไปสอบถามชาวมุสลิมที่ยังคงอยู่ในพื้นที่ว่าเพราะอะไรพวกเขาจึงไม่หนีไปไหน ในส่วนของคนที่อพยพออกไปแล้ว หากจะกลับเข้ามาในเมียนมาอีกครั้ง ก็จะมีระบบคัดกรองคนเพื่อระบุว่าเป็นผู้ที่อพยพออกไปจริงหรือไม่ ทั้งนี้รัฐบาลเมียนมาไม่ต้องการเห็นการเห็นประเทศถูกแบ่งด้วยเหตุผลเรื่องความเชื่อ ศาสนา


    https://www.isranews.org/isranews/59690-rohingya-59691.html
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    เจาะลึก: ‘กลุ่มกบฎโรฮิงญา’เติบใหญ่ขยายตัวท้าทายกองทัพพม่าได้อย่างไร
    เผยแพร่: 19 ก.ย. 2560 23:56:00 ปรับปรุง: 20 ก.ย. 2560 03:19:00
    INSIGHT-"And then they exploded": How Rohingya insurgents built support for assault

    By Wa Lone and Antoni Slodkowski
    07/09/2017

    การที่รัฐบาลพม่าของอองซานซูจีล้มเหลว ไม่ได้คลี่คลายความเดือดร้อนของชาวมุสลิมโรฮิงญา ผู้ต้องอยู่ในสังคมแบบแบ่งผิวเหยียดเชื้อชาติมาหลายชั่วคน คือพื้นฐานที่ทำให้กลุ่มนักรบหัวรุนแรงได้รับแรงสนับสนุน ยิ่งเมื่อกองทัพพม่าทำการปราบปรามอย่างโหดเหี้ยมและไม่จำแนกแยกแยะภายหลังเหตุการณ์โจมตีครั้งแรกของกองกำลังอาวุธกบฎโรฮิงญาในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ก็ยิ่งทำให้มีคนหนุ่มๆ เข้าร่วมกับพวกนักรบเหล่านี้มากขึ้นอีก ขณะที่กองกำลังอาวุธที่เพิ่งตั้งไข่ของชาวโรฮิงญาเหล่านี้ ได้ถูกแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นเครือข่ายของหน่วยย่อยจำนวนมาก กระจายไปอยู่ในหมู่บ้านหลายสิบแห่ง ซึ่งมีศักยภาพที่จะรวมตัวกันเพื่อการเปิดโจมตีใหญ่ๆ

    ย่างกุ้ง, พม่า (สำนักข่าวรอยเตอร์) - ตอนที่อดีตเลขาธิการใหญ่สหประชาชาติ โคฟี อันนัน (Kofi Annan) แถลงข่าวในวันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา เนื่องในโอกาสปิดการสอบสวนที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน 1 ปีของเขา เกี่ยวกับสถานการณ์ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือที่เดือดร้อนวุ่นวายของพม่า เขากล่าวเตือนอย่างชัดเจนเปิดเผยต่อสาธารณชนว่า การที่กองทัพกระทำการตอบโต้อย่างเกินเหตุต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้น มีแต่จะทำให้ความขัดแย้งที่ยังคงคุกรุ่นระหว่างกลุ่มก่อกบฎชาวโรฮิงญา กับกองกำลังรักษาความมั่นคงของพม่า ยิ่งเพิ่มความเลวร้ายมากขึ้นอีก

    เพียงไม่ถึง 3 ชั่วโมงหลังจากนั้น นั่นคือหลังเวลาล่วงเลย 20.00 น.ของวันนั้นไปไม่นานนัก อะตา อัลเลาะห์ (Ata Ullah) ผู้นำกลุ่มกบฏโรฮิงญา ก็ได้ส่งข้อความถึงพวกผู้สนับสนุนของเขา เรียกร้องให้พวกเขามุ่งหน้าไปยังบริเวณเชิงเขาของเทือกเขามายู (Mayu) ที่เป็นพื้นที่อยู่ห่างไกล พร้อมกับพกพาพวกวัตถุโลหะต่างๆ ที่สามารถใช้เป็นอาวุธได้ไปด้วย

    หลังผ่านพ้นเวลาเที่ยงคืนไปได้ไม่นาน ณ บริเวณซึ่งอยู่ห่างออกไป 600 กิโลเมตรทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองย่างกุ้ง นครใหญ่ที่สุดของพม่า กองทัพโกโรโกโสของพวกนักรบชาวโรฮิงญา ซึ่งใช้ทั้งมีด, ไม้พลอง, ปืนพก, และลูกระเบิดแบบหยาบๆ เป็นอาวุธ ก็ได้บุกเข้าโจมตีที่ตั้งของตำรวจ 30 แห่ง และค่ายทหารอีก 1 แห่ง

    “ถ้ามีคนออกมาสัก 200 หรือ 300 คน 50 คนจะต้องตาย ตามแต่พระเจ้าทรงพระประสงค์ คนที่เหลืออีก 150 คนก็สามารถเข่นฆ่าพวกเขาด้วยมีดได้” อะตา อุลเลาะห์ พูดเช่นนี้ในข้อความเสียงแยกต่างหากที่ส่งไปถึงพวกผู้สนับสนุนของเขา ข้อความนี้ได้ถูกเผยแพร่ออกไปในเวลาประมาณช่วงที่มีการบุกโจมตี ผ่านทางแอปรับส่งข้อความต่างๆ ของโทรศัพท์มือถือ และรอยเตอร์มีโอกาสได้ตรวจสอบข้อความที่มีการบันทึกเอาไว้ภายหลังจากนั้น

    การเข้าโจมตีโดยกลุ่มของ อะตา อุลเลาะห์ ซึ่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า กองทัพกู้ชีพชาวโรฮิงญาแห่งอารากัน (Arakan Rohingya Salvation Army หรือ ARSA) ครั้งนี้ ถือว่าเป็นครั้งใหญ่ที่สุดของพวกเขา เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ตอนที่กลุ่มนี้ปรากฏตัวเผยโฉมเป็นครั้งแรกนั้น พวกเขาเข้าโจมตีที่มั่นบริเวณชายแดนของตำรวจเพียง 3 แห่งเท่านั้น โดยใช้กำลังนักรบจำนวนราว 400 คน ทั้งนี้ตามการประมาณการของรัฐบาลพม่า ขณะนี้กองทัพพม่ากำลังให้ตัวเลขว่ามีผู้คนซึ่งอาจจะสูงถึง 6,500 คนทีเดียวที่เข้าร่วมการโจมตีในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

    การที่กลุ่มนี้มีความสามารถที่จะทำการโจมตีขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นมากมายเช่นนี้ เป็นเครื่องบ่งบอกให้ทราบว่า ชายหนุ่มชาวโรฮิงญาจำนวนมากเกิดแรงกระตุ้นดึงดูดให้เข้าสนับสนุน ARSA หลังจากกองทัพพม่าได้ดำเนินการปราบปรามอย่างทารุณ ภายหลังเกิดเหตุโจมตีในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ทั้งนี้จากการสัมภาษณ์ชาวโรฮิงญาและชาวบ้านในรัฐยะไข่สิบกว่าคน, รวมทั้งสมาชิกหลายคนของกองกำลังความมั่นคงและผู้บริหารราชการระดับท้องถิ่น ทั้งนี้การตอบโต้อย่างเหี้ยมเกรียมของฝ่ายเจ้าหน้าที่ต่อเหตุการณ์โจมตีในเดือนตุลาคม ได้ทำให้เกิดเสียงกล่าวหาขึ้นมาจำนวนมากว่าทหารได้เผาผลาญหมู่บ้านไปหลายแห่ง รวมทั้งเข่นฆ่าและข่มขืนพลเรือนด้วย

    วิกฤตการณ์ในรัฐยะไข่ที่มีความแตกแยกระหว่างคนต่างเชื้อชาติศาสนาระอุคุกรุ่นอยู่ก่อนแล้วคราวนี้ ถือเป็นวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ที่สุดซึ่งเผชิญหน้า อองซานซูจี ผู้นำโดยพฤตินัยของพม่า และการจัดการกับปัญหานี้ของเธอกำลังกลายเป็นที่มาของความผิดหวังเสื่อมความศรัทธาเชื่อถือในหมู่ชาวตะวันตกซึ่งเคยสนับสนุนเธอในฐานะผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในพม่า อันโตนิโอ กูเตียร์เรส (Antonio Guterres) เลขาธิการใหญ่ยูเอ็นคนปัจจุบันได้วิงวอนต่อทางการพม่าในวันที่ 5 ก.ย. ให้ยุติการใช้ความรุนแรงต่อชาวมุสลิมโรฮิงญา พร้อมกับเตือนถึงความเสี่ยงที่จะเกิดการล้างเผ่าพันธุ์ (ethnic cleansing), ความเป็นไปได้ที่จะเกิดภัยพิบัติหายนะทางมนุษยธรรม, และความไร้เสถียรภาพของภูมิภาค (หมายเหตุผู้แปล – ต่อมาในวันที่ 13 ก.ย. กูเตียร์เรสบอกว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในพม่านั้นเหมาะสมที่สุดที่จะเรียกว่าเป็น การล้างเผ่าพันธุ์)

    พวกผู้นำชาวโรฮิงญาและนักวิเคราะห์ด้านนโยบายบางรายกล่าวว่า การที่ซูจีล้มเหลวไม่ได้จัดการคลี่คลายความทุกข์ยากเดือดร้อนของชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมเหล่านี้ ผู้ซึ่งต้องมีชีวิตอยู่ภายใต้เงื่อนไขต่างๆ แบบสังคมแบ่งผิวเหยียดเชื้อชาติมาหลายชั่วอายุคนแล้ว คือสิ่งที่ทำให้กลุ่มนักรบหัวรุนแรงได้รับความสนับสนุนอย่างพุ่งพรวด

    การรุกตอบโต้ครั้งใหญ่ของทางการพม่า

    กองกำลังอาวุธระดับบ้านๆ ที่อยู่ในขั้นตั้งไข่ของชาวโรฮิงญา ได้ถูกแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นเครือข่ายของหน่วยย่อย (cell) ต่างๆ ซึ่งกระจายอยู่ในหมู่บ้านจำนวนหลายสิบแห่ง และมีศักยภาพที่จะรวมตัวกันเพื่อเปิดการโจมตีอย่างกว้างขวาง

    รัฐบาลพม่าได้ประกาศให้กลุ่ม ARSA เป็นองค์การผู้ก่อการร้าย นอกจากนั้นรัฐบาลยังกล่าวหา ARSA ว่า เข่นฆ่าพลเรือนชาวมุสลิมเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่ รวมทั้งยังจุดไฟเผาผลาญหมู่บ้านของชาวโรฮิงญาไปหลายแห่ง ซึ่งล้วนเป็นข้อกล่าวหาที่ทางกลุ่มนี้ปฏิเสธ

    การโจมตีล่าสุดในเดือนสิงหาคม ได้กระตุ้นให้ฝ่ายรัฐบาลทำการรุกตอบโต้แก้เผ็ดครั้งใหญ่ ซึ่งฝ่ายทหารบอกว่าได้สังหารพวกกบฏไปเกือบ 400 คน และสมาชิกกองกำลังความมั่นคงเสียชีวิต 13 คน

    ชาวบ้านโรฮิงญาและกลุ่มสิทธิมนุษยชนต่างๆ บอกว่า กองทัพได้เข้าโจมตีหมู่บ้านต่างๆ อย่างไม่มีการจำแนกแยกแยะ และจุดไฟเผาผลาญบ้านเรือน ขณะที่รัฐบาลพม่ากล่าวว่าพวกเขากำลังใช้การปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายที่ดำเนินไปอย่างถูกต้องตามตามกฎหมาย และทหารได้รับคำชี้แนะว่าจะต้องไม่ทำร้ายพลเรือน

    มีชาวโรฮิงญาเกือบ 150,000 คนที่หลบหนีลี้ภัยไปยังบังกลาเทศนับตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม จนทำให้เกิดความหวาดกลัวกันว่าจะเกิดวิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรมขึ้นมา (หมายเหตุผู้แปล – ตัวเลขของสหประชาชาติในวันที่ 19 ก.ย. บอกว่า จำนวนชาวโรฮิงญาซึ่งหนีไปบังกลาเทศได้เพิ่มขึ้นเป็น 421,000 คน) ขณะเดียวกันยังมีชาวบ้านที่มิใช่มุสลิมจำนวน 25,750 คนซึ่งต้องกลายเป็นคนพลัดที่นาคาที่อยู่ภายในพม่าเอง

    อองซานซูจี กล่าวว่าเธอจะยอมรับปฏิบัติตามข้อเสนอแนะต่างๆ ของคณะกรรมการสอบสวนชุดที่มีโคฟี อันนัน เป็นประธาน ซึ่งมีเนื้อหาส่งเสริมสนับสนุนให้มีการบูรณาการชาวโรฮิงญาเพิ่มมากขึ้น เธอยังเคยวิงวอนเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่า ขอให้เข้าอกเอาใจด้วยว่าพม่าเป็นประเทศที่มีความสลับซับซ้อนทางชาติพันธุ์

    ในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 6 ก.ย. เธอประณาม “ผู้ก่อการร้าย” ว่าเป็นตัวการเผยแพร่ “ภูเขาน้ำแข็งแห่งข้อมูลข่าวสารผิดๆ ลูกมหึมา” เกี่ยวกับการปะทะขัดแย้งกันในรัฐยะไข่ ทั้งนี้เธอไม่ได้เอ่ยถึงชาวโรฮิงญาที่ต้องอพยพหลบหนีไป

    ก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 4 ก.ย. ซอ เต (Zaw Htay) โฆษกของซูจีกล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า พม่ากำลังดำเนินปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายอยู่ และให้การดูแลระมัดระวัง “ความปลอดภัยของพลเรือน ทั้งที่เป็นชาวมุสลิม และที่ไม่ใช่ชาวมุสลิม”

    นี่ไม่ใช่วิธีที่มนุษย์จะอยู่กันได้

    ในการให้สัมภาษณ์สำนักข่าวรอยเตอร์เมื่อเดือนมีนาคมปีนี้ อะตา อุลเลาะห์ ได้เชื่อมโยงการถือกำเนิดขึ้นมาของกลุ่มติดอาวุธของเขา กับเหตุการณ์ความรุนแรงระหว่างชาวพุทธกับชาวมุสลิมในรัฐยะไข่เมื่อปี 2012 ซึ่งประมาณการกันว่ามีผู้คนถูกฆ่าตายไปร่วม 200 คน และมีผู้คนอีก 140,000 คนที่เกือบทั้งหมดเป็นชาวโรฮิงญา ต้องกลายเป็นคนพลัดที่นาคาที่อยู่

    “พวกเราไม่สามารถเปิดไฟตอนกลางคืนได้ พวกเราไม่สามารถเดินทางจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้ในช่วงกลางวัน” เขาพูดกับรอยเตอร์ถึงความคิดเห็นของเขาซึ่งยังไม่ได้นำออกมาเผยแพร่ก่อนหน้านี้ โดยเป็นการอ้างอิงถึงบรรดาข้อห้ามข้อจำกัดที่ใช้บังคับควบคุมความประพฤติและความเคลื่อนไหวของประชากรชาวโรฮิงญาในตอนนั้น

    “ทุกๆ แห่งมีด่านตรวจเต็มไปหมด ทุกครั้งที่ออกไป และทุกๆ ครั้งที่เข้ามา นี่ไม่ใช่วิธีที่มนุษย์จะอยู่กันได้อย่างแน่นอน”

    ผู้นำชุมชนชาวโรฮิงญาคนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในแถบตอนเหนือของรัฐยะไข่บอกว่า ขณะที่ส่วนอื่นๆ ของพม่าพากันเอนจอยกับเสรีภาพใหม่ๆ ภายใต้รัฐบาลอองซานซูจี ภายหลังผ่านพ้นช่วงเวลาหลายสิบปีแห่งการปกครองใต้ท็อปบูตทหาร แต่สำหรับชนกลุ่มน้อยมุสลิมโรฮิงญาแล้ว กลับได้รับการเหลียวแล ได้รับการยอมรับน้อยลงไปทุกที

    เขากล่าวว่า หลังจากการปฏิบัติการปราบปรามของฝ่ายทหารเมื่อปีที่แล้ว ความสนับสนุนที่ให้แก่พวกกบฏก็เพิ่มมากขึ้น

    “เมื่อตอนที่กองกำลังความมั่นคงเดินทางมาถึงหมู่บ้านของเรานั้น ชาวบ้านทุกๆ คนต่างออกมาอ้อนวอนขอโทษขอโพย และขอร้องไม่ให้พวกเขาจุดไฟเผาบ้าน แต่แล้วพวกเขากลับยิงคนที่มาขอร้อง” เขาเล่า

    “ชาวบ้านรู้สึกเจ็บปวดมากเพราะลูกชายของพวกเขาถูกฆ่าต่อหน้าต่อตาพวกเขาทั้งๆ ที่พวกเขาวิงวอนร้องขอความเมตตากรุณาแล้ว ส่วนลูกลาวของพวกเขา พี่สาวน้องสาวของพวกเขาก็ถูกข่มขืน --แล้วพวกเขาจะอยู่ไปโดยไม่คอยคิดถึงเรื่องเหล่านี้อยู่เรื่อยๆ ได้ยังไง นั่นทำให้พวกเขาต้องการที่จะสู้รบกับมัน แม้ว่าพวกเขาจะต้องตายก็ตามที”

    สำนักข่าวรอยเตอร์ไม่สามารถหาผู้ยืนยันอย่างเป็นอิสระในเรื่องเล่าของชาวบ้านเหล่านี้

    เมื่อเดือนที่แล้ว คณะสอบสวนของรัฐบาลพม่าชุดหนึ่ง –ซึ่งผู้เป็นประธานคือ มิ้น ส่วย อดีตเจ้ากรมข่าวกรองทหาร ที่เวลานี้เป็นรองประธานาธิบดีของพม่า – ได้เสนอผลการสอบซึ่งปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ หรือการล้างเผ่าพันธุ์ ที่กองกำลังความมั่นคงถูกระบุว่ากระทำในระหว่างการปฏิบัติการกวาดล้างปีที่แล้ว

    เครือข่ายหน่วยย่อยๆ

    ทั้งพวกชาวบ้านและตำรวจที่อยู่ในพื้นที่ต่างเล่าว่า หลังจากเหตุการณ์ในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว กลุ่ม ARSA ได้จัดตั้งหน่วยย่อยๆ ขึ้นในหมู่บ้านหลายสิบแห่ง จากนั้นนักเคลื่อนไหวระดับท้องถิ่นเหล่านี้ก็จะระดมหาสมาชิกใหม่อื่นๆ ต่อไปอีก

    “ชาวบ้านต่างมีความรู้สึกร่วมกันกับคนอื่นๆ ซึ่งมาจากชุมชนเดียวกัน พวกเขาต่างพูดคุยกัน พวกเขายังบอกเพื่อนฝูงหรือญาติๆ ที่มาจากท้องถิ่นอื่นๆ ด้วย – และแล้วมันก็ระเบิดตูมตามขึ้นมา” ผู้นำชุมชนชาวโรฮิงญาผู้นี้กล่าว

    โรฮี มุลลาเราะห์ (Rohi Mullarah) ผู้อาวุโสของหมู่บ้านจากหมู่บ้าน จี โนค ที (Kyee Hnoke Thee) ที่อยู่ทางตอนเหนือของอำเภอบูติด่อง (Buthidaung) ซึ่งสังกัดอยู่กับจังหวัดหม่องดอเช่นกัน เล่าว่าพวกหัวหน้าจะคอยส่งข่าวสารให้ลูกน้องของพวกตนบ่อยๆ สม่ำเสมอ โดยผ่านแอปรับส่งข้อความ อย่างเช่น ว็อตสแอปป (WhatsApp) และ วีแชต (WeChat) คอยปลุกขวัญให้กำลังใจพวกเขาที่จะต่อสู้เพื่อเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน รวมทั้งแอปเหล่านี้ยังทำให้พวกเขาสามารถระดมผู้คนจำนวนมากได้โดยไม่มีความเสี่ยงที่จะถูกจับกุม เพราะต้องเดินทางผ่านเข้าไปในพื้นที่ซึ่งมีทหารเต็มไปหมดเพื่อเรียกระดมผู้คน

    “หลักๆ เลย พวกเขาอาศัยการส่งข้อความผ่านโทรศัพท์ไปถึงชาวบ้านนี่แหละ พวกเขาไม่ได้ ... เคลื่อนย้ายคนจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งหรอก” เขาเล่า เขาบอกว่าหมู่บ้านของเขาไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับการก่อกบฎด้วย และกระทั่งติดแผ่นป้ายตรงข้างหน้าหมู่บ้านกันเลยว่า นักรบคนไหนที่พยายามจะเข้ามาปลุกระดมคนในหมู่บ้านนี้ จะถูกชาวบ้านเล่นงาน

    ทั้งนี้เขาระบุว่า ผู้อาวุโสชาวโรฮิงญาจำนวนมากได้คอยปฏิเสธไม่ให้ใช้ความรุนแรงและพยายามที่จะใช้วิธีพูดจากับฝ่ายรัฐบาลมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว แต่ขณะนี้กลุ่ม ARSA มีอิทธิพลขึ้นมาบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่คนหนุ่ม คนที่ไม่มีความซื่อสัตย์จงรักภักดี ซึ่งก็มีผู้อาวุโสชาวโรฮิงญาจำนวนมากคอยประณามยุทธวิธีใช้ความรุนแรงของกลุ่มนี้

    การรณรงค์ใช้วิธีก่อการร้ายให้หวาดกลัว

    ระยะไม่กี่เดือนหลังๆ มานี้มีรายงานข่าวหลายครั้งเกี่ยวกับการเข่นฆ่าสังหารพวกผู้บริหารระดับท้องถิ่น, ผู้ที่เป็นสายเจ้าหน้าที่คอยให้ข่าวแก่ฝ่ายรัฐบาล, ตลอดจนพวกกำนันผู้ใหญ่บ้าน ในพื้นที่รัฐยะไข่ ทำให้เกิดการคาดเดากันว่าพวกกบฏอาจจะกำลังนำเอายุทธวิธีสร้างความเหี้ยมโหดมาใช้ เพื่อหยุดยั้งไม่ให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับกิจกรรมความเคลื่อนไหวต่างๆ ของพวกเขารั่วไหลไปถึงกองกำลังความมั่นคง

    “พวกเขาตัดขาดการติดต่อสื่อสารของฝ่ายรัฐบาล ด้วยการกระตุ้นให้เกิดยุทธการสร้างความหวาดกลัวขึ้นมา และเข้าควบคุมคอยดูแลพื้นที่” เซน ลวิน (Sein Lwin) ผู้บังคับการตำรวจในรัฐยะไข่ บอก

    แหล่งข่าวที่เป็นทหารรายหนึ่งซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องโดยการปฏิบัติการในตอนเหนือของรัฐยะไข่ ก็กล่าวเช่นกันว่าเวลานี้ประสบความยากลำบากเพิ่มขึ้นมากในการหาข่าวเกี่ยวกับแผนการต่างๆ ของกลุ่ม ARSA

    วิธีการเช่นนี้สามารถส่งผลในการ “ปิดตายกลไกของฝ่ายรัฐบาล” ในบางพื้นที่ได้จริงๆ “เนื่องจากไม่มีข้าราชการคนไหนกล้าไปอยู่ที่นั่น” แหล่งข่าวทหารรายนี้บอก

    หัวหน้าหมู่บ้านคนหนึ่งจากตอนเหนือของอำเภอบูติด่อง ซึ่งขอให้สงวนนาม เล่าว่าพวกกบฏได้ติดต่อเขาอยู่หลายครั้งหลายหน พยายามบีบบังคับเขาให้ยินยอมปล่อยให้ชาวบ้านหนุ่มๆ เข้าร่วมในการฝึกอบรมของพวกเขา ทว่าเขาปฏิเสธไม่ยินยอม

    “ผมพยายามที่จะระมัดระวังให้ตัวเองมีความปลอดภัย บางครั้งผมถึงกับต้องไปนอนที่สถานีตำรวจและที่บ้านของผู้บริหารท้องถิ่น” เขากล่าว

    มีข่าวส่งถึงฝ่ายความมั่นคงจนได้

    ถึงแม้พวกกบฏกลุ่มนี้ประสบความสำเร็จอย่างมากในการสกัดกั้นไม่ให้ข้อมูลข่าวสารของพวกเขารั่วไหลถึงมือกองกำลังความมั่นคง แต่ก็เป็นเพราะคำเตือนภัยจากสายที่คอยให้ข่าวรายหนึ่งนั่นเอง ซึ่งหยุดยั้งไม่ให้การโจมตีของกลุ่ม ARSA ในวันที่ 25 สิงหาคม สร้างความเสียหายให้แก่หน่วยงานความมั่นคงของพม่าอย่างเลวร้ายยิ่งกว่าที่เกิดขึ้นมา แหล่งข่าวที่เป็นทหารเผย

    ทั้งนี้ประมาณ 1 ชั่วโมงหลังจากคนของอะตา อุลเลาะห์ เดินทางมุ่งหน้าไปยังป่าแห่งนั้นในคืนวันที่ 24 สิงหาคม กองทัพก็ได้รับสัญญาณจากผู้ส่งข่าวชาวโรฮิงญาผู้นี้ระบุว่ากำลังจะมีการโจมตีเกิดขึ้นแล้ว

    ข่าวที่แจ้งมาในเวลาราว 21.00 น. บอกว่ากำลังจะเกิดการโจมตีในหลายๆ จุด ทว่าไม่ได้ระบุว่าจะเกิดที่ไหนบ้าง กระนั้นคำเตือนนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้กองกำลังความมั่นคงสั่งถอนเจ้าหน้าที่บางส่วนออกไปจากที่มั่นขนาดเล็ก เพื่อไปรวมกำลังอยู่ในที่มั่นซึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้น รวมทั้งเสริมกำลังสถานที่ซึ่งมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ จึงสามารถรักษาชีวิตผู้คนฝ่ายรัฐบาลได้มากทีเดียว แหล่งข่าวที่เป็นทหารผู้นี้กล่าว

    การบุกโจมตีของพวกกบฏในคืนนั้นกระทำกันเป็นระลอกหลายระลอก เริ่มตั้งแต่เวลาประมาณตีหนึ่งไปจนกระทั่งถึงช่วงพระอาทิตย์ขึ้น และแทบทั้งหมดเกิดขึ้นในอำเภอหม่องดอ ซึ่งก็เป็นสถานที่ที่ อะตา อุลเลาะห์ เปิดการโจมตี 3 จุดในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ในคราวนี้จุดถูกโจมตีที่อยู่ทางเหนือที่สุด กับจุดถูกโจมตีที่อยู่ทางด้านใต้ที่สุดนั้น มีระยะทางห่างกันถึงประมาณ 100 กิโลเมตรทีเดียว นอกจากนั้นกลุ่มติดอาวุธชาวโรฮิงญาเหล่านี้ยังเข้าตีที่มั่นในบริเวณตอนเหนือของอำเภอบูติด่อง ซึ่งอยู่ติดกับอำเภอหม่องดอ รวมทั้งยังกล้าหาญชาญชัยถึงขั้นพยายามที่จะบุกเข้าตีค่ายทหารแห่งหนึ่งด้วย

    “พวกเราเซอร์ไพรซ์มากที่พวกเขาบุกเข้าตีตลอดพื้นที่กว้างขวางขนาดนั้น –ซึ่งสามารถสั่นสะเทือนทั่วทั้งภูมิภาคทีเดียว” แหล่งข่าวที่เป็นทหารบอก

    https://mgronline.com/around/detail/9600000096309
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ไอซิสมาเลเซียต่อสู้กับรัฐบาลพม่า อ้างเพื่อปกป้องมุสลิมโรฮิงญาในจังหวัดยะไข่ในนาม “สงครามศักดิ์สิทธิ์” ก.ย. 19, 2017

    n82668193-71875179-696x455.jpg
    irna.ir / หัวหน้าตำรวจปราบปรามก่อการร้ายของมาเลเซีย เผยว่า ชาวมาเลเซียจำนวนหนึ่งซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มก่อการร้ายไอซิสได้ต่อสู้กับรัฐบาลพม่า โดยอ้างว่าเพื่อปกป้องมุสลิมโรฮิงญาในจังหวัดยะไข่ในนาม “สงครามศักดิ์สิทธิ์”

    Malaysia Digest รายงานว่า อัยยูบ คาน มัยดีน Ayoub Khan Maiden หัวหน้าตำรวจปราบปรามก่อการร้ายของมาเลเซีย กล่าวว่า ในความเป็นจริง ไอซิสใช้ปัญหาโรฮิงญาเป็นเวทีในการรับสมัครสมาชิกใหม่เพื่อดำเนินการก่อการร้าย

    เขากล่าวเสริมว่า กลุ่มผู้ก่อการร้ายไอซิส ยังได้มีการปล่อยภาพออนไลน์ซึ่งเป็นรูปภาพบางส่วนของชาวโรฮิงญาที่ถูกกดขี่ข่มเหงเพื่อทำการล่อลวงประชาชนให้ร่วมมือกับกลุ่มก่อการร้าย

    หัวหน้าตำรวจปราบปรามก่อการร้ายของมาเลเซีย กล่าวในที่ประชุมเรื่อง “ภัยคุกคามของไอซิสต่อเยาวชนที่ต้องตระหนัก” ว่า ในเวลาเดียวกันเรามีข้อมูลด้านความปลอดภัยที่แสดงถึงความเป็นไปได้ที่ชาวอินโดนีเซียจะมีส่วนร่วมในกิจกรรมการก่อการร้ายในประเทศของตน

    Ayoub Khan กล่าวว่าความใกล้ชิดทางพรมแดนของพม่ากับมาเลเซียเป็นโอกาสสำหรับไอซิสในการเพิ่มอิทธิพลในรัฐยะไข่

    เขากล่าวเสริมว่า มาเลเซียอยู่ใกล้พม่าและฟิลิปปินส์มากกว่าซีเรีย และในตอนนี้จังหวัดยะไข่ได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางล่าสุดสำหรับกิจกรรมการก่อการร้าย

    http://www.immjournal.com/7567
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    นายกฯ บังกลาเทศลั่น เมียนมาร์ต้องรับ “ชาวโรฮิงญา” กลับไป
    เผยแพร่: 20 ก.ย. 2560 15:13:00
    560000009999301.jpg

    เอเอฟพี – นายกรัฐมนตรี ชัยค์ ฮาซินา ของบังกลาเทศออกข้อเรียกร้องใหม่ให้เมียนมาร์รับชาวมุสลิมโรฮิงญาราว 420,000 คนกลับหลังจากที่พวกเขาลี้ภัยความรุนแรงในประเทศนี้ที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ

    ในระหว่างการพูดคุยกับนักเคลื่อนไหวชาวบังกลาเทศในนิวยอร์กซึ่งเธอกำลังเข้าร่วมการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ฮาซินายังเรียกร้องให้นานาชาติกดดันเมียนมาร์มากขึ้นเกี่ยวกับวิกฤตใหม่ครั้งนี้ที่ปรากฏออกมาเมื่อสามสัปดาห์ที่แล้ว รายงานของสื่อ ระบุ

    “เราบอกกับเมียนมาร์ว่า พวกเขาคือพลเมืองของคุณ คุณต้องรับพวกเขากลับ ให้ความปลอดภัยกับพวกเขา ให้ที่พักพิงพวกเขา ไม่ควรมีการกดขี่และการทรมาน” เธอบอกในการพบปะเมื่อคืนนี้ (20) ในนิวยอร์ก

    นายกรัฐมนตรีฮาซินากล่าวว่า บังกลาเทศกำลังใช้ความพยายามทางการทูตเพื่อโน้มน้าวให้เมียนมาร์รับผู้ลี้ภัยกลับ

    “รัฐบาลเมียนมาร์ไม่ได้ตอบสนองต่อข้อเรียกร้องดังกล่าว แต่เมียนมาร์กลับวางกับระเบิดตามแนวชายแดนเพื่อป้องกันไม่ให้ชาวโรฮิงญากลับสู้บ้านเกิดของตน” เธอกล่าว

    ผู้นำโดยพฤตินัยของเมียนมาร์ ออง ซานซูจี กล่าวในช่วงการปราศรัยก่อนหน้านี้ว่า เมียนมาร์จะรับผู้ลี้ภัยที่ได้รับการับรองแล้วกลับ เมียนมาร์มองว่าชาวโรฮิงญาเป็นผู้อพยพผิดกฎหมายจากบังกลาทศและปฏิเสธความเป็นพลเมืองของพวกเขา ถึงแม้ว่าพวกเขาจำนวนมากจะอาศัยอยู่ที่นั่นมานานหลายสิบปีแล้วก็ตาม

    560000009999302.jpg

    ในการประชุมชาติอิสลามนอกรอบการประชุมสมัชชาใหญ่ยูเอ็น ฮาซินา กล่าวว่า ย่างกุ้งกำลังดำเนินแผนโฆษณาชวนเชื่อในการเรียกชาวโรฮิงญาว่าเป็นชาวบังกลาเทศ พร้อมเสริมว่า พวกเขาต้องได้รับสถานะพลเมืองเมียนมาร์

    ฮาซินาต้องการ “ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเร่งด่วน” จากชาติมุสลิมเพื่อรับมือกับการไหลทะลักของชาวโรฮิงญาที่อพยพหนีสิ่งที่เธอเรียกว่าเป็น “การฆ่าล้างเผ่าพันธ์” สำนักข่าวบีเอสเอสของทางการ รายงาน

    “มันเป็นความหายนะของมนุษย์ที่เกินรับไหว ดิฉันได้ไปเยี่ยมเยียนพวกเขาและรับฟังเรื่องราวความทุกข์แสนสาหัสของพวกเขา โดยเฉพาะของผู้หญิงและเด็ก” เธอกล่าว

    “ดิฉันอยากให้พวกคุณทั้งหมดมาที่บังกลาเทศและฟังเรื่องความโหดป่าเถื่อนในเมียนมาร์จากพวกเขา” เธอกล่าว ผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก

    ถึงแม้ว่าบังกลาเทศจะได้รับคำชื่นชมจากนานาชาติสำหรับการเปิดชายแดนรับโรฮิงญา แต่หลายหน่วยงานบรรเทาทุกข์เตือนถึงเรื่องวิกฤตด้านมนุษยธรรมที่เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ทางการประสบความยากลำบากในการจัดสรรสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานแก่ผู้ลี้ภัยกลุ่มใหม่นี้

    ผู้ลี้ภัย 420,000 คนในที่พักพิงชั่วคราวรอบเมืองชายแดนคอกซ์บาซาร์ในตอนนี้เข้ามาภายหลังชาวโรฮิงญา 300,00 ที่ย้ายเข้ามาในค่ายต่างๆ ในภูมิภาคนี้อยู่ก่อนแล้วหลังจากเหตุความรุนแรงก่อนหน้านี้ในเมียนมาร์

    https://mgronline.com/around/detail/9600000096523
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Michael DiFato

    FB_IMG_1505912468895.jpg FB_IMG_1505912471432.jpg

    ดังที่เราได้อธิบายไว้เมื่อปีที่แล้วเมื่อ Resonance ของ Schumann กำลัวแหลม(สูง)ขึ้น เกิดจากการระเบิดของแม่เหล็กที่มาจาก Nibiru ซึ่งขัดขวางสนามแม่เหล็กตามปกติของโลก Magneton ต่างๆ ต้องการหลบหนีที่เส้นศูนย์สูตรของโลก แต่ถูกดึงกลับมาจึงผลักดัน / ดึงความยาวคลื่นพื้นฐาน
    Nibiru เพิ่มแรงดัน / ดึงซึ่งจะเพิ่มขึ้นจากปกติ 7.83 เฮิรตซ์ของการเรโซแนนซ์ สิ่งมีชีวิตในโลกมีการพัฒนาด้วยความถี่ 7.83 เฮิรตซ์ ดังนั้นนี้สร้างความเมื่อยล้าและหงุดหงิดในมนุษย์และสัตว์ แต่ไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพอื่น ๆ และจะหมดไปเมื่อกลับขั้วสนามแม่เหล็กโลกภายในเวลาที่กำหนด
    http://poleshift.ning.com/profiles/blogs/schumann-resonance-spike
    As we explained a year ago, when the Schumann Resonance was spiking, this is caused by the magnetic blast coming from Nibiru, interfering with the Earth normal magnetic field. Magnetons want to escape at the Earth Equator, but are pulled back, thus a push/pull creating a base wavelength. Nibiru increases the push/pull, thus the extreme increase from the regular 7.83 Hz of the resonance. Earth creatures have evolved to expect 7.83 Hz, so this creates fatigue and irritability in man and animals, but no other health effects, and will pass with the Pole Shift in time.
    http://poleshift.ning.com/profiles/blogs/schumann-resonance-spike
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Schumann Resonance (ชีพจรโลก) ชักไม่ธรรมดาแหลมขึ้นได้ทุกวัน
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปอกเปลือก ทรราช
    สงครามน้ำลายระหว่างสหรัฐกับเกาหลีเหนือ+เวเน+อิหร่าน: ทรัมป์ขู่จะทำลายเกาหลีเหนือให้สิ้นซาก คิมน้อยสวนกลับทันทีว่าจะโจมตีสหรัฐด้วยอาวุธนิวเคลียร์ที่น่าสยดสยองและเจอกับหายนะอย่างอนาถในที่สุด, เวเนซูเอลาและอิหร่านตอกหน้าทรัมป์ในเวทียูเอ็นว่า "ไร้ยางอาย โง่เขลา ฮิตเลอร์คนใหม่"

    FB_IMG_1505921552107.jpg

    -----------

    วันที่ 19 ก.ย.60 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐขึ้นกล่าวปราศัยในที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติเป็นครั้งแรกว่า "เราจะไม่มีทางเลือกอื่นมากไปกว่าการทำลายเกาหลีเหนือทั้งหมด (totally destroy North Korea) หากเกาหลีเหนือแสดงตนเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐ" ทรัมป์เรียกผู้นำเกาหลีเหนือว่า "มนุษย์จรวด" กำลังทำภารกิจฆ่าตัวตาย

    วันที่ 20 ก.ย.60 สื่อรัฐบาลเกาหลีเหนือสวนกลับทันทีว่า "DPRK (เกาหลีเหนือ) ซึ่งตั้งตระหง่านในฐานพรัฐที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ที่มีแสนยานุภาพมากที่สุด แม้ว่าจะประสบความยากลำบากและการทดลองอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนก็ตาม ก้ไม่ได้หวาดกลัวต่อการคว่ำบาตร แรงกดดัน และสงครามเลย"

    "ขณะนี้กรุงเปียงยางพร้อมแล้วที่จะทำลายฐานทัพต่างๆของพวกศัตรูด้วยการโจมตีที่เด็ดเดี่ยวและลงมือก่อน หากพวกเขาแสดงสัญญาณการยั่วยุใดๆออกมา ในรณีของทางเลือกของสหรัฐสำหรับการเผชิญหน้าและก่อสงครามนั้น... มันจะพบกับการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ที่น่าสยดสยอง และเจอกับหายนะอย่างอนาถในที่สุด" สำนักข่าว KCNA ของรัฐบาลเกาหลีเหนือรายงาน

    แถลงการณ์จากทางการเกาหลีเหนือกล่าวอีกว่า "DPRK ได้เข้าถึงทุกอย่าง และได้รับทุกอย่างที่ตนเองสามารถทำได้ แม้ว่าจะมีการคว่ำบาตรที่รุนแรงที่สุดและถูกปิดกั้นโดยกองทัพของศัตรูก็ตาม และมันก็เป็นการฝันกลางวันที่จะคำนวณว่า DPRK จะยอมเปลี่ยนแปลงท่าทีของตนเองในการเผชิญหน้ากับการคว่ำบาตรรอบใหม่"

    ในที่ประชุมยูเอ็นนั้น ทรัมป์ก็ด่ากราดทั้งเกาหลีเหนือ เวเนซูเอลา และอิหร่าน วาทกรรมส่วนใหญ่เป็นการกล่าวหาและใส่ร้ายฝ่ายตรงข้ามพร้อมกับยกหางตนเองตามสไตล์อเมริกันผู้ชอบเบ่งและข่มขู่ผู้อื่นด้วยกำลัง

    อีกสองเป้าหมายที่โดดเด่นของทรัมป์ในการกล่าวถ้อยแถลง (ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าเป็น hate speech) ในที่ประชุมสมัชชายูเอ็น ก็คืออิหร่านและเวเนซูเอลา ซึ่งได้ตอบโต้สหรัฐอย่างเผ็ดมันส์

    "การแสดงความคิดเห็นที่ไร้ยางอายและโง่เขลาของทรัมป์ ในกรณีที่เขาเพิกเฉยต่อการต่อสู้ขบวนการก่อการร้ายของอิหร่าน ได้แสดงให้เห็นเขาขาดความรู้และไม่รับรู้อะไรเลย" นาย Mohammad Javad Zarif รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศอิหร่านกล่าว สำนักข่าว Fars News ของอิหร่านรายงาน

    ทรัมป์เรียกอิหร่านว่าเป็น "รัฐอันธพาลหย่อนสมรรถนะ (depleted rogue state) ซึ่งส่งออกความรุนแรง การหลั่งเลือด และความวุ่นวายเป็นหลัก" และยังกล่าวอีกว่า "อิหร่านสนับสนุนพวกผู้ก่อการร้ายที่ฆ่าชาวมุสลิมผู้บริสุทธิ์และโจมตีเพื่อนบ้านชาวอาหรับและอิสราเอลที่รักสันติ และใช้ความมั่งคั่งด้านน้ำมันของตนเองคอยค้ำยันจอมเผด็จการ Bashar al-Assad เติมเชื้อไฟในสงครามกลางเมืองเยเมน และบ่อนทำลายสันติภาพทั่วตะวันออกกลาง" (ไอ้ที่พูดมาทั้งหมดนี่ สหรัฐ อิสราเอลและแก๊งซาอุดิอาระเบีย ทั้งนั้น!)

    นาย Zarif จวกกรุงวอชิงตันว่าสนับสนุน "ระบอบไซออนิสทรราช" (tyrannical regimes) ในภูมิภาค และ "รัฐไซออนิสจอมอาชญากร" ด้วย

    หลังถูกรัฐบาลเวเนซูเอลายกเลิกการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐในการซื้อขายน้ำมันทั่วประเทศ ทรัมป์ได้ขู่เวเนซูเอลาด้วยความตาย (ใครเป็นจอมอันธพาลตัวจริงกันแน่หละนี่?)

    ทรัมป์ได้พูดถึงผู้นำของเวเนซูเอลาเป็นเวลาหลายนาทีในที่ประชุมยูเอ็นว่า "จอมเผด็จการนิโคลาส มาดูโร (Nicolás Maduro) พวกสังคมนิยมได้สร้างความเจ็บปวดและความทุกทรมานให้กับคนดีๆชองประเทศ" และเตือนว่า "นอกจากการคว่ำบาตรเพิ่มแล้ว กรุงวอชิงตันกำลังเตรียมการเพื่อดำเนินการมากกว่านี้ ถ้ารัฐบาลเวเนซูเอลายืนกรานตามเส้นทางของตนเองเพื่อออกกฎหมายเผด็จการต่อประชาชนชาวเวเนซูเอลา"

    [ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเวนาซูเอลาครั้งล่าสุดในปี 2013 Nicolás Maduro จากพรรค PSUV ได้คะแนนเสียง 50.6% ส่วนนาย Henrique Capriles Radonski คู่แข่งจากพรรค PJ ได้ 49.1% ทรัมป์บอกว่า "Nicolás Maduro" เป็นจอมเผด็จการ

    ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของซีเรียครั้งล่าสุดปี 2014 Bashar al-Assad จากพรรค Ba'ath ได้คะแนน 88.7% ส่วนนาย Hassan al-Nouri คู่แข่ง ได้ 4.3% ทั้งโอบามาและทรัมป์ชี้นิ้วด่าอัสซาดว่า "จอมเผด็จการ"

    ต่อไปทรัมป์ก็คงจะบอกว่า ซาอุดิอาระเบีย การ์ตา บาห์เรน ยูเออี คูเวต บรูไน เป็น "ประชาธิปไตยเต็มใบ" สินะ กรรม! - ผู้แปล]

    ปธน.นิโคลาส มาดูโร ได้ประณามสิ่งที่เขาเรียกว่า "ความก้าวร้าวจกาฮิตเลอร์คนใหม่ในการเมืองระหว่างประเทศ" ของทรัมป์ ที่มีต่อประชาชนชาวเวเนซูเอลา

    ประธานาธิบดีมาดูโรแห่งเวเนฯ จวกกลับทรัมป์ทันทีในการกล่าวสุนทรพจน์ที่กรุง Caracas เมืองหลวงของเวเนซูเอลา ว่า "ไม่มีใครข่มขู่เวเนซูเอลาและไม่มีเป็นเจ้าของเวเนซูเอลา วันนี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ข่มขู่ประธานาธิบดีของสาธารณรับโบลิวาเรียแห่งเวเนซูเอลาด้วยความตาย"

    ส่วนนายซอร์เก ลาฟรอฟ รมว.ต่าประเทศของรัสเซียได้แสดงความคิดเห็นเชิงเหน็บแนมแบบผู้ดีต่อท่าทีของทรัมป์ที่มีต่อเกาหลีเหนือว่า "เราได้ฟังแถลงการณ์จากประธานาธิบดีทรัมป์เกี่ยวกับเกาหลีเหนือในทำนองนี้มาหลายครั้งแล้วครับ พวกเราไม่สงสัยเลยว่าสหรัฐมีศักยภาพที่จะทำบางอย่างที่เป็นการทำลายล้างได้เป็นอย่างมาก"

    "แต่ผมได้ให้ความสนใจไปที่อีกส่วนหนึ่งของถ้อยแถลงของประธานาธิบดี เขาบอกว่าเขาเคารพต่ออธิปไตยและความเท่าเทียมกันในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งสหรัฐต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ โดยการแสดงให้เป็นตัวอย่าง และไม่ใช่อย่างอื่น และว่าสหรัฐจะไม่ใช้วิธีของตนเองเกี่ยวกับชีวิตของผู้อื่น และจะยอมรับในความหลากหลายของประเทศต่างๆ วัฒนธรรมต่างๆ และอารยธรรมต่างๆด้วย ผมคิดว่ามันเป็นแถลงการณ์ที่น่าฟัง ซึ่งพวกเราไม่ได้ยินจากผู้นำสหรัฐมาเป็นเวลานานแล้ว" TASS รายงาน [ทรัมป์จะเข้าใจไหมนี่ว่ารัสเซียด่าสหรัฐแบบผู้ดี? - ผู้แปล]

    The Eyes
    เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
    https://www.facebook.com/fisont
    https://vk.com/theeyesproject
    20/09/2560
    ---------
    https://www.rt.com/usa/403810-trump-first-speech-unga/
    https://www.rt.com/news/403908-nkorea-threatens-us-strike/
    https://www.rt.com/news/403880-trump-iran-venezuela-unga-threats/
    https://sputniknews.com/world/201709191057523517-trump-north-korea/
    https://www.rt.com/usa/403834-north-korea-envoy-walk-out/
    https://sputniknews.com/world/201709201057545332-hitler-trump-maduro-zarif-un/
    http://tass.com/politics/966485
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปอกเปลือก ทรราช
    ไหน… ใครพูดว่าจะทำลายเกาหลีเหนือให้สิ้นซาก? พูดใหม่อีกทีซิ: รัสเซียทดลองปล่อย ICBM RS-24 Yars ระวังหลังให้ดีนะครัชทรัมป์

    FB_IMG_1505921919116.jpg FB_IMG_1505921926467.jpg

    -----------

    วันที่ 20 ก.ย.60 Sputnik พาดหัวข่าวว่า "รัสเซียทดลองปล่อยขีปนาวุธข้ามทวีป RS-24 Yars" (Russia Conducts Test Launch of RS-24 Yars ICBM)

    กระทรวงกลาโหมรัสเซียแถลงว่า "วันที่ 20 กันยายน ได้มีการทำการทดลองขีปนาวุธข้ามทวีป RS-24 yars แบบอัตราจร (เคลื่อนที่) ที่ใช้เชื้อเพลิงแข็ง และบรรจุหัวรบโจมตีเป้าหมายหลายแห่งได้อย่างอิสระ ที่ศูนย์อวกาศ Plesetsk โดยหน่วยมิสไซล์ Yoshkar-Ola"

    ในเดือนกันยายนนี้ รัสเซียประสบความสำเร็จใจการทดลองขีปนาวุธข้ามทวีป RS-24 Yars จากฐานปล่อยไซโล (ใต้ดิน) โดยยิงไปที่เขตทดลอง Kamchatka ทางตะวันออกไกลของรัสเซีย ภารกิจทั้งหมดได้รับการจัดการอย่างเต็มที่ (All tasks have been coped with in full.)

    ขีปนาวุธวิถีโค้งสำหรับปล่อยหัวรบนิวเคลียร์ RS-24 Yars ของรัสเซียมีรัศมีทำการ 12,000 กิโลเมตร ความเร็วเหนือ 20 มัค (24,500 km/h; 15,220 mph; 6,806 m/s) บรรจุหัวรบนิวเคลียร์ราว 4 ถึง 10 หัวรบ บ้างก็ว่า 3-6 หัวรบ หัวรบแต่ละลูกหนัก 150–250 กิโลตัน ความแม่นยำในการโจมตีเป้าหมาย ตกห่างจากเป้าหมายที่กำหนดไว้ราว 150 เมตร (ไม่มีความแตกต่างใดๆ เพราะอานุภาพในการทำลายล้างของมันกินรัศมีหลายสิบกิโลเมตร) รัสเซียประจำการ RS-24 Yars ในกองทัพในปี 2010 เป็นรุ่นที่อัพเกรดจากขีปาวุธนิวเคลียร์ Topol-M (ทั้งสหรัฐและยูเอ็นไม่มีใครออกมาโวยวายหรือประณามรัสเซีย เหมือนกับกรณีเกาหลีเหนือทดลองขีปาวุธของตนเองเลย)

    The Eyes
    เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
    https://www.facebook.com/fisont
    https://vk.com/theeyesproject
    20/09/2560
    ---------
    https://sputniknews.com/military/201709201057547364-icbm-rs-24-test-launch-russia/
    http://tass.com/defense/966515
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Jaroensook Limbanchongkit Pone

    FB_IMG_1505952344989.jpg FB_IMG_1505952348227.jpg

    นักแผ่นดินไหววิทยาในสหรัฐชี้ แผ่นดินไหวใหญ่ขนาด 7.1 ทางตอนกลางของเม็กซิโกเมื่อวานนี้ (19 ก.ย.) ตามเวลาท้องถิ่น เกิดจากแรงเบียดของแผ่นเปลือกโลกที่โก่งตัว มากกว่าแผ่นเปลือกโลกสองแผ่นเลื่อนตัวไปซ้อนกัน
    เว็บไซต์ซีเอ็นเอ็นลงบทความของนายจอห์น วิเดล ผู้อำนวยการศูนย์แผ่นดินไหว มหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนียว่า แผ่นดินไหวใหญ่ทุกครั้งเกิดจากการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก แต่แผ่นดินไหวเม็กซิโกครั้งล่าสุด เกิดจากแผ่นโคโคสที่ซ้อนอยู่ใต้แผ่นอเมริกาเหนือโก่งตัวแล้วเกิดแรงเบียด มากกว่าเกิดจากสองแผ่นนี้เลื่อนตัวเข้าหากัน แม้ปกติแล้วจะเลื่อนตัวเข้าหากันปีละ 3 นิ้วก็ตาม
    นายวิเดลเสริมว่า พลังงานที่เกิดจากการเคลื่อนตัวดังกล่าวเกิดขึ้นเพียง 20 วินาที แต่ส่งคลื่นแรงสั่นสะเทือนนาน 1-2 นาทีตามพื้นที่เทือกเขาและหุบเขา
    นอกจากนั้น การโก่งตัวของแผ่นโคโคสยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 8.1 ทางตอนใต้ของเม็กซิโกก่อนเที่ยงคืนวันที่ 7 ก.ย. ตามเวลาท้องถิ่น มีผู้เสียชีวิตเกือบร้อยคน บาดเจ็บกว่า 300 คน แต่บรรดาผู้เชี่ยวชาญยังระบุชัดเจนไม่ได้ว่า แผ่นดินไหวครั้งดังกล่าวเป็นสาเหตุให้เกิดแผ่นดินไหวเมื่อวันอังคารหรือไม่
    อย่างไรก็ตาม แผ่นดินไหวล่าสุดเกิดขึ้นในวันเดียวกับที่เกิดแผ่นดินไหวขนาด 8 ที่กรุงเม็กซิโกซิตีเมื่อ 32 ปีก่อน โดยครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิตกว่า 5,000 คน และบาดเจ็บราว 30,000 คน
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    เจนจิรา จันทรเสนา

    FB_IMG_1505953194444.jpg FB_IMG_1505953209803.jpg FB_IMG_1505953213490.jpg FB_IMG_1505953218103.jpg


    แผ่นดินไหวเม็กนิจูด7.1 ในรัฐ"Puebla" ตอนกลางของประเทศ"เม็กซิโก" คราวนี้เกิดเวลากลางวัน ช่วงนี้เม็กซิโกแย่เลยเพราะเพิ่งไหว 8.1ไปเมื่อวันที่ 8กย.ที่ผ่านมา

    น่าสงสารบรรดาเด็กนักเรียนที่ติดอยู่ในตึกของโรงเรียนที่ถล่มลงมา เด็กหลายคนส่งข้อความบอกพ่อแม่ว่าติดอยู่ในซากตึก ช่วยด้วย
    https://t.co/xI5nnopdlb

    Mexico Earthquake Kills at Least 25 at School; 11 Survivors Freed
    https://www.nbcnews.com/news/mexico/amp/mexico-earthquake-25-killed-school-11-rescued-rubble-n802901

    Video en el momento exacto del derrumbe de un edificio
    #Sismo Ciudad de México
    https://t.co/9sBoiH8Qi7
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    เจนจิรา จันทรเสนา

    FB_IMG_1505953690691.jpg


    มีรายงานเหตุแผ่นดินไหวขนาดแม็กนิจูด6.1 นอกชายฝั่งทางตะวันออกของประเทศญี่ปุ่น ห่างจากจังหวัด"ฟุกุชิมะ"ราว 280 กิโลเมตร

    M 6.1 earthquake has occurred 281km ESE of Kamaishi, Japan
    https://t.co/4WFjlSy1QL

    USGS : https://t.co/arfdx7DBgn
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    แผ่นดินไหว7.1เขย่าทั่วเม็กซิโก ดับกว่า200-รร.ในเมืองหลวงถล่มเด็กตาย21 เผยแพร่: 20 ก.ย. 2560 21:23:00

    560000010022801.jpg
    เอเจนซีส์ - ตำรวจ เจ้าหน้าที่ดับเพลิง และประชาชนของเม็กซิโก ช่วยกันขุดค้นหาผู้รอดชีวิตจากใต้ซากโรงเรียน อพาร์ตเมนต์ และบ้านเรือน ตลอดคืนวันอังคาร (19ก.ย.) หลังเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.1 ซึ่งถือว่ารุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษในประเทศนี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตที่มีการยืนยันแล้วถึง 217 คน โดยที่พบอยู่ใต้ซากโรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงเม็กซิโกซิตี้ 25 คน เป็นเด็กนักเรียน 21 คน

    ธรณีพิโรธครั้งนี้เกิดขึ้นในวาระครบรอบ 32 ปีเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตนับพันคน และชาวเม็กซิโกทั่วประเทศซ้อมรับมือสถานการณ์แผ่นดินไหวเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 1985 คราวนั้น นอกจากนั้นเหตุการณ์นี้ยังเกิดขึ้นไม่ถึงสองสัปดาห์ หลังจากแผ่นดินไหวรุนแรงที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 100 คนทางใต้ของประเทศ

    แผ่นดินไหวครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นเมื่อเวลา 13.14 น. วันอังคาร ตามเวลาท้องถิ่น (4.14 น. วันพุธตามเวลาไทย) ทำให้อาคารหลายสิบหลังถล่ม สายท่อแก๊ซสายหลักรั่วไหฃ และไฟไหม้กระจายหลายพื้นที่ในเม็กซิโกซิตี้ เมืองหลวงของเม็กซิโกที่มีประชากรแออัดถึง 20 ล้านคน รวมทั้งอีกหลายเมืองตอนกลางของประเทศ

    บริษัทผลิตไฟฟ้าแห่งชาติ โคมิชัน เฟเดอรัล เดอ อิเล็กทริซิแดด แถลงว่า อาคารบ้านเรือน 4.6 ล้านหลังไม่มีไฟฟ้าใช้ ในจำนวนนี้รวมถึงอาคารสำนักงานและที่อยู่อาศัย 40% ในเม็กซิโกซิตี้

    จุดหนึ่งที่มีความพยายามในการกู้ภัยเข้มแข็งที่สุดคือ โรงเรียนประถมและมัธยมทางใต้ของเม็กซิโกซิตี้ ที่ปีกอาคารสูง 3 ชั้นด้านหนึ่งถล่มราบลงมา ผู้สื่อข่าวเผยว่า เห็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยนำร่างเล็กๆ ห่อผ้าออกจากใต้ซากตึกหลายศพ
    560000010022802.jpg
    อาสาสมัครในพื้นที่ ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ดับเพลิง ทั้งใช้สุนัขที่ผ่านการฝึกและใช้มือเปล่า ช่วยกันค้นหาผู้รอดชีวิตใต้ซากโรงเรียน และขอให้บรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองที่กังวลและมาเฝ้าดูปฏิบัติการกู้ภัยอยู่ในความสงบ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือหากมีผู้ติดอยู่ใต้อาคาร

    หน่วยกู้ภัยใช้คานไม้ค้ำเพื่อไม่ให้แผ่นคอนกรีตที่ร่วงจากอาคารทรุดลงไปปิดทับช่องอากาศที่ยังเหลืออยู่

    กระทรวงศึกษาธิการของรัฐบาลกลางเม็กซิโกรายงานในคืนวันอังคารว่า เจ้าหน้าที่กู้ร่างผู้เสียชีวิตจากซากโรงเรียนขึ้นมาได้ 25 ศพ เป็นเด็ก 21 คน มีผู้ใหญ่เพียง 4 ศพ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่า ผู้เสียชีวิตเหล่านี้รวมอยู่ในยอดรวมผู้เสียชีวิตทั้งหมดที่สำนักงานป้องกันพลเรือนของรัฐบาลรายงานหรือไม่

    ก่อนหน้านั้น ประธานาธิบดีเอ็นริเก เปนญา เนียโต ที่เดินทางไปยังโรงเรียนดังกล่าวเมื่อคืนวันอังคาร ระบุว่า พบผู้เสียชีวิตในโรงเรียน 22 คน นอกจากนี้ยังมีเด็กและผู้ใหญ่สูญหายรวม 30 คน

    ในวิดีโอที่เผยแพร่เมื่อคืนวันอังคาร ผู้นำเม็กซิโกเรียกร้องให้ประชาชนอยู่ในความสงบ และระบุว่า รัฐบาลกำลังเร่งให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยภารกิจสำคัญที่สุดคือการช่วยผู้รอดชีวิตที่ติดอยู่ใต้ซากปรักหักพัง และนำผู้บาดเจ็บเข้ารับการรักษา
    560000010022803.jpg
    ผู้คนทั่วเม็กซิโกซิตี้ต่างกระตือรือร้นให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ขณะที่อาคารหลายสิบหลังในเมืองพังทลายลงมาจากแผ่นดินไหว มิเกล แองเจิล แมนเซรา นายกเทศมนตรีเม็กซิโกซิตี้เผยว่า เฉพาะในเมืองหลวงมีอาคารบ้านเรือนพังทลาย 44 แห่ง

    สำนักงานป้องกันพลเรือนแห่งชาติรายงานเมื่อเช้าวันพุธว่า มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 248 คน และกว่าครึ่งอยู่ในเม็กซิโกซิตี้ ทว่าตัวเลขดูยังไม่ค่อยแน่นอน โดยหลังจากนั้นทางสำนักงานกล่าวว่า มีผู้เสียชีวิตที่ยืนยันแล้วทั้งสิ้น 217 คน

    บัญชีทวิตเตอร์อย่างเป็นทางการของหลุยส์ เฟลิเป เปนเต ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันภัยพลเรือนแห่งชาติระบุว่า มีผู้เสียชีวิตในเม็กซิโกซิตี้ 117 คน, มอเรลอส 72 คน, รัฐปวยบลาซึ่งเป็นศูนย์กลางของแผ่นดินไหว 43 คน, รัฐเม็กซิโกที่ล้อมรอบเม็กซิโกซิตี้ 3 ด้าน 12 คน, รัฐเกโรโร 3 คน และอีก 1 คนในรัฐอัวฮากา

    เจ้าหน้าที่และอาสาสมัครในเม็กซิโกซิตี้ช่วยกันตั้งเต็นต์เป็นศูนย์แจกน้ำและอาหาร

    ที่อาคารอพาร์ตเมนต์ที่ถล่มหลังหนึ่งในเม็กซิโกซิตี้ หน่วยกู้ภัยยืนต่อกันเป็นโซ่มนุษย์ยาว 4 ช่วงตึกเพื่อช่วยกันลำเลียงอุปกรณ์ที่จำเป็นต่างๆ

    ตลอดทั้งวัน หน่วยกู้ภัยลำเลียงผู้รอดชีวิตออกจากซากอาคารกว่า 30 แห่ง โดยมีทั้งในสภาพที่ยังรู้สึกตัวบ้างและที่บาดเจ็บสาหัส ที่อาคารหลังหนึ่ง รถเข็นในซูเปอร์มาร์เก็ตถูกนำมาใช้ขนน้ำดื่มไปยังสถานที่กู้ภัยและขนเศษซากคอนกรีตและเหล็กออกมา
    560000010022804.jpg
    นอกจากเม็กซิโกซิตี้แล้ว ที่รัฐมอเรลอสมีเหตุอาคารบ้านเรือนถล่มเช่นเดียวกัน ในจำนวนนี้รวมถึงศาลาว่าการเมืองและโบสถ์ท้องถิ่นในเมืองโคคุตลา ใกล้ศูนย์กลางแผ่นดินไหว รายงานระบุว่า มีผู้เสียชีวิตกว่า 10 คนในเมืองนี้

    โฮเซ แอนโตนิโอ กาลี ผู้ว่าการรัฐปวยบลาเผยว่า ขณะแผ่นดินไหว ภูเขาไฟโปโปคาเทเพลต์ที่สามารถมองเห็นได้ไกลถึงเม็กซิโกซิตี้ในวันที่ท้องฟ้าโปร่ง มีการปะทุเล็กน้อย และโบสถ์บริเวณเชิงเขาถล่มระหว่างทำพิธีมิสซา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 15 คน

    ทั้งนี้ สำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐฯ ระบุว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้มีความรุนแรง 7.1 มีศูนย์กลางอยู่ใกล้เมืองราโบโซในรัฐปวยบลา ห่างจากทางตะวันออกเฉียงใต้ของเม็กซิโกซิตี้ 123 กิโลเมตร

    พื้นที่กว้างขวางในเม็กซิโกซิตี้ตั้งอยู่บนผืนดินที่เคยเป็นก้นทะเลสาบ ทำให้แผ่นดินไหวสามารถส่งผลไกลจากจุดศูนย์กลางหลายร้อยกิโลเมตร

    แผ่นดินไหวครั้งนี้ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับแผ่นดินไหวขนาด 8.1 นอกชายฝั่งด้านตะวันออกของเม็กซิโกเมื่อวันที่ 7 ที่ผ่านมา ที่รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนอย่างชัดเจนได้ถึงเม็กซิโกซิตี้

    พอล เอิร์ล ผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหวของสำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐฯ ตั้งข้อสังเกตว่า จุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวทั้งสองครั้งอยู่ห่างกัน 650 กิโลเมตร และอาฟเตอร์ช็อกส่วนใหญ่อยู่ภายในรัศมี 100 กิโลเมตรเท่านั้น

    https://mgronline.com/around/detail/9600000096695
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    แผ่นดินไหวรุนแรง6.1นอกชายฝั่งทางตะวันออกของญี่ปุ่นตอนเช้ามืด
    เผยแพร่: 21 ก.ย. 2560 01:02:00
    560000010027801.jpg
    เอเอฟพี - เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงระดับ 6.1 นอกชายฝั่งทางตะวันออกของญี่ปุ่นในตอนเช้ามืดวันพฤหัสบดี(21ก.ย.) อย่างไรก็ตามทางการไม่ได้ประกาศเตือนภัยสึนามิ

    สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาแห่งสหรัฐฯ(ยูเอสจีเอส) ระบุว่าแผ่นดินไหวครั้งนี้มีศูนย์กลางห่างจากเมืองคามาอิชิ บนเกาะฮอนชู เกาะใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ไปทางตะวันออกราว 281 กิโลเมตร ลึกลงไปใต้ทะเลแค่ 10 กิโลเมตร

    กรมอุตุนิยมวิทยาของญี่ปุ่นไม่ประกาศเตือนภัยสึนามิ และยูเอสจีเอสบอกว่าบนเกาะฮอนชูสามารถสัมผัสแรงสั่นสะเทือนได้เพียงเบาๆ ดังนั้นความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายดูเหมือนว่าจะมีแค่เล็กน้อย

    ญี่ปุ่นตั้งอยู่ในจุดที่แผ่นเปลือกโลก 4 แผ่นมาบรรจบกัน ดังนั้นจึงต้องเผชิญกับแผ่นดินไหวค่อนข้างรุนแรงหลายครั้งในแต่ละปี อย่างไรก็ตามด้วยกฎหมายก่อสร้างที่เข้มงวดและการบังคับใช้อย่างเคร่งครัด นั่นหมายความว่าแม้แต่แผ่นดินไหวรุนแรงก็ยังก่อความเสียหายได้เพียงเล็กน้อย

    กระนั้นก็ดีแผ่นดินไหวใต้ทะเลครั้งรุนแรงเมื่อเดือนมีนาคม 2011 ได้ก่อคลื่นยักษ์สึนามิถาโถมเข้าเล่นงานชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น ทำให้ชาวบ้านเสียชีวิตและสูญหายกว่า 18,000 คนและเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ 3 เตาของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ฟูกูชิมะ หลอมละลาย

    วิกฤตดังกล่าวถือเป็นเหตุการณ์ทางนิวเคลียร์ครั้งเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่เหตุการณ์เชอร์โนบิลในปี 1986 ขณะที่บริษัทโตเกียว อิเล็กทริก ยอมรับว่ากระบวนการชำระล้างและรื้อถอนเตาปฏิกรณ์อาจต้องใช้เวลานานหลายทศวรรษ

    https://mgronline.com/around/detail/9600000096738
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Narudsaruk Likitcharoenkron

    FB_IMG_1505956194573.jpg

    ภาพมุมสูง เม็กซิโก หลังเกิดแผ่นดินไหว 7.1แมกนิจูด คาดว่ารอยเลื่อน ซานแอนเดรีย เคลื่อนตัว
    เครดิต ที ที ลมฟ้าอากาศ
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    'ทรัมป์'ควรหลีกเลี่ยงสงครามและเจรจากับเกาหลีเหนือ
    เผยแพร่: 20 ก.ย. 2560 23:55:00 ปรับปรุง: 21 ก.ย. 2560 02:17:00
    Trump and the Geopolitics of Crazy, The Times They Are A-Changin’ in North Korea
    By John Feffer
    22/08/2017

    สหรัฐฯเอาศีรษะตัวเองชนกระแทกกำแพงเกาหลีเหนือมาเป็นเวลากว่า 70 ปีแล้ว และผลที่เกิดขึ้นก็คือกำแพงดังกล่าวแทบไม่ได้เกิดการเปลี่ยนอะไร ขณะเดียวกันสหรัฐฯเองเสียอีกที่ต้องเป็นฝ่ายปวดศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า

    สหรัฐฯเอาศีรษะตัวเองชนกระแทกกำแพงเกาหลีเหนือมาเป็นเวลากว่า 70 ปีแล้ว และผลที่เกิดขึ้นก็คือกำแพงดังกล่าวแทบไม่ได้เกิดการเปลี่ยนอะไร ขณะเดียวกันสหรัฐฯเองเสียอีกที่ต้องเป็นฝ่ายปวดศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า

    ตลอดระยะเวลาหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา การกระแทกศีรษะเข้าชนนี้กำลังหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ เกาหลีเหนือได้ทำการทดสอบขีปนาวุธซึ่งเป็นไปได้ว่าจะเป็นขีปนาวุธนำวิถีข้ามทวีปถึง 2 ครั้ง 2 คราว ในการแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ข่มขู่ที่จะทำให้ประเทศนั้นต้องเผชิญกับ “พระเพลิงและความโกรธแค้น” (fire and fury) ซึ่งเป็นการขยับให้แรงขึ้นไปอีกขั้นจากถ้อยคำวาจาที่ป่าวร้องออกมาจากฝ่ายเปียงยาง จากนั้น คิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือก็เปิดอภิปรายถกเถียงผ่านสำนักข่าวทางการโสมแดงว่า จะยิงขีปนาวุธสักหนึ่งหรือสองลูกเข้าไปยังน่านน้ำรอบๆ เกาะกวมของอเมริกัน เพื่อเป็นการตักเตือนให้รู้กันบ้างว่าประเทศของเขามีศักยภาพที่จะทำอะไรได้บ้าง

    แต่อย่าไปใส่ใจอะไรให้มากนักเลยครับ กับการแสดงความกระหายสงครามแบบสดๆ ไม่ได้มีการเตี๊ยมกันไว้ก่อนในชั่วขณะนี้ของทรัมป์ ถึงแม้พวกเจ้าหน้าที่ระดับท็อปในทีมงานของเขาได้ให้คำมั่นสัญญาเอาไว้มากมายในเรื่องที่จะยกเครื่องเปลี่ยนแปลงนโยบายว่าด้วยเกาหลีเหนือครั้งใหญ่ แต่เอาเข้าจริงพวกเขาก็ยังคงเดินตามอย่างใกล้ชิดในแบบแผนที่ทำให้ตัวเองต้องปวดศีรษะไม่รู้จักหยุดหย่อนแบบเดียวกับคณะบริหารของประธานาธิบดีคนก่อนๆ นั่นแหละ

    ขู่ว่าทางเลือกทุกๆ ทางยังคงวางแบอยู่บนโต๊ะหรือยัง? ทำแล้ว

    ใช้มาตรการลงโทษคว่ำบาตรเพิ่มมากขึ้น กระทั่งเข้มงวดกวดขันยิ่งขึ้น กระทั่งดุดันยิ่งขึ้น และให้เป็นระดับอินเตอร์มากขึ้น หรือยัง? ทำแล้ว

    พยายามที่จะบีบคั้นจีนเพื่อให้หันไปควบคุมพันธมิตรแต่เก่าก่อนของตนรายนี้หรือยัง ทำแล้ว

    ขณะที่ทรัมป์ยังดูเหมือนเล่นหูเล่นตาสนุกสนานอยู่กับจุดยืนแห่ง “การใช้ความอดทนในเชิงยุทธศาสตร์” (strategic patience) อย่างเดียวกันกับที่คณะบริหารของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้ใช้มานี้ ยังมีทางเลือกใหญ่อื่นๆ อีก 2 ทางซึ่งกำลังคอยกวักมือเรียกหา ได้แก่ การสนทนาพูดจากัน หรือไม่ก็ การเปิดศึกเข้าโจมตี

    จวบจนถึงเวลานี้ ลู่ทางโอกาสสำหรับการเจรจากันนั้นค่อนข้างมืดมนทีเดียว เป็นความจริงอยู่หรอก บางครั้งบางโอกาสทรัมป์ดูเหมือนกับตบลูกในทางยกย่องชมเชยไปให้ คิม จองอึน (เช่นการชมว่า คิมเป็น “smart cookie” คนฉลาดรับมือสถานการณ์เก่ง) และหยั่งเชิงทาบทามถึงความเป็นไปได้ที่จะพูดจาสนทนากันแบบตัวต่อตัวกับผู้นำเกาหลีเหนือ ขณะเดียวกันช่องทางการหารือแบบใช้วิธีเข้าทางประตูหลังบ้าน นั่นคือการติดต่อกันผ่านทางสำนักงานการทูตของเกาหลีเหนือประจำยูเอ็นในนครนิวยอร์ก ก็ดูทำให้เกิดความคืบหน้าไปพอสมควรในระยะหลายๆ เดือนมานี้ในประเด็นปัญหาอย่างเช่น การที่โสมแดงจับกุมคุมขังพลเมืองชาวอเมริกัน ทว่าประธานาธิบดีทรัมป์นั้นโดยธรรมชาติแล้วเป็นคนไม่มีหลักเกณฑ์เป็นคนเอาแน่เอานอนไม่ได้ ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศตกอยู่ในสภาพซึ่งจงใจถูกทำให้มีเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอแก่การทำงาน ส่วนสภาความมั่นคงแห่งชาติก็ขึ้นชื่อว่าไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไรอย่างที่ควรจะเป็น ด้วยเหตุนี้สหรัฐฯจึงไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะเดินงานทางการทูตได้อย่างเต็มสูบ

    แน่นอนทีเดียว นอกจากนี้แล้วยังมีทางเลือกอีกทางหนึ่ง (นี่เป็นออปชั่นซึ่งคณะบริหารของประธานาธิบดีคนก่อนๆ ก็เคยพิจารณากันอยู่เช่นเดียวกัน) นั่นคือ การระดมใช้ความพยายามอย่างมีการสอดประสานกันมากยิ่งขึ้นเพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในเกาหลีเหนือ แนวทางการจัดการปัญหาแบบนี้เห็นได้ชัดเจนว่าได้รับความสนใจอยู่เหมือนกันทั้งจากบุรุษผู้มุทะลุหุนหันของเราซึ่งนั่งทำงานอยู่ในห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาว และทั้งจากภายในคณะบริหารของเขา ตัวอย่างเช่น ไมก์ พอมเพโอ (Mike Pompeo) ผู้อำนวยการซีไอเอ ได้พูดถึงความจำเป็นที่จะต้องหาทางทำให้ระบอบปกครองเกาหลีเหนือ “แยกออกจาก” อาวุธนิวเคลียร์ของโสมแดง (และเขาไม่ได้เสนอว่าจะทำให้เกิดการแยกเช่นนี้โดยผ่านการเจรจาหารือหรอก) พล.ท. เอช. อาร์. แมคมาสเตอร์ (H.R. McMaster) ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติ ก็สนทนาถกเถียงอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับ ทางเลือกของการใช้ “สงครามเพื่อการป้องกัน” เข้าเล่นงานโจมตีเกาหลีเหนือ ซึ่งฟังดูแล้วชวนให้นึกย้อนไปถึงสิ่งที่สหรัฐฯเตรียมการเอาไว้สำหรับการบุกเข้ารุกรานและยึดครองอิรักเมื่อปี 2003 นิกกี้ เฮลีย์ (Nikki Haley) เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำสหประชาชาติ กระทั่งเคยป่าวประกาศอยู่ระยะหนึ่งว่า “เวลาสำหรับการพูดได้สิ้นสุดลงไปแล้ว” (สันนิษฐานได้ว่าเธอคงหมายถึงเวลาสำหรับการพูดกัน ไม่ใช่เวลาสำหรับการพูดจ้อ เนื่องจากโดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงเก่งเป็นเลิศในเรื่องหลังนี้)

    ความฝันอันร้อนรุ่มเกี่ยวกับการใช้วิธีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองนี้ ดำรงคงอยู่ในวอชิงตันมาเป็นเวลาหลายทศวรรษแล้ว แบบเดียวกับกรณีผู้ป่วยด้วยโรคมาลาเรียทางการเมืองแบบเรื้อรัง ซึ่งแม้จะมีการให้ยาแห่งความเป็นจริงเข้าไปสักกี่ชุดก็ไม่เคยกำจัดเชื้อร้ายให้หายขาดได้ อย่างไรก็ดี พูดไปก็เหมือนกับการประชดเหน็บแนม ในความเป็นจริงแล้วเกาหลีเหนือเปลี่ยนแปลงได้ และก็กำลังเปลี่ยนแปลงอยู่ เพียงแต่ว่าไม่ได้เปลี่ยนไปในทางตอบสนองต่อสิ่งที่สหรัฐฯกำลังทำอยู่เท่านั้น เหมือนกับกรณีของจีนในยุคทศวรรษ 1970 นั่นแหละ วอชิงตันสามารถกระตุ้นส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เหล่านี้ได้ ด้วยการเลิกราความทะเยอทะยานในเชิงก้าวร้าวทั้งหลายของตน ถอยห่างออกมาจากทางเลือกแห่ง “การใช้ความอดทนในเชิงยุทธศาสตร์” ที่ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวอะไร และนั่งลงจริงๆ พูดจากันอย่างจริงจังกับเปียงยางโดยไม่มีการกำหนดเงื่อนไขล่วงหน้าใดๆ

    ถ้าหากคุณคิดว่ามันสายเกินไปแล้วสำหรับการเจรจากันละก้อ ขอให้หวนนึกถึงตอนที่สหรัฐฯกำลังจะถล่มระเบิดใส่เปียงยางอยู่รอมร่อแล้วเมื่อปี 1994 ก่อนที่อดีตประธานาธิบดีจิมมี่ คาร์เตอร์ จะได้รับเชื้อเชิญให้เดินทางไปเกาหลีเหนือและพูดจาหารือในสิ่งที่ลงท้ายแล้วจะกลายเป็นข้อตกลงเพื่อระงับโครงการนิวเคลียร์ของโสมแดง (ใช่แล้วครับ อย่างน้อยที่สุดกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ตระกูลคิมก็ได้เคยแสดงความปรารถนาที่จะหยุดยั้งโครงการนี้เอาไว้ชั่วคราว) บางทีมันอาจจะถึงเวลาแล้วสำหรับผู้คนซึ่งถูกระบุว่าเป็น “ผู้ใหญ่” ไม่ใช่เด็กๆ ในคณะบริหารทรัมป์ ที่จะต้องโน้มน้าวชักชวนให้ประธานาธิบดีผู้นี้หันกลับมาจดจ่อแต่กับการเล่นกอล์ฟของเขา ขณะที่การเดินงานทางการทูตแบบค่อนข้างเงียบๆ เดินหน้าไปเรื่อยๆ

    จนกว่าจะถึงตอนนั้นนั่นแหละ ชาวอเมริกันจึงจะได้รับสิ่งที่รัฐมนตรีต่างประเทศ เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน ยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่ามันคือสิทธิโดยกำเนิดของพวกเรา นั่นคือ การที่ได้นอนหลับอย่างสบายไปตลอดทั้งคืน

    จอห์น เฟฟเฟอร์ เป็นผู้เขียนนวนิยายแนวดิสโทเปียเล่มใหม่ชื่อ Splinterlands (โดยสำนักพิมพ์ Dispatch Books จากเดิมโดยสำนักพิมพ์ Haymarket Books) ซึ่งนิตยสาร “พับลิชเชอร์ส วีกลี่” (Publishers Weekly) วิจารณ์ยกย่องว่า เป็นนวนิยายที่ “ระทึกใจ, ช่างคิด, และตักเตือนอย่างเป็นธรรมชาติ” เขาเป็นผู้อำนวยการของ “ฟอเรนจ์ โพลิซี อิน โฟกัส” (Foreign Policy in Focus หรือ FPIF) ซึ่งมุ่งเสนอบทวิเคราะห์อันทันการณ์ในด้านนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯและด้านกิจการระหว่างประเทศ ตลอดจนเสนอแนะทางเลือกต่างๆ ทางด้านนโยบาย FPIF เป็นโครงการหนึ่งของสถาบันเพื่อนโยบายศึกษา (Institute for Policy Studies) กลุ่มคลังสมองที่ตั้งสำนักงานอยู่ในกรุงวอชิงตัน ซึ่งมีแนวทางความคิดแบบก้าวหน้า เขายังเขียนบทความให้เว็บไซต์ ทอมดิสแพตช์ (www.tomdispatch.com) อย่างสม่ำเสมอ

    (จากเว็บไซต์ TomDispatch.com)

    https://mgronline.com/around/detail/9600000096729
     

แชร์หน้านี้

Loading...