ถ้าการศึกษาพัฒนาขึ้นจริง .. ก็ยังต้องรอให้เด็กเหล่านี้โตขึ้นมาทำหน้าทีอีกราวเป็นสิบๆ ปี

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย VisionPower, 19 ธันวาคม 2016.

  1. VisionPower

    VisionPower เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2016
    โพสต์:
    1,168
    ค่าพลัง:
    +485
    ถ้าการศึกษาพัฒนาขึ้นจริง .. ก็ยังต้องรอให้เด็กเหล่านี้โตขึ้นมาทำหน้าทีอีกราวเป็นสิบๆ ปี

    แต่ถ้า ยังงมทางอยู่ .. แต่ถ้างมก็ยอมรับว่างมก็ยังดี เพราะจะได้ทดลองกับบางที่
    แต่ถ้างมแล้วยังไม่รู้ โดยดันทุลังออกเป็นกฎบังคมใช้เลย ก็ล้มเหลวอีกยาวเลย
    และยังคงไม่สามารถจะเริ่มนับวันเป็นศิวิไล ได้ และคงจะนานกว่า 30 ปี
     
  2. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,293
    ค่าพลัง:
    +12,622
    หลักสูตรต้องสร้างให้เกิดศิวิไลที่ใจ
    ตั้งแต่อนุบาลก่อนเลย....
    แต่ปัญหาคือบุคคลากรทางการศึกษา
    หรือคุณครู- อาจารย์ ต้องมีจิตใจที่ศิวิไลก่อน
    จึงต้องนำเข้าบุคคลากรประเภทนี้มาจากภูฏาน
    หรือสวีเดน เพราะของเราเองมีไม่เพียงพอ
    ในระดับขาดแคลนเลยทีเดียว
     
  3. VisionPower

    VisionPower เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2016
    โพสต์:
    1,168
    ค่าพลัง:
    +485
    “มท.1” ชี้ “กฟภ.” มุ่งปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงสู่ไทยแลนด์ 4.0 ย้ำ นโยบายรัฐต้องสร้างความยั่งยืน อย่าหว่านแค่ “ยาดม-ยาหอม”

    เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 19 ธันวาคม ที่ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีการเปิดการประชุมวิชาการของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) ประจำปี 59 หรือพีอีเอคอน 2016 ร่วมกับ 20 หน่วยงาน โดยพล.อ.อนุพงษ์ กล่าวปาฐกถาเรื่อง “บทบาทของการไฟฟ้าในอนาคต รองรับนโยบายการพัฒนาประเทศ” ตอนหนึ่งว่า ยินดีที่กฟภ.พัฒนาตัวเองโดยจัดการประชุมเพื่อเพิ่มองค์ความรู้ใหม่ให้กฟภ.พัฒนาในทางที่ดี และถือว่าที่ผ่านมากฟภ.ไม่ล้าหลังแต่ต้องพัฒนาให้ก้าวหน้าตามความคาดหวังของประชาชน จึงต้องปรับตัว เช่น มีพลังงานทดแทน มีพลังงานหมุนเวียน ทั้งนี้ไฟฟ้าเป็นเรื่องสำคัญที่จะชี้ถึงคุณภาพชีวิตของคนในชาติ ตนถือกฟภ.สามารถตอบสนอง ให้ประชาชนได้ 100 เปอร์เซ็น บางครั้งเราสร้างสายส่งไม่ได้ แต่ก็กฟภ.การมุ่งปรับปรุงไฟฟ้าให้ถึงบ้านเรือนประชาชน

    พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวอีกว่า รัฐบาลทำงานเพื่อมุ่งสู่อนาคตและต้องไปสู่ยุค “ไทยแลนด์ 4.0” ที่ผ่านมา 20 กว่าล้านคนอยู่กับ “ไทยแลนด์ 1.0” อย่างเรื่องการปลูกข้าวที่ผ่านมา นโยบายรัฐแทนที่จะสร้างความยั่งยืน แต่กลับใช้ยาดม ยาหอมง่ายๆ ซึ่งเป็นการบิดเบือนโครงสร้างการผลิตทั้งหมด คนกำหนดนโยบายรัฐถือว่าผิด ซึ่งรัฐบาลต้องแก้ปัญหานี้ ส่วน “ไทยแลนด์ 2.0” เป็นการใช้เทคโนโลยีที่ไม่สูงนักเช่นการทอผ้า ขณะที่ 3.0 เป็นอุตสาหกรรมพึ่งพา ซึ่งทั้ง 2 ประเภทหมดเวลาที่จะใช้กับไทยเพราะใช้แต่แรงงาน ไม่ได้ใช้สมอง และมองว่าถ้าเราจบวิศวะแต่ยังสร้างรถยนต์ ไม่ได้ ขอให้ไปขายข้าวจะดีกว่า ฉะนั้น “ไทยแลนด์ 4.0” เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องเริ่มทำเพื่อพัฒนาประเทศ

    “กฟภ.ต้องบริการประชาชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ต้องทำให้พื้นที่เศรษฐกิจพิเศษมีไฟฟ้าเข้าถึง ส่วนนักวิชาการต้องพัฒนาความคิดต่อยอดเพื่อช่วยรัฐบาลไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 และขอยืนยันว่ากฟภ. รวมถึงการไฟฟ้านครหลวง(กฟน.) ไม่เคยทำปัญหาให้ประเทศ แต่สร้างโอกาสและกำไรให้ประชาชนและประเทศ ขณะที่การบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้ได้กำหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่ไม่เคยมีมาก่อนและจัดงบประมาณตามกรอบที่วางไว้ นอกจากนี้รัฐบาลได้จัดระเบียบต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่เจ็บตัวทั้งนั้น เป็นการหาศัตรูทั้งสิ้น แต่ไม่ทำ ไม่ได้” พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว
     

แชร์หน้านี้

Loading...