ถามประสบการณ์ใครมีข้อมูลแจกเพื่อนๆด้วยจร้า

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย สสพอช๑, 29 สิงหาคม 2017.

  1. สสพอช๑

    สสพอช๑ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2014
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +32
    ถามทุกท่านในประสบการณ์ส่วนตัวหรือความรู้จากแหล่งอื่นเกี่ยวกับเรื่องต่างๆดังนี้

    (ไม่เน้นถูกหรือผิด เพื่อความเปิดกว้างของข้อมูล)

    1 การทำสมาธิ หรือการเจริญสติ สามารถทำให้มีต่อเนื่องตลอดไปแบบไม่มีหลุดเลยแม้วินาทีเดียวหรือขณะจิตเดียว อัตโนมัติ ทั้งยามหลับหรือตื่นแบบพอทำได้แล้วไม่ต้องมานั่งกำหนดอีกเลยมีเองตลอด ทั้งชวิตนี้หรือสิ้นชีวิตก้อมีตลอด
    - แยกถามคือเริ่มด้วยอารมณ์ หรือกรรมฐานกองใด และต่อไปจนสำเร็จผลด้วยวิธีใด
    - พอทำได้แล้วอัตนโนมัติ จะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรหรือผล ที่ดีขึ้นแย่ลงหรือไม่

    2 การถอดกายทิพย์ออกไปทำเรื่องต่างๆ แต่กายหยาบยังสามารถทำงานที่ทำอยู่ได้ปกติ เช่น เดิน หรือพูด ...จะสามารถทำได้หรือไม่ ถ้าทำได้จะทำด้วยวิธีอะไร

    3 การทำสมาธิหรืออภิญญาสามารถทำให้ร่างกายหยาบไปทั้งกายเนื้อสติครบของเราไปในที่ต่างๆหรือภพภมูมิต่างๆ หรือมิติต่างๆ สามารถไปได้ทุกที่ทุกแดนไหมมีข้อจำกัดไหม ...เป็นไปได้ไหม และทำด้วยวิธีใด

    4 การดับความคิด และการดับความรู้สึกทุกข์ทรมานทางกายด้วย หรือดับแยกทางใจ แบบคิดจะทำเดี๋ยวนี้ ทำได้เลย และดับได้นานตามต้องการ ...ทำได้ไหม และทำได้ด้วยวิธีใด

    5 อันนี้ถามนอกเรื่อง ใครมีข้อมูลช่วยแชร์ด้วยครับ แยกถาม
    - จิตต่างๆทั้งคนและสัตว์หรือไม่ใช่คน จิตพวกนี้เกิดมาจากอะไร มีที่สิ้นสุดไหม
    - ความทุกข์ที่สัตว์โลกได้รับมาอย่างยาวนานนี้หมุนเวียนเป็นระบบมีหลากหลายภพภูมิ...ระบบนี้มีโอกาสสิ้นสุดไหม ถ้าได้ด้วยวิธีใด


    .......... ถามความรู้ แลกเปลี่ยน ทั้งจากตนเองแหล่งอื่นๆ หรือจากครูบาอาจารย์ท่านใด รบกวนแชร์ประสบการณ์ ไม่เน้นถูกผิดครับ ..........

    ขอบคุณล่วงหน้าครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2017
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    พิจารณาที่ ฐานจิต ตัวเดียวพอ

    ฐานจิต คืออะไร

    ปัจจัยให้เกิด จิต คืออะไร

    พระพุทธองค์ตรัสไว้แล้ว

    แต่เพราะเรา ฟังธรรมด้วยอาการมุ่งหาอัตตา
    ทำให้ฟังธรรม แล้วก้พลัดตกจาก ธรรมที่สดับ
    ทันที ทำให้กลายเปนคนดื้อด้าน จิตกระด้าง
    แทนที่จะบรรลุธรรมไปเลย ก้นั่ง งง กับอุปทาน
    ตัวเอง แล้วก้ไม่ทันอาการสงสัย ถามไม่เลิก
    ทั้งๆที่ได้คำตอบไปแล้ว

    ปัจจัยแก่วิญญาน คือ ......สังขาร....
    ปัจจัยแก่สังขาร คือ ...อวิชชา...

    อาหารของอวิชาคือนิวรณ์...
    ......
    ...ไล่ไป จะไปจบที่ ขาดการสดับ ซึ่ง
    ตอนที่เราได้รับคำตอบ เราก้ยังคงฟัง
    ด้วยอาการมุ่งความเปน สัตว์(การคว้า
    สิ่งที่สดับถือเอาเปนตัวตน ของตน)

    นะ

    ถ้า ตรึกให้ถูกวิธี ฐานจิตเกิดจากอะไร
    คำตอบที่เหลือ จะแทงตลอดได้ในเวลา
    ไม่นาน ไม่มีอะไรไม่สามารถ

    แต่ที่ หัวหกก้นขวิด ต้องไปเดินจงกรมจน
    เลือดอาบ อดอาหารจนซูบ นั่นเปน กรรมชั่ว(เลี่ยงภาษา ก้ใช้คำว่า กรรมดำ ธรรมดำ)
    ที่ดำริว่า "หนทางแห่งพุทธง่ายๆ ไม่มี"

    พอไปดำริแบบนั้น เวรกรรมก้ส่งผลให้ไป
    โน้น...ฝึกเอาอภิญญา ทำสมถะ คิดว่าตัวเอง
    ฉลาดกว่าศาสดา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2017
  3. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ยกตัวอย่าง อานาปานสติ

    อานาปานสติ เปน กองสัญญา

    ให้ตามระลึก อาการหมายรู้สภาพลมหายใจ
    เข้าออก หก ลักษณะ เพื่อเหนสัญญาเกิด ดับ

    แต่พอเราสดับธรรม ก้ดัน เอาอัตตานำหน้า
    โน้น.....ไปตบแต่ง อาการหายใจ นับหนึ่ง
    ซ้าย ขวา ย้ายจุดกระทบ

    เลยไปกันใหญ่

    แต่ถ้าสดับให้ถูก ลมหายใจอันเปนวิบาก มัน
    หายใจเองตามเวรกรรมที่เกิดมาเปนมนุษย์
    ลมหายใจจะเปน อัพยากฤติ(จิตจะเฉียดฌาณสี่ทันที) สิ่งที่เราตามระลึก
    เกิดดับจะหยิบเอา สัญญาขันธ์มาภาวนาได้ทันที
    และมีสิทธิบรรลุธรรมได้เพียง ลมหายใจเดียว
    ถ้าไม่บรรลุอะไร พระพุทธองค์ตรัสว่า ลมหาย
    ใจสุดท้ายยังสามารถจบกิจได้

    ทีนี้ คนที่ปราศจากอุปทาน

    อะไรที่คุณถาม คนที่หมดอุปทานเขาจะตอบได้ไหม

    พิจารณาเอา
     
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ยกตัวอย่าง อานาปานสติ

    ลมหายใจเป็น วิบากอันเกิดจากรูป เกิดจากผัสสะคือ อากาศ

    ถ้า อ๊อกซิเจนมี อานาปานสติก็มี ตั้งอยู่ได้ สืบต่อสันตติวิบากของมันได้
    ไม่ได้เป็นเรื่อง อำนาจของเจ้าตัวที่จะตั้งท่า ทำอาการหายใจซ้าย ขวา นับหนึ่ง

    ถ้า อ๊อกซิเจนไม่มี ซ้ำร้ายเป็น ก๊าซพิษ ลมหายใจก็ตั้งขึ้นไม่ได้ จะให้สืบต่อ
    ก็ไม่สามารถ ไม่ใช่เรื่องจะเป็นไปได้ ดังนั้น ลมหายใจเข้าออก เป็นเรื่องของ
    วิบาก อันแปรปรวนไปตาม ผัสสะ อีกทั้ง ผัสสะ ก็เป็นอนัตตา อ๊อกซิเจน
    จะมี หรือมีแต่ ลมตด มันไม่ได้อยู่ในอำนาจ และ ไม่ใช่เรื่องใครบันดาล

    แต่เพราะ อุปทานในรูปเกิด ความแน่น แข็ง ตึง จึงเกิด

    อย่างไรก็ดี หายใจแต่ละที มันไม่ได้แข็ง แน่น ตึง ทุกครั้ง ดังนั้น อุปปทาน ตัณหา
    เขาแสดงความไม่เที่ยง ก็อาศัยยก ระลึกเห็น ตัณหา สักกายะสมุทัย ไปตรงๆ ว่า
    มีความเกิด ความดับ

    ถ้าไม่ขาดการกำหนดรู้ อีกเพียงไม่กี่ อึดใจ ก็บรรลุธรรมได้ สิ้นอุปทานได้

    คนที่สิ้นอุปทาน บรรลุด้วยปัญญา อย่างพระสารีบุตร จะต้องไปเชื่อ สาวกปากปีจอ
    ไหมว่า ปัญญาวิมมุตติ แสดงอภิญญาไม่ได้ ทั้งๆที่ ตอน พระสารีบุตรปรินิพพาน
    ท่านเหาะขึ้นไป7ลำตาล แล้วกำหนดเตโชกสิณสลายธาตุละเอียดเป็นปุยนุ่นแบ่ง
    ออกทางซ้ายขวาของแม่น้ำอีกต่างหาก
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ช่วยตอบทีละข้อนะครับ...
    ๑.สมาธิหรือเจริญจิตเนี่ย ทางปฏิบัติจะไม่มี
    ใครที่จะทำให้มีได้ตลอดไม่หลุดได้ทั้งวันแน่นอน
    และก็จะไม่ทำกันด้วย เพราะการไปใช้สมาธิ เจริญสมาธิ
    อยู่ตลอดเวลานั้น จะทำให้จิตพิการ พูดง่ายๆคือจิตจะโง่...

    มีแต่สติเท่านั้น มีผู้เป็นเลิศทั้ง ๓ ภพองค์เดียวที่ไม่เคยหลุด
    พูดง่ายๆ เป็นคุณสมบัติของคนที่จะเป็นพระพุทธเจ้า...

    ส่วนการจะใช้งานผลของสมาธิได้ มีได้ทั่วไป
    เรียกว่า จิตทำงานได้ ด้วยกำลังสมาธิระดับนั้นๆ
    เป็นเรื่องปกติ ของคนใช้งานทางจิตได้อยู่แล้ว
    การใช้งานได้ พูดง่ายๆว่า เร็วกว่าความคิด เรื่องปกติ....

    ส่วนการจะพัฒนาต่อได้แบบไม่เสื่อมนั้น อยู่ที่ระยะ
    เวลาที่จิตคลายตัวเองได้ โดยไม่ใช้วิธีการใดๆไปบังคับ
    ไม่ว่า สมาธิ สติ ปัญญา ตบะ ญาน ฌาน หรือใช้ความชำนาญ
    ใดๆเข้าไปทำ แต่พัฒนาต่อได้ จากการละคลายกิเลสได้
    ของตัวจิตเองครับ. ถ้ายังมีตัวอะไรไปกระทำ
    อย่างไรก็เสื่อมได้ ล้านเปอร์เซนต์ครับ...

    ๒.เป็นแค่การส่งตัวจิตออกไป เป็นลักษณะการอุปโลกน์
    ไปใช้งาน ไม่ใช่การถอดกายทิพย์ ดังนั้นกายหยาบก็ยังอยู่
    แต่อยู่ในสภาวะนิ่งๆ ถ้าจะทำแบบที่คุณพูดได้
    คือ จะต้องไม่มีกายหยาบเท่านั้น....
    ส่วนการถอดกายทิพย์จริงๆ จะไม่เงียบ แน่นอน
    (นึกภาพออกนะ แค่จิตสงบนิดหน่อย ยังได้ยินเสียง
    ไกลๆชัดเจน ถ้าระดับถอดกายทิพย์ได้ จะชัดขนาดไหน
    เพราะมันตัดระบบควบคุมร่างกายได้แล้ว)
    ที่ไปแบบเงียบๆ แล้วคิดว่าเป็นการถอดกายทิพย์ไม่ใช่
    ในทางกิริยาคือแค่ส่งจิต หลักสังเกตุคือ จะไม่มีส่วน
    ร่วมในเหตุการณ์นั้นๆ และถ้ารู้สึกตัวจะกลับเข้ากายทันที
    ส่วนการถอดกายทิพย์ มันจะถอยหลังเข้ามา ในกาย
    เพราะมันจะยังมีสายใยที่ผูกหลังกายนั้นติดที่กายอยู่
    ไม่งั้น ถ้าไม่มีตรงนี้ หรือได้รับความกระทบกระเทือน
    คนนั้นจะเพี้ยนหรือกลับเข้าร่างกายไม่ได้ครับ...

    ๓.เรียกว่า ระดับจิตธาตุ. จิตธาตุไม่มีข้อจำกัด
    ''เล็กเท่าเมล็ดถั่ว แต่ใหญ่กว่าท้องฟ้า ซ่อนอยู่รอบๆตัวเรา
    แต่สามารถอยู่ในมือเราได้ '' ท่านที่ทำได้
    ก็คือ จะเปิดประตูคล้ายๆประตูมิติจากสถานที่ตนเองอยู่
    และเปิดประตูอีกที่ตรงปลายทาง แล้วดึงมาบรรจบกัน
    และก็ผ่านประตูนั้นออกไปอีกที่หนึ่ง....

    ๔.ความคิดมันดับไม่ได้ จิตมันต้องคิดเป็นธรรมชาติของมัน
    ร่างกายเจ๊บป่วยก็ต้องรู้สึกเป็นธรรมดา...แต่ยอมรับและทิ้ง
    ความคิด และยอมรับความเจ็บและทิ้งความเจ็บป่วยได้

    ถ้าสังเกตุเพราะไม่ว่า ทั้งความคิดและความรู้สึกเจ็บ
    มันยังเป็นโปรแกรมการปรุงแต่งอย่างหนึ่งอยู่
    ดังนั้นจิตจะต้องเข้าใจโปรแกรมพวกนี้ รู้เท่าทันพวกนี้
    ให้ได้ก่อน จิตมันถึงจะทิ้งพวกนี้ได้ เพราะรู้ว่ายังเป็น
    การปรุงแต่งอยู่และทิ้งได้เองตามธรรมชาติของจิต
    การจะไปถึงจุดนี้ได้ เราเรียกว่าเป็นระดับปัญญาญาน

    ส่วนการทิ้งอีกกรณีหนึ่ง สำหรับบุคคลที่ใช้งานทางจิตได้
    คือ ให้ทิ้งการใช้งานทางจิตนั้น จนจิตคล่อยๆกลับสู่ธรรมชาติ
    เดิมของตัวจิตมัน และขึ้นอยู่กลับว่า จิตจะทิ้งได้นานแค่ไหน
    และคลายตัวเองโดยธรรมชาติแค่ไหน
    ตัวจิตก็จะเข้าสู่สภาวะดับได้ของมันเอง
    ย้ำว่า ทั้งสองอย่างจะเข้าได้ของมันเอง

    การไปใช้เทคนิค อิทธิวิธีต่างๆ แม้เข้าถึงสภาวะดับได้นั้น
    แต่ว่า มันยังมีจิตนำอยู่ แต่ว่าสามารถนำไปใช้งานได้อยู่...

    และการจะเข้าสภาวะนี้ได้ จะเริ่มเข้าได้เอง นับเป็นหลัก
    วินาที ก่อน ส่วนท่านที่เข้าได้หลายวันเป็นเรื่องของท่าน
    ที่สะสมบารมีมา

    ๕ ความละเอียดในการรูวาระตรงนี้ บุคคลทั่วไปมักจะย้อน
    ได้แค่ ๔ ถึง ๕ ชาติ พวกนี้เป็นระบบภาคทิพย์
    ถ้าหาก ไม่มีวาระในการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับระบบภาคทิพย์
    นี้ด้วยตัวเอง ห้ามไปสนใจเป็นอันขาด ไม่งั้นจะทำ
    ให้สติไม่ปกติจนถึงขั้นวิปลาสได้...
    ดังนั้นเรื่องแบบนี้ ถ้ารู้เองไม่ว่ากัน แต่ต้องทิ้ง
    ไม่งั้นจะติดในระบบภาคทิพย์นี้อีกเหมือนกัน

    ข้อ ๑ ควรรู้ ข้อ ๒.รู้ได้แต่อย่าสนใจ ข้อ ๓.ถ้าไม่มีประสบการณ์
    ด้วยตนเองอย่าไปสนใจ ข้อ ๔.จะรู้ได้ต้องมีประสบการณ์
    ใช้งานทางจิตมาก่อนพอสมควร หรือ เดินปัญญาจนถึงขั้น
    ปัญญาญานมาบ้างแล้ว....
    ข้อ ๕ ลืมมันไปจากจักรวาลนี้ ให้คิดว่า ไม่มีเรื่องแบบนี้
    ในระบบสุริยะจักรวาล
    ปล. ในทางพุทธศาสนา มีข้อห้าม เรื่องอจิณตรัย หลักๆ
    อยู่ไม่กี่เรื่อง อย่าได้เผลอไปสนใจเป็นอันขาด
    ถ้าไม่เกิดขึ้นกับตนเอง และแม้เกิดขึ้นได้ รู้ได้
    ก็ยึดอะไรไม่ได้นะครับ


    '' มายาจิต เป็นแค่เพียงกลจิตชนิดหนึ่ง
    แม้เห็นได้ด้วยตาเปล่า ก็ยึดอะไรไม่ได้ ''
    พุทธศาสนา สอนอะไร เน้นอะไร ให้จำให้ดี
    ถ้าเผลอบ้าง ออกนอกทางบ้าง กลับมาให้เร็วครับ
    จะปลอดภัยทั้งกายและจิตครับ
     
  6. สสพอช๑

    สสพอช๑ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2014
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +32
    แก้ไขด้านบนข้อ1 ...การทำสมาธิ หรือการเจริญสติ

    ...ขอบคุณทั้งสองท่านที่มาตอบให้ข้อมูลครับ

    ส่วนคนที่ทำจนได้สติต่อเนื่องไม่หลุดเลยน่าจะมีหลายคนนะครับ ผมเหมือนเคยได้ข่าวถ้าเข้าใจผิดต้องขออภัยตรงนี้ด้วย องค์ทางอีสานสายพระป่า อีกองค์สายเหนือพระปฎิบัติจริงจังเหมือนกัน แต่ส่วนตัวคาดว่ามีอีกหลายท่านแต่เราไม่เข้าไปทราบกับท่านเท่านั้นเอง ท่านทำของท่านเงียบๆ

    ...
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    เด่วจะยกตัวอย่างให้ฟังประกอบนะครับ

    อย่าพยายามไปยัดเหยีด กิริยาทางนามธรรม

    จากความเข้าใจของเราแบบนี้

    ถ้าเรายังไม่รู้ระบบการทำงานของมันจริงๆ

    ไม่งั้นจะติดเป็นสัญญาความจำได้

    เป็นเหตุให้จิตพิการ หรือโง่ได้ในอนาคต

    ทำให้ไปไม่ถึงต่อ ระดับปัญญาญาน ที่จะทำให้จิต

    คลายและตัดเรื่องราวต่างๆ และจะทำให้

    มองไม่เห็นว่า

    ความสามารถต่างๆ การใช้งานทางจิตต่างๆ

    มันเป็นเพียงแค่ระบบการปรุงแต่งอย่างหนึ่งอยู่

    ซึ่งมันก็ยังเป็นวิบาก ที่สร้างขึ้นจากตัวจิตเราเอง

    ซึ่งจะผลต่อทางกายต่อมา เป็นเหตุให้มีเชื้อ

    ที่ทำให้ดวงจิตต้องมาเสวยวิบากตรงนี้

    และเป็นไปตาม จริต อนุสัย วิบาก

    และเป็นเหตุให้ต้องมาวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ครับ

    พูดให้หล่อๆคือ ไม่รู้อวิชชา เพราะเราไม่เข้าใจมัน

    แต่เราไปหลง กับสิ่งที่มันเกิดขึ้น สิ่งที่มันเป็น

    และเพราะเรายังไม่เห็นมันตรงนี้ครับ


    แม้ว่าเราจะ พอมีปัญญาทางธรรมขึ้นมาบ้าง

    แต่เรายังไม่ละเอียดถึงระดับปัญญาญาน

    เราจึงจะยังไม่เข้าในทางกิริยาว่า มันเกิดขึ้นอย่างไร

    เกี่ยวกับเรื่องสติ เพื่อจะเข้าใจกิริยาทางนามธรรม

    ได้ดีขึ้น. แยกให้ออกนะครับระหว่างความเข้าใจ

    กับกิริยาที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งตรงนี้ จะอาศัยเอาจาก

    การวิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ ไม่ได้เลย

    ต้องอาศัยการสังเกตุ การเกิดดับเพราะอะไร

    เกิดตอนไหน ดับตอนไหน ของกิริยาต่างๆ

    ของจิตให้ทัน อนาคต เราถึงจะรู้ได้ว่า

    เห้ยยยยย จริงๆแล้ว มันไม่ใช่อย่างที่เราเข้าใจครับ

    เพราะเรายังไม่รู้ว่า ระบบการทำงานของจิตนั้นมันเป็น

    อย่างไรนั้นเองครับ


    และจะบอกว่า

    ต่อให้เป็นพระอรหันต์ก็ทำไม่ได้หรอกครับ

    เรื่องสติต่อเนื่องไม่มีหลุดเลยนะครับ

    บนโลกใบนี้มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะทำได้ครับ

    เพราะบุคคลที่จะเป็นอย่างนี้ เรียกว่า ทุกลมหายใจ

    เข้าและออก ก็คือ เห็นความตายเป็นธรรมดา

    พร้อมที่จะตายได้ทุกเวลาครับ คิดตามให้ดีๆนะครับ
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    อย่างเราที่คิดเข้าใจเองว่า ตัวเองเก่งๆ ถามหน่อย

    มีซักคน ที่จะรู้ตอนนี้เลย ว่า ในหนึ่งนาที

    เราหายใจเข้าออกกี่ครั้ง วันหนึ่งเท่าไร

    ชั่วโมงหนึ่ง กี่ครั้ง เก็บไปคิดเล่นๆนะครับ

    วันหนึ่งอยู่กับลมหายใจกี่นาทีครับ

    ใน ๑๘ ถึง ๒๐ ชั่วโมงที่เราลืมตาขึ้นมา

    ไปคิดเอาเองเล่นๆนะครับ



    ระดับนั้น

    เรียกว่า เป็นผู้ไม่ประมาทต่อความตายเลยทุกลม

    หายใจ ไม่ใช่ผู้ที่พร้อมที่จะตายอยู่ตลอดเวลานะครับ

    มันคนระดับ คนระบารมีกันครับ


    ตัวอย่างเช่น กำลังเดิน ในขณะที่เท้าข้างหนึ่งกำลัง

    ถูกดิน รู้ว่ากำลังเหยียบสัตว์ตัวเล็กตัวหนึ่งอยู่

    และก็หยุดเท้าข้างนั้นได้ก่อนที่จะเหยียบสัตว์ตัวนั้น

    ซึ่งย้ำว่า คุณสมบัติแบบนี้มีแต่พระพุทธเจ้าครับ

    แต่ถ้าเป็นทั่วไปหรือถ้าพระอรหันต์

    ในไปพิจารณาดูว่า จะเป็นอย่างไรนะครับ


    แต่สติอัตโนมัตินะมีครับแน่นอนครับ ในระดับพระอรหันต์

    ในระดับพระปฏิบัติ มากความสามารถทางจิต

    มากความสามารถทางด้านปัญญา

    สติเป็นอัตโนมัติมันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับท่าน....



    อัตโนมัติคือ มันเป็นไปตามธรรมชาติของจิตท่าน

    ธรรมชาติคือ ภายในเวลาเสี้ยววินาที

    จะใช้ตอนไหน ตอนไหนที่จำเป็นต้องใช้

    มันจะเกิดขึ้นมาได้ของมันเอง


    แต่ในเวลาปกติ มันจะวางสติตรงนี้

    เพราะตัวจิตท่านจะกลับคืนสู่สภาวะจิตคลายตัว

    เองได้โดยธรรมชาติ จึงเป็นที่มาว่า

    จิตระดับพระเก่งๆ ท่านไม่ยึดเกาะเรื่องอะไรเลย

    ทั้งๆที่เรื่องต่างๆภายนอกเหล่านั้นมีเป็นปกติ


    ถ้ามี สติมันแค่ทำให้รู้ว่า มีอะไรเข้ามา เกิดอะไร

    แต่ถ้ามีปัญญาทางธรรมมันแค่ทำให้วางได้

    แต่จะกลับขึ้นมาได้อีก ขึ้นอยู่กับว่า วางช้าวางเร็ว

    แต่ถ้ามีปัญญาญาน มันทำให้ตัดได้เลย

    คือ แม้ว่ามีเป็นปกติ แต่จิตจะไม่ดึงเข้ามา

    เป็นเหตุให้จิตยังต้องเกิดได้อีก เพื่อรู้ว่าเรื่องอะไร

    ตัดมันด้วยปัญญาทางธรรมอะไรอีก...


    เพราะมันเป็นระดับปัญญาญานแล้ว ที่ไม่ดึงให้มีเชื้อ

    แห่งการเกิดเลย การที่จิตจะเป็นอย่างนี้ได้

    นอกจากในเวลาปกติ จะวางสติที่ว่าแล้ว

    จนจิตคลายตัวเป็นปกติได้เองตามธรรมชาติแล้ว

    มันจะต้องไม่มี. การส่งตัวไปรู้ ต่างๆไปรับเรื่อง

    เหล่านั้นเข้ามาจนเป็นเหตุให้จิตเกิดครับ


    ถ้า รักษาสติตลอดเวลาแบบ ที่กระทำเอา

    แบบที่หลายคนเข้าใจว่า พยายามรักษาไว้

    จิตมันก็จะเกิดตลอดเวลาซิครับเกิดเพราะรักษาสตินั่นหละ

    หรือถ้ารักษาสมาธิตลอดเวลา จิตก็เกิดอีกเพราะสมาธิ

    อีกซิครับ เพราะฉนั้นจิตที่เกิดตลอด เวลาเพราะมีตัวไปกระทำ


    ไม่ว่า จิตดวงไหน จะเข้าสู่สภาวะที่จิตพิการ

    พอจิตพิการแล้ว จิตมันก็จะโง่ๆ พอจิตมันโง่ๆ

    มันจะไปมีปัญญาทางธรรมต่อ ไปต่อปัญญาญานต่อ

    จนถึงจิตคลายตัวเองได้โดยธรรมชาติไม่ได้


    จนกระทั่งเกิดเครื่องรู้ เกิดองค์ความรู้ต่างๆ แบบลึก ละเอียด

    ทะลุทะลวง จนออกมาสู่การใช้งาน ในการถ่ายทอด

    การแสดงธรรม แบบเป็นธรรมชาติ

    ของท่านเหล่านั้นได้อย่างไรหละครับ

    ท่านพอมองภาพออกหรือยังครับ



    พระอรหันต์นั้นเวลาท่านเดินปกติ ท่านจะเหยียบสัตว์

    ตัวเล็กตัวน้อย ตายเป็นเรื่องธรรมดา

    แต่จิตท่านไม่ได้ยึด เพราะการเคลื่อนไหว ท่าทาง

    การแสดงออก

    ของท่านมันเป็นเพียงแค่กิริยา จิตท่านไม่เกาะ

    ทั้งบุญและบาป เรียกว่า

    จิตอยู่เหนือกองบุญกองกุศลครับ

    อย่างนี้มีให้เห็นได้ในปัจจุบันหลายท่านครับ

    แม้แต่ท่านที่มีชื่อในอดีตที่ล่วงลับไป

    แล้วก็มีเยอะแยะครับ


    เราต้องเข้ากิริยาของมันให้ดีๆนะครับ

    อย่าไปเข้าใจว่า ไม่ว่าสติ หรือ สมาธิ ปัญญา ตบะ

    ฌาน ญาน อะไรก็ตาม ผู้ที่มีตลอดเวลา หรือ ท่าน

    ที่ทรงได้ตลอดเวลา ในความหมายที่เรามักจะเข้าใจ

    ไปเองก็คือ สามารถ รักษามันให้ต่อเนื่องได้อยู่ตลอดเวลา

    เพราะมันเป็นไปไม่ได้ หรอกครับ เพราะไม่ว่า สติ ปัญญา

    สมาธิ ตบะ ฌาน ญาน อะไรก็ตามที่เป็นอย่างนี้

    เราเรียกว่า มีตัวเข้าไปกระทำให้จิตมันเกิดขึ้นอยู่

    แม้ว่าในระดับเริ่มต้นจำเป็นต้องสร้างให้มีก็ตาม


    ดังนั้นเมื่อจิตยังเกิดอยู่ ตัวจิตจะยังไม่คลายตัวเองครับ

    เมื่อจิต ยังไม่คลายตัวเอง นั้น องค์ความรู้

    หรือความสามารถต่างๆ ตามเนื้อหาเดิมแท้ของจิต

    แต่ละท่านที่สะสมมา จะไม่เป็นไปแบบอัตโนมัติ

    เรียกว่า ยังไม่เป็นธรรมชาติ ส่งผลให้เวลาท่านจะใช้งาน

    ท่านจะต้องยัง มีท่าทางประกอบ มีลีลาประกอบ ในการ

    ใช้งานอยู่ครับ เช่น ต้องหลับตาบ้าง ต้องนิ่งๆบ้าง

    ถ้าเราสังเกตุ บุคคลใดที่เป็นอย่างนี้

    ความสามารถ ต่างๆเวลาใช้งาน จะต้องมีลีลา

    และมักจะมีข้ออ้างเรื่องของความเสื่อมถอยเป็นธรรมดา

    ในความสามารถนั้นๆครับ


    แต่ถ้าเรารู้จักสังเกตุเพิ่มเติมบ้าง ไม่ใช่เข้าใจเอาเอง

    เราจะเห็นว่า ไม่ว่าสายพระป่า พระบ้าน พระมีความ

    สามารถทางจิตสูง พระมีปัญญาทางธรรมสูง

    เวลาท่านใช้งาน

    เช่น มีคนถาม จะเห็นว่า ท่านตอบภายในเสี้ยววินาที

    รู้ลึก รู้ละเอียด แบบไม่ต้องมีลีลาท่าทางอะไรประกอบอะไร

    พวกนี้ มาจากธรรมชาติของจิตที่จะขึ้นมาหลังจาก

    ที่มันคลายตัวเองได้โดยธรรมชาติแบบไม่มีอะไร

    มากระทำ เป็นไปอัตโนมัติของมันเอง

    ซึ่งไม่ใช่ มาจากการที่จิตท่านพยายามรักษาอะไรเอาไว้

    ให้มันคงมีอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นเหตุให้จิตพิการครับ

    พอเข้าใจเพิ่มเติมบ้างนะครับ



    ย้ำอีกรอบดังนั้นการใช้งาน

    แบบไม่ต้องมีลีลาท่าทางประกอบอะไรนี้

    มันไม่ได้ มาจากการที่ตัวจิต มี สมาธิ สติ ปัญญา ตบะ ฌาน

    ญาน หรืออะไรเข้ามากระทำให้จิตท่านยังเกิดอยู่

    พวกนี้ มันเป็นมิจฉาทิฐิ แม้ใช้งานได้แต่มันจะไม่ธรรมชาติ

    ตะกุกตะกัก ทำให้ต้องมีลีลาท่าทางประกอบการใช้งาน

    และก็จะเหนื่อย หนัก และก็มีเสื่อมถอย


    แต่การใช้งานได้

    เกิดจากตัวจิต ท่านในเวลาปกติที่มันคลายตัวเองได้โดยธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น

    จนจิตของแต่ละท่าน กลับสู่เนื้อหาเดิมแท้

    ที่จิตดวงนั้นๆได้สะสมมานั่นเอง

    พอจะใช้งานอะไร ค่อยขึ้นมาใช้งานเองของมันอัตโนมัติ

    พอใช้แล้วก็ต้องวาง เพื่อให้จิตกลับคืนสู่ธรรมชาติของมัน

    โดยเริ่มจากการที่จิตคลายตัวเองได้ก่อน




    ในระดับไหนก็ตาม ไม่รวมพระพุทธเจ้า...

    เวลาใช้งานไม่ว่า เรื่อง สติ สมาธิ ปัญญา ตบะ ฌาน ญาน

    กำลังจิต ฯลฯ ท่านก็จะใช้แต่พอดีๆ

    เพราะทุกดวงจิต ที่สามารถใช้งานได้แล้วจริงๆนะครับ

    จะพบกับปัญหา ของการที่จะพยายามรักษา

    พวก สมาธิ ตบะ ฌาน ฌาน กำลังจิต พวกนี้อย่างหนึ่ง

    ก็คือ จิตมันจะรู้สึกถึง เวทนาที่เกิดกับทางจิตครับ

    ถ้าจิตท่านยังไม่สามารถใช้งานได้จริง

    จนเกิดเวทนาขึ้นมาได้ หรือเห็นเวทนาได้

    ท่านก็จะยังไม่เข้ามันครับ


    ดังนั้นในระดับที่เกิดมีขึ้นแล้ว ใช้งานได้จริงแล้ว

    ไม่มีดวงจิตไหน ที่จะฉลาดน้อย หรือโง่มากๆๆๆๆๆ

    ในการที่จะพยายามรักษาเรื่อง เหล่านี้เอาไว้หรอกครับ

    เรื่องพวกนี้ มันจะรู้โดยธรรมชาติของจิต


    ที่เข้าใจว่า พยายามรักษาให้ได้ตลอดเวลา

    เพราะยังไม่มีความสามารถ ใช้งานทางจิตได้จริง

    หรือยังไม่เคยใช้ ผลของสมาธิ กำลังจิต ตบะ ฯลฯ

    ในการใช้งานมาก่อน เลยพยายามเข้าใจว่า

    จะต้องรักษามันไว้ เนื่องจากกลัวมันจะเสื่อม

    กลัวมันจะหายไป ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา

    ที่คนใช้งานทางจิตจริงยังไม่ได้ มักจะเข้าใจอย่างนี้ครับ


    เรื่องแบบนี้ หมายถึงถ้าเกิดมีแล้วนะครับ

    ยิ่งรักษาไว้ ยิ่งทำให้จิตโง่ เพราะจะไม่ถอยมา

    เดินปัญญาต่อ

    จนสังเกตุให้เห็นว่า พวกนี้เป็นกระบวนการปรุงแต่งได้

    ซึ่งมันระดับปัญญาญานที่จะทำให้จิตคลายตัวเอง

    และกลับคืนสู่เนื้อหาเดิมแท้ของจิตครับ แต่

    ยิ่งทำให้จิตใช้งานตะกุกตะกัก

    แม้ใช้งานได้ผล แต่ใช้เวลานาน และเหนื่อย

    และต้องมีลีลา ท่ามาก ประกอบการใช้งาน


    ปล. ตัวอย่างสุดท้ายเพื่อว่าจะเข้าใจได้บ้าง

    คำว่า ผู้ทรงฌาน ในทางกิริยาก็คือ

    สามารถใช้งานของระดับกำลังสมาธินั้นๆได้จริง

    ภายในเวลาเสี้ยววินาที ไม่ว่าสถานที่ สถานะการณ์

    หรือเวลาใดๆก็ตาม ทุกๆครั้งที่จะต้องใช้งาน......


    ไม่ใช่ ผู้ที่พยายามจะสร้างหรือรักษาระดับฌานนั้น

    ให้เกิดขึ้น ให้มีกับจิตตนเองอยู่ตลอดเวลา

    ซึ่งเป็นเหตุให้จิตพิการและโง่นะครับ


    ที่พระมีชื่อท่านสอน หรือ หลวงพ่อมีชื่อในอดีตท่านสอน

    วิธีการสร้างสมาธิให้เกิดได้ตลอดเวลานั้น

    ท่านพูดแบบนี้ กับบุคคลที่ยังไม่มีสมาธิ ซึ่งจำเป็นต้องสร้างก่อน

    สร้างอย่างไร ก็การพยายามให้มีก่อนให้นานที่สุดยังไงหละครับ

    และที่สำคัญยังไม่สามารถนำผลของสมาธิที่จะเกิดมีนั้น

    นำมาใช้งานทางจิตได้จริงๆครับ


    เราต้องรู้จักแยกแยะให้ดี. ว่าคำสอนของหลวงท่าน

    กำลังสอนดวงจิตแบบไหนอยู่. เข้าใจไหม ถ้าคนใช้งาน

    ทางจิตได้ ท่านจะสอนทำไมเรื่องการรักษาสมาธิ

    และเค้าจะมาถามท่านเรื่องการรักษาสมาธิไว้นานทำไม

    เพราะเค้ามีอยู่แล้วใช้งานได้อยู่แล้ว รู้วิธีการอยู่แล้ว

    นึกภาพออกไหม


    ดังนั้นอย่าเอา กิริยากับผู้ที่ยังไม่มีสมาธิและยังใช้งาน

    ทางจิตจากผลของสมาธิไม่ได้

    แล้วจับไป วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์ แล้วเอาไปเทียบ

    กับบรรดา พระสงฆ์ทั้งหลาย ที่มากความสามารถทางจิต

    มากปัญญาทางธรรม ที่ท่านเป็นไปโดยอัตโนมัติเหล่านั้นครับ


    เพราะมันจะขวางในระดับปัญญาญานของเรา

    ทำให้เราไม่เห็น ระบบการทำงานของจิตว่าเป็นอย่างไร

    ทำให้เรารู้ไม่ลึกในตรงนี้ ซึ่งจะส่งผลต่อการคลายตัว

    ของจิตเรา เพราะจิตเราจะยังเกิดอยู่แล้วก็ยังไปวิเคราะห์

    ตรงนี้ ร่วมกับสัญญาที่มาจากการวิเคราะห์ เข้าใจ ตีความของเราได้อยู่ อย่างไม่รู้ตัวครับ


    มันจะเข้าใจกิริยาจริงได้อย่างไร เมื่อตัวจิต

    มันยกตัวเอง(มันเกิดอยู่)แล้วตีความร่วมกับ

    สัญญาที่มันเข้าใจ ถูกไหมครับ


    ท้ายนี้หวังว่าจะเข้าใจที่พยายามสื่อนะครับ
     
  9. สสพอช๑

    สสพอช๑ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2014
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +32
    ขอบคุณครับ ...ที่แบ่งปันข้อมูล

    เผื่อเพื่อนๆจะได้อ่านด้วยกัน
    ใครมีข้อมูลอยากจะแนะนำแบ่งปัน ...เขียนลงมาได้นะครับ

    ... มีคนรออ่าน ขอบคุณครับ ทุกท่าน
     
  10. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    1.ลองอ่าน มหาสติปัฏฐานสูตร ดูครับ
    2.ลองฝึก มโนมยิทธิ ครับ ทำได้แต่จะเหนื่อยมาก อ่อนเพลียสุดๆ
     
  11. สสพอช๑

    สสพอช๑ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2014
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +32
    ขอบคุณ ...คุณนิวร คุณnopp คุณhastin
    และเพื่อนๆทุกคนด้วยนะครับ

    แบ่งบันความรู้เผื่อเพื่อนๆจะได้มาอ่านด้วยกัน

    .......
     

แชร์หน้านี้

Loading...