ถามเรื่องพีระมิดและสฟิ้ง

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Archeopteric, 27 ตุลาคม 2012.

  1. Archeopteric

    Archeopteric Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +53
    พอดีเห็นกระทู้เกี่ยวกับบ้านสวนพีระมิดแล้ว

    สงสัยว่า...

    ใช่พระพุทธศาสนาจริงๆเหรอ?

    เพราะพระพุทธเจ้าเองพระองค์ทรงให้

    บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เท่านั้น

    พีระมิดและสฟิงมาได้ยังไง?

    ผู้ใดรู้ช่วยอธิบายให้ฟังหน่อย

    ขอขยายความครับเพราะมีแต่คนตอบไม่ตรงประเด็น
    (ไม่ได้บังคับให้ตอบตามนี้นะครับ แค่เป็นไก่ลายเฉยๆ อิอิ)

    ควรจะตอบว่า
    1. ใช่ / ไม่ใช่ พระพุทธศาสนา
    2. เหตุผลรองรับกับคำตอบตามข้อที่ 1

    *สิ่งที่ไม่ควรใช้เป็นเหตุผลในการตอบข้อที่ 2

    Note :
    1. กรุณาอย่ากล่าวถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพีระมิดหรือสฟิ้ง

    เพราะความศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้แสดงว่ามันเป็นสิ่งที่ดี

    (หรืออาจจะเป็นสิ่งดี แต่ก็ไม่ได้ยืนยันว่าเป็นพุทธศาสนา)

    เดรัจฉานวิชชาต่างๆก็มีความศักดิ์สิทธิ์มากมาย

    ได้ผลดี เห็นผลชัดหลายอย่างมากมาย

    2. เรื่องที่บ้านสวนพีระมิดสอนให้ถือศีล 5

    เป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ถูก

    แต่ตอนนี้ผมกำลังกล่าวถึง พีระมิดและสฟิ้งเท่านั้น

    กรุณาอย่ากล่าวถึง ศีล 5 อีก เพราะทราบว่าเป็นสิ่งดี

    บ้านสวนพีระมิดสอนดีแล้ว...


    ข้อความด้านล่างอ่านดีๆ จะได้ไม่มาปล่อยไก่แบบคุณ Hanataro
    ปล.
    พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า "ฉันใดก็ฉันนั้นแหละ ภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เรารู้แล้ว ไม่ได้บอกเธอมีมากมาย สาเหตุที่เราไม่บอกในเรื่องเหล่านั้น ก็เพราะสิ่งเหล่านั้น ไม่มีประโยชน์ ไม่ใช่การเริ่มต้นในการปฏิบัติที่ดีงาม ไม่ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายในทุกข์ ไม่ทำให้ปราศจากราคะ ไม่ทำให้ดับทุกข์ ไม่เกิดความสงบ ไม่เกิดความรู้ที่ยอดเยี่ยม ไม่เกิดความตรัสรู้ ไม่ทำให้นิพพานได้ เพราะเหตุนี้แหละ เราจึงไม่บอก"



    ขอบคุณทุกคำตอบ
    ทุกคำตอบไม่มีผิดไม่มีถูกนะครับ
    เป็นเพียงแค่ความเห็นเท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ตุลาคม 2012
  2. ratanapool

    ratanapool สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +6
    แกนพลังงานโลกใหม่อยู่ที่เท้าหน้าขวาของสฟิงซ์/ความลับstonehedge






    สโตนเฮนจ์ (StoneHenge)
    สโตน เฮนจ์ (StoneHenge) แห่งเมืองซาลเบอรี่ (Salisbury) ประเทศอังกฤษ มีอายุนานประมาณ 5,000-6,000 ปีผู้สนใจสามารถหาข้อมูลละเอียดมากเท่าที่ต้องการได้จากแหล่งข้อมูลอื่นๆ หากเป็นความรู้ที่ได้มาจากวิทยาศาสตร์ทางจิต จำเป็นต้องให้เครดิตกับ “ชาวแอตแลนตีส” ก่อนเมื่อประมาณ 13,000 ปี ล่วงมาแล้ว มหาอาณาจักรแอตแลนตีส เป็นศูนย์รวมของสรรพวิทยาการและอารยธรรมในยุคนั้น เรียกกันว่า “ยุคพีระมิด” เนื่องจากใช้พลังของพีระมิดเป็นพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ทางจิต พลังจิต การสื่อสาร การเดินทาง การรักษาโรค การคำนวณบอกเวลาทางดวงดาวและกาแลคซี่ทั้ง 3 (ปฏิทินดาราศาสตร์) วิวัฒนาการด้านพลังงาน พลังจิต ได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้จากชาวดาวอังคาร จนสามารถก้าวไปถึงลำดับสุดท้าย คือการเปลี่ยนวัตถุเป็นแสง และการเปลี่ยนแสงเป็นวัตถุ วิวัฒนาการด้านพลังงานมีด้วยกัน 7 ระดับ คือ 1. ความร้อน 2. แสง 3. เสียง 4. แม่เหล็กไฟฟ้า 5. ปรมาณู 6. เส้นแสง 7. การเปลี่ยนวัตถุเป็นแสงและการเปลี่ยนแสงเป็นวัตถุ

    1 เดือนล่วงหน้าก่อนการล่มสลายของมหาอาณาจักร มีนักบวชรูปหนึ่ง เป็นนักบวชในพระพุทธศาสนา ยุคที่เหลือแต่พระธรรมคำสอน ของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ก่อนพระสมณโคดมของยุคนี้) นักบวชเป็นผู้มีความสามารถมาก มีพลังจิตสูง รู้อดีต อนาคต จึงได้รู้ถึงเวลาของการล่มสลายและยุบตัวจมลงในมหาสมุทรของมหาอาณาจักร ที่จะเกิดขึ้นภายใน 1 เดือน จากสาเหตุการใช้ “อาวุธแสง” ทำสงครามทำลายล้างแผ่นดินคู่อริ นักบวชได้ชักชวนและอพยพบุคคลที่เชื่อพาลงเรือ เดินทางร่วม 1 เดือนพ้นออกมาจากการยุบตัวของทวีปขึ้นฝั่งที่แถบลุ่มแม่น้ำไนล์ ประเทศอียิปต์ในปัจจุบันนี้ นักบวชได้บอกไว้อีกว่า “แผ่นดินมหาอาณาจักรแอตแลนตีสนี้จะคืนกลับอีกครั้งในรอบ 13,000 ปีข้างหน้า จะเป็นแผ่นดินที่สมบูรณ์ด้วยทรัพยากรและจิตวิญญาณของมนุษย์” พร้อมทั้งยืนยันสัจจวาจาในครั้งนั้น

    โดยใช้พลังจิตและความช่วยเหลือจากชาวดาวอังคาร สร้าง สัญลักษณ์ สฟิงซ์ (Sphinx) ขึ้น ด้วยวิธีของการเปลี่ยนวัตถุเป็นแสงและการเปลี่ยนแสงเป็นวัตถุ เพื่อเคลื่อนย้ายหินขนาดใหญ่ทำเป็นรูปสิงห์หมอบ มีใบหน้าเป็นชาวดาวอังคาร จัดวางไว้ในแนวทิศตะวันออก ตะวันตก มีพลังมโนธาตุสำหรับสร้างเป็นแกนพลังงานโลกใหม่อยู่ที่เท้าหน้าขวาของสฟิงซ์

    การสร้างสฟิงซ์มีจุดมุ่งหมายสำคัญ 3 อย่าง

    1. เป็นสัญลักษณ์แทนคำมั่นสัญญาของนักบวชที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดเพื่อกลับมาแก้ไขเหตุที่ได้สร้างไว้ในอดีต

    2. จมูกสฟิงซ์เป็นแหล่งของพลังกระแสลมปราณ เพื่อใช้เป็นประโยชน์ในการหายใจของชาวดาวอังคารในยามที่แวะเวียนมาเยือนโลก ของเรา แต่ในที่สุดจมูกถูกอาวุธสงครามทำลายแตกหักจนจมูกตัน ชาวดาวอังคารจึงค่อนข้างลำบากเมื่อมาท่องโลก

    3. เมื่อถึงเวลาครบรอบของการเปลี่ยนแปลงแรงดึงดูดเข้าสู่อิทธิพลของอีกกาแลคซี่ ผู้กลับมาทำหน้าที่จะใช้เท้าขวาเหยียบลงบนเท้าหน้าขวาของสฟิงซ์ เกิดการขับเคลื่อนของพลังมโนธาตุและกระแสลมปราณม้วนหมุนเป็นเกลียวเข้าสู่ ศูนย์กลาง สร้างเป็นแกนพลังงานโลกใหม่ มีขั้วโลกอยู่ในแนวทิศตะวันออกและตะวันตก นักบวชรูปนั้น มีนามว่า รต (อ่านว่า ระตะ)

    นับเป็นเวลาหลาย พันปีที่อารยธรรมแอตแลนตีสได้ถ่ายทอดสู่อนุชนรุ่นหลัง แตกแยกออกเป็นหลายเผ่าพันธุ์ เชื้อชาติ แยกกระจัดกระจายออกจากลุ่มแม่น้ำไนล์ไปทั่วทุกส่วนของโลก พร้อมกับนำความรู้ของแอตแลนตีสเผยแพร่อย่างกว้างขวาง เช่นการทำมัมมี่ เคล็ดลับของการมีอายุยืน พลังพีระมิด รวมทั้งหลักการคำนวณของดวงดาวและกาแลคซี่ทั้ง 3 เป็นปฏิทินดาราศาสตร์ที่อธิบายถึงการสับเปลี่ยนแรงดึงดูดที่มีอิทธิพลต่อโลก และระบบสุริยจักรวาลในช่วง 26,000 ปี


    ชาว มายา (มายัน) เป็นอีกชาติพันธุ์หนึ่งที่สืบเชื้อสายและมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการเผย แพร่อารยธรรมแอตแลนตีสสู่สายตาชาวโลกเป็นหลักฐานที่มีชีวิต บ่งบอกยืนยันว่า “แอตแลนตีส” มีอยู่จริง มิใช่เป็นเพียงตำนานเล่าขาน ชาวมายาจึงได้สร้างปฏิทินดาราศาสตร์ขึ้นด้วยเสาหิน แท่งหินขนาดใหญ่จำนวนหลายร้อยแท่งจัดวางเป็นวงกลมซ้อนกันอยู่ 3 วง และวิธีการสร้างเป็นวิธีเดียวกับการสร้างสฟิงซ์ คือเป็นผลงานของมนุษย์ผู้มีพลังจิตสูงร่วมมือกับชาวดาวอังคารในการเปลี่ยน หินแท่งใหญ่ที่มีน้ำหนักมากกว่า 1 ตัน ให้เป็นพลังงานแสงก่อนแล้วเคลื่อนย้ายนำไปจัดวางในที่ที่ต้องการ และใช้พลังจิต เปลี่ยนพลังงานแสงคืนเป็นแท่งหินแท่งใหญ่อีกครั้งสโตนเฮนจ์ เป็นสัญลักษณ์ที่มีอายุประมาณ 5,000-6,000 ปี ใกล้เคียงกับยุคมหาพีระมิดของประเทศอียิปต์ ศาสตร์พีระมิดของชาวอียิปต์ เป็นตัวแทนของชาวแอตแลนตีสในการถ่ายทอดพลังของพีระมิดในศาสตร์การทำมัมมี่ทำ สถานที่เก็บศพ เคล็ดลับการมีอายุยืน ยารักษาโรค ฯลฯ ตลอดจนปลูกฝังความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายที่แสนงดงาม ในขณะที่สโตนเฮนจ์ของชาวมายาสร้างขึ้นเพื่อเตือนภัยแก่ชาวโลก เมื่อถึงวาระการเปลี่ยนแปลงแรงดึงดูดของแต่ละกาแลคซี่ ในรอบ 13,000 ปี



    พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ได้ไขปริศนาและอ่านความลับจากการจัดวางเสาหินเป็นวงกลม 3 วงไว้ดังนี้

    เสาหินวงนอก เป็นวงกลมขนาดใหญ่ มีเส้นรอบวงกว้างโอบล้อมครอบคลุมวงกลมเล็กอีก 2 วงหมายถึง กาแลคซี่อันโดรเมดา (Andromeda Galaxy) พระอาจารย์เรียกกาแลคซี่นี้ว่า กาแลคซี่สะเทิน เพราะมีทั้งพลังงานเบา ดี และพลังงานหนัก มีขนาดใหญ่มาก เหมือนแผ่อาณาเขตปกป้องควบคุมไว้ทั้งกาแลคซี่ทางช้างเผือกและกาแลคซี่ไตรแอ งกุลัม

    เสาหินวงกลางหมาย ถึง กาแลคซี่ทางช้างเผือก (Milky Way Galaxy) เป็นกาแลคซี่ที่ดึงดูดระบบสุริยจักรวาลของเราไว้ในขณะนี้ตั้งอยู่ทางทิศ เหนือ พระอาจารย์เรียกกาแลคซี่นี้ว่า กาแลคซี่หนัก เพราะพลังงานแรงดึงดูดที่เรียกว่าพลังงานแม่เหล็กโลกกำลังให้โทษอย่างรุนแรง และจะนำไปสู่การพลิกเพื่อเปลี่ยนแกนพลังงานโลกใหม่เข้าสู่อิทธิพลแรงดึงดูด ของกาแลคซี่ไตรแองกุลัมอีกครั้ง เมื่อครบวาระ 13,000 ปี

    เสาหินวงใน หมายถึงกาแลคซี่ไตรแองกุลัม (Triangulum Galaxy) มีขนาดเล็กกว่ากาแลคซี่ทางช้างเผือกพระอาจารย์เรียกกาแลคซี่นี้ว่า กาแลคซี่เบา เพราะเต็มไปด้วยพลังงานดี เบา ขาวนวล เหลืองสบาย เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณประโยชน์ และกำลังส่งอิทธิพลค่อยๆดึงโลก และระบบสุริยจักรวาลไปทางทิศตะวันออกทีละน้อยๆจนกว่าจะถึงวาระแกนโลกพลิกอีก ครั้ง โลกและระบบสุริยจักรวาลจะตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัมอย่าง สมบูรณ์ไปอีกประมาณ 13,000 ปี

    ฉะนั้น ในช่วงระยะเวลา 26,000 ปี สุริยจักรวาลจะตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ทางช้างเผือก 13,000 ปี และอีก 13,000 ปีจะสลับมาอยู่ในอิทธิพลของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม ดังนั้นเราคงพอจะรู้เหตุผลอย่างชัดเจนแล้วว่าการที่ขั้วโลกเหนือไม่ชี้ตรงไป ทางทิศเหนือเสียทีเดียว ตามอิทธิพลแรงดึงดูดของกาแลคซี่ทางช้างเผือกแต่กลับตั้งเอียงไปทางทิศตะวัน ออก องศาเพราะต้านแรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัมไม่ได้ การ มีแรงดึงดูดระหว่าง 2 แรงที่แตกต่างคือมากกว่าและน้อยกว่าทำให้กาแลคซี่ทางช้างเผือกส่งแรงดึงดูด มายังโลกเราในลักษณะดึงเข้าและผลักออกเข้าหาศูนย์กลาง เป็นแรงยืดและแรงหด ในขณะที่กาแลคซี่ไตรแองกุลัม

    ตั้งอยู่ทางขวามือตรงกับทิศตะวันออก แรงดึงดูดที่ส่งมาจึงเกิดขึ้นเป็นแรงรับและแรงเหวี่ยง คือเหวี่ยงซ้าย-ขวา ผลจากการรับแรงกระทบแรงดึงดูดจากทั้งสองกาแลคซี่เป็นสาเหตุทำให้โลกของเรา กำเนิดสิ่งมีชีวิตที่มีขันธ์ ครบ 5 ขันธ์ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) และตั้งชื่อเรียกว่า “มนุษย์” ซึ่งมีความแตกต่างไปจากสิ่งมีชีวิตบนดาวดวงอื่นที่อาจจะมีขันธ์เพียง 4 ขันธ์ เพราะขาดตัว “รูป” พวกเขาจึงมีลักษณะเป็นเพียงพลังงานท่องเที่ยวไปได้ทั่วจักรวาลและใช้พลังจิต เพื่อสร้าง “รูป” ขึ้นมาบ้างในบางครั้ง

    ตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นมา ทั้งแรงดึงเข้า-แรงผลักออก และแรงรับ-แรงเหวี่ยง จากทั้งสองกาแลคซี่เริ่มผิดปกติ คือมนุษย์แทบจะไม่รู้สึกถึงการกระทบของแรงเนื่องจากความหนาแน่นของพลังงาน แม่เหล็กโลกที่ถมลงในโลกได้มาถึงจุดอันตราย ทำให้เกิดสภาพนิ่งเหมือนหยุดหมุน เป็นเหตุให้เชื้อไวรัสแบคทีเรีย ธรรมดาๆ กลับมาระบาดอีกครั้งพร้อมกับการกลายพันธุ์ ซึ่งภาวะนิ่งแบบนี้เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2552

    สฟิงซ์ สื่อความหมายบอกสถานที่ที่ถูกกำหนดให้เป็นจุดสร้างแกนพลังงานโลกใหม่

    สโตนเฮนจ์ บอกถึงกำหนดเวลาการเปลี่ยนขั้วอำนาจของแรงดึงดูดที่มีต่อโลกและระบบสุริยจักรวาล

    ระบบ วงโคจรของโลกและสุริยจักรวาลจะยังคงเคลื่อนที่ผิดปกติต่อไปอีก ถูกพลังงานแม่เหล็กโลกดึงเข้าใกล้ขอบกาแลคซี่ทางช้างเผือกทางทิศตะวันออกมาก ยิ่งขึ้น (ในอดีตเคยถูกดึงเข้าใกล้ทางทิศเหนือมาก่อน) เป็นสิ่งบ่งชี้ว่า พลังงานแม่เหล็กโลกกำลังอัดแน่นเพิ่มมากขึ้นๆ ทางทิศตะวันออก และเมื่อความหนาแน่นทวีขึ้นจนถึงอัตราสูงสุดจะเกิดการรีดตัวเป็นเส้นตรง พุ่งออกจากกาแลคซี่ทางช้างเผือกไปทางทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือตรงเข้าหากาแล คซี่อันโดรเมดา

    แต่เนื่องจากกาแลคซี่ อันโดรเมดามีขนาดใหญ่กว่ามาก จึงมีพลังแรงดึงดูดมากกว่ากาแลคซี่ทางช้างเผือกเป็นหลายพันเท่า พลังงานแม่เหล็กโลกจึงถูกอัด เด้งกลับคืนเข้าสู่ระบบสุริยจักรวาลและกาแลคซี่ทางช้างเผือก ซึ่งการเสียดสีของพลังงานจากทั้ง 2 กาแลคซี่ในครั้งนี้ จะทำให้แสงสว่างวาบขึ้น มองเห็นได้ทั่วจักรวาล ทั้งดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ต่างได้รับแสงสว่างนี้ถ้วนทั่วกัน มนุษย์ในโลกจะเห็นแสงนี้ปรากฏขึ้นทันทีทันใด แบบที่ไม่ต้องตั้งตาคอย เป็น “แสงที่วาบ” อย่างรวดเร็ว เหมือนละครปิดฉากและผ้าม่านเวทีถูกดึงปิดทันที

    จาก นั้นจะเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและพลังงานของโลก สุริยจักรวาลครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งเหมือนกับที่มหาอาณาจักรแอตแลนตีสเคย ประสบมาแล้วเมื่อ 13,000 ปีที่ผ่านมา แต่ในครั้งนี้เป็นการวนครบรอบเปลี่ยนเข้าสู่อิทธิพลแรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตร แองกุลัม เป็นเวลาอีกประมาณ 13,000 ปี และถ้าหากปรากฏการณ์เหล่านี้ได้เกิดขึ้นจริง โลกของเราจะมีทั้งแกนสสารและแกนพลังงานโลกใหม่

    โดย มีขั้วโลกตั้งอยู่ ณ จุดที่ตั้งของสฟิงซ์ มีการเปลี่ยนที่กันระหว่างพื้นดิน 1 ส่วน กับพื้นน้ำ 3 ส่วนทั่วโลก มหาสมุทรแอตแลนติกคงมีโอกาสคืนกลับมาเป็นผืนแผ่นดินกว้างใหญ่อีกครั้ง เทือกเขาหิมาลัยอาจจะลดต่ำลงมาเป็นที่ราบกว้างใหญ่ของทวีปเอเชีย (เปลี่ยนแผนที่โลกใหม่) กล่าวโดยรวมคือช่วงเวลา 13,000 ปีครั้งนี้จะเป็นยุคทองของทรัพยากรธรรมชาติและจิตวิญญาณของมนุษย์ นักบวชรูปนั้น ได้ทำหน้าที่ของท่านเรียบร้อยแล้ว

    siamblogza: ข่าวทั่วโลก Online
    siamblogza: ข่าวทั่วโลก Online
    siamblogza: ข่าวทั่วโลก Online
     
  3. ratanapool

    ratanapool สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +6
    แกนพลังงานโลกใหม่อยู่ที่เท้าหน้าขวาของสฟิงซ์/ความลับstonehedge






    สโตนเฮนจ์ (StoneHenge)
    สโตน เฮนจ์ (StoneHenge) แห่งเมืองซาลเบอรี่ (Salisbury) ประเทศอังกฤษ มีอายุนานประมาณ 5,000-6,000 ปีผู้สนใจสามารถหาข้อมูลละเอียดมากเท่าที่ต้องการได้จากแหล่งข้อมูลอื่นๆ หากเป็นความรู้ที่ได้มาจากวิทยาศาสตร์ทางจิต จำเป็นต้องให้เครดิตกับ “ชาวแอตแลนตีส” ก่อนเมื่อประมาณ 13,000 ปี ล่วงมาแล้ว มหาอาณาจักรแอตแลนตีส เป็นศูนย์รวมของสรรพวิทยาการและอารยธรรมในยุคนั้น เรียกกันว่า “ยุคพีระมิด” เนื่องจากใช้พลังของพีระมิดเป็นพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ทางจิต พลังจิต การสื่อสาร การเดินทาง การรักษาโรค การคำนวณบอกเวลาทางดวงดาวและกาแลคซี่ทั้ง 3 (ปฏิทินดาราศาสตร์) วิวัฒนาการด้านพลังงาน พลังจิต ได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้จากชาวดาวอังคาร จนสามารถก้าวไปถึงลำดับสุดท้าย คือการเปลี่ยนวัตถุเป็นแสง และการเปลี่ยนแสงเป็นวัตถุ วิวัฒนาการด้านพลังงานมีด้วยกัน 7 ระดับ คือ 1. ความร้อน 2. แสง 3. เสียง 4. แม่เหล็กไฟฟ้า 5. ปรมาณู 6. เส้นแสง 7. การเปลี่ยนวัตถุเป็นแสงและการเปลี่ยนแสงเป็นวัตถุ

    1 เดือนล่วงหน้าก่อนการล่มสลายของมหาอาณาจักร มีนักบวชรูปหนึ่ง เป็นนักบวชในพระพุทธศาสนา ยุคที่เหลือแต่พระธรรมคำสอน ของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าองค์ก่อนพระสมณโคดมของยุคนี้) นักบวชเป็นผู้มีความสามารถมาก มีพลังจิตสูง รู้อดีต อนาคต จึงได้รู้ถึงเวลาของการล่มสลายและยุบตัวจมลงในมหาสมุทรของมหาอาณาจักร ที่จะเกิดขึ้นภายใน 1 เดือน จากสาเหตุการใช้ “อาวุธแสง” ทำสงครามทำลายล้างแผ่นดินคู่อริ นักบวชได้ชักชวนและอพยพบุคคลที่เชื่อพาลงเรือ เดินทางร่วม 1 เดือนพ้นออกมาจากการยุบตัวของทวีปขึ้นฝั่งที่แถบลุ่มแม่น้ำไนล์ ประเทศอียิปต์ในปัจจุบันนี้ นักบวชได้บอกไว้อีกว่า “แผ่นดินมหาอาณาจักรแอตแลนตีสนี้จะคืนกลับอีกครั้งในรอบ 13,000 ปีข้างหน้า จะเป็นแผ่นดินที่สมบูรณ์ด้วยทรัพยากรและจิตวิญญาณของมนุษย์” พร้อมทั้งยืนยันสัจจวาจาในครั้งนั้น

    โดยใช้พลังจิตและความช่วยเหลือจากชาวดาวอังคาร สร้าง สัญลักษณ์ สฟิงซ์ (Sphinx) ขึ้น ด้วยวิธีของการเปลี่ยนวัตถุเป็นแสงและการเปลี่ยนแสงเป็นวัตถุ เพื่อเคลื่อนย้ายหินขนาดใหญ่ทำเป็นรูปสิงห์หมอบ มีใบหน้าเป็นชาวดาวอังคาร จัดวางไว้ในแนวทิศตะวันออก ตะวันตก มีพลังมโนธาตุสำหรับสร้างเป็นแกนพลังงานโลกใหม่อยู่ที่เท้าหน้าขวาของสฟิงซ์

    การสร้างสฟิงซ์มีจุดมุ่งหมายสำคัญ 3 อย่าง

    1. เป็นสัญลักษณ์แทนคำมั่นสัญญาของนักบวชที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดเพื่อกลับมาแก้ไขเหตุที่ได้สร้างไว้ในอดีต

    2. จมูกสฟิงซ์เป็นแหล่งของพลังกระแสลมปราณ เพื่อใช้เป็นประโยชน์ในการหายใจของชาวดาวอังคารในยามที่แวะเวียนมาเยือนโลก ของเรา แต่ในที่สุดจมูกถูกอาวุธสงครามทำลายแตกหักจนจมูกตัน ชาวดาวอังคารจึงค่อนข้างลำบากเมื่อมาท่องโลก

    3. เมื่อถึงเวลาครบรอบของการเปลี่ยนแปลงแรงดึงดูดเข้าสู่อิทธิพลของอีกกาแลคซี่ ผู้กลับมาทำหน้าที่จะใช้เท้าขวาเหยียบลงบนเท้าหน้าขวาของสฟิงซ์ เกิดการขับเคลื่อนของพลังมโนธาตุและกระแสลมปราณม้วนหมุนเป็นเกลียวเข้าสู่ ศูนย์กลาง สร้างเป็นแกนพลังงานโลกใหม่ มีขั้วโลกอยู่ในแนวทิศตะวันออกและตะวันตก นักบวชรูปนั้น มีนามว่า รต (อ่านว่า ระตะ)

    นับเป็นเวลาหลาย พันปีที่อารยธรรมแอตแลนตีสได้ถ่ายทอดสู่อนุชนรุ่นหลัง แตกแยกออกเป็นหลายเผ่าพันธุ์ เชื้อชาติ แยกกระจัดกระจายออกจากลุ่มแม่น้ำไนล์ไปทั่วทุกส่วนของโลก พร้อมกับนำความรู้ของแอตแลนตีสเผยแพร่อย่างกว้างขวาง เช่นการทำมัมมี่ เคล็ดลับของการมีอายุยืน พลังพีระมิด รวมทั้งหลักการคำนวณของดวงดาวและกาแลคซี่ทั้ง 3 เป็นปฏิทินดาราศาสตร์ที่อธิบายถึงการสับเปลี่ยนแรงดึงดูดที่มีอิทธิพลต่อโลก และระบบสุริยจักรวาลในช่วง 26,000 ปี


    ชาว มายา (มายัน) เป็นอีกชาติพันธุ์หนึ่งที่สืบเชื้อสายและมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการเผย แพร่อารยธรรมแอตแลนตีสสู่สายตาชาวโลกเป็นหลักฐานที่มีชีวิต บ่งบอกยืนยันว่า “แอตแลนตีส” มีอยู่จริง มิใช่เป็นเพียงตำนานเล่าขาน ชาวมายาจึงได้สร้างปฏิทินดาราศาสตร์ขึ้นด้วยเสาหิน แท่งหินขนาดใหญ่จำนวนหลายร้อยแท่งจัดวางเป็นวงกลมซ้อนกันอยู่ 3 วง และวิธีการสร้างเป็นวิธีเดียวกับการสร้างสฟิงซ์ คือเป็นผลงานของมนุษย์ผู้มีพลังจิตสูงร่วมมือกับชาวดาวอังคารในการเปลี่ยน หินแท่งใหญ่ที่มีน้ำหนักมากกว่า 1 ตัน ให้เป็นพลังงานแสงก่อนแล้วเคลื่อนย้ายนำไปจัดวางในที่ที่ต้องการ และใช้พลังจิต เปลี่ยนพลังงานแสงคืนเป็นแท่งหินแท่งใหญ่อีกครั้งสโตนเฮนจ์ เป็นสัญลักษณ์ที่มีอายุประมาณ 5,000-6,000 ปี ใกล้เคียงกับยุคมหาพีระมิดของประเทศอียิปต์ ศาสตร์พีระมิดของชาวอียิปต์ เป็นตัวแทนของชาวแอตแลนตีสในการถ่ายทอดพลังของพีระมิดในศาสตร์การทำมัมมี่ทำ สถานที่เก็บศพ เคล็ดลับการมีอายุยืน ยารักษาโรค ฯลฯ ตลอดจนปลูกฝังความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายที่แสนงดงาม ในขณะที่สโตนเฮนจ์ของชาวมายาสร้างขึ้นเพื่อเตือนภัยแก่ชาวโลก เมื่อถึงวาระการเปลี่ยนแปลงแรงดึงดูดของแต่ละกาแลคซี่ ในรอบ 13,000 ปี



    พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ได้ไขปริศนาและอ่านความลับจากการจัดวางเสาหินเป็นวงกลม 3 วงไว้ดังนี้

    เสาหินวงนอก เป็นวงกลมขนาดใหญ่ มีเส้นรอบวงกว้างโอบล้อมครอบคลุมวงกลมเล็กอีก 2 วงหมายถึง กาแลคซี่อันโดรเมดา (Andromeda Galaxy) พระอาจารย์เรียกกาแลคซี่นี้ว่า กาแลคซี่สะเทิน เพราะมีทั้งพลังงานเบา ดี และพลังงานหนัก มีขนาดใหญ่มาก เหมือนแผ่อาณาเขตปกป้องควบคุมไว้ทั้งกาแลคซี่ทางช้างเผือกและกาแลคซี่ไตรแอ งกุลัม

    เสาหินวงกลางหมาย ถึง กาแลคซี่ทางช้างเผือก (Milky Way Galaxy) เป็นกาแลคซี่ที่ดึงดูดระบบสุริยจักรวาลของเราไว้ในขณะนี้ตั้งอยู่ทางทิศ เหนือ พระอาจารย์เรียกกาแลคซี่นี้ว่า กาแลคซี่หนัก เพราะพลังงานแรงดึงดูดที่เรียกว่าพลังงานแม่เหล็กโลกกำลังให้โทษอย่างรุนแรง และจะนำไปสู่การพลิกเพื่อเปลี่ยนแกนพลังงานโลกใหม่เข้าสู่อิทธิพลแรงดึงดูด ของกาแลคซี่ไตรแองกุลัมอีกครั้ง เมื่อครบวาระ 13,000 ปี

    เสาหินวงใน หมายถึงกาแลคซี่ไตรแองกุลัม (Triangulum Galaxy) มีขนาดเล็กกว่ากาแลคซี่ทางช้างเผือกพระอาจารย์เรียกกาแลคซี่นี้ว่า กาแลคซี่เบา เพราะเต็มไปด้วยพลังงานดี เบา ขาวนวล เหลืองสบาย เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณประโยชน์ และกำลังส่งอิทธิพลค่อยๆดึงโลก และระบบสุริยจักรวาลไปทางทิศตะวันออกทีละน้อยๆจนกว่าจะถึงวาระแกนโลกพลิกอีก ครั้ง โลกและระบบสุริยจักรวาลจะตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัมอย่าง สมบูรณ์ไปอีกประมาณ 13,000 ปี

    ฉะนั้น ในช่วงระยะเวลา 26,000 ปี สุริยจักรวาลจะตกอยู่ภายใต้แรงดึงดูดของกาแลคซี่ทางช้างเผือก 13,000 ปี และอีก 13,000 ปีจะสลับมาอยู่ในอิทธิพลของกาแลคซี่ไตรแองกุลัม ดังนั้นเราคงพอจะรู้เหตุผลอย่างชัดเจนแล้วว่าการที่ขั้วโลกเหนือไม่ชี้ตรงไป ทางทิศเหนือเสียทีเดียว ตามอิทธิพลแรงดึงดูดของกาแลคซี่ทางช้างเผือกแต่กลับตั้งเอียงไปทางทิศตะวัน ออก องศาเพราะต้านแรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตรแองกุลัมไม่ได้ การ มีแรงดึงดูดระหว่าง 2 แรงที่แตกต่างคือมากกว่าและน้อยกว่าทำให้กาแลคซี่ทางช้างเผือกส่งแรงดึงดูด มายังโลกเราในลักษณะดึงเข้าและผลักออกเข้าหาศูนย์กลาง เป็นแรงยืดและแรงหด ในขณะที่กาแลคซี่ไตรแองกุลัม

    ตั้งอยู่ทางขวามือตรงกับทิศตะวันออก แรงดึงดูดที่ส่งมาจึงเกิดขึ้นเป็นแรงรับและแรงเหวี่ยง คือเหวี่ยงซ้าย-ขวา ผลจากการรับแรงกระทบแรงดึงดูดจากทั้งสองกาแลคซี่เป็นสาเหตุทำให้โลกของเรา กำเนิดสิ่งมีชีวิตที่มีขันธ์ ครบ 5 ขันธ์ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) และตั้งชื่อเรียกว่า “มนุษย์” ซึ่งมีความแตกต่างไปจากสิ่งมีชีวิตบนดาวดวงอื่นที่อาจจะมีขันธ์เพียง 4 ขันธ์ เพราะขาดตัว “รูป” พวกเขาจึงมีลักษณะเป็นเพียงพลังงานท่องเที่ยวไปได้ทั่วจักรวาลและใช้พลังจิต เพื่อสร้าง “รูป” ขึ้นมาบ้างในบางครั้ง

    ตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นมา ทั้งแรงดึงเข้า-แรงผลักออก และแรงรับ-แรงเหวี่ยง จากทั้งสองกาแลคซี่เริ่มผิดปกติ คือมนุษย์แทบจะไม่รู้สึกถึงการกระทบของแรงเนื่องจากความหนาแน่นของพลังงาน แม่เหล็กโลกที่ถมลงในโลกได้มาถึงจุดอันตราย ทำให้เกิดสภาพนิ่งเหมือนหยุดหมุน เป็นเหตุให้เชื้อไวรัสแบคทีเรีย ธรรมดาๆ กลับมาระบาดอีกครั้งพร้อมกับการกลายพันธุ์ ซึ่งภาวะนิ่งแบบนี้เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2552

    สฟิงซ์ สื่อความหมายบอกสถานที่ที่ถูกกำหนดให้เป็นจุดสร้างแกนพลังงานโลกใหม่

    สโตนเฮนจ์ บอกถึงกำหนดเวลาการเปลี่ยนขั้วอำนาจของแรงดึงดูดที่มีต่อโลกและระบบสุริยจักรวาล

    ระบบ วงโคจรของโลกและสุริยจักรวาลจะยังคงเคลื่อนที่ผิดปกติต่อไปอีก ถูกพลังงานแม่เหล็กโลกดึงเข้าใกล้ขอบกาแลคซี่ทางช้างเผือกทางทิศตะวันออกมาก ยิ่งขึ้น (ในอดีตเคยถูกดึงเข้าใกล้ทางทิศเหนือมาก่อน) เป็นสิ่งบ่งชี้ว่า พลังงานแม่เหล็กโลกกำลังอัดแน่นเพิ่มมากขึ้นๆ ทางทิศตะวันออก และเมื่อความหนาแน่นทวีขึ้นจนถึงอัตราสูงสุดจะเกิดการรีดตัวเป็นเส้นตรง พุ่งออกจากกาแลคซี่ทางช้างเผือกไปทางทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือตรงเข้าหากาแล คซี่อันโดรเมดา

    แต่เนื่องจากกาแลคซี่ อันโดรเมดามีขนาดใหญ่กว่ามาก จึงมีพลังแรงดึงดูดมากกว่ากาแลคซี่ทางช้างเผือกเป็นหลายพันเท่า พลังงานแม่เหล็กโลกจึงถูกอัด เด้งกลับคืนเข้าสู่ระบบสุริยจักรวาลและกาแลคซี่ทางช้างเผือก ซึ่งการเสียดสีของพลังงานจากทั้ง 2 กาแลคซี่ในครั้งนี้ จะทำให้แสงสว่างวาบขึ้น มองเห็นได้ทั่วจักรวาล ทั้งดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ต่างได้รับแสงสว่างนี้ถ้วนทั่วกัน มนุษย์ในโลกจะเห็นแสงนี้ปรากฏขึ้นทันทีทันใด แบบที่ไม่ต้องตั้งตาคอย เป็น “แสงที่วาบ” อย่างรวดเร็ว เหมือนละครปิดฉากและผ้าม่านเวทีถูกดึงปิดทันที

    จาก นั้นจะเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและพลังงานของโลก สุริยจักรวาลครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งเหมือนกับที่มหาอาณาจักรแอตแลนตีสเคย ประสบมาแล้วเมื่อ 13,000 ปีที่ผ่านมา แต่ในครั้งนี้เป็นการวนครบรอบเปลี่ยนเข้าสู่อิทธิพลแรงดึงดูดของกาแลคซี่ไตร แองกุลัม เป็นเวลาอีกประมาณ 13,000 ปี และถ้าหากปรากฏการณ์เหล่านี้ได้เกิดขึ้นจริง โลกของเราจะมีทั้งแกนสสารและแกนพลังงานโลกใหม่

    โดย มีขั้วโลกตั้งอยู่ ณ จุดที่ตั้งของสฟิงซ์ มีการเปลี่ยนที่กันระหว่างพื้นดิน 1 ส่วน กับพื้นน้ำ 3 ส่วนทั่วโลก มหาสมุทรแอตแลนติกคงมีโอกาสคืนกลับมาเป็นผืนแผ่นดินกว้างใหญ่อีกครั้ง เทือกเขาหิมาลัยอาจจะลดต่ำลงมาเป็นที่ราบกว้างใหญ่ของทวีปเอเชีย (เปลี่ยนแผนที่โลกใหม่) กล่าวโดยรวมคือช่วงเวลา 13,000 ปีครั้งนี้จะเป็นยุคทองของทรัพยากรธรรมชาติและจิตวิญญาณของมนุษย์ นักบวชรูปนั้น ได้ทำหน้าที่ของท่านเรียบร้อยแล้ว

    siamblogza: ข่าวทั่วโลก Online
    siamblogza: ข่าวทั่วโลก Online
    siamblogza: ข่าวทั่วโลก Online
     
  4. thontho

    thontho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    398
    ค่าพลัง:
    +612
    เออ......แปลกดี แต่ผู้พูดมีเครดิตอะไรที่พอจะให้เชื่อได้ ผู้พูดมีความสามารถถึงระดับโลก หรือเปล่า ? มิฉนั้นใครก็พูดได้
     
  5. Archeopteric

    Archeopteric Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +53
    แปลกจัง ทำไมไม่เห็นมีคนมาตอบ
    ทั้งๆที่กระทู้บ้านสวนพีระมิดมีคนมาแสดงความคิดเห็นมากมาย
    (ล้วนแล้วแต่เป็นลูกบ้านสวนพีระมิดกันทั้งนั้น)

    หรือบ้านสวนพีระมิดเชื่อไปงั้นๆ?
    ไม่ได้พิจารณาอะไรมาก
    เจ้าลัทธิบอกให้เชื่อก็เชื่อตาม??
     
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ไม่ทันสมัยเลย

    เดี๋ยวนี้ เขามี บ้าน "รึสีตาหวาน" แล้ว

    click เพื่อดู
     
  7. Hanataro

    Hanataro เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +490
    .....

    จากที่ผม รับรู้ และสัมผัส มา

    สฟิ้งซ์ มีมา ก่อน 2600 ปี ซึ่ง แน่นอน ตอนนั้น พระโพธิสัตว์ ผู้มีบารมีเต็ม ยัง ไม่ทรงมาประสูติ จึงยังไม่มี พระพุทธเจ้า และศาสนาพุทธ

    คนทั้งหลาย สร้างสฟิ้งซ์ เพื่อ แสดงถึง การเคารพและบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์

    ที่สูงที่สุด
    ( ปัจจุบันนี้ สุดแล้วแต่ท่านไหนจะยึด ว่าพระองค์ไหน

    บางคน หรือ ตอนที่ยังไม่เกิดศาสนาใด ๆ เลย อาจจะยึด คือ ธรรมชาติ ที่ให้กำเนิด ทุกสรรพสิ่ง และธรรมชาติที่ให้กำเนิด ดวงจิต ทั้งหลาย

    ถ้า เป็นทางพุทธศาสนา สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงที่สุด คือ พระสัมมาพุทธเจ้า และที่สุดของที่สุด คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรก ของทุกโลกธาตุ
    ( สมเด็จองค์ปฐมบรมครู )

    พีระมิด ก็ เช่นเดียวกัน คือ คนทั้งหลาย เหล่านั้น สร้างแสดงถึง
    การเคารพและบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่สูงที่สุด ยอดพีระมิดที่สูงที่สุด

    ยึดแทนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่สูงที่สุดพระองค์เดียว ( สุดแล้ว แต่ ยุค ๆ นั้น )
    พอไล่ พีระมิด มาเรื่อยๆ ฐานก็จะกว้างออกเรื่อยๆ
    ไล่มาตาม พระบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหลาย


    ผมเอง เคยไปบ้านสวนพีระมิดมา ที่นั้น ใช้องค์ ความรู้ และพลังงานบางอย่างของพีระมิด ช่วยในการบำบัด เช่น หายเจ็บ หายปวด เดี๋ยวนั้นทันที
    แผลหายเร็ว นอนหลับง่าย อาหารเน่าเสียช้า ดังที่มีผลการทดลองออกมาเป็นรูปธรรม

    แต่ ทุกคน ล้วน ขึ้น ตรงต่อ พระพุทธเจ้า คือ สมเด็จองค์ปฐม ทรงเป็นประธานใหญ่ และวัตถุมงคล บ้านสวนพีระมิดผมก็มี ผลก็ ตามที่ท่านพูดไว้
    ถ้าไม่เคารพศรัทธาใน พระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ก็จะไม่มีผลเลย


    ผมยังนำพีระมิดจำลอง จากที่นั้น มาถวายพระท่าน ที่ในเว็ปก็จะรู้จักดี แล้ว ก็ลองถาม พระท่านว่า

    พีระมิดที่ผม นำมาถวายนี้ ( รุ่นมวลสารที่บวงสรวงสมเด็จองค์ปฐม ) จะมีผลมากมั้ย ครับ

    พระท่าน ก็ ว่า ต้องสร้างเท่าโบสถ์ และให้คนเข้าไปนั่งกรรมฐานอยู่ข้างใน แล้วท่านก็หัวเราะ

    ครูบาอาจารย์ บางพระองค์ ก็ บอกว่า ไม่ต้องสงสัย


    จึงทำให้ผม คิดว่า ใจ เรายึด พระองค์ ไหน พระองค์นั้น ก็จะมาช่วยเราล่ะ แต่ พีระมิด จากที่บอกไป คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทุกๆ พระองค์ ตั้งแต่ พระองค์ สูงสุด ลงมา

    (ตั้งแต่สำหรับผมก็สมเด็จองค์ปฐมลงมา ล่ะครับ )

    ทรงโบสถ์ หรือ พระเกศพระพุทธรูปส่วนที่สูงที่สุด ก็ เป็น สามเหลี่ยมทรงพีระมิด แม้แต่เรานั่งขัดสมาธิ มันเป็นเป็นรูปทรงพีระมิดเลย มีบางคนบอกผม ผมก็ เออ ช่าย แปลกดีเนอะ แต่ก็ จริง

    สำหรับผม เราเคารพ พระรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทุก ๆ พระองค์ อยู่แล้ว
    ไม่เสียหายเลย ที่ผม จะเคารพเทพสฟิ้งซ์ และองค์พีระมิด
    เพราะรู้ว่า คนยุคนั้น สร้างเพื่อ เคารพบูชา ใคร
    ใจเรา ยึดพระองค์ ไหนก็ พระองค์นั้นล่ะครับ

    ผมนำความรู้เรื่องพีระมิด มาใช้ในชีวิต ประจำวัน มันก็ไม่ดีหรอคับ
    ที่ หายป่วย โดยไม่ต้องผ่าตัด หาหมอ ไม่ต้องเสียเงินมากๆ

    เอาพีระมิดที่ทำขึ้นเองก็ได้มาไว้หัวเตียงหรือใต้เตียงไว้หลายๆ องค์หน่อย ก็ทำให้นอนหลับง่าย มีสมาธิมากขึ้น

    หรือลองเอาอาหารไว้ในพีระมิดที่ทำเอง ผลก็ เน่าเสียช้า ออกมา เหมือนกับที่มีการทดลอง

    องค์ ความรู้ และพลังงานพีระมิด เปรียบ เหมือนใบไม้นอกกำมือ
    ที่ พระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งแทงตลอดทั้งหมด แต่สิ่งที่พระองค์ นำมาสอนที่ทำใ้ห้เรา ท่าน ทั้งหลายพ้นทุกข์ถึงที่สุด ได้จริง คือ การไม่ต้องกลับมาเกิด นิพพาน เปรียบดังใบไม้ในกำมือ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ตุลาคม 2012
  8. willingboon

    willingboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2009
    โพสต์:
    70
    ค่าพลัง:
    +349
    สงสัยว่าคนคงเบื่อมั้งครับ เพราะเห็นคุณไปตั้งกระทู้แบบว่าตัดเอาบางข้อความที่พยายามให้คนเข้าใจผิดในตัวของบ้านสวนพีระมิดเขา ทั้งๆที่คุณไม่ได้ศึกษาหรือง่ายๆคือไม่รู้จริง แต่ก็พยายามหาทางให้คนเข้าใจเขาผิด

    ผมคิดว่าหากคุณอยากรู้จักเขามากก็ไปศึกษาเลยครับ อย่าเสียเวลาอ้างว่าพุทธหรือไม่ใช่พุทธ เพราะหากคุณเป็นชาวพุทธคุณก็ควรใช้หลักกาลามสูตร ไม่ใช่การนั่งอ่านหรือนั่งคิดสรุปเอาเอง ไม่ใช่วิถึพุทธจริงๆ

    อีกอย่างหากคุณไม่เชื่อหรือศรัทธาเขาก็ควรปล่อยวาง ไปศึกษาสิ่งที่คุณชอบๆแทนก็ได้ ไม่ควรไปหาทางตั้งกระทู้คัดลอกข้อความบางส่วนให้คนเข้าใจกันผิดๆแบบที่ผ่านมา นั่นเป็นการสร้างบาปให้ตัวคุณเองมากกว่า

    อยากรู้ไปศึกษาเลยครับ อย่านั่งอ่านแล้วเชื่อหรือไม่เชื่อเลยครับ ไม่ใช่ชาวพุทธที่ใช้ปัญญา
     
  9. Archeopteric

    Archeopteric Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +53
    ขอบคุณที่แนะนำนะครับ อยากจะถามว่า
    ไปตัดข้อความไหนหรอครับที่ทำให้คนเข้าใจผิดหน่ะ
    นี่เป็นประโยคคำถามไม่ใช่เหรอ ไปศึกษามาแล้วแต่ไม่เข้าใจ
    ปัญญาน้อยก็เลยมาตั้งคำถามให้คุณตอบยังไงหละครับ
    ร้อนตัวไปรึป่าว?
     
  10. Archeopteric

    Archeopteric Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +53

    ขอบคุณสำหรับคำตอบครับ
    จากที่กล่าวว่า

    คนทั้งหลาย สร้างสฟิ้งซ์ เพื่อ แสดงถึง การเคารพและบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์

    ที่สูงที่สุด
    ( ปัจจุบันนี้ สุดแล้วแต่ท่านไหนจะยึด ว่าพระองค์ไหน

    บางคน หรือ ตอนที่ยังไม่เกิดศาสนาใด ๆ เลย อาจจะยึด คือ ธรรมชาติ ที่ให้กำเนิด ทุกสรรพสิ่ง และธรรมชาติที่ให้กำเนิด ดวงจิต ทั้งหลาย

    ถ้า เป็นทางพุทธศาสนา สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงที่สุด คือ พระสัมมาพุทธเจ้า และที่สุดของที่สุด คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แรก ของทุกโลกธาตุ
    ( สมเด็จองค์ปฐมบรมครู )

    คืออ้างอิงมาจากไหนหรอครับ มีหลักฐานไหม
    ในพระไตรปิฎกมีไหม
    ที่ถามถึงพระไตรปิฎกไม่ได้หมายความว่า
    ถ้าไม่มีในพระไตรปิฎกจะไม่เชื่อนะครับ
    แต่พระไตรปิฎกเหมือนเป็นรูปธรรมมากกว่า
    เป็นหลักที่น่าเชื่อถือกว่า (ถึงแม้จะเป็นมุขปาฐะก็ตาม)
    แต่ถ้าท่านจะบอกว่า ฝึกมโนมยิทธิแล้วไปเห็น
    ฝนก็เชื่อนะครับ แล้วจะลองทำดูว่าจะเห็นจริงไหม


    จากที่คุณกล่าวว่า

    องค์ ความรู้ และพลังงานพีระมิด เปรียบ เหมือนใบไม้นอกกำมือ
    ที่ พระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งแทงตลอดทั้งหมด แต่สิ่งที่พระองค์ นำมาสอนที่ทำใ้ห้เรา ท่าน ทั้งหลายพ้นทุกข์ถึงที่สุด ได้จริง คือ การไม่ต้องกลับมาเกิด นิพพาน เปรียบดังใบไม้ในกำมือ


    อันนี้ผมตอบล่วงหน้าไว้แล้วตอนต้นครับ
    ปล.
    พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัส ว่า "ฉันใดก็ฉันนั้นแหละ ภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เรารู้แล้ว ไม่ได้บอกเธอมีมากมาย สาเหตุที่เราไม่บอกในเรื่องเหล่านั้น ก็เพราะสิ่งเหล่านั้น ไม่มีประโยชน์ ไม่ใช่การเริ่มต้นในการปฏิบัติที่ดีงาม ไม่ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายในทุกข์ ไม่ทำให้ปราศจากราคะ ไม่ทำให้ดับทุกข์ ไม่เกิดความสงบ ไม่เกิดความรู้ที่ยอดเยี่ยม ไม่เกิดความตรัสรู้ ไม่ทำให้นิพพานได้ เพราะเหตุนี้แหละ เราจึงไม่บอก"
     
  11. yuhua

    yuhua Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +90
    ตามความเข้าใจนะ พีระมิดเป็นแหล่งพลังงานอย่างหนึ่ง เป็นส่วนที่ช่วยเพิ่มพลังให้บุคคลแวดล้อม คือมันก็พิสูจนกันยากนะ เพราะมันไม่มีรุป ไม่สามารถเห็นด้วยตาเปล่า ลองศึกษาเรื่องพีระมิดที่พระอาจารย์รัตน์ท่านเคยบอกไว้น่าจะเข้าใจมากขึ้นนะ เพราะท่านก็เน้นให้นำพีระมิดมาใช้ในกานเพิ่มพลังทางบวก ไม่เน้นให้เคารพบูชามากกว่าพระหรือพระพุทธรุป เพียงแต่การบรรจุพลังของแต่ละที่ ก็คงจะไม่เหมือนกัน ถ้าได้รับพลังบวกที่ดีจากผุ้ที่เคารพบุชาสุงสุดก็คงจะมีพลังมากกว่าพีระมิดทั่วไป ส่วนสฟิงค์ ความหมายแบบเข้าใจง่ายสุด คิดว่า เปรียบเป็นเหมือนเทพองค์หนึ่ง ก็คล้ายๆกับเราเคารพบูชาเทพ เป็นความเห็นส่วนบุคคลอ่ะ ไม่ใช่ว่าเราไม่เห็นไม่รุ้จักจะไม่มีสิ่งนั้นๆ
    ความเห็นส่วนตัวนะจากที่รุ้สึก
     
  12. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    มาดูเรื่อง กลศาสตร์ของไหล กันหน่อย

    ระหว่าง รูปทรงสี่เหลี่ยม กับ รูปทรงปีระมิด มันมี คุณสมบัติเรื่อง กลศาสตร์ของไหล
    อะไรเกี่ยวข้องบ้าง

    เอา รูปปีระมิดก่อน ถ้าเป็นรูปทรงปีระมิด ข้างในกลวง อันนี้ อินเดียแดง เขารู้ของเขา
    มาก่อนแบบรุ่นต่อรุ่น ไม่ต้องใช้ ปัญญาความฉลาดทางเทคโนโลยีอะไรมาก ท่านเหล่านี้
    ทราบเรื่อง ผิวสัมผัสที่กระทบแสง แล้วสะสมความร้อน เมื่อ กระโจม หรือ ด้านพนัง
    ของปีระมิดเกิดความร้อน ภายในก็จะได้รับความร้อนถ่ายเทเข้ามา เมื่อนั้น อากาศที่
    สัมผัสกับพื้นผิวพนังกระโจมก็จะลอยตัวขึ้น

    เมื่อลอยตัวขึ้น ก็เกิด ระบบลมหมุนเวียน ขึ้นสู่ข้างบน หากไปดูกระโจมอินเดียแดง เรา
    ก็จะเห็นว่า ข้างบนจะเป็น ช่องระบายอากาศ กระโจมอินเดียแดงจึงไม่มีหน้าต่าง แต่ก็
    เย็นสบาย ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่ไข้ เพราะ กลศาสตาร์ของไหล ย่อมสร้าง ลมทอร์นาโด
    น้อยๆ เพื่อ ดูดดดดดดดดดด ทุกอย่างที่อยู่ในกระโจม ระบายออกไปข้างนอก

    ส่วนรูปทรงสี่เหลี่ยมหละ ก็มีด้านเหมือนกัน แต่ ถ้าเอาพื้นผิวกระทบความร้อนมา
    พิจารณาก็จะพบว่า มันมีพื้นที่น้อยกว่า การหมุนเวียนของอากาศอันเกิดจากการลอย
    ตัวของอากาศที่กระทบพนังก็เลยมีน้อยกว่า แถมลักษณะการสะสมความร้อนของอากาศ
    ก็ไม่มี คือ ลอยเป็นแนวตั้ง มันก็จะไม่มาสัมผัส พนังอีก มันก็เลย ตกลงมาก่อนที่จะ
    ลอยตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ความชื้นย่อมมีสูง ณ ระดับพื้น

    เหตุนี้เอง ที่ รูปทรง ปีระมิด หากเอา อะไรไปวางตรงกลาง ก็จะไม่ชื้น แถมภายในก็มี
    อุณหภูมิที่สูง เพราะ หากไม่มีช่องระบาย อาการที่ ตกลงมาสู่พื้นอันเกิดจากการหมุน
    เวียนย่อมมีความร้อนสูงกว่า แถมไม่ชื้น ( อาการชื้น หรือ ไอน้ำย่อมลอยตัวอยู่ข้างบน
    แล้วหากจะ หยดหยาดไหลลง ก็จะ ไหลไปตามพนัง ไม่หยดแหมะๆ ลงพื้น )

    ก็เป็นอันว่า

    เรื่องรูปทรงปีรมิด ต่างกับ สี่เหลี่ยมอย่างไร มันไม่ใช่เรื่อง พลังงานจักรยาน
    อะไรที่ไหน

    มันเป็นเรื่อง กลศาสตร์ของไหลธรรมดาๆ และ เรื่องของ ความชื้น และ อุณหภูมิ
    ธรรมดาๆ

    อย่าว่าแต่ แอปเปิ้ล คน ก็ย่อมมี สุขภาพดีแน่ๆ หากอยู่ใน กระโจมแบบปีรมิด

    ส่วนเรื่อง ภาพออร่า ที่เห็นเป็น แสงขาวเหนือยอด อันนั้น ก็เรื่องของไอร้อนสะสม
    และ การหมุนเวียนของอากาศที่พื้นผิวภายนอก มันลอยตัวและ ดูดอากาศข้างล่าง
    เข้ามา มันจึงลอยตัวไล่ไปตามพื้นผิวสัมผัส แล้วไป ลอยตัวรวมกันที่ปลายยอด
    ก็จัดว่าเป็นเรื่องธรรมดาๆ อีก ที่ความร้อน หรือ ไอ ของน้ำ จะปรากฏเป็นแท่ง หรือ
    พวงพุ่งตรงยอดนั่น

    นี่คือ ระบบอากาศพลวัฏ ธรรมดาๆ ลองใช้พวกควันธูป ทดสอบเอาก็ได้ แต่แนะ
    นำว่า ให้เอาควันธูปไปใส่ถุงก่อน ไม่ใช่เอามาปล่อนจากก้านธูปตรงๆ เพราะ ความร้อน
    ที่เกิดจากธูป จะเป็น ความร้อนส่วนเกินของการทดลอง
     
  13. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ส่วนเรื่อง โครงข่าย ที่ประกอบจาก แท่งโลหะ สร้างขึ้นเป็นรูปทรงปีระมิด

    อันนี้ อาาจะมาบอกว่า มันไม่มีเรื่อง พื้นผิวสัมผัส ไม่มีด้าน ไม่มีเรื่องอุณหภูมิ

    เอ่อ ไอ้ตรงนี้ก็ต้องดูที่ แท่งโลหะ ว่าเอาอะไรมาทำ โดยเทคโนโลยีแบบ
    นาโนนั้น เราจะรู้กันอยู่ว่า "ธาตุทั้งหลายไม่เที่ยง" หรือ มีการเสื่อมสลาย
    คลายตัวตลอดเวลา บ้างเรียกระบบ oxidation ( การเกิดสนิม ) บ้างก็
    เรียระบบ elcetrographity ( การถ่ายเทประจุบวกลบ ภษ.อังกฤษ หาก
    สะกดผูกขออภัย ไปหาศัทพ์จริงๆเอาเอง ) บ้างก็เรียกไปนู้นเลย ระบบ
    นาโนเทคโนโลยี การคายประจุอิออนิค

    เหล่านี้ ล้วนต่อมีผลต่อ ความชื้น และ เชื้อปนเปื้อนในอากาศ

    ถ้าแท่งวัตถุนั่น ทำด้วยโลหะ "เงิน" หรือ อลูมมิเนี่ยม อันนี้ในทาง
    การวิจัย เขาสรุปออกมาแล้วว่า มีผลต่อความชื้น และ เชื้อปนเปื้อน
    ในอากาศได้ในขั้น เอามาขายทำกำไร หน้าตาเฉย ได้ !
     
  14. Maelook3

    Maelook3 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2010
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +29
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Archeopteric
    แปลกจัง ทำไมไม่เห็นมีคนมาตอบ ทั้งๆที่กระทู้บ้านสวนพีระมิดมีคนมาแสดงความคิดเห็นมากมาย (ล้วนแล้วแต่เป็นลูกบ้านสวนพีระมิดกันทั้งนั้น)
    หรือบ้านสวนพีระมิดเชื่อไปงั้นๆ? ไม่ได้พิจารณาอะไรมาก เจ้าลัทธิบอกให้เชื่อก็เชื่อตาม??
    ------------------------------------------------
    คุณ Archeoptericคะ

    เราว่าคุณ Hanataro กับคุณ Punyisa1 เค้าตอบได้ดีนะนะจะช่วยคลี่คลายความสงสัยให้คุณได้ งั้นเราขออนุญาติเสริม เป็นแบบสั้นๆที่คัดลอกมาจากคำอธิบายของท่านอาจารย์อุบล แห่งบ้านสวนพีระมิดที่เมตตาอธิบายคุณสมบัติของ "จี้องค์เทพสฟิงค์" ดังต่อไปนี้

    รูปทรงพีระมิด (สามเหลี่ยมด้านเท่า) มีคุณสมบัติ
    1.ดึงพลัง ที่ดีจาก จักรวาลมาสู่ตัวผู้สวมใส่
    2.ดูด พลังแห่งความดีโดยรอบตัวผู้สวมใส่
    3.ดัน พลังร้าย ออกจากตัวผู้สวมใส่

    (ดังนั้น ผู้สวมใส่ จะมีแต่พลังดีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มกันพลังร้าย วิญญาณร้ายเข้าใกล้ไม่ได้)

    และ รูปองค์เทพสฟิงค์ ดังนี้

    มีรูปองค์เทพสฟิงซ์ซึ่งเป็นเทพที่มีพลังอำนาจมากเป็นผู้กุมความลับทุกอย่าง ในจักรวาล
    ดังนั้นเทพสฟิงซ์ จะรู้ว่าจะสงเคราะห์ ผู้ศรัทธาอย่างไรบ้าง

    เห็นคุณกล่าวถึงกระทู้บ้านสวน แสดงว่าเข้าไปดูมาแล้ว เอแต่ถ้ายังไม่เข้าใจ และอยากได้คำตอบจริงๆ คุณก็น่าจะสมัครสมาชิกโดยใช้ข้อมูลจริงเท่านั้น ที่นี่เค้างดใช้นามแฝงจ้า แล้วคุณก็เข้าไปpost ถามได้นี่นา เชื่ิอสิมีคนเต็มใจรอตอบคุณเป็นธรรมทานอยู่หลายท่านอยู่นา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันอยู่ที่ทัศนคติของตัวคุณเองแหละ ลองพิจารณาดูนะคะ
     
  15. moommoum

    moommoum สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +2

    ดูจากตัวแดงๆข้างบนที่คนนับถือสฟิงค์มาตอบ เราว่าคุณArcheoptericเข้าใจถูกแล้วค่ะที่ว่า เจ้าลัทธิบอกให้เชื่อก็เชื่อตาม
     
  16. Maelook3

    Maelook3 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2010
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +29
    คุณ moommoum

    เนี่ย..เป็นซะอย่างนี้แล้วใครเค้าอยากจะมาตอบ คุณเอ้ย.. นีทำใหชักสงสัยว่าคุณนี่ตั้งแต่เล็กจนโตมาเนี่ย เคยยอมรับนับถือใครเป็นครูบาอาจารย์บ้างมั้ยคะ.. ถ้าตอบว่ามีก็ดีใจด้วย แต่ถ้าไม่..ก็..เอ่อเข้าใจอีกนั่แหละ... เอาหละๆๆ แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคน ละก็ลองสืบค้นหาข้อมูลตรองหาความแตกต่างของ ลัทธิกับศาสนาทีนะ เพราะคุณเข้าใจผิดนะคะ ขอให้โชคดีค่ะ


    ลัทธิ - วิกิพีเดีย
     
  17. kamio

    kamio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    646
    ค่าพลัง:
    +756
    ถึงคุณ Archeopteric คุณคงคิดว่าตัวเองฉลาดมาก รู้ไปหมดสะทุกเรื่องล่ะสิ อันที่ไม่รู้ก็ควร ศึกษา และพิสูจน์ ถ้าไม่พิสูจน์ ก็ไม่ใช่พุทธแท้ แต่เป็นพุทธปลอม มือถือสาก ปากถือศีล เพราะพระพุทธเจ้าให้เชื่อโดยใช้หลัก กาลามสูตร ถ้าเห็นเป็นจริง แล้วมีหลักฐานยืนยันก็ให้เชื่อได้ โดยไม่ขัดแย้งต่อศีล 5 แต่ถ้าพิสูจน์แล้วยังไม่เชื่อ ก็เรียกว่า โง่ คงช่วยอะไรไม่ได้แล้ว แล้วก็ไม่มีใครบอกให้เชื่อนะ คนที่เขาเชื่อ เพราะเขาพิสูจน์แล้ว พวกเขาจึงเชื่อ ไม่ได้ดีแต่ปาก แต่ไม่พิสูจน์ แบบคุณหรอก
     
  18. moommoum

    moommoum สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +2
    เออหนอ!! คนเรา หลุดออกมาเองนะคะ

    ว่าแต่มาตอบนี่ ไม่กลัวเค้าว่าเอาหรือคะ เค้าเน้นให้เอาข้อความประเภทคำพยานอะไรแบบนั้นมาลงไม่ใช่หรือคะ ต้องไปสารภาพบาปแล้วนะคะ ฝ่าฝืนคำสั่ง หุหุ

    เรื่องอะไรที่เอามาลงกัน ที่ว่าเพราะPyramid หรือว่าSphinxมีคุณวิเศษตามแบบความเห็นบนๆ จนต้องเอามาบูชาน่ะ มันเป็นเรื่องที่คิดขึ้นมาทีหลังเพื่อรองรับ

    ตอนเริ่มคิดทำน่ะ เรื่องเหล่านั้นไม่อยู่ในความคิดอาจารย์คุณเลย ไปหาอ่านกันเอาเองนะ อยู่ในwebของพวกคุณนั่นแหละค่ะ ถ้าหาไม่เจอก็บอกมานะคะ จะชี้ทางให้
     
  19. ขวานฟ้า

    ขวานฟ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +100
    ผมว่าอย่ามัวแต่เถียงกันด้วยความคิดของตัวเองเลยครับ อย่างคุณ moommoum ก็ดูเหมือนว่าคุณไม่รู้อะไรเลยแต่พูดเป็นฉาก พูดเสียดสีคนนั้นคนนี้

    ผมถามง่ายๆดีกว่าครับ ดูเหมือนว่าหลายๆท่านที่ท่าทางคงเป็นผู้รู้เรื่องพระพุทธศาสนาดีถึงได้พยายามอ้างนั่นอ้างนี่เพื่อให้คนอื่นเห็นด้วยกับคุณว่าสำนักนั้นไม่ดี ที่นี่ไม่ดี พอใครมาอธิบายก็เขียนเล่นสำนวนว่าใส่เขา อย่าใจแคบนักเลยครับ

    ผมว่าเราควรตรวจสอบตัวเองดีกว่านะว่า รักษาศีล5ได้หรือยัง หากยังก็อย่าบอกเลยนะครับว่ารักและอยากปกป้องพระพุทธศาสนา เพราะหากรักและเคารพพระพุทธเจ้าจริงก็ต้องทำตามที่พระองค์ทรงสอนแล้ว

    แต่ดูเหมือนว่าหลายๆท่านที่เขาพบครูบาอาจารย์ที่สอนให้เขารักษาศีลห้าแล้วชีวิตเขามีความสุข บางท่านก็ไม่พอใจ ไม่สบายใจ ก็อยากหาจุดหรือประเด็นที่ทำให้คนเข้าใจผิด เขามีความสุข ชีวิตเขาดีขึ้น ทำให้คุณทุกข์ใจมากหรือครับ ผมว่าเอาเวลาไปตรวจศีลรักษาศีลดีกว่า หากไม่เข้าใจ อยากศึกษาจริงๆอย่ามัวเก่งบนคีย์บอร์ดอยู่เลยครับ หากเชื่อพระพุทธเจ้าก็ให้ใช้หลักกาลามสูตรดีกว่า ศึกษาเองเลยครับไปพิสูจน์เลยครับ อย่ามัวแต่เล่นคีย์บอร์ดถามคนนั้นคนนี้ เวลาเขาตอบไม่ตรงใจก็ว่าเขา สร้างบาปเปล่าๆนะผมว่า หากไม่เห็นด้วยกับเขาก็อย่าทำให้ตัวเองจิตใจหมองเลย ทุกคนตัดสินใจเองได้ เขาไม่ได้เชื่อหรือไม่เชื่อเพราะคุณหรอก แต่เพราะเขาพิสูจน์ด้วยตัวเอง ไปพิสูจน์เลยดีกว่าครับ
     
  20. กะตัง

    กะตัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +26
    พอดีเห็นกระทู้เกี่ยวกับบ้านสวนพีระมิดแล้ว

    สงสัยว่า...

    ใช่พระพุทธศาสนาจริงๆเหรอ?

    เพราะพระพุทธเจ้าเองพระองค์ทรงให้

    บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เท่านั้น

    พีระมิดและสฟิงมาได้ยังไง?



    [​IMG]
    พีระมิดกิซ่า และสฟิงค์ สัตว์ในตำนานโบราณตะวันออกกลาง สิงโตหัวเป็นคน

    พีระมิดและสฟิงค์สัตว์ในตำนานโบราณแถว"ตะวันออกกลาง" ที่มาจากประเทศอิยีปต์ ไม่ใช่พุทธศาสนา
    หากชาวอิยิปต์รู้เรื่องนี้คงแปลกใจน่าดู ที่มีคนไทยบางกลุ่มยกขึ้นมาให้เป็นของศักดิ์สิทธิ์สารภาพบาปกันได้ด้วย

    [​IMG]
    สิงห์หน้าวัดป่าดาราภิรมณ์ เชียงใหม่

    ลองมองอีกมุมกลับนึงนะครับ หากถ้าชาวมุสลิมอิยิปต์บางกลุ่มนับถือยอมรับ และ"สารภาพบาปกับสิงห์" สัตว์ในตำนานแถว"สุวรรณภูมิ" จำลองแบบหน้าโบสถ์บ้านเราไปบ้าง และโดยยกอวยให้เป็นของที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ของไทยโบราณ ที่ควรมีไว้ แต่หากพอมีใครทักท้วงก็บอกว่าเราก็เป็นคนดีนับถือศีล.. ของศาสดาที่บรรจุไว้กับคัมภีร์เหมือนกัน ...อันนี้คงดูแปลกดี

    ขอยกตัวอย่างลิงค์จากเวปที่นั่นมาซักตอนครับ ตอน "สารภาพบาปกับองค์เทพสฟิงซ์ เห็นผลฉับพลันทันที เหมือนสารภาพกับ อ.อุบล"
    http://www.baansuanpyramid.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539466719&Ntype=2
    ถ้าดูตามลิงค์นั้น โฟกัสดูที่ประมาณ นาที 0:30:00 เป็นต้นไป น่าสนใจดี


    ภาพแถม ...

    -รูปปั้นสฟิงค์ สัตว์ในตำนานโบราณตะวันออกกลาง ที่นิมรัด อิรัก อารยธรรมเมโสโปเตเมีย
    [​IMG]

    [​IMG]
    Caption: Lower Mesopotamia, Iraq, Sphinx throne decoration from Nimrud, ivory.

    - รูปปั้นสฟิงค์ สัตว์ในตำนานโบราณตะวันออกกลาง ที่อิหร่าน อารยธรรมเปอร์เซีย
    [​IMG]

    - สฟิงค์ ในศิลปะกรีก
    [​IMG]
    Date : from 570 until 560 BC
    Medium : sculpture in the round / Greek insular marble

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ตุลาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...