ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Rachen Voraman

    #ศังกราจารย์ผู้ทำลายพุทธศาสนา


    ...ย้อนรอยประวัติศาสตร์ความเลื่อมสลายของพุทธศาสนาในดินแดนชมพูทวีป มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับปราชญ์นักศาสนาผู้ยิ่งใหญ่ชาวอินเดียนาม 'ศังกราจารย์' ที่ถูกจารึกเอาไว้ว่าเป็น 'ผู้ทำลายพุทธศาสนา' ได้ถึงรากอย่างแยบยลและแนบเนียนที่สุด ด้วยยุทธศาสตร์ 'ทำลายโดยไม่ให้รู้ว่าทำลาย '

    ศังกราจารย์ เจ้าลัทธิไศวะ หรือลัทธิศิวะอวตาร ถูกกล่าวขานในฐานะปราชญ์ผู้สามารถล้มล้างพุทธศาสนาในอินเดีย หากเปรียบเทียบกับไทยก็คลับคล้ายคลับคลากับกรณี พระเทพญาณมหามุนี (พระธัมมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ที่อาศัยความตื้นเขินของปุถุชนสร้างรัฐธรรมกาย และคณะศิษยานุศิษย์ที่ยอมพลีกายถวายหัว

    ศังกราจารย์ ถือเป็นเจ้าลัทธิผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลก อ้างอิงจากกรณีศึกษาการล่มสลายพุทธศาสนาในอินเดีย ผ่านบทความเรื่อง 'ธรรมกายโมเดล : การล่มสลายของพุทธเหมือนในอินเดีย' โดย พระมหาพงศ์นรินทร์ ฐิตวํโส ธรรมอาสาปกป้องพระธัมมวินัยจากปรัปวาท ความว่า

    “ลำพังการที่คนคนหนึ่งคิดจะก่อตั้งลัทธิอะไรขึ้นมาได้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ท่านศังกราจารย์นั้นสามารถทำได้มากกว่านั้น ท่านสามารถที่จะดูดดึงศาสนิกชนชาวพุทธไปเป็นสาวกของตนเองได้อย่างแนบเนียน จนล้มพุทธศาสนาที่เป็นคู่แข่งลงได้ แล้วใช้เป็นฐานในการพัฒนาและปฏิรูปลัทธิใหม่ของตน จนสืบต่อมาได้อย่างยิ่งใหญ่และกลายเป็นศาสนาสำคัญของโลกในยุคปัจจุบันได้สำเร็จ”

    กล่าวถึงประวัติโดยย่อ ศังกราจารย์ นามจริงคือ ศังกระ หรือ อาทิ ศังกระ (Adi Shankara) เกิดที่เมืองเกราลา (Kerala) มีชีวิตอยู่ระหว่าง พ.ศ. 1331 - 1363 เป็นปราชญ์นักการศาสนาชาวอินเดียใต้ ต่อมาได้เดินทางโต้วาทะ เผยแพร่ลัทธิของตนไปยังทั่วอินเดีย ได้รับการนับถือโดยทั่วกันว่าเป็น 'องค์อวตารของพระศิวะ' และเป็นผู้ประพันธ์คัมภีร์ปุราณะ คัมภีร์เวทานตะ อรรถกถาอธิบายลัทธิเวทานตะ และก่อตั้งลัทธิอไทวตะเวทานตะ (non-dualism : ปฏิเสธของคู่ แต่นิยมบูชาพระเจ้าองค์เดียวเป็นสิ่งสูงสุด) แต่เป็นที่จดจำของคนทั่วไปในชื่อ ลัทธิไศวะ หรือ ลัทธิศิวะอวตาร ศังกราจารย์ เป็นผู้ก่อตั้งวัดและพระที่มีลักษณะเดียวกันกับสถาบันสงฆ์ เรียกว่าเลียนแบบพุทธศาสนากลายๆ เข้าครอบงำพุทธศาสนาอย่างแนบเนียน พร้อมทั้งยกระดับลัทธิพราหมณ์เป็นศาสนาฮินดู

    การเที่ยวถกเถียงโต้วาทะไปทั่วทุกแห่งหนแถบนอกเมืองของอินเดีย คือวิธีการกำจัดพระพุทธศาสนาที่สำคัญที่สุดของศังกราจารย์ โดยที่ไม่แยแสคนในเมือง เพราะเขารู้ว่าต่อให้พุทธศาสนาในเวลานั้นจะอ่อนแอเพียงใดคนในเมืองก็ยังคงศรัทธาอย่างเข้มแข็ง

    อ้างอิงตอนหนึ่งของบทความเรื่อง อะไรคือมูลเหตุแห่งการเสื่อมสูญของพุทธศาสนาในอินเดีย โดย กรุณา กุศลาสัย เปิดเผยว่า ในอินเดียสมัยโบราณมีการโต้วาที (ศาสตรารฺถ) กันในเรื่องของศาสนาที่เป็นสาธารณะ โดยเปิดให้ประชาชนทุกลัทธิความเชื่อถือเข้าฟังได้ ผลของการโต้วาทีมีอิทธิพลของความเชื่อของคนในยุคนั้นมาก ปรากฏว่าในการโต้วาทีเหล่านั้น ปราชญ์ฝ่าย พราหมณ์ - ฮินดู เช่น ท่านกุมาริละ และท่านศังกราจารย์ ได้ชื่อว่าเป็น ผู้พิชิตปราชญ์ฝ่ายพุทธ

    ไม่เพียงเท่านั้น ศังกราจารย์ตีวงล้อมเมืองด้วยการจัดคณะนักบวชฮินดูเลียนแบบคณะสงฆ์ในพุทธศาสนา ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่มีการตีแผ่ผ่านหนังสือกาลานุกรมโดยพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้ก่อตั้งวัดและสังฆะ ตั้งวัดใหญ่ขึ้น 4 ทิศ เรียกว่า 'มัฐ' ตามอย่างวัดในพุทธศาสนาที่เรียกว่า 'วิหาร' เปรียบเสมือนศูนย์ระดมพลระดับภูมิภาค ซึ่งเรียกศรัทธาจากผู้คนตามชนบทได้อย่างดี และได้รับความนิยมบางแห่งถึงกลับมีการเปลี่ยนวัดพุทธเป็นวัดฮินดู

    ศังกราจารย์สร้างเรื่องพระศิวะอวตาร ความว่า แต่งความเป็นคัมภีร์ศังกรทิควิชยะว่า เหล่าเทพยดาได้มาร้องทุกข์ต่อองค์ศิวะพระอิศวรเป็นเจ้าว่า พระวิษณุได้เข้าสิงร่างของพระพุทธเจ้าแล้วดำเนินการให้ประชาชนดูหมิ่นพราหมณ์ รังเกียจระบบวรรณะ และละเลิกบูชายัญ ทำให้เหล่าเทพยดาไม่ได้รับเครื่องเซ่นสังเวย ขอให้พระองค์ช่วย พระศิวะจึงได้อวตารลงมาเป็นศังกราจารย์ เพื่อกู้คำสอนของพระเวท ให้การบูชายัญและระบบวรรณะกลับฟื้นคืนมา

    นอกจาก การโต้วาทะไปทั่วแล้วยังร่วมมือกับ กุมาริละ ผู้ร่วมทำงานกำจัดพุทธศาสนา เที่ยวชักจูงใจ กษัตริย์และผู้มีกำลังทรัพย์ผู้มีอำนาจทั้งหลายให้เลิกทำนุบำรุงอุปถัมภ์พุทธศาสนา

    ยุทธศาตร์ของศังกราจารย์ ค่อยๆ กลืนพุทธศาสนาไปทีละเล็กทีละน้อยอย่างแนบเนียน โดยเฉพาะการใช้หลักคิดความเชื่อเหนือจริงมาชักจูง ยกตนอุปโลกน์ว่าเป็นองค์อวตารของพระศิวะ ปรุงแต่งรูปของเรื่องเล่าและคัมภีร์ จนเกิดเป็น ลัทธิไศวะ หรือ ศิวะอวตาร พร้อมทั้งแต่งคำสอนในลัทธิตนให้มาเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า กล่าวคือ ทำเนียนว่าตนนั้นบูชาพระพุทธเจ้า แต่กลับยกพระศิวะเป็นสิ่งสูงสุด ที่สำคัญยังอุปโลกน์ตนเป็นองค์อวตาร

    ศังกราจารย์สร้างเรื่องว่า พระพุทธเจ้าเป็นปางที่ 9 ของพระนารายณ์ อันปรากฏอยู่ในคัมภีร์ปุราณะ ซึ่งเป็นอุบายอันแยบยลที่ล้อกับความเชื่อของพุทธศาสนิกชนที่มีมาแต่ดังเดิม นั่นเท่ากับว่าหลอมรวมพุทธศาสนิกชนเป็นหนึ่งเดียวกับลัทธิของเขาไปโดยปริยาย จนได้รับการยกย่องว่ามีความสามารถในการจัดตั้งและบริหารจัดการ ขณะที่ปราชญ์ทางศาสนายกย่องเช่นเดียวกันว่า ศังกราจารย์ คือ ผู้กอบกู้ลัทธิพราหมณ์ เป็นบุคคลสำคัญที่ปฏิรูปลัทธิพราหมณ์ขึ้นมาเป็นศาสนาฮินดู ดังที่กล่าวข้างต้น

    “พระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนาติดอยู่กับลาภยศสรรเสริญทรัพย์สินเงินทองความร่ำรวย อยู่ในเมืองใหญ่ๆ ละเลยวัดและชาวบ้านในชนบทที่ห่างไกล จึงทำให้ลัทธิศิวะอวตารนี้ค่อยๆ ยึดวัดในพุทธศาสนาของเดิมมาเป็นวัดในลัทธิของตนได้อย่างแนบเนียน แต่ในมุมของชาวบ้านนั้น ไม่รู้สึกว่าพุทธศาสนาจะหมดหรือเสื่อมสูญไปตรงไหน เพราะยังได้ทำพิธีกรรมและบูชาพระพุทธเจ้าอยู่เช่นเดิม วัดก็ยังมีพระของลัทธิไศวะมาอยู่ประจำคอยทำพิธีกรรมให้ เพียงแต่เพิ่มการบูชาพระศิวะและเทพเจ้าองค์อื่นๆ เพิ่มขึ้นมา และยกย่องให้พระศิวะเป็นสิ่งสูงสุด และนับถือท่านศังกราจารย์ในฐานะเป็นองค์อวตารของสิ่งสูงสุด ศาสนิกชนชาวพุทธที่มีมาแต่เดิมจึงกลายไปเป็นสาวกของนิกายศิวะอวตารได้ด้วยความเต็มใจ” พระมหาพงศ์นรินทร์ ฐิตวํโส ระบุและวิเคราะห์สาเหตุความเลื่อมสลายของพุทธศาสนาในอินเดีย ภายใต้การทำลายล้างของ ศังกราจารย์ ความว่า

    1. การแฝงตัวเข้ามาอยู่ในกลุ่มพระภิกษุในพุทธศาสนา ตามประวัติว่ากันว่าท่านศังกราจารย์ได้เข้ามาเรียนองค์ความรู้ทางพุทธศาสนาในมหาวิทยาลัยนาลันทาด้วย ระหว่างนั้นก็ได้คบค้าสมาคมกับพระภิกษุที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญทางพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก ทำให้ทั้งรู้องค์ความรู้ต่างๆในพุทธศาสนา อีกทั้งยังรู้เห็นถึงพฤติกรรมที่เป็นจุดอ่อนต่างๆ ของพระภิกษุในพุทธศาสนาได้เป็นอย่างดีด้วย

    2. จากการที่ได้เข้ามาคลุกคลีและศึกษาคำสอนในพุทธศาสนา ทำให้ศังกราจารย์สามารถนำ Know how ที่เป็นจุดแข็งของพุทธศาสนามาปรับใช้ คือการก่อตั้งวัดและสังฆะเลียนแบบพุทธศาสนา และการปรับประยุกต์พิธีกรรมและคำสอนทางพุทธไปเป็นของตน จนทำให้ชาวบ้านยอมรับได้โดยง่าย

    3. การไม่ปฏิเสธพระพุทธเจ้า แต่เชื่อมความเชื่อให้พระพุทธเจ้ามาอยู่ในลัทธิของตน พร้อมๆ กับค่อยแทรกความเชื่อเรื่องพระศิวะเป็นสิ่งสูงสุด จนกระทั่งเมื่อชาวบ้านเกิดการหลงเชื่อมากขึ้นแล้ว ก็สถาปนาตนเองให้อยู่ในสถานะที่สูงสุดคือองค์อวตารของพระศิวะ ที่อยู่เหนือกว่าพระพุทธเจ้า

    4. การให้ความสำคัญในการก่อตั้งและพัฒนาวัดให้ดี และกระจายสาขาออกสู่ชนบท

    5. การให้ความสำคัญกับการสั่งสมและพัฒนาบุคลากรให้เป็นพระที่มีความสามารถในการเผยแผ่ทั้งบุคลิกภาพและความสามารถ และมีความคล้ายคลึงกับพระในพุทธศาสนาทำให้ชาวบ้านยอมรับได้ง่าย จนมีสำนวนว่า “รูปร่างเป็นพระ แต่ความรู้ไม่เป็นพุทธ” (จากการที่ท่านเคยอยู่ร่วมกับพระภิกษุในพุทธศาสนาจึงรู้ว่าตรงไหนเป็นจุดอ่อน ก็มาปรับให้พระในลัทธิของตนดูดีกว่าเหนือกว่าพระของพุทธที่มีมาแต่เดิม)

    6. แนวทางการสอนและประกอบพิธีกรรมที่ปรับประยุกต์ไปจากพุทธนั้น ทำให้ชาวบ้านไม่รู้สึกว่าเป็นลัทธิใหม่ ก็ยังเป็นชาวพุทธที่บูชาพระพุทธเจ้าอยู่เพียงแต่เพิ่มเทพเจ้าที่บูชาขึ้นมาเท่านั้น

    7. พระในพุทธศาสนา มีความประพฤติย่อหย่อน หลงติดในลาภยศสรรเสริญ ความร่ำรวยในทรัพย์สินเงินทองชีวิตที่ฟุ้งเฟ้อสุขสบายในเมืองใหญ่ ด้านหนึ่งก็ทำให้ละเลยการศึกษาและปฏิบัติตนตามพระธรรมวินัย อีกด้านหนึ่ง ก็ทำให้ละเลยการออกเผยแผ่ให้การศึกษากับชาวพุทธในชนบท ละเลยการดูแลวัดพุทธในชนบทจนกลายเป็นวัดร้างและถูกกลืนไปเป็นวัดของลัทธิศิวะอวตารไปในที่สุด

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    กางหลักฐาน-ขายคอนเดนเสทจาก JDA ผ่านบริษัทสิงคโปร์ ก่อนขายเครือ ปตท. “ยกเว้น” หรือ “เก็บภาษี”? 12 ตุลาคม 2017

    หลังจากสำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า นำเสนอข่าว “ปลัด 3 กระทรวงมีมติร่วม-สั่งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ชะลอการสอบปากคำบริษัทต่างชาติ ผู้ต้องหาคดีหลีกเลี่ยงภาษี” ปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่ศุลกากรโทรศัพท์มาสอบถามว่า “รายงานผลการประชุม 3 หน่วยงานที่ไทยพับลิก้าใช้ประกอบการนำเสนอข่าว ได้มาจากหน่วยงานใด ทางกระทรวงพลังงานบอกว่า เอกสารหลุดมาจากกรมศุลกากร แต่รายงานผลการประชุมที่สำนักกฎหมาย กรมศุลกากร นำเสนอต่ออธิบดีกรมศุลกากร ไม่ละเอียดเท่ากับเอกสารที่ไทยพับลิก้านำเสนอ ขอถามว่าไม่ได้มาจากกรมศุลกากรใช่หรือไม่”

    ขณะที่นายวิศิษฎ์ วิศิษฎ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม (ยธ.) ให้สัมภาษณ์ว่า “ที่ประชุม 3 หน่วยงานไม่ได้มีมติแบบนั้น และไม่ขอชี้แจงอะไรเพิ่มเติม” ส่วน พ.ต.อ. ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ยืนยันว่า “กรมสอบสวนคดีพิเศษไม่มีการชะลอการสอบปากคำ เพราะกระบวนการสอบปากคำผู้ต้องหาได้เสร็จสิ้นแล้ว ขณะนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษรอหนังสือยืนยันจากกรมศุลกากรว่าการซื้อ-ขายคอนเดนเสทในกรณีดังกล่าวนี้ ต้องเสียภาษีหรือไม่”

    นอกจากที่ประชุมปลัดกระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลังและกระทรวงยุติธรรม มีมติให้DSI ชะลอการสอบปากคำคดีความออกไปก่อนจนกว่าจะได้ข้อยุติแล้ว ที่ประชุม 3 กระทรวง ยังให้กรมศุลกากรพิจารณา ยืนยันพิธีการจัดเก็บอากรขาออก ให้พิจารณาจากการขนส่งไปยังประเทศปลายทางเป็นหลัก (Physical Movement) มาเป็นลายลักษณ์อักษรภายใน 1 สัปดาห์ ผู้สื่อข่าวไทยพับลิก้า จึงนำประเด็นนี้ไปถามนายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร ว่ากรมศุลกากรได้ทำหนังสือยืนยันวิธีการจัดเก็บอากรขาออกส่งถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วหรือยัง นายกุลิศ กล่าวว่า ยังไม่ได้ส่งหนังสือยืนยันถึงหน่วยงานใดทั้งสิ้น เพราะเรื่องนี้ยังพิจารณาไม่เสร็จ

    ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น จึงมีคำถามว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษกับบริษัทผู้รับสัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (Malaysia-Thailand Joint Development Area: MTJDA) มีประเด็นปัญหาข้อพิพาทกันเรื่องอะไร ทำไมปลัด 3 กระทรวงต้องใช้อำนาจในเชิงบริหารเข้ายับยั้งการปฏิบัติหน้าที่ตามกระบวนการยุติธรรมของ DSI ประเด็นที่เป็นปัญหามีที่มาอย่างไร

    ต่อเรื่องนี้แหล่งข่าวระดับสูงจากกรมศุลกากร เปิดเผยว่า ที่มาของเรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงปี 2553 ก่อนที่ DSI และอัยการจะเข้ามาทำคดีนี้เป็นคดีพิเศษ ด่านศุลกากรสงขลาตรวจพบหลักฐานการซื้อ-ขายก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ “คอนเดนเสท” ของบริษัทผู้รับสัมปทานจากองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย (JDA) มีหลายกรณีอาจไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ของ “ความตกลงระหว่างรัฐบาลไทย-มาเลเซียว่าด้วยธรรมนูญและเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย” ในข้อ 16 เรื่องเกี่ยวกับภาษีศุลกากร (1) (ก) ระบุว่า “อัตราอากรขาออกที่จะต้องจ่ายโดยผู้ได้รับสัญญาในส่วนที่เกี่ยวกับส่วนแบ่งของผู้ได้รับสัญญาในน้ำมันส่วนที่เป็นกำไรที่ขายนอกราชอาณาจักรไทยและมาเลเซียให้เป็นร้อยละ 10 ทั้งนี้ภายใต้บังคับแห่งข้อบทของ (ข) (2) กำหนด ให้ราชอาณาจักรไทยและมาเลเซียเก็บอากร และภาษีของตนที่เก็บได้ตามกฎหมายของตน แต่จะต้องลดอัตราที่นำมาใช้ในการเรียกเก็บลงร้อยละ 50

    ความหมายคือ หากผู้รับสัมปทานขายน้ำมันให้กับประเทศอื่นนอกจากประเทศไทยหรือมาเลเซีย ผู้รับสัมปทานต้องจ่ายภาษีขาออก 10% ของมูลค่า ในส่วนนี้รัฐบาลมาเลเซียไม่เก็บภาษี ขณะที่รัฐบาลไทยจัดเก็บภาษีตามที่ระบุไว้ในตามความตกลงดังกล่าว แต่ให้ลดอัตราภาษีลง 50% ดังนั้นประเทศไทย จึงเก็บอากรขาออก 5% ของมูลค่าน้ำมันที่ขายให้กับประเทศที่ 3

    ที่ผ่านมาการซื้อ-ขายคอนเดนเสทจากพื้นที่ JDA ส่วนใหญ่ไม่มีปัญหา หากเป็นการซื้อ-ขายกันโดยตรง ระหว่างบริษัทผู้รับสัมปทานขายให้บริษัทที่ประกอบกิจการในประเทศไทยหรือมาเลเซีย แต่ก็มีหลายกรณีที่ด่านศุลกากรสงขลา ตรวจพบ บริษัทผู้รับสัมปทานนำคอนเดนเสทไปขายผ่านคนกลาง ซึ่งเป็นบริษัทที่ประกอบกิจการอยู่ในประเทศที่ 3 ก่อนนำคอนเดนเสทมาขายให้กับบริษัทในเครือ ปตท. เรื่องนี้จึงกลายเป็นประเด็นขึ้นมา

    ยกตัวอย่าง กรณีบริษัท CARIGALI HESS OPERATION COMPANY SDN BHD นำส่วนแบ่งคอนเดนเสทที่ผลิตได้ จากแหล่งจักรวาล (Cakerawala) ไปมอบให้บริษัท HESS นำไปขายให้กับบริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) (PTTAR) โดยมีใบรับรองจากองค์ร่วมไทย-มาเลเซีย (MTJA) แนบมากับใบขนสินค้า แจ้งต่อด่านศุลกากรสงขลาว่าจะนำคอนเดนเสทล็อตนี้ไปขายให้กับ ปตท. อะโรเมติกส์ฯ เจ้าหน้าที่ด่านศุลกากรสงขลาจึงทำการตรวจปล่อยสินค้า โดยไม่ได้เก็บอากรขาออก เพราะเป็นการขายให้กับบริษัทไทย

    malaysia-JDA-768x535.gif
    ที่มาภาพ : http://3.bp.blogspot.com/-Xd_ihHIi9gw/Tbd0TE6BpeI/AAAAAAAABGE/sM_lnmEn7-E/s1600/malaysia-JDA.gif

    ต่อมาด่านศุลกากรเกิดข้อสงสัย จึงขอให้องค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย ส่งหลักฐานสัญญาซื้อ-ขายคอนเดนเสททั้งหมด มาให้เจ้าหน้าที่ด่านศุลกากรสงขลาทำการตรวจสอบ จึงพบหลักฐานการซื้อ-ขายคอนเดนเสทหลายล็อต ก่อนที่นำเข้ามาขายให้กับบริษัท ปตท. อะโรเมติกส์ฯ อาจไม่ตรงตามความตกลงระหว่างรัฐบาลไทย-มาเลเซียข้อ 16 จากการตรวจสอบเอกสารการซื้อ-ขายคอนเดนเสทที่องค์กรร่วมไทย-มาเเซียส่งมาให้ด่านศุลกากรสงขลาตรวจสอบ พบว่า บริษัท Hess Oil Company of Thailand (JDA) ได้มอบอำนาจให้บริษัท Hess Global Trading ดำเนินการขายคอนเดนเสทให้กับบริษัท Kernel Oil Pte Ltd ออฟฟิศอยู่ที่สิงคโปร์ ก่อนที่จะส่งมาขายให้กับบริษัท ปตท. อะโรเมติกส์ฯ โดยมีหลักฐานTELEX ยืนยันการส่งมอบสินค้าถึงบริษัท Kernel สิงคโปร์ หลังจากคอนเดนเสทถูกสูบออกจากเรือกักเก็บน้ำมัน (FSOA) และถ่ายลงเรือบรรทุกน้ำมันจนครบถ้วนตามสัญญาแล้ว กรรมสิทธิ์ในคอนเดนเสทล็อตนี้เป็นของบริษัท Kernel สิงคโปร์

    แตกต่างจากกรณีการซื้อ-ขายคอนเดนเสทตามปกติที่ไม่ผ่านคนกลาง ยกตัวอย่าง กรณีการขายคอนเดนเสทใหบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กรณีนี้ทางบริษัท Hess Oil Company of Thailand (JDA) มอบอำนาจให้บริษัท Hess Global Trading ขายคอนเดนเสทให้กับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ภายหลังจากคอนเดนเสทถูกสูบออกจากเรือกักเก็บ (FSOA) ถ่ายลงเรือบรรทุกน้ำมันของ ปตท. เรียบร้อย ผู้ขายจึงส่งTELEXยืนยันการส่งมอบสินค้าครบถ้วนไปถึงบริษัท ปตท.กรณีหลังนี้กรมศุลกากรไม่เก็บอากรขาออก 5% แน่นอน เพราะขายให้กับบริษัทไทย ตรงตามความตกลงระหว่างรัฐบาลไทย-มาเลเซีย ข้อ 16 เรื่องเกี่ยวกับภาษีศุลกากร (1)(ก) ทุกประการ

    หากนำไปเปรียบเทียบกับกรณีตัวอย่างแรก จึงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัย คือ กรณีการขายคอนเดนเสทผ่านคนกลาง ประกอบกิจการอยู่ในประเทศสิงค์โปร์ ก่อนขายให้บริษัท ปตท. อะโรเมติกส์ฯ ตรงตามความตกลงระหว่างรัฐบาลไทย-มาเลเซียหรือไม่?

    แต่ยังไม่ทันได้เรียกบริษัทผู้รับสัมปทานมาเสียภาษี ปรากฏว่า สำนักกฎหมาย กรมศุลกากร มีความเห็นแตกต่างจากด่านศุลกากรสงขลา โดยสำนักกฎหมาย มองว่ากรณีการขายคอนเดนเสทออกจากพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย อาจมีการโอนกรรมสิทธิ์เปลี่ยนมือกันได้ ส่วนการจัดเก็บอากรขาออกให้พิจารณาจากการขนส่งไปยังประเทศปลายทางเป็นหลัก หากปลายทางส่งเข้าประเทศไทยหรือมาเลเซีย ก็ไม่ต้องเสียอากรขาออก ตามความตกลงฯ ข้อ 16

    ขณะที่ด่านศุลกากรสงขลา มีความเห็นว่า แนววินิจฉัยของสำนักกฎหมายเกี่ยวกับการจัดเก็บอากรขาออกให้พิจารณาจากการขนส่งไปยังประเทศปลายทางเป็นหลัก ไม่มีบทบัญญัติใดในกฎหมายศุลกากรรองรับ หลักในการจัดเก็บภาษีโดยทั่วไปจะพิจารณาจากจุดที่มีภาระภาษีเกิดขึ้น (Tax Point) ไม่ได้พิจารณาที่การขนส่งไปยังประเทศปลายทาง เช่น กรมสรรพสามิตเดิมเก็บภาษีเมื่อมีการขนสินค้าออกจากโรงงาน Tax Point เกิดขึ้นที่หน้าโรงงาน ปัจจุบันขยับมาเก็บที่ราคาขายปลีก หรือกรมสรรพากร Tax Point เกิดขึ้นตรงจุดที่มีการส่งมอบสินค้า หรือ รับเงิน ส่วนกรมศุลกากร ตามมาตรา 45 ก่อนที่จะส่งของออกนอกราชอาณาจักร ผู้ส่งออกต้องปฏิบัติตามพิธีการศุลกากรและจ่ายภาษีให้ครบถ้วนก่อนขนสินค้าขึ้นเรือ ไม่ได้ระบุให้ดูที่ประเทศปลายทางเป็นหลักแต่อย่างใด สำหรับ กรณีการขายคอนเดนเสทที่ออกจากพื้นที่พัฒนาร่วมฯนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการร่วม(ไทย-มาเลเซีย) เคยมีมติกำหนดจุดที่มีภาระภาษีเกิดขึ้น ตามกฎหมาย เอาไว้ตรงที่เรือกักเก็บน้ำมัน (FSOA) และจุดตั้งมาตรวัดปริมาณการส่งออกน้ำมัน (Condensate Export Metering Point) ทั้งนี้ เพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติในการจัดเก็บภาษี

    ดังนั้น หลักในการจัดเก็บภาษีกรณีนี้ จึงต้องพิจารณาที่จุดเรือกักเก็บน้ำมันว่าคอนเดนเสทได้มีการขายและส่งออกให้ใคร กรณีบริษัท Hess ขายคอนเดนเสทให้บริษัท Kernel สิงคโปร์ ด่านศุลกากรสงขลาถือเป็นการขายออกนอกราชอาณาจักรไทยและมาเลเซีย ต้องชำระอากรขาออก 10% ต่อมา Kernel ได้ขายคอนเดนเสทเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ก็ไม่เข้าองค์ประกอบตามพิกัดอัตราศุลกากร ภาค 3 ประเภท 8 (ข)ได้ เพราะคอนเดนเสทที่นำเข้ามาขายในประเทศไทยเป็นกรรมสิทธิ์ของ Kernel สิงคโปร์ ไม่ใช้คอนเดนเสทของบริษัท Hess ผู้รับสัมปทาน จึงไม่อาจนำมายกเว้นภาษีให้แก่บริษัทผู้รับสัมปทานได้ (Hess)

    ภายในกรมศุลกากรจึงมีความเห็นแตกเป็น 2 ฝั่งที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ จนกระทั่งมาถึงปี 2557 มีหนังสือร้องเรียนพร้อมหลักฐานส่งถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษ ขอให้เข้าตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ หลังจาก DSI รับทำคดีนี้เป็นคดีพิเศษร่วมกับพนักงานอัยการ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ได้มีการรวบรวมพยานหลักฐาน รวมทั้งสอบปากคำเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่จากองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย,สำนักฎหมายกรมศุลกากร,ด่านศุลกากรสงขลา,กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ,บริษัท ปตท. และบริษัทผู้รับสัมปทานในพื้นที่พัฒนาร่วม สรุปสำนวนคดีเตรียมแจ้งข้อกล่าวหา ปรากฏว่ามีการนำประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวนี้เสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ครั้งที่ 8/2560 ที่มี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานฯ เพื่อหาข้อยุติและแนวทางในการแก้ไขปัญหา ที่ประชุมจึงมอบหมายให้ปลัด 3 กระทรวง กลับไปประชุมร่วมกันอีกครั้ง ก่อนที่นำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรรมการฯพิจารณาครั้งต่อไป

    กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ จัดประชุมร่วม 3 หน่วยงานเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2560 โดยมีมติร่วมกัน ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษชะลอการสอบปากคำคดีความดังกล่าวออกไปก่อนจนกว่าจะได้ข้อยุติ และขอให้กรมศุลกากรพิจารณายืนยันพิธีการจัดเก็บอากรขาออกฯ ให้พิจารณาจากการขนส่งไปยังประเทศปลายทางเป็นหลัก เป็นลายลักษณ์อักษรภายใน 1 สัปดาห์ นอกจากนี้ยังมอบหมายให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติประสานองค์กรร่วมไทย-มาเลเซียในการยกร่างหนังสือรายงานประเด็นปัญหาดังกล่าว เพื่อใช้ประกอบการนำเสนอ ขอรับความเห็นชอบให้ใช้มาตรา 44 เพื่อขอยกเว้นพิธีการศุลกากรและสรรพากร ล่าสุดกรมศุลกากรก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่ากรณีบริษัทผู้รับสัมปทานขายคอนเดนเสทจากพื้นที่พัฒนาร่วมฯให้กับประเทศที่ 3 ก่อนขายในราชอาณาจักรไทย ต้องเสีย “อากรขาออก” หรือ “ยกเว้น”?
    กางหลักฐาน-ขายคอนเดนเสทจาก JDA ผ่านบริษัทสิงคโปร์ ก่อนขายเครือ ปตท. “ยกเว้น” หรือ “เก็บภาษี”? 12 ตุลาคม 2017

    หลังจากสำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า นำเสนอข่าว “ปลัด 3 กระทรวงมีมติร่วม-สั่งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ชะลอการสอบปากคำบริษัทต่างชาติ ผู้ต้องหาคดีหลีกเลี่ยงภาษี” ปรากฏว่ามีเจ้าหน้าที่ศุลกากรโทรศัพท์มาสอบถามว่า “รายงานผลการประชุม 3 หน่วยงานที่ไทยพับลิก้าใช้ประกอบการนำเสนอข่าว ได้มาจากหน่วยงานใด ทางกระทรวงพลังงานบอกว่า เอกสารหลุดมาจากกรมศุลกากร แต่รายงานผลการประชุมที่สำนักกฎหมาย กรมศุลกากร นำเสนอต่ออธิบดีกรมศุลกากร ไม่ละเอียดเท่ากับเอกสารที่ไทยพับลิก้านำเสนอ ขอถามว่าไม่ได้มาจากกรมศุลกากรใช่หรือไม่”

    ขณะที่นายวิศิษฎ์ วิศิษฎ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม (ยธ.) ให้สัมภาษณ์ว่า “ที่ประชุม 3 หน่วยงานไม่ได้มีมติแบบนั้น และไม่ขอชี้แจงอะไรเพิ่มเติม” ส่วน พ.ต.อ. ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ยืนยันว่า “กรมสอบสวนคดีพิเศษไม่มีการชะลอการสอบปากคำ เพราะกระบวนการสอบปากคำผู้ต้องหาได้เสร็จสิ้นแล้ว ขณะนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษรอหนังสือยืนยันจากกรมศุลกากรว่าการซื้อ-ขายคอนเดนเสทในกรณีดังกล่าวนี้ ต้องเสียภาษีหรือไม่”

    นอกจากที่ประชุมปลัดกระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลังและกระทรวงยุติธรรม มีมติให้DSI ชะลอการสอบปากคำคดีความออกไปก่อนจนกว่าจะได้ข้อยุติแล้ว ที่ประชุม 3 กระทรวง ยังให้กรมศุลกากรพิจารณา ยืนยันพิธีการจัดเก็บอากรขาออก ให้พิจารณาจากการขนส่งไปยังประเทศปลายทางเป็นหลัก (Physical Movement) มาเป็นลายลักษณ์อักษรภายใน 1 สัปดาห์ ผู้สื่อข่าวไทยพับลิก้า จึงนำประเด็นนี้ไปถามนายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร ว่ากรมศุลกากรได้ทำหนังสือยืนยันวิธีการจัดเก็บอากรขาออกส่งถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วหรือยัง นายกุลิศ กล่าวว่า ยังไม่ได้ส่งหนังสือยืนยันถึงหน่วยงานใดทั้งสิ้น เพราะเรื่องนี้ยังพิจารณาไม่เสร็จ

    ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น จึงมีคำถามว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษกับบริษัทผู้รับสัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (Malaysia-Thailand Joint Development Area: MTJDA) มีประเด็นปัญหาข้อพิพาทกันเรื่องอะไร ทำไมปลัด 3 กระทรวงต้องใช้อำนาจในเชิงบริหารเข้ายับยั้งการปฏิบัติหน้าที่ตามกระบวนการยุติธรรมของ DSI ประเด็นที่เป็นปัญหามีที่มาอย่างไร

    ต่อเรื่องนี้แหล่งข่าวระดับสูงจากกรมศุลกากร เปิดเผยว่า ที่มาของเรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงปี 2553 ก่อนที่ DSI และอัยการจะเข้ามาทำคดีนี้เป็นคดีพิเศษ ด่านศุลกากรสงขลาตรวจพบหลักฐานการซื้อ-ขายก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ “คอนเดนเสท” ของบริษัทผู้รับสัมปทานจากองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย (JDA) มีหลายกรณีอาจไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ของ “ความตกลงระหว่างรัฐบาลไทย-มาเลเซียว่าด้วยธรรมนูญและเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย” ในข้อ 16 เรื่องเกี่ยวกับภาษีศุลกากร (1) (ก) ระบุว่า “อัตราอากรขาออกที่จะต้องจ่ายโดยผู้ได้รับสัญญาในส่วนที่เกี่ยวกับส่วนแบ่งของผู้ได้รับสัญญาในน้ำมันส่วนที่เป็นกำไรที่ขายนอกราชอาณาจักรไทยและมาเลเซียให้เป็นร้อยละ 10 ทั้งนี้ภายใต้บังคับแห่งข้อบทของ (ข) (2) กำหนด ให้ราชอาณาจักรไทยและมาเลเซียเก็บอากร และภาษีของตนที่เก็บได้ตามกฎหมายของตน แต่จะต้องลดอัตราที่นำมาใช้ในการเรียกเก็บลงร้อยละ 50

    ความหมายคือ หากผู้รับสัมปทานขายน้ำมันให้กับประเทศอื่นนอกจากประเทศไทยหรือมาเลเซีย ผู้รับสัมปทานต้องจ่ายภาษีขาออก 10% ของมูลค่า ในส่วนนี้รัฐบาลมาเลเซียไม่เก็บภาษี ขณะที่รัฐบาลไทยจัดเก็บภาษีตามที่ระบุไว้ในตามความตกลงดังกล่าว แต่ให้ลดอัตราภาษีลง 50% ดังนั้นประเทศไทย จึงเก็บอากรขาออก 5% ของมูลค่าน้ำมันที่ขายให้กับประเทศที่ 3

    ที่ผ่านมาการซื้อ-ขายคอนเดนเสทจากพื้นที่ JDA ส่วนใหญ่ไม่มีปัญหา หากเป็นการซื้อ-ขายกันโดยตรง ระหว่างบริษัทผู้รับสัมปทานขายให้บริษัทที่ประกอบกิจการในประเทศไทยหรือมาเลเซีย แต่ก็มีหลายกรณีที่ด่านศุลกากรสงขลา ตรวจพบ บริษัทผู้รับสัมปทานนำคอนเดนเสทไปขายผ่านคนกลาง ซึ่งเป็นบริษัทที่ประกอบกิจการอยู่ในประเทศที่ 3 ก่อนนำคอนเดนเสทมาขายให้กับบริษัทในเครือ ปตท. เรื่องนี้จึงกลายเป็นประเด็นขึ้นมา

    ยกตัวอย่าง กรณีบริษัท CARIGALI HESS OPERATION COMPANY SDN BHD นำส่วนแบ่งคอนเดนเสทที่ผลิตได้ จากแหล่งจักรวาล (Cakerawala) ไปมอบให้บริษัท HESS นำไปขายให้กับบริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) (PTTAR) โดยมีใบรับรองจากองค์ร่วมไทย-มาเลเซีย (MTJA) แนบมากับใบขนสินค้า แจ้งต่อด่านศุลกากรสงขลาว่าจะนำคอนเดนเสทล็อตนี้ไปขายให้กับ ปตท. อะโรเมติกส์ฯ เจ้าหน้าที่ด่านศุลกากรสงขลาจึงทำการตรวจปล่อยสินค้า โดยไม่ได้เก็บอากรขาออก เพราะเป็นการขายให้กับบริษัทไทย

    ที่มาภาพ : http://3.bp.blogspot.com/-Xd_ihHIi9gw/Tbd0TE6BpeI/AAAAAAAABGE/sM_lnmEn7-E/s1600/malaysia-JDA.gif

    ต่อมาด่านศุลกากรเกิดข้อสงสัย จึงขอให้องค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย ส่งหลักฐานสัญญาซื้อ-ขายคอนเดนเสททั้งหมด มาให้เจ้าหน้าที่ด่านศุลกากรสงขลาทำการตรวจสอบ จึงพบหลักฐานการซื้อ-ขายคอนเดนเสทหลายล็อต ก่อนที่นำเข้ามาขายให้กับบริษัท ปตท. อะโรเมติกส์ฯ อาจไม่ตรงตามความตกลงระหว่างรัฐบาลไทย-มาเลเซียข้อ 16 จากการตรวจสอบเอกสารการซื้อ-ขายคอนเดนเสทที่องค์กรร่วมไทย-มาเเซียส่งมาให้ด่านศุลกากรสงขลาตรวจสอบ พบว่า บริษัท Hess Oil Company of Thailand (JDA) ได้มอบอำนาจให้บริษัท Hess Global Trading ดำเนินการขายคอนเดนเสทให้กับบริษัท Kernel Oil Pte Ltd ออฟฟิศอยู่ที่สิงคโปร์ ก่อนที่จะส่งมาขายให้กับบริษัท ปตท. อะโรเมติกส์ฯ โดยมีหลักฐานTELEX ยืนยันการส่งมอบสินค้าถึงบริษัท Kernel สิงคโปร์ หลังจากคอนเดนเสทถูกสูบออกจากเรือกักเก็บน้ำมัน (FSOA) และถ่ายลงเรือบรรทุกน้ำมันจนครบถ้วนตามสัญญาแล้ว กรรมสิทธิ์ในคอนเดนเสทล็อตนี้เป็นของบริษัท Kernel สิงคโปร์

    แตกต่างจากกรณีการซื้อ-ขายคอนเดนเสทตามปกติที่ไม่ผ่านคนกลาง ยกตัวอย่าง กรณีการขายคอนเดนเสทใหบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กรณีนี้ทางบริษัท Hess Oil Company of Thailand (JDA) มอบอำนาจให้บริษัท Hess Global Trading ขายคอนเดนเสทให้กับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ภายหลังจากคอนเดนเสทถูกสูบออกจากเรือกักเก็บ (FSOA) ถ่ายลงเรือบรรทุกน้ำมันของ ปตท. เรียบร้อย ผู้ขายจึงส่งTELEXยืนยันการส่งมอบสินค้าครบถ้วนไปถึงบริษัท ปตท.กรณีหลังนี้กรมศุลกากรไม่เก็บอากรขาออก 5% แน่นอน เพราะขายให้กับบริษัทไทย ตรงตามความตกลงระหว่างรัฐบาลไทย-มาเลเซีย ข้อ 16 เรื่องเกี่ยวกับภาษีศุลกากร (1)(ก) ทุกประการ

    หากนำไปเปรียบเทียบกับกรณีตัวอย่างแรก จึงมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัย คือ กรณีการขายคอนเดนเสทผ่านคนกลาง ประกอบกิจการอยู่ในประเทศสิงค์โปร์ ก่อนขายให้บริษัท ปตท. อะโรเมติกส์ฯ ตรงตามความตกลงระหว่างรัฐบาลไทย-มาเลเซียหรือไม่?

    แต่ยังไม่ทันได้เรียกบริษัทผู้รับสัมปทานมาเสียภาษี ปรากฏว่า สำนักกฎหมาย กรมศุลกากร มีความเห็นแตกต่างจากด่านศุลกากรสงขลา โดยสำนักกฎหมาย มองว่ากรณีการขายคอนเดนเสทออกจากพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย อาจมีการโอนกรรมสิทธิ์เปลี่ยนมือกันได้ ส่วนการจัดเก็บอากรขาออกให้พิจารณาจากการขนส่งไปยังประเทศปลายทางเป็นหลัก หากปลายทางส่งเข้าประเทศไทยหรือมาเลเซีย ก็ไม่ต้องเสียอากรขาออก ตามความตกลงฯ ข้อ 16

    ขณะที่ด่านศุลกากรสงขลา มีความเห็นว่า แนววินิจฉัยของสำนักกฎหมายเกี่ยวกับการจัดเก็บอากรขาออกให้พิจารณาจากการขนส่งไปยังประเทศปลายทางเป็นหลัก ไม่มีบทบัญญัติใดในกฎหมายศุลกากรรองรับ หลักในการจัดเก็บภาษีโดยทั่วไปจะพิจารณาจากจุดที่มีภาระภาษีเกิดขึ้น (Tax Point) ไม่ได้พิจารณาที่การขนส่งไปยังประเทศปลายทาง เช่น กรมสรรพสามิตเดิมเก็บภาษีเมื่อมีการขนสินค้าออกจากโรงงาน Tax Point เกิดขึ้นที่หน้าโรงงาน ปัจจุบันขยับมาเก็บที่ราคาขายปลีก หรือกรมสรรพากร Tax Point เกิดขึ้นตรงจุดที่มีการส่งมอบสินค้า หรือ รับเงิน ส่วนกรมศุลกากร ตามมาตรา 45 ก่อนที่จะส่งของออกนอกราชอาณาจักร ผู้ส่งออกต้องปฏิบัติตามพิธีการศุลกากรและจ่ายภาษีให้ครบถ้วนก่อนขนสินค้าขึ้นเรือ ไม่ได้ระบุให้ดูที่ประเทศปลายทางเป็นหลักแต่อย่างใด สำหรับ กรณีการขายคอนเดนเสทที่ออกจากพื้นที่พัฒนาร่วมฯนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการร่วม(ไทย-มาเลเซีย) เคยมีมติกำหนดจุดที่มีภาระภาษีเกิดขึ้น ตามกฎหมาย เอาไว้ตรงที่เรือกักเก็บน้ำมัน (FSOA) และจุดตั้งมาตรวัดปริมาณการส่งออกน้ำมัน (Condensate Export Metering Point) ทั้งนี้ เพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติในการจัดเก็บภาษี

    ดังนั้น หลักในการจัดเก็บภาษีกรณีนี้ จึงต้องพิจารณาที่จุดเรือกักเก็บน้ำมันว่าคอนเดนเสทได้มีการขายและส่งออกให้ใคร กรณีบริษัท Hess ขายคอนเดนเสทให้บริษัท Kernel สิงคโปร์ ด่านศุลกากรสงขลาถือเป็นการขายออกนอกราชอาณาจักรไทยและมาเลเซีย ต้องชำระอากรขาออก 10% ต่อมา Kernel ได้ขายคอนเดนเสทเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ก็ไม่เข้าองค์ประกอบตามพิกัดอัตราศุลกากร ภาค 3 ประเภท 8 (ข)ได้ เพราะคอนเดนเสทที่นำเข้ามาขายในประเทศไทยเป็นกรรมสิทธิ์ของ Kernel สิงคโปร์ ไม่ใช้คอนเดนเสทของบริษัท Hess ผู้รับสัมปทาน จึงไม่อาจนำมายกเว้นภาษีให้แก่บริษัทผู้รับสัมปทานได้ (Hess)

    ภายในกรมศุลกากรจึงมีความเห็นแตกเป็น 2 ฝั่งที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ จนกระทั่งมาถึงปี 2557 มีหนังสือร้องเรียนพร้อมหลักฐานส่งถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษ ขอให้เข้าตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ หลังจาก DSI รับทำคดีนี้เป็นคดีพิเศษร่วมกับพนักงานอัยการ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ได้มีการรวบรวมพยานหลักฐาน รวมทั้งสอบปากคำเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่จากองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย,สำนักฎหมายกรมศุลกากร,ด่านศุลกากรสงขลา,กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ,บริษัท ปตท. และบริษัทผู้รับสัมปทานในพื้นที่พัฒนาร่วม สรุปสำนวนคดีเตรียมแจ้งข้อกล่าวหา ปรากฏว่ามีการนำประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวนี้เสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินเชิงยุทธศาสตร์ ครั้งที่ 8/2560 ที่มี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานฯ เพื่อหาข้อยุติและแนวทางในการแก้ไขปัญหา ที่ประชุมจึงมอบหมายให้ปลัด 3 กระทรวง กลับไปประชุมร่วมกันอีกครั้ง ก่อนที่นำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรรมการฯพิจารณาครั้งต่อไป

    กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ จัดประชุมร่วม 3 หน่วยงานเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2560 โดยมีมติร่วมกัน ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษชะลอการสอบปากคำคดีความดังกล่าวออกไปก่อนจนกว่าจะได้ข้อยุติ และขอให้กรมศุลกากรพิจารณายืนยันพิธีการจัดเก็บอากรขาออกฯ ให้พิจารณาจากการขนส่งไปยังประเทศปลายทางเป็นหลัก เป็นลายลักษณ์อักษรภายใน 1 สัปดาห์ นอกจากนี้ยังมอบหมายให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติประสานองค์กรร่วมไทย-มาเลเซียในการยกร่างหนังสือรายงานประเด็นปัญหาดังกล่าว เพื่อใช้ประกอบการนำเสนอ ขอรับความเห็นชอบให้ใช้มาตรา 44 เพื่อขอยกเว้นพิธีการศุลกากรและสรรพากร ล่าสุดกรมศุลกากรก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่ากรณีบริษัทผู้รับสัมปทานขายคอนเดนเสทจากพื้นที่พัฒนาร่วมฯให้กับประเทศที่ 3 ก่อนขายในราชอาณาจักรไทย ต้องเสีย “อากรขาออก” หรือ “ยกเว้น”?

    https://thaipublica.org/2017/10/condensate-jda-dsi-2/
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ใครมีเรื่องสกปรกที่อาจกล่าวโทษ Trump? Larry Flynt (ผู้ลงนามรับรองผู้ท้าชิงฮิลลารีคลินตันในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อปีที่แล้ว) จะจ่ายเงินให้คุณ 10 ล้านเหรียญ โดย Amy B Wang 14 ตุลาคมเวลา 19.15 น

    Screenshot_2017-10-16-06-44-46.png

    สำนักพิมพ์ Hustler Larry Flynt ได้ออกโฆษณาเต็มหน้าใน Sunday's Washington Post (Katy Winn / Associated Press)
    โฆษณาของ Larry Flynt ในฉบับวันอาทิตย์ของเดอะวอชิงตันโพสต์เป็นเรื่องยากที่จะพลาด
    "10 ล้านเหรียญสำหรับข้อมูลที่นำไปสู่การถอดถอนประธานาธิบดีสหรัฐ DONALD J. TRUMP" ออกจากตำแหน่ง
    นายฟลิทท์ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้จัดพิมพ์นิตยสารลามกอนาจาร Hustler ระบุเหตุผลหลายประการที่ทำให้เขารู้สึกว่าประธานาธิบดีทรัมป์ต้องถูกถอดออกจากที่ทำงาน เพื่อ "บอกหลายร้อยโกหกหัวล้าน" เพื่อ "การเลือกที่รักมักเปล่ารวมและการแต่งตั้งคนที่ไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมไปที่สำนักงานสูง."
    นั่นคือเหตุผลที่ Flynt เขียนว่าเขากำลังหาข้อมูลจากใครก็ตามที่สามารถจัดหา ข้อมูลให้เขาได้ ซึ่งอาจซ่อนอยู่ในผลตอบแทนทางภาษีของ Trump หรือในบันทึกการลงทุนอื่น ๆ ซึ่งจะนำไปสู่การถูกฟ้องร้องของเขา
    "เขาทำเงินให้กับโปรโมชั่นกับรัสเซียหรือไม่?" โฆษณาระบุ "ธุรกิจของสหรัฐฯถูกทำลายเพื่อปกป้องธุรกิจของอาณาจักร Trump หรือไม่? เราจำเป็นต้องล้างทุกอย่างออกไป"
    โฆษณา Larry Flynt วางไว้ในฉบับเดอะวอชิงตันโพสต์วันอาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม 2017 (คลิ๊กเพื่อขยาย)
    ในตอนท้ายของโฆษณามีหมายเลขโทรฟรีและที่อยู่อีเมลพร้อมด้วยการรับรองว่า Flynt ตั้งใจจะจ่ายเงินเต็มจำนวน 10 ล้านเหรียญสำหรับข้อมูลที่ดี
    "การฟ้องร้องจะเป็นเรื่องที่ยุ่งเหยิงและเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ แต่ทางเลือก - อีกสามปีที่ทำให้ความผิดปกติของความเสถียร - เลวร้ายยิ่ง" ฟลินท์เขียน " . . ฉันรู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ความรักชาติของฉันและหน้าที่ของชาวอเมริกันทุกคนที่จะถ่ายโอนข้อมูล Trump ก่อนที่จะสายเกินไป. "
    ในการให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ครั้งต่อไป Flynt บอก The Post ว่าเขาคาดว่าจะได้รับข้อมูล "ภายในสองสามวัน" และบอกว่าเขาจะปล่อยข้อมูลที่ถูกต้องตามกฎหมายออกไป นอกจากนี้เขายังได้รับการปกป้องเสนอรางวัลเงินสดสำหรับข้อมูล
    https://www.washingtonpost.com/news...ll-pay-you-10-million/?utm_term=.d1d1b5bb96de
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปอกเปลือก ทรราช

    20171016_071401.png

    อีตาประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ นี่บ้าแบบเข้าท่าแฮะ
    เขาท้าทายหน่วยข่าวกรองของสหรัฐ CIA ว่าพวกคุณมาฆ่าผมเลย ไม่เช่นนั้นผมจะขับพวกคุณออกจากประเทศของผมทั้งหมด
    เรื่องสหรัฐสนับสนุนผู้ก่อการร้าย ISIS มันไม่เป็นความลับอะไรแล้ว อย่าว่าแต่ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์เลย เด็กๆ ก็รู้ พอ ISIS บุกฟิลิปปินส์ สหรัฐก็เสนอส่งทหารสหรัฐเข้าช่วยฟิลิปปินส์ทันที เข้าไปช่วย ISIS ละมั้ง
    https://sptnkne.ws/fEYu
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ไฟป่าแคลิฟอร์เนียยังลุกลามไม่หยุด ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 40 สูญหายอื้อ
    เผยแพร่: 15 ต.ค. 2560 19:21:00
    560000010891001.jpg

    เอพี – ไฟป่าแคลิฟอร์เนียยังลามไม่หยุด ทั้งยังเคลื่อนเข้าหาโรงบ่มไวน์และเมืองประวัติศาสตร์โซโนมาเมื่อวันเสาร์ (14 ต.ค.) ทำให้ประชาชนหลายร้อยคนต้องทิ้งบ้าน เจ้าหน้าที่ดับเพลิงต้องตั้งหลักสู้ใหม่ เพื่อควบคุมไฟที่เผาผลาญพื้นที่เป็นระยะทางถึง 100 ไมล์ (ประมาณ 160 กิโลเมตร) ในพื้นที่ด้านเหนือของรัฐแห่งนี้ สำหรับยอดผู้เสียชีวิตล่าสุดคือ 40 คน และสูญหายราว 300 คน

    เดวิด เททเตอร์ รองผู้อำนวยการสำนักป้องกันรักษาป่าและควบคุมไฟป่า เปิดเผยว่า ไฟป่าที่ลุกลามอย่างรวดเร็วจากลมที่พัดแรง สร้างความเสียหายและทำลายอาคารจำนวนมากกลางดึกวันศุกร์ (13 ต.ค.) ก่อนที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงสามารถสกัดไฟไว้ได้ที่ชานเมืองโซโนมาจากแนวกันไฟที่ระดมทำกันในช่วงหลายวันก่อนหน้านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟลุกลามถึงย่านประวัติศาสตร์ของเมืองที่มีอายุเก่าแก่หลายร้อยปีตั้งแต่สมัยสเปนเป็นเจ้าอาณานิคม

    อย่างไรก็ตาม ลมที่พัดแรงประกอบกับต้นไม้ใบหญ้าแห้งกรอบ ปลุกให้ไฟป่ากลับมาคุโชนอีกครั้งในวันเสาร์ และประชาชนหลายร้อยคนต้องทิ้งบ้านในเทศมณฑลที่เป็นแหล่งผลิตไวน์ของแคลิฟอร์เนีย รวมทั้งทดสอบความพยายามของเจ้าหน้าที่ดับเพลิงที่ต่อสู้กับไฟป่ามาตั้งแต่วันที่ 8 ที่ผ่านมา

    ไฟป่าครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 40 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงวัย เสียชีวิตระหว่างคืนวันที่ 8 ตุลาคม - เช้าวันที่ 9 ตุลาคม โดยลุกลามเกินความคาดหมายในช่วงกลางดึก นอกจากนี้ไฟป่ายังทำลายบ้านเรือนและสถานประกอบธุรกิจอย่างน้อย 5,700 หลัง ถือเป็นไฟป่าครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์แคลิฟอร์เนีย ขณะนี้ยังมีผู้สูญหายราว 300 คน เจ้าหน้าที่คิดว่า คนเหล่านั้นส่วนใหญ่ยังมีชีวิตอยู่

    “เหตุการณ์นี้น่ากลัวเกินกว่าใครจะคาดคิด” เจอร์รี่ บราวน์ ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย กล่าวหลังจากเดินทางร่วมกับวุฒิสมาชิกไดแอนน์ เฟนสไตน์ และคามาลา แฮร์ริส เพื่อตรวจเยี่ยมสถานการณ์ผ่านบ้านเรือนหลายร้อยหลังที่เสียหายโดยสิ้นเชิง

    ภาพถ่ายจากมุมสูงเผยให้เห็นพื้นที่กว้างขวางถูกไฟเผามอดเห็นเป็นเพียงภาพขาว-ดำ รถหลายคันกลายเป็นตอตะโก ต้นไม้ไหม้ยืนซากตาย มีเพียงถนนเท่านั้นที่รอดพ้นจากความเสียหาย

    บราวน์ วัย 79 ปี และเฟนสไตน์ วัย 84 ปี กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่เป็นเหตุไฟป่าที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต นักการเมืองผู้คร่ำหวอดทั้งสองคนยังเตือนประชาชนให้อพยพออกจากบ้านทันทีที่ได้รับคำสั่ง เนื่องจากสถานการณ์ไฟป่าล่าสุดยังถือเป็นภัยคุกคามร้ายแรง

    แม้ยังไม่มีการระบุสาเหตุของไฟป่าครั้งนี้ แต่เชื่อกันว่า น่าจะเกิดจากสายไฟฟ้าที่ถูกลมพัดขาด

    ขณะเดียวกัน แม้ประชาชนบางส่วนสามารถกลับเข้าบ้านในเทศมณฑลเมนโดซิโนได้แล้ว แต่จากการประเมินล่าสุด ยังมีประชาชนอีกราว 100,000 คนที่ยังอยู่ภายใต้คำสั่งอพยพขณะที่ไฟป่าลุกลามเป็นวันที่ 6

    เททเตอร์บอกว่า ทางการกำลังวางแผนอนุญาตให้ประชาชนบางส่วนกลับบ้านหรือกลับไปตรวจดูสภาพบ้าน แต่ยังไม่ใช่ขณะนี้

    นอกจากความยากลำบากในการใช้ชีวิตในศูนย์พักพิง หรือค่าใช้จ่ายจากการเช่าโรงแรมหรือที่พักที่ปลอดภัยจากไฟป่า ประชาชนหลายคนยังต้องเสี่ยงกับผู้ที่ฉวยโอกาสตอนคนส่วนใหญ่กำลังเดือดร้อน กลายร่างเป็นโจรพยายามปล้นกันซึ่งหน้า

    รายงานระบุว่า ล่าสุดยังมีไฟป่าลุกลามใน 17 จุดใหญ่ๆ ทางเหนือของแคลิฟอร์เนีย มีเจ้าหน้าที่ดับเพลิงกว่า 10,000 คนพยายามรับมือด้วยเครื่องบินทิ้งสารหน่วงไฟ เฮลิคอปเตอร์ และอุปกรณ์ดับเพลิงกว่า 1,000 เครื่อง

    https://mgronline.com/around/detail/9600000105144
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    FB_IMG_1508115245418.jpg FB_IMG_1508115247908.jpg FB_IMG_1508115250390.jpg FB_IMG_1508115256507.jpg FB_IMG_1508115253223.jpg FB_IMG_1508115261841.jpg FB_IMG_1508115264737.jpg FB_IMG_1508115267354.jpg FB_IMG_1508115271163.jpg FB_IMG_1508115282540.jpg FB_IMG_1508115285559.jpg FB_IMG_1508115289052.jpg FB_IMG_1508115292003.jpg FB_IMG_1508115305887.jpg FB_IMG_1508115308752.jpg FB_IMG_1508115312173.jpg FB_IMG_1508115316203.jpg FB_IMG_1508115319069.jpg FB_IMG_1508115324804.jpg FB_IMG_1508115327657.jpg FB_IMG_1508115330435.jpg FB_IMG_1508115336109.jpg FB_IMG_1508115338884.jpg

    ซานตาโรซ่า แคลิฟอร์เนีย สหรัฐ, ไฟป่าที่เกิดขึ้นหลอมละลายอลูมิเนียมวิ่งลงทางเท้า ต้นไม้ยังคงมีใบสีเขียวบนต้น รถถูกละลายบนถนนที่มีไร่องุ่นสีเขียวห่างเพียงไม่กี่ฟุต เคาน์เตอร์จากหินแกรนิต, สุขภัณฑ์ เครื่องลายคราม, เตาผิงหินและอิฐทั้งหมดกลายเป็นฝุ่น กระจกรถยนต์ถูกระเหย (จุดหลอมละลาย 2600 F) มีบางสิ่งที่ผิดธรรมชาติเกิดขึ้นที่นี่ ปกติไฟป่าทำแบบนี้ไม่ได้ !!
    Santa Rosa, CA fires show Molten Aluminum running down the sidewalk as highly flammable pine trees still have green leaves on them. Cars melted into the street with green vineyards just feet away. Granite counter tops, Porcelain toilets, Stone & Brick fireplaces all turned to dust. Auto Glass is vaporized (2600 F melting pt) Something very unnatural happened here. Normal Wild fires dont do this.. but Directed Energy Weapons (DEWs) do!!
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ร่วมมือกันถอนตัวจากยูเนสโกแล้ว การจะย้ายสถานทูตไปเยรูซาเล็มก็ไม่เห็นแปลกเป็นอะไร

    Imm Journal

    ต้องจับตาดู..... อดีตที่ปรึกษาทรัมป์ เผย : มีแนวโน้มที่จะย้ายสถานทูตสหรัฐฯไปยังกรุงเยรูซาเล็มในสัปดาห์นี้

    อดีตที่ปรึกษาประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯอาจจะประกาศการย้ายสถานทูตไปยังกรุงเยรูซาเล็มในสัปดาห์นี้

    Steve Banon อดีตที่ปรึกษาประธานาธิบดีทรัมป์แห่งสหรัฐอเมริกา ผู้ซึ่งใช้เวลาหลายเดือนในฐานะนักยุทธศาสตร์ประจำทำเนียบขาวกล่าวว่า มีแนวโน้มที่จะย้ายสถานทูตสหรัฐฯไปยังกรุงเยรูซาเล็มในสัปดาห์นี้ตามคำสั่งของทรัมป์

    http://www.mehrnews.com/news/4113907/احتمالا-سفارت-آمریکا-به-زودی-به-بیت-المقدس-منتقل-می-شود

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    "ข้อพิรุธการขายปิโตรเลียมเหลว(คอนเดนเสท)ให้สิงคโปร์ก่อนย้อนมาขายไทย คืออะไร"

    FB_IMG_1508125500757.jpg


    หลังจากดิฉันเขียนบทความ"ขอให้นายกฯ จัดการกรณีหลีกเลี่ยงภาษีส่งออกปิโตรเลียมเหลวจากแหล่งJDAให้ถูกต้อง" ก็มีทนายหน้าหอที่มักเข้ามาแสดงความเห็นแก้ต่างแทนกลุ่มทุนพลังงานอยู่
    เสมอๆ โดยครั้งนี้เข้ามาแสดงความเห็นว่า

    "การที่บริษัทร่วม Carigali Hess Operating Co.,Sdn.Bhd จะขายคอนเด็นเสดให้ใครที่ไม่ใช่ปตท.นั้นไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะตามข้อตกลงระหว่างไทยกับมาเลเซียนั้น เราตกลงแบ่งผลผลิตก๊าซให้แต่ละประเทศอย่างละเท่าๆกัน ส่วนคอนเด็นเสดจะขายที่ตลาดไหนก็ได้แต่ต้องแบ่งเงินกันคนละครึ่ง
    การที่บริษัทร่วมไทย-มาเลเซียจะขายคอนเด็นเสดให้บริษัทใดก่อนที่จะแล่นเรือมาขายให้ปตท.ที่ระยองนั้นผมไม่เห็นจะแปลกประหลาดตรงไหนเลยครับ เมื่อจุดปลายทางสินค้าขายอยู่ภายในประเทศจึงไม่มีเหตุผลที่จะเก็บภาษีส่งออก ผมจึงเห็นด้วยกับดุลยพินิจของอธิบดีกรมศุลกากรครับ"

    ขอตอบคำถามของทนายหน้าหอว่า

    1)ข้อเท็จจริงของเรื่องนี้คือบริษัทHess เคยขายคอนเดนเสทโดยตรงให้บริษัทปตท.อยู่แล้วโดยไม่มีภาระภาษี แล้วเหตุใดจึงต้องมีกรณีที่ Hess ขายให้กับบริษัทKarnel Oil ของสิงคโปร์ก่อนและKarnel Oil ค่อยเอามาขายต่อให้กับปตท.อีกทอดหนึ่ง สันนิษฐานว่าการทำแบบนี้เพราะต้องการให้พ่อค้าคนกลางมากินส่วนต่างกำไรอีกทอดหนึ่งก่อนเอามาขายให้ปตท.โดยหาทางให้เอกชนไม่ต้องเสียภาษี ข้ออ้างว่าให้สนใจการส่งของมายังประเทศปลายทางเป็นหลักนั้น คือรอยตัดต่อที่สำคัญ เพราะเชื่อว่าKarnel Oil ไม่ได้นำคอนเดนเสทแล่นเรือกลับไปสิงคโปร์ก่อนแล้วค่อยนำกลับมาส่งที่ระยองเป็นแน่ การขายคั่นให้ตัวกลางคือKarnel Oil ย่อมมีผลทางธุรกิจคือต้องมีโสหุ้ยและกำไรที่Karnel Oil ต้องบวกเพิ่มเข้าไปในราคาปิโตรเลียมเหลวก่อนนำมาขายคนไทยในราคาที่แพงขึ้น ใช่หรือไม่

    2)ที่บอกว่า"คอนเดนเสทจะขายที่ไหนก็ได้แต่ต้องแบ่งเงินกันคนละครึ่ง"นั้นถูกต้องตามหลักการแบ่งปันผลผลิต แต่อาจไม่มีคนรู้ว่า กรณีCHESSที่ยกตัวอย่างนั้นมิได้มีการแบ่งเงินที่ขายคอนเดนเสทคนละครึ่งกับองค์กรร่วม (MTJA) เพราะว่ามีการยกกรรมสิทธิ์ส่วนที่เป็นขององค์กรร่วมฯให้กับบริษัท HESS ทั้งหมด100% คำว่า Separate lifting for HESS only ในเอกสารแปลว่า คอนเดนเสทในล็อตนี้ขายแล้วยกรายได้ให้ HESS ไปทั้งหมดประมาณ 1,000 ล้านบาท หรือ31,932,890.99 เหรียญสหรัฐ ซึ่งผิดหลักการแบ่งปันผลผลิตที่ใช้กันมาตั้งแต่ปี2548 และการยกล็อตให้HESS แตเพียงผู้เดียว ทำให้สามารถขายให้ Karnel oilโดยก็ไม่ต้องมีการประมูล ทั้งที่ในอดีตตั้งแต่ปี 2548 -2553 การขายโดยองค์กรร่วมฯต้องใช้วิธีประมูลให้ได้ราคาสูงสุดเท่านั้น การใช้วิธียกคอนเดนเสทให้บริษัทHESS ไปขายก่อน จะเป็นวิธีการหลีกเลี่ยงการประมูล ใช่หรือไม่

    กรณีนี้ควรตั้งเป็นประเด็นที่ต้องมีการตรวจสอบโดยสตง.หรือปปช.ว่าเพราะเหตุใดจึงมีการซิกแซกในการขายคอนเดนเสทโดยการยกกรรมสิทธิ์ให้ HESS ทั้ง100%ในช่วงราคาน้ำมันแพงเกิน100$ /บาเรล แล้วค่อยให้ HESS นำมาใช้คืนองค์กรร่วมฯในภายหลัง ถ้าหากนำมาใช้คืนในตอนน้ำมันลงราคาเหลือ50 $/บาร์เรล องค์กรร่วมฯก็จะขาดทุน และประเทศไทยก็จะขาดทุนด้วยเช่นกัน ใช่หรือไม่

    ขอตั้งข้อสังเกตว่าวิธีการซิกแซกในการยกคอนเดนเสทให้เอกชนขายก่อน ก็จะถูกนำมาใช้ในแหล่งบงกช และเอราวัณเพราะการไม่มีบรรษัทพลังงานแห่งชาติในการจัดการบริหารการประมูลปิโตรเลียมในส่วนที่เป็นกรรมสิทธิของรัฐเพื่อให้ได้ราคาสูงสุด ก็มีการเขียนกฎหมายเตรียมไว้แล้วว่า สามารถยกให้เอกชนเป็นผู้ขายปิโตรเลียมแทนรัฐได้ จึงขอให้ดูกรณีองค์กรร่วมฯเป็นตัวอย่าง

    3)กรณีการหลบเลี่ยงภาษีส่งออกนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี2553 เมื่อถูกจับได้ว่ามีการสำแดงการส่งออกเป็นเท็จ จึงเกิดการร้องเรียนไปที่DSI ซึ่งDSI ใช้เวลาสอบถึง2-3ปี จนในที่สุดพบว่ามีความผิดจริงจึงได้ร่วมกับพนักงานอัยการแจ้งข้อหาต่อ2บริษัท คือบริษัท CPOC (ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างปตท.สผ.และคาริการี่ของมาเลเซีย) และบริษัท CHESS (ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างคาริการี่กับบริษัทเฮสส์ของสหรัฐ) แต่ก็ถูกทำให้ยืดเยื้อทั้งที่ก็ยืดเยื้อมานานแล้วถึง7ปีแล้ว การที่มีข้าราชการระดับสูงมาวิ่งเต้นช่วยเหลือให้DSI ชะลอการดำเนินคดีกับ2บริษัท และตีความกฎหมายให้เอกชนไม่ต้องเสียภาษี ทั้งที่ไม่มีบทบัญญัติกฎหมายรองรับก็เพื่อให้เอกชนไม่ต้องรับผิด ใช่หรือไม่

    4)กรณีที่มีข่าวว่าอธิบดีกรมศุลกากรให้ความเห็นว่า การพิจารณาเก็บภาษีขาออกหรือไม่นั้น ขอให้พิจารณาจากการขนส่งไปยังประเทศปลายทางเป็นหลัก (Physical movement) โดยไม่ต้องสนใจเรื่องการโอนกรรมสิทธิ์หลายครั้งก็ได้นั้น ถ้าข่าวนี้เป็นจริง ก็ต้องถามว่าดุลยพินิจเช่นนี้มีข้อกฎหมายศุลกากรข้อใดมารองรับ ?

    ระดับผู้บริหารในกรมศุลกากรน่าจะทราบดีอยู่แล้วว่า การเก็บภาษีในพื้นที่JDAเป็นไปตามคำสั่งกรมศุลกากรที่5/2548 ข้อ 4 02 04 04 ที่ได้ระบุจุดที่ภาระภาษีเกิด(tax point)ในพื้นที่JDA คือณ.จุดเรือกักเก็บน้ำมัน (Floating Storage and Offloading Vessel Area : FSOA) และจุดตั้งมาตรวัดเพื่อวัดปริมาณการส่งออกน้ำมัน และประกอบมาตรา46 ตามพ.ร.บ ศุลกากร 2469 ที่บัญญัติว่า " ถ้ามีความจำเป็นด้วยประการใดๆเกี่ยวด้วยการศุลกากรที่จะกำหนดเวลาเป็นแน่นอนว่า การส่งของใดๆออกจะพึงถือว่าเป็นอันสำเร็จเมื่อไรไซร้ ท่านให้ถือว่าการส่งของออกเป็นอันสำเร็จแต่ขณะที่เรือซึ่งส่งของออกได้ออกจากเขตท่าซึ่งได้ออกเรือเป็นชั้นที่สุดเพื่อไปจากพระราชอาณาจักรนั้น"

    เมื่อบริษัทเอกชนสำแดงเอกสารการส่งออกเป็นเท็จ และไม่จ่ายภาษีขาออกตามที่กฎหมายบัญญัติ ความรับผิดทางภาษีจึงเกิดขึ้นแล้วเมื่อการส่งออกสำเร็จตามมาตรา 10ตรี

    5)หากการตีความว่าไม่ต้องเก็บภาษีส่งออกโดยเปลี่ยนมาพิจารณาการส่งที่ประเทศปลายทางแทนทั้งๆที่ไม่มีข้อกฎหมายรองรับถูกนำมาใช้กับกรณีนี้ นอกจากจะทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายแล้ว ต้องตั้งข้อสันนิษฐานว่าเป็นการจงใจตีความที่บิดกฎเกณฑ์การเก็บภาษีส่งออกเพื่อช่วยให้บริษัทเอกชนไม่ต้องรับผิดใน"โทษปรับ"ที่สำแดงการส่งออกอันเป็นเท็จและไม่ต้อง"เสียภาษีส่งออก" อีกด้วย ใช่หรือไม่

    ประเด็นสำคัญที่สุดในการตีความเช่นนี้ ไม่ใช่แค่ช่วยให้เอกชนไม่ต้องเสียภาษีและไม่ต้องถูกโทษปรับในการกระทำที่ทำผ่านไปแล้วเท่านั้น แต่ยังจะเป็นการทำให้เกิดบรรทัดฐานที่ผิดกฎหมายเพื่อช่วยให้บริษัทเอกชนสามารถขายคอนเดนเสทให้บริษัทนายหน้าที่อยู่ในประเทศที่3โดยไม่ต้องมีภาระภาษีจากJDAได้ตลอดไปด้วย ใช่หรือไม่

    6)กรณีของประเทศไทย มีเพียงการนำเข้าก๊าซและปิโตรเลียมเหลวจากJDA เท่านั้นที่จะไม่มีภาษีนำเข้า เพราะมีเจตนารมณ์ที่จะให้ทรัพยากรที่ได้จากพื้นที่พัฒนาร่วมไทย มาเลเซียเป็นประโยชน์ต่อคนไทยและคนมาเลเซีย ได้ใช้ทรัพยากรจากพื้นที่JDA ในราคาปลอดภาษี แต่การนำเข้าน้ำมันจากประเทศอื่น จะต้องมีภาษีนำเข้า ดังนั้นในกรณีนี้ถ้าผู้บริหารในกระทรวงทั้ง3 ตีความกฎหมาย ว่าแหล่งJDAสามารถขายคอนเดนเสทให้เอกชนในประเทศที่3โดยปลอดภาษี ก่อนส่งเข้ามาขายในประเทศไทยและให้เปลี่ยนกี่มือก็ได้โดยถือเอาประเทศปลายทางเป็นหลักคือประเทศไทยว่าไม่ต้องเสียภาษี จะเข้าข่ายเป็นการจงใจเอื้อประโยชน์ให้บริษัทเอกชนมากินหัวคิวเอากำไรจากคนไทยในการซื้อขายคอนเดนเสทจากแหล่งJDA โดยหลีกเลี่ยงการเสียภาษีได้ ใช่หรือไม่

    การตีความกฎหมายแบบบิดเบี้ยวเช่นนี้ ทำให้เอกชนที่เป็นพ่อค้าคนกลางจากประเทศที่3 สามารถซื้อน้ำมันจากJDA โดยไม่มีภาษี แต่เวลานำมาขายต่อให้ผู้ประกอบการในไทย ก็จะแปลงร่างเป็นคอนเดนเสทนำเข้าจากสิงคโปร์ ที่มีสูตรต้นทุนเทียมที่บวกทั้งกำไร และค่าขนส่งจากสิงคโปร์มาไทยด้วย ใช่หรือไม่

    มีผู้อ่านท่านหนึ่งที่อ่านบทความดิฉันแล้ว เขียนความเห็นที่น่าสนใจว่า

    "ตรวจสอบกันดีๆ ผมเชื่อว่าเรื่องนี้ คงไม่ใช่
    เพียงคอนเดนเสท แต่คงรวมถึงน้ำมันดิบ
    จากอ่าวไทยด้วย ที่ส่งไปยังสิงคโปร์ก่อน
    แล้วค่อยนำกลับเข้ามายังโรงกลั่นไทย

    โอนกำไรไปไว้ที่สิงคโปร์ส่วนหนึ่งก่อน แล้ว
    ค่อยขายให้โรงกลั่นไทยในสถานะน้ำมันนำ
    เข้า

    ดังนั้น ราคาต้นทุนหน้าโรงกลั่นไทยจึงมี
    แต่ราคาต้นทุนที่คิดจากราคาน้ำมันดิบนำเข้า

    มันเป็นการหากินร่วมกันระหว่างบริษัทไทยกับ
    บริษัทข้ามชาติ บนความเสียเปรียบของคนไทย" ใช่หรือไม่

    หากรัฐบาลท่านนายกตู่มีเจตจำนงที่แท้จริงที่จะกำจัดการทุจริตคอร์รัปชันอย่างจริงจัง และจะทำให้ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมาย ต้องมีการตรวจสอบข้าราชการระดับสูงและผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดใน3กระทรวงอย่างจริงจังว่า ที่มีการประชุมตีความกฎหมายและมีมติมาแทรกแซงกระบวนการทำงานของ DSI นั้นเป็นเจตนาที่จะอุ้มบริษัทเอกชนเพื่อมิให้ต้องรับผิดโดยขัดต่อกฎหมายที่บัญญัติไว้ ใช่หรือไม่

    สัจธรรมของการทุจริตคอร์รัปชันที่รับรู้กันเป็นสากลคือ การทุจริต คอร์รัปชันไม่ได้เกิดขึ้นโดดๆ แต่เกิดขึ้นจากการร่วมมือกันของ3ฝ่าย คือ 1)เอกชน 2)นักการเมืองที่ใช้อำนาจทั้งที่มาจากการเลือกตั้งหรือจากการรัฐประหาร และ 3)ข้าราชการที่รู้กฎหมาย ระเบียบต่างๆเป็นอย่างดี รู้ทั้งช่องโหว่ รูรั่วของกฎระเบียบทั้งหลาย

    บริษัทเอกชนจะไม่สามารถทุจริต โกงภาษีของรัฐได้เลย หากไม่มีนักการเมืองและข้าราชการที่รู้ช่องกฎหมาย และระเบียบ เป็นอย่างดี มาเป็นผู้ช่วยเหลือด้วยการหาช่องโหว่ ของระเบียบ หรือขยายรูรั่วของกฎเกณฑ์ หรือช่วยบิดกฎระเบียบให้ผิดเพี้ยน และแนะนำเอกชนมาขอยกเว้นภาษี ผ่านการให้คำปรึกษา และการตีความกฎหมายแบบผิดๆ เพื่อให้เอกชนสามารถโกงภาษีรัฐ ใช่หรือไม่

    รสนา โตสิตระกูล
    15 ตุลาคม 2560
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    "ข้อพิรุธการขายปิโตรเลียมเหลว(คอนเดนเสท)ให้สิงคโปร์ก่อนย้อนมาขายไทย คืออะไร"

    เปิดดูไฟล์ 4368193


    หลังจากดิฉันเขียนบทความ"ขอให้นายกฯ จัดการกรณีหลีกเลี่ยงภาษีส่งออกปิโตรเลียมเหลวจากแหล่งJDAให้ถูกต้อง" ก็มีทนายหน้าหอที่มักเข้ามาแสดงความเห็นแก้ต่างแทนกลุ่มทุนพลังงานอยู่
    เสมอๆ โดยครั้งนี้เข้ามาแสดงความเห็นว่า

    "การที่บริษัทร่วม Carigali Hess Operating Co.,Sdn.Bhd จะขายคอนเด็นเสดให้ใครที่ไม่ใช่ปตท.นั้นไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะตามข้อตกลงระหว่างไทยกับมาเลเซียนั้น เราตกลงแบ่งผลผลิตก๊าซให้แต่ละประเทศอย่างละเท่าๆกัน ส่วนคอนเด็นเสดจะขายที่ตลาดไหนก็ได้แต่ต้องแบ่งเงินกันคนละครึ่ง
    การที่บริษัทร่วมไทย-มาเลเซียจะขายคอนเด็นเสดให้บริษัทใดก่อนที่จะแล่นเรือมาขายให้ปตท.ที่ระยองนั้นผมไม่เห็นจะแปลกประหลาดตรงไหนเลยครับ เมื่อจุดปลายทางสินค้าขายอยู่ภายในประเทศจึงไม่มีเหตุผลที่จะเก็บภาษีส่งออก ผมจึงเห็นด้วยกับดุลยพินิจของอธิบดีกรมศุลกากรครับ"

    ขอตอบคำถามของทนายหน้าหอว่า

    1)ข้อเท็จจริงของเรื่องนี้คือบริษัทHess เคยขายคอนเดนเสทโดยตรงให้บริษัทปตท.อยู่แล้วโดยไม่มีภาระภาษี แล้วเหตุใดจึงต้องมีกรณีที่ Hess ขายให้กับบริษัทKarnel Oil ของสิงคโปร์ก่อนและKarnel Oil ค่อยเอามาขายต่อให้กับปตท.อีกทอดหนึ่ง สันนิษฐานว่าการทำแบบนี้เพราะต้องการให้พ่อค้าคนกลางมากินส่วนต่างกำไรอีกทอดหนึ่งก่อนเอามาขายให้ปตท.โดยหาทางให้เอกชนไม่ต้องเสียภาษี ข้ออ้างว่าให้สนใจการส่งของมายังประเทศปลายทางเป็นหลักนั้น คือรอยตัดต่อที่สำคัญ เพราะเชื่อว่าKarnel Oil ไม่ได้นำคอนเดนเสทแล่นเรือกลับไปสิงคโปร์ก่อนแล้วค่อยนำกลับมาส่งที่ระยองเป็นแน่ การขายคั่นให้ตัวกลางคือKarnel Oil ย่อมมีผลทางธุรกิจคือต้องมีโสหุ้ยและกำไรที่Karnel Oil ต้องบวกเพิ่มเข้าไปในราคาปิโตรเลียมเหลวก่อนนำมาขายคนไทยในราคาที่แพงขึ้น ใช่หรือไม่

    2)ที่บอกว่า"คอนเดนเสทจะขายที่ไหนก็ได้แต่ต้องแบ่งเงินกันคนละครึ่ง"นั้นถูกต้องตามหลักการแบ่งปันผลผลิต แต่อาจไม่มีคนรู้ว่า กรณีCHESSที่ยกตัวอย่างนั้นมิได้มีการแบ่งเงินที่ขายคอนเดนเสทคนละครึ่งกับองค์กรร่วม (MTJA) เพราะว่ามีการยกกรรมสิทธิ์ส่วนที่เป็นขององค์กรร่วมฯให้กับบริษัท HESS ทั้งหมด100% คำว่า Separate lifting for HESS only ในเอกสารแปลว่า คอนเดนเสทในล็อตนี้ขายแล้วยกรายได้ให้ HESS ไปทั้งหมดประมาณ 1,000 ล้านบาท หรือ31,932,890.99 เหรียญสหรัฐ ซึ่งผิดหลักการแบ่งปันผลผลิตที่ใช้กันมาตั้งแต่ปี2548 และการยกล็อตให้HESS แตเพียงผู้เดียว ทำให้สามารถขายให้ Karnel oilโดยก็ไม่ต้องมีการประมูล ทั้งที่ในอดีตตั้งแต่ปี 2548 -2553 การขายโดยองค์กรร่วมฯต้องใช้วิธีประมูลให้ได้ราคาสูงสุดเท่านั้น การใช้วิธียกคอนเดนเสทให้บริษัทHESS ไปขายก่อน จะเป็นวิธีการหลีกเลี่ยงการประมูล ใช่หรือไม่

    กรณีนี้ควรตั้งเป็นประเด็นที่ต้องมีการตรวจสอบโดยสตง.หรือปปช.ว่าเพราะเหตุใดจึงมีการซิกแซกในการขายคอนเดนเสทโดยการยกกรรมสิทธิ์ให้ HESS ทั้ง100%ในช่วงราคาน้ำมันแพงเกิน100$ /บาเรล แล้วค่อยให้ HESS นำมาใช้คืนองค์กรร่วมฯในภายหลัง ถ้าหากนำมาใช้คืนในตอนน้ำมันลงราคาเหลือ50 $/บาร์เรล องค์กรร่วมฯก็จะขาดทุน และประเทศไทยก็จะขาดทุนด้วยเช่นกัน ใช่หรือไม่

    ขอตั้งข้อสังเกตว่าวิธีการซิกแซกในการยกคอนเดนเสทให้เอกชนขายก่อน ก็จะถูกนำมาใช้ในแหล่งบงกช และเอราวัณเพราะการไม่มีบรรษัทพลังงานแห่งชาติในการจัดการบริหารการประมูลปิโตรเลียมในส่วนที่เป็นกรรมสิทธิของรัฐเพื่อให้ได้ราคาสูงสุด ก็มีการเขียนกฎหมายเตรียมไว้แล้วว่า สามารถยกให้เอกชนเป็นผู้ขายปิโตรเลียมแทนรัฐได้ จึงขอให้ดูกรณีองค์กรร่วมฯเป็นตัวอย่าง

    3)กรณีการหลบเลี่ยงภาษีส่งออกนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี2553 เมื่อถูกจับได้ว่ามีการสำแดงการส่งออกเป็นเท็จ จึงเกิดการร้องเรียนไปที่DSI ซึ่งDSI ใช้เวลาสอบถึง2-3ปี จนในที่สุดพบว่ามีความผิดจริงจึงได้ร่วมกับพนักงานอัยการแจ้งข้อหาต่อ2บริษัท คือบริษัท CPOC (ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างปตท.สผ.และคาริการี่ของมาเลเซีย) และบริษัท CHESS (ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างคาริการี่กับบริษัทเฮสส์ของสหรัฐ) แต่ก็ถูกทำให้ยืดเยื้อทั้งที่ก็ยืดเยื้อมานานแล้วถึง7ปีแล้ว การที่มีข้าราชการระดับสูงมาวิ่งเต้นช่วยเหลือให้DSI ชะลอการดำเนินคดีกับ2บริษัท และตีความกฎหมายให้เอกชนไม่ต้องเสียภาษี ทั้งที่ไม่มีบทบัญญัติกฎหมายรองรับก็เพื่อให้เอกชนไม่ต้องรับผิด ใช่หรือไม่

    4)กรณีที่มีข่าวว่าอธิบดีกรมศุลกากรให้ความเห็นว่า การพิจารณาเก็บภาษีขาออกหรือไม่นั้น ขอให้พิจารณาจากการขนส่งไปยังประเทศปลายทางเป็นหลัก (Physical movement) โดยไม่ต้องสนใจเรื่องการโอนกรรมสิทธิ์หลายครั้งก็ได้นั้น ถ้าข่าวนี้เป็นจริง ก็ต้องถามว่าดุลยพินิจเช่นนี้มีข้อกฎหมายศุลกากรข้อใดมารองรับ ?

    ระดับผู้บริหารในกรมศุลกากรน่าจะทราบดีอยู่แล้วว่า การเก็บภาษีในพื้นที่JDAเป็นไปตามคำสั่งกรมศุลกากรที่5/2548 ข้อ 4 02 04 04 ที่ได้ระบุจุดที่ภาระภาษีเกิด(tax point)ในพื้นที่JDA คือณ.จุดเรือกักเก็บน้ำมัน (Floating Storage and Offloading Vessel Area : FSOA) และจุดตั้งมาตรวัดเพื่อวัดปริมาณการส่งออกน้ำมัน และประกอบมาตรา46 ตามพ.ร.บ ศุลกากร 2469 ที่บัญญัติว่า " ถ้ามีความจำเป็นด้วยประการใดๆเกี่ยวด้วยการศุลกากรที่จะกำหนดเวลาเป็นแน่นอนว่า การส่งของใดๆออกจะพึงถือว่าเป็นอันสำเร็จเมื่อไรไซร้ ท่านให้ถือว่าการส่งของออกเป็นอันสำเร็จแต่ขณะที่เรือซึ่งส่งของออกได้ออกจากเขตท่าซึ่งได้ออกเรือเป็นชั้นที่สุดเพื่อไปจากพระราชอาณาจักรนั้น"

    เมื่อบริษัทเอกชนสำแดงเอกสารการส่งออกเป็นเท็จ และไม่จ่ายภาษีขาออกตามที่กฎหมายบัญญัติ ความรับผิดทางภาษีจึงเกิดขึ้นแล้วเมื่อการส่งออกสำเร็จตามมาตรา 10ตรี

    5)หากการตีความว่าไม่ต้องเก็บภาษีส่งออกโดยเปลี่ยนมาพิจารณาการส่งที่ประเทศปลายทางแทนทั้งๆที่ไม่มีข้อกฎหมายรองรับถูกนำมาใช้กับกรณีนี้ นอกจากจะทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายแล้ว ต้องตั้งข้อสันนิษฐานว่าเป็นการจงใจตีความที่บิดกฎเกณฑ์การเก็บภาษีส่งออกเพื่อช่วยให้บริษัทเอกชนไม่ต้องรับผิดใน"โทษปรับ"ที่สำแดงการส่งออกอันเป็นเท็จและไม่ต้อง"เสียภาษีส่งออก" อีกด้วย ใช่หรือไม่

    ประเด็นสำคัญที่สุดในการตีความเช่นนี้ ไม่ใช่แค่ช่วยให้เอกชนไม่ต้องเสียภาษีและไม่ต้องถูกโทษปรับในการกระทำที่ทำผ่านไปแล้วเท่านั้น แต่ยังจะเป็นการทำให้เกิดบรรทัดฐานที่ผิดกฎหมายเพื่อช่วยให้บริษัทเอกชนสามารถขายคอนเดนเสทให้บริษัทนายหน้าที่อยู่ในประเทศที่3โดยไม่ต้องมีภาระภาษีจากJDAได้ตลอดไปด้วย ใช่หรือไม่

    6)กรณีของประเทศไทย มีเพียงการนำเข้าก๊าซและปิโตรเลียมเหลวจากJDA เท่านั้นที่จะไม่มีภาษีนำเข้า เพราะมีเจตนารมณ์ที่จะให้ทรัพยากรที่ได้จากพื้นที่พัฒนาร่วมไทย มาเลเซียเป็นประโยชน์ต่อคนไทยและคนมาเลเซีย ได้ใช้ทรัพยากรจากพื้นที่JDA ในราคาปลอดภาษี แต่การนำเข้าน้ำมันจากประเทศอื่น จะต้องมีภาษีนำเข้า ดังนั้นในกรณีนี้ถ้าผู้บริหารในกระทรวงทั้ง3 ตีความกฎหมาย ว่าแหล่งJDAสามารถขายคอนเดนเสทให้เอกชนในประเทศที่3โดยปลอดภาษี ก่อนส่งเข้ามาขายในประเทศไทยและให้เปลี่ยนกี่มือก็ได้โดยถือเอาประเทศปลายทางเป็นหลักคือประเทศไทยว่าไม่ต้องเสียภาษี จะเข้าข่ายเป็นการจงใจเอื้อประโยชน์ให้บริษัทเอกชนมากินหัวคิวเอากำไรจากคนไทยในการซื้อขายคอนเดนเสทจากแหล่งJDA โดยหลีกเลี่ยงการเสียภาษีได้ ใช่หรือไม่

    การตีความกฎหมายแบบบิดเบี้ยวเช่นนี้ ทำให้เอกชนที่เป็นพ่อค้าคนกลางจากประเทศที่3 สามารถซื้อน้ำมันจากJDA โดยไม่มีภาษี แต่เวลานำมาขายต่อให้ผู้ประกอบการในไทย ก็จะแปลงร่างเป็นคอนเดนเสทนำเข้าจากสิงคโปร์ ที่มีสูตรต้นทุนเทียมที่บวกทั้งกำไร และค่าขนส่งจากสิงคโปร์มาไทยด้วย ใช่หรือไม่

    มีผู้อ่านท่านหนึ่งที่อ่านบทความดิฉันแล้ว เขียนความเห็นที่น่าสนใจว่า

    "ตรวจสอบกันดีๆ ผมเชื่อว่าเรื่องนี้ คงไม่ใช่
    เพียงคอนเดนเสท แต่คงรวมถึงน้ำมันดิบ
    จากอ่าวไทยด้วย ที่ส่งไปยังสิงคโปร์ก่อน
    แล้วค่อยนำกลับเข้ามายังโรงกลั่นไทย

    โอนกำไรไปไว้ที่สิงคโปร์ส่วนหนึ่งก่อน แล้ว
    ค่อยขายให้โรงกลั่นไทยในสถานะน้ำมันนำ
    เข้า

    ดังนั้น ราคาต้นทุนหน้าโรงกลั่นไทยจึงมี
    แต่ราคาต้นทุนที่คิดจากราคาน้ำมันดิบนำเข้า

    มันเป็นการหากินร่วมกันระหว่างบริษัทไทยกับ
    บริษัทข้ามชาติ บนความเสียเปรียบของคนไทย" ใช่หรือไม่

    หากรัฐบาลท่านนายกตู่มีเจตจำนงที่แท้จริงที่จะกำจัดการทุจริตคอร์รัปชันอย่างจริงจัง และจะทำให้ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมาย ต้องมีการตรวจสอบข้าราชการระดับสูงและผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดใน3กระทรวงอย่างจริงจังว่า ที่มีการประชุมตีความกฎหมายและมีมติมาแทรกแซงกระบวนการทำงานของ DSI นั้นเป็นเจตนาที่จะอุ้มบริษัทเอกชนเพื่อมิให้ต้องรับผิดโดยขัดต่อกฎหมายที่บัญญัติไว้ ใช่หรือไม่

    สัจธรรมของการทุจริตคอร์รัปชันที่รับรู้กันเป็นสากลคือ การทุจริต คอร์รัปชันไม่ได้เกิดขึ้นโดดๆ แต่เกิดขึ้นจากการร่วมมือกันของ3ฝ่าย คือ 1)เอกชน 2)นักการเมืองที่ใช้อำนาจทั้งที่มาจากการเลือกตั้งหรือจากการรัฐประหาร และ 3)ข้าราชการที่รู้กฎหมาย ระเบียบต่างๆเป็นอย่างดี รู้ทั้งช่องโหว่ รูรั่วของกฎระเบียบทั้งหลาย

    บริษัทเอกชนจะไม่สามารถทุจริต โกงภาษีของรัฐได้เลย หากไม่มีนักการเมืองและข้าราชการที่รู้ช่องกฎหมาย และระเบียบ เป็นอย่างดี มาเป็นผู้ช่วยเหลือด้วยการหาช่องโหว่ ของระเบียบ หรือขยายรูรั่วของกฎเกณฑ์ หรือช่วยบิดกฎระเบียบให้ผิดเพี้ยน และแนะนำเอกชนมาขอยกเว้นภาษี ผ่านการให้คำปรึกษา และการตีความกฎหมายแบบผิดๆ เพื่อให้เอกชนสามารถโกงภาษีรัฐ ใช่หรือไม่

    รสนา โตสิตระกูล
    15 ตุลาคม 2560
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    "หนุ่มเนื้อหอม"

    (1)

    เมื่อวันพุธ ที่ 4 ตุลาคม คศ 2017 กษัตริย์ซัลมาน วัย 81 ปี ของซาอุดิ อารเบีย
    ที่มีข่าวออกมาบ่อยๆ ว่า พระองค์ป่วย ไม่ค่อยแข็งแรง
    กลับแข็งแรง หรือ แข็งใจ ...ขึ้นเครื่องบินส่วนพระองค์ ลำใหญ่
    (ไม่รู้ทำด้วยทองคำทั้งลำหรือเปล่า)
    พร้อม ด้วยคณะผู้ติดตาม อีกประมาณกว่า 1 พันคน
    ทนนั่งเครื่องบินไป 6 ชั่วโมง เพื่อเดินทางไปพบกับ หนุ่มเนื้อหอม...

    ชื่อ ท่านปูติน... ที่กรุงมอสโคว์ ....

    (ไม่ใช่ท่านเป็ดส้ม...แห่งกรุงวอชิงตัน ที่มีคนปลื้มเหลือเกิน ว่าได้ไปจับมือกัน
    ที่ห้องรูปไข่.. เอะ ..หรือห้องลูบไข่ ผมชักสับสนเรื่องตัวสะกด ฮา)

    ข่าวจริงครับ ...ไม่ใช่ข่าวหลายเต้า หรือ ข่าวต่องแต่ง

    กษัตริย์ซัลมาน นับเป็นกษัตริย์ ของซาอุดิอารเบีย องค์แรก ที่เดินทาง
    ไปเยี่ยมรัสเซียอย่างเป็นทางการ เพื่อ เชื่อมสัมพันธ์ไมตรี
    นับเป็นก้าวใหม่ และ ก้าวใหญ่... ด้านสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
    ระหว่าง รัสเซีย กับ ซาอุดิ อารเบีย..มิตรรักแนบสนิท...ของอเมริกา

    ซาอุ คิดนอกใจ อเมริกา ไปกิ๊ก กับ หนุ่มเนื้อหอมหรือไง
    เรื่องใหญ่นะครับ

    ท่านปูติน หนุ่มเนื้อหอมนั้น เคยไปพบกษัตริย์อับดุลอาซิส ที่ซาอุดิอารเบีย
    เมื่อปีคศ 2007 แต่กษัตริย์ อับดุลอาซิส ไม่ได้มาเยี่ยมเครมลิน เป็นการตอบแทน... เพราะผูกมือแน่นอยู่กับอเมริกา
    ส่วนกษัตริย์ซัลมาน ที่ตอนนั้น ยังเป็นมงกุฏราชกุมารอยู่ ก็ยังไม่เคยมาจับมือ
    กับฝ่ายรัสเซีย ที่บ้านรัสเซียมาก่อนเลย

    แต่ ลูกชายกษัตริย์ซัลมาน หนุ่มซิกแพกซ์ มงกุฏราชกุมารวัยไม่ถึง 30 ปี
    มาเยี่ยมเครมลินหลายหนแล้ว ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
    คงเพื่อปูทาง... สำหรับการมาเยี่ยมรัสเซียครั้งนี้ ของท่านพ่อ

    10 ปี ผ่านไป ...อำนาจในโลก ก็เปลี่ยนไป ...อย่างไม่น่าเชื่อ
    แต่ยังมีพวก (กระป๋องครอบหัว) ไม่อยากเชื่ออีกแยะ ..
    เมื่อไหร่จะตื่นกันเสียที (โว้ย)

    ข่าว เกี่ยวกับ ซี้ขาประจำของอเมริกา.. ไปเยี่ยมกิ๊กใหม่เนื้อหอม นี่ ...
    ผมดูจากซีเอนเอน... ที่เสนอแบบสั้น และ น้อยรอบ
    (เมื่อ คืนวันพฤหัส)
    โดยไม่มีการขนเอานักวิชาการ หรือ สื่อใหญ่มานั่งเรียงแถววิเคราะห์
    ว่า ไปทำไม มีผลกระทบกับอเมริกา ตะวันออกกลาง หรือ โลก แค่ไหน
    ตอนที่ดูนั้น ไม่มีเลยครับ....

    มีแต่คุณเบกกี้สาวใหญ่ชาวอังกฤษ ผู้จัดรายการที่ "ทำท่า" ฉลาดพูดคล่อง
    แต่ติดอ่างบ่อยจัง ถามกับ คุณป้าอีกคน (สาวๆคงสวยไม่เบา แต่หน้าตาดุชะมัด)
    ซึ่งเป็นอดีตผู้สื่อข่าวซีเอนเอน ที่ประจำอยู่มอสโคว์
    และคุณหนุ่มใหญ่ สื่อที่ประจำอยู่แถวตะวันออกกลาง แถวอ่าวเท่านั้น

    คุณเบกกี้ "....ซาอุดิอารเบีย ทำแบบนี้.... แปลว่า อะไร"

    คุณป้าตอบสั้นๆ...." ก็แปลว่า เสร็จ... "เขา"....ไปแล้วไง " (ป้านี่คมไม่เบา)

    คุณเบ็กกี้ ถอนหายใจยาว.. ถามต่อไม่ออก.. ซีเอนเอน ตัดเป็นโฆษณา

    ซีเอนเอน เสนอข่าวเกี่ยวกับกิ๊กเนื้อหอม สั้นกว่า ข่าวของท่านเป็ดส้ม
    ที่ไปเยี่ยมผู้ประสพภัยที่ พอร์โตริโก้
    ที่ส่วนใหญ่ ไม่มี น้ำ ไม่มีไฟ ไม่มีอาหาร ไม่มียา ฯลฯ
    แต่ท่านเป็ดส้มและเมีย อุตส่าห์เดินทางไปให้กำลังใจผู้ประสพภัย ...
    แถมแจกของเยี่ยม ที่เป็นกระดาษชำระ ด้วยการโยนให้ชาวพอร์โตริกัน
    ที่มารอรับท่านเป็ดและเมีย
    มารยาท.... สมกับตำแหน่งมาก...
    คงเป็นมารยาท แบบ "เขาเป็นมิตร .. มีความจริงใจ" (ฮา)

    แต่ข่าวการไปมอสโคว์ของกษัตริย์ซัลมาน นั้น
    สื่อแถวทะเลทราย เสนอข่าวกันถ้วนหน้าทุกประเทศ ..

    ส่วนสื่อแถวอเมริกา ตอนที่ผมอ่าน (ประมาณกลางดึกของคืนวันพฤหัส)
    นับกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ มีสื่อใหญ่ไม่เกิน 5 ราย
    และ สื่อเล็กๆ ชื่อประหลาด อีกไม่ถึง 10
    สื่อแถวอังกฤษ ยุโรป รวมๆ ประมาณ ไม่เกิน 10

    นักวิเคราะห์การเมือง จาก สถาบันแถบทะเลทราย บอกว่า
    อิหร่านไปแล้ว ซีเรียไปแล้ว อิรัคไปแล้ว เยเมน ไปแล้ว การ์ตาไปแล้ว
    จอร์แดนไปแล้ว โอมานกำลังเตรียมตัว... จริงๆไปกว่าครึ่งตัวแล้ว
    คราวนี้ เจ้าพ่อใหญ่ไปเอง... อีกหน่อย อิสราเอล อาจจะตามไปด้วย (ฮา)

    เมื่อเครื่องบินกษัตริย์ซัลมาน ไปถึงที่สนามบิน ที่กรุงมอสโคว์
    เจ้ากรรมจริง.... กระไดไฟฟ้าของเครื่องบินกษัตริย์ซัลมาน
    เลื่อนไปได้ครึ่งทาง ดันค้าง สดุดกึ่ก (ขนาดกระไดยังสดุดเลยนะ )
    ทำให้ กษัตริย์ซัลมาน ต้องค่อยๆ ก้าวลงกระไดต่อเอง
    (แต่ข่าวกระไดสดุดนี่ ซีเอนเอนเอามาออกข่าว คืนวันที่ 7 ตค
    สงสัย ระหว่างอเมริกา ซาอุ จะมีเรื่องสดุด.. มากกว่ากระได)

    ที่ตีนกระได "หนุ่มเนื้อหอม" ไม่ได้มารอรับ.....
    ส่งแต่ (หรือ ต้องใช้คำว่า "แค่" ผมไม่แน่ใจ) รองนายกรัฐมนตรีมารับ
    พร้อมกับกองทหารเกียรติยศ

    ผมเล่าฉาก การไปมา ของคนใหญ่ คนโตให้ฟัง
    หวังว่าจะทำให้ ท่านผู้อ่าน เห็นภาพ พอที่จะเข้าใจ สถานการณ์บางอย่าง
    หรืออย่างน้อย... ก็เทียบเคียงอะไรได้บ้าง

    จะให้ดี ไปหายูทูบมาดูดีกว่าครับ
    ผมมี แต่เอามาลงให้ดูไม่เป็น

    ###############
    (2)

    วันพฤหัส ที่ 5 ตุลาคม กษัตริย์ซัลมาน และ คณะ เข้าไปพบหนุ่มเนื้อหอม
    ที่ใส่สูทเนี๊ยบ เดินมาดเท่ ออกมาต้อนรับกษัตริย์ซัลมาน
    ที่ห้องรับรอง ที่ใหญ่โตโอ่อ่ามากกกก

    รายงานข่าวบอกว่า คณะที่ติดตามกษัตริย์ซัลมาน มีตัวแทน 200 คน
    และ ซีอีโออีก 85 คน จากธุระกิจใหญ่ในซาอุดิอารเบีย ที่พร้อมจะเจรจาทำธุรกิจ
    กับฝ่ายรัสเซีย ในหลายๆด้าน

    หลังจากนั้น มีการแถลงข่าวว่า เรื่องใหญ่ๆ ที่ตกลงกัน (และเปิดเผยได้) คือ

    - ซาอุดิ อารเบีย กับรัสเซีย (ที่อยูนอกโอเปค) ยังมีการจับมือกันต่อไป
    เพื่อการตรึงอัตราการผลิต และราคาน้ำมัน จนถึงเดือนมีนาคม ปีหน้า

    - ซาอุดิ อารเบีย และ รัสเซีย ตกลงตั้งกองทุน จำนวน 1 พันล้านเหรียญ (จิ๊บจ๋อย
    มาก แค่ 3 หมื่นกว่าล้านบาทเอง) เพื่อลงทุนร่วมกัน ในการพัฒนาแหล่งแก๊ส และตั้งโรงงาน เปโตรเคมี ในรัสเซีย

    - Aramco ยักษ์ใหญ่น้ำมันของซาอุ ลงนามในข้อตกลง กับ กองทุน Russian
    Direct Investment Fund (RDIF) เพื่อร่วมลงทุนในการ พัฒนาการผลิตแก็ส และกลั่นน้ำมันในรัสเซีย (ไม่บอกจำนวน)

    - Aramco ยังทำสัญญา กับ Gazprom Neft (ของรัฐบาลรัซเซีย) ที่จะใช้ เทคโนโลยี การวิเคราะห์ วิจัยของ Gazprom Neft ในการพัฒนาอีกหลายด้าน
    รวมทั้ง ใช้ผู้ชำนาญการของรัสเซียเข้าไปช่วยพัฒนา Aramco ด้วย

    เรื่องนี้ เป็นเรื่องใหญ่ สำหรับ ทั้ง ซาอุ และรัสเซีย
    เพราะซาอุ ต้องการลดต้นทุนการผลิตน้ำมัน (เจ้าพ่อก็จนเป็นเหมือนกันนะ)
    แต่เทคโนโลยี ที่อเมริกายัดเยียดมา มันให้ผลตรงกันข้าม

    นี่ถ้าเจ้าพ่อเอาจริง ไล่ชู้รักกลับบ้าน แล้ว เอากิ๊กหนุ่ม เข้าไปจัดการแทน
    มันจะสนุกกันขนาดไหน...ไม่อยากคิดต่อ
    แล้วแบบนี้ อเมริกาที่คิดว่า ตัวเองเป็นเจ้า Aramco ... จะสะอึกแดกไหมครับ
    อ้อ ...มิน่า งดรายการวิเคราะห์เรื่องนี้ไปเลย เล่นเรื่องกระไดสดุดแทน

    - ทั้ง 2 ประเทศ ยังตกลง ที่จะร่วมมือในการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์
    ร่วมมือด้านการเกษตร ไอที การค้า การลงทุน การพัฒนาสังคม ฯลฯ
    อีกหลายเรื่องครับ

    - เรื่องสุดท้าย คือเรื่องซาอุดิอารเบีย ตกลงซื้อ จรวด ระบบ S-400 ของรัสเซีย
    (ไม่บอกจำนวน) ระบบ Kornet-EM , TOS-1A ,AGS-30 และ
    Kalashnikov AK -103 มูลค่าทั้งหมดประมาณ 3 พันล้านเหรียญ

    รวมทั้ง ทำบันทึกข้อตกลง ให้รัสเซีย ช่วยพัฒนาเกี่ยวกับเรื่อง
    การผลิตอาวุธ ให้กับซาอุดิอารเบีย อีกด้วย

    แปลง่ายๆ ว่า ซาอุ คิดจะผลิตอาวุธใช้เองแล้ว (ไม่อยากถูกต้มต่อไปแล้ว)
    โดยจะใช้เทคโนโลยีของรัสเซีย ...
    ให้รัสเซียมาช่วยตั้งโรงผลิต และดูแลการผลิตให้ (คนรวยทำเองไม่เป็น)

    ... อ้าว แล้ว อเมริกาหายหัวไปไหน ถูกถีบตกใต้ถุนไปแล้วหรือไง

    เรื่องซาอุ ซื้ออาวุธ รัสเซีย นี่ ก็น่าสนใจมากอยู่แล้ว
    เพราะซาอุ เคยอยู่แต่ในหลั่วของอเมริกาใช้อาวุธ (ห่วยๆ)
    ที่อเมริกาหลอกขายเกือบทั้งนั้น
    แต่ถ้าถึงขนาด ที่ซาอุ จะให้รัสเซีย มาช่วยตั้งโรงงานผลิตอาวุธให้ด้วยนี่
    ยิ่งกว่า น่าสนใจ....

    มิน่า ... นักวิเคราะห์ค่ายอเมริกา ถึงใบ้รับประทานแดก
    ซาอุเตรียมจะแหกหลั่ว ...จะให้วิเคราะห์ว่าไงดี (วะ)

    เออ... แต่บางประเทศ.... ชื่นใจคำหวาน จะกลับไปใช้เศษอาวุธเขาเหมือนเดิม
    คงลืมไปว่า 10 ปี มานี่ ...อะไรๆ มันก็เปลี่ยนไปแยะ...

    ครับ เขียนรายงานข่าว สำหรับท่านที่ชอบออกรส (ฝืด) แบบวิชาการไปแล้ว

    ส่วน ลุงนิทานขอสรุป ง่ายๆ ว่า ตอนนี้ เจ้าพ่อปั้มใหญ่
    ยังไม่ถึงขั้น ที่จะถีบทิ้งซี้เก่า ...แค่เหยียบเรือ 2 แคม ...

    จากที่เคยเหยียบแคมเดียว ...รักเดียวใจเดียว ไม่เคยเห็นหัวรัสเซีย ...
    ตอนนี้ (หน้ามืด) กัดฟัน มาหาเขา ถึงบ้าน ...
    อย่างน้อย ก็นับว่าเป็นก้าวที่สำคัญมากสำหรับตะวันออกกลาง
    ที่ปอดไม่สมบูรณ์ (แหกประจำ)
    และสำหรับนักส่องกล้อง ดูสถานการณ์โลก ไม่ควรพลาดการตามดู

    .....เรา มาจับมือกันนะน้องปูหล่อ ... ลืมเรื่อง ไอซิส อัสสาดไปเถอะ
    อัสสาดมัน อยากจะนั่งแท่นซีเรีย ตลอดกาล ...เราก็จะ (ทำใจ) ไม่ขัดคอ
    ส่วนเรื่อง อิหร่าน (เฮ้อ...) เราก็จะพยายามทำใจ...(อีกเหมือนกัน)
    ถ้าน้องปูหล่อ สามารถ ทำให้ อิหร่าน ไม่ข้ามเขต มาซ่าแถวบ้านพี่
    (จนออกนอกหน้า... เห็นแก่หน้าเจ้าพ่อบ้างสิโว้ย..)

    คนเราแสนรวย และ (คิด) ว่าใหญ่ไม่น้อย.. จริงๆ ใหญ่มากครับ
    คุมน้ำมันโลกอยู่ในมือ ....ลงทุน ไปบินหาหนุ่มเนื้อหอม ที่บ้านเขาครั้งแรก...
    มันเป็นใบเสร็จ ใบหนึ่ง ....ที่แสดงว่า ศูนย์อำนาจในโลกเปลี่ยนแปลงไปแยะ

    การ ไปหากิ๊กแบบนี้ ...มันเหมือนกับคนกลืนน้ำลายตัวเอง...
    ถ้าไม่ลืมเรื่อง สงครามกลางเมืองของซีเรีย เรื่องไอซิส นักรบเต็มเงิน
    รวมทั้ง เรื่องอัลไคด้า นักรบเติมเงิน รุ่นบุกเบิก เรื่อง อัฟกานิสถาน บอสเนีย เซิร์บ ฯลฯ

    ขนาดผม เป็นแค่คนเล่านิทานยังลืมไม่ลง...
    ผมว่า คงยังมีคนจำเหตุการณ์เหล่านั้นได้... แบบไม่ (มีวัน) ลืม
    มากกว่าผมเป็นล้านเท่า

    ##############
    (3)

    เจ้าพ่อ นอกใจอเมริกา จริงหรือ

    ผมว่า ยังไม่ถึงขนาดนั้น ...เจ้าพ่อแค่ เริ่มแต่งตัวชะเวิปชะวาบ
    แหวกหน้า เปิดหลัง.... เป็นการส่งข่าวไปถึงซี้เก่า ..

    ( ที่เอาหน้าสีส้มมาโชว์เมื่อเดือนเมษา ...หลังจากนั้น ก็หายหัวไป
    คงเพราะติดงาน... ยังคิดวิธีจัดการกับน้องรักของผม เจ้าของทรงผมสะท้านใจไม่ได้)

    ...เรามีทางเลือกนะ... เขาหล่อล่ำกว่าตัวแยะ.. ไม่อ้วนพุงพลุ้ย ปากมอม...

    อีกด้านหนึ่ง... ก็เป็นการจับมือกับหนุ่มเนื้อหอม...เอาเงินมาป้อนถึงบ้าน
    เราลงทุนด้วยกันนะ ... จะส่งของขวัญอะไร ไปทางไหน ก็คิดหน่อยนะพ่อคุณ ...

    โลกแบ่งเป็น 2 ขั้วอำนาจชัดเจนแล้ว จะมานั่งไม่รับรู้ คิดติดกับเรื่องเดิมๆ
    หรือ ตีตั๋วใบเดียว มันคงบื้อไปหน่อย ...

    ท่านเป็ดหน้าส้ม เตรียมเสนอรัฐสภา (อาทิตย์หน้านี้) ว่า จะให้อเมริกา
    ถอนตัวจากอิหร่านดีล
    เพราะเป็นสัญญาที่ห่วยแตก ที่อเมริกาเสียรู้ ที่อิหร่านเบี้ยว ฯลฯ
    ...เรากลับไปคว่ำบาตรอิหร่านเหมือนเมื่อก่อนดีกว่า..

    อิหร่านคงยิ่งกว่ากลัว (ฮา)

    ระหว่างที่เขียนนิทานอยู่นี่... เขาว่า อิหร่าน ส่ง ท่านรัฐมนตรีต่างประเทศ
    ไปนั่งบีบมือ ท่านประมุขโอมาน ให้รีบ จัดกระเป๋า เตรียมตัวให้เรียบร้อย
    เดี๋ยวจะว่า เพื่อนบ้าน (อยู่ตรงกันข้ามกัน) ไม่สนใจมาเตือน มาดูแล

    ก่อนไปคุยกับโอมาน อิหร่านก็คุยกับการ์ตา เรียบร้อยไปหลายเรื่องแล้ว

    ครับ ...มีเงินมาก... ก็ซื้อตั๋วมันหลายใบ นั่งถ่างขาคร่อมมันหลายที่ ไปเลย
    เป็นไรไป เรื่องของคนรวยมีตังค์แยะ ... ใครตั้งหม้อ ใครลงหม้อ คงดูไม่ยาก

    มีเงินน้อย... ก็ต้องใช้ปัญญามากหน่อย ในการรักษาบ้าน รักษาเมือง
    วางยุทธศาสตร์ให้ดี เล่น (ละคร) ให้เป็น พูดให้น้อย ทำ(งาน) ให้เยอะ
    ลูกบอล...เขาโยนมา... ก็เก็บเอาไว้ใช้ออกกำลัง กำไว้ในมือ บีบให้แน่น
    กำมือ กำปั้น จะได้แข็งแรง
    ไม่ใช่เป็นแต่แบมือขอ หรือ แบมือยอมแพ้...
    อย่าไปติดใจบทน้ำเน่า .... จนกลับไปวิ่งเก็บ ลูกบอลให้เขาอีกก็แล้วกัน

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    7 ต.ค. 2560

    เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
    ภาพประกอบจาก google

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    "ยุทธศาสตร์ท่านโม"

    (1)

    อันที่จริงช่วงนี้ ผมไม่อยากเล่านิทานเลย... อยากอยู่เงียบๆ ทำใจให้สงบนิ่ง

    แต่ในวงการโจรร้าย เวลาเจ้าของบ้านไม่อยู่ ระหว่างที่ลูกบ้านโศรกเศร้า
    ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ....
    มักเป็นเวลา ที่ไอ้พวกโจรร้ายมันชอบฉวยโอกาสกันนัก
    ผมก็เลยแข็งใจอยู่ยาม... ไม่ได้อยู่สงบนิ่ง อย่างที่อยากจะทำ

    ระหว่างอยู่ยาม ติดตามข่าว นอกจากใจไม่นิ่ง แล้วยังมึน งง อีก...
    นี่เรากำลังดูเด็ก 7 ขวบทะเลาะกันหรือไงนะ

    เมื่อกลางอาทิตย์ ...อยู่ๆ คุณทีเร็กซ์ รัฐมนตรีต่างประเทศ ของอเมริกา
    ก็เดินหน้าเครียด ออกมาแถลงข่าว
    สื่อก็งง .... ไม่รู้ว่าท่านจะแถลงว่าอะไร เดากันใหญ่
    มีสื่อปากบอน บอกว่า ... มีข่าวว่อนอยู่วงใน
    เกี่ยวกับท่านทีเร็กซ์ ที่ไปบ่นกับเพื่อน
    ว่าน่าเบื่อฉิบหายเลย ... ทำงานกับ "ไอ้โมรอน" เนี่ย...
    (moron หมายถึง ปัญญาอ่อน)

    สื่อ ถามกันเอง เฮ้ย... ใครวะ.. เป็นไอ้โม ปัญญาอ่อน

    สื่ออีกคน รีบยื่นปากมาแจง ..... ครายล่ะ... ก็เขาไงล่ะ ..
    คนหน้าสีส้ม ที่ชอบทวิต ด่าแพะ ด่าแกะ เป็นประจำ ..นั่นไง
    ทำ(ตัว)อย่างนี้ คนเป็น รมว ตปท ที่ต้องไปจับมือกับแพะ กับแกะ
    ก็เหนื่อยนะโว้ย

    เมื่อคุณทีเร็กซ์ ทำหน้าเครียดออกมาแถลงข่าว โดยไม่ปี่ มีกลอง
    ประโคมให้รู้ตัวกัน
    สื่อ เลยนึกว่า จะมาบ๊าย บาย... ผมไปละนะ... เบื่อคนโม

    อ้าว...แล้วกัน... คุณทีเร็กซ์แค่มาบอก ว่า... ผมยังอยู่นะ(โว้ย)
    ไม่ได้ออกไปไหน ไม่ได้กัดกับใคร ...เรายังพูดกันรู้เรื่อง

    สื่อขัดใจ ... แล้วเรื่องที่เขาลือว่า ท่านไปบ่นว่า ท่านประธานาธิบดี
    ของมหาอำนาจใหญ่มากกก... เป็นคุณโม ปัญญาอ่อนล่ะครับ ...ว่ายังไงครับ

    ท่านทีเร็กซ์ไม่ตอบรับ หรือ ปฏิเสธ... ปิดแฟ้ม หันหลังเดินเข้าฉากอย่างฉับไว

    สื่ออารมณ์ค้าง... แบบนี้ ด่า "โม" กันแน่เลย

    วันรุ่งขึ้น สื่อแยงใหม่ ..คราวนี้ไปแยงทางท่านเป็ด

    ...เขาว่า ท่านที ว่า ท่าน....เป็น ท่านโม...ท่านติดใจเรื่องนี้ไหมครับ
    (ท่านเดือดมากไหมครับ ที่ถูกด่าว่าปัญญาอ่อน)

    ...ไม่จริง... เราคุยกันรู้เรื่องดี (แปลว่าด่ากันจริง)
    ...แต่ ถ้ามีใครติดใจ ..บอกให้ท่านที มาทดสอบไอคิว แข่งกับผมก็ได้...
    (แปลว่าเดือดจริงและคงเดือดจัดด้วย)

    ผมนึกภาพ สมัยเป็นเด็ก 7 ขวบ เวลาทะเลาะกัน ต้องถ่มน้ำลาย ใส่กัน แล้วเอาเท้าขยี้
    นึกไม่ถึงว่า เด็ก 7 ขวบ จะเล่นแบบเดียวกับมหาอำนาจ (ฮา)

    ###############
    (2)

    แต่อยู่ดีๆ คนเราคงไม่ด่าใครปัญญาอ่อน ง่ายๆ
    โดยเฉพาะด่านายของตัว ที่ใหญ่คับโลก....

    ผมก็เลยไปเลาะรั้ว แอบดูพวกเขาหน่อย (หลบน้ำลายมหาอำนาจ)

    อ้อ... มีข่าวว่า ท่านโม กับ ท่านที ...เห็นต่างกันเกือบทุกเรื่อง
    ที่กำลังร้อนๆอยู่ตอนนี้

    เรื่อง เกาหลีเหนือ

    ท่านที ....ใช้วิธีการเจรจา อย่างเงียบๆ ดีที่สุด
    ท่านโม ....ไม่ได้ เราต้องสั่งสอนมัน ... ใช้กำลังทางกองทัพสั่งสอน

    ฝูงเครื่องบินรบ เลยต้องโฉบหัวน้องคิมวันก่อน.... สั่งสอน แวบเดียว
    แล้วรีบบินกลับฐาน (ก่อนที่ น้องคิมจะส่งของขวัญให้ เป็นการต้อนรับ)

    จากเกาหลีเหนือ มาถึง อิหร่านดีล

    ท่านโม ....อิหร่านดีล เป็นข้อตกลงที่ห่วยแตกที่สุด
    ที่ (ท่านใบตองแห้งทำให้) เราโดนต้ม
    และอิหร่าน ก็กำลังผลิตอาวุธนิวเคลียร์เย้ยเรา
    และ คงจะเย้ยเรา แบบร้องเพลงคู่ กับเกาหลีเหนือ อีกด้วย
    เราจะรับมือมันยังไง(ไหว)
    หนวกหูนะโว้ย (สู้ศึก 2 ทาง ขาฉีก ต ห เลย) ..
    เพราะฉนั้นไปเลิกไอ้สัญญาโง่นั่นด่วนสุด และกลับไปคว่ำบาตรอิหร่านใหม่
    มันจะได้ร้องเพลงคู่กันไม่ได้

    ท่านที .... เราเลิกไม่ได้ครับ เพราะ เขาไม่ได้ทำสัญญากับเราประเทศเดียว
    เขาทำตามมติยูเอน มีคู่สัญญา อีก หลายประเทศ (เข้าใจไหมโม)

    ท่านโม.....งั้นเราอ้างเรื่อง ว่า อิหร่านให้การสนับสนุนผู้ก่อการร้าย
    อย่างพวกฮามัส ฮิสบอลเลาะห์ และตาลีบัน ...
    แล้วเราคว่ำบาตรอิหร่านก็แล้วกัน

    ท่านที.. ....สนับสนุนผู้ก่อการร้ายนั่น ...เราก็ทำนะ (โมอีกแล้ว)

    ท่านโม ... แล้วไง.. เราทำได้ ...แต่ พวกมันทำไม่ได้ เข้าใจไหม
    (ไอ้ที ... มึงต่างหาก ที่โม .. ไม่ใช่กู...)

    แล้ว ตอนดึกมาก ของวันนี้ 13 ตุลาคม คศ 2017 (เวลาบ้านเรา)
    ท่านเป็ดโม ก็เปิดการแถลงข่าวด่วน
    ออกมาพูดเอง ...จีบปาก จีบมือเวลาพูด ...อย่างน่าจะได้รางวัล

    " ....เราขอประกาศให้ทราบว่า ...เรา ...เป็ดโม... ในฐานะประธานาธิบดี
    (ที่ยิ่งใหญ) ไม่สนับสนุนอิหร่านดีล นะ ...อเมริกาต้องไม่รับรองข้อตกลงนี้ อีกต่อไป
    และเราจะเสนอให้รัฐสภาอเมริกา อนุมัติ ให้อเมริกาถอนตัว จากข้อตกลงนี้
    เว้นแต่จะมีการแก้ไขข้อตกลงนี้.... ให้เป็นที่ถูกใจอเมริกา เสียก่อน..."

    และก่อนหน้านี้ 1 วัน
    ท่านเป็ดโม ได้สั่งให้ รมว คลัง พิจารณา เตรียมการคว่ำบาตร
    Iran's Islamic Revolutionary Guards Corps (IRGC)
    กองกำลังสำคัญของอิหร่าน ...
    ซึ่งอเมริกาอ้างว่า เป็นตัวการ ในการสนับสนุนผู้ก่อการร้าย อีกด้วย...

    ###############
    (3)

    ท่านเป็ดโม ประกาศเรื่องไม่เอาอิหร่านดีล กับ เตรียมคว่ำบาตร IRGC เสร็จ
    เดินกลับเข้าฉาก

    พวกสื่อ กับ ถังวิเคราะห์ ก็เริ่มรายการเจาะปาก วิเคราะห์ทันที
    ท่านโม กำลัง เอาแพะชนแกะ หรือ เอาแกะชนแพะ
    ถกกันยังไม่แตกฟองดี ...ก็มีข่าวด่วน....แทรกเข้ามากลางรายการ
    เป็นข่าวแตก(Breaking news) ด่วนจี๋......จากอิหร่าน

    โอ้โห... หน้าจอผมเกือบไหม้ ..

    ผมไม่เคยเห็นท่าน รูฮานี นายกรัฐมนตรี อิหร่าน ที่ปรกติ ท่านออกจะดูเย็นๆ
    (ท่านเป็นพวกสายกลาง ไม่ใช่สายเหยี่ยวของอิหร่าน)
    จะออกมาร้อนฉ่า ควันโขมง อย่างนี้เลย

    ท่านนายกรัฐมนตรีอิหร่าน คง ยัวะจัดจริงๆ
    ท่านพูดสด พูดเดี่ยว ออกสถานีโทรทัศน์อิหร่าน อยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง

    สรุปว่า .... ข้อกล่าวหา ของท่านโม ไม่เป็นความจริงแม้แต่เรื่องเดียว
    (โกหกทั้งเพ)
    ไม่ว่า เรื่อง ข้อตกลงห่วย เรื่องผิดสัญญา
    หรือ เรื่องสนับสนุนผู้ก่อการร้าย
    ตรงกันข้าม ....อเมริกา นั่นแหล่ะ ....ที่วุ่นวายมันไปทุกแห่งในโลก
    อเมริกา สนับสนุนให้เกิดการปฏิวัติในอิหร่านกี่ครั้งแล้ว
    ท่านรูฮานี ลงรายละเอียด (ด่า) ถี่ยิบ แบบไม่เลี้ยง
    ....และไม่เฉพาะแต่ในอิหร่าน ...
    ในภูมิภาคตะวันออกกลาง เจอการแทรกแซง
    ของอเมริกา จนเละไปแล้วกี่ประเทศ ...ท่านรูฮานี กราดต่อ

    ...อิหร่าน จะไม่ล้มเลิกนิวเคลียร์ดีล ที่ทำโดย มีคู่สัญญา "หลายประเทศ"
    จะไม่มีการเจรจาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญา เกี่ยวกับข้อตกลงนิวเคลียร์ดีลนี่
    อย่างแน่นอน
    และ อิหร่านจะเดินหน้า ในการทดลองการยิงจรวดข้ามทวีป ต่อไป
    อิหร่าน.... จะไม่มีวันก้มหัว ให้กับการกดดันของต่างชาติ ....
    การกดดัน... จะทำให้เรายิ่งเข้มแข็ง และรวมตัวกัน
    และ IRGC จะทำการต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายต่อไป
    ไม่ว่า อเมริกาจะคว่ำบาตร หงายบาตร อิหร่านไม่สนใจ ...
    อเมริกา ไม่มีความหมายสำหรับ อิหร่าน...(อีกต่อไปแล้ว)

    ประกาศกันชัดๆ ไปเลย ไม่มีการเหนียมอาย
    ไม่มีการเหยียบเรือ 2 แคม ไม่ต้องปากหวานใส่กันแล้ว

    ทำไม อิหร่าน ถึงกร้าวใส่อเมริกา อย่างเผ็ดร้อน

    IRGC คือ คำตอบครับ

    Iran Revolutionary Guard Corps คือ อำนาจจริงของอิหร่าน
    หรือ กล่องดวงใจของอิหร่าน
    เป็นอำนาจทางกองกำลัง ที่เข้มแข็ง สู้ตาย ในการรักษาบ้านเมืองอิหร่าน
    มาตลอด รวมทั้งสนับสนุน เป็นกำแพงกั้น ให้ท่านอยาโตเลาะห์...
    ที่สำคัญ เป็น "อำนาจ" ที่ต่างชาติ โดยเฉพาะอเมริกาและ อังกฤษ
    พยายาม เขย่า ซื้อ กระแทก เสี้ยม ฯลฯ มานานมาก
    แต่ ... ทำไม่สำเร็จ

    วันนี้รัฐมนตรี ตปท อิหร่าน ยังออกมาย้ำอีกว่า ชาวอิหร่านเกือบทุกคน
    สังกัด IRCG ...แปลว่า อเมริกา จะคว่ำบาตร ชาวอิหร่าน เกือบทั้งประเทศช่ไหม

    ###############
    (4)

    ท่านเป็ดโม เดินยุทธศาสตร์แบบนี้ทำไม

    ขู่เกาหลีเหนือ ... เดี๋ยวกูจะกัดมึง ไอ้เด็กจรวด

    เดี๋ยวกูจะเคี้ยวมึง อิหร่าน... แกร่งดีนัก เคี้ยวให้แหลกหมดเลย

    อเมริกา หยิบเรื่องอิหร่านดีล มาเคี้ยวเล่นทำไม

    อเมริการู้ดี ว่า ตัวเองยกเลิกสัญญา กับอิหร่านเองไม่ได้
    เพราะมันเป็นสัญญา ที่ทำตามมติของยูเอน ไม่ใช่ทำตามใจอเมริกา

    และถ้าจะแก้ไข ก็ต้องให้คู่ร่วมสัญญา ทั้งฝ่ายตัว และฝ่ายอิหร่านเห็นชอบด้วย
    ซึ่ง อียู ก็ออกมาพูดแล้วว่า แม้ข้อตกลงอิหร่าน อาจจะไม่ดีพร้อม
    แต่ ก็ทำให้มีหนทางเข้าไปตรวจสอบอิหร่านได้
    ยังดี กว่า เข้าไปตรวจสอบอิหร่านไม่ได้เลย

    และ อียู ยังเห็นว่า การไปเจรจาใหม่ เพื่อขอแก้ไขข้อตกลง
    เพราะจะเป็นการเปิดทางให้อิหร่าน ล้มดีลไปเลย
    และ อิหร่าน ก็จะยิ่งเหมือนติดปีก...(เอะ ...นี่มันเห็นขัด หรือ รับบทลูกคู่กันแน่)

    นักวิเคราะห์(ตามใบสั่ง) บอกว่า อเมริกา โดยลำพัง
    อาจ “ถอนตัว” จากข้อตกลงนี้ได้ ...
    ซึ่งแปลว่า อเมริกา กำลังจะโดดเดี่ยวตัวเอง (isolation)
    เหมือน ที่อเมริกา กำลังบอกว่า ไม่เอาผู้ลี้ภัย
    ไม่เอาพวกต่างชาติ เข้าทำมาหากิน แย่งอาชีพคนอเมริกัน (immigration)
    ไม่เอาเรื่องโลกร้อน ไม่เอาเรื่องนาฟต้า ไม่อุ้มนาโต้ ฯลฯ

    อเมริกา ใช้ยุทธศาสตร์อย่างนี้ทำไม

    อเมริกา ไม่ได้ จะ โดดเดี่ยวตัวเองหรอก ...นั่นมันบทละครครับ
    แต่อเมริกา กำลังทำตัวเองให้เบา
    ไม่รุงรัง ไม่แบกภาระ โดยไม่จำเป็น ... เมื่อจะต้องเดินทางวิบาก

    และอเมริกา กำลังสร้างบทละคร ...ถึงตอนสำคัญ
    ตอน “สร้าง” ผู้ร้าย ...ที่ดูเลวและร้ายอย่างยิ่ง
    ยิ่งจำนวนมากเท่าไหร่ ยิ่งดี

    นึกถึงบทละคร ตอน ฮิตเล่อร์จอมโหด คอมมิวนิสต์ชั่วร้าย รัสเซียแสนเลว ฯลฯ
    ทำนองนั้นละครับ ...
    แล้วหลังจากนั้น อะไรเกิดขึ้นในโลกบ้าง

    เวลาที่โจรร้าย เงียบผิดปรกติ หรือ เอะอะอย่างโง่ผิดปรกติ
    เป็นเรื่องที่เราควรตั้งข้อสังเกต จับตาดูให้ดี ...
    อย่าหลงเชื่อ(บทละครของ)โจรร้ายง่ายๆ
    โจรร้าย ก็ เป็นโจรร้าย วันยังค่ำ

    กรณี อิหร่านดีล จะเป็นกรณีศึกษาให้เรา ...
    ถ้ารัฐสภาอเมริกา มีการลงมติ ให้อเมริกาถอนตัวเมื่อไหร่
    สัญญาณอันตราย มาแล้วครับ
    แปลว่า "เขารู้กัน" เขาเล่นละครกัน เขาต้มโลก เขาต้มเรา

    สวัสดีครับ
    คนเล่านิทาน
    15 ต.ค. 2560

    เชิญแชร์กันตามสบาย ถ้าไม่ใช่เพื่อการค้า และโปรดให้เครดิตด้วย
    ภาพประกอบจาก google

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    FB_IMG_1508148382635.jpg FB_IMG_1508148385176.jpg

    #พบแผ่นดินยุบแยกตัวที่แม่เมาะ
    เกิดแผ่นดินยุบแยกตัวในพื้นที่ #ห้วยคิง
    หมู่ที่ 6 ตำบลแม่เมาะ
    อำเภอแม่เมาะ #จังหวัดลำปาง
    ล่าสุดพบว่า
    ดินมีรอยแยกเป็นแนวยาว
    และขยายตัวเพิ่ม กินพื้นที่กว่า 12 ไร่
    ผู้อำนวยการส่วนบริหารทรัพยกรธรณี
    สำนักงานธรณี เขต 1 ลำปาง
    ยอมรับว่า แปลกใจ
    เหตุการณ์นี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้
    เนื่องจากพื้นดินมีความลาดชันเพียง 6 องศา
    และเป็นการผิดธรรมชาติ
    วันพรุ่งนี้จะลงพื้นที่เจาะสำรวจชั้นดิน
    เพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัดอีกครั้ง
    photo: Aya Yaya
    Thanks: tnn 24 TV.news
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149

    อพยพหนีกันวุ่น..ดินทรุดกลางชุมชนแม่เมาะ รอยร้าวโผล่ทั่วพื้นที่กว่า 12 ไร่(ชมคลิป)
    เผยแพร่: 16 ต.ค. 2560 13:45:00 ปรับปรุง: 16 ต.ค. 2560 15:25:00
    560000010921801.jpg

    ลำปาง - เกิดเหตุดินทรุดตัวกลางชุมชนแม่เมาะ เมืองรถม้า เบื้องต้นพบพื้นที่ดินมีรอยแตกร้าว เป็นร่องลึกตั้งแต่ 1 - 3 เมตร เป็นบริเวณกว้างกว่า 12 ไร่ ทำบ้านเรือนชาวบ้านแตกร้าวเสียหายเกือบ 10 หลัง ชาวบ้านเผยบ้านลั่น - ฝ้าเพดานร่วงตอนตี 3 ต้องขนของหนีกันจ้าละหวั่น


    วันนี้ (16 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดเหตุดินได้เกิดเหตุดินทรุดตัวเป็นวงกว้าง ในพื้นที่บ้านห้วยคิง ม.6 ต.แม่เมาะ อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง ทำให้บ้านเรือนชาวบ้าน และพื้นดินในบริเวณบ้านเรือนอาศัย ได้รับความเสียหาย

    ต่อมา นายนิมิตร ผดุงศิลป์ไพโรจน์ นายอำเภอแม่เมาะ จ.ลำปาง และ นายชูชีพ บุนนาค นายกเทศมนตรีตำบลแม่เมาะ พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดลำปาง, เจ้าหน้าที่ทหารกองร้อยฝึกรบพิเศษ ค่ายประตูผา ได้เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ

    เบื้องต้นพบว่า มีพื้นดินทรุดตัวและแยกแตกร้าวเป็นทางยาวกว่า 30 เมตร บางจุดลึกกว่า 1 - 3 เมตร กินพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง กว่า 12.5 ไร่ มีบ้านเรือนประชาชนที่อยู่ใกล้เคียงได้รับความเสียหายบ้านทรุดตัวจำนวน 8 หลัง จากทั้งหมด 9 หลัง เจ้าหน้าที่ได้ใช้เชือกกั้นพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่เสี่ยงภัย ห้ามผู้ใดอยู่ในอาคารและห้ามเข้าในพื้นที่

    ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลแม่เมาะ และเจ้าหน้าที่ทหาร มทบ.32 และ กองร้อยฝึกรบพิเศษค่ายประตูผา ได้เข้าช่วยเหลือประชาชนขนย้ายทรัพย์สินออกจากตัวบ้านเรือนของตัวเอง เพื่อออกไปอยู่ที่อื่นก่อน พร้อมทั้งห้ามผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าในบริเวณดังกล่าว

    นางเพ็ญ ไชยขันแก้ว หนึ่งในเจ้าของบ้านบริเวณจุดเกิดเหตุ บอกว่า เมื่อเวลาประมาณ 03.00 น. ที่ผ่านมา ตนตื่นขึ้นมาหลังได้ยินเสียงบ้านลั่น และตัวบ้านมีการสั่นไหว ฝ้าเพดานร่วง เมื่อออกมาดูด้านนอกก็พบมีดินเริ่มทรุดตัวลงทีละน้อย จึงได้รีบขนย้านข้าวของออกจากบ้าน ซึ่งบ้านบางหลังมีรอยร้าว จนชาวบ้านต่างหวาดผวา และรีบพากันออกจากตัวบ้านเช่นกัน จนกระทั่งเช้า พื้นที่รอบบ้านก็ทรุดตัวโดยรอบ

    “บ้านหลังนี้สร้างมา 6 ปี และไม่เคยเจอเหตุการณ์ในลักษณะนี้มาก่อน ตอนนี้ตน และเพื่อนบ้านคงต้องออกไปอาศัยที่อื่นก่อน เพราะไม่แน่ใจว่าดินจะทรุดเพิ่มหรือไม่”

    อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ได้มีฝนตกลงมาอย่างหนักในพื้นที่อำเภอแม่เมาะ ซึ่งคาดว่า ดินอาจจะอุ้มน้ำไม่ไหว เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นเนิน เมื่อมีสายน้ำไหลผ่านเป็นเวลานาน ดินจึงทรุดตัว แต่ขณะนี้ได้มีการประสานเจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรธรณี เข้าตรวจสอบ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงพร้อมวางแผนการป้องกันและแก้ไขต่อไป

    560000010921803.jpg


    560000010921803.jpg


    560000010921804.jpg


    560000010921805.jpg


    560000010921806.jpg


    560000010921807.jpg


    560000010921808.jpg


    560000010921809.jpg


    560000010921810.jpg


    560000010921811.jpg


    560000010921812.jpg


    560000010921813.jpg

    https://mgronline.com/local/detail/9600000105378
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    เทปเสียง “ทรัมป์” คุยเขื่องเรื่อง “อึ๊บหญิง” ที่ถูกนำออกมาเผยก็เพื่อช่วยให้เธอได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ

    แค้นฝังหุ่น! “ฮิลลารี คลินตัน” จวกวิกิลีกส์สมคบรัสเซียกลบข่าวเทปเสียง “ทรัมป์” คุยเขื่องเรื่อง “อึ๊บหญิง” เผยแพร่: 16 ต.ค. 2560 10:28:00

    560000010907101.JPEG

    เอเอฟพี - ฮิลลารี คลินตัน อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวหาวันนี้ (16 ต.ค.) ว่ารัสเซียร่วมมือกับเว็บไซต์ “วิกิลีกส์” เบี่ยงเบนความสนใจของชาวอเมริกันจากเทปเสียงอื้อฉาวขณะที่ โดนัลด์ ทรัมป์ โอ้อวดวีรกรรมล่วงละเมิดทางเพศผู้หญิง ซึ่งสื่อสหรัฐฯ ได้ขุดคุ้ยเอามาเผยแพร่ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว
    คลินตัน ซึ่งเป็นผู้สมัครประธานาธิบดีในนามพรรคเดโมแครต ดูเหมือนจะยังไม่หายเจ็บช้ำกับความพ่ายแพ้ และได้ออกมาโจมตี จูเลียน แอสซานจ์ ผู้ก่อตั้งวิกิลีกส์ ว่ามีส่วนทำให้การลงชิงบัลลังก์ทำเนียบขาวครั้งที่ 2 ของเธอล้มเหลวอย่างที่ไม่น่าจะเป็น
    “แอสซานจ์ กลายเป็นพวกฉวยโอกาสไร้ศีลธรรมที่ทำงานรับใช้เผด็จการ” อดีตสตรีหมายเลขหนึ่งสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว ออสเตรเลียน บรอดคาสติง คอร์ปอเรชัน โดยพาดพิงถึงประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย
    “วิกิลีกส์กลายเป็นบริษัทลูกของหน่วยข่าวกรองรัสเซียไปแล้วอย่างน่าเสียดาย”
    ประชาคมข่าวกรองสหรัฐฯ สรุปยืนยันว่า ปูติน เป็นผู้สั่งการให้ทำแคมเปญดิสเครดิต คลินตัน และแสดงจุดยืนหนุนหลัง ทรัมป์ อย่างชัดเจนในศึกเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ เมื่อปีที่แล้ว
    คลินตัน ยกเรื่องเทปเสียงมาเป็นตัวอย่างยืนยันว่า วิกิลีกส์พยายามทำให้ชาวอเมริกันเลิกสนใจพฤติกรรมฉาวของ ทรัมป์ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับกรณีของ “ฮาร์วีย์ ไวน์สตีน” โปรดิวเซอร์ฮอลลีวูดชื่อดังที่ถูกประณามเสียผู้เสียคนจากการล่วงละเมิดทางเพศนักแสดงหญิงหลายราย
    ในเทปเสียงที่บันทึกไว้ตั้งแต่ปี 2005 ทรัมป์ ได้โอ้อวดกับพิธีกรรายการโทรทัศน์ บิลลี บุช ว่าตนมีประสบการณ์จับต้องของสงวนผู้หญิงมาแล้วหลายคน
    “แค่คุณเป็นดารา พวกเธอก็ยอมแล้ว... จับไปที่ (อวัยวะเพศ) จากนั้นคุณจะทำอะไรก็ได้หมด” ทรัมป์ กล่าว
    ทรัมป์ แสดงท่าทีไม่ยี่หระกับเสียงก่นด่า พร้อมอ้างว่าคลิปดังกล่าวก็แค่ “มุกตลกในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า” หลังจากนั้นแม้จะมีผู้หญิงหลายคนออกมาอ้างว่าเคยถูกเขาล่วงละเมิดทางเพศ แต่ ทรัมป์ ก็ปฏิเสธว่าเป็นเรื่องโกหก
    ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ จับมือทักทายประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ระหว่างการประชุม G20 ที่เมืองฮัมบวร์กของเยอรมนี เมื่อเดือน ก.ค. (แฟ้มภาพ)
    ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ จับมือทักทายประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ระหว่างการประชุม G20 ที่เมืองฮัมบวร์กของเยอรมนี เมื่อเดือน ก.ค. (แฟ้มภาพ)
    หลังจากเทปเสียงนี้ถูกแฉแค่ไม่กี่ชั่วโมง วิกิลีกส์ก็เผยแพร่อีเมลกว่า 2,000 ฉบับที่แฮกมาจากบัญชีส่วนตัวของ จอห์น โปเดสตา ประธานแคมเปญหาเสียงของคลินตัน ซึ่งเธอระบุว่าทำให้ข่าวคาวของ ทรัมป์ เงียบลงทันที
    “วิกิลีกส์ตอบโต้เทปเสียง ฮอลลีวูด แอกเซส อย่างชาญฉลาดและร้ายกาจที่สุด” คลินตัน ระบุ โดยหมายถึงบทสนทนาหยาบโลนที่ ทรัมป์ พูดกับ บิลลี บุช ก่อนจะอัดรายการ “ฮอลลีวูด แอกเซส” ทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีซี
    “และดิฉันไม่สงสัยเลยว่า จะต้องมีการติดต่อหรือร่วมมือในทางใดทางหนึ่งเพื่อปล่อยอีเมลชุดนั้นออกมากลบกระแสเทปเสียง ฮอลลีวูด แอกเซส อย่างแน่นอน”
    คลินตัน อ้างว่าการกระทำของวิกิลีกส์นั้นเกิดจากความชิงชังที่ จูเลียน แอสซานจ์ มีต่อเธอ
    “ดิฉันเคยขัดแย้งกับเขาหลายครั้ง เพราะดิฉันเป็นรัฐมนตรีในช่วงที่วิกิลีกส์นำเอกสารเปราะบางของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ออกมาเผยแพร่”
    “ถ้าเขาเป็นนักต่อสู้เพื่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นจริงๆ ทำไมวิกิลีกส์ถึงไม่เคยตีแผ่อะไรเกี่ยวกับรัสเซียเลย? เราไม่เคยเห็นข้อมูลด้านลบหรือบ่อนทำลายเครมลินออกมาจากวิกิลีกส์เลยสักครั้ง”
    แอสซานจ์ ซึ่งเป็นพลเมืองออสเตรเลียลี้ภัยอยู่ในสถานทูตเอกวาดอร์ ณ กรุงลอนดอนมานานกว่า 5 ปี เพื่อหลบเลี่ยงการถูกส่งตัวไปสู้คดีล่วงละเมิดทางเพศในสวีเดน
    เขายืนยันว่า เอกสารที่วิกิลีกส์เผยแพร่ไม่ได้มีต้นตอมาจากรัสเซีย
    https://mgronline.com/around/detail/9600000105261
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ความอ่อนแอ และไม่รับความจริงว่าอิหร่านกำลังทำอะไรอยู่!

    "สุนทรพจน์ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมพ์ ได้ทำลายความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ในต่างประเทศ และอาจสร้างการแข่งขันทางด้านอาวุธในเอเชียตะวันออก ..."
    ตามรายงานของญอมนิวส์ ; ฟ็อกซ์นิวส์ได้สะท้อนคำพูดของฮิลลารี คลินตัน ในรายงานหนึ่งในการวิจารณ์ท่าทีของทรัมป์เกี่ยวกับอิหร่านและเกาหลีเหนือ

    IMG_6254.JPG

    ในรายงานนี้กล่าวว่า :

    "นางฮิลลารี คลินตัน ชี้ถึงสุนทรพจน์ล่าสุดและท่าทีของทรัมป์เกี่ยวกับอิหร่านและเกาหลีเหนือ โดยกล่าวว่า ท่าทีที่แข็งกร้าวและคำพูดที่รุนแรงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ทำลายความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ในต่างประเทศ และอาจสร้างการแข่งขันทางด้านอาวุธในเอเชียตะวันออก

    ตามคำพูดของนางคลินตัน การข่มขู่ล่าสุดของทรัมป์ที่จะไม่ยอมรับข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านในปี 2015 " จะทำให้เราดูต่ำต้อยและเป็นคนโง่เง่า และมันจะจบลงด้วยการเป็นผลดีต่ออิหร่าน"

    นางคลินตันได้กล่าวก่อนสุนทรพจน์ของโดนัลด์ ทรัมป์ในวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า "การดำเนินการเหล่านี้ในสถานการณ์ขณะนี้ ไม่เพียงแต่จะมีผลในทางลบเท่านั้น ทว่ายังเป็นการสื่อให้ทั่วโลกได้รู้ว่าสหรัฐฯ ไม่ยึดมั่นต่อคำพูดของตน"

    นอกจากนี้นางยังกล่าวอีกว่า นางของเรียกร้องให้สภาคองเกรสของสหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ ที่ร่วมอยู่ในการเจรจาด้านนิวเคลียร์ของอิหร่าน เข้มงวดในข้อกำหนดต่างๆ ของข้อตกลงต่ออิหร่านมากขึ้นกว่านี้

    นอกจากนี้ นางคลินตันยังได้พาดพิงถึงโดนัลด์ ทรัมป์ โดยกล่าวว่า : "ดิฉันคิดว่าประธานาธิบดีคนนี้กำลังทำลายความน่าเชื่อถือในจุดยืนต่างๆ ของสหรัฐฯ และความเชื่อมั่นที่มีต่อบทบาทของสหรัฐฯ ในการเจรจาต่างๆ ซึ่งจำเป็นต้องรักษาไว้ สำหรับสหรัฐอเมริกา"

    นางคลินตันยังได้ปฏิเสธน้ำเสียงของทรัมป์ที่มีต่อเกาหลีเหนือ และกล่าวว่า คำพูดระรานของทรัมป์จะก่อให้เกิดความหวาดกลัวต่อพันธมิตรของเรา

    นางคลินตันยังได้คาดการณ์ว่า "ด้วยการดำเนินการต่างๆ ในขณะนี้ อนาคตเราจะมีการแข่งขันด้านอาวุธในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เกาหลีใต้และญี่ปุ่นต่างกังวลต่อขีปนาวุธของเกาหลีเหนือที่บินผ่านน่านฟ้าประเทศของตน ในขณะเดียวกันก็ไม่สามารถพึ่งพาใดๆ ต่อสหรัฐอเมริกาได้เลย
    ที่มาhttp://islamicstudiesth.com/index.p...gory/18-news_articles/1226-hilraly-tramp-iran
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ร่วม 2 หมื่น ตร.ม.! ดินแยกกลางชุมชนแม่เมาะ นักธรณีวิทยารับผิดธรรมชาติ
    เผยแพร่: 16 ต.ค. 2560 18:22:00 ปรับปรุง: 16 ต.ค. 2560 19:29:00
    560000010939401.jpg
    ลำปาง - พบดินทรุด - แยกตัว กินพื้นที่ชุมชนแม่เมาะ มากถึง 2 หมื่น ตร.ม. 8 ครอบครัว ต้องย้ายที่อยู่ ทรัพยากรธรณีฯรับค่อนข้างผิดธรรมชาติ เตรียมส่ง จนท. เจาะสำรวจหาสาเหตุอีกครั้งพรุ่งนี้ (17 ต.ค.) แต่เบื้องต้นคาดน้ำใต้ดินไหลเร็ว ทำชั้นดินไหลตาม



    วันนี้ (16 ต.ค.) ผู้สื่อความคืบหน้ากรณีดินทรุดตัว ในหมู่บ้านห้วยคิง ม.6 ต.แม่เมาะ อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาขยายเป็นวงกว้าง บางจุดลึกกว่า 1 - 3 เมตร มีบ้านเรือนประชาชนที่อยู่ใกล้เคียงได้รับความเสียหาย ในเบื้องต้นทรุดตัวจำนวน 8 หลัง

    ซึ่งทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้กันพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่เสี่ยงภัย และห้ามเข้า คือ บ้านของนางเพ็ฐ ไชยขันแก้ว, นายประสิทธิ์ ไชยขันแก้ว, นายอภิศักดิ์ จุมพิต, นายธรงค์ จุมพิต, นายสมเดช จุมพิต, นางจันทร์คำ จุมพิต, นายอำนาจ สุยะสืบ และ บ้านนางพัชรินทร์ กันเจอราท

    ล่าสุด พล.ต.สุรคล ท้วมเสม ผบ.มทบ.32 นำกำลังทหารจากมณฑลทหารบกที่ 32 และกำลังทหารจากกองร้อยฝึกรบพิเศษ ค่ายประตูผา รวมกว่า 50 นาย ร่วมขนย้ายสิ่งของให้ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับความเดือดร้อน เพื่อย้ายออกไปพักตามบ้านญาติ และเพื่อนฝูงก่อนเป็นการชั่วคราว พร้อมกับนำถุงยังชีพจากแม่ทัพภาคที่ 3 มามอบให้ชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนในเบื้องต้น

    และจากการตรวจสอบพื้นที่ ที่มีรอยแยก - ทรุดตัวของดิน พบว่า จากเดิมเกิดการทรุดตัว 8 ไร่ ขยายวงกว้างออกไปเป็น 12.5 ไร่ หรือ ประมาณ 20,000 ตร.ม. ความยาวของการเลื่อนไถล ประมาณ 200 เมตร

    นายเด่นโชค มั่นใจ ผอ.ส่วนบริหารทรัพยกรธรณี สำนักงานธรณี เขต 1 ลำปาง กล่าวว่า เหตุการณ์ดินทรุดตัว หรือดินแยกดังกล่าว พบว่า ชั้นดินมีการเคลื่อนตัว และมีการแยกตัวเป็นหลายแนว เบื้องต้นสันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากน้ำที่อยู่ใต้ดินมีการไหลอย่างรวดเร็ว และนำดินในชั้นใต้ดินไหลตามน้ำไปด้วย ทำให้ชั้นดินด้านบนเกิดการแยก - ทรุดตัวลง

    แต่จากความลาดชันของชั้นดินที่มีเพียง 6 องศา แล้วเกิดการทรุดตัว ทั้งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นหรือเกิดขึ้นน้อยมาก ซึ่งเป็นการผิดธรรมชาติ ในวันพรุ่งนี้ (17 ต.ค.) จะนำเจ้าหน้าที่เข้ามาเจาะสำรวจชั้นดิน เพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัดอีกครั้งหนึ่ง ว่า การแยกตัวของดิน ซึ่งถือว่ากว้างมากนั้นเกิดจากสาเหตุใดกันแน่

    ทั้งนี้ อยากฝากประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านในหมู่บ้านใกล้เคียง ให้สังเกตพร้อมเฝ้าระวัง หากพบว่าท่อประปาขาดบ่อย ต่อแล้วก็ขาดอีก ให้ตั้งข้อสังเกตไว้ได้เลยว่า อาจจะมีการเลื่อนตัวของชั้นดิน ซึ่งอาจจะเกิดรอยแยกของชั้นดินตามมา หากพื้นที่ใดพบเหตุการณ์ลักษณะนี้ขอให้ประสานเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบต่อไป
    560000010939402.jpg
    560000010939403.jpg
    560000010939404.jpg
    560000010939405.jpg
    560000010939406.jpg
    560000010939407.jpg
    560000010939408.jpg
    560000010939409.jpg


    https://mgronline.com/local/detail/9600000105555
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ระทึกไม่หยุด..ดินแยกกลางชุมชนแม่เมาะเพิ่ม เสาไฟฟ้าเริ่มล้ม-โพรงปริศนาโผล่
    เผยแพร่: 17 ต.ค. 2560 08:25:00
    560000010948301.jpg
    ลำปาง - พบแผ่นดินกลางชุมชนแม่เมาะ ทรุดตัว-เกิดรอยแยกเพิ่มไม่หยุด ล่าสุดเสาไฟฟ้าเริ่มล้มต่อเนื่อง แถมพบโพรงปริศนา คาดเป็นรูโพรงน้ำใต้ดินโผล่ด้วย

    วันนี้(17 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า กรณีเกิดเหตุดินทรุด-ดินแยก ในหมู่บ้านห้วยคิง ม.6 ต.แม่เมาะ อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง ซึ่งบางจุดลึกกว่า 1 - 3 เมตร เป็นบริเวณกว้างกว่า 2 หมื่น ตร.ม. มีบ้านเรือนประชาชนที่อยู่ใกล้เคียงได้รับความเสียหาย ทรุดตัวจำนวน 8 หลัง

    ล่าสุด น.ส.ชญากร วงศ์อะถะ รองนายกเทศมนตรีตำบลแม่เมาะ แจ้งว่า ทีมงานชุดเฝ้าระวัง งานป้องกันฯ ทต.แม่เมาะ ได้ออกสำรวจพื้นที่เพิ่มเติมเมื่อเวลา 06.30 น.เศษที่ผ่านมา พบรอยพื้นดินแตกเพิ่มขึ้นจากเดิมเป็นจำนวนมาก และภายในตัวบ้านมีรอยร้าวเพิ่มขึ้น เสาไฟฟ้าบริเวณที่เกิดเหตุเริ่มล้มลงเรื่อยๆ ทั้งยังพบรูโพรงน้ำใต้ดินบริเวณดังกล่าวด้วย

    น.ส.ชญากร บอกอีกว่า ในช่วงสายวันนี้ (17 ต.ค.) ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่งานป้องกัน ออกสำรวจบ้านในที่เกิดเหตุทุกหลัง พร้อมถ่ายภาพประกอบ เพื่อสำรวจความเสียหายให้ชัดเจน ก่อนเร่งหาทางช่วยเหลือต่อไป พร้อมประสานนายอำเภอแม่เมาะ เพื่อขอให้มอบหมายทีมงานเกษตรอำเภอ ลงสำรวจพื้นที่ความเสียหายด้านพืชผลทางการเกษตรอย่างเร่งด่วนอีกทางหนึ่ง
    560000010948302.jpg
    560000010948303.jpg
    560000010948304.jpg
    560000010948305.jpg
    560000010948306.jpg
    560000010948307.jpg
    560000010948308.jpg
    560000010948309.jpg
    560000010948310.jpg
    560000010948311.jpg
    560000010948312.jpg
    560000010948313.jpg
    560000010948314.jpg
    560000010948315.jpg
    560000010948316.jpg
    560000010948317.jpg
    560000010948318.jpg
    560000010948319.jpg
    560000010948320.jpg
    560000010948321.jpg
    560000010948322.jpg
    560000010948323.jpg
    560000010948324.jpg
    560000010948325.jpg


    https://mgronline.com/local/detail/9600000105634
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    เจอแต่น้ำ..เจาะจุดดินแม่เมาะทรุด พบดินเหนียวซ้อน 2 ชั้น แยกตัวเพิ่มไม่หยุด-ชี้ชัดไม่ควรอยู่แล้ว
    เผยแพร่: 17 ต.ค. 2560 16:04:00 ปรับปรุง: 17 ต.ค. 2560 17:50:00
    560000010976001.jpg

    ลำปาง - ทีมนักธรณีวิทยากระจายกำลังเจาะสำรวจชั้นดิน จุดเกิดเหตุดินทรุด-แยกตัวกลางชุมชนแม่เมาะ พบมีดินเหนียวซ้อนกัน 2 ชั้น แถมเจอน้ำใต้ดินเพียบ ล่าสุดฝนกระหน่ำไม่หยุด ทำดินทรุด-สไลด์ตัวเพิ่มต่อเนื่อง เบื้องต้นพบพื้นที่ 4 ไร่ไม่เหมาะอยู่อาศัยอีกต่อไป


    วันนี้ (17 ต.ค.) นายเด่นโชค มั่นใจ ผอ.ส่วนบริหารทรัพยากรธรณี เขต 1 ลำปาง ได้นำเจ้าหน้าที่กว่า 20 คนลงพื้นที่เกิดเหตุดินทรุดตัวในหมู่บ้านห้วยคิง ม.6 ต.แม่เมาะ อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง ซึ่งอยู่ห่างจากบ่อเหมือง กฟผ.แม่เมาะประมาณ 2 กิโลเมตร เพื่อขุดเจาะชั้นใต้ดินหาสาเหตุของการเกิดดินทรุดตัว

    โดยแบ่งกำลังเจ้าหน้าที่ออกเจาะสำรวจ 4 จุดกระจายเป็นวงรอบพื้นที่เกิดเหตุให้ได้กว้างมากที่สุด จากนั้นได้ใช้เครื่องมือเจาะลงไปใต้ดินแต่ละจุด ลึกประมาณ 3 เมตร ให้ได้ดินจำนวน 30 ก้อน ก้อนละ 10 เซนติเมตร เพื่อดูชนิดของดินว่าจะมีความแตกต่างกันหรือไม่ เนื่องจากเบื้องต้นสันนิษฐานว่าจะมีดินสองชั้นที่แตกต่างกัน

    ซึ่งจากที่ขุดเจาะดินขึ้นมาดูส่วนแรกพบว่าดินชั้นบนเป็นดินเหนียวสีแดงออกน้ำตาลปนทราย และจุดแรกเมื่อเจาะลงไปประมาณ 50 เซนติเมตรก็พบว่าใต้ดินมีน้ำแล้ว บางจุดเจาะลึกลงไป 2 เมตรก็เจอน้ำ ส่วนดินที่เจาะขึ้นมาเบื้องต้นเป็นดินปนทราย

    อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าสาเหตุของดินที่ทรุดตัวลงมาเกิดจากอะไรแน่ แต่เท่าที่สันนิษฐานตอนนี้คาดว่าดินสองชั้นไม่ประสานกัน ดังนั้นจึงต้องหาว่าดินชั้นแรกลึกเท่าไหร่ก่อนจะถึงดินชั้นที่ 2 ที่ทำให้ดินด้านบนสไลด์ตาม

    “แต่ตอนนี้ใต้ดินโดยทั่วบริเวณพบว่ามีน้ำจำนวนมาก และดินสไลด์ลงไปด้านล่างที่ลาดเอียงไปยังลำห้วยเรื่อยๆ”

    และเนื่องจากยังคงมีฝนตกลงมาในพื้นที่อย่างหนักต่อเนื่อง ทำให้คาดว่าดินในพื้นที่เกิดเหตุจะสไลด์ตัว และแยกตัวต่อไปอีก โดยล่าสุดจังหวัดลำปางได้ประกาศพื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตภัยพิบัติ พร้อมขึงเชือกกั้นไม่ให้ผู้มีส่วนได้เสียเข้าในพื้นที่โดยเด็ดขาดแล้ว

    นายเด่นโชค มั่นใจ ผอ.ส่วนบริหารทรัพยากรธรณี เขต 1 ลำปาง กล่าวว่า หลังจากให้เจ้าหน้าที่เจาะดินแต่ละจุดตรวจดูแล้ว ก็มั่นใจ 90% ว่าสาเหตุที่ดินทรุดตัวเกิดจากดินมีการทับถมกัน 2 ชั้น ซึ่งเป็นดินเหนียวทั้งคู่ โดยดินชั้นบนความหนา 2 เมตร เป็นดินเหนียวสีแดง ส่วนดินชั้นล่างเป็นดินเหนียวสีเทา

    และพบว่าดินเหนียวชั้นบนที่มีความหนา 2 เมตรสไลด์ตัว และไหลลงด้านล่างตามทิศทางของน้ำ ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องแปลก และไม่เคยเจอมาก่อน หากเป็นเขตภาคเหนือ และมีความลาดเอียง 20-30 องศาแล้วมีการสไลด์ของดินถือเป็นเรื่องปกติ แต่จุดนี้มีความลาดเอียงน้อย จึงไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นได้ ส่วนดินชั้นล่างยังคงแข็งแรงไม่มีการเคลื่อนไหว

    นายเด่นโชคบอกว่า ดินเหนียวสองชนิดที่ไม่เหมือนกันอาจเกิดจากการสะสมจากการไหลของน้ำ ทำให้เกิดคุณสมบัติพิเศษที่ไม่เหมือนกันในแต่ละปีก็เป็นได้ ดังนั้นในพื้นที่ดังกล่าว เมื่อดินเหนียวกับดินเหนียวไม่เสถียรกัน ดินเหนียวชั้นล่างลื่น ชั้นบนก็ลื่น เมื่อฝนตกลงมาหนัก จึงทำให้ดินชั้นบนสไลด์และไหลไป ดินที่เหลืออยู่จึงทรุดตัวลงไป

    “ขณะนี้พื้นที่ที่ดินทรุดตัวมีประมาณ 4 ไร่ ซึ่งไม่ควรใช้เป็นที่อยู่อาศัยอีกต่อไป แม้จะมีการถมดินเข้าไปใหม่ ก็ไม่ควรเสี่ยงแต่ควรทำเป็นพื้นที่การเกษตรแทน”

    ด้านนายสุรพล บุรินทราพันธุ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบในระยะสั้นไปก่อน ทั้งเรื่องการอพยพออกนอกพื้นที่ การขนย้ายสิ่งของ และหลังจากนี้ก็จะได้ประชุมร่วมกันในการช่วยเหลือระยะยาวต่อไปว่าจะช่วยเหลือทั้งด้านที่อยู่อาศัย และด้านอื่นๆ อย่างไรได้บ้าง

    560000010976003.jpg


    560000010976004.jpg


    560000010976005.jpg


    560000010976006.jpg

    https://mgronline.com/local/detail/9600000105892
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2017
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ศาลสูงสเปนสั่งจำคุก 2 แกนนำแบ่งแยก “กาตาลุญญา” ด้านผู้นำคาตาลันแทงกั๊กไม่ตอบ “ประกาศเอกราช” แล้วหรือไม่
    เผยแพร่: 17 ต.ค. 2560 10:31:00
    560000010948601.jpg

    จอร์ดี คุยซาร์ต ประธานกลุ่มพลเมือง Omnium Cultural (ซ้าย) และ จอร์ดี ซานเชซ ประธานสภาแห่งชาติคาตาลัน (ANC) สองแกนนำแบ่งแยกแคว้นกาตาลุญญาที่ถูกศาลสูงสเปนสั่งจำคุก
    รอยเตอร์ - ศาลสูงสเปนออกคำสั่งจำคุกสองแกนนำแบ่งแยกแคว้นกาตาลุญญาเมื่อช่วงค่ำวานนี้ (16 ต.ค.) ขณะที่วิกฤตการเมืองในแดนกระทิงดุยังส่อแววตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อรัฐบาลกลางมาดริดและผู้นำท้องถิ่นกาตาลุญญายังปฏิเสธที่จะอ่อนข้อให้แก่กันในเรื่องการแยกตัวของแคว้นอันมั่งคั่งแห่งนี้

    จอร์ดี ซานเชซ ประธานสภาแห่งชาติคาตาลัน (ANC) และ จอร์ดี คุยซาร์ต ประธานกลุ่มพลเมือง Omnium Cultural ถูกสั่งจำคุกเพื่อรอการไต่สวนความผิดฐานปลุกระดม โดยศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว ซึ่งถือเป็นคำสั่งจับกุมแกนนำครั้งแรกตั้งแต่มีการจัดทำประชามติแยกตัวเป็นเอกราชเมื่อวันที่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา

    อัยการสเปนชี้ว่า ทั้งคู่เป็นแกนนำที่ระดมมวลชนออกมาประท้วงรัฐบาลเมื่อเดือนที่แล้ว รวมถึงกรณีที่ผู้ประท้วงปิดล้อมตำรวจเอาไว้ในอาคารแห่งหนึ่งที่นครบาร์เซโลนา และทำลายยานพาหนะของพวกเขา

    ชาวคาตาลันราว 200 คนไปรวมตัวกันที่สำนักงานรัฐบาลในนครบาร์เซโลนาเพื่อให้กำลังใจบุคคลทั้งสอง โดยมีการป่าวร้องสโลแกน “เสรีภาพ” และถือป้ายเรียกร้อง “ประชาธิปไตย”

    เอเอ็นซี ซึ่งเคยจัดการประท้วงเพื่อขอแยกตัวเป็นเอกราชจากสเปนมาแล้วหลายหนได้ขอให้ประชาชนออกมาแสดงพลังอย่างสันติทั่วแคว้นกาตาลุญญาในวันนี้ (17 ต.ค.) ขณะที่ประธานาธิบดี คาร์เลส ปุยจ์เดมอนต์ ก็ได้ทวีตข้อความว่า “สเปนสั่งจำคุกผู้นำพลเรือนกาตาลุญญาที่จัดการชุมนุมโดยสันติ ช่างน่าเสียใจที่เราต้องกลับไปมีนักโทษการเมืองอีกครั้ง” โดยสื่อความไปถึงยุคเผด็จการของนายพล ฟรานซิสโก ฟรังโก

    โจเซป ลูอิส ตราเปโร ผู้บัญชาการตำรวจแคว้นกาตาลุญญา ถูกศาลสั่งยึดพาสปอร์ตและห้ามเดินทางออกนอกประเทศเพื่อรอการสอบสวนเช่นกัน ทว่าไม่ได้ถูกออกหมายจับ

    ฝ่ายสนับสนุนการแยกตัวมอง ตราเปโร ว่าเป็น “วีรบุรุษ” เนื่องจากผู้บัญชาการตำรวจรายนี้ใช้มาตรการนุ่มนวลกับประชาชนมากกว่าตำรวจส่วนกลางที่ถูกส่งเข้ามาขัดขวางการทำประชามติ

    เมื่อวันอังคารที่แล้ว (10) ปุยจ์เดมอนต์ ยังไม่ได้ขอให้รัฐสภาคาตาลันลงมติแยกตัว โดยเพียงแต่ลงนามประกาศเอกราชเชิงสัญลักษณ์ และให้ระงับการบังคับใช้ไว้ก่อนนานหลายสัปดาห์เพื่อเปิดทางเจรจากับรัฐบาลกลาง

    นายกรัฐมนตรี มาเรียโน ราฮอย แห่งสเปนขีดเส้นตาย 5 วันจนถึงเวลา 10.00 น. วานนี้ (16) ให้ ปุยจ์เดมอนต์ ยืนยันว่าเขาได้ประกาศเอกราชจริงหรือไม่ ซึ่งหากตอบว่าจริง มาดริดก็จะให้เวลาคิดทบทวนอีกครั้งจนถึงวันพฤหัสบดี (19) ก่อนจะตอบโต้ด้วยการเข้ายึดอำนาจปกครองแคว้นกาตาลุญญาโดยตรง

    อย่างไรก็ตาม จดหมายที่ ปุยจ์เดมอนต์ ส่งถึงนายกฯ ราฮอย เมื่อวานนี้ (16) กลับไม่มีคำตอบที่ชัดเจน โดยเขาเพียงแต่ยื่นข้อเสนอเปิดเจรจาอย่าง “จริงใจและสัตย์ซื่อ” กับรัฐบาลกลางในช่วง 2 เดือนข้างหน้า

    560000010948602.jpg

    ราฮอย ได้ส่งหนังสือตอบกลับว่า จุดยืนของ ปุยจ์เดมอนต์ ในเวลานี้อาจทำให้มาดริดต้องบังคับใช้มาตรา 155 ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งให้สิทธิ์รัฐบาลกลางในการยึดอำนาจปกครองตนเองของแคว้นทั้ง 17 แคว้น หากมีการละเมิดกฎหมาย

    โจอาคิม ฟอร์น รัฐมนตรีมหาดไทยคาตาลัน ชี้ว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 155 ไม่ได้ให้อำนาจมาดริดในการสั่งปลดสมาชิกรัฐสภากาตาลุญญา และเงื่อนไขในการเข้าปกครองโดยตรงซึ่งยังไม่เคยใช้จริงมาก่อนก็ “คลุมเครือ”

    กฎหมายมาตรานี้ระบุว่า รัฐบาลมาดริดสามารถ “ดำเนินการอย่างใดก็ได้” เพื่อบังคับให้แคว้นหนึ่งๆ ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ โดยต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรเสียก่อน ซึ่งมาตรการเหล่านี้อาจรวมถึงการยึดอำนาจควบคุมตำรวจส่วนภูมิภาคและการคลัง เปลี่ยนตัวทีมบริหารใหม่ หรือแม้กระทั่งจัดเลือกตั้งก่อนกำหนด

    เมื่อวานนี้ (16) กระทรวงเศรษฐกิจสเปนได้แจ้งไปยังสหภาพยุโรป (อียู) เพื่อปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจในช่วงปีหน้า โดยอ้างถึงปัจจัยการเมืองภายในประเทศ

    รัฐบาลกาตาลุญญาอ้างผลประชามติเมื่อวันที่ 1 ต.ค. ซึ่งชาวคาตาลันโหวตสนับสนุนการแยกตัวถึงร้อยละ 90 จากสัดส่วนผู้ออกมาใช้สิทธิ์ 42.3 เปอร์เซ็นต์ แต่นั่นก็หมายความว่ายังมีประชากรอีกกว่าครึ่งที่เป็นพลังเงียบ และอาจไม่เห็นด้วยกับประชามติแยกตัว ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญสเปนได้ประกาศก่อนหน้านั้นแล้วว่า “ไม่ชอบด้วยกฎหมาย”

    การชุมนุมเรียกร้องเอกราชของชาวคาตาลันที่นครบาร์เซโลนาและเมืองอื่นๆ ของสเปนเป็นไปอย่างสันติมาโดยตลอด เว้นแต่ในวันทำประชามติ ซึ่งตำรวจส่วนกลางได้ใช้กระบองและกระสุนยางขัดขวางไม่ให้คนเข้าไปลงคะแนน

    นักลงทุนต่างหวั่นเกรงว่าวิกฤตการเมืองครั้งนี้จะยิ่งบั่นทอนเศรษฐกิจแดนกระทิงดุซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 4 ในกลุ่มยูโรโซน ขณะที่สถาบันการเงินและบริษัทหลายแห่งเริ่มย้ายสำนักงานใหญ่ออกจากแคว้นกาตาลุญญาไปยังภูมิภาคอื่นๆ และคาดว่าจะมีการโยกย้ายเพิ่มอีก หาก ปุยจ์เดมอนต์ ประกาศแยกตัวเป็นเอกราชจากสเปนอย่างสมบูรณ์

    https://mgronline.com/around/detail/9600000105673
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,977
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ผู้นำปินส์ประกาศ “เมืองมาราวี” ถูกปลดแอกแล้ว แต่ยังมีการสู้รบอยู่
    เผยแพร่: 17 ต.ค. 2560 15:25:00
    560000010963001.jpg
    รอยเตอร์ – ประธานาธิบดี โรดริโก ดูเตอร์เต ของฟิลิปปินส์ประกาศในวันนี้ (17) ว่า เมืองมาราวีทางตอนใต้ถูกปลอดแอกจากกลุ่มติดอาวุธฝักใฝ่กลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) แล้ว ถึงแม้ว่าโฆษกกองทัพจะระบุว่า กบฏราว 20-30 คนยังคงต่อสู้กับพวกเขาอยู่และมีตัวประกันอยู่ประมาณ 20 คน

    ในการปราศรัยต่อทหารหนึ่งวันหลังจากการสังหารผู้นำสองคนของพันธมิตรกบฏ ดูเตอร์เตกล่าวว่า การสู้รบจบลงแล้วและนี่คือเวลาเยี่ยวยาผู้ได้รับบาดเจ็บและฟื้นฟูเมืองของประชากรราว 200,000 คนบนเกาะมินดาเนา

    “ดังนั้นผมจึงขอประกาศว่า เมืองมาราวีเป็นอิสระจากอิทธิพลของกลุ่มก่อการร้านที่นับเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟู ดูเตอร์เตบอกกับทหารในมาราวี

    อิสนิลอน ฮาปิลอน เอมีร์ (ผู้นำ) ของกลุ่มรัฐอิสลามในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ โอมาร์คายัม มูเต หนึ่งในสอง “คาลิฟา” ผู้นำพันธมิตรกลุ่มติดอาวุธดอว์ลา อิสลามิยา ถูกสังหารในปฏิบัติการเมื่อวันจันทร์ (16) และศพของพวกเขาถูกเก็บกู้และพิสูจน์อัตลักษณ์แล้ว ทางการระบุ

    การยึดครองนาน 148 วันของกลุ่มผ๔ภักดีต่อไอเอสนับเป็นวิกฤตด้านความมั่นคงภายในครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศนี้ในรอบหลายปี

    ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า รัฐบาลประเมินขอบเขตที่กลุ่มหัวรุนแรงหยั่งรากในพื้นที่มุสลิมอันยากจนและด้อยพัฒนาของประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวคริสต์แห่งนี้ต่ำเกินไปมานานหลายปี
    560000010963002.jpg
    โฆษกกองทัพ เรสติตูโต พาดิลลา กล่าวว่า ถึงแม้การสู้รบจะยังไม่จบลงอย่างสมบูรณ์ แต่กบฏที่เหลืออยู่เป็นแค่เพียง “พวกหลงกลุ่ม” เท่านั่นไม่ใช่ภัยคุกคามอีกต่อไป

    “ไม่มีทางไหนให้พวกเขาหนีอีกต่อไปแล้ว ไม่มีทางที่ใครจะเข้ามาได้อีกต่อไปแล้ว” พาดิลลา บอกกับช่องข่าวเอเอ็นซี

    “ดังนั้นการบีบพวกเขาให้ตายจึงจำเป็นสำหรับทหารของเรามากในตอนนี้เนื่องจากพื้นที่นี้ถูกจำกัดวงและถูกควบคุมอย่างดี”

    พาดิลลากล่าวว่า ผู้ปฏิบัติการชาวมาเลเซีย มาห์มุด อาห์หมัด อยู่ในเมืองมาราวีนับตั้งแต่เริ่มต้นการต่อสู้และกอง
    ทัพเชื่อว่า เขายังคงอยู่ที่นั่น ทางการไม่อาจแน่ใจได้อย่างเต็มที่แต่มองว่าเขาไม่ได้เป็นภัยคุกคามแล้ว

    “ดร.มาห์มุดเป็นนักวิชาการ เขาไม่ใช่นักรบ เราไม่รู้สึกว่าเขาเป็นปัญหา” พาดิลลา กล่าว

    ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงบางคนระบุว่า มหาห์มุดวัย 39 ปี ผู้จัดหาสมาชิกและผู้ระดมเงินทุนที่ได้รับการฝึกที่ค่ายอัลกออิดะห์ในอัฟกานิสถานเป็นตัวเก็งที่จะมาแทนที่ฮาปิลอนในฐานะผู้นำของกลุ่มไอเอสในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
    560000010963003.jpg

    https://mgronline.com/around/detail/9600000105855
     

แชร์หน้านี้

Loading...