ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_7567.JPG

    (Dec 9) เสียงเตือนก่อนกาล : คำเตือนถึงด้านมืดของอนาคตในลักษณะ "ดร. ดูม" (doomsayers) ยามนี้ เริ่มกลายเป็นกระแสจริงจังมากขึ้นทุกขณะ

    ล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ออกมาสมทบร่วมกระแสด้วยว่า ความเสี่ยงจากปัญหาหนี้เน่าในจีน กำลังจะกลายเป็นตัวถ่วงรั้งให้เศรษฐกิจโลกในระยะข้างหน้าเข้าขั้นวิกฤติได้

    กองทุนฯให้เหตุผลหลังจากการสำรวจล่าสุดเรื่องตัวเลขหนี้ของระบบการเงินจีน ที่พบว่าจะมีมากกว่าที่เคยคาดเดากัน เพราะถูกซุกซ่อนเอาไว้ ซึ่งมีโอกาสทำให้ตัวเลขหนี้ที่แท้จริงสูงกว่ามาตรฐานสากล โดยเฉพาะตัวเลขหนี้ส่วนบุคคลจากการบริโภคที่เพิ่มทวีคูณในระยะ 5 ปีมานี้

    IMF เตือนว่า การที่ทางการจีนยังมีนโยบายมุ่งเน้นแต่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ มากกว่าเสถียรภาพของระบบการเงิน โดยยินยอมให้หนี้เติบโตมากกว่าอัตราเติบโตของจีดีพีต่อเนื่องที่ระดับ 15% ต่อปี จะยิ่งทำให้ภาระหนี้เสียที่ถูกซุกซ่อนไว้ของสถาบันการเงินรุนแรงมากขึ้น จนเกินกว่าระดับควบคุมได้ และเตือนว่า การพยายามปฏิรูประบบสถาบันการเงินที่รัฐบาลปักกิ่งได้ทำมาอย่างลูบหน้าปะจมูก ไม่เพียงพอรับมือปัญหาที่พร้อมจะระเบิดออกมาเมื่อใดก็ได้ในวันข้างหน้า แล้วก็มีโอกาสที่จะทำให้จีนมีโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินคล้ายคลึงกับสหรัฐฯก่อนวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์

    คำเตือนของ IMF ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะก่อนหน้านี้ บรรดานักวิเคราะห์ตะวันตก และจีนเองก็พยายามสร้างกระแสนำเรื่องนี้มาตลอด แต่ทางการจีนก็ให้ความสำคัญเป็นรองเสมอ และมักจะบอกปัดว่า ปัญหาดังกล่าว สามารถควบคุมได้

    คำเตือนแบบ "เจมินี คริกเก็ต" เช่นนี้ กลับนำมาสู่ความสนใจของสื่อและผู้จัดการกองทุนต่างๆ อีกครั้ง หลังจากที่ทิศทางของตลาดเก็งกำไรเริ่มพบทางตัน หลังจากการทะยานขึ้นเป็นเวลายาวนานกว่า 1 ปี นับแต่รู้ผลเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ที่เรียกว่า "ทรัมป์ เอฟเฟ็กต์"

    นับแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นมาถึงเดือนนี้ ธนาคารกลางที่สำคัญหลายแห่ง ทยอยออกมาประสานเสียงเตือน นักลงทุนกำลังละเลยสัญญาณเตือนที่ตลาดการเงินอาจร้อนแรงเกินไปและหนี้เพื่อการบริโภคกำลังเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับที่ไม่ยั่งยืน และภาวะเศรษฐกิจโลกเหมือนกับยุคก่อนที่จะเกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์

    คำเตือนล่าสุดที่ดูมีน้ำหนักมากกว่าใครมาจากการเปิดเผยผลการตรวจสุขภาพรายไตรมาสของสถาบันการเงินทั่วโลกโดยธนาคารกลางของธนาคารกลาง (BIS) ที่เมืองบาเซิล (เจ้าของกฎบาเซิลทั้งหลายในปัจจุบัน) ได้ออกคำเตือนที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยครั้งว่า สถานการณ์ในเศรษฐกิจโลกเหมือนกับยุคก่อนที่จะเกิดวิกฤติการเงินในปี 2551 ซึ่งนักลงทุนมองหาผลตอบแทนสูง กู้ยืมอย่างหนักเพื่อไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง แม้ว่าธนาคารกลางหลายแห่งได้เคลื่อนไหวเพื่อเข้มงวดต่อการเข้าถึงสินเชื่อ

    BIS กล่าวว่า ความพยายามที่ล้มเหลวของธนาคารกลางสหรัฐ และธนาคารกลางอังกฤษที่จะลดความเสี่ยงจากภาวะฟองสบู่ด้วยการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย กำลังก่อร่างเค้าโครงของฟองสบู่การเงินที่ไม่มั่นคงให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

    ความน่าสนใจของคำชี้แนะจาก BIS ที่ว่า ธนาคารกลางทั้งหลายต้องพยายามหาทางปรับเปลี่ยนกระบวนการสื่อสารเกี่ยวกับการขึ้นดอกเบี้ยพื้นฐานหรือความเร็วที่พวกเขากำลังจะขึ้นดอกเบี้ยเพื่อกระตุกให้นักลงทุนตระหนักอีกครั้งถึงความจำเป็นที่จะทำให้ตลาดเก็งกำไรสงบนิ่งมีเหตุมีผล ไม่ใช่ปล่อยให้เกิดตลาดเก็งกำไรที่พุ่งขึ้นอย่างเปราะบางเกินกว่าพื้นฐาน ดังที่กำลังเกิดขึ้นหลายเดือนมานี้ในระหว่างที่อัตราดอกเบี้ยต่ำผิดปกติ

    คำเตือนของนายธนาคารกลางที่รู้ทั้งรู้ว่า ปัญหาทุนท่วมโลกจากมาตรการ QE ของสหรัฐฯ ยี่ปุ่น ละสหภาพยุโรป เป็นต้นธารของการก่อหนี้ที่ไม่จำเป็น หนี้ที่สูงผิดปกติ ในรูปสกุลเงินต่างชาติและสกุลเงินในท้องถิ่น และหากปล่อยให้สภาพนี้ดำรงอยู่นานเท่าใด ก็ยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้น แล้วตามมาด้วยความวุ่นวายในระยะยาว

    คำเตือนของ BIS ตอกย้ำให้คำเตือนก่อนหน้าของธนาคารกลางยุโรป บุนเดสแบงก์ และเนชั่นแนล แบงก์ ของเดนมาร์ก ที่ย้ำถึงความเปราะบางหลายๆ อย่าง ซึ่งมีตั้งแต่ราคาสินทรัพย์เสี่ยงที่ราคาเกินจริงในบางประเทศ ความอิ่มอกอิ่มใจในกำไรจากตลาดหุ้นของนักลงทุน และการปล่อยกู้ง่ายของบางธนาคารที่พยายาม “เก็บเบี้ยไต้ถุนร้าน” จากอัตราดอกเบี้ยต่ำติดพื้นเป็นเวลายาวนานเกินปกติ

    บุนเดสแบงก์ของเยอรมนี พูดถึงเรื่องฟองสบู่ด้วยคำพูดที่รุนแรงกว่าใคร โดยระบุตัวอย่างว่า อันตรายจากอัตราดอกเบี้ยต่ำและภาวะเศรษฐกิจที่น่าพอใจในเยอรมนี เป็นสาเหตุให้นักลงทุนในตลาดประเมินความเสี่ยงจากตีมูลค่าสินทรัพย์เกินจริงถึง 30% ในขณะที่ความสามารถในการทำกำไรของธนาคารต่ำ และธุรกิจที่เป็นลูกค้าต่ำเกิน

    ขณะที่ธนาคารกลางของเดนมาร์ก (ที่ไม่ได้อยู่ในยูโรโซน) มีประเด็นน่าสนใจว่า ดอกเบี้ยต่ำติดพื้นทำให้สถานับนการเงินและธนาคารพากันเหยียบคันเร่ง ด้วยการลดมาตรฐานสินเชื่อและปล่อยเงินกู้ให้กับลูกค้าที่ไม่มั่นคง และยังกล่าวว่า ธนาคารใหญ่ๆ ของบางประเทศไม่มีเงินทุนเพียงพอตามเกณฑ์กันชน

    คำเตือนทั้งหลายเหล่านี้ จะยังไม่มีผลสะเทือนมากนักต่อทิศทางของตลาดหุ้นและตลาดสินทรัพย์อื่นๆ จนกว่าจะถึง “ช่วงเวลาของมินสกี้” อันหมายถึงเวลาที่ตลาดพังครืนลงมาแล้วนั่นแหละ จึงจะมีคนนำมาใช้อ้างอิงในลักษณะ “เราเตือนคุณแล้ว...”

    เรื่องนี้เคยมีตัวอย่าง เมื่อพระนางเจ้าอลิซาเบธที่ 2 ของอังกฤษ ได้ทรงตรัสถามนายธนาคารกลางและรัฐมนตรีคลังอังกฤษหลังจากวิกฤติสถาบันการเงินหลังแฮมเบอร์เกอร์ขึ้นมาว่า “พวกคุณที่มีชื่อเสียงว่าเก่งมาก ไม่รู้ล่วงหน้าเลยหรืออย่างไรว่าวิกฤติจะเกิดขึ้น”

    คำตอบอ้อมๆ แอ้มๆ คือ พอคาดเดาออกลางๆ แต่พูดไปก็ไม่มีคนเชื่อ และเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ยากจะควบคุมได้

    ดังนั้น คำตอบในลักษณะ “ตาบอดคลำช้าง” ยามนี้ที่เป็นกระแสเตือนภัยขึ้นมา จึงน่าจะเป็นได้แค่เสียงนกเสียงกา หรือ เสียงเตือนก่อนกาลที่เร็วเกินไป...ที่ถูกมองข้ามได้ง่ายๆ

    คอลัมน์ พลวัตปี2017 โดย วิษณุ โชลิตกุล

    Source: ข่าวหุ้น

    เพิ่มเติม
    1. China's financial system harbours large risks, says IMF
    http://www.bbc.com/news/business-42263737

    2. Central banks need to ensure tightening cools froth in financial markets: BIS
    https://www.reuters.com/article/us-...-froth-in-financial-markets-bis-idUSKBN1DX0OP
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.1 (เกิน 6 ครั้งที่ 4 ในภูมิภาคนี้) ที่ภูมิภาคSTATE OF YAP, MICRONESIA ในวันที่ 9 ธันวาคม 2560 เวลา 22:14:25.3 น. เวลาประเทศไทย ความลึก 10 กิโลเมตร

    IMG_7564.JPG IMG_7561.JPG IMG_7565.JPG

    Magnitude 6.1

    Region STATE OF YAP, MICRONESIA

    Date time 2017-12-09 15:14:25.3 UTC

    Location 10.06 N ; 140.21 E

    Depth 10 km

    Distances

    829 km SW of Saipan, Northern Mariana Islands / pop: 48,300 / local time: 01:14:25.3 2017-12-10


    2150 km E of Manila, Philippines / pop: 10,445,000 / local time: 23:14:25.3 2017-12-09


    2291 km N of Port Moresby, Papua New Guinea / pop: 284,000 / local time: 01:14:25.3 2017-12-10


    https://m.emsc.eu/earthquake/earthquake.php?id=634881
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปอกเปลือก ทรราช
    ข่าวบันเทิง: ฮากลิ้งเมื่อ Su-35S (G4++) ของรัสเซีย ไล่บี้ F-22 สเตลท์ของสหรัฐเหนือน่านฟ้าซีเรียหนีเข้าตายเข้าไปในอิรัคแทบไม่ทัน หลังพยายามขัดขวาง Su-25 ในภารกิจล้างบางไอซิส ปัดธ่อ... นึกว่าจะแน่! มีแต่ราคาคุยนี่หว่า

    IMG_7568.JPG IMG_7569.JPG IMG_7570.JPG IMG_7571.JPG IMG_7572.JPG

    -------------

    วันที่ 9 ธ.ค. 60 Sputnik พาดหัวข่าวว่า "กห.รัสเซียรายงานเหตุการณ์เครื่องบินรบ F-22 ของสหรัฐแส่แถวแม่น้ำยูเฟรติสในซีเรีย" (Russian MoD Reports Incident With US F-22 Fighter Over Syria's Euphates River)

    "เครื่องบินรบ F-22 ลำหนึ่งของอเมริกันได้ขัดขวางเครื่องบินรบ Su-25 ของรัสเซียปฏิบัติภารกิจสู้รบเพื่อทำลายฐานที่มั่นของกลุ่มก่อการร้ายไอซิสในเขตชานเมืองของเมืองมายาดิน (Mayadin) เหนือน่านฟ้าทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติสเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายนนี้ อากาศยาน F-22 ได้ยิงพลุไฟ (heat flares) และปล่อยเบรคชีลด์ในการโฉบเฉี่ยวอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นการจำลองการทำยุทธเวหา" พล.ท. Igor Konashenkov โฆษกกระทรวงกลาโหมรัสเซียกล่าวเมื่อวันเสาร์นี้

    กระทรวงกลาโหมได้แสดงความคิดเห็นต่อคำกล่าวอ้างของสหรัฐเกี่ยวกับน่านฟ้าของซีเรีย ซึ่งอธิบายว่าเหตุการณ์เฉียดเกิดอุบัติเหตุทางอากาศครั้งใหญ่หลายครังระหว่างเครื่องบินของสหรัฐและรัสเซียในซีเรีย และในพื้นที่แถวแม่น้ำยูเฟรติสเกี่ยวข้องกับความพยายามของกรุงวอชิงตันในการขัดขวางความพ่ายแพ้ของพวกผู้ก่อการร้ายดาอิช

    "แถลงการณ์ต่างๆ ของบรรดาผู้แทนกองทัพสหรัฐที่อ้างว่าบางส่วนของน่านฟ้าซีเรียเป็นของสหรัฐนั้น เป็นเรื่องที่น่าสับสน" พล.ท. Konashenkov กล่าว และได้เมตตาช่วยเตือนความทรงจำให้กับเพนตากอนว่า "ซีเรียเป็นรัฐที่มีอธิปไตยรัฐหนึ่ง และเป็นสมาชิกสหประชาชาติด้วย ดังนั้น สหรัฐจึงไม่ได้เป็นเจ้าของส่วนไหนของน่านฟ้าเลย" [ก็คนมันหน้าด้านนี่ครับท่าน ไม่งั้นเขาจะเรียกว่า "ไอ้กัน" รึ? - ผู้แปล]

    ในขณะเดียวกัน โฆษกกลาโหมรัสเซียได้ตั้งข้อสังเกตว่า "หลังจากการปรากฎของเครื่องบินรบหลากบทบาท Su-35S ที่มีความคล่องแคล่วสูงมาก เจ้าเครื่องบินรบของอเมริกันลำนั้นก็หยุดการโฉบเฉี่ยวที่เป็นอันตราย (ทันที) และรีบแจ้นเข้าไปในน่านฟ้าของอิรัค"

    [ฮ่าๆๆ... โอยยย อเมริกันเอ๊ยยยยย ทำไมมันไม่เหมือนที่โม้ไว้ในหนังหรือตามนิตยสารสายทหารของอเมริกันและตามโซเชียลมีเดียฟร๊ะ! เก๋านักใช่ไหม ชอบรังแกผู้ที่อ่อนแอและด้อยกว่าใช่ไหม งานรังแกผู้หญิง ตบเด็ก เตะหมา ซ้อมคนชรานี่เก่งชิ๊บ... พอเจอคู่ต่อสู้ที่สูสีหน่อย รีบโกยเลยนะ - ผู้แปล]

    ผู้แทนกระทรวงยังได้ตั้งข้อสังเกตต่ออีกว่า สหรัฐได้ล้มเหลวที่จะให้คำตอบใดๆ ต่อกองบัญชาการของรัสเซียที่ฐานทัพอากาศ Khmeimim ในซีเรีย "ซึ่งมีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ และเหตุการณ์อื่นๆ อีกมากมายในน่านฟ้าซีเรีย" นายพลรัสเซียกล่าว

    [รัสเซียคงกังวลว่า F-22 ของสหรัฐจะร่วงกลางอากาศมั๊ง? เป็นห่วงจริงๆนะนี่ - ผู้แปล]

    แถลงการณ์นี้ได้ไปกระตุกต่อมดราม่าของสื่อสหรัฐบางสำนัก หนังสือพิมพ์ The New York Times ของสหรัฐรายงานเมื่อวันศุกร์นี้ โดยอ้างคำพูดของบรรดาผู้บัญชาการในเหล่าทัพสหรัฐว่าได้แสดงความกังวลใจเกี่ยวกับอุบัติเหตุเครื่องบินชนกันกลางอากาสที่อาจจะเป็นไปได้ระหว่างเครื่องบินรบของรัสเซียและสหรัฐในซีเรีย ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นเนื่องจากการละเมิดข้อตกลงเกี่ยวกับการลดความขัดแย้งตามที่กล่าวอ้าง โดยฝ่ายรัสเซียละเมิดถึง 12 ครั้งในหนึ่งวัน นับตั้งแต่ข้อตกลงมีผลบังคับใช้

    [ฮั่นแน่... จากคำพูดของรัสเซียนั้น แสดงให้เห็นว่าสหรัฐไม่มีสิทธิ์ในการอ้างข้อตกลง เนื่องจากที่นั่นไม่ใช่น่านฟ้าของสหรัฐหรือน่านฟ้าสากล สหรัฐเข้าไปในซีเรียโดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลซีเรีย สหรัฐไม่ต้องกังวลใจว่าจะเกิดเหตุการณ์เครื่องบินชนกันกลางอากาศระหว่างเครื่องบินรบของรัสเซียกับของสหรัฐ เพราะว่ารัสเซียอาจจะสอยเครื่องบินรบของสหรัฐให้ร่วงก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นก็ได้ สหรัฐไม่พูดถึงการปราบปรามไอซิส แต่อ้างข้อตกลงเพื่อกลบเกลื่อนความพยายามของตนเองในการปกป้องดาอิชซึ่งเป็นลูกน้องของตนเองในพื้นที่แห่งนั้น - ผู้แปล]

    "มันเป็นเรื่องที่ยากมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับนักบินของเราที่จะแยกแยะได้ว่านักบินของรัสเซียกำลังทำการทดลองหรือหลอกล่อโดยเจตนาเพื่อให้เราตอบโต้ หรือว่าเหตุการณ์เหล่านี้เป็นเพียงความผิดพลาดโดยไม่ได้ตั้งใจ... ความกังวลที่หนักอึ้งก็คือว่า เราอาจจะยิงอากาศยานของรัสเซียให้ตกก็ได้ เพราะว่าการกระทำของเขาถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อกองทัพอากาศและกองทัพบกของเรา (แล้วทำไมถึงรีบหนีซะหละครับ?)" พ.อ.ท. Damien Pickart กล่าว อ้างคำพูดโดยสื่อสหรัฐ

    ส่วน พ.อ.อ. Jeff Hogan รอง ผบ. ศูนย์ปฏิบัติการทางอากาศที่ฐานทัพสหรัฐในกาตาร์กล่าวกับหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นว่า เขาได้สนทนาทางโทรศัพท์กับ พล.ท. Valery Gerasimov ประธานเสนาธิการกองทัพรัสเซียทุกวัน แต่เนื่องจากมีความเข้าใจที่ผิดพลาดบางโอกาส จึงจำเป็นต้องโทรหาอีกครั้ง

    [ถ้ารัสเซียไม่ส่ง Su-35S ขึ้นไป สหรัฐก็คงไม่โทรสินะ? ส่วนมากแล้ว รัสเซียจะใช้เครื่องบินทิ้งระเบิด Su-24 และเครื่องบินโจมตีภาคพื้นดิน Su-25 เป็นฝูงบินหลักในการทิ้งระเบิดโจมตีพวกไอซิสที่ภาคพื้น เพื่อให้สามารถบรรทุกระเบิดได้มากขึ้น เครื่องรบเหล่านี้จึงไม่ติดขีปนาวุธอากาศสู่อากาศ เหมือนเครื่องบินทิ้งระเบิดรุ่นใหม่ Su-34 ซึ่งมีขนาดใหญ่

    และเครื่องบินที่ปฏิบัติภารกิจทิ้งระเบิดเหล่านี้ก็จะมักจะมีเครื่องบินรบ Su-30 หรือ Su-35S คอยทำหน้าที่บินคุ้มกันให้ด้วย เพื่อป้องกันสุนัขรลอบกัด ถ้าวันไหนไม่มี Su-35S ไปด้วย เหมือนกับว่าสุนัขมันจะรู้ และมันก็มาเกรียนและก่อกวนอยู่เรื่อยๆ พอถูกตะเพิด ก็โวยวายว่ารัสเซียละเมิดข้อตกลง - ผู้แปล]

    ป.ล. พี่ครับ ก็ไหนว่า F-22 มันเป็นเครื่องบินรบล่องหน (stealth/G5) ไม่ใช่หรือครับ ทำไม Su-35S ของรัสเซียถึงมองเห็นมันได้หละครับ? ก็พอมันหนีพ้นสายตาของ Su-35S แล้ว เขาก็เรียกว่า ล่องหนไงครับคุณน้อง เช่นหนีเข้าไปในอิรัคงี้ หายไปเลยอ่ะ คริๆ

    The Eyes
    เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
    https://www.facebook.com/fisont
    https://vk.com/theeyesproject
    10/12/2560
    ----------
    https://sputniknews.com/military/201712091059853377-russia-us-army-syria/
    https://www.activistpost.com/2017/1...oot-down-russian-aircraft-says-us-lt-col.html
    https://www.nytimes.com/2017/12/08/world/middleeast/syria-russia-us-air-war.html
    https://www.rt.com/news/412590-russia-us-syria-air-force/
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    เจนจิรา จันทรเสนา

    IMG_7577.JPG IMG_7578.JPG IMG_7579.JPG

    "คอเนอร์ แมคเกรเกอร์ "งานเข้า! เพราะเผลอไปกระทืบแก๊ง “มาเฟียไอริช” จนถูกตั้งค่าหัว 30 ล้าน! แต่ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถทำให้ พ่อยอดชายนายคอเนอร์ กลัวได้เลยสักนิด..!
    เมื่อนักข่าวถามเรื่องนี้ คอเนอร์ ก็ตอบกลับว่า "ผมจะกลัวทำไม ก็ผมเนี่ยแหละมาเฟียตัวจริง"

    "Conor McGregor" (คอเนอร์ แมคเกรเกอร์) นักชกมากฝีมือชาวไอริช อายุ 29 ปี ที่พึ่งรับเงินไปราวๆ 100 ล้านดอลลาร์ จากการขึ้นชกกับ "ฟลอยด์ เมย์เวทเทอร์ จูเนียร์" ดูเหมือนกับว่าชีวิตของแมคเกรเกอร์ตอนนี้ จะโรยไปด้วยกลีบกุหลาบ ไม่น่ามีปัญหาเข้ามากวนใจแล้ว เพราะตัวเขานั้นก็ผ่านความยากลำบากมาไม่น้อยเลย แต่ด้วยความเลือดร้อนบวกกับความเป็นไอริชขนานแท้ ทำให้แมคเกรเกอร์ต้องพบเจอปัญหาอีกครั้ง ซึ่งปัญหาในครั้งนี้อาจส่งผลต่อความเป็นความตายของเขาเลยก็ได้

    คือเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ได้มีข่าวลือออกมาหนาหูว่า นักชกดาวรุ่งชาวไอริชคนหนึ่ง มีเรื่องชกต่อยกับคนในผับ แบบ 3รุม1 (ฝ่ายนักชกคือ1) ณ เมืองดับลิน ประเทศไอแลนด์ เรื่องนี้อาจจะจบได้โดยง่าย ถ้าคู่กรณีของนักชกคนดังไม่ใช่พ่อของหัวหน้าแก๊ง ค้ายาชื่อดัง "Kinahan Cartel" หนึ่งในแก๊งที่น่ากลัวที่สุดในประเทศ ว่ากันว่าแก๊งนี้เมื่อสั่งเก็บแล้วงานก็มักจะสำเร็จเสมอ

    ซึ่งเรื่องนี้น่าจะจริง เพราะจากคำสัมภาษณ์ของ ผู้จัดการที่พยายามบ่ายเบี่ยงไม่ตอบในเรื่องนี้ ส่วนคุณแมคเกรเกอร์ ก็ยังคงกวนโอ้ย กับเรื่องนี้ ทั้งในตอนที่ให้สัมภาษณ์ และตอนที่ลงรูปพร้อมแคปชั่นกวนๆ

    สำนักข่าว "Irish Sun" ได้รายงานว่า ทางแก๊งได้เรียกร้องเงินค่าทำขวัญ กับแมคเกรเกอร์กว่า $1ล้านดอลลาร์ และหากแมคเกรเกอร์ไม่จ่าย ทางแก๊งค์ก็จะเปลี่ยนเงินจำนวนนี้ไปเป็นรางวัลค่าหัว!

    แต่ดูเหมือนว่าคำขู่นี้จะไม่มีผลต่อเจ้ายอดชายนายคอเนอร์ แมคเกรเกอร์ เลยสักนิด..! เพราะเมื่อนักข่าวเดินทางไปสัมภาษณ์เจ้าตัวถึงที่พัก คอเนอร์ก็ตอบกลับมาว่า "Come And Get Me มาหาตูดิๆ" แล้วก็ซิ่ง BMW i8 คันงามออกไปอย่างรวดเร็ว

    และอีกครั้งหนึ่งที่นักข่าวได้ถามว่า.. "คุณกลัวมาเฟียหรือไม่" ..คอเนอร์ก็ตอบกลับมาว่า "ผมจะกลัวทำไม เพราะผมเนี่ยแหละ มาเฟียของจริง..! "

    ที่มา: complex: http://www.complex.com/sports/2017/11/conor-mcgregor-trouble-irish-mafia-over-bar-fight

    ข้อมูล: NYpost: https://nypost.com/2017/11/29/theres-a-crazy-conor-mcgregor-irish-mafia-brawl-rumor/
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปอกเปลือก ทรราช

    IMG_7573.JPG IMG_7574.JPG IMG_7575.JPG IMG_7576.JPG

    อลังการอีกแล้ว! กรุงเปียงยางจัดพิธีต้อนรับเหล่าวีรบุรุษของชาติทีมพัฒนาขีปนาวุธข้ามทวีป Hwasong-15 สหรัฐดิ้นตายด้วยความอิจฉาในรายการ "คืนความสุขให้ประชาชน คืนความกลัดกลุ้มคลุ้มคลั่งให้อเมริกา" โดยคิมน้อยแน่ๆ ส่วนรัฐบาลและกองทัพเกาหลีใต้ก็ประกาศข่าวเตือนประชาชนของตนเองว่า พี่น้อง!... เกาหลีเหนือกำลังเตรียมการยั่วยุรอบใหม่อีกแล้ว หลอนหละสิ (9 ธันวาคม 2560)
    -------------
    http://uriminzokkiri.com/index.php?ptype=photo&pagenum=&no=5505
    http://uriminzokkiri.com/index.php?ptype=photo&pagenum=&no=5506
    http://uriminzokkiri.com/index.php?lang=eng&ftype=document&no=7826
    http://english.yonhapnews.co.kr/national/2017/12/08/0301000000AEN20171208003500315.html
    http://english.yonhapnews.co.kr/northkorea/2017/12/08/0401000000AEN20171208003551315.html
    https://kcnawatch.co/newstream/1512...-celebration-rallies-held-in-cities-counties/
    http://exploredprk.com/news/contributors-to-successful-icbm-test-fire-arrive-here/
    http://exploredprk.com/news/army-people-celebration-rallies-held-in-cities-counties/
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปอกเปลือก ทรราช
    Made in North Korea มีของดีก็ต้องอวดกันหน่อย

    IMG_7580.JPG IMG_7581.JPG IMG_7582.JPG IMG_7583.JPG IMG_7584.JPG IMG_7585.JPG

    -------------

    อีกหนึ่งความสำเร็จของเกาหลีเหนือ การพัฒนาตามหลักปรัชญาจูเช่ (การพึ่งพาตนเอง) อย่างต่อเนื่องตลอดช่วงเวลา 3 ชั่วอายุคน จากรุ่นปู่ สู่รุ่นลูก และรุ่นหลาน ในสมัยของคิมน้อย เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของชาติและประชาชน รัฐบาลเกาหลีเหนือได้นำขบวนรถบรรทุก รถแท็กเตอร์สำหรับทำการเกษตรรุ่นใหม่จำนวนมากออกจอดเรียงรายแสดงโชว์ที่จตุรัสคิม จอง-อิล ใจกลางกรุงเปียงยาง เมืองหลวงของเกาหลีเหนือ

    จากนั้นก็ขับเป็นขบวนไปตามถนนสายสำคัญในเมืองหลวง เพื่อให้ประชาชนได้เห็นด้วยตาของตนเองว่านี่คือความสำเร็จและความภาคภูมิจใจจากหยาดเหงื่อแรงกายและมันสมองของการร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาประเทศตนเอง ให้สามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง ลดการนำเข้า เน้นพึ่งพาตนเองเป็นหลัก จากนั้นก็กระจายไปตามภาคการเกษตรและใช้งานในสถานที่ก่อสร้างตามต่างจังหวัด พิธีนี้จัดขึ้นในช่วงที่คณะทูตพิเศษเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหประชาชาติเดินทางไปเยือนเกาหลีเหนือด้วย (8 ธันวาคม 2560)

    The Eyes
    เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
    https://www.facebook.com/fisont
    https://vk.com/theeyesproject
    10/12/2560
    --------------
    http://uriminzokkiri.com/index.php?lang=eng&ftype=photo&no=7884
    http://uriminzokkiri.com/index.php?ptype=photo&pagenum=&no=5504
    http://exploredprk.com/news/new-typ...play-before-being-sent-to-agricultural-front/
    https://kcnawatch.co/newstream/1512...play-before-being-sent-to-agricultural-front/
    https://kcnawatch.co/newstream/1512...play-before-being-sent-to-agricultural-front/
    https://kcnawatch.co/newstream/2839...play-before-being-sent-to-agricultural-front/
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปอกเปลือก ทรราช
    ยูเอ็นออกแถลงการณ์หลังไปขอเจรจากับเกาหลีเหนือ... สถานการณ์ในปัจจุบันนี้เป็นอันตรายต่อสันติภาพและเสถียรภาพมากที่สุดในโลกในขณะนี้ แนะใช้วิธีทางการทูต คิมน้อยไปตรวจงานต่างจังหวัดและแวะปีนเขาโต้ลมหนาวที่เพ๊กตูชิลๆ

    IMG_7586.JPG IMG_7587.JPG IMG_7588.JPG IMG_7589.JPG IMG_7590.JPG IMG_7591.JPG IMG_7592.JPG

    -------------

    วันที่ 9 ธ.ค.60 องค์การสหประชาชาติได้ออกแถลงการณ์บันทึกการเจรจากับเกาหลีเหนือ โดยนายเจฟฟรีย์ เฟลต์แมน รองเลขาธิการยูเอ็นด้านกิจการต่างประเทศในการเเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยเกาหลีระหว่างวันที่ 5-8 ธันวาคม 2560

    นายเฟลต์แมนได้ประชุมร่วมกับนายริ ยอง-โฮ (RI Yong Ho) รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของเกาหลีเหนือ และนายปั๊ค มยอง-กึ๊ก (PAK Myong Guk) รมช.กระทรวงต่างประเทศเกาหลีเหนือ ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนมุมมองต่างๆเกี่ยวกับคาบสมุทรเกาหลีต่อกัน และมีความเห็นร่วมกันว่า "สถานการณ์ในปัจจุบันนี้เป้นปัญหาที่มีความตึงเครียด เป็นอันตรายต่อสันติภาพเสถียรภาพมากที่สุดในโลก"

    นายเฟลต์แมนได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นสำหรับการปฏิบัติตามมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติอย่างเต็มที่ และกล่าวอีกว่า สามารถที่จะใช้แนวทางการทูตในการแก้ไขปัญหานี้ได้ โดยผ่านกระบวนการที่จริงใจ เวลาเป็นเรื่องที่สำคัญ

    ยูเอ็นเรียกร้องว่ามีความจำเป็นที่เร่งด่วนเพื่อป้องกันการคำนวณที่ผิดพลาด และเพื่อเปิดโอกาสให้ลดความเสี่ยงต่อความขัดแย้ง นายเฟลต์แมนได้เน้นย้ำอีกว่า ประชาคมนานาชาติที่ตระหนกด้วยความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นต่างก็มุ่งมั่นที่จะให้มีการบรรลุถึงการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีต่อสถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลี

    นายเฟลต์แมนได้พบกับทีมงานสหประชาชาติประจำเกาหลีเหนือ (United Nations Country Team) และสมาชิกทางการทูตขององค์การ และได้เดินทางไปเยือนสถานที่โครงการต่างของยูเอ็นในเกาหลีเหนือด้วย ซึ่งรวมทั้งโรงงานผลิตอาหารเด็กแห่งหนึ่ง (ในกรุงเปียงยาง) สถาบันป้องกันวัณโรค สถาบันรักษามะเร็งเต้านม และโรงพยาบาลกุมารเวช ระหว่างที่เดินทางไปเยือนสถานที่ต่างๆเหล่านี้ ผู้แทนของยูเอ็นได้เห็นงานด้านการช่วยชีวิตบนภาคพื้นดิน รวมทั้งความท้าทายในการจัดซื้อจัดหา และช่องว่างการสนับสนุนทางการเงินด้วย - จบแถลงการณ์ของยูเอ็น

    ต่อมา CNN เปิดเผยว่า นายเจฟฟรีย์ เฟลต์แมน เคยเป็นนักการทูตของสหรัฐ และเคยทำงานในกระทรวงต่างประเทศสหรัฐมาแล้วเกือบ 30 ปี ก่อนที่เข้าไปทำงานร่วมกับยูเอ็นในปี 2012 คณะผู้แทนของยูเอ็นที่เดินทางไปเยือนเกาหลีเหนือในครั้งนี้มีด้วยกัน 6 คน รวมทั้งทีมงานของประเทศต่างๆทั่วโลกอีก 50 คน

    [ตกลงว่านายเฟลต์แมน เป็นผู้แทนของสหรัฐหรือว่าของยูเอ็นกันแน่ ที่ไปเจรจากับเกาหลีเหนือ? รัฐบาลทรัมป์พูดจาวกไปวนมา บ้างก็บอกว่าไม่ต้องการเจรจากับเกาหลีเหนือ บ้างก็ขู่่ว่าจะใช้มาตรการทางทหารกับเกาหลีเหนือ แต่ก็ยังเปิดช่องทางการเจรจาทางการทูตเอาไว้ และจะกดดันเกาหลีเหนืออย่างหนัก

    สิ่งที่เห็นและสรุปได้จากคำพูดและการกระทำเหล่านี้ของสหรัฐก็คือ สหรัฐเล่นทุกทาง ทางด้านการทหารนั้นก็คือยกกองทัพขนาดใหญ่ของตนเองทั้งทางบก ทางทะเลและทางอากาศ ไปร่วมซ้อมรบกับเกาหลีใต้และญี่ปุ่นหน้าหน้าบ้านเกาหลีเหนือครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งเกาหลีเหนือมองว่าพฤติกรรมเหล่านั้นเป็นการยั่วยุ (/กวนตีน) และเป็นการซ้อมเพื่อรุกรานเกาหลีเหนืออีกรอบ มีความเป็นได้ที่จะพลิกเกมจากการซ้อมรบกลายเป็นรบจริงได้ทุกเมื่อ

    ดังนั้นเกาหลีเหนือจึงดำเนินการบางอย่างเพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้สหรัฐและพันธมิตร (/ทาส) ได้รับรู้ว่าเกาหนีเหนือจะไม่นั่งดูแก๊งโจรมาปล้นบ้านเฉยๆ แน่นอน จึงทำการทดลองอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธข้ามทวีปโชว์สหรัฐและพันธมิตรเพื่อประกาศให้โลกรู้ว่าตนเองก็มีของดีสำหรับป้องกันตัวเหมือนกัน บุกมาสิ ไม่ใช่เฉพาะเกาหลีเหนือเท่านั้นนะที่จะเละ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และเมืองสำคัญๆของสหรัฐก็จะเละไปด้วย สหรัฐ เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นรีบชี้หน้าด่าเกาหลีเหนือทันทีว่า "ยั่วยุ" จากนั้นก็ออกมาตรการคว่ำบาตรเพื่อโดดเดี่ยวเกาหลีเหนือจากโลกภายนอกให้หนักกว่าเดิม โดยหวังว่าเกาหลีเหนือยุติสิ่งที่สหรัฐและพันธมิตรเรียกว่า "การยั่วยุ"

    แต่เกาหลีเหนือประกาศว่าตนเองเดินมาถูกทางแล้ว เพราะว่ามันได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ที่เกาหลีเหนือมีอธิปไตยและสันติภาพอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะว่ามีนุกและขีปนาวุธข้ามทวีปและเรือดำน้ำที่ปล่อยนุกได้นี่แหละ มันคือเครื่องมือแห่งสันติภาพที่สหรัฐไม่กล้ายกกองทัพถล่มเกาหลีเหนือ ในขณะที่ประเทศอื่นๆในตะวันออกกลางและแอฟฟริกาที่ไม่มีเครื่องมือเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ถูกสหรัฐและพรรคพวกรุกรานและถล่มเละไม่เหลือชิ้นดี

    ด้านการทูต สหรัฐก็ส่งเด็กของตนเองไปเจรจากับเกาหลีเหนือ "ในนามของยูเอ็น" เพื่อเป็นการรักษาหน้าตนเอง ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ย้ำแล้วย้ำอีกว่า สหรัฐจะยอมเจรจากับเกาหลีเหนือก็ต่อเมื่อเกาหลีเหนือปลดอาวุธนิวเคลียร์และมิสไซล์ของตนเองแล้วเท่านั้น เกาหลีเหนือบอกว่า ไม่ให้ประเทศตนเองมีชะตากรรมแบบ อิรัค ลิเบีย ซีเรีย อัฟกานิสถาน และเยเมน ล่าสุดปาเลสไตน์ ถ้าอยากจะเจรจาก็เชิญมาได้ เกาหลีเหนือยินดีที่จะเจรจาอยู่แล้ว แต่จะไม่ยอมปลดอาวุธของตนเองเด็ดขาด

    สื่อเกาหลีใต้บางสำนักรายงานว่า คิมน้อย ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือหลบหน้าทูตระดับสูงของยูเอ็น โดยส่ง รมว.และ รมช. ต่างประเทศไปพบแทน ภาษาชาวบ้านทั่วไปเขาเรียกว่า "บารมีไม่ถึง" ต่างหากหละ ก่อนหน้านี้จีนก็ส่งคณะผู้แทนพิเศษในนามของผู้แทนประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนไปเยือนเกาหลีเหนือ จากนั้นรัฐสภาของรัสเซียก็ส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงไปเยือนเกาหลีเหนือเช่นกัน ไม่มีรายงาว่าคณะผู้แทนเหล่านั้นได้พบกับคิมน้อยเลยซักคน แต่ได้พบกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่นๆในรัฐบาลเกาหลีเหนือแทน เช่น รมว.ต่างประเทศ ผู้บริหารระดับสูงจากพรรคแรงงานของเกาหลีเหนือ

    ช่วงที่นายเจฟฟรีย์ เฟลต์แมนและคณะเดินทางไปเยือนเกาหลีเหนือนั้น คิมน้อยและทีมงานเดินทางออกไปเที่ยวภูเขาและดูงานการพัฒนาประเทศในต่างจังหวัดทางภาคเหนือของประเทศ โดยไปเที่ยวภูเขาเพ็กตู (Paektu/Paedu) ซึ่งอยู่ที่ชายแดนจังหวัด Ryanggang ของเกาหลีเหนือ และอีกครึ่งหนึ่งอยู่ที่จังหวัด Jilin ของจีน ทางจีนเรียกชื่อภูเขานี้ว่า "ฉางไป๋" หรือ "ฉางไป๋ซาน" (Changbai / Changbaishan) เป็นปล่องภูเขาไฟที่ยังไม่ดับสนิท ตรงกลางปลอ่งภูเขาไฟกลายเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ แบ่งครึ่งกันระหว่างจีนกับเกาหลีเหนือ

    สำหรับชาวเกาหลีเหนือสมัยใหม่ ภูเขาไฟแห่งนี้เป็นหนึ่งในสัญญลักษณ์ที่สำคัญทางประวัติศาสตร์สำหรับการเริ่มต้นการรวบรวมกองกำลังชาวเกาหลีเพื่อต่อต้านการรุกรานจากญี่ปุ่น โดยอดีตประธานาธิบดีคิม อิล ซุง ผู้นำเกาหลีเหนือคนแรก ในช่วงปี 1930s

    คิมน้อยมักจะเดินทางไปเยือนภูเขาและทะเลสาบแห่งนี้ในช่วงฤดูหนาวอยู่บ่อยๆ จากนั้นก็แวะเยี่ยมโครงการสร้างศูนย์การค้าขนาดเล็กในพื้นที่ และแผนผังขยายเมืองในอนาคต ภูเขาแห่งนี้กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของเกาหลีเหนือทั้งสำหรับคนเกาหลีเหนือและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ (ขึ้นอยุ่กับแพ็กเก็ตทัวร์) ภูมิทัศน์ที่นั่นสวยงามมาก หากสหรัฐและนานาชาติยกเลิกการปิดกั้นเกาหลีเหนือเมื่อไร คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศพากันหลั่งไหลหอบเงินไปทิ้งที่เกาหลีเหนือเป็นจำนวนมาก

    ในส่วนของการท่องเที่ยวคนเกาหลีเหนือก็จะมีงานทำมากยึ้นโดยเฉพาะด้านไกด์ ซึ่งมีทั้งคนขับรถ และเจ้าหน้าที่ผู้ติดตาม (ถือซะว่าเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัว ปลอดภัยไร้กังวลจากเรื่องอาชญากรรม) นักท่องเที่ยวไม่ว่าจะ 1 คนหรือเป็นกลุ่ม ก็จะมีเจ้าหน้าที่เหล่านี้ (อย่างน้อย 3 คน) คอยให้บริการเสมอ ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ก็ตาม รวมอยู่ในค่าท่องเที่ยวเรียบร้อยแล้ว

    กระนั้นก็ยังมีนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันพยายามขโมยภาพโปสเตอร์ในโรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงเปียงยางจนถูกทางการเกาหลีเหนือจับได้ ล่าสุดกรุงวอชิงตันขู่อีกว่า จะโดดเดี่ยวและกดดันเกาหลีเหนือต่อไป ให้หนักกว่าเดิม (โทษฐานที่บังอาจพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธแข่งกับสหรัฐ) เกาหลีเหนือประณามสหรัฐว่าการปิดกั้นทางทะเลต่อเกาหลีเหนือคือการประกาศสงคราม (Sea Blockade Is Act of War)

    ส่วนเกาหลีใต้ก็ขึ้นบัญชีดำคว่ำบาตรบุคคลและองค์กร รวมทั้งบริษัทของเกาเหนืออีก 20 บุคคล จากนั้นพวกนี้ก็พากันชี้หน้าด่าเกาหลีเหนือว่า "ปิดประเทศ/ปิดกั้นตนเองจากโลกภายนอก/พวกรัฐฤาษีจำศีล/พวกเมืองลับแล" ในทางปฏิบัติ ใครกันแน่ที่ปิดกั้นเกาหลีเหนือ และยังได้ข่มขู่เกาหลีเหนืออีกด้วยว่าจะปิดกั้นเกาหลีเหนือทางทะเลด้วย ปากก็พร่ำเรื่อง "เสรีภาพ ประชาธิปไตย ความเท่าเทียมเสมอภาค และสิทธิมนุษยชน" แต่ทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามเสมอ นั่นแหละ "จักรวรรดิเฮเก" เขาหละ - ผู้แปล]

    The Eyes
    เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
    https://www.facebook.com/fisont
    https://vk.com/theeyesproject
    11/12/2560
    ----------
    https://www.un.org/sg/en/content/sg...-correspondents-visit-under-secretary-general
    http://edition.cnn.com/2017/12/10/asia/north-korea-united-nations/index.html
    https://sputniknews.com/world/201712101059867405-us-north-korea-plan-pressure/
    http://english.yonhapnews.co.kr/national/2017/12/10/0301000000AEN20171210002851315.html
    http://uriminzokkiri.com/index.php?lang=eng&ftype=songun&no=7848
    http://uriminzokkiri.com/index.php?lang=eng&ftype=songun&no=7844
    http://exploredprk.com/press/kim-jong-un-inspects-samjiyon-county/
    http://exploredprk.com/press/kim-jong-un-climbs-mt-paektu/
    https://kcnawatch.co/newstream/1512...regarded-as-declaration-of-war-rodong-sinmun/
    https://kcnawatch.co/newstream/1512774040-418926616/kim-jong-un-climbs-mt-paektu/
    https://kcnawatch.co/newstream/1512774039-733538440/kim-jong-un-inspects-samjiyon-county/
    http://uriminzokkiri.com/index.php?lang=eng&ftype=document&no=7830
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ประเด็นสำคัญที่หายไป...กรณีโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา
    เผยแพร่: 10 ธ.ค. 2560 17:49:00 โดย: ประสาท มีแต้ม

    ข้อถกเถียงเรื่องโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ข้อถกเถียงเรื่องโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา จังหวัดสงขลาได้กลับมาเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอีกครั้งหนึ่ง หลังจากชาวบ้านกลุ่มคัดค้านในนาม “เครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานีไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา” ถูกตำรวจและทหารจับกุมผู้ต้องหาขณะเดินทางจะไปขอยื่นจดหมายและพูดคุยกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

    นายกรัฐมนตรีได้กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” ในครั้งถัดมาว่า โรงไฟฟ้าถ่านหินเทพามีระบบการป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆนานา แต่มีประเด็นสำคัญที่นายกฯ ไม่ได้กล่าวถึงคือ กำลังการผลิตไฟฟ้าในประเทศไทยเหลือล้นเกินมาตรฐานสากลหรือไม่

    อนึ่ง ทางกลุ่มนักวิชาการที่ใช้ชื่อว่า “ชมรมนักวิชาการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ยังได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อสนับสนุนให้สร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา โดยอ้างว่า “หากโรงไฟฟ้าเทพาไม่สามารถดำเนินการได้ตามแผน จะมีความเสี่ยงที่ไฟฟ้าจะไม่พอใช้ในภาคใต้ขั้นรุนแรง” แต่นักวิชาการกลุ่มนี้ก็ไม่ได้อ้างอิงข้อมูลประกอบความเห็นของตนแต่อย่างใด

    บทความนี้จะเน้นเรื่องความพอหรือไม่พอของกำลังการผลิตไฟฟ้าในภาคใต้ แต่เนื่องจากระบบไฟฟ้าในประเทศไทยเชื่อมโยงถึงกันหมด ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องกล่าวถึงภาพรวมของกำลังการผลิตทั้งประเทศก่อน ผมจะค่อยๆ ลำดับให้เข้าใจกันได้ง่ายๆ นะครับ

    1. กำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยเหลือเกินมาตรฐานสากลมากกว่า 2 เท่าตัว

    เรื่องประเทศเรามีโรงไฟฟ้าสำรองมากเกิน รัฐมนตรีพลังงานในขณะนั้น (พลเอกอนันตพร กาญจนรัตน์) ได้ออกมายอมรับ (6 ต.ค. 59) ว่าประเทศไทยมีกำลังผลิตสำรองเกิน 30% แต่ไม่ได้บอกว่าเกินมาเท่าใด (มาตรฐานสากลสำรองประมาณ 15%) ผมได้นำเสนอรายละเอียดในแผ่นภาพครับ
    560000012907701.jpg
    อดีตรัฐมนตรีพลังงานท่านนี้กล่าวว่า “ทางกระทรวงมีแผนจะลดกำลังสำรองให้เหลือแค่ 15% ภายในปี 2563 โดยชะลอการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ ยกเว้นพื้นที่ภาคใต้”

    ข้อมูลที่ทาง กฟผ. ได้ชี้แจงต่อสาธารณะได้ละเอียดมากขึ้น พบว่า ในช่วงปี 2559-2567 สำรองจะอยู่ระหว่าง 34-39% ดังรูปครับ
    560000012907702.jpg
    แต่ตัวเลขที่ได้กำหนดไว้ในแผนอยู่บนสมมติฐานที่ว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วง 20 ปี (2558-2579) เท่ากับ 3.94% แต่เมื่อผ่านมาแล้ว 3 ปี อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจกลับต่ำกว่าแผนค่อนข้างมาก ดังนั้น ในความเป็นจริงแล้ว ไฟฟ้าสำรองจึงน่าจะสูงกว่าที่ได้กำหนดไว้ในแผนดังรูป

    ปัจจุบันกำลังการผลิตไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นแทบทุกเดือน ในขณะที่การใช้ไฟฟ้าก็ลดลงเนื่องจากมีผู้ผลิตไฟฟ้าใช้เองมากขึ้น ทั้งจากมหาวิทยาลัย ศูนย์การค้า โรงงานอุตสาหกรรม และโรงพยาบาล จนเป็นข่าวที่ฮือฮากันมากว่า “รัฐบาลจะเก็บภาษีแดด” จึงเป็นที่สงสัยกันว่ากระทรวงพลังงานจะหาทางลดไฟฟ้าสำรองลงได้อย่างไร

    ล่าสุด (8 ธันวาคม 60) ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ ได้เสนอข่าวว่า ทาง บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ว่า “ยันโครงการโรงไฟฟ้า IPP รวม 5,000 เมกะวัตต์ยังเดินหน้าตามแผนที่วางไว้” (https://www.ryt9.com/s/iq10/2752189)

    ผมคิดว่า ทางบริษัทได้ถือไพ่ที่เหนือกว่า เพราะได้ทำสัญญาไว้แบบ “ไม่ซื้อก็ต้องจ่าย” ไว้แล้ว โดยจะทยอยเดินไฟฟ้าในปี 2564-2567 ทางออกของกระทรวงพลังงานคือการนำไฟฟ้าไปขายต่างประเทศผ่านสายส่งภายในประเทศ

    ภาพข้างล่างนี้คือการลงนามในสัญญา เมื่อเดือนกันยายน 2560 ที่ประเทศฟิลิปปินส์ เพื่อนำไฟฟ้าจากประเทศลาวไปขายสิงคโปร์ ภายใต้โครงการ LTM-PIP โดยในระยะแรกจะขายจำนวน 100 เมกะวัตต์
    560000012907703.jpg
    โดยในเดือนมกราคม 2560 ทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้เปิดประมูลก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าแรงสูงรวม 55 สัญญา ด้วยงบประมาณ 1.6 แสนล้านบาท (https://www.thailand-construction.com/egat-to-open-bids-on-high-voltage-lines/)

    2. กำลังการผลิตในภาคใต้ไม่พอจริงหรือ

    ในพื้นที่ภาคใต้นอกจากจะมี “โรงไฟฟ้า” เหมือนภาคอื่นๆ แล้วยังมีระบสายส่งที่เรียกว่า “HVDC” กับประเทศมาเลเซียอีก 300 เมกะวัตต์ เพื่อแลกไฟฟ้าและเสริมความมั่นคงทางไฟฟ้าซึ่งกันและกัน ซึ่งได้ทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2545 แต่ตลอดเวลา 15 ปีที่ผ่านมามีการเดินไฟฟ้าจริงเพียงประมาณ 30 เมกะวัตต์ หรือเพียง 10% ของแผนเท่านั้น แม้ในวันที่เกิดไฟฟ้าดับทั้ง 14 จังหวัดภาคใต้ ระบบนี้ก็ไม่สามารถส่งไฟฟ้ามาช่วยได้มากกว่า 30 เมกะวัตต์ ด้วยเหตุผลว่าระบบขัดข้อง

    แต่แล้วเมื่อต้นเดือนธันวาคมนี้ ประเทศไทยได้ส่งไฟฟ้าไปให้มาเลเซียถึง 101 เมกะวัตต์ (ดูรูปประกอบ) มากกว่าปกติที่เคยทำถึงกว่า 3 เท่าตัว เกิดอะไรขึ้น หรือว่าการผลิตไฟฟ้าในมาเลเซียมีปัญหา
    560000012907704.jpg
    หรือว่าการขายไฟฟ้าจากประเทศลาว (ซึ่งบริษัทไทยเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่) ให้ประเทศสิงคโปร์ได้เกิดขึ้นแล้ว

    และสิ่งที่ผมสงสัยมานานแล้วก็คือ ถ้าสามารถเพิ่มจากประมาณ 31 เมกะวัตต์เป็น 101 เมกะวัตต์ ก็น่าจะเพิ่มได้มากกว่านี้อีก ให้ใกล้เคียงกับกำลังสูงสุดคือ 300 เมกะวัตต์

    สมมติว่า กำลังการผลิตไฟฟ้าในภาคใต้ไม่พอจริงๆ แล้วทำไมไม่เอาไฟฟ้าส่วนที่จะขายให้กับสิงคโปร์ (ผ่านสายส่งประเทศมาเลเซีย) ไปป้อนให้ภาคใต้ก่อน

    ในทำนองเดียวกัน ในทุกภาคของประเทศก็มีสายส่งแรงสูงเชื่อมถึงกันหมด มีการส่งไฟฟ้าไป-มาถึงกันทุกภาค (สังเกตลูกศรในภาพ) ซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่ภาคใต้เพียงภาคเดียวที่ถูกอ้างอย่างมีนัยซ่อนเร้นว่า “โรงไฟฟ้าไม่พอ”

    ที่กล่าวว่ามีนัยซ่อนเร้น เพราะว่าพื้นที่ภาคใต้ติดทะเลมีความสะดวกในการขนส่งถ่านหินและปล่อยน้ำเสียลงทะเลได้สะดวกกว่าภาคอื่นนั่นเอง

    ภาพข้างล่างนี้แสดงกำลังของสายส่งแรงสูงที่เชื่อมระหว่างภาคกลางกับภาคใต้รวมทั้งกำลังการผลิตอื่นๆ ในภาคใต้ ผมก็ไม่เข้าใจ (จริงๆ) เช่นกันว่า สายส่งกำลัง 1,050 เมกะวัตต์ แต่มีมาตรฐานความมั่นคงแค่ 600 เมกะวัตต์ (ดูภาพประกอบ)
    560000012907705.jpg
    โปรดสังเกตนะครับว่า ในสถานการณ์ที่แหล่งก๊าซเจดีเอ (พื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย) หยุดซ่อม (แล้วใช้น้ำมันแทน 1 โรง) กำลังการผลิตรวมในภาคใต้ยังเท่ากับ 3,102 เมกะวัตต์ ในขณะที่ความต้องการสูงสุดปี 2558 เท่ากับ 2,425 เมกะวัตต์ ถ้าคิดไฟฟ้าสำรอง (อย่างง่ายๆ) ก็เท่ากับว่ามีสำรองถึง 28%

    ถ้าในช่วงที่มีการหยุดซ่อมซึ่งเกิดขึ้นปีละประมาณ 10 วัน เราเอาส่วนที่นำไปขายให้สิงคโปร์มาใช้ในภาคใต้ไม่ได้หรือ ซึ่งตอนนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถเพิ่มได้เกิน 100 เมกะวัตต์ สำรองก็จะเพิ่มเป็น 31%

    นี่ขนาดหยุดเดินเครื่องโรงไฟฟ้าจะนะ 2 ขนาด 766 เมกะวัตต์ไปแล้วนะ

    ข้อมูลในตารางข้างต้น ยังไม่ได้รวมโรงไฟฟ้าชีวมวลและไบโอก๊าซอีก 176 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าประเภทนี้สามารถกำหนดเวลาการผลิตได้ ต่างจากกังหันลมและโซลาร์เซลล์ซึ่งเราควบคุมไม่ได้

    พูดถึงกังหันลม ที่จังหวัดนครศรีธรรมราชซึ่งมีความสูงของเสา 137 เมตร จำนวน 70 ตัวรวม 126 เมกะวัตต์ ผมสังเกตอยู่หลายวันพบว่า แม้ดูด้วยตาว่าความเร็วลมต่ำเพราะยอดมะพร้าวไม่ไหว แต่กังหันลมซึ่งอยู่สูงกว่าก็ยังหมุน เท่าที่ผมทราบโครงการนี้สามารถขายไฟฟ้าได้วันละ 10-13 ล้านบาท (รวม Adder) และสามารถคืนทุนได้ภายใน 4 ปีเท่านั้น

    ผลงานวิจัยร่วมระหว่างกระทรวงพลังงานกับองค์กรระหว่างรัฐบาล (IRENA) เมื่อปี 2017 พบว่าประเทศไทยมีความเร็วลมที่ความสูง 90 เมตรเฉลี่ยทั้งปีประมาณ 6 เมตรต่อวินาที (ดาวน์โหลดรายงานได้ที่ https://irena.org/publications/2017/Nov/Renewable-Energy-Outlook-Thailand) ซึ่งเป็นความเร็วลมที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ดี

    3. ต้นทุนพลังงานลม โซลาร์เซลล์ และแบตเตอรี่ราคาลดลงมาก

    รัฐบาลนี้ชอบพูดถึง “ประเทศไทย 4.0” แต่ไม่ยอมพูดถึง “อุตสาหกรรม 4.0” ซึ่งเป็นยุคที่เทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนกับเทคโนโลยีการสื่อสารมาบรรจบกัน ส่งผลให้ต้นทุนพลังงานหมุนเวียนลดต่ำลงอย่างที่หลายคนคิดไม่ถึง การบริหารจัดการก็มีประสิทธิภาพมากขึ้น อำนาจในการผลิตไฟฟ้าที่เคยอยู่ในมือของกลุ่มทุนขนาดใหญ่มานับ 100 ปี ก็ได้เปิดโอกาสให้กับคนธรรมดาๆ ในครัวเรือน

    ภาพข้างล่างนี้ (บทความนี้มีภาพมากหน่อย เพราะต้องการเป็นหลักฐานอ้างอิงให้ค้นคว้าเพิ่มเติมได้) พบว่าที่รัฐอริโซนา สหรัฐอเมริกามีการประมูลขายไฟฟ้าซึ่งเป็นโซลาร์เซลล์ขนาด 100 เมกะวัตต์ สามารถเดินไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพราะเก็บไฟฟ้าไว้ในแบตเตอรี่

    ราคาไฟฟ้าตลอด 20 ปีเท่ากับ 1.47 บาทต่อหน่วย โปรดอ่านอีกครั้งครับ
    560000012907706.jpg
    สำหรับทางขวามือของภาพ เป็นโครงการที่เพิ่งเดินไฟฟ้าเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2560 ขนาด 30 กิโลวัตต์ ใช้เงินลงทุน 7.2 แสนบาท ลดลงกว่า 100% เมื่อเทียบกับที่ติดตั้งที่วัดยานนาวาเมื่อปี 2558

    คิดค่าไฟฟ้าต่อหน่วยเฉลี่ย (LCOE) ตลอด 25 ปีเท่ากับ 0.66 บาทต่อหน่วย แต่ไม่มีแบตเตอรี่เก็บ

    ท่านพระครูวิมลปัญญาคุณ แห่งโรงเรียนศรีแสงธรรม ได้กรุณาเล่าให้ผมฟังว่า ราคาแบตเตอรี่ (ลิเทียม) ขนาด 5 กิโลวัตต์ ราคา 73,000 บาท สามารถเก็บไฟฟ้าได้ตลอดอายุการใช้งาน 15 ปีด้วยต้นทุนเฉลี่ย 2.87 บาทต่อหน่วย และในอนาคตจะถูกกว่านี้อย่างรวดเร็ว

    นี่เป็นราคาจำนวนชิ้นเดียว ขนาดเล็ก ถ้าซื้อจำนวนมาก ขนาดใหญ่ระดับเชิงพาณิชย์ก็น่าจะลดลงอีกเยอะมาก

    ในขณะที่ราคาไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้ชี้แจงต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเมื่อปี 2558 เท่ากับ 2.67 บาทต่อหน่วย และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น

    แต่ราคาที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียน (จากแสงอาทิตย์และลม) รวมแบตเตอรี่กลับมีราคาลดลงอย่างรวดเร็ว และถูกกว่าที่ทาง กฟผ.เสนอ

    4. สรุป

    โดยสรุป ทั้งประเทศไทยไทยและภาคใต้ เรามีกำลังไฟฟ้าสำรองเกินมาตรฐานถึงกว่า 2 เท่าตัว ในขณะที่เทคโนโลยีพลังงานลมและแสงแดดรวมแบตเตอรี่ได้ลดลงจนถูกกว่าราคาจากถ่านหินในปัจจุบันแล้ว แต่ทำไมประเด็นสำคัญอย่างนี้จึงได้หายไปจากความสนใจของรัฐบาล กระทรวงพลังงาน รวมถึงสื่อมวลชน

    นอกจากพลังงานหมุนเวียนจะไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม การทำมาหากินของชาวบ้านแล้ว ยังเป็นการสร้างงาน และกระจายรายได้ รวมทั้งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่รัฐบาลนี้ได้ลงนามไว้ด้วย

    ทยอยเลิกเถิดครับ เพราะโรงไฟฟ้าถ่านหินใช้เครื่องจักรไอน้ำที่เป็น “อุตสาหกรรม 1.0” ซึ่งล้าหลัง แต่เทคโนโลยีโซลาร์และกังหันลมเป็นทฤษฎีควอนตัมฟิสิกส์ซึ่งทันสมัยกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้เลย ปัญหาทั้งหมดอยู่ที่วิสัยทัศน์ของผู้นำครับ

    https://mgronline.com/daily/detail/9600000124454
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2017
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    เปิดแผนการ ขบวนการไซออนิสต์ ลัทธิก่อการร้าย ผู้กุมอำนาจสหรัฐฯ ตัวจริง สู่การสถาปนารัฐยิว ปูทางสู่การครองโลก Publisher : 2017-12-10 10:53:03

    _n4(2).jpg

    จากกรณีที่ทางด้านสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้ลงนามรับรองนครเยรูซาเล็ม ให้เป็นเมืองหลวงของอิสราเอล หลายคนก็ตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไม โดนัลด์ ทรัมป์ ถึงต้องทำอย่างนั้น ดังนั้นวันนี้ เราจะพาผู้อ่านไปรู้จักกับขบวนการหนึ่ง ที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังรัฐบาลสหรัฐฯมาหลายยุคหลายสมัย นั่นคือ ขบวนการไซออนิสต์ (Zionism)

    2_USA-TRUMP-640x420_resize(12).jpg

    ปีค.ศ.1770 นักลงทุนข้ามชาติได้ร่วมประชุมก่อตั้งมูลนิธิโรดเชิลด์ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ที่เมืองแฟรงค์เฟิรต์ ประเทศเยอรมัน และได้มอบหมายให้ยิวคนหนึ่งชื่อ อาดัม ไวซ์เฮอวิท ร่างบันทึกข้อสนธิสัญญา ของนักปราชญ์อาวุโสแห่งไซออน ให้เป็นปัจจุบัน อาดัมได้ร่างบันทึกข้อสนธิสัญญาดังกล่าวอย่างสมบูรณ์เมื่อปี ค.ศ.1776 เนื้อหาหลักที่ได้รับการบรรจุในแผนนี้คือ ทำลายระบอบการเมืองและคำสอนศาสนาที่มีอยู่ เพื่อเปิดทางให้กับยิวในการครอบครองโลก เผยแพร่แนวคิดของยิวที่มีการบิดเบือนแทนที่ความเชื่อทางศาสนา ยุแหย่ประชาคมโลกให้เกิดความหวาดระแวง บาดหมางและปะทุสงครามระหว่างกัน ปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งความขัดแย้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง ดินแดน เผ่าพันธุ์ ความเชื่อและแนวคิดระหว่างคนในชาติ เพื่อให้เกิดความขัดแย้งตลอดเวลา และเป็นโอกาสให้แก่ยิวในการควบคุมสถานการณ์และเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้อย่างเต็มที่

    ปีค.ศ.1776 ได้จัดตั้งองค์กรรัศมีแห่งพระเจ้า โดยสามารถรวบรวมบุคคลที่มีชื่อเสียงจากทุกสาขาอาชีพไม่ว่าด้านศิลปะ ภาษา การศึกษา นักวิชาการ เศรษฐศาสตร์ นักธุรกิจจำนวนเกือบ 2,000 คน พร้อมกำหนดมาตรการสำคัญที่จะต้องยึดเป็นแนวปฏิบัติ ได้แก่

    1. ใช้อำนาจเงินและสตรีในการควบคุมผู้มีอิทธิพลและผู้มีตำแหน่งบทบาทสำคัญในทุกระดับชั้นของสังคม ไม่ว่าจะเป็นองค์กรภาครัฐ เอกชนหรือประชาสังคมก็ตาม ทั้งนี้เพื่อผลประโยชน์ขององค์กร

    2. สมาชิกที่เป็นนักวิชาการและอยู่ในแวดวงทางการศึกษา จะต้องให้ความสำคัญกับนักศึกษาที่เรียนดี หรือมาจากครอบครัวชนชั้นสูง เพื่อสร้างเป็นทายาทในการเผยแพร่แนวคิดขององค์กร ทั้งนี้ด้วยการให้ทุนการศึกษาและสนับสนุนด้านการเรียนของพวกเขาอย่างเต็มที่

    3. ต้องผลักดันบุคคลที่ยอมสวามิภักดิ์ต่อแนวคิดนี้ให้เป็นผู้นำรัฐบาลหรือเป็นหัวหน้าส่วนราชการ โดยมีองค์กรนี้เป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง ทั้งนี้เพื่อจะได้ปฏิบัตแผนการณ์ขององค์กรได้อย่างคล่องตัว และมีประสิทธิภาพสูงสุด

    4. สมาชิกทุกคนต้องพยายามเข้าไปมีบทบาทด้านหนังสือพิมพ์และสื่อประชาสัมพันธ์ทุกแขนง เพื่อสามารถเผยแพร่แนวคิดและชี้นำมวลชนตามความต้องการขององค์กร

    หลังจากนั้นองค์กรนี้ ได้เข้าไปซึมซับในองค์กรต่างๆ ทั่วโลกในรูปแบบและชื่ออันหลากหลาย จนกระทั่งเกิดปฏิวัติฝรั่งเศสเมื่อปี ค.ศ. 1798 เกิดสงครามโลกครั้งที่1 ระหว่างปีค.ศ.1914 ถึง 1918 และ สงครามโลกครั้งที่2 ระหว่างปีค.ศ. 1930 ถึง 1945

    zionism1.jpg

    แนวคิดเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐยิว ได้เริ่มอย่างเป็นรูปธรรมโดยรัฐบาลอังกฤษที่ได้ก่อตั้งสถานกงสุลครั้งแรกที่เมืองกุดส์ระหว่างปี ค.ศ.1839-1840 ซึ่งรัฐบาลอังกฤษได้ประกาศเจตนารมณ์ในการปกป้องยิว ในขณะที่หนังสือพิมพ์ไทมส์อังกฤษช่วงนั้นได้เริ่มปลุกกระแสความเป็นไปได้ของการก่อตั้งรัฐอิสราเอลโดยการอุดหนุนของรัฐบาลอังกฤษ หลังจากนั้นมีการส่งเอกอัครราชทูตอังกฤษและสหรัฐอเมริกาเพื่อติดต่อเจรจากับสุลฏอนอับดุลฮามิด กษัตริย์ราชวงศ์อุษมานียะฮฺ เกี่ยวกับโครงการการให้พำนักแก่ชาวยิวที่ปาเลสไตน์ ซึ่งได้รับการปฏิเสธจากสุลฏอนอับดุลฮามิดพร้อมกล่าวว่า ชาวยิวสามารถพำนัก ณ ส่วนใดก็ได้ในแผ่นดินที่ครอบครองโดยอาณาจักรอุษมานียะฮฺ ยกเว้นปาเลสไตน์ พระองค์ไม่เพียงปฏิเสธข้อเสนออย่างเดียว แต่ยังออกกฎหมายปีค.ศ.1880 ห้ามมีการอพยพชาวยิวเข้ามาพำนักที่ปาเลสไตน์และห้ามชาวยิวครอบครองที่ดินในปาเลสไตน์ กฎหมายในลักษณะดังกล่าวได้มีการรื้อฟื้นขึ้นใหม่ในปีค.ศ.1893 โดยกำชับห้ามชาวยิวทำการซื้อขายที่ดิน ณ ดินแดนปาเลสไตน์โดยเด็ดขาด

    ราวปี ค.ศ. 1897 ได้มีการก่อตั้งกลุ่มลัทธิไซออนิสม์ (Zionism) โดยกลุ่มชาวยิวปัญญาชนและพ่อค้ายิวที่ทำมาหากินจนร่ำรวยจากทั่วทุกมุมโลกจำนวน 900 คน ซึ่งเป็นผู้แทนองค์กรยิว กว่า 600 องค์กรได้จัดประชุมที่เมืองบาเซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีจุดประสงค์เพื่อนำชาวยิว กลับมาตั้งถิ่นฐานสร้างชาติยิวขึ้นมาใหม่บนแผ่นดินปาเลสไตน์ หลังจากกระจัดกระจายเป็นผู้อาศัยในประเทศต่างๆ เช่น รัสเซีย เยอรมัน โปแลนด์ แคนาดา อังกฤษ ซึ่งกลุ่มไซออนิสต์ยึดมั่นในพระคัมภีร์ที่ว่า "ปาเลสไตน์คือดินแดนที่พระเจ้ามอบไว้เพื่อชาวยิว"

    กลุ่มไซออนิสต์ใช้เวลานับสิบปีลงทุนกว้านซื้อที่ดินจากเจ้าของที่ดินชาวอาหรับโดยอาศัยช่องว่างทางกฏหมายและความอ่อนแอของระบบราชการ ตลอดจนจัดการพัฒนาพื้นที่ที่เคยแห้งแล้งให้สามารถเพาะปลูกได้ ถึงแม้สุลฏอนอับดุลฮามิดจะออกกฏหมายห้ามชาวยิวซื้อที่ดินในปาเลสไตน์ แต่ทุกอย่างก็สายเกินแก้ ที่ดินส่วนใหญ่ที่เป็นมรดกตกทอดของชาวมุสลิม บัดนี้ได้กลายเป็นกรรมสิทธิ์ของยิวโดยถูกต้องตามกฏหมายไปแล้ว

    ความพยายามของยิวไม่หยุดเพียงแค่นั้น พวกเขาพยายามหว่านล้อมสุลฏอนอับดุลฮามิดในทุกวิถีทาง แต่พระองค์ยังยึดมั่นในจุดยืนเดิม พระองค์ได้ออกกฏหมายอนุญาตให้ชาวยิวเข้าในปาเลสไตน์ในฐานะผู้เยี่ยมเยียนโดยมีสิทธิพำนักได้ไม่เกิน 30 วันซึ่งเป็นที่ทราบด้วยการออกวีซ่าเล่มแดง ท้ายสุดชาวยิวซึ่งนำโดยเธียวดอร์ เฮอร์เชิลได้ยื่นข้อเสนอมอบเงินจำนวน 5 ล้านปอนด์เพื่อเป็นค่าตอบแทนส่วนพระองค์แก่สุลฏอนอับดุลฮามิด และ150 ล้านปอนด์เพื่อเป็นเงินงบประมาณฉุกเฉินของประเทศ ตลอดจนเงินอีกจำนวนเท่าไรก็ได้ที่กำหนดโดยอาณาจักรอุษมานียะฮฺเพื่อเป็นเงินกู้ที่ปราศจากดอกเบี้ยและไม่กำหนดเวลาชำระหนี้ ทั้งนี้เพื่อแลกเปลี่ยนกับการอนุญาตให้ยิวครอบครองผืนดินสามเหลี่ยมระหว่างเมืองยาฟาและเดดซี (ทะเลมรณะ) ทั้งๆ ที่ในขณะนั้นอาณาจักรอุษมานียะฮฺประสบภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่ และกำลังทำสงครามกับรัสเซีย แต่ สุลฏอนอับดุลฮามิดก็ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวอย่างแข็งขัน พร้อมกล่าวว่า

    “ถึงแม้ท่านจะหยิบยื่นทองขนาดโลกนี้ทั้งใบ ข้าพเจ้าไม่มีวันที่จะรับข้อเสนอของพวกท่านได้ ข้าพเจ้าได้บริหารอาณาจักรอิสลามและปกครองประชาชาติของนบีมูฮัมมัด มานานกว่า 30 ปี ข้าพเจ้าไม่ยอมแปดเปื้อนประวัติศาสตร์อิสลามที่บรรพบุรุษของข้าพเจ้าได้ร่วมสร้างมาในอดีตโดยเด็ดขาด พวกท่านไม่มีวันที่จะได้แผ่นดินปาเลสไตน์ตราบใดที่อาณาจักรของข้าพเจ้ายังดำรงคงอยู่”

    จุดยืนอันมั่นคงดุจภูผาของสุลฏอนอับดุลฮามิดในครั้งนี้สร้างความโกรธแค้นแก่ยิวมาก สุลัยมาน มันซูร ซึ่งเป็นชาวยิวได้บันทึกในจดหมายลับฉบับหนึ่งของเขาว่า “เราได้เสนอจะให้เหรียญทองจำนวนมหาศาลแก่สุลฏอนอับดุลฮามิดเพื่อเป็นสินบนแก่การจะยกที่ดินผืนหนึ่งในเขตการปกครองของตุรกีให้เรา แต่พระองค์ปฏิเสธและไล่คนของเราออกมาอย่างน่าอัปยศ แต่พวกท่านจงมั่นใจเถิดว่า ในเวลาอันเหมาะสมนี้ เราจะต้องทำให้รัฐบาลที่เย่อหยิ่งจองหองนี้พังทลายลงกับพื้นดิน และจะทำร้ายพวกตุรกีเสียจนให้สภาพของพวกเขาเป็นทุกข์ยิ่งกว่าสภาพของชาวอินเดียนแดงในอเมริกาทีเดียวละ”

    หลังจากที่หมดหวังในการเจรจากับสุลฏอนอับดุลฮามิด ชาวยิวเริ่มใช้แผนสกปรกด้วยการวางแผนโค่นล้มระบบเคาะลีฟะฮฺและลอบปลงพระชนม์ ซึ่งในปีค.ศ 1905 ได้เกิดระเบิดรถยนต์พระที่นั่งของสุลฏอนอับดุลฮามิด แต่เนื่องจากพระองค์ยังไม่ประทับบนรถยนต์คันดังกล่าว พระองค์จึงรอดชีวิตอย่างหวุดหวิด หลังจากนั้นชาวยิวได้เริ่มรณรงค์ใส่ร้ายสุลฏอนอับดุลฮามิดทั้งในประเทศและนอกประเทศ โดยมีสมาคมลับทำหน้าที่เป็นศูนย์การประชุม วางแผนและเป็นศูนย์ปฏิบัติการ มีการแพร่กระจายคำขวัญ เช่นภราดรภาพ เอกภาพ เสมอภาค มีการเผยแพร่ลัทธิชาตินิยมอาหรับ ขบวนการยังเตอร์กได้รับการปลุกใจและสนับสนุนให้หันไปพึ่งการลอบวางเพลิงและการปล้นสะดม จนกระทั่ง กามาล อะตาเตอร์ก และอัสมัต อิโนโนปีค.ศ. 1924 ด้วยการนำของขบวนการยังเตอร์กที่นำโดย มุสตาฟา กามาล อะตาเตอร์ก และอัสมัต อีโนโน ได้เสนอต่อสภาแห่งชาติตุรกี เพื่อประกาศยกเลิกระบบเคาะลีฟะฮฺอิสลามและสถาปนาตุรกีเป็นรัฐปฏิเสธศาสนา(Secularism) ที่แยกศาสนาออกจากอาณาจักร มีการยกเลิกระบบศาลปกครองอิสลาม ปิดสถานศึกษาศาสนา ยกเลิกระบบมรดกอิสลาม เปลี่ยนอะซานจากภาษาอาหรับเป็นภาษาตุรกี ยกเลิกอักษรอาหรับเป็นอักษรลาติน เปลี่ยนวันหยุดราชการจากวันศุกร์เป็นวันอาทิตย์ มรดกอิสลามเหล่านี้ถูกปราบปรามอย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์เมื่อปีคศ.1928 ถือเป็นการปิดตำนานอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่เคยเป็นศูนย์รวมของประชาชาติมุสลิมและสัญลักษณ์ความเป็นภราดรภาพอิสลามเป็นเวลานานกว่า 600 ปี และเพื่อเป็นการตอบแทนรางวัลความดีความชอบของทาสรับใช้ที่ชื่อมุสตาฟา กามาล อะตาเตอร์กนี้ ตุรกีจึงเป็นประเทศแรกที่ได้รับอิสรภาพจากการเป็นประเทศอาณานิคมของอังกฤษ

    ปีค.ศ.1914 เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 อาณาจักรอุษมานียะฮฺเป็นฝ่ายแพ้สงคราม และในปีค.ศ. 1918 อาณาจักรอุษมานียะฮฺยอมลงนามสงบศึก ประเทศต่างๆที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรอุษมานียะฮฺก็ถูกเฉือนแบ่งเป็นชิ้นๆโดยนักล่าอาณานิคม โดยเฉพาะปาเลสไตน์ซึ่งตกอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษระหว่างปีค.ศ.1920-1948

    ความขัดแย้งในการครอบครองดินแดนยังคงคุกรุ่นอยู่เรื่อยมาโดยมีกลุ่มไซออนิสต์ ดำเนินการอยู่ทั้งโดยเบื้องหน้าและเบื้องหลัง จนกระทั่งภาคพื้นยุโรปเกิดสงครามโลกขึ้นและได้ลุกลามขยายวงกว้างมายังดินแดนปาเลสไตน์

    กล่าวได้ว่าผลพวงของสงครามโลกครั้งที่ 1 คือการล่มสลายของระบบเคาะลีฟะฮฺอิสลาม และผลลัพท์ของสงครามโลกครั้งที่ 2 คือการสถาปนารัฐอันธพาลอิสราเอล ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผู้บงการที่แท้จริงและผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังของสงครามโลกทั้งสองครั้ง หาใช่เป็นผู้อื่นนอกจากยิวไซออนิสต์นั่นเอง

    ที่มา : จากหนังสือ"ปาเลสไตน์ แผ่นดินที่ไร้ประชาชน เพื่อทรชนผู้ไม่มีแผ่นดิน"

    3(805)_resize.jpg

    ขณะที่ทางด้าน ขบวนการไซออนิสต์ (Zionism) คือลัทธิไซออนิสต์ หรือ องค์การไซออนิสต์ (Zionist) ยุคใหม่ ก่อตั้งโดยนายธีโอดอร์ เฮอร์เซิล ด้วยเจตนาที่จะรื้อฟื้นสิ่งที่พวกเขาคิดว่า เป็นแผ่นดินที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้เป็นการเฉพาะแก่พวกยิว

    เขาได้ก่อความหวังให้คนรุ่นใหม่ หรือยิวรุ่นใหม่ เพื่อที่จะนำพาไปสู่การตั้งรัฐยิวในพื้นที่ดินแดนที่พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าทรงประทานให้กับพวกเขา ธีโอดอร์ เฮอร์เซิล รวบรวมและอพยพชาวยิวไปยังดินแดนหนึ่ง และทำสัญญากับมหาอำนาจในยุโรปเพื่อประกันสิทธิในดินแดนนั้น รวมทั้งต้องมีองค์กรที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุนการอพยพ และตั้งถิ่นฐานใหม่นี้ด้วย และองค์กรที่ว่านี้คือไซออนิสต์

    และพวกเขาได้ทำการกำหนดยุทธศาสตร์ ขององค์กร เพื่อนำไปสู่เป้าหมายเอาไว้อย่างชัดเจน อันประกอบไปด้วย แผน 3 ขั้น คือ

    1. ก่อนตั้งรัฐอิสราเอลในปาเลสไตน์
    2. ระหว่างตั้งรัฐอิสราเอลในปาเลสไตน์
    3. หลังตั้งรัฐอิสราเอลในปาเลสไตน์

    และพวกเขาก็ได้เดินตามแผนที่ได้วางเอาไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยใช้คน ที่มีศักยภาพ เพื่อการนำไปสู่เป้าหมายสูงสุด นั่นคือ

    การนำเอาเยาวชนที่มีศักยภาพ เข้าสู่ระบบการศึกษาที่มีคุณภาพให้มากที่สุด ส่งเสริมให้เข้าศึกษาในสถาบันชั้นนำของโลก ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ หรือว่ามหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด เป็นต้น

    หลังจบการศึกษา ก็จะผลักดันให้คนเหล่านี้ เข้าทำงานในสถานประกอบการณ์ระดับโลก ที่ควบคุมด้านการเมือง เศรษฐกิจ และ สังคม ในทุกภูมิภาคของโลก ไม่ว่าจะเป็นสถานบันการเงินของโลก หน่วยงานความมั่นคงอย่าง FBI , CIA หรือแม้แต่สหประชาชาติ หลังจากนั้นก็จะใช้สายงานที่ตนเองนั้นรับผิดชอบสร้างอิทธิพล ต่อประเทศต่าง ๆ สร้างเครือข่ายมหาอำนาจ อย่างเป็นกระบวนการเป็นระบบ มากยิ่งขึ้น และสิ่งดังกล่าวจะถูกสร้างขึ้นมารุ่นต่อรุ่น จวบจนถึงปัจจุบันนี้

    นอกจากนั้นแล้วองค์กรแห่งนี้จะเข้าไปจัดการ ควบคุมกระบวนการทางการเงิน การธนาคาร และการคลังของโลก แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็น ธนาคารระหว่างประเทศเพื่อการฟื้นฟูบูรณะและการพัฒนา หรือธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของกลุ่ม ไซออนิสต์ สิ่งดังกล่าวไม่ได้เพียงเพื่อการกล่าวอ้างเลื่อนลอย อาทิเช่น จอร์จ โซรอส ที่เรียกกันว่าพ่อมดทางการเงิน ก็เป็นยิวโดยแท้ หรือแม้แต่ อลัน กรีนสแปน อดีตผู้ว่าธนาคารชาติสหรัฐฯ ก็เป็นชาวยิว เช่นเดียวกัน

    นอกจากนั้นแล้ว ไซออนิสต์ ยังมีองค์กรแบบเปิดเผย และ องค์กรลับในการจัดการ ทุกอย่างเป็นกระบวนการ มีสื่อที่อยู่ในมือ เพื่อสร้างภาพ สร้างกระบวนการรับรู้ โฆษณาชวนเชื่อ อย่างเป็นกระบวนการ สื่อในตะวันตก หลายสำนัก อยู่ภายใต้กระบวนการ และ ทุนของชาวยิว แทบทั้งสิ้น


    ดังนั้นจากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่า แท้ที่จริงแล้ว ในทุกยุคทุกสมัย ของรัฐบาลสหรัฐฯ นั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของขบวนการไซออนิสต์ (Zionism) เพื่อที่จะเดินหน้าสู่เป้าหมายคือการสถาปนาประเทศอิสราเอล ให้สำเร็จ และเมื่อนั้น ขบวนการไซออนิสต์ (Zionism) ก็จะครองโลก ตามแผนที่วางเอาไว้

    เรียบเรียงโดย
    สถาพร เกื้อสกุล

    http://www.tnews.co.th/contents/bg/388687
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2017
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปอกเปลือก ทรราช
    ปูตินสั่งถอนกองทัพรัสเซียออกจากซีเรีย ขณะเดินทางไปเยือนฐานทัพอากาศของรัสเซียในซีเรีย และเดินทางไปเยือนกรุงไคโรต่อ

    FB_IMG_1513001339503.jpg FB_IMG_1513001345544.jpg FB_IMG_1513001349889.jpg FB_IMG_1513001356487.jpg

    --------------

    วันที่ 11 ธ.ค. 60 RT พาดหัวข่าวว่า "ปูตินมมีคำสั่งถอนกองทัพรัสเซียออกจากซีเรีย ระหว่างเดินทางไปเยือนฐานทัพอากาศ Khmeimim" (Putin orders withdrawal of Russian troops from Syria during surprise visit to Khmeimim Airbase)

    ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินแห่งรัสเซียได้มีคำสั่งห้ถอนกองทัพของรัสเซียออกจากซีเรีย ระหว่างการเดินทางไปเยือนฐานทัพอากาศ Khmeimim ของรัสเซียที่จังหวัด Latakia ประเทศซีเรียในตอนเช้าของวันจันทร์นี้

    ในการเดินทางไปเยือนซีเรียแบบจู่โจมในครั้งนี้ ประธานาธิบดีปูตินได้พบกับประธานาธิบดีบัชชาร์ อัสซาด (Bashar Assad) แห่งซีเรีย และพล.อ. Sergey Shoigu รมว.กลาโหมรัสเซียที่ฐานทัพด้วย ฐานทัพแห่งนี้เป็นกองบัญชาการใหญ่ของรัสเซียในปฏิบัติการปราบปรามขบวนการก่อการร้ายไอซิสในซีเรีย

    "ผมได้สั่งให้ท่านรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมและท่านเสนาธิการกองทัพเริ่มทำการถอนกองทัพรัสเซียไปยังสถานที่ประจำการที่ถาวร (permanent deployment) ของตนเอง" ปูตินกล่าวในการกล่าวถ้อยแถลงต่อบุคคลากรทางทหารของรัสเซียที่ฐานทัพอากาศ Khmeimim

    ผู้นำรัสเซียได้กล่าวต่ออีกว่า ตลอดช่วงระยะเวลาสองปีมานี้ กองทัพรัสเซียและซีเรีย "ได้เอาชนะกลุ่มก่อการร้ายสากลในสนามรบที่หินที่สุด ตนเองได้กระทำการตัดสินใจว่า จำนวนกองทหารรัสเซียจำนวนมากในซีเรียควรจะเดินทางกลับบ้านได้แล้ว"

    ประธานาธิบดีปูติน เตือนว่าพวกผู้ก่อการร้ายจะพยายาม "โผล่หัว (rear their heads)" ขึ้นมาในซีเรียอีกครั้ง รัสเซียจะก็จะโจมตีพวกมัน (อีก) "อย่างที่พวกมันไม่เคยเห็นมาก่อน" (as they have never seen before)

    หลังจากการเยือนซีเรียแบบจู่โจมแล้ว ประธานาธิบดีของรัสเซียก็ได้เดินทางต่อไปยังกรุงไคโร เมืองหลวงของอียิปต์ ซึ่งมีกำหนดการพบกับประธานาธิบดี Abdel Fattah al-Sisi แห่งอียิปต์

    [ในการเดินทางไปเยือนซีเรียในครั้งนี้ของปูติน ประธานาธิบดีอัสซาดแห่งซีเรียได้เดินทางไปให้การต้อนรับประธานาธิบดีปูตินที่ฐานทัพอากาศ Khmeimim ด้วย ทั้งสองสวมกอดกันด้วยมิตรภาพที่อบอุ่นเหมืนอสหายรักได้เจอกันอีกครั้ง หลังจากที่ทั้งสองท่านเพิ่งจะสวมกอดกันที่เมืองโซชิเมื่อเดือนที่แล้ว ช่างเป็นภาพที่บาดตาบาดใจคุณอีแร้งและเดอะแก๊งยิ่งนัก

    ผู้นำรัสเซียและผู้นำซีเรียได้เข้าฟังสรุปบรรยายผลการปฏิบัติการปราบปรามขบวนการก่อการร้ายไอซิสในซีเรียโดยกองทัพรัสเซีย ที่ฐานทัพอากาศของรัสเซียร่วมกันด้วย

    คาดว่าคำสั่งของปูตินในครั้งนี้ อาจจะเป็นการลดจำนวนกำลังทหารภาคพื้นดินบางส่วนในซีเรียลง หลังจากที่กลาโหมของรัสเซียประกาศชัยชนะเหนือกลุ่มก่อการร้ายซีเรียอย่างเป็นทางการเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หรืออาจจะเป็นการสับเปลี่ยนกำลังพลให้หน่วยอื่นเข้ามารับหน้าที่แทนเพื่อฝึกบุคคลากรทางทหารของตนเองให้ชินกับสนามรบจริงก็ได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ทางรัสเซียก็เคยทำแบบนี้มาแล้ว ประกาศอย่างเป็นทางการในถอนหน่วยเก่าออก

    แต่ในขณะเดียวกันก็มีรายงานข่าวว่ากองทัพรัสเซียทะยอยส่งเรือรบ เครื่องบินรบ กำลังพล และความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าไปในซีเรียเรื่อยๆ แหม… นึกว่าจะประกาศว่า "ถอนกองทัพรัสเซียออกจากซีเรีย เพื่อไปลุยต่อที่ปาเลสไตน์ซะอีก"

    ในการเดินทางไปเยือนกรุงไคโรนั้น ประธานาธิบดีซิซีแห่งอียิปต์ก็เดินทางไปให้การต้อนรับผู้นำรัสเซียที่สนามบินด้วยตัวเอง คุยกันกระหนุงกระหนิงตามประสามิตรสหาย ช่างเป็นภาพที่บาดตาบาดใจสหรัฐยิ่งนัก ป่านนี้พวกเพนตากวนและซีไอเอและทำเนียบขาวคงจะกัดลิ้นตนเอง หยิกเนื้อตนเองจนเขียวช้ำไปหมดแล้วมั๊ง? - ผู้แปล]

    The Eyes
    เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
    https://www.facebook.com/fisont
    https://vk.com/theeyesproject
    11/12/2560
    -----------
    https://www.rt.com/news/412690-putin-syria-comes-khmeimim/
    https://sputniknews.com/middleeast/201712111059890490-putin-syria-hmeymim-airbase-troops-withdrawal/
    http://tass.com/defense/980174




     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ThaitravelCenter

    ปราสาท “บราน” จุดเริ่มต้นตำนานแดร็กคูล่า

    FB_IMG_1513004330825.jpg FB_IMG_1513004360082.jpg FB_IMG_1513004363496.jpg FB_IMG_1513004367141.jpg FB_IMG_1513004371346.jpg FB_IMG_1513004374951.jpg FB_IMG_1513004378387.jpg

    ถ้าพิจารณาความงามของสถาปัตยกรรมหรือความยิ่งใหญ่ ปราสาท “บราน” ในประเทศโรมาเนีย ไม่ถึงกับโดดเด่นเป็นเลิศ แต่ทว่าถ้าวัดกันที่ความมีชื่อเสียง ก็ต้องยอมรับว่าปราสาทแห่งเมืองบราน ไม่น้อยหน้าไปกว่าปราสาทอื่นแน่ๆ เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะปราสาทแห่งนี้ มีจุดขายเรื่องการเป็นปราสาทแดร็กคูล่า สุดยอดตำนานแวมไพร์ที่ทั่วโลกครั่นคร้าม แม้ว่าประวัติศาสตร์จริง ไม่ได้เป็นไปตามที่คนร่ำลือแต่อย่างใด เพราะเรื่องจริงนั้น คือ ในยุคที่แคว้นทรานซิลวาเนียยังสู้รบกับจักรวรรดิออตโตมาน เจ้าชาย ‘วลาด’ ผู้ครองปราสาท เป็นนักรบผู้แกร่งกล้า โหดเหี้ยมไร้ความปราณีต่อศัตรู กลายเป็นที่เลื่องลือ บ้างเล่าต่อๆกันไปว่า เจ้าชายดื่มเลือดจากศัตรูด้วย !

    จากนั้นราว 400 ปีถัดมา เมื่อนักเขียนชาวไอริช ‘บราม สโตเกอร์’ อ่านประวัติของเจ้าชายวลาด จึงนำมาแต่งเติมใส่จินตนาการของตนเอง ดัดแปลงจนกลายเป็นนวนิยายสยองขวัญ Dracula ในปี 1897 ส่งความโด่งดังไปในระดับโลก และนั่นก็ทำให้ปราสาท "บราน" กลายเป็นสุดยอดแหล่งท่องเที่ยวประจำประเทศโรมาเนียไปในที่สุด แม้ในช่วงแรก อาจมีชาวโรมาเนียนบางส่วน ไม่เห็นด้วยที่นักเขียนดัง นำประวัติของวีรบุรุษนักรบ มาดัดแปลงผิดเพี้ยนกลายมาเป็นเรื่องราวสยองขวัญ ต้นตำนานผีดิบดูดเลือด

    แต่ทว่าจากวันนั้นจวบกระทั่งจนวันนี้ ปราสาท "บราน" ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในปราสาทที่มีชื่อเสียงระดับโลก สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวให้ประเทศโรมาเนียเกินกว่าจะประเมินค่าไปแล้ว คงไม่มีใครต่อต้านสักเท่าไหร่แล้วล่ะ

    ข้อมูลเพิ่มเติม http://www.bran-castle.com
    ขอขอบคุณรูปภาพจาก
    http://www.bran-castle.com/dracula.html
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Thanong Fanclub

    ฝันที่ใกล้ความจริง

    FB_IMG_1513004744035.jpg FB_IMG_1513004747659.jpg

    ทรัมป์และโอบามาได้ไปสวดมนต์ที่กำแพงตะวันตกที่เชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของวิหารโซโลมอนแห่งที่2ที่เขาวิหาร Temple Mountในย่านเมืองเก่าของเยรูซาเลมที่ถูกพวกโรมันทำลายในปีค.ศ.70ในสงครามยิวกับโรมัน

    ผู้นำสหรัฐมีใบสั่งให้เอาเยรูซาเลมกลับคืนจากการครองครองของอิสลามให้ได้ เพื่อสร้างวิหารโซโลมอนแห่งที่3เพื่อเป็นศูนย์กลางของศาสนาโลกต่อไป

    ช่วงสงครามครูเสดเพื่อแย่งชิงเยรูซาเลมที่เป็นบ่อเกิดศาสนาจูดาห์คริสต์และอิสลามที่มีรากเหง้าเดียวกัน อิสลามชนะทำให้ครอบครองเยรูซาเลมเรื่อยมา

    ต่อมาอาณาจักรออตโตมันได้ครอบครองเยรูซาเลม หลังสงครามโลกครั้งที่1 ออตโตมันล่มสลาย อังกฤษมีนโยบายBalfour Declarationให้ชาวยิวยุโรปไปตั้งรัฐยิวที่ปาเลสไตน์เพื่อยึดเยรูซาเลมจากอิสลาม

    เป้าหมายคือการสร้างวิหารโซโลมอนแห่งที่3 ถ้าเป็นเช่นนั้นศาสนสถาน2แห่งของชาวมุสลิมคือDome on The Rock และสุเหร่าอัลอักซ่าบนเขาวิหารต้องมีอันเป็นไปเพื่อเปิดทางให้สร้างวิหารโซโลมอนหรือไม่ เป็นเรื่องที่อ่อนไหวที่สุดในทางศาสนา

    11/12/2017
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    วอดทั้งหลัง! เพลิงลุกไหม้เจดีย์ไม้ 16 ชั้นสูงสุดในเอเชีย ถล่มลงต่อหน้าต่อตา

    เมื่อวานนี้ (10 ธ.ค.) เวลา 12.40 น. เกิดเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่อันน่าสลดใจที่วัดจิ่วหลง เมืองเหมียนจู๋ มณฑลเสฉวน เปลวเพลิงกลืนกินอารามหลักของวัดและเจดีย์ไม้สูง 16 ชั้นซึ่งได้ชื่อว่าสูงที่สุดในทวีปเอเชีย

    เจดีย์ไม้แห่งนี้สร้างมาเป็นเวลา 8 ปี ความสูง 16ชั้น หรือราว 80 กว่าเมตร สร้างด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมโบราณของจีน

    ผู้ที่อยู่ในที่เกิดเหตุถ่ายภาพวิดีโอขณะเพลิงลุกไหม้ไว้ได้ พร้อมวินาทีที่เจดีย์ไม้แห่งนี้โดนเพลิงเผาทำลายจนพังถล่มลงต่อหน้าต่อตา ภายในคลิปวิดีโอยังได้ยินเสียงโอดครวญด้วยความสลดใจดังมาไม่ขาดสาย

    เปลวเพลิงลุกไหม้กินพื้นที่ 800 ตารางเมตร ไฟมอดลงเมื่อเวลา 16.30 น. และยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต ส่วนสาเหตุเพลิงไหม้ยังคงอยู่ระหว่างการสืบสวน
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Planet X นิบิรู(Nibiru) และ ชาวสุเมเรี่ยน
    การค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่สิบ ตามตำนานของชาวสุเมเรี่ยน

    Where do human come from?
    เรื่อง นี้เก็บตกมาจากหนังสือของนักภาษาศาสตร์ Zecharia Sitchin เขาเขียนหนังสือดังๆไว้หลายเล่มด้วยกันในที่นี้จะเก็บรายละเอียดย่อๆมาเล่า ให้ฟังพอหอมปากหอมคอนะครับ



    อีตา Sitchin เนี่ยเค้ามีความเชื่อว่ามนุษย์เรานี้เป็นทายาทของมนุษย์ต่างดาวครับ บางท่านก็คงจะนึกว่ามันจะแปลกอาไร๊… เพราะนักเขียนฝรั่งที่เชื่อแบบเดียวกันและเขียนหนังสืออกมาก็มีกันตั้งหลาย คน อันนั้นมันก็ใช่อยู่หรอกครับ เพียงแต่ตา Sitchin เนี่ยค่อนข้างจะเชี่ยวชาญเรื่องอักขระโบราณ เขาเดินทางไปทั่วโลกเพื่อตามรอยอารยธรรมที่มีคนเชื่อกันว่าเป็นอารยธรรมที่ มาจากนอกพิภพ งานเขียนของเขาครอบคลุมอย่างกว้างขวางไล่ไปตั้งแต่เรื่องของสโตนเฮนจ์ โบราณสถานเทียฮัวนาโค รวมไปถึงอายธรรมโบราณของสุเมเรียนซึ่งสืบเชื้อสายมาจากชาว Nibiruans ในคำจารึกของชาวสุเมเรียนเรียกพวกเขาว่า อานันนาคิ (Anunnaki) ซึ่ง Anunnaki นี่แหละครับที่ตา Sitchin เชื่อว่าไม่เพียงแต่สร้างอารยธรรมในดินแดนเมโสโปเตเมียเท่านั้น แต่ยังสร้างอารยธรรมของทั้งโลกอีกด้วย พวกเขามาจากดาวเคราะห์ดวงที่ชื่อว่า นิบิรุครับ


    จากการถอดรหัส อักษรคูนิฟอร์มมากกว่าสองพันชุดที่จารึกเรื่องราวในดินแดนแถบอ่าวเปอร์เซีย เอาไว้ บางจารึกมีอายุถึงหกพันปี บางจารึกก็แตกหักไม่สมบูรณ์แถมยังกระจายอยู่ตามพิพิธภัณฑ์ทั่วโลก มีจารึกคูนิฟอร์มชิ้นนึงที่ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ในประเทศเยอรมณีกล่าวถึงราย ละเอียดทางดาราศาสตร์บางประการ โดยเฉพาะที่ชี้ว่าโลกถือเป็นดาวเคราะห์ดวงที่เจ็ดหากนับจากดาวพลูโตนี่แหละ ครับ ฟังแล้วน่าทึ่งจริงๆ เพราะอายุของจารึกคูนิฟอร์มนี้มันปาเข้าไปตั้งสี่พันกว่าปีแล้ว ทั้งที่นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เพิ่งค้นพบดาวพลูโตและนับมันเป็นดาวเคราะห์ ดวงหนึ่งในระบบสุริยะเมื่อเร็วๆนี้เอง ชาวสุเมเรียนโบราณเค้ารู้จักดาวพลูโตกันได้อย่างไร น่าทึ่งนะครับ ยังมีสิ่งน่าทึ่งกว่านี้อีกครับ ในจารึกของชาวสุเมเรียนโบราณบอกไว้อย่างชัดแจ้งว่าพวกเขามาจากห้วงท้องฟ้า ที่เรียกกันว่านิบิรุ


    พระเจ้าหรือพระผู้สร้างจาก นิบิรุพาพวกเขาล่องเรือลงมายังโลก แล้วก็ปล่อยให้ชาวสุเมเรียนโบราณเหล่านี้ ใช้ชีวิตเริ่มต้นอารยธรรมกันบนดินแดนเมโสโปเตเมีย ชาวสุเมเรียนเหล่านี้ หาได้มีความสามารถสร้างอากาศยาน เพื่อท่องไปทั่วอวกาศอย่างพระผู้สร้างไม่ แต่ความรู้ที่พระผู้สร้างจากนิบิรุทิ้งไว้ให้นี้ ก็เล่นเอานักวิทยศาสตร์ปัจจุบันงงเป็นไก่ตาแตกเหมือนกันแหละครับ สำหรับท่านที่สนใจรายละเอียดแบบลึกๆของเรื่องนี้ คงต้องหาหนังสือมาอ่านกันเองล่ะครับ เพราะรายละเอียดค่อนข้างแยะ


    เอา เป็นว่าผมจะสรุปรวมๆให้ว่า เนื้อหาของหนังสือเขาครอบคลุมไปถึงเรื่องของ Nefilim ด้วย อันว่า Nefilim นี้เป็นกลุ่มชนที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเก่า อันเจ้าคำว่า Nefilim นี้เป็นภาษาฮีบรูโบราณแปลว่า "ผู้ลงมาจากเบื้องบน" การตีความจารึกของ Sitchin นั้นเต็มไปด้วยความยากลำบาก ถึงกระนั้นก็เป็นสิ่งที่ท้าทายความสามารถของเขาเป็นอย่างมาก Sitchin ออกเดินทางไปทั่วโลก ตระเวณไปตามแหล่งอารยธรรมต่างๆเพื่อหาห่วงโซ่ที่จะโยงปริศนาทั้งหลายเข้า ด้วยกัน


    Sitchin ให้ทัศนะที่น่าสนใจเกี่ยวกับอะไรบางอย่าง ซึ่งคนทั่วไปเรียกมันว่า "ใบหน้าบนดาวอังคาร" หรือ Face On Mars อันว่า Face On Mars นี้เป็นที่กังขากันมานานแล้วครับว่าเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเพียงการเล่นตลก ของแสงกับมุมกล้อง สำหรับท่านที่ตกข่าวอยู่ ผมจะท้าวความให้ก็ได้ว่าเจ้า Face On Mars ที่ว่านี้เป็นสิ่งก่อสร้างลักษณะคล้ายใบหน้าสฟิงก์และหมู่ปิระมิด ซึ่งยานอวกาศขององค์การนาสาถ่ายได้โดยบังเอิญ ในบริเวณที่ราบที่เรียกกันว่า Cydonia บนดาวอังคาร (เรื่องนี้กรุณาอ่านในหัวข้อ Face On Mars นะครับ) ตอนนี้ยังไม่มีใครตีความออกว่าลักษณะของสฟิงก์ที่รายล้อมด้วยหมู่ปิระมิด นั้นหมายถึงอะไร แต่คาดกันว่า น่าจะใช้เป็นจุดสังเกตทางอากาศเมื่อจะนำยานลงจอดมากกว่าอย่างอื่น เพราะสิ่งก่อสร้างลักษณะนี้จะดูสะดุดตามากหากมองจากทางอากาศ หากเป็นจริงแล้ว สฟิงก์แห่งกิซาและมหาปิระมิดอาจเป็นจุด Landing ของยานจากดาวนิบิรุก็ได้


    ปริศนาอย่างหนึ่งของ สฟิงซ์และมหาปิระมิดก็คือมันถูกสร้างด้วยฝีมือของชาวอียิปต์จริงๆหรือไม่ เพราะอายุอานามของปิระมิดและสฟิงซ์นั้น จากการตรวจสอบทางโบราณคดีอายุมันมากกว่าบันทึกทางประวัติศาสตร์ของอียิปต์ ตั้งสองพันกว่าปี หากเป็นอย่างนั้นจริง ฟาโรห์คีออปส์ก็หาใช่ผู้สร้างปิระมิดเลย พระองค์เพียงแต่บูรณะมหาปิระมิดขึ้นมาแล้วก็อ้างชื่อในฐานะผู้สร้างเท่านั้น แน่ล่ะครับเป็นถึงเหนือหัวเจ้าแผ่นดินนี่นา จะทรงสั่งให้อาลักษณ์บันทึกประวัติศาสตร์ยังไงก็ได้ทั้งนั้นแหละ



    จงเตรียมพร้อม!!!

    การศึกษาเรื่องของพระเจ้าโดยอาศัยเงื่อนงำจากตำนานสุเมเรียนโบราณยังคงดำเนิน ต่อไป หากเรื่องนี้เป็นเพียงตำนานเหลวไหลแล้วองค์การเบิ้มๆอย่างนาสา คงไม่บ้าจี้ค้นหานิบิรุตามตำนานหรอกครับ ปัจจุบัน ณ อาร์เจนตินาและชิลี นาสาได้ขอความร่วมมือตั้งกล้องโทรทัศน์ขนาดมหึมา เพื่อสอดส่องหาอะไรบางอย่างอยู่อย่างเงียบเชียบ นาสาปิดบังสิ่งใดไว้หรือครับ? อเมริกาและมหาอำนาจอื่นๆกำลังทำอะไรกันอยู่ …เตรียมพร้อมรับการมาถึงของ Anunnaki?

    หลัก ฐานอีกชิ้นที่ยืนยันการมีอยู่ของพระเจ้าจากอวกาศ ก็คือแผนที่ครับ เป็นแผนที่โลกจารึกอยู่บนแผ่นดินเหนียวอายุอานามกว่าหกพันปี มีเส้นรุ้งเส้นแวงครบถ้วนตามกระบวนการทำแผนที่ยุคปัจจุบันเด๊ะ เพียงแต่ลักษณะของทวีปต่างๆไม่เหมือนกับปัจจุบันเลยซักนิดเดียว มันคืออะไร? แผนที่โลกนี้เมื่อนมนานมาแล้วหรือว่าเป็นแผนที่ของดวงดาวอันไกลโพ้น ดวงดาวที่ Anunaki นำบรรพชนของเราลงมายังโลก มีงานเขียนบางชิ้นกล่าวถึงการสร้างมนุษย์จากหลอดทดลอง มนุษย์ที่ว่าก็คือบรรพชนของเรานี่แหละครับ งานเขียนเหล่านั้นจะอ้างอิงคัมภีร์พันธสัญญาเก่าเป็นหลัก อาศัยการตีความจากไบเบิลเท่านั้น แต่บันทึกของสุเมเรี่ยนเจ๋งกว่า เพราะมีทั้งเรื่องราวและภาพโครงสร้างของ DNA อยู่อย่างเสร็จสรรพ(รออ่านนะครับ กำลังรวบรวมข้อมูล) ชาวสุเมเรียนโบราณรู้เรื่อง DNA ตลอดจนวาดภาพโครงสร้างของมันออกมาได้อย่างไรครับหากเขาไม่เคยเห็นมาก่อน?


    คำ ถามสุดท้ายสำหรับช่วงนี้คืออนาคตของมนุษย์จะเป็นอย่างไรต่อไป ทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศกำลังมีน้ำหนักและอิทธิพลต่อความเชื่อของคนยุคปัจจุบัน มากขึ้นทุกที หลายคนเริ่มคล้อยตามในขณะที่บางคน บางกลุ่ม โดยเฉพาะชาติมหาอำนาจยอมรับมันมานานแล้ว เราอาจถูกสร้างโดยพระผู้สร้างผู้เดินทางมาจากอวกาศ สักวันเราจะมีโอกาสเจริญรอยตามพระผู้สร้างได้หรือไม่ เพราะอย่างน้อยตอนนี้มนุษย์เราได้เติบโตขึ้นกว่าเดิมมากมาย เรียกได้ว่าก้าวหน้าทั้งศาสตร์และศิลป์จนทำให้บัลลังก์ของพระเจ้าจากอวกาศ เริ่มสั่นคลอนบ้างแล้ว ที่สำคัญคือสันดานก้าวร้าวในตัวมนุษย์รวมถึงนิสัยชอบก่อสงครามนี่แหละจะทำ ให้มีปัญหาขึ้นมา จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามนุษย์ส่วนหนึ่งเกิดปีกกล้าขาแข็งและคิดจะวัดรอยเท้าพระ เจ้าขึ้นมา?


    Planet - X

    ดาวเคราะห์ดวงที่ 12 บางเวปเรียกว่า ดาวเคราะห์ดวงที่ 10 หรือเรียกว่า Planet X แต่ ชาวสุเมเรียน เรียกว่า Nibiru และชาวบาบิโลเนียน เรียกว่า Marduk



    Seal1000.jpg

    akkad3.jpg


    โลกของเราเป็นหนึ่งในสมาชิกของระบบสุริยจักรวาล หรือ Solar System และพวกเราก็เรียนมาตั้งแต่หัวเท่ากะปอม(ภาษาอิสาน แปลว่ากิ้งก่าครับ J ) แล้วว่าระบบสุริยะมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง และมีบริวารเป็นดาวเคราะห์ทั้งสิ้น 9 ดวง แต่มีอยู่สองดวงคือเนปจูนและพลูโตที่มีอาการแปลกๆ นักดาราศาสตร์ใหญ่ทั้งหลายต่างก็กังขากันใหญ่ว่ามันจะมาจากอิทธิพลของดาว เคราะห์ดวงที่สิบหรือไม่?
    ก่อนจะว่ากันถึงดาวเคราะห์ดวงที่สิบ เรามาดูกันดีกว่าว่าอะไรเป็นจุดดลใจให้นักดาราศาสตร์เค้าเชื่อกันว่าระบบ สุริยะยังมีสมาชิกที่ค้นไม่พบอีกหนึ่งดวง เมื่อก่อนเค้าเชื่อกันว่าดาวเคราะห์ในระบบสุริยะมีกันแค่เจ็ดดวง(นับดวง จันทร์ด้วย) จนกระทั่งมีการค้นพบดาวยูเรนัสนั่นแหละครับ กระบวนการล่าดาวบริวารของดวงอาทิตย์จึงเกิดขึ้น เรามาดูรายละเอียดเล็กๆน้อยของมันดีกว่า

    ในปี 1841 John Couch Adams เริ่มตะหงิดๆใจกับการโคจรแบบแปลกๆของดาวยูเรนัสคล้ายๆกับมีปฏิกิริยากับแรง ดึงดูดอะไรซักอย่าง จากการค้นพบของ Adams ทำให้หลายๆคนเริ่มค้นคว้าเรื่องนี้กันมากขึ้น ในปี 1845 เลอ วาริเยร์ (Urbain Le Verrier ) ได้เริ่มค้นหามันด้วยเช่นกันเพราะอาการของดาวยูเรนัสนี้ต้องเป็นผลมาจากแรง ดึงดูดของดาวเคราห์อีกซักดวงเป็นแน่ นั่นคือการนำมาของการค้นพบดาวเคราะห์ดวงที่แปด เนปจูน

    เดือนกันยายนปี 1846 เพียงหนึ่งสัปดาห์หลังมีการค้นพบดาวเนปจูน Le Verrier ยังคงสงสัยว่าน่าจะมีดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งที่มีอิทธิพลกับดางยูเรนัสแน่นอน ล่วงมาถึงเดือนตุลาคมปีเดียวกัน มีการค้นพบดวงจันทร์ขนาดยักษ์ที่เป็นดาวบริวารของดาวเคราะห์เนปจูน หลายคนคิดว่าตัวเองได้คำตอบเรื่องแรงดึงดูดกับดาวยูเรนัสแล้ว แต่มันจะไม่ง่ายไปหน่อยเร้อ?


    Solar20.jpg



    ในปี 1879 นักดาราศาสตร์ชื่อ Camille Flammarion ได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า มันต้องมีดาวเคราะห์อีกซักดวงที่อยู่ถัดจากดาวเนปจูออกไปแน่ๆ โดยอาศัยการคำนวณเรื่องวงโคจรของดาวหางและอุกาบาตเป็นหลัก

    เปอร์ซิวาล โลเวล เจ้าของงานเขียนเรื่องคลองบนดาวอังคารอันลือลั่น ได้เริ่มศึกษาและค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่ยังไม่มีการค้นพบอย่างเงียบๆในรัฐอริ โซนา โลเวลเรียกการค้นคว้าของเขาในครั้งนี้ว่า การค้นหา Planet X โลเวลพยายามหลายๆต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด ด้วยความบังเอิญครับ เปอร์ซิวาล โลเวลของเราจับตำแหน่งดาวเคราะห์ที่ยังไม่มีใครรู้จักได้หลายครั้ง แต่นั่นเป็นเวลาก่อนที่จะค้นพบดาวพลูโต ใครๆเลยคิดกันว่าดาวที่โลเวลพบเป็นดาวพลูโตไปซะฉิบ (ดาวพลูโตถูกค้นพบในปี 1930)

    ปัจจุบัน ดร.โทมัส ซี แวน แฟลนเดิร์น แห่งราชนาวีสหรัฐ ได้ยืนยันถึงการศึกษาของทางราชนาวี และให้สมมุติฐานว่าน่าจะมีดาวเคราห์อีกดวงที่อยู่ถัดไปจากดาวพลูโตครับ เป็นดาวขนาดค่อนข้างใหญ่เสียด้วย


    Planetx_orbit_path1.jpg

    นับเป็นเวลาร่วมสองร้อยปีแล้วหลังจากมีการค้นพบดาวพลูโต แม้ว่าปัจจุบันความรู้ทางดาราศาสตร์และการคำนวณของมนุษย์จะก้าวหน้าขึ้นมาก ก็ตาม แต่การค้นหาดาวเคราะห์บริวารที่เหลือก็ยังเป็นไปด้วยความยากลำบากเนื่อง จากระยะทางนั่นเอง บรรดานักดาราศาสตร์ต่างก็เรียกดาวดวงนี้ว่า Planet X ครับ มีมหกรรมการค้นหากันอย่างมโหฬาร แม้แต่องค์การใหญ่อย่างนาสาก็ยังตั้งกล้องดูดาวขนาดยักษ์ร่วมสังฆกรรมกับเขา

    น่าหัวเราะอะไรเช่นนี้ นักดาราศาสตร์ปัจจุบันค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่สิบกันแทบตายแต่ชาวสุเมเรี่ยนสิ ครับ พวกเขารู้เรื่องนี้และได้บันทึกมันเอาไว้อย่างละเอียดละออในแผ่นจารึกดิน เหนียวเมื่อกว่าหกพันปีกว่าโน้นแน่ะ ดาวเคราะห์ดวงนั้นพวกเขาเรียกมันว่า Nibiru ครับ เป็นที่ๆพระเจ้าของชาวสุเมเรียนเคยอาศัยอยู่มาก่อน ตามจารึกของชาวสุเมเรียนบอกไว้ว่าสรวงสวรรค์ของพระเจ้าหรือ Nibiru นั้นโดนมังกรยักษ์ที่ชื่อ Tiamat รุกราน ไอ้เจ้าตำนานนี้แหละครับตัวดีนัก เมื่อนักวิทยาศาสตร์พากันวิเคราะห์มันอย่างละเอียดแล้วต่างก็พากันหนาวๆไป ตามๆกัน เพราะมันใช่ตำนานที่ไหนกันล่ะครับ มันเป็นบันทึกปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่ว่าด้วยการชนกันของดาวเคราะห์ต่าง หาก

    หลังจากสุมหัวตีความกันพักใหญ่ก็ได้ผลสรุปออกมาว่า จารึกนี้กล่าวถึงดาวเคราะห์ขนาดยักษ์ที่ชื่อ Nibiru ด้วยเคราะห์กรรมหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ ดาว Nibiru ถูกพุ่งชนด้วยดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง ผลที่เกิดขึ้นคงรุนแรงมากจนทำให้ดาวเคราะห์อีกดวงนั้นป่นเป็นเศษเล็กเศษน้อย บางส่วนแพ้แรงดึงดูดของดวงอาทิตย์และกลายเป็นดาวเคราะห์น้อยโคจรรอบระบบ สุริยะ ซึ่งก็ตรงกับข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ปัจจุบันเป๊ะครับ กลุ่มของดาวเคราะห์น้อยที่อยู่หลังดาวพลูโตออกไป ชาวสุเมเรียนทราบได้อย่างไรกันว่ามีการชนกันของดวงดาวเกิดขึ้น

    ครั้งล่าสุดที่มีการบักทึกไว้อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับ Planet X คงจะเป็นปี 1982 ครับ เมื่อเจ้าหน้าที่ขององค์การนาสาประกาศว่าค้นพบ "วัตถุลึกลับซึ่งคาดว่าจะเป็นดาวเคราะห์ในแถบบริเวณของดาวเคราะห์วงนอก" หนึ่งปีต่อมาหลังจากการยิงดาวเทียม IRAS (Infrared Astronomical Satellite) ขึ้นสู่วงโคจร เจ้าดาวเทียมนี้จับภาพวัตถุคล้ายดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ได้เล่นเอาฮือฮาไปตามๆ กัน

    Gerry Neugebauer หัวหน้าหน่วยวิจัย IRAS ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ว่า "เจ้าวัตถุที่ว่ามีขนาดใหญ่ยักษ์ยังกะดาวพฤหัส มันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของดาวบริวารในระบบสุริยะ เราพบมันในทิศทางเดียวกับกลุ่มดาวนายพราน บอกได้อย่างเดียวครับว่าเราไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นอะไรกันแน่"

    แต่ชาวสุเมเรียนเค้าบอกได้ตั้งแต่หกพันที่แล้วมาแล้วล่ะครับว่า มันก็คือดาวเคราะห์ Nibiru ไงเล่าเกลอแก้วเอ๋ย


    SolarSystem2.gif


    จากภาพก็เค้านับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์รวมไปด้วยไงครับถึงได้ 12 ดวง


    จารึกทางดาราศาสตร์ของชาวสุเมเรียนโบราณ ได้พรรณาถึงดวงดาวในระบบสุริยะไว้อย่างละเอียด รวมไปถึงดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งที่ชื่อ Nibiru ด้วย ( Nibiru แปลว่า Planet of the crossing ครับ) จารึกนี้ตรงกับข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ปัจจุบันเรื่อง Planet X เด๊ะเลยครับ โดยเฉพาะการค้นพบดาวขนาดยักษ์ในห้วงลึกของระบบสุริยะยิ่งยืนยันความสามารถ ของชาวสุเมเรียนโบราณ


    ถ้าดาวเคราะห์ดวงนี้มีจริงแล้วทำไมป่านนี้เรายังไม่ค้นพบกัน?

    ถ้าดาวเคราะห์ดวงที่สิบมีจริงแล้วทำไมป่านนี้เรายังไม่ค้นพบกัน? หลายท่านอาจจะถามผมแบบนี้ ทฤษฎีที่เป็นคำตอบมันมีอยู่ครับ แถมตรงกันทั้งในจารึกสุเมเรียนและหลักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เสียด้วย เพราะวงโคจรไงครับ จึงทำให้เราจับเจ้าดาวเคราะห์ดวงนี้ไม่ได้ซักที ก็มันดันโคจรเป็นวงรีนี่เองจึงทำให้ระยะระหว่าง Planet X จากดาวเคราะห์ดวงอื่นมันเลยห่างกันจนสุดกู่

    คิดดูนะครับ เราค้นพบดาวพลูโตเมื่อปี 1930 พร้อมกับข้อสงสัยเรื่องแรงกระทำระหว่างแรงดึงดูดของดาวเคราะห์วงนอก รวมทั้งเรื่องของที่มาดาวเคราะห์น้อย ในวงโคจรถัดจากดาวอังคาร แต่ชาวสุเมเรียนเค้ารู้กันมานมนานแล้ว ส่วนที่ว่าทำไมชาวสุเมเรียนจึงบอกว่าระบบสุริยะมีดาวอยู่สิบสองดวงนั้นผมจะ ค่อยๆอธิบายให้ฟังเดี๋ยวนี้แหละ


    Plate_anim.gif

    อีกทฤษฎีหนึ่งซึ่งหลายคนอาจจะอ้าปากค้างเพราะความเป็นไปไม่ได้ของมัน แต่มันก็เป็นไปแล้วและยืนยันความสารถของบรรพชนเราก็คือการชนกันของดาว เคราะห์นี่แหละครับ ไม่ใช่ดาวอื่นไกลเลย เป็นโลกนี่แหละที่ชนกับ Planet X (หรือ Nibiru นั่นเอง) ก่อนคุยเรื่องนี้ขอทบทวนอะไรหน่อยละกัน ทุกคนที่เคยเรียนภูมิศาสตร์กันมาน่าจะเคยเรียนทฤษฎีที่ว่า ในสมัยที่โลกยังอายุเยาว์อยู่ แผ่นดินบนโลกนี้เคยติดกันอยู่เป็นทวีปเดียว ทฤษฎีนี้เพิ่งมาศึกษากันเมื่อร้อยกว่าปีมานี้แต่ชาวสุเมเรียนรู้ล่วงหน้าพวก เราถึงหกพันปี แถมมีแผนที่จารึกอยู่บนแผ่นดินเหนียวเสียด้วย

    การที่โลกแบ่งออกเป็นทวีปๆก็เพราะ Continental Drift หรือการเคลื่อนตัวของแผ่นดินนั่นเอง มันเป็นไปอย่าง ช้-า-ม-า-ก และค่อยเป็นค่อยไป จนกลายเป็นแผ่นดินที่พวกเราอาศัยอยู่ในปัจจุบัน หากดูแผนที่ดีๆเราจะสามารถเอาทวีปต่างๆมาต่อกันเป็นชิ้นเดียวได้เหมือนจิ๊ก ซอเลย ถึงั้นก็เถอะครับแผนที่ที่ต่อกันมันจะยังดูแหม่งๆคล้ายกับขาดอะไรไป นักภูมิศาสตร์ที่รู้สึกถึงเจ้าความแหม่งที่ว่าเลยพากันศึกษากันใหญ่และได้ ข้อสรุปที่น่าตกใจออกมา


    โลกเป็นเพียงดาวเคราะห์ที่มีครึ่งดวงครับ!!!!

    ....ครึ่งดวงจริงๆครับ เหมือนลูกบอลดินเผาที่โดนชนกระจุยหายไปส่วนหนึ่ง นักภูมิศาสตร์บางท่านบอกว่าหากสูบน้ำออกจากมหาสมุทรต่างๆได้หมด เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า โลกได้หลุดหายไปกระบิหนึ่ง และไอ้ส่วนที่เคยเป็นกระบิที่หายไปนั่นแหละคือมหาสุทรต่างๆในปัจจุบัน


    แล้วเพราะอะไรล่ะโลกจึงหายไปกระบินึง? บางท่านอาจถามขึ้นมาอีก



    X_smash_earth1.jpg


    ภาพจำลองเหตุการในตอนที่ Planet X ปะทะกับโลกครับ ขอให้ดูภาพ The Meaning Of 12th Planet ประกอบด้วย


    ชาวสุเมเรียนเค้าตอบให้ได้เสร็จสรรพเลยครับว่าทำไมจึงเป็นแบบนี้ พวกเค้าบันทึกเอาไว้ว่าโลกโดนดาว Nibiru เฉี่ยวเอาครับ ไม่มีบันทึกแน่ชัดว่านานเท่าไหร่แล้ว แต่ผลจากการกระทบไหล่ของดาวเคราะห์ทั้งสองน ี้ทำให้โลกของเราแหว่งไปส่วนหนึ่ง เศษชิ้นส่วนของดาวเคราะห์ทั้งสองกระจัดกระจายกลายเป็นวงแหวนดาวเคราะห์น้อย โคจรอยู่รอบดวงอาทิตย์(ดูแผนภาพประกอบ)


    Planet X และพระผู้สร้าง

    เหตุที่ Planet X ผลุบๆโผล่ๆนั้นก็เพราะว่าวิถีโคจรของมันเหมือนดาวหางครับ เป็นวงรีแล้วก็กินเวลาค่อนข้างมากกว่าจะโคจรครบหนึ่งรอบ ในบันทึกของชาวเมโสโปเตเมียและคัมภีร์พันธสัญญาเก่าก็มีระบุไว้ครับถึงวง โคจรของดาวเคราะห์ดวงนี้ วงโคจรรอบหนึ่งของ Planet X (Nibiru) กินเวลาตั้ง 3600 ปีแน่ะกว่าจะครบรอบ รอบของวงโคจรนี้ชาวสุเมเรียนเรียกมันว่า Shar ครับ


    DNAstrand_02.jpg



    Anunnaki พระเจ้าจาก Nibiru ผู้สร้างมนุษย์

    ตามพระคัมภีร์ไบเบิล มนุษย์คนแรกของโลกคืออาดัมครับ และมนุษย์คนที่สองถูกสร้างจากชิ้นส่วนของอาดัมอีกที เชื่อกันหรือไม่ว่าในบันทึกของชาวสุเมเรียนโบราณก็บันทึกเรื่องนี้เอาไว้ เหมือนกัน และที่น่าทึ่งกว่านั้นก็คือมีการกล่าวถึง DNA และการทำโคลนนิ่งด้วย

    ปัจจุบัน เรื่องของการทำโคลนนิ่งและผสมเทียมเป็นเรื่องที่มนุษย์ทำได้และกำลังพัฒนา อยู่ แต่เชื่อกันหรือไม่ว่าชาวสุเมเรียนโบราณมีความรู้ในเรื่องนี้ล่วงหน้าพวกเรา ถึงหกพันกว่าปี ผมจะยกตัวอย่างง่ายๆของขั้นตอนการผสมเทียมนะครับ คงพอจะทราบกันเลาๆว่ากรรมวิธีคือเอาสเปิร์มของเพศชายเข้าไปผสมกับไข่ จากนั้นก็เพาะเลี้ยงไว้ในหลอดแก้ว ปัญหาก็คือหากลักษณะของทารกที่ผสมออกมามีปัญหา นักวิทยาศาสตร์ก็จะทำการแก้ไขปัญหานั้นโดยอาจ Replanning ไข่ที่ผสมแล้วเสียใหม่ หรือไม่ก็ปรับปรุงโครงสร้างบางอย่าง(ซึ่งอาจจะรวมถึง DNA ด้วย) ในจากรึกแห่งชาวสุเมเรียนมีภาพอยู่ภาพหนึ่งซึ่งดูเผินๆเหมือนภาพการประกอบ พิธีทางศาสนา แต่นักวิชาการหลายท่านบอกว่า นี่แหละครับคือภาพของการผสมเทียมและการโคลนนิ่ง



    มันจะเป็นปายด้ายยางง๊าย? โม้หรือเปล่า

    หลายท่านอาจจะว่าอย่างนี้ งั้นลองมองดูรูปด้านล่างนะฮะ มีสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของชาวสุเมเรียนที่เรียกว่า Enki มีลักษณะคล้ายงูสองตัวพันกระหวัดกันอยู่ และบางภาพที่เป็นรูปอะไรซักอย่างคล้ายริบบิ้นพันอยู่รอบงูสองตัว เป็นไงครับ นึกอะไรออกบ้างหรือยัง?

    ใช่แล้วครับ ภาพโบราณเมื่อหลายพันปีก่อนภาพนี้ ปัจจุบันเราใช้เป็นสัญญลักษณ์ทางการแพทย์ สัญญลักษณ์นี้แสดงถึงความรู้อันเป็นความลับการสร้างมนุษย์โดย Anununaki พระเจ้าจาก Nibiru อันไกลโพ้นเจ้ารูปงูเกี่ยวกระหวัดกันเนี่ยดูยังไงมันก็ภาพจำลองของครงสร้าง ไมโตคอนเดรียและ DNA ชัดๆ หรือใครมีความคิดเห็นเป็นอย่างอื่น?


    Dnas21.jpg

    ภาพนี้ได้มาจากพิพิธภัณฑ์ British Museum ในอังกฤษ เป็นส่วนหนึ่งของจารึกที่เกี่ยวกับ Anunnaki และสถานที่ที่พวกเขามา แล้วคุณล่ะครับ ตอนนี้พอจะเชื่อหรือเปล่าว่าดาวเคราะห์ Nibiru ของชาวสุเมเรียนโบราณมีจริง? ถ้ามีเวลาผมจะแกะหนังสือของนักเขียนคนนี้มาให้ดูกันเล่นๆอีก รายละเอียดค่อนข้างเยอะมากครับแต่หลักฐานก็หนักแน่นน่าเชื่อถือดี หาซื้อตามร้านขายหนังสือต่างประเทศตามห้างใหญ่ๆน่าจะพอมีครับ


    Mainorbit.jpg


    วงโคจรของ Planet X ที่แหกคอกจากดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ



    The Planet X

    ดาวเคราะห์ดวงที่สิบของชาวสุเมเรียน ท่านที่ติดตามมากจากภาคแรก คงพอจะทราบเนื้อหาอย่างคร่าวๆแล้วนะครับว่า เป็นการค้นคว้าของนักโบราณคดีและนักภาษาศาสตร์ท่านหนึ่ง ชื่อ Zecharia Sitchin ซึ่งได้ศึกษาเรื่องราวแต่ครั้งโบราณของมนุษย์ นับไปตั้งแต่ไบเบิล จารึกต่างๆ ปาริรัส และโดยเฉพาะอารยธรรมจากดินแดนเมโสโปเตเมีย ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมแรกของโลก Sitchin ได้ให้ทรรศนะว่ามีอะไรแปลกๆอยู่ในบันทึกโบราณพวกนี้ โดยเฉพาะความก้าวหน้าอย่างเหลือเชื่อ ในอารยธรรมของชาวสุเมเรียน Sitchin ได้ตระเวณศึกษาค้นคว้าอย่างหนักจนในที่สุดเขาก็ได้ข้อสรุปที่น่าพิศวงออกมา ว่า เมื่อครั้งอดีตกาล มีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาจากนอกโลก ได้เคยลงมาตั้งหลักแหล่งในพื้นพิภพของเรา ได้ทำการเปลี่ยนแปลงโลกเราจนกลายเป็นอาณานิคม สิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้เป็นกลุ่มเดียวกับ "พระเจ้า" ที่พูดกันในคัมภีร์พันธสัญญาเก่า พวกเขาทำเรื่องเซอร์ไพรส์มนุษย์ยุคหลังอย่างเราไว้มากมาย โดยเฉพาะ เรื่องราวที่พวกเขากระทำและมีบันทึกไว้ในบทเยเนซิสของไบเบิล ว่าด้วยการสร้างมนุษย์โดยการดัดแปลง DNA ในไบเบิลไม่ได้ระบุเอาไว้ว่าสรวงสวรรค์ของเอโลฮิม หรือพระเจ้าเหล่านี้ อยู่ที่ไหนกันแน่ แต่ในจารึกของชาวสุเมเรียน ซึ่งถือได้ว่าเป็นต้นตอเดียวกัน ระบุเอาไว้อย่างชัดแจ้งแดงแจ๋เลยครับ ว่าพระเจ้า หรือ Anunnaki ของพวกเขานั้น มาจากดาวเคราะห์ที่ชื่อว่า Nibiru

    Sitchin ได้ศึกษาจารึกดินเหนียวโบราณนับพันๆแผ่น ทั้งขุดค้น ตระเวณไปตามพิพิธภัณฑ์ เพื่อค้นหารอยต่อของสิ่งที่เขาสงสัย สิ่งที่ทำให้ Sitchin รู้สึกพิศวงที่สุดก็คือ ความก้าวหน้าทางดาราศาสตร์ ที่ซุกซ่อนอยู่ในอารยธรรมของชาวสุเมเรียน จากรึกอักษรคิวนิฟอร์มชิ้นหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัรฑ์ของประเทศเยอรมณี มีรายละเอียดทางดาราศาสตร์ที่นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเห็นแล้วต้องกุมขมับ เพราะมันกล่าวถึงตำแหน่งของโลกเอาไว้ว่า โลกของเราเป็นดาวเคราะห์ดวงที่เจ็ด หากนับจากดาวพลูโตเข้ามา (ชาวสุเมเรียนรู้จักดาวดวงนี้ก่อนเปอร์วิวาล โลเวล ตั้งสี่พันปีแน่ะ น่าทึ่งไหมครับ โปรดอ่าน The search of Planet X ภาคแรกประกอบ ถ้าท่านยังไม่ได้อ่าน หรือลืมไปแล้ว) ทำไม? ทำไมชาวสุเมเรียนโบราณจึงมีความรู้ทางดาราศาสตร์ก้าวไกลขนาดนั้น Sitchin ให้ข้อสรุปจากการศึกษานับสิบปีของเขาว่า นั่นก็เป็นเพราะบรรพบุรุษของชาวสุเมเรียน ไม่ได้มีรกรากเดิมอยู่บนโลกนี้น่ะสิครับ พวกเขามาจากที่อื่น มาจากดวงดาวอันไกลโพ้นซึ่งมีชื่อว่า Nibiru อะไรที่ทำให้ Sitchin ปักใจขนาดนั้น?

    หลักฐานไงครับ Sitchin ได้ศึกษาทั้งดาราศาสตร์และเจาะลึกลงไปในเรื่องราวที่บรรพชนได้ทิ้งเอาไว้ให้ พวกเราซึ่งเป็นอนุชนรุ่นหลัง หลักฐานที่อยู่ยงคงกระพันที่สุด และสืบทอดเจตจำนงค์ของผู้ที่ต้องการถ่ายทอดมากที่สุด เห็นจะเป็นบันทึกทางศาสนาครับ ก็เพราะว่าความเชื่อศัทรธานั้น เป้นสิ่งที่ทำให้ เรื่องราวที่ถ่ายทอดกันมา ไม่มีขาดตกบกพร่อง ตัวอย่างที่ดีก็ได้แก่ไบเบิลและคัมภีร์พระเวทย์ของอินเดีย ที่มีการถ่ายทอดกันมาปากต่อปากคำต่อคำโดยไม่ตกหล่นเลยมานับพันๆปี จนกระทั่งมีการคิดค้นตัวหนังสือขึ้นมาได้ การบันทึกจึงได้เริ่มขึ้น อันนี้คงต้องขอบคุณความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับมนุษย์ล่ะครับ เพราะไม่งั้น เราจะไม่มีทางได้รู้เรื่องราวอันน่าทึ่ง ซึ่งเป็นกุญแจเพียงดอกเดียวที่จะไขไปสู่ เรื่องราวอันเป็นจุดกำเนิดของมนุษยชาติได้ อย่าลืมนะครับ ว่าแม้ผู้เข้มแข็งจะเขียนหรือบิดเบือนประวัติศาสตร์ได้ แต่ผู้เข้มแข็งทั้งหลายไม่เคยหรอกครับ ที่จะบิดเบือนศัทรธาและจารึกศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาให้เป็นอื่นไป

    ขอฝอยเรื่องของ Sitchin สักหน่อยนะครับ จุดกำเนิดของการศึกษาของเขามีอยู่ว่า Sitchin รู้สึกตะหงิดๆใจเกี่ยวกับเรื่องราวของพระเจ้าและทูตสวรรค์ ที่กล่าวถึงในคัมภีร์พันธสัญญาเก่า ซึ่งในนั้นใช้คำว่า "Nefilim" อันแปลว่า "those who came down" หรือ "Came down from where" นอกจากนั้นคำอื่นๆเช่นเอโลฮิมซึ่งหมายถึงพระเจ้า ในบางครั้งไบเบิลก็กล่าวถึงในรูปของพหูพจน์ ซึ่งค้านกันมากๆกับหลักความเชื่อของยิวและคริสต์ในแง่ที่ว่า พระเจ้ามีเพียงหนึ่งเดียว จุดนี้เองที่ทำให้การเริ่มต้นสืบสาวราวเรื่องของ Sitchin เกิดขึ้น เขาเสียเวลาไปหลายปีกับโบราณสถานและแหล่งอารยธรรมต่างๆทั่วโลก เขียนลำดับการวิจัยออกมาหนาปึก ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะเอามาเล่าตรงนี้ทั้งหมด ก็จะขอตัดตอนเอาเฉพาะส่วนที่น่าสนใจออกมานะครับ

    Zecharria Sitchin นักภาษาศาสตร์ผู้มีความสนใจในอารยธรรมสุเมเรียนอย่างลึกซึ้ง ได้ทำให้ทั่วโลกต้องหันมาฟังทฤษฎีพิลึกๆของเขา เมื่อเขาเขียนหนังสือชื่อ The Twelfth Planet - Planet 'X' ออกมาเมื่อปี 1976 ในส่วนของเนื้อหากล่าวถึงดาวเคราะห์ดวงหนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่และวงโคจรที่ กว้างมาก มันนับเป็นดาวเคราะห์ยักษ์สีแดงที่ถูกเรียกขานโดยชาวสุเมเรียนโบราณว่า Nibiru ( ซึ่งเราจะพบชื่อที่หมายถึงสิ่งเดียวกันนี้ในตำนานของชาวบาบิโลเนี่ยนโบราณ นั่นคือ Marduk ) จารึกโบราณแห่งลุ่มน้ำไทกริสยูเฟรติสนี้ กล่าวถึงสิ่งที่น่าพิศวงอยู่หลายประการด้วยกัน เช่นว่า ดาว Nibiru ดวงนี้ได้เป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญากลุ่มหนึ่ง เรียกตามภาษาสุเมเรียนว่า Anunnaki หรือผู้ที่ติดตามประวัติศาสตร์และศึกษาไบเบิล จะรู้จัก Anunnaki ตามชื่อที่เรียกในไบเบิลว่า Nefilim อันหมายความว่าผู้ลงมาจากเบื้องบน

    จะเรียกยังไงก็ตามแต่เถอะนะครับ Sitchin เชื่อว่า สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีความเจริญทางเทคโนโลยีจนถึงขั้นสามารถท่องเที่ยวไปมา ในอวกาศได้ พวกเขา(เพื่อความคล่องปาก ขอเรียกว่า Anunnaki ตามต้นตำรับก็แล้วกันนะครับ)เคยครอบครองโลกของเราในอดีต ถูกยกให้เป็นพระเจ้าของคนโบราณ ด้วยเทคโนโลยีที่สูงส่ง Anunnaki ได้เดินทางมาถึงโลกของเราเมื่อ 450,000 ปีที่ผ่านมาแล้ว



    ทำไมจึงเป็น 12th Planet?

    หลายๆท่านอาจจะสงสัย ว่าทั้งๆที่ Nibiru เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ถัดจากดาวพลูโตแท้ๆ ถ้าเรียงลำดับมันก็ควรจะอยู่อันดับสิบ ทำไมชาวสุเมเรียนโบราณจึงเรียกดาวดวงนี้ว่า ดาวเคราะห์ดวงที่ 12 กัน เรื่องนี้เป็นที่ถกเถียงกันมานานในวงการดาราศาสตร์ เพราะว่านับตั้งแต่เริ่มแรกที่มีการศึกษาอารยธรรมสุเมเรียน ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ของคนโบราณกลุ่มนี้ ทำให้นักวิชาการหลายคนอ้าปากค้างไปเลย พวกเขารู้จักดาวเคราะห์วงนอก ซึ่งอยู่ถัดจากดาวพฤหัสออกไปทุกดวง เรียกได้ว่ารู้จักดาวยูเรนัส เนปจูน พลูโต ก่อนนักดาราศาสตร์สมัยใหม่ตั้งแปดพันปีว่างั้นเถอะครับ ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ ชาวสุเมเรียนโบราณ ดันไปรู้จักดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง ซึ่งตำแหน่งของมันอยู่ถัดจากดาวพลูโตออกไป เป็นดาวที่นักวิทยาศาสตร์พากันสงสัยว่ามันจะมีอยู่จริงหรือไม่ มีหลายคนเคยส่องกล้องพบและคำนวณตำแหน่งได้โดยอาศัยวงโคจรของดาวพลูโตเป็น พื้นฐาน แต่ด้วยความผลุบโผล่ๆของมัน หลายๆคนในวงการจึงเรียกมันว่า Planet X ซึ่งมีความหมายสองนัย หนึ่งหมายถึงดาวเคราะห์ดวงที่สิบ และสองหมายถึงดาวปริศนาที่ไม่ทราบว่า จริงๆแล้วมีมันอยู่ในตำแหน่งที่สงสัยกันหรือไม่

    เหตุที่ชาวสุเมเรียนเรียก Nibiru ว่าเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 12 นั้น เขาเรียกขานตามที่พระเจ้าของพวกเขาสอนเอาไว้ครับ Annunnaki พระเจ้าของชาวสุเมเรียน ได้นับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เป็นสมาชิกของระบบสุริยะด้วย เมื่อเป็นอย่างนั้น Nibiru จึงกลายเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 12 ไปโดยปริยายระบบการจำแนกดาวของชาวสุเมเรียนนี่ก็นับว่าแปลกเอามากๆ ว่างๆจะมาเล่าให้ฟังว่า แนวคิดด้านนี้ของพวกเขา ก้าวไกลและน่าพิศวงเพียงไร


    SolarSystem2.gif


    มาพูดถึง Nibiru กันต่อ แม้ว่าดาวดาวงนี้จะเป็นสมาชิกของระบบสุริยะ แต่พฤติกรรมของมันก็แหวกแนววออกไปจากสมาชิกดวงอื่นๆโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะด้านวงโคจรที่เป็นปริศนาของมัน ซึ่งน้องจากจะกว้างกินระยะทางมากว่าเพื่อนแล้ว วงโคจรของ Nibiru ยังเป็นวงโคจรแบบคู่ ไม่ได้เป็นดาวเคราะห์วงโคจรเดี่ยวเหมือนดาวเคราะห์ดวงอื่นในระบบสุริยะ นั่นหมายถึง Nibiru เป็นดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาวฤกษ์สองดวง ตามจารึกโบราณนั้นกล่าวว่า ดาวฤกษ์สองดวงดังกล่าว ดวงหนึ่งคือ The Sun ดวงอาทิตย์ของเรา ส่วนอีกดวงเป็นดาวฤกษ์ที่เย็นกว่าดวงอาทิตย์ ตรงนี้เป็นไปได้หรือไม่ว่า คำว่าเย็นกว่าอาจจะหมายถึงส่องแสงสว่างน้อยกว่า ดาวดวงดังกล่าวปัจจุบันยังไม่มีนักดาราศาสตร์คนใดรับรองมันอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีหลายคนปิ๊งไอเดียขึ้นมาล่ะครับว่า เจ้าดาวดวงที่เย็นกว่าดังกล่าว อาจจะเป็น Nemesis ดาวฤกษ์คู่แฝดของดวงอาทิตย์ ที่นักดาราศาสตร์หลายท่านได้ตั้งทฤษฎีเอาไว้ ว่ามันน่าจะมีอยู่จริง

    จะมีอยู่หรือไม่ก็คงต้องใช้เวลาค้นกันหน่อยล่ะครับ เพราะดาวฤกษ์ดวงดังกล่าว อยู่ไกลออกไปจากระบบสุริยะของเรามาก คิดดูง่ายๆว่า Nibiru ต้องใช้เวลามากกว่า 3600 ปี ในการโคจรกลับมายังโลกของเราอีกครั้ง เกิดหรือตายกันกี่รุ่นล่ะครับมนุษย์เรา ถึงจะมีบุญได้เห็นดาวเคราะห์ยักษ์ Nibiru ดวงนี้ ที่แน่ๆก็คือ คนโบราณที่เป็นบรรพบุรุษของเราได้เคยเห็น Nibiru มาแล้ว เพราะมีบันทึกเกี่ยวกับดาวหางสีแดงขนาดใหญ่ในหลายๆชนชาติ ระยะเวลาที่บันทึกไว้ก็ใกล้เคียงกันมาก จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะเป็นคนละดวงกัน อ้อ... สำหรับท่านที่สงสัยว่า ทำไมคนโบราณจึงเรียกดาวดวงนี้ว่าดาวหางสีแดง เดี๋ยวผมจะมาเฉลยทีหลังนะครับ ตอนนี้พูดเรื่องวงโคจรให้จบเสียก่อน

    Sitchin ได้อธิบายไว้ในหนังสือของเขาว่า รอบ 3600 ปี หรือวงโคจรของ Nibiru นี้ ชาวสุเมมเรียนโบราณเรียกมันว่า Shar หรือ Sar ซึ่งจะมากกว่า 3600 ปีโลกเล็กน้อย Anunnaki ผู้มาจาก Nibiru ได้มาเยือน พัฒนา และครอบครองโลกของเราเป็นระยะเวลามากกว่า 124 Shar (คูณกันเอาเองนะครับ) มีการจัดตั้งรัฐบาล อาณานิคม การทำเหมืองเพื่อขุดค้นทรัพยากร จนกระทั่งวาระสุดท้ายของอารยธรรมนี้ ที่ถูกกลืนหายไปในไฟสงคราม สงครามขนาดใหญ่ซึ่งทำลายอารยธรรมของเมโสโปเตเมีย อียิปต์ และลุ่มน้ำสินธุบางส่วนไป เหตุการณ์ตรงนี้เกิดขึ้นเมื่อสองพันปีก่อน ค.ศ. หรือว่าประมาณห้าพันปีมาแล้ว



    Why the Anunnaki Came Down?

    ยังจำวิชาประวัติศาสตร์ที่เราเรียนกันในสมัยมัธยมได้ไหมครับ? จำเรื่องของการแสวงหาอาณานิคมและการล่าเมืองขึ้นของชาวตะวันตกได้หรือไม่ และพอจะตอบได้ไหม ว่าการที่ชาวตะวันตกในยุโรปทำเช่นนั้น ด้วยวัตถุประสงค์อันใดกัน

    ครับ ผมเชื่อว่าทุกท่านคงตอบได้ดี ว่า เพื่อค้นหาดินแดนใหม่ๆ เผยแพร่อำนาจ ศาสนา ล่าเมืองขึ้น ขุดค้นทรัพยากรและแสวงหาความมั่งคั่ง พระเจ้าโบราณของชาวสุเมเรียนก็ไม่ต่างกันเลยครับ พวกเขาเดินทางมายังโลกของเรา ในช่วงที่ Nibiru โคจรเข้ามาเฉียดกับโลก เพื่อหาทรัพยากรธรรมชาติบางประการกลับไปใช้ที่ดาวแม่ของพวกเขา main หลักที่ Anunnaki ต้องการก็คือทองคำครับ เพราะสำหรับพวกเขาดูเหมือนว่าทองคำจะมีคุณสมบัติพิเศษบางประการ ที่เป็นประโยชน์กับการรักษาอุณหภูมิของบรรยากาศใน Nibiru เอาไว้ (ก็คงสำคัญมากจริงๆนั่นแหละ เพราะว่า 99 เปอร์เซ็นต์ของวงโคจรนั้น Nibiru อยู่ในตำแหน่งที่ห่างไกลจากดวงอาทิตย์ จนเกินที่จะได้ความร้อนที่เอื้อต่อการดำรงชีวิต)

    Anunnaki ได้ตั้งอาณานิคม และทำการขุดทองเป็นการใหญ่บนโลกของเรา ตรงนี้เป็นไปได้ไหมครับว่า เป็นจุดกำเนิดแรกสุด ที่มนุษยชาติให้ความสำคัญกับทองคำ เนื่องจากมันเป็นธาตุที่มีความสำคัญเป็นพิเศษกับ"พระเจ้า"จากอวกาศ ดังนั้นการทำรูปจำลองที่แสดงถึงความเคารพอย่างสูงสุด จึงมักจะทำด้วยทองคำเป็นส่วนใหญ่ และกลายเป็นประเพณีตกทอดมาจนถึงทุกวันนี้ และบริเวณแรกที่ Anunnaki ได้ตั้งเหมืองขนาดใหญ่ก็คือบริเวณอ่าวเปอร์เซีย แล้วค่อยๆขยายวงไปตามส่วนต่างๆของโลกในเวลาต่อมา


    Ancient7.jpg


    ภาพวาดพาหนะของพระเจ้า ซึ่งไม่น่าไปคล้ายกับยานอวกาศโดยบังเอิญขนาดนี้


    ในสมัยโบราณ Anunnaki มักปรากฏตัวต่อหน้ามนุษย์ในรูปแบบของเทพครึ่งสัตว์ เช่น มนุษย์ครึ่งปลาบ้าง ครึ่งนก และครึ่งสิงโต ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการแต่งกายหรือเครื่องแบบของพวกเขา ที่ไปคลับคล้ายกับสัตว์ต่างๆ (หันมาดูชุดอวกาศหรือชุดแฟนซีของหนัง Sci-fi บ้างสิครับ ถ้าเอาไปให้เงาะป่าซาไก หรือปิ๊กมี่ในอาฟริกาพิศดูเสียบ้าง ถ้าไม่โดนเรียกเป็นมนุษย์นั่นมนุษย์นี่ผมให้เตะเลยล่ะ ) และอีกส่วนก็อาจจะเพื่อสร้างภาพลักษณ์แห่งความยำเกรงให้กับมนุษย์ที่อยู่ใต้ ปกครอง ดังจะเห็นได้ว่า ตำนานเทพเจ้าของชาติต่างๆที่เจริญผิดยุคในสมัยโบราณ ล้วนมีที่มาและรูปร่างที่คลับคล้ายกันทั้งนั้น ในความเป็นจริงเทพหลายๆองค์ของอียิปต์ก็มีต้นแบบมาจากเหล่า Anunnaki นี่แหละครับ

    แม้ว่าเทพเหล่านี้ จะมีบันทึกเอาไว้ในตำนานของคนโบราณในรูปของคนครึ่งสัตว์เสียเป็นส่วนใหญ่ แต่เรายังมีหลักฐานยืนยันจากในจารึกของชาวสุเมเรียนและในไบเบิลครับว่า จริงๆแล้วลักษณะของพวกเขาไม่ต่างไปจากมนุษย์มากเท่าไหร่เลย และที่สำคัญ หลักฐานใหม่ที่เพิ่งค้นพบในทวีปอเมริกาคือ Olmec Stone Heads สามารถช่วยยืนยันตรงนี้ได้เป็นอย่างดีว่า ในอดีต เคยมีสิ่งมีชีวิตต่างโลกเหล่านี้ เข้ามาตั้งอาณานิคมและขุดหาทรัพยากรอยู่จริงๆ

    เรื่องที่น่าสังเกตอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับพระเจ้าของคนโบราณก็คือ เกือบทุกชาติทุกภาษา จะมีการกล่าวถึงต้นไม้แห่งพิภพหรือต้นไม้ที่เป็นรากของโลกเอาไว้ ในตำนานของชาวสุเมเรียนก็เช่นเดียวกัน พวกเขากล่าวถึงต้นไม้พิเศษที่เติบโตในดาว Nibiru ซึ่งจะมีเฉพาะชนชั้นปกครองของ Anunnaki เท่านั้นที่จะมีสิทธิเข้าไปด้านในได้ พวกเขาเรียกมันว่าต้นไม้แห่งชีวิตหรือ Tree of Life ครับ ซึ่งต้นไม้ต้นนี้ก็มีการกล่าวถึงในพระคัมภีร์ไบเบิลเช่นเดียวกัน รวมไปถึงต้น Ambrosiac ของกรีกและต้น Ygdrasil ของทางยุโรปเหนืออีกด้วย แน่นอนครับ นี่เป็นต้นไม้แห่งความรู้ที่มีผลทำให้อาดัมกับอีฟถูกขับไล่ออกจากสวนเอเดนใน ภายหลัง ซึ่งผมจะค่อยๆเล่าเรื่องราวในส่วนนี้อย่างละเอียดให้ฟังอีกทีครับ


    Pa-top.jpg




    Exodus and the 12 Planet

    จากการค้นคว้าพบว่า ช่วงเวลาล่าสุดที่ Nibiru โคจรเข้ามาใกล้กับโลกนั้น เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่กล่าวถึงในพระคัมภีร์ไบเบิล นั่นคือ Exodus อันเป็นช่วงเวลาที่ชาวยิวหนีออกมาจากอียิปต์นั่นเอง เรื่องของเอ็กซ์โซดัสนี้นายโซนิคคงไม่ต้องกล่าวมากความแล้วนะครับ เพราะเคยเล่าไปหลายครั้งมากเลย ล่าสุดก็ทฤษฎีพิลึกของ ดร.เวลิคอฟสกี้ นี่แหละ ที่กล่าวถึงภัยพิบัติและผลกระทบของแรงดึงดูดระหว่างดวงดาวเหมือนกัน เพียงแต่เวลิคอฟสกี้จะมุ่งประเด็นไปที่ดาวศุกร์ ส่วน Sitchin จะใช้หลักฐานของสุเมเรียนอ้างไปถึง Nibiru เอง ท่านผู้อ่านก็ใช้วิจารณญาณเอาละกันนะครับ ว่าเหตุผลของใครน่าเชื่อถือมากกว่ากัน

    ภัยพิบัติที่เกิดจากการโคจรเข้ามาเฉียดโลกของ Nibiru นั้นมหาศาลนัก น่าสังเกตว่าทั้งเวลิคอฟสกี้และ Sitchin ต่างก็มุ่งประเด็นไปในทิศทางเดียวกัน ทิศทางดังกล่าวนั้นคือดาว(หาง)ขนาดยักษ์สีแดง (บอกแล้วนะครับ รายละเอียดของภัยพิบัติต่างๆ รวมทั้งเรื่องของโมเสสนั้นให้ไปอ่านกันเพิ่มเติมที่นี่) ซึ่งก็มีข้อสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์มาประกอบ อันว่าสีแดงของเจ้าดาวดวงดังกล่าวนั้น อาจจะมาจากผงฝุ่นสีแดงของ Iron oxide ที่เกิดจากเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงของ Nibiru (หรืออาจจะเป็นดาวหางตามทัศนของเวลิคอฟสกี้) เมื่อมันโคจรเข้ามาเฉียดในระยะที่พอเหมาะ ผงฝุ่งและอนุภาคเหล่านั้นก็จะถูกแรงดึงดูของโลกดูดเข้ามา จนปกคลุมทั่วทั้งบรรยากาศ มีบางส่วนตกลงไปในแหล่งน้ำกลายเป็นต้นกำเนิดของเรื่องเล่า แม่น้ำและทะเลกลายเป็นสีเลือดอย่างในพระคัมภีร์ไงครับ

    ทว่า ทฤษฎีผงฝุ่นเหล่านี้ยังฟังไม่ค่อยขึ้นเท่าไหร่ในสายตาของนักวิทยาศาสตร์ มีหลายท่านกล่าวว่า ถ้าบรรยากาศของโลกผิดปกติ ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน แม่น้ำลำธารเปลี่ยนเป็นสีเลือดจริง มันก็น่าจะเกิดจากปฏิกิริยาทางแม่เหล็กไฟฟ้าอันเป็นผลจากแรงดึงดูดระหว่าง ดวงดาวมากกว่า ซึ่งผลจากการนี้จะทำให้มีแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิด ควันและลาวาจากภูเขาไฟที่พุ่งขึ้นสูงๆปกคลุมชั้นบรรยากาศ ก็อาจจะเป็นต้นเหตุอีกอย่างของบรรยากาศสีเลือดดังกล่าวได้เหมือนกัน


    Pa-profl.jpg




    มนุษย์เกิดมาจากวิวัฒนาการทางธรรมชาติ หรือเกิดขึ้นด้วยฝีมือของพระเจ้า?

    เป็นที่ถกเถียงกันมานานระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสนา และเป็นหัวข้อที่ใช้เยาะหยันไยไพกันได้เป็นอย่างดี ระหว่างนักวิทยาศาสตร์กับศาสนิกชนผู้เคร่งครัด ครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้เอง ทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน ได้ทำให้ศาสนิกชนและโบสถ์ต้องแค้นแทบกระอัก เพราะดันไปอ้างถึงความเป็นไปได้ที่มนุษย์วิวัฒนาการมาจากสัตว์ประเภทลิง แถมยังลบล้างความเชื่อเรื่องของพระเจ้าสร้างโลก สิ่งมีชิวิต และมนุษย์เสียอีกแน่ะ

    แต่ก็ใช่ว่านักวิทยาศาสตร์จะหัวเราะได้เต็มปากนัก เพราะทฤษฎีวิวัฒนาการยังมีช่องโหว่อยู่มากมาย ห่วงโซ่ที่หายไปที่นักมานุษยวิทยาพากันตามหามานานแสนนาน ปัจจุบัก็ยังไม่ส่อแววว่าจะเจอแบบจังๆ ทำให้หลายคนอดคิดไม่ได้ว่า จริงๆแล้ว มนุษย์เรา อาจจะถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้าจริงๆ อย่างที่คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาต่างๆกล่าวกันก็เป็นได้ เพราะทฤษฎีวิวัฒนาการนี้ ใช้ได้กับสัตว์เกือบทั้งหมด ยกเว้นมนุษย์ โอเคครับ... ไม่มีใครเถียงว่าทฤษฎีของดาร์วินเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพียงแต่ท่านเชื่อหรือไม่ครับว่า ถ้าการวิวัฒน์ตามทฤษฎีนี้มีอยู่จริง มันอาจจะเกิดขึ้นที่ดาวดวงอื่น แต่ไม่ใช่โลกของเราอย่างเด็ดขาด ทำไมน่ะหรือครับ ก็เพราะว่า ปัจจุบันเราพิสูจน์ได้แล้วว่า สิ่งมีชีวิตที่เป็นบรรพบุรุษของเรานั้น แท้ที่จริงแล้วโครงสร้างและอื่นๆของพวกนั้นไม่ได้ส่อแววเลยว่า จะสามารถวิวัฒนาการมาเป็นโฮโม เซเปี้ยน มนุษย์ปัจจุบันอย่างพวกเราเลยแม้แต่น้อย และล่าสุดกรณีของการศึกษา DNA ของโฮมินอยด์ประเภท ออสตรัลโลพิทธิคัส และโฮโม อิเร็คตัส ปรากฏว่าไม่มีวี่แววของความเกี่ยวข้องกับมนุษย์ปัจจุบนเลย ซึ่งถ้าทฤษฎีวิวัฒนาการนั้นเป็นจริงบนโลกเราแล้วไซร้ เจ้าห่วงโซ่ที่หายไปมันจะไปอยู่ส่วนไหนของโลกกันครับ ช่วยตอบนายโซนิคที


    19990408-dnamoleculebig.gif



    ถ้าอย่างนั้นคำตอบของนักการศาสนาที่ว่า มนุษย์ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้าจึงเหลือเป็นคำตอบสุดท้ายสำหรับพวกเรา ซึ่งนักวิชาการบางกลุ่มที่ศึกษาเรื่องเหล่านี้อย่างหัวร้างข้างแตกก็ยอมรับ อย่างกลายๆแล้วว่า มนุษย์เรานั้นไซร้ถูกสร้างขึ้นมาโดยพระเจ้าจริงๆ เพียงแต่ พระเจ้าที่สร้างพวกเราขึ้นมานั้น หาได้เสด็จมาจากสวรรค์ชั้นฟ้าตามตำนานหรือในคัมภีร์ไม่ พระเจ้าที่สร้างพวกเรานั้นเป็นเพียงนักท่องอวกาศกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเดินทางมาจากดวงดาวอันไกลโพ้นด้วยยานอวกาศที่เปล่งลำแสงเจิดจ้าต่างหาก เล่า สำหรับท่านที่เพิ่งมาใหม่และยังตามไม่ทัน โปรดอ่านปฐมบทและแนวคิดในทฤษฎีนี้ จากเรื่องไบเบิลกับพระเจ้าจากอวกาศนะครับ สำหรับตรงนี้ผมขอสรุปเพียงสั้นๆว่า นักท่องอวกาศกลุ่มนั้นแม้ไม่ใช่พระเจ้าแต่ก็มีความสามารถที่ใกล้เคียงมาก ใกล้เคียงจนสามารถสมอ้างเป็นพระเจ้าของคนโบราณบนโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ หลักฐานที่ผมจะใช้อ้างในเรื่องต่อไปนี้ จะมาจากสองแหล่งคือไบเบิลในบทเยเนซิส และจารึกของชาวสุเมเรียนโบราณอยู่เช่นเดิมเพราะหลักฐานจากสองแหล่งดังกล่าว ดูจะเด่นชัดกว่าแหล่งอื่นๆมาก

    หลักฐานอะไรเรอะ? ก็หลักฐานที่ว่าพระเจ้าได้ปั้นแต่งสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นตามธรรมชาติ ให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์อย่างเราๆท่านๆน่ะซีครับ ซึ่งจริงๆแล้ว บทบาทของพระเจ้าในการสร้างมนุษย์นั้ คงจะยังเป็นนิทานไปอีกนานแสนนานถ้าวิทยาศาสตร์ของเราไม่ก้าวหน้าไปถึงขั้นมี วิชาพันธุวิศวกรรม ซึ่งเจ้าศาสตร์แขนงนี้นี้แหละครับ ที่ทำให้วงการวิทยาศาสตร์เริ่มตระหนักว่า กิจกรรมของพระเจ้าในสิ่งที่พวกเขาเคยเรียกว่านิทานหรือตำนานนั้น แท้ที่จริงมันคือบันทึกทางประวัติศาสตร์หน้าสำคัญที่สุดหน้าหนึ่ง ของมนุษยชาติเลยทีเดียว

    หลายท่านคงพอจะนึกออกอย่างเลาๆว่าผมกำลังจะพูดถึงเรื่องอะไร ถ้าเอ่ยถึงพันธุวิศวกรรม สิ่งที่ผุดขึ้นมาสำหรับพวกเราก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของการดัดแปลง DNA ที่กำลังเป็นที่ตื่นตัวไปทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ ซึ่งตรงนี้แหละครับที่ Zecharia Sitchin เอามาอ้างว่า พระเจ้าจากดาว Nibiru ได้ทำการสร้างสิ่งมีชีวิตกลุ่มโฮโม เซเปี้ยนขึ้นมาจากเหล่าโฮโม อิเร็คตัส ด้วยการดัดแปลง DNA โดยมีจุดประสงค์หลักคือใช้แรงงานมนุษย์ในการขุดค้นทรัพยากรของพวกเขา และรองลงมาก็คือสร้างอารยธรรมที่เจริญขึ้นมาบนโลก โดยมีพวกเขาเป็นพระเจ้าปกครองเหล่ามนุษย์



    Planet X and Genesis: Genetic Engineering Sapiens II.

    ฟังดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ปนศาสนานะครับ เพราะในไบเบิลบทเยเนซิสนั้น มีการกล่าวถึงรายละเอียดในการสร้างมนุษย์ด้วยวิธีการที่คล้ายกันกับการโคลน นิ่งอย่างชัดเจน หันมาดูจารึกของชาวสุเมเรียนกันบ้าง นี่ยิ่งชัดกว่า เพราะมีการบอกเล่ากันเป็นบทเป็นตอน แถมแน่กว่าไบเบิลของชาวยิวเพราะมีภาพประกอบหลายภาพ รูปที่นักคิดนักเขียนฝรั่งชอบเอามาอ้างก็คือ รูปของเทพีกำลังอุ้มเด็กอ่อนโดยมีเทพองค์อื่นๆ ซึ่งกำลังสาละวนอยู่กับหลอดทดลองอยู่รอบข้าง แถมมีสัญลักษณ์ซึ่งชาวสุเมเรียนโบราณบอกว่า มันคือความลับในการสร้างมนุษย์ของพระเจ้าอยู่อย่างชัดเจนด้วยซะสิ เป็นไงครับ เห็นแล้วท่านจะนึกถึงอย่างอื่นไปได้อีกไหมนอกจากสัญลักษณ์ของ... DNA




    Dnas21.jpg



    ความลับของพระเจ้าในการสร้างมนุษย์ การดัดแปลง DNA !!??

    แม้ว่า Anunnaki จะมีวิทยาการที่ก้าวหน้า แต่การสร้างมนุษย์ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขานัก จารึกของชาวสุเมเรียนกล่าวถึง Anunnaki พี่น้องคู่หนึ่ง(ซึ่งน่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับสูง) คือ Enki กับ Ninharsag ที่ทำการลองผิดลองถูกในการ"ปั้นแต่งมนุษย์" ซึ่งก็นับว่านานพอดูกว่าจะประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจ ผู้เชี่ยวชาญที่แปลและตีความเรื่องนี้ได้ให้รายละเอียดที่ยืดยาวจนผมเอามา เล่าไม่ไหว แต่ก็พอจะสรุปให้ฟังได้ว่า Anunnaki ได้ดัดแปลง DNA ของลิง Ape อาฟริกันจนได้ผลเป็นที่พอใจของพวกเขาในสถานีงาน(และเหมืองทองขนาดใหญ่)ที่อา ฟริกา แต่นั่นยังไม่ใช่มนุษย์ที่พวกเขาต้องการ ผลงานที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามจริงๆมาเกิดขึ้นที่ดินแดนเมโสโปเตเมีย ครับ เป็นบริเวณที่ชาวสุเมเรียนโบราณเรียกกันว่า E.DIN (นี่ก็ตรงกับสวนเอเดนในไบเบิล ที่พระเจ้าของชาวยิวสร้างมนุษย์ขึ้นมาอีกเหมือนกัน) ณ ที่นี้เอง ที่อาดัมและอีฟ ถือกำเนิดขึ้นมาในฐานะโฮโม เซเปี้ยน รุ่นแรกของโลก

    ดาว Nibiru ดวงนี้น่าจะมีขนาดใหญ่และสว่างเจิดจ้ากว่าที่พวกเราคิดเอาไว้มาก เนื่องจากในบันทึกของดินแดนเมโสโปเตเมีย ได้กล่าวถึงความเจิดจ้าของมันเอาไว้ว่า สามารถมองเห็นได้แม้เวลากลางวัน ภาพโบราณที่ขุดพบที่เมือง Nippur พิสูจน์ได้ถึงความจริงในข้อนี้ครับ จากภาพด้านล่างจะเห็นได้ว่า เกษตรกรที่กำลังทำกสิกรรมอยู่นั้น มองไปยังดาว Nibiru ซึ่งแทนด้วยสัญลักษณ์กากบาท (ชาวสุเมเรียนโบราณเรียก Nibiru ว่า Planet of the Cross และแทนมันด้วยสัญลักษณ์กากบาท) จารึกยังกล่าวต่อไปถึงคำทำนายล่วงหน้าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อ ดาวดวงนี้โคจรมาอยู่ใกล้โลก ภัยพิบัติเช่นแผ่นดินไหวและน้ำท่วมก็จะตามมา มันก็แหงสิครับ... ออกจะดวงเบ้อเริ่มขนาดนั้น แรงดึงดูดที่ส่งผลต่อโลกย่อมทำให้เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ชาวฮีบรูว์ก็รู้จักดาวดวงนี้ดี พวกเขาถือว่าการปรากฏของ Nibiru บนท้องฟ้านับเป็นนิมิตแห่งการเริ่มต้นยุคใหม่ของโลก ที่มาของภัยพิบัติทั้งหลายในคัมภีร์พันธสัญญาเก่า ก็น่าจะมีสาเหตุมาจาก Nibiru นี่แหละครับ เมื่อไรก็ตามที่ดาวเคราะห์ยักษ์ดวงนี้โคจรเข้ามาเฉียดโลกอีกวาระ เมื่อนั้นคำกล่าวของเอไสยะในพระคัมภีร์ก็จะไม่มีใครกังขาอีกต่อไปว่า คำกล่าวนี้กล่าวถึงกองทัพของพระเจ้าหรือพลานุภาพจากแรงดึงดูดกันแน่


    Plowmenx.gif

    From a far away land they came, from the end-point of Heaven do the Lord and his weapons of wrath come to destroy the whole Earth. Therefore will I agitate the Heaven and Earth shall be shaken out of its place. When the Lord of Hosts shall be crossing, the day of his burning wrath.


    cradit http://www.ict.mbu.ac.th/th/index.php?option=com_content&task=view&id=220&Itemid=105

    cradit http://scratchpad.wikia.com/wiki/ดาวเคราะห์ดวงที่_12_(Planet_X)


    https://www.sites.google.com/site/alleverythingpiece/planet-x-laea-chaw-su-me-reiy-n
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2017
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    สื่ออียิปต์เปิดโปงเอกสารลับ ความร่วมมือของซาอุฯ กับระบอบไซออนิสต์
    Published: Monday, 11 December 2017 15:03 |

    2DF7DE8B-E4FB-4391-91C6-755A4D9ADA7A-934-000000EE73B3D084.jpeg

    หนังสือพิมพ์อียิปต์ได้ตีพิมพ์เอกสารล่าสุดที่เกี่ยวกับความร่วมมืออย่างลับๆ ของกระทรวงการต่างประเทศซาอุดีอาระเบียกับระบอบไซออนิสต์

    เอกสารลับฉบับสมบูรณ์ของโทรสารของกระทรวงการต่างประเทศซาอุดีอาระเบียแสดงให้เห็นถึงมิติต่างๆ ของแผนร้ายอีกส่วนหนึ่งของประเทศนี้ ในการต่อต้านชนชาติอาหรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวปาเลสไตน์

    หนังสือพิมพ์ "Al Sharq" ของอียิปต์ พร้อมกับการตีพิมพ์เอกสารลับนี้ได้กล่าวว่า ตามข้อความโทรสารระหว่างริยาดและทำเนียบขาว เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 1966 ได้มีการเรียกร้องอย่างชัดเจนจากอิสราเอลให้เข้ายึดครองซินาย และประเด็นนี้เกี่ยวข้องกับช่วงเวลาที่เกิดความขัดแย้งระหว่างไคโรกับริยาด และประเด็นที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือ ซาอุดีอาระเบียได้พยายามที่จะเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบอบไซออนิสต์และได้เสนอให้ทำการโจมตีซีเรียและการแบ่งแยกดินแดนส่วนหนึ่งของประเทศนี้ (หมายถึงที่ราบสูงโกลาน)

    ซาอุดิอาระเบียยังได้เรียกร้องอิสราเอลให้ยึดครองฉนวนกาซาและเวสต์แบงก์ เพื่อด้วยวิธีการนี้จะปิดเส้นทางการเคลื่อนไหวทุกรูปแบบของชาวปาเลสไตน์ หรือความพยายามต่างๆ ของบรรดาประเทศอาหรับทั้งหมดที่จะปลดปล่อยปาเลสไตน์ และในกรณีเช่นนี้สิทธิในการกลับสู่ปาเลสไตน์ของบรรดาผู้ลี้ภัและประเด็นการแก้ปัญหาต่างๆ ขั้นสุดท้ายก็จะถูกตัดไป เนื่องจากการยึดครองเขตเวสต์แบงก์นั้นหมายถึงการครอบครองอัลกุดส์ (เยรูซาเล็ม) ซึ่งระบอบไซออนิสต์ได้ทำให้ข้อเสนอนี้เป็นความจริงแล้ว โดยในสงครามเดือนมิถุนายน 1967 พวกเขาได้ทำให้ดินแดนของชาวอาหรับเข้ามาอยู่ภายใต้การยึดครองของตน และตามเนื้อหาของเอกสารข้อเสนอของซาอุดิอาระเบียนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 1966

    ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใดที่ริยาดปลุกปั่นให้อิสราเอลทำการโจมตีอิหร่านและฮิซบุลลอฮ์และได้เสริมสร้างความสัมพันธ์กับอิสราเอล และตามคำพูดของ "อันวัร อิชกีย์" (Anwar Eshaghi ) หัวหน้าศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์และกฎหมายตะวันออกกลางของซาอุดิอาระเบียได้หันมายกย่องและกล่าวชื่นชมชาวยิวและอิสราเอล

    ตามรายงานของ "Al Sharq" นายอันวัร อิชกีย์ ซึ่งได้กลายเป็นตัวแสดงของซาอุดิอาระเบียสำหรับการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระดับปกติกับอิสราเอลได้รับการสนับสนุนจากหน้าหน่วยงานของซาอุดีอาระเบียซึ่งได้แก่ : กระทรวงการต่างประเทศ, กระทรวงมหาดไทย, หน่วยสืบราชการลับ (general intelligence presidency) , กระทรวงวัฒนธรรมและสารสนเทศ และกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรม

    ตามเอกสารนี้ ระบอบนิสม์ได้วางแผนอย่างรอบคอบสำหรับการฟื้นฟูความสัมพันธ์ในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระดับปกติ และมอสสาดได้ให้ข้อมูลลับแก่หน่วยสืบราชการลับของซาอุดิอารเบียและการช่วยเหลือนี้ได้เพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมา

    ในเรื่องนี้ "อาเมียร์ อาวรีน" ผู้เขียนบทความได้เขียนลงในหนังสือพิมพ์ฮาอาเร็ตซ์ฉบับวันที่ 15 เมษายน 2012 เกี่ยวกับการพบปะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของประเทศซาอุดิอารเบียกับ "ลีออน พาเนตตา" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ และการเจรจากันเกี่ยวกับปัญหาของอิหร่านและความไม่สงบใน "อัลบุรญัยน์" สำนักงานใหญ่ของกองเรือรบที่ห้าของสหรัฐฯ ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างซาอุดีอาระเบียและอิสราเอลนั้น มีอยู่และอิหร่านนั้นเป็นศัตรูร่วมกันของทั้งสองประเทศนี้ ในขณเดียวกันสหรัฐอเมริกาเป็นผู้สนับสนุนร่วมของทั้งสองประเทศนี้

    เอกสารนี้ยังได้เปิดเผยด้านต่างๆ ของข้อตกลงแลกเปลี่ยนของซาอุดีอาระเบียและไซออนิสต์ที่เรียกว่า "ข้อตกลงแห่งศตวรรษ" และแสดงให้เห็นว่า จาเร็ด คุชเนอร์ลูกเขยของประธานาธิบดีทรัมป์ในระหว่างการเยือนซาอุดิอาระเบียของเขาได้มีการบรรลุข้อตกลงกับซาอุดิอาระเบียในเรื่องนี้ และหลังจากนั้น มะห์มูด อับบาส ได้บินไปยังกรุงริยาด แต่เขาได้คัดค้านต่อข้อเสนอของคุชเนอร์ แม้ว่าข้อตกลงแห่งศตวรรษนี้จะถูกกระทำไปแล้วและเป็นระยะเวลาหนึ่งที่ริยาดบ่ายเบี่ยงที่จะประกาศเรื่องนี้ แต่ทรัมป์ได้ทำการเปิดเผยมันด้วยตนเอง

    ที่มา : อัลอาลัม

    แปล/เรียบเรียง : ศูนย์สารสนเทศอิสลาม สถาบันส่งเสริมการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับอิสลาม


    http://www.iicth.com/news01/muslim-news/108-news-40
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Richard Whitt
    สี่สหาย 。。 สยบมังกร

    IMG_7616.JPG

    The New Anti-China 'Quadrilateral Security Dialogue'

    • ท่านผู้อ่านทุกท่านจำคำย่อ Quad ไว้นะครับ อีกหน่อยจะมีความสำคัญสำหรับยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติกับภัยคุกคามที่ทำให้ไม่มั่นคงสำหรับภูมิภาคนี้ ซึ่งหมายถึงประเทศไทยด้วยอย่างแน่นอน

    • Quad ย่อมาจาก Quadrilateral Security Dialogue อันหมายถึงการจับมือกระชับความสัมพันธ์แบบตั้งเป้าหมายและความมุ่งหวังก็เพื่อผลประโยชน์แห่งชาติกับการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี เพื่อส่งเสริมความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืนร่วมกันไปในทุกมิติของ 4 ประเทศใหญ่ในย่านนี้คือ

    ❶ ประเทศญี่ปุ่น : Japan

    ❷ ประเทศออสเตรเลีย : Commonwealth of Australia

    ❸ ประเทศอินเดีย : Republic of India

    ❹ สหรัฐอเมริกา : United States of America

    • เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนชื่อเรียกจาก Asia-Pacific เป็น Indo-Pacific ที่เราเพิ่งได้ยินชัด ๆ จากปากของประธานาธิบดี Donald Trump ตอนมาเยือนเอเชีย 5 ประเทศเมื่อเร็ว ๆ นี้

    • คำว่า Indo ย่อมหมายถึง อินเดีย ที่อเมริกาและญี่ปุ่นได้พยายามชักชวนมาร่วม *เครือข่ายใหม่” ที่บวกเอามหาสมุทรอินเดียเข้ากับมหาสมุทรแปซิฟิก

    • พอดึงเอาออสเตรเลียเข้ามาด้วยก็กลายเป็น *สี่สิงห์แดนเสือ* มีกองทัพเรือที่มีแสนยานุภาพพอที่จะ *ถ่วงดุลอำนาจ* กับจีนได้ตั้งแต่แถบมหาสมุทรอินเดียตลอดมาถึงทะเลจีนใต้ และมหาสมุทรแปซิฟิกทั้งหมด

    • ความจริง แนวคิดที่จะสร้างแนวร่วมทางทะเลในเอเชียนี้เริ่มมาจากข้อเสนอของนายกรัฐมนตรี Shinzo Abe ของญี่ปุ่นเมื่อ ค.ศ. 2007 แต่ทันทีที่ญี่ปุ่นเสนอความคิดนี้ จีนก็คัดค้านทันที บรรยากาศขณะนั้นไม่เอื้อต่อการที่ญี่ปุ่นจะผลักดันเรื่องนี้ต่อ ความคิดเรื่อง *สี่สหาย* ในเอเชียก็เงียบหายไปพักใหญ่

    • แต่แนวคิดนี้กลับฟื้นคืนมา เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ ไปร่วมประชุมกับประเทศเอเชียตะวันออก และเมื่อสี่ประเทศนี้จับมือกันเพื่อประกาศว่าจะสร้าง Quad ขึ้นมา จีนก็ไม่อาจจะต้านได้ มีแต่จะเฝ้ามองด้วยความระแวดระวัง

    • คำแถลงของทั้งสี่ประเทศหลังจากประชุมกันแล้วบอกว่า การรวมกลุ่มกันครั้งนี้ต้องการจะทำให้ภูมิภาคนี้เป็นเขต *เปิดและเสรี* อีกทั้งยังจะ *เคารพกฎหมายระหว่างประเทศ* และมี *ระเบียบบนพื้นฐานของกฎกติกา*

    • ไม่ต้องวิเคราะห์แยกแยะให้ยากก็คงเข้าใจได้ว่า ถ้อยคำนี้เป็นการพาดพิงไปถึงจีน ที่ถูกมองว่าได้พยายามจะทำให้ทะเลจีนใต้เป็นของตนเองโดยไม่สนใจว่ากติกาสากลว่าอย่างไร

    • เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งใหม่ ๆ เขาประกาศยกเลิกนโยบายปักหมุดเอเชีย Pivot to Asia ซื่งเรียกแนวทางนี้เป็นภาษาทางการว่า Rebalancing in Asia อีกทั้งยังประกาศฉีกแผนความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก Trans-Pacific Partnership หรือ TPP ที่เน้นไปในการผลักดันเขตการค้าเสรีในหมู่ประเทศเอเชียและแปซิฟิก

    • แต่วันนี้โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังจะกลับมาใช้แนวทางที่ไม่ต่างกันมาก เพียงแต่เพิ่มบทบาทอินเดียมาร่วมกันรับผิดชอบการสร้างดุลยภาพเพื่อคานอิทธิพลของจีน

    • มีผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองเรียกแนวทางของโดนัลด์ ทรัมป์ เรื่องนี้เป็น Hard-Balancing หรือเป็นการถ่วงดุลจีนแบบกระด้าง คือทำอะไรที่โฉ่งฉ่างให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย

    • นักวิเคราะห์นโยบายและแผนปฏิบัติการบอกว่า Quad อาจจะเป็นแนวทางเดียวกับการสร้าง North Atlantic Treaty Organization หรือ NATO ที่ประเทศอเมริกากับยุโรปตะวันตกสร้างขึ้นเป็นพันธมิตรทางทหาร เพื่อยันสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตในช่วงสงครามเย็น

    • ไทยเราจะวางตัวอย่างไรในภาวะของ *ระเบียบโลกใหม่* ที่สหรัฐอเมริกาและจีนต่างก็ปรับบทบาทของตนเอง เพื่อสร้างอำนาจต่อรองมากขึ้นด้วยรูปแบบและยุทธศาสตร์ที่ผิดแผกแตกต่างไปจากเดิมอย่างมีนัยสำคัญยิ่ง

    • นี่คืออีกหนึ่งบทท้าทายสำหรับรัฐบาลไทยที่ยังอาจจะไม่ได้ระดมความคิดของคนวงการต่าง ๆ ในประเทศเพื่อการร่างนโยบายไทยภายใต้ *ระเบียบโลกใหม่ที่ไร้ระเบียบ* ที่เราเริ่มจะได้รู้จักในนามของ The world’s new (dis) order

    • บรรณานุกรม :

    Credit : https://sputniknews.com/radio_brave...w-anti-china-quadrilateral-security-dialogue/

    Credit : https://dailytimes.com.pk/145444/india-china-quadrilateral-security-dialogue/

    Credit : https://warontherocks.com/2017/11/rise-fall-rebirth-quad/

    Credit : https://geopoliticalfutures.com/containing-china-open-seas/

    Credit : https://www.huffingtonpost.com/pawa...uadrilateral-security-dialogue_b_6564544.html
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปอกเปลือก ทรราช
    ข่าวบันเทิง... สหรัฐโดนลูบคมอีกแล้ว THAAD อึ้ง จีนแอบส่งเครื่องบินรบสเตลท์ J-20 เข้าน่านฟ้าของเกาหลีใต้โดยเจ้าบ้านไม่รู้ตัว ในช่วงที่สหรัฐและเกาหลีใต้จัดฝึกผสมทางอากาศ สหรัฐเจ็บใจมาก จึงจัดซ้อมรบทางทะเลด้วยเรือพิฆาต Aegis หลายลำร่วมกับเกาหลีใต้และญี่ปุ่น อ้างฝึกติดตามขีปนาวุธของคิมน้อย

    IMG_7618.JPG IMG_7619.JPG IMG_7620.JPG IMG_7621.JPG

    --------------

    วันที่ 7 ธ.ค. 60 Asia Times พาดหัวข่าวว่า "บินขับไล่สเตลท์ของจีนอาจจะโฉบเหนือน่านฟ้าเกาหลีใต้ก็ได้" (China’s stealth jet may have done flyover of S Korea) [อุ๊แม่จ้าววววว! F-22 และ F-35 ก็อยู่แถวนั้นนี่นา เกิดอะไรขึ้น หรือว่าแร้งจะถูกมังกรถอนขนซะแล้ว? - ผู้แปล]

    เครื่องบินรบยุคที่ห้า J-20 (สเตลท์) ของจีนได้เข้าร่วมในภารกิจลับสุดยอดในการสอดแนมเกมสงคราม Vigilant Ace ของสหรัฐและเกาหลีใต้ท่ีกำลังลั่นกลองรบกระหึ่มท้องฟ้าอยู่แถวคาบสมุทรเกาหลี และไม่มีใครกองทัพฝ่ายไหนตรวจจับได้เลยหรือ?

    หนังสือพิมพ์ Sina ท้องถิ่นของจีนรายงานว่า "ใช่" แล้วหลักฐานหละ?

    [แหม… เรื่องแบบนี้ใครจะไปแสดงหลักฐานหละครับ ขืนแสดงออกไป เกาหลีใต้ก็เล่นงานจีนในข้อหาละเมิดน่านฟ้าของเกาหลีใต้นะสิ เงียยๆ ไว้ และปล่อยข่าวผ่านสื่อยียวนและเย้ยสหรัฐและเกาหลีใต้ผ่านสื่อท้องถิ่นไม่สนุกกว่ารึ? - ผู้แปล]

    กองทัพอากาศแห่งกองทัพปลดแอดประชาชนน (PLAAF) ของจีนกล่าวในโซเชียลมีเดีย Weibo ของจีนเมื่อวันจันทร์นี้ว่า ระหว่างการฝึกตามปรกติ อากาศยานสอดแนมของจีน ได้ขึ้นบินจากฐานทัพอากาศแห่งหนึ่งทางภาคเหนือของจีน และใช้เส้นทางการบินที่ไม่เคยไปมาก่อน

    ผู้สังเกตการณ์ทางทหารบางคนในประเทศจีนเชื่อว่า เครื่องบินเหล่านี้ได้เดินทางข้ามน่านฟ้าของเกาหลีใต เหนือทะเลจีนตะวันออกและทะเลเหลือง และที่น่าสนใจยิ่งกว่านี้ก็คือ ทางกรุงโซลยังคงปิดปากเงียบจนถึงขณะนี้

    [กรุงโซล ยังงงอยู่ครับ มาได้ไงฟระ? ตอนไหน? เมื่อไร? มีใครเห็นบ้าง? เงียบ… สหรัฐว่าไงครับ "อย่าถาม ไอก็ไม่เห็นเหมือนกัน จีนมั่วหรือเปล่า?" ฮั่นแน่ - ผู้แปล]

    บางคนคาดการณ์ว่า ระบบเรดาร์ของเกาหลีใต้จะต้องล้มเหลว (แหง็มๆ) ในการตรวจจับและติดตามอากาศยานสอดแนมของจีน ที่ปฏิบัติภารกิจรวบรวมข่าวกรองเกี่ยวกับการฝึกผสม (ของสหรัฐและเกาหลีใต้) ในครั้งนี้

    "หากเป็นเรื่องจริง ดังนั้นเครื่องบินของจีนที่มีเทคโนโลยีสเตลท์เพียงตระกูลเดียวที่สามารถจะไปมาไร้ร่องรอยโดยไม่ถูกตรวจจับได้ จะต้องเป็น J-20 แน่นอน" ผู้เชี่ยวชาญแสดงความคิดเห็น

    [จริงๆแล้ว จีนมีเครื่องบินรบยุคที่ห้าอีกหนึี่งรุ่น ใหม่ล่าสุด คือ J-31 ผลิตเครื่องต้นแบบมาสองลำ ขึ้นบินครั้งแรกในปี 2012 ยังไม่ได้ประจำการ J-31 ลำเล็กกว่า J-20 ลักษณะคล้ายกับ F-35 ของสหรัฐมาก และถูกมองว่าเป็นการก็อปปี้รูปทรงภายนอกจาก F-35 ของสหรัฐ แต่ J-31 เป็นเครื่องบินรบแบบสองเครื่องยนต์อยู่ด้านหลังทั้งคู่ - ผู้แปล]

    รายงานข่าวกล่าวต่ออีกว่า "อาจจะมี J-20 หนึ่งหรือสองลำบินควบคู่ไปกับฝูงบิน (สอดแนม) ซึ่งตอนแรกมุ่งหน้าไปยังทะเลตะวันออกในการลาดตระเวนตามหลักเสรีภาพในการบิน แต่จากนั้นเครื่องบินรบลำหนึ่งก็หันหน้าไปทางตะวันออกเฉียงเหนือและเจาะเข้าไปในน่านฟ้าของกรุงโซล โดยใช้ข้อได้เปรียบด้านเทคโนโลยีสเตลท์ที่ล้ำสมัยของตนเอง โดยไม่ปราศจากการถูกจับได้จากระบบเรดาร์ของกรุงโซลเลย" (ลองของอเมริกันและเกาหลีใต้ชัดๆนี่นา)

    แหล่งข่าวอีกแห่งหนึ่งเสนอความคิดเห็นว่า PLAAF ได้เริ่มประจำการเครื่องบินรบ J-20 จำนวนไม่มากในปีนี้แล้ว ซึ่งอยู่ทีฐานทัพอากาศ Cangzhou ซึ่งเป็นฐานทัพหลักของฝูงบินสเตลท์ของจีน ในจังหวัดเหอเป่ย ทางภาคเหนือของจีน (ห่่างจากกรุงปักกิ่งไปทางใต้ประมาณ 175 กม.)

    อำเภอ Cangzhou มีชายแดนติดกับทะเลปั๋วไห่ (Bohai Sea) และอ่าวเกาหลี (Korea Bay) รวมทั้งชายฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรเกาหลีด้วย แต่มีการรักษาความปลอดภัยที่หนาแน่นมาก เนื่องจากมีคาบสมุทร Shandong และ Liaodong เป็นปราการป้องกันเอาไว้ (ในส่วนของจีน)

    [ปัญหาก็คือว่า แล้วฝั่งเกาหลีใต้ที่มีกองทัพสหรัฐราว 3 หมื่นนาย และระบบป้องกันภัยทางอากาศ THAAD ที่คุยนักคุยหนาว่าเจ๋งผุดๆ นั้นปล่อยให้ J-20 หลุดเข้าไปได้อย่างไร? - ผู้แปล]

    วันที่ 11 ธ.ค. 60 RT รายงานว่า ทร. สหรัฐ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้จัดฝึกผสมทางทะด้วยเรือพิฆาตติดตั้งเทคโนโลยี Aegis ที่ล้ำสมัย สำหรับติดตามขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ เรือรบที่สำคัญซึ่งเข้าร่วมการซ้อมรบทางทะเลในครั้งนี้ประกอบด้วยเรือพิฆาต USS Stethem และ USS Decatur ของสหรัฐ, เรือพิฆาต Seoae Ryu Seong Ryong Aegis ของเกาหลีใต้ และเรือพิฆาต Chokai ของญี่ปุ่น การซ้อมรบเริ่มขึ้นเมื่อวันจันทร์นี้ จะสิ้นสุดในวันที่ 12 ธันวาคม ในคาบสมุทรเกาหลี (หน้าบ้านคิมน้อยอีกแล้ว)

    [นักวิแคะรู้สึกกังวลใจเป็นหย่อมๆ เล็กน้อยถึงปานกลาง ไม่รู้ว่าเจ้าเรือพิฒาตเหล่านี้จะไปชนเรือพาณิขย์หรือเรือประมง หรือหรือลากจูงอีกหรือเปล่า หรืออาจจะถูกเรือพาณิชย์พิฆาตกลางทะเลเหมือนกับที่เกิดขึ้นในปีนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า จนทำให้มีทหารเรือสหรัฐจมน้ำตายไปหลายนาย และได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุเหล่านั้นด้วย หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคงจะไม่พิฆาตกันเองหรือถูกเรือบรรทุกน้ำมันพิฆาตซะก่อนนะครับ เพราะว่าลำก่อนๆที่เพิ่งจะโดนพิฆาตไปหยกๆ ก็ติดตั้งเทคโนโลยี Aegis ตัวนี้และเทคโนโลยีสเตลท์อื่นๆด้วยนะ - ผู้แปล]

    The Eyes
    เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
    https://www.facebook.com/fisont
    https://vk.com/theeyesproject
    11/12/2560
    -----------
    http://www.atimes.com/article/chinas-stealth-jet-may-done-flyover-s-korea/
    https://sputniknews.com/world/201712101059869506-china-stealth-jet-korea-us-drill/
    https://sputniknews.com/military/201710051057975225-j20-chinese-air-power-russian-perspective/
    https://sputniknews.com/world/201712101059869506-china-stealth-jet-korea-us-drill/
    https://www.rt.com/news/412675-japan-us-skorea-missile-tracking/
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปอกเปลือก ทรราช
    ข่าวด่วน! ก่อการร้ายที่นิวยอร์ก: ลอบบึ้มที่สถานีรถโดยสารในแมนฮัตตัน นิวยอร์ก พลเรือนได้รับบาดเจ็บ 3 คน ตำรวจควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้ 1 คน, ไฟบรรลัยกัลป์โหมไหม้แคลิฟอร์เนียรอบสอง

    IMG_7622.JPG IMG_7623.JPG IMG_7624.JPG IMG_7625.JPG IMG_7626.JPG IMG_7627.JPG IMG_7628.JPG IMG_7629.JPG

    --------------

    วันที่ 11 ธ.ค. 60 RT รายงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมผู้ต้องสงสัยในการก่อเหตุวางระเบิดที่สถานีรถโดยสารขององค์การท่าเรือใน Midtown เขตแมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ 1 คน

    รายงานข่าวระบุว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึั้นที่ถนนหมายเลข 42 และหมายเลข 8 มีการอพยพผู้คนออกจากสถานีรถไฟใต้ดินสามแห่ง อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ลอบวางบึ้มที่สถานีรถโดยสารในครั้งนี้

    ผู้ต้องสงสัยซึ่งคาดว่าอายุประมาณ 27 ปี ได้รับบาดเจ็บไม่ร้ายแรงถึงชีวิตจากเหตุระเบิดในครั้งนี้ สำนักงานตำรวจนิวยอร์ก (NYPD) กล่าว ตามรายงานข่าวเปิดเผยว่าชายคนดังกล่าวมีวัตถุระเบิดลูกที่สองอยู่ในครอบครองด้วย และยังไม่ได้จุดชนวน

    มีผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งหมด 4 คน จากการะเบิดในครั้งนี้ ซึี่งรวมทั้งผู้ต้องสงสัยด้วย สำนักงานดับเพลิงแห่งนิวยอร์กกล่าว และยืนยันว่าอาการบาดเจ็บไม่รุนแรงถึงชีวิต

    สื่อท้องถิ่นรายงานว่า ชายต้องสงสัยคนดังกล่าวมาจาก "บังคลาเทศ" แต่ได้อาศัยอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเวลาหลายปีแล้ว มีที่อยู่ที่เขต Brooklyn และกำลังรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาล Bellevue

    [สหรัฐจะส่งเครื่องบินรบและกองทัพของตนเองไปบอมบ์บังคลาเทศเหมือนกับที่ทำกับซีเรีย อิรัค อัฟกานิสถาน ลิเบีย เยเมน และโซมาเลีย โดยอ้างว่าเพื่อปราบปรามขบวนการก่อการร้ายหรือไล่ล่าหัวหน้าขบวนการก่อการร้าย หรือโทษฐานที่รัฐบาลบังคลาเทศตกลงร่วมกันกับพม่าในการแก้ไขปัญหาโรฮิงญา และรัฐบาลบังคลาเทศจะส่งโรฮิงญาราว 100,000 คนไปอยู่ที่เกาะเสื่อมโทรมกลางทะเลหรือเปล่า? - ผู้แปล]

    ส่วนอีกข่าวหนึ่ง มีรายงานข่าวแจ้งว่า เกิดเหตุการณ์ไฟป่าลุกไหม้รอบที่สองในหนึ่งสัปดาห์ในพื้นที่ทางใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ทางการเร่งอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ มีบ้านเรือนประชาชนถูกทำลายจากเหตุการณ์ในครั้งนี้หลายหลัง

    [รัฐบาลทรัมป์พยายามจุดไฟสงครามที่คาบสมุทรเกาหลี แต่ไม่ติด ต่อมาก็กำลังกระพือไฟที่ปาเลสไตน์เพื่อเอาใจยิวอิสราเอล แม้ว่านานาชาติจะประณามก็ตาม เกาหลีเหนือก็ประณามสำหรัฐในกรณีรับรองให้เยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอลด้วย เกาหลีใต้และญี่ปุ่น ใบ้รับประทาน แต่ไฟกลับไหม้ในบ้านของสหรัฐซะเอง - ผู้แปล]

    ล่าสุด NYPD แถลงว่าการโจมตีในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับขบวนการก่อการร้าย ล่าสุดตำรวจ NYPD เปิดเผยว่า ผู้ต้องสงสัยในการก่อเหตุที่ถูกจับกุมได้ชื่อ "Akayed Ullah"

    The Eyes
    เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
    https://www.facebook.com/fisont
    https://vk.com/theeyesproject
    11/12/2560
    -----------
    https://www.rt.com/usa/412715-new-york-city-explosion/
    https://sputniknews.com/us/201712111059897605-nypd-explosion-manhattan/
    http://edition.cnn.com/2017/12/11/us/new-york-possible-explosion-port-authority-subway/index.html
    http://edition.cnn.com/2017/12/11/us/california-wildfires/index.html
    http://edition.cnn.com/2017/12/11/us/california-wildfires/index.html
    https://sputniknews.com/us/201712111059897605-nypd-explosion-manhattan/
    https://www.nbcnewyork.com/news/nat...uthority-Evacuations-Officials-463366753.html
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปอกเปลือก ทรราช
    ลีลา Su-30SM ของรัสเซียในการบินคุ้มกันให้กับ Il-76 ภารกิจส่งความช่วยเหลือทางอากาศในซีเรีย

    IMG_7630.PNG IMG_7631.PNG

    -------------

    วันที่ 7 ธ.ค. 60 RT พาดหัวข่าวว่า "ขอดูหน่อย: นับบินเครื่องบินรบ Su-30SM ของรัสเซียแอบส่องดูภายในเครื่องบินลำเลียงขณะบินอยู่กลางอากาศ (วีดีโอ)" (Show me: Russian Su-30SM fighter pilot peeks inside transport plane mid-flight (VIDEO))

    นักบินประจำเครื่องบินรบของรัสเซียได้ให้ความหมายใหม่สำหรับคำว่า "การตรวจสอบการบิน" (flight inspection) มีการเผยแพร่คลิปวีดีโอคลิปหนึ่ง (ในโซเชียลมีเดียและสื่อของรัสเซีย) ซึ่งเป็นการบันทึกภาพขณะที่เครื่องบินรบ Su-30SM ของรัสเซียลำหนึ่งกำลังแอบส่องดูภายในเครื่องบินขนส่งลำเลียงลำหนึ่งจากด้านหลัง หลังเสร็จสิ้นภารกิจหย่อนคาร์โกทางอากาศ โดย Su-30SM ได้บินเข้าไปใกล้ประตูหลังของ Il-76 ในระยะใกล้เพียงไม่กี่เมตร

    ในคลิปนี้ หลังจากที่เครื่องบินขนส่งลำเลียง Il-76 หย่อนคาร์โกทางอากาศเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็มีเจ้าเครื่องบินรบ Su-30SM ที่มีความคล่องแคล่วในการบินสูงมากลำหนึ่งบินเข้าไปใกล้บริเวณด้านหลังของ Il-76 จนลูกเรือ Il-76 สามารถมองเห็นภายในค็อกพิตและรายละเอียดของ Su-30SM ได้อย่างชัดเจน

    คนที่ถ่ายคลิปนี้เป็นหนึ่งในลูกเรือของ Il-76 ของรัสเซีย ในขณะที่ Su-30SM เสร็จสิ้นภารกิจการตรวจสอบภายใน Il-76 ว่าได้หย่อนคาร์โกลงหมดแล้วหรือยัง ก็ได้เอียงข้างให้ลูกเรือ Il-76 ได้เห็นใต้ท้องและใต้ปีกของ Su-30SM ว่าพี่แบกอะไรมาบ้าง ไม่ต้องกังวลใจว่าจะมีสุนัขรอบกัดมาก่อกวนอีก เท่าที่เห็นจากในคลิปนี้ พบว่า Su-30SM หนีบมิสไซล์อากาศสู่อากาศมาด้วยอย่างน้อย 6 ลูก

    [ในช่วงท้ายของคลิปดูเหมือนว่าลูกเรือ Il-76 พยายามจะบอกว่ามันเจ๋งมากๆ สุดยอดดดดด! พากันหัวเราะสนุกสนาน ชอบใจกันใหญ่ แต่ถ้าเป็นสหรัฐ อาจจะบอกว่า รัสเซียบินไม่ปลอดภัย ไม่เป็นมืออาชีพ ระดับมืออาชีพจะต้องส่ง F-22 ไปเกรียน Su-25 เครื่องบินรบรุ่นเก่าที่ด้อยประสิทธิภาพกว่า พอเจอกันตัวต่อตัวกับ Su-35S เครื่องบินรบ F-22 ที่คุยว่าเจ๋งที่สุดในโลก กลับเผ่นแน็บหายไปแล้ว และให้โฆษกองทัพสหรัฐออกมาโวยวายว่า "รัสเซียบินไม่ปลอดภัย" - ผู้แปล]

    The Eyes
    เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
    https://www.facebook.com/fisont
    https://vk.com/theeyesproject
    12/12/2560
    -----------
    https://www.rt.com/news/412255-su-30-peekaboo-syria/

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,975
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ปอกเปลือก ทรราช
    จีนฮึ่มใส่สหรัฐ: ถ้าสหรัฐส่งเรือรบไปไต้หวัน จีนเปิดสงครามถล่มไต้หวันแน่ เอาปะ?

    IMG_7632.JPG IMG_7633.JPG

    -------------

    วันที่ 11 ธ.ค. 60 Sputnik พาดหัวข่าวว่า "ทูตจีน (เตือน): คาดว่าเกิดสงครามแน่ ถ้าสหรัฐส่งเรือรบไปใต้หวัน" (Chinese Diplomat: Expect War if US Sends Navy Ships to Taiwan)

    นักการทูตระดับสูงคนหนึ่งของจีนประจำสหรัฐเตือนกรุงวอชิงตันว่า กรุงปักกิ่งอาจจะบุกไตหวัน หากสหรัฐกล้าส่งเรือรบของตนเองแม้แต่ลำเดียวเข้าไปยังเกาะแห่งนั้น ซึ่งจีนพิจารณาว่าเป็นจังหวัดหนึ่งของแผ่นดินใหญ่

    นาย Li Kexin รัฐมนตรีประจำสถานทูตจีนในสหรัฐกล่าวระหว่างการจัดกิจกรรมที่สถานทูตเมื่อวันศุกร์นี้ว่า ตนเองได้แจ้งกับบรรดาเจ้าหน้าที่ชาวอเมริกันไปแล้วว่า จีนจะบังคับใช้กฎหมาย "ต่อต้านการแบ่งแยกดินแดน" (Anti-Secession Law) ทันที ถ้าบรรดาเรือรบของกองทัพเรือสหรัฐถูกส่งไปยังช่องแคบไต้หวัน

    กฎหมายฉบับนี้ซึ่งผ่านรัฐสภาของจีนในปี 2005 ได้ปฏิเสธความเป็นรัฐเอกราชของไต้หวัน และได้กำหนดวิธีการต่างๆของกรุงปักกิ่งในการรวมชาติของสองแผ่นดินจีนให้เกิดขึ้นได้จริง กฎหมายฉบับนี้ยังได้ระบุถึง "การดำเนินการที่ไม่ใช่สันติวิธี" (ซึ่งก็คือการทำสงคราม) เอาไว้ด้วย หากจีนเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่การรวมชาติโดยไม่เสียเลือดเนื้อประสบความล้มเหลว

    สำหรับนายลีแล้ว การปฏิบัติการของกองเรือรบของสหรัฐอาจจะเป็นการส่งสัญญาณเช่นนั้นก็ได้ "วันที่บรรดาเรือรบของกองทัพเรือสหรัฐเดินทางไปถึงท่าเรือเกาสง (Kaohsiung) คือวันที่กองทัพปลดแอกประชาชนของเราจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับกองทัพไต้หวัน" นายลีกล่าวกับสื่อจีน ซึ่งอ้างถึงท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดของใต้หวัน (ตั้งอยู่ที่เมืองเกาสง ทางใต้ของเกาะใต้หวัน อยู่ห่างจากจีนแผ่นดินใหญ่ประมาณ 275 กิโลเมตร)

    หนังสือพิมพ์ The Global Times ของรัฐบาลจีนแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ว่า "แผ่นดินใหญ่ของจีนไม่เคยล้มเลิกตัวเลือกในการรวมไต้หวันเข้ากับแผ่นดินใหญ่โดยใช้กำลัง ซึ่งก็ชัดเจนอยู่แล้วสำหรับประชาชนที่อยู่ทั่วช่องแคบไต้หวัน"

    "คำพูดของคุณลีเป็นการส่งคำเตือนไปถึงไต้หวัน และเป็นการขีดเส้นแดงอย่างชัดเจน (อย่าล้ำเส้น!) ถ้าไต้หวันยังคงพยายามจัดทำประชามติประกาศเอกราชหรือกิจกรรมอื่นๆ เพื่อแสวงหาความชอบธรรมโดยนิตินัยให้กับ 'การประกาศเอกราชของใต้หวัน' กองทัพ PLA ก็จะลงมือปฏิบัติการโดยไม่ต้องสงสัยแน่นอน" บทบรรณาธิการกล่าว

    วันเสาร์ กระทรวงต่างประเทศของไต้หวันได้โวยวายต่อคำเตือนของนายลี และกล่าวหาว่าจีนใช้กำลังข่มขู่และบีบบังคับ ในขณะเดียวกันพวกเขาก็อ้างว่าต้องการที่จะรวมชาติโดยสันติวิธี

    "วิธีการเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นว่า (จีนแผ่นดินใหญ่) ขาดความรู้เกี่ยวกับความหมายที่แท้จริงของระบอบประชาธิปไตย และสังคมประชาธิปไตยทำงานกันอย่างไร" แถลงการณ์กระทรวงต่างประเทศของไต้หวันกล่าว

    [กต. ของไต้หวันน่าจะชำเลืองดู "ประชาธิปไตย" ของเพื่อนบ้านอย่างเกาหลีใต้และญี่ปุ่นดูให้ชัดเจนนะ มันต้องให้สหรัฐเขียนรัฐธรรมนูญให้ ต้องมีกองทัพสหรัฐหลายหมื่นหรือแสนนายประจำอยู่ในประเทศเหล่านั้น และประเทศเหล่านั้นก็ต้องจ่ายส่วยปีละหลายหมื่นล้านบาทให้กับสหรัฐ นั่นคือ "ประชาธิปไตย" ที่สหรัฐต้องการให้ประเทศทาสเหล่านั้นเป็น

    แต่ถ้ารัฐบาลของประเทศไหนแม้จะมาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยโดยตรง หากสหรัฐไม่สามารถชักใยหรือแทรกแซงหรือควบคุมรัฐบาลนั้นๆได้ สหรัฐก็จะบอกว่า "ไม่เป็นประชาธิปไตย" และจะพยายามหาทางล้มรัฐบาลเหล่านั้นซะ ดูยูเครนและซีเรียเป็นตัวอย่างสิ เสรีภาพที่อยู่ใต้อุ้งตีนอเมริกันและพวกตะวันตกนั่นหรือคือ "เสรีภาพที่แท้จริง"? - ผู้แปล]

    การปฏิเสธของประธานาฺธิบดีไซ่ (Tsai Ing-wen) แห่งไต้หวันได้นำไปสู่ความเสื่อมทรามในความสัมพันธ์ข้ามช่องแคบระหว่างสองจีนอย่างมีนัยสำคัญ นางไซ่ อิง-เหวิน เข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีไต้หวันในปี 2016

    เดือนกรกฎาคมปีนี้ จีนได้ส่งเรือบรรทุกเครื่องบินเหลียวหนิง (Liaoning) ของตนเองเข้าไปภายในเขตป้องกันภัยทางอากาศของกรุงไทเป (Taipei) ต่อมา ภายในเดือนเดียวกันนี้ ก็ส่งเครื่องบินรบของตนเองเข้าไปโฉบเหนือน่านฟ้าของไต้หวัน

    ในปี 1958 และปี 1996 สหรัฐได้ส่งเรือรบหลายลำไปยังช่องแคบไต้หวัน โดยอ้างว่าเพื่อปกป้องเกาะแห่งนั้นในช่วงที่มีความตึงเครียดสูงในน่านฟ้า ระหว่างกรุงปักกิ่งกับกรุงไทเป

    [สหรัฐต้องการไต้หวันมาก เพื่อเป็นอีกหนึ่งจุดสำหรับการปิดล้อมจีน เหมือนกับกรณีของเกาหลีใต้และญี่ปุ่น อีกตั้งได้สูบเลือดสูบเนื้อจากคนจีนบนเกาะไต้หวันไปเรื่อยๆ ผ่านวาทกรรมโลกสวย "ประชาธิปไตย (กำมะลอ)" ถ้าจีนและไต้หวันรวมชาติกันได้สำเร็จ สหรัฐก็จะสูญเสียรายได้จากการค้าอาวุธให้กับไต้หวันไปไม่น้อย และแน่นอน เทคโนโลยีทางทหารของสหรัฐในกองทัพไต้หวันก็จะถูกจีนชำแหละด้วย จีนเคยพูดว่าแม้จะใช้เวลาเป็นร้อยเป็นพันปี จีนก็จะนำไต้หวันกลับคืนสู่แผ่นดินแม่ของจีนให้ได้ ไต้หวันเป็นของคนจีน ไม่ใช่ของฝรั่งตะวันตก

    สหรัฐคอยหาเรื่องเกาหลีเหนือ จีนก็พอจะทนได้ แต่ถ้าล้ำเส้น หันมาเล่นงานจีนโดยใช้ไต้หวันเป็นเครื่องมือ เรื่องนี้จีนยอมไม่ได้ จีนจะฆ่ากันเองสหรัฐไม่สนใจ ยิ่งเป็นผลดีต่อสหรัฐทั้งในระยะสั้นและระยะยาวเพื่อตัดกำลังของจีน ที่เบียดบารมีเจ้าโลกของสหรัฐอยู่ในขณะนี้ ล่าสุด TASS รายงานว่า กองทัพรัสเซียจัดซ้อมรบร่วมกับกองทัพจีนที่กรุงปักกิ่ง - ผู้แปล]

    The Eyes
    เพจ: ปอกเปลือก ทรราช
    https://www.facebook.com/fisont
    https://vk.com/theeyesproject
    12/12/2560
    -----------
    https://sputniknews.com/asia/201712111059913378-taiwan-naval-vessel-china-invasion/
    http://www.globaltimes.cn/content/1079620.shtml
    http://lt.china-embassy.org/eng/zt/zgtw/t125177.htm
    https://www.dailytelegraph.com.au/n...t/news-story/46bb21e192b0f9387a61a0ca6a6ccb3e
    https://www.reuters.com/article/us-...inese-diplomats-invasion-threat-idUSKBN1E506A
    http://tass.com/defense/980318
     

แชร์หน้านี้

Loading...