ถวายพระท่านไป แก้ไขที่ตนก่อน

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย theliger, 24 กันยายน 2008.

  1. theliger

    theliger เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2007
    โพสต์:
    735
    ค่าพลัง:
    +219
    ถวายพระท่านไป แก้ไขที่ตนก่อน

    ธรรมะสู้ชีวิต

    เสฐียรพงษ์ วรรณปก



    ถวายพระท่านไป

    ผมมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นนักปรัชญา แต่ไหนแต่ไรมาเพื่อนคนนี้ไม่ค่อยเชื่อในเรื่องศาสนา เพื่อนบอกว่าเขาเป็นชาวพุทธเพราะเกิดในสังคมที่นับถือพระพุทธศาสนา ความเป็นพุทธของเขาถูกยัดเยียดให้โดยพ่อแม่ตั้งแต่เกิดแล้ว

    "เมื่อผมโตมา เรียนรู้อะไรมากขึ้น ผมอยากเป็นตัวของตัวเอง ผมขอ "คืน" พระพุทธศาสนาให้พ่อแม่ผมไปก่อน ยังไม่เชื่อก่อนเพราะผมยังไม่รู้ว่าพระพุทธศาสนาดีจริงสำหรับผมหรือไม่" เพื่อนคนนี้สรุป

    ผมเห็นว่าแกเป็นคนแปลก คบกันเป็นเพื่อนมาหลายปีผมก็ไม่ได้โน้มน้าวอะไรเขา เพราะรู้ว่าคนเช่นนี้ต้องให้ได้ "สัมผัส" เอง จึงจะเชื่อ คนอื่นอย่าได้หวังชักจูงให้ลำบากเลย ยิ่งเขาเป็นนักปรัชญาด้วยแล้ว ถ้าคุณไม่มีเหตุผลเพียงพอ คุณอาจแพ้เขาได้ง่ายๆ

    ผมกับเพื่อนคนนี้ไม่ได้ติดต่อกันหลายปี วันหนึ่งผมก็พบเขาทำให้ผมประหลาดใจมาก แขวนพระเต็มคอ ผมจึงเริ่มสัมภาษณ์เขาว่าเกิดอะไรขึ้น จึงได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละคน

    เพื่อนเล่าว่าเพราะอยากจะพิสูจน์ด้วยตัวเองให้แน่ใจว่าพระพุทธศาสนาดี และเหมาะสำหรับเขาหรือไม่ เขาหาหนังสือธรรมะมาอ่านเป็นจำนวนมาก อ่านไปอ่านมาก็รู้ว่าวิธีจะพิสูจน์ที่ดีต้องปฏิบัติธรรมคือฝึกสมาธิวิปัสสนา

    เพื่อนได้นั่งสมาธิ ตามที่หนังสือได้บอกไว้ ไม่ได้ไปเรียนจากพระอาจารย์วิปัสสนารูปใด กำหนดลมหายใจตามแบบ "อานาปานสติ" ฝึกอยู่นาน ฝึกเป็นกิจวัตรประจำวันเลยทีเดียว

    วันหนึ่งก็เกิดนิมิต คือมีพระแก่ๆ ห่มจีวรสีคล้ำๆ มาปรากฏแล้วก็หายไป วันหลังเวลาจิตเป็นสมาธิ ภาพนั้นก็ปรากฏอีกจนติดตา ออกจากสมาธิแล้วนึกทบทวนว่า ภาพนี้เคยเห็นที่ไหนมาก่อนแต่นึกไม่ออก

    วันหนึ่งหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน จึงรู้ว่าภาพที่เห็นในนิมิตนั้นคือ ภาพสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ผู้แต่งคาถาชินบัญชร จึงหาคาถาชินบัญชรมาท่องจนคล่อง และสวดก่อนนอนทุกคืนหลังนั่งสมาธิ

    วันหนึ่งสมเด็จฯ ก็มาปรากฏในนิมิต กระซิบบอกว่าความไม่ดีที่ทำอยู่เป็นนิจนั้นให้เลิกเสีย สมเด็จฯ ไม่ได้บอกว่าความไม่ดีอะไรแต่ในจิตสำนึกบอกตัวเองรู้ว่าความไม่ดีที่ว่านั้นคืออะไร จึงให้ปฏิญาณว่าจะเลิก

    วันหนึ่งสมเด็จฯ ก็มาปรากฏในนิมิตบอกว่า หอยจำนวนมากมายที่เขาฆ่านั้น ควรจะทำบุญอุทิศให้เขาไป และขออโหสิเขาเสีย คราวนี้ใจเขาหายวาบขึ้นมาทันที เพราะเรื่องนี้เขาลืมไปตั้งนานแล้วเมื่อเขายังเป็นเด็กเขา "ฆ่า" หอยคราวละมากๆ เพราะมีอาชีพขายอาหารช่วยพ่อแม่ แขกที่มากินข้าวจะสั่งหอยลวกกินกัน หน้าที่ในการลวกหอยเป็นของเขา เขาจะเอาหอยใส่กะละมังแล้วเทน้ำร้อนเดือดๆ ลงไป เขาลวกหอยต้มหอยอยู่นาน จนเชี่ยวชาญทำปาณาติบาต (ฆ่าสัตว์)

    เขาจึงทำบุญตักบาตร ทำสังฆทาน บริจาคเงินสร้างโบสถ์สร้างวิหารแล้วแต่โอกาส กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้บรรดาหอยที่ตนทำลายชีวิต และขออโหสิเขา อย่าได้มีกรรมมีเวรต่อกัน ทำอย่างนี้มาเป็นนิจศีล

    วันหนึ่งสมเด็จฯ ก็มาปรากฏในนิมิตบอกว่าให้ไปตรวจร่างกายเสีย ช้าไปจะเกิดเป็นมะเร็ง เพื่อนผมก็ไปตรวจ หมอที่ตรวจร่างกายบอกว่า โชคดีที่คุณมาตรวจก่อน ถ้าช้าไปอีกเพียงเดือนเดียวจะเป็นมะเร็งที่ลำไส้ เมื่อรู้ก่อนอย่างนี้สามารถป้องกันได้

    บัดนี้เพื่อนผมเชื่อสนิทแล้วว่า พระพุทธศาสนาดีและเหมาะสำหรับเขา ชีวิตเขารอดมาได้เพราะ "พระ" ได้ช่วยเหลือและ "เตือน" เขามาตลอด เดี๋ยวนี้ไปไหนมาไหนเพื่อนผมคนนี้แขวนพระเต็มคอโดยเฉพาะพระสมเด็จวัดระฆัง ขาดไม่ได้

    "ผมเลิกบุหรี่ เลิกดื่มเหล้า และเลิกทำตัวเหลวไหลอีกหลายอย่าง ยกถวายพระท่านไป เดี๋ยวนี้ผมมีแต่ความสุขใจปลื้มใจ" เพื่อนกล่าวสรุป

    เป็นความคิดไม่เลวนะครับ เลิกความไม่ดียกถวายพระ หรือเพื่อบูชาพระ คุณล่ะครับ มีอะไรจะยกถวายพระท่านบ้าง



    แก้ไขที่ตนก่อน

    ได้อ่านนิทานจีน ที่มีผู้แปลและเรียบเรียงไว้เรื่องหนึ่ง น่าสนใจ ขอถ่ายทอดให้ฟังเสียเลยดังนี้ครับ

    ฉีจิ่งกงเป็นผู้นิยมในกีฬายิงนก ครั้งหนึ่งจู๋โจวผู้มีหน้าที่ดูแลนก ทำนกหลุดไป ฉีจิ่งกงโมโหเป็นอย่างยิ่ง มีบัญชาให้นำจู๋โจวไปประหารเสีย

    เย่นจื่อได้ยินดังนั้น จึงกล่าวว่า "จู๋โจวมีความผิดอยู่ 3 ประการ ขอให้ข้าได้ชี้ถึงความผิดแต่ละข้อต่อหน้าของเขา แล้วค่อยนำตัวไปประหารได้ไหม"

    ฉีจิ่งกงตอบว่า "ได้"

    ดังนั้น จึงให้นำตัวจู๋โจวมา และชี้ถึงความผิดแต่ละข้อของเขาต่อหน้าฉีจิ่งกง ว่า "จู๋โจว" ท่านมีหน้าที่ดูแลนกให้กับกษัตริย์ผู้เป็นประมุขของเรา แต่ทำให้นกหลุดหนีไป นี่คือความผิดข้อที่ 1 ทำให้กษัตริย์ผู้เป็นประมุขของเราต้องฆ่าคนเพราะนก นี่คือความผิดข้อที่ 2 ทำให้บรรดาเจ้าผู้ครองนครรัฐทั้งหลายเมื่อได้ฟังเรื่องนี้แล้ว คิดว่ากษัตริย์ของเราเห็นความสำคัญของนกมากกว่าคน นี่คือความผิดข้อที่ 3"

    เมื่อเย่นจื่อพูดถึงความผิดของจู๋โจวจบแล้ว ก็ขอให้ฉีจิ่งกงออกคำสั่งให้นำเขาไปประหาร

    ฉีจิ่งกงกล่าวว่า "ไม่ประหารแล้ว ข้าขอน้อมรับคำชี้แนะของท่าน"

    เรื่องนี้ชื่อว่า "โทษ 3 ประการ" ผู้แปลและเรียบเรียงชื่อ เรืองรอง รุ่งรัศมี พิมพ์ในหนังสือชื่อรอยยิ้มในปัญญา สำนักพิมพ์ทางทองจัดพิมพ์ ขอประชาสัมพันธ์ให้นักอ่านไปหามาอ่านเถอะครับ อ่านแล้วได้แง่คิดทางธรรมะดีไม่น้อยเลย

    เรื่องนี้ให้คติก็คือผู้ที่มีอำนาจวาสนาก็มักจะใช้อำนาจเผด็จการใครทำอะไรให้ไม่ได้ดังใจ หรือใครขัดใจก็ลงโทษรุนแรง บางทีถึงกับประหารชีวิต

    คนมีอำนาจในมือ มักจะมองเห็นแต่ความผิดของคนอื่น ตนทำผิดทำชั่วอย่างไรก็มักมองไม่เห็น หรือเห็นก็ทำเป็นไม่เห็น

    แค่คนดูแลนก ทำนกหลุดหายไปเท่านั้น ก็สั่งให้นำไปประหารเห็นชีวิตคนอื่นเป็นผักปลา

    เย่นจื่อเป็นตัวแทนของ "คุณธรรม" ที่ช่วยชี้ทางสว่างให้ฉีจิ่งกงรู้สำนึก เย่นจื่อเดินทางไปหาฉีจื่อกง ทำท่าว่าเข้าข้างฉีจิ่งกง ชี้ความผิดของคนเลี้ยงนกว่าสมควรตาย แต่ความจริงแล้วคนเลี้ยงนกผิดมากมหันต์กว่านั้น สรุปแล้วมีความผิดถึง 3 ประการ มิใช่ประการเดียวดังที่ฉีจิ่งกงตัดสิน จึงสมควรตายอย่างยิ่ง

    เมื่อพูดดังนี้ฉีจิ่งกงก็สนใจ อยากจะรู้ว่าคนเลี้ยงนกผิดอะไรบ้าง เย่นจื่อจึงสาธยายให้ฟังช้าๆ ทำให้ฉีจิ่งกงฟังไปด้วยคิดไปด้วย

    ความผิดข้อที่ 1 มีหน้าที่เลี้ยงนก แต่ทำนกหลุดหายไป นี่ผิดชัดๆ สมควรตาย

    ความผิดข้อที่ 2 ทำให้กษัตริย์ต้องโกรธ และฆ่าคนเพราะนกหาย สมควรตาย

    ความผิดข้อที่ 3 ทำให้กษัตริย์แว่นแคว้นอื่นๆ เขาดูหมิ่นเหยียดหยามว่า กษัตริย์เมืองนี้เหี้ยมโหด เห็นนกสำคัญกว่าชีวิตคนนี่ก็สมควรตาย

    ขณะฟังไปๆ ก็รู้ทันทีว่า เย่นจื่อกำลังสอนตน กำลังว่าตนเหี้ยมโหด แค่นกหายตัวเดียว ยังวู่วามฆ่าคน เห็นชีวิตนกสำคัญกว่าชีวิตคน เราเป็นถึงกษัตริย์ปกครองประเทศ ขืนทำอย่างนี้ บ้านอื่นเมืองอื่นคงหาว่าเราเหี้ยมโหดจริงๆ

    นึกได้ดังนี้แล้ว ฉีจิ่งกงก็ร้องสั่งว่า ไม่ประหารแล้ว ปล่อยมันไป

    ในที่สุดฉีจิ่งกงก็สำนึกได้ว่า ที่ว่าคนเลี้ยงนกผิดนั้นความจริงตนนั่นแหละผิดกว่า ถ้าคนเลี้ยงนกต้องตาย ตนก็ยิ่งสมควรตายมากกว่า

    เพราะตนได้นกมา จึงต้องหาคนมาเลี้ยงนก ถ้านกหายไปความผิดเกิดขึ้น คนที่ผิดก็น่าจะเป็นตัวเอง!

    เห็นไหมครับ ถ้ามองในอีกมุมหนึ่ง เราก็จะเห็นความเป็นจริงอีกด้าน

    เพราะฉะนั้นท่านจึงมีสุภาษิตเตือนใจว่า

    "พูดให้เขาไม่เข้าใจไปว่าเขา

    ว่าโง่เง่า งมเงอะ เซอะ นักหนา

    ตัวของตัวทำไมไม่โกรธา

    ว่าพูดจาให้เขาไม่เข้าใจ"

    พูดให้เขาไม่เข้าใจ ไปชี้หน้าว่าโง่ ขณะที่นิ้วชี้ชี้ด่าเขา อีก 4 นิ้ว มันชี้มาที่ตัวคนด่าเชียวนะจะบอกให้ แล้วใครโง่กว่าใครล่ะครับ

    เรื่องอื่นๆ ก็เช่นกัน ขอให้มองมาที่ตนเองก่อน ก่อนจะตัดสินใจว่าใครผิดใครชั่ว ให้หันมาสำรวจตัวเองก่อนว่าตนเป็นอย่างไร นี่คือครรลองที่ผู้ต่อสู้ชีวิตจะพึงปฏิบัติ

    ที่มา http://www.matichon.co.th/khaosod/v...ionid=TURNd053PT0=&day=TWpBd09DMHdPUzB5TkE9PQ==
     
  2. nonglucp

    nonglucp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +1,041
    อนุโมทนาค่ะ...ได้ข้อคิดที่ดีมาก

    พูดให้เขาไม่เข้าใจไปว่าเขา

    ว่าโง่เง่า งมเงอะ เซอะ นักหนา

    ตัวของตัวทำไมไม่โกรธา

    ว่าพูดจาให้เขาไม่เข้าใจ"

    พูดให้เขาไม่เข้าใจ ไปชี้หน้าว่าโง่ ขณะที่นิ้วชี้ชี้ด่าเขา อีก 4 นิ้ว มันชี้มาที่ตัวคนด่าเชียวนะจะบอกให้....แล้วใครโง่กว่าใครล่ะ
     
  3. oomsin2515

    oomsin2515 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    2,934
    ค่าพลัง:
    +3,393
    อนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ที่นำสาระ ดี ๆ มาให้อ่านครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p



    _____________________________<O:p</O:p
    เชิญร่วมบริจาคหนังสือ เข้าห้องสมุดชุมชนวัดย่านยาว<O:p</O:p
    http://palungjit.org/showthread.php?t=130823<O:p</O:p
     

แชร์หน้านี้

Loading...