ถ้ารู้ความตายของตนเองได้จริงล่วงหน้าว่าจะโดนฆาตกรรม จะตั้งจิตอย่างไรให้ไปสุคติภูมิ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย จิตปราโมทย์, 26 มกราคม 2017.

  1. จิตปราโมทย์

    จิตปราโมทย์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2017
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +103
    ขอเข้าสู่ปัญหาทางธรรม เรียนถามท่านผู้รู้ว่า หากว่าใครสักคนสามารถรู้ความตายของตนเองได้จริงล่วงหน้า และเป็นการตายที่ไม่ดี คือ คนนั้นต้องโดนฆาตกรรมอย่างแน่นอนและเป็นการโดนทรมานนานกว่าจะตาย แน่นอนว่าก่อนตายจริง ร่างกายจะต้องเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส แล้วจะตั้งจิตอย่างไรให้ไปสู่สุคติภูมิได้ และเป็นภาวะที่จะไม่มีใครมาอยู่เคียงข้างช่วยเหลือได้เลย (หลายครั้งที่อ่านมักเป็นกรณีของคนที่โชคดีที่ก่อนตายมีคนรอบข้างมาสวดมนต์ให้ หรือเชิญพระมาเตือนสติ เทศน์ธรรมสั้นๆ บางคนทำไม่ดีมาแต่ก่อนตายมีคนมาเตือนทัน จิตจึงจับภาพดีได้ เช่น ภาพพระพุทธเจ้า เป็นต้น จึงไปสู่สุคติภูมิได้ทันก่อนลงอบายภูมิ)

    จิตก่อนที่จะเปลี่ยนภพภูมิจากปัจจุบันไปสู่ภพภูมิใหม่ จะมีเวลาเกาะยึดภาพของภพใหม่ประมาณเพียง 2-3 วินาทีเท่านั้น ต่อให้ก่อนตายได้ทำดีมามากมาย หากว่าจิตไปยึดเกาะภาพไม่ดีหรือมีอารมณ์ที่เลวร้ายเพราะโดนทรมานทั้งกายและใจ แล้วจะไปสุคติได้อย่างไร ไม่ต้องมากลายเป็นวิญญาณที่มีความเคียดแค้น อาฆาต หรือเป็นสัมภเวสี หรือลงอบายภูมิหรืออย่างไร

    เราพอเจอคำสอนที่พระพุทธองค์สอนไว้ แต่ส่วนตัวเองยังไม่รู้ว่าหากเกิดความเลวร้ายดังกล่าว จะทำได้อย่างที่ท่านสอนได้หรือไม่ เพราะยากจริงๆ ที่ท่านสอนไว้ คือ "เมื่อมีใครติเตียนหรือทำร้ายด้วยฝ่ามือ ด้วยก้อนดิน ด้วยไม้พลอง ด้วยศัสตรา ซึ่งนางภิกษุณีทั้งหลายหรือแม้ซึ่งตัวเธอเอง ก็ให้สำเนียกว่า จักไม่ให้จิตปรวนแปร จักไม่เปล่งวาจาชั่วร้าย จักมีเมตตาจิต หวังอนุเคราะห์ ไม่ตกอยู่ในระหว่างแห่งโทสะ แผ่จิตอันประกอบด้วยเมตตาไปยังบุคคลนั้นและสัตว์อื่นทั่วทั้งโลก" (โทสะ แปลว่า ความคิดประทุษร้าย)

    จะมีใครพอมีแนวทางใดแนะนำเพิ่มเติมได้บ้าง ขอขอบคุณล่วงหน้า
     
  2. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ให้อยู่กับปัจจุบันเป็นหลักครับ มีสติให้มาก ทำยังไงถึงจะมีสติระลึกได้ไหวตัวทัน ต้องฝึกเจริญสติเจริญปัญญาสม่ำเสมอ

    มั่นใจในความดีที่ตนเองทำมาดีแล้วหรือยัง ถ้ายังก็ต้องเริ่มเปลี่ยนทางเดินก่อนเลย ยกตัวอย่างเช่น พวกที่อยู่ในวงการสีเทาสีดำ พวกนี้จะต้องผวาอยู่บ่อยๆ แน่ ระแวง กลัวโดนพวกเดียวกันหักหลัง ตัดตอน หรือไม่ก็ถูกจับได้.. ชีวิตจึงต้องอยู่อย่างไม่เป็นสุข นั่นเพราะเลือกทางเดินไม่ถูก เป็นต้น นี่อย่างหยาบๆสุดเลยครับ ละเอียดกว่านั้นก็คือ ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ให้เกิดสติเกิดปัญญายิ่งๆขึ้นไป

    แล้วสุดท้ายก็คือ ยอมรับกฏของความจริง คนเราเกิดแล้วต้องตายแน่ๆ ทุกคนไป ยอมรับกฏของกรรม เราทำกรรมอะไรไว้ เป็นบุญหรือเป็นบาป เราจะต้องได้รับผลของกรรมนั้นๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เวลาที่คนเราสำนึกผิดได้ จิตมันก็สลดและสงบลง สงบได้แต่อย่าให้เศร้าสลด ตั้งสติให้ดี สติต้องทันอีกแหละครับ ทีนี้ใครเขาด่าว่าทุบตีอย่างไร เรารู้ทุกข์โทษภัยอันมีมาถึงแล้ว ก็ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ท่านสอนมาดีแล้ว หากเพราะเรายังปฏิบัติไม่ได้ดีเท่าที่ควร ถ้ารอดไปได้คราวนี้ หรือไม่รอดก็ตาม จะขอยึดในพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก ฝึกต่อให้ถึงซึ่งมรรคผลนิพพานให้จงได้ แล้วก็ภาวนาพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ทำใจให้สงบไปก็แล้วกันครับ

    พูดเหมือนง่ายนะ แต่จริงๆยังไม่รู้ ทางที่ดีเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมไว้เสมอครับ อย่าประมาท
     
  3. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    ปลงธรรมสังเวชในวิบากของตน
    อธิษฐานขออโหสิกรรม ไม่อาฆาตจองเวรผู้ใด
    กำหนดจิตให้มั่นคง
    ส่วนที่ไปก็ตามแต่ที่สั่งสมมา
    ประมาณนี้ครับ
    ไม่ได้บอกว่าทุกคนต้องทำได้นะ อย่าดราม่า
     
  4. pam16

    pam16 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +3
    จำแนกลำดับการให้ผลของกรรมแก้ไข
    กรรมจำแนกตามลำดับการให้ผลของกรรม (ปากทานปริยายจตุกะ) จำแนกตามความยักเยื้อง หรือ ลำดับความแรงในการให้ผล 4 อย่าง

    1. ครุกรรม หรือ ครุกกรรม (หนังสือพุทธธรรมสะกดครุกกรรม หนังสือกรรมทีปนีสะกดครุกรรม) หมายถึง กรรมหนัก ให้ผลก่อน เช่น ฌานสมาบัติ 8 หรือ อนันตริยกรรมจัดเป็นกรรมที่หนักที่สุด ให้ผลเร็วและแรง มีทั้งฝ่ายที่เป็นกุศลคือฝ่ายดีและฝ่ายที่เป็นอกุศลคือฝ่ายไม่ดี ครุกรรมที่เป็นกุศลได้แก่ฌานสมาบัติ ๘ ผู้ได้ฌานสมาบัติชื่อว่าได้ทำกรรมฝ่ายกุศลที่ดีที่สุด เมื่อสิ้นชีวิตแล้วย่อมได้เกิดในพรหมโลกทันที ส่วนครุกรรมที่เป็นอกุศลได้แก่อนันตริยกรรม ๕ มี ฆ่าบิดา ฆ่ามารดา เป็น ผู้ทำอนันตริยกรรมชื่อว่าได้ทำกรรมฝ่ายอกุศลที่ร้ายแรงที่สุด เมื่อสิ้นชีวิตแล้วย่อมเกิดในนรกทันที ครุกรรมย่อมให้ผลก่อนกรรมอื่นเสมอ อุปมาเหมือนวัวแก่มีกำลังน้อย แต่ยืนอยู่ตรงปากประตูคอกพอดี ย่อมจะออกจากคอกได้ก่อนวัวหนุ่มอื่นๆ ทั้งหลาย ฉะนั้น[2]
    2. พหุลกรรม หรือ อาจิณกรรม หมายถึง กรรมที่ทำมาก หรือ ทำจนเคยชิน ให้ผลรองจากครุกรรม
    3. อาสันนกรรม หมายถึง กรรมจวนเจียน หรือ กรรมใกล้ตาย คือกรรมที่ทำเมื่อจวนจะตาย จับใจอยู่ใหม่ ๆ ถ้าไม่มีสองข้อก่อน ก็จะให้ผลก่อนอื่น
    4. กตัตตากรรม หรือ กตัตตาวาปนกรรม(กตตฺตา-สิ่งที่เคยทำไว้, วา ปน-ก็หรือว่า, กมฺม-กรรม) หมายถึง กรรมอื่นที่เคยทำไว้แล้ว นอกจากกรรม 3 อย่างข้างต้น, ฏีกากล่าวว่า กรรมนี้ให้ผลในชาติที่ 3 เป็นต้นไป กรรมนี้จึงจะให้ผล เป็นกรรมทั้งฝ่ายดีและไม่ดีที่ทำไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่มีเจตนาจะให้เป็นอย่างนั้น กรรมที่ทำไว้ด้วยเจตนาอันอ่อน หรือมิใช่เจตนาอย่างนั้นโดยตรง ภาษาวินัยว่าเป็นอจิตตกะ ทำไปก็สักแต่ว่าทำ แม้มีโทษก็ไม่รุนแรง ถือว่าเป็นกรรมที่มีโทษเบาที่สุดในบรรดากรรมทั้งหลาย ถ้าไม่มีกรรมที่หนักกว่าเช่นพหุลกรรม หรือต่อเมื่อไม่มีกรรมอันอื่นให้ผลแล้ว กรรมนี้จึงจะให้ผล กรรมข้อนี้ ท่านเปรียบเหมือนคนบ้ายิงลูกศร เพราะคนปกติที่ไม่มีฤทธิ์จะไม่รู้เลยว่า เป็นกรรมอะไรที่จะมาให้ผลนำเกิด เนื่องจากทำไว้ในอดีตชาตินั่นเอง
     
  5. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,287
    เวลาใกล้ตายมันอาจจะไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด หลายคนที่มีประสบการณ์เฉียดตายบอกว่าเวลาที่เผชิญกับความเป็นความตาย เวลาเหมือนจะเดินช้ามาก และไม่มีความกลัวเลย สิ่งที่ทำได้คืออย่ากลัว อย่าประมาทในการดำเนินชีวิต เมื่อมีเวลาก็หมั่นทำความดี ทำจิตให้บริสุทธิ์
     
  6. ฟำี่ิอกาี

    ฟำี่ิอกาี สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2017
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +20
    เอาจริงๆนะ ถ้าคนนั้นสามารถรู้ได้ เรื่องจะทำยังไงเนี่ย หมูๆ
    ถ้าจะถามคือ คนใดๆที่เสี่ยงเข้าหาความตาย ต้องเตรียมใจอย่างไรและดูมีเหตุที่น่าสนใจ
     
  7. ฟำี่ิอกาี

    ฟำี่ิอกาี สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2017
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +20
    คนที่ไม่ประมาท เตรียมตัวตาย มักจะห่างจากความตายอันไม่ถึงประสงค์ ส่วนคนที่ตรงกันข้ามก็ซิบหายอย่างง่ายดาย ไม่ประมาทโดนมีสติ ฝึกฝนสะสม ณ บัดนี้เถิด ขันติบารมี จักเกิดเมื่อถึงที่สุดจิตทิ้งกายเเล้ว ก็ไม่กลัวความตาย
     
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    รู้ตายเมื่อไหร่ ตายยังไง ในทางธรรม เราจะถือ
    ว่า รู้ไม่จริง ต่อให้หาหนทางผัดผ่อนได้ ยิ่งโง่หนัก

    ญานรู้วาระตาย ต่อให้มีญาณรู้ว่าชาติก่อนเปนใคร

    สังเกตเลย ยังไง่ก้ โง่ รู้ไม่จริง

    ถ้ารู้ว่าชาติก่อนเปรอะไร ตายตอนไหน
    ไปเกิดเปนอะไรต่อ ร้อยละร้อย ในทาง
    ธรรม เรียกว่า โง่ดักดาน

    ถ้า รู้จริง ไม่มาเกิดหลอก เมื่อไม่เกิด
    ก้พ้น พยาธิ ชรา มรณะ

    ดังนั้น พวกที่ยกว่า รู้ชาติถอยหน้า ถอยหลัง
    สี่สิยอสงไขย เอา สันติ ปะเคนไปเลย

    รู้ไม่จริง แล้ว ยังเที่ยวโชว ทำให้เหนได้
    ในชั่วเวลา นกกระจอกกินน้ำ มันโชวอย่าง
    เดียว ว่า เดี๋ยวก้ไปเกิดใหม่อยู่ดี แพ้ อวิชชา
     
  9. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ยกตัวอย่าง พระพุทธเจ้า ครั้งยังเป็นโพธิสัตว์ ยังไม่บรรลุ อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ

    ท่านก็ รู้ของท่าน ว่าเกิดมาอย่างไร ตายมาอย่างไร ไม่ใช่แค่ 40อสงไขย แต่เป็น
    ประมาณไม่ได้ ไม่สามารถบอกเป็นจำนวนได้

    แล้วไม่ใช่รู้เฉพาะ ตนเกิดมาอย่างไร ตายตอนไหน

    ยังเห็น สัตว์อื่นตาย เกิด ด้วย ไม่ใช่แค่ในโลก ไม่ใช่ในพันจักรวาล แต่ ประมาณไม่ได้

    แล้วเป็นยังไง

    พระพุทธองค์ตรัสว่า โง่เท่าเดิม ญาณ8 มีไปก็เท่านั้น ทำไม

    พอพิจารณาว่า ทำไม ก็เห็นเลย " อวิชชา ปัจจยา สังขารา "

    ญาณ8 ทั้งหมดนั้น เกิดจาก อวิชชา มันพาไปรู้ ไปเห็น มันก็ได้แต่ จมอวิชชา
    ยิ่งใช้ ยิ่งเหนียว ยิ่งร้อยรัด ลิงแก้แห ลิงติดตัง

    เท่านั้นแหละ

    เห็น ญาณ8 คือ อวิชชา ล้วนๆ ก็กำหนดรู้ ทุกขสัจจ เข้ามา อริยสัจจา จึงปรากฏ

    พ้นตาย ได้อย่างไม่ต้องลูบหน้าปะจมูก รู้ไปหมด ทำได้ทุกอย่าง ในสามวินาที
    ตายไปเกิดใหม่วนเวียนอยู่นั่น
     
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ปุกาด ปุกาด

    โปรด ทราบว่า โพสทั้งหลายแหล่ เกี่ยวกับ ความสามารถทาง อภิญญา ญาณ8

    อันนี้ พูดกับ ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เขา แสดงการรู้เห็น ไวกว่า วินาที เดี๋ยวโพส

    เดี๋ยวโพส

    ไม่ใช่ผู้หญิง คนนั้น กรุณา อย่าเอา กระโปรงมาสวม
     
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    เป็นไง วันนี้ ไม่ ยาน8 ทักเทิกอะไร

    มองออกไหม สามารถกำหนดรู้ ทุกขสัจจ เข้ามาได้

    หรือ ไม่อย่างนั้น ก็จะเป็น วิภวตัณหา คือ ถ้าทักลอยๆอีก เดี๋ยว คนเชิญไป ช่อง2 อีก
    ก็เลย วิภวตัณหา สลัดคืน จิต

    เน้นนะว่า สลัดคืนจิต ทิ้งจิต ที่มันหิวสิ่งที่รู้ออก

    จิตมันเสพสมาบัติ เบา เฮียอะไร มันก็ ส่งออก ไปแหลกอารมณ์

    จิตออกจากสมาแบด ไปส่องเฮียอะไร มันก็ ส่งออกไป แหลกอารมณ์ ของมันอย่างนั้น

    ธรรมชาติของจิต ย่อมหิวอารมณ์

    พอสลัดคืนจิต วางอุเบกขา จะเห็นเฮียอะไรก็รู้ จะเสพสมาแบดเฮียอะไรก็รู้

    วางจิตลงไป คืนจิตให้กับโลก หากไม่ไปติด วิภวตัณหา ก็จะเห็น
    ว่า ไม่ใช่ จิต ที่เป็นสัตว์ หลอกว่าเที่ยง หิ้วหวีไป หิ้วหวีมา

    กว่านั้นยังมี ปรมัตถ์ธรรม ที่เรียกว่า สัญญา

    กว่านั้นยังมี ปรมัตถธรรม ที่เรียกว่า เวทนา

    สัญญา เวทนา ใช่ วิญญาณ ไหม หาก โง่ ก็กลับไป คว่า วิญญาณเที่ยง กลัวว่า
    จะอันตรธานหายไปจากโลก

    ทั้งๆที่ สัญญา ก็ จับมะอึงไว้ใน โลก

    ทั้งๆที่ เวทนา ก็จับมะอึงไว้ในโลก ให้เห็น ยิ่งขึ้นไปอีก หากไม่ปล่อยจิต
    สลัดคืนจิต มะอึง จะเอาอะไรไปวิจัย สัญญา เวทนา

    มัวแต่เห็น จิตเที่ยง เป็นเทพ หนาสันติ อย่ามาโม้ รู้เห็น นามธรรม เฮียอะไร
     
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    โดนฆาตกรรมหมายถึง
    สิ่งที่ทำให้เราตาย
    มีเหตุมาจากทั้งคนและสัตว์หรือเปล่าครับ
    เช่น โดนพี่เข้รับประทาน โดนช้างกระทืบ
    โดนเสือจับกิน โดนงูรัดจนตาย โดนคนทำร้าย
    ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆทั้งใช้เครื่องทุนแรงและ
    ไม่ใช้เครื่องทุนแรงหรือเปล่าครับ ถ้าแนวๆนี้

    คงต้องมีความสามารถ และมากบารมีสูงส่งระดับ
    น้องๆพระโมคคัลลานะ หละครับ..
    ถึงจะไปภูมิที่ดีได้นะครับ..
    ต้องประมาณว่า ยกกายในออกมายืนดู
    รอดู คนหรือสัตว์ทำร้ายร่างกาย
    เราได้แบบเห็นๆนั่นหละครับ

    ที่เห็นส่วนมากที่บอกว่าตนเองแยกกายได้

    ในความเป็นจริงส่วนใหญ่ที่จะเห็น
    จะเป็นการแยกน้ำลาย
    ออกจากปากมากกว่าครับ
    หรือไม่ก็แบบฝันเอา
    หรือคิดเอาเอง
    หรือมโนเอาเองทั้งนั้นหละครับ


    ส่วนจะทำได้แบบนี้หรือไม่ขึ้นอยู่
    กับความสามารถที่จิตจะทิ้งกายได้จริงๆ
    หรือไม่ร่วมด้วยครับ
    ส่วนจะไปภูมิดีไม่ดีก็มา
    ดูบารมีเฉพาะๆบุคคลไปครับ

    คือเรื่องการวางอารมย์มันต้องมีความ
    สม่ำเสมอต่อเนื่องมานานพอสมควรแล้วหละครับ
    (พูดถึงว่าถ้าไม่โชคดีเจอญาติให้พระให้ใคร
    มานำสวดก่อนจะสิ้นใจนะครับ)

    ตรงนี้จะพูดพอให้เห็นภาพนะครับ
    เพราะฆารกรรมไม่ว่าด้วยคนหรือสัตว์
    ก็คือ ทำให้ลมหายใจเราสิ้นจากกาย ณ เวลานั้นๆ
    ซึ่งมันมีเรื่องการปรุงแต่งทางจิตให้เกิดการเจ็บ
    ป่วยทางกายเราด้วยนะครับ

    เข้าใจนะครับว่ากายเรามันเจ็บไม่ได้
    ถ้าไม่มีจิตเราอยู่ ถ้ามีจิตอยู่และปรุ่งแต่งได้
    ยังมันก็เจ็บ หรือกายไม่แยกกับจิตจริงๆมันก็เจ็บครับ
    นึกภาพถ้ายังมองอะไรไม่ออก
    เช่น เราตัดนิ้วเราโยนทิ้ง ไอ้นิ้วที่เราโยนทิ้งไป
    เราเอามีดไปสับๆมัน ถามว่าเรารู้สึกเจ็บไหม
    นี่คือกายมันไม่ได้เจ็บครับ
    แต่ถ้าเอามีดมาสับนิ้วที่ติดกับกาย
    และมีจิตเราอยู่ ถามว่าเรารู้สึกเจ็บไหม
    สรุปว่า มันเจ็บที่กายหรือว่าเพราะเราปรุงแต่งร่วม
    มันถึงเจ็บครับ พอนึกภาพออกไหม
    ดังนั้น คนที่จะไม่เจ็บเลย ต้องแยกกายกับจิต
    ตรงนี้ได้เด็ดขาดจริงๆ ที่เหลือก็แล้วแต่บุญบารมีครับ


    เอาแบบเบสิคพื้นๆเลยนะครับ
    เอาแค่ ไปถอนฟัน ไปขูดหินปูน...
    ถามหน่อยว่า ในนี้ ใครก็ได้ที่มั่นใจ
    ว่าตนเองเก่งระดับโลกหรือระดับชาติ
    ตอนที่หมอขูดหินปูนนั้น
    สามารถแยกกายกับจิตให้ออกจากกันได้เด็ดขาด
    ได้ซักกี่วินาทีครับ...ถามเป็นวินาทีนะครับ
    ถามต่อว่าตอนนั้นจิตอยู่ที่ไหนครับ....
    หรือตอนที่หมอเอามีด
    มาเฉือนเนื้อบางส่วนออก โดยไม่ต้องฉีดยาชานั้น
    มีใครไม่รู้สึกเลยได้ไหมว่าเจ็บ
    หรือใครสามารถจะผ่าตัดได้โดยไม่ต้องวางยาเลย
    มีใครทำได้บ้างไหมครับ
    ก่อนที่จะไปถึงกรณีที่จะโดนจงใจทำให้
    ร่างกายบาดเจ็บไม่ว่าจากคนหรือสัตว์ครับ

    ที่พูดเพื่อจะบอกว่า เรื่องพวกนี้มันต้องสร้าง
    ต้องสะสมมาอยู่ครับ เพราะเราจะเอาอะไรไปประกันได้ว่า
    อุคคนิมิตที่จะมาตอนตายจะเป็นภาพดีๆครับ
    เราจะเอาอะไรไปประกันได้ว่า ในขณะที่ร่างกาย
    เจ็บปวดเจียนตาย เราจะเข้าสภาวะที่เกิดอุคคนิมิตได้
    หรือเราจะเอาอะไรไปประกันว่า ตอนนั้นร่างกายเรา
    จะรู้สึก มีความนึกคิดอย่างไร..
    เพราะขนาดร่างกายปกติธรรมดา
    ยังสร้างอุคนิมิตดีๆยังไม่ได้เลย...
    ขนาดว่า ร่างกายดีๆ ยังแยกกายแยกจิต
    กันไม่ได้เลย พูดเรื่องกิริยาของจิต
    ยังงงกันเป็นไก่ตาแตกกันอยู่เลยครับ

    ถึงได้บอกว่า มันต้องมีการสร้างสะสม
    กันมาพอสมควรครับ..
    สำหรับเรื่องที่แม้รู้ตัวว่าจะโดนฆาตกรรม
    แล้วจะไปยังภูมิที่ดีได้ครับ
     
  13. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
    เป็นคำถามที่ควรถามมากครับ หากศึกษาพุทธวจน จะได้คำตอบที่ง่ายมาก ..ดังนี้ครับ
    :mad: คุณต้องเอาจิต(วิญญาณ) มาจับที่กายให้ได้ตลอดเวลา จับลมหายใจก็ได้ครับ จิตที่จับที่กาย เพื่อรอการทำกาละ(ตาย) ..ตั้งสติให้ดี วิญาณเมื่อตายไป(จิต) จะไม่มีอารมณ์ใดมาเกาะ เพราะจิตเราเกาะที่ขันธ์เดียวคือ กาย ไม่ใช่ทั้ง 5 ขันธ์หรือ ขันธ์5
    :mad:ตั้งจิตให้ดีๆครับ จิตมีกำลังขนาดไหน พยายามให้เกาะอยู่อารมณ์เดียวคือ กาย.. อณารัมณัง เอเส วันโตทุกขสะ..จิตวิญญาณ เมื่อตายแล้วปราศจากอารมณ์ใดๆที่จะไปเกาะนั่นคือ นิพพาน ครับ ตามพุทธวจน ของท่านพุทธทาส
    (หากปล่อยจิต วิญญาณ ให้ไปเกาะอารมณ์ โกรธ-สัตว์เดรัจฉาน-โลภ-เปรตวิสัย-บุญ-เทวดา เมื่อหมดฤทธิ์หมดเดช -หมดบุญ ก็กลับมาลงนรกใหม่เหมือนเดิมครับ)
     
  14. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    635
    ค่าพลัง:
    +792
    มีสองแบบ ที่ทราบมา

    แบบหนึ่ง เข้าฌาณหนี

    แบบสอง ตั้งกำลังใจในกุศล

    ตัวอย่างแบบที่หนึ่ง เช่น โดนเสืองับ แล้วเข้าฌาณหนี พวกฤาษีดาบสทำกันบ่อย แต่ว่า พวกนี้ เล่นฌาณเป็นอาจิณ อาจิณกรรมเลย ในกลุ่มนี้ การถอดจิตไปก่อน หรือเรียกว่ากลั้นลมหายใจในอึดเดียว (ซึ่งทำยากมากกกๆ)

    ตัวอย่างแบบที่สอง ประเภทคนที่ถูกประหารโดยทรมานบนไม้กางเขนก็ดี คนที่ถุกตัดหัวประหารก็ดี ถูกธนูยิงก็ดี คนพวกนี้ มีความคิดถูกต้องตามความเป็นจริง หรือยอมรับความจริง และมุ่งแต่กุศล เช่น
    - พระเยซู (ผมอ่านมานะครับ มีพระท่านว่า ท่านมุ่งแต่ทำภารกิจโปรดสัตว์ จิตไม่ไปจับที่ความเจ็บปวด (แต่รับรู้ความเจ็บปวดนะครับ) แต่กำลังใจไปรวมที่ กุศล ที่ทำ คือ โปรดสัตว์นะครับ จิตนี้มีกำลังมากกว่า
    - ได้ทราบมาว่า ตอนศรีปราชญ์โดนประหาร ศรีปราชญ์แม้ไม่ชอบคนประหาร แต่จิตไปจับที่ ความชอบธรรม คือ ไม่ลงไปจับที่ตัวบุคคล แต่ปรารถนาจะให้เจ้าเมืองและเจ้าแผ่นดินมีความชอบธรรมในการตัดสินวินิจฉัยคดีและการลงโทษ จิตไปจับที่การปรารถนาอยากให้ชาวบ้านชาวเมืองได้รับการปฏิบัติที่เป็นธรรมจากเจ้าเมือง เท่านั้น กลายเป็นว่าความอาฆาตแค้น หายไป กลายเป็นปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์

    สรุป คือ คนธรรมดาต้องฝึกฝนในกุศลให้มากเป็นอาจิณ (จะฌาณ หรือกุศลใด และที่สำคัญ ต้องฝึกฝนให้ยอมรับความตายทุกกรณี และทุกเวลา (มรณานุสติ) จิตกุศลที่ทำเป็นอาจิณกรรม จะช่วยทำให้มีกำลังใจไปในทางกุศลก่อนตายได้ แต่ต้องระวัง คือ จะมีวิบากกรรมหนัก ทำให้จิตตนเองไม่เท่าทันในกิเลส จนจิตเกิดอกุศลต่อผู้ที่กระทำฆาตรกรรมต่อตน หรือเหตุการณ์ใดๆ ที่มากระทำฆาตรกรรมต่อตนเอง อันนั้น จะทำให้ความทุกขืทรมานกลายมาเป็นสิ่งที่จิตไปยึดติด แทนที่จะรับรู้อย่างเดียว กลายเป็นว่า ใจไปจดจ่อที่ความทุกข์ทรมานและอกุศล คือ โทสะ และโมหะ
     
  15. Prasit5000

    Prasit5000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    301
    ค่าพลัง:
    +228
    ....ที่ท่านคนแรกโพสมานั้นถูกต้องละ ว่า เมื่อก่อนเปลี่ยนภพ จะขึ้นอยู่กับจิตดวงสุดท้าย จะเป็นกุศลหรือ อกุศล ถ้าเป็นกุศลก็จะไปสู่สภาวะที่ดีที่เป็นสุขติภูมิ

    ....ปัญหาก็มีอยู่ว่า ก่อนตาย เราจะบังคับให้เกิดสภาวะจิต ที่ดีได้หรือเปล่า

    .....ผมจะเล่าประสพการณ์ ประมาณ หกปีที่แล้ว พอดี ผมมีสภาวะคับแค้นใจ ตอนนั้น ภรรยาผม นอนอยู่ไอซียู หมอบอกว่า อาการณ์แย่ลง ต้องตายคืนนี้แหละให้มารอส่งดวงวิญญาณด้วย ด้วยสภาวะที่กระทันหัน เขาตายยังหนุ่มอยู่เลยทิ้งลูกอายุ สี่ขวบให้เราเลี้ยง และก่อนหน้านั้นผมเคยฝึกดูจิต จนคิดว่า ทำได้ระดับหนึ่ง ขณะนั่งรอ ภรรยาตาย นั่งกินน้ำหมดเป็นขวดๆ เพราะมันใหลเป็นน้ำตา สภาวะเสียใจ คิดไปต่างๆนาๆว่าใครจะมาเลี้ยงลูกช่วยบ้าง มันเป็นธรรมารมณ์กระทบใจ แล้วเกิดเวทนาในใจ มันเกิดเองเป็นตามธรรมชาติ ผมก็มีสติ รู้สึกตัวอยู่ตลอด เห็นธรรมารมณ์ที่มากระทบเป็นระลอกๆ ผมก็ปลอบใจตัวเองว่า ทุกอย่างเป็นไปตามเวรตามกรรม

    .....ผมจะชี้ให้เห็นว่า การดูจิตมีประโยชน์ ถ้าเราเกิดสภาวะแรงเค้น เช่นสภาวะใกล้ตายจริง สภาวะรู้สึกตัว จะเกิดเป็นระยะ ตามตัวสติ ถ้าเราน้อมจิตให้เห็นความไม่เที่ยง เราจะไม่หลงไปเกิดอกุศลละจิต มันเศร้า ก็ปล่อย ไม่ห้ามตามรุ้แล้วดึงกลับมาในสภาวะปัจจุบัน

    .....ผมไม่ได้แย้งเรื่องการดูจิต การดูจิตมีประโยชน์มาก ในขณะที่เราเจอแรงเค้นในใจ จะมานั่งทำอานาปานสติ ก็คงยาก เพราะการทำอานาปานสติ ต้องทำขณะสภาพจิตใจโปร่ง สบายๆ
     
  16. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ส่วนตัวมองว่าต่อให้เตรียมตัวดีแค่ไหน
    ถ้าตอนนั้นกะแสดีที่จะต้านกะแสวิบากไม่พอ
    มีสิทธิ์เสร็จได้ทุกราย
    ดูตัวอย่างพระอรหันต์ท่านหนึ่ง
    ที่เผลอห่วงจีวรแค่นิดเดียว
    ออกมาไปเกิดเป็นเห๊บเลย
    หรือเจ้ใบเตยข้างบ้าน
    ห่วงกำไรอันเดียว
    อยู่มาจะสองร้อยปี
    ยังไม่ได้ไปไหนครับ
    ดังนั้นเรื่องพวกนี้ต้องสะสม
    และควรมีความชำนาญครับ
     
  17. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ถ้าก
    ขออนุญาตแทรกความเห็นส่วนตัวหน่อยนะครับ เรื่องคนรักจากไปนี่ ขอยกตัวอย่างจากที่เคยเห็นมาครับ อย่างถ้ากำลังรักๆ กันดีอยู่แล้วมาจากไปนี่ก็จะเสียใจมากครับ ยิ่งเพิ่งรักเพิ่งแต่งงานกันแล้วมามีอันเป็นไปนี่ ยิ่งเสียใจหนักเลย แต่ถ้าโกรธเกลียดกันมากๆ เรียกว่า จะเลิกกันเสียให้ได้ นี่จะเป็นอีกแบบ ประเภททุบตีกันทำร้ายร่างกายกันมาตลอดนี่อีกแบบ จะเห็นว่า ความห่วงหาอาวรณ์จะต่างกันไปเลย
     
  18. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,480
    ค่าพลัง:
    +1,880
    ก็ อานาปานสติ......และ มรณะสติ คือ ความไม่ประมาท.....ความไม่ประมาท กล่าวถึง มรณะสติ โดยตรง:)
     
  19. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
    การดูจิตนั้น ก็คือการดูเวทนาในสติปัฏฐาน4 ครับ(ดูความรู้สึกก็คือดูจิต-ปัญหาคือคุณเห็นความรู้สึกรึไม่ ถ้าเห็นจิตก็ทรงสมาธิแล้วครับ) อาณาปาณสติ ทำให้สติปัฎฐาน4 บริบูรณ์ครับ
     
  20. เราโตมาคนละแบบ

    เราโตมาคนละแบบ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2017
    โพสต์:
    729
    ค่าพลัง:
    +197
    paetrix.. เลิกเรียนแบบแยกส่วนแล้วเอามาเทียบเคียง คุณสามารถเรียนแบบ อิทัแปปัจยะตาได้ ตามวงจรปฏิจจสมุปบาท นั่นคือศูนย์กลางธรรม ของ พจ.ทั้งหมด หากคุณเข้าใจวงจร คุณจะเข้าใจธรรมทุกบทของ พจ. แค่เสนอความเห็นครับ
    การสำรวมอินทรีย์อยู่เสมอ จิตจะเป็นสมาธิ มีสติตลอดเวลาตามกำลัง การมีสติอยู่แล้วรอเวลาการทำกาละ (ตาย) พจ.ท่านสอนธรรมทุกหมวดเพื่อรวมลงมา ทำให้จิตมีกำลัง ให้เรากำหนดตรงนี้ให้ได้เท่านั้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...