ทริปมโนมยิทธิเต็มกำลังวัดท่าซุง 13-14 ธ.ค. 2551

เนื่องจากสมาชิกหลายๆท่านในเวบไซท์พลังจิต มีความสนใจในการปฏิบัติกรรมฐานตามสายมโนมยิทธิเป็นจำนวนมาก

ตลอดจน ณ เวลานี้มีหลายท่านที่ก้าวหน้าเจริญในธรรมและการปฏิบัติกรรมฐานกันอย่างก้าวกระโดดเป็นจำนวนมาก

หลายท่านที่ถอดกายทิพย์กันออกไปได้บ้าง อยู่ในวิสัยของอภิญญาใหญ่บ้าง

หลายท่านเจริญสมาบัติสี่ สมาบัติแปดกันได้อย่างคล่องตัวแม้จะมีอายุน้อยๆกันก็ตาม

หลายท่านเจริญกรรมฐานสี่สิบกองอย่างเจนจบ ครบทุกกองกันแล้ว

มาบัดนี้ก็ ได้เวลา ไปสอบประจำปีกัน

เราจัดทริปสบายๆไปฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังที่วัดท่าซุงกัน

โดยที่เราจะออกเดินทางกันเช้าวันเสาร์ที่ 13 ธ.ค. 2551

กลับในเย็นวันอาทิตย์ที่ 14 ธ.ค. 2551

ซึ่งผมเองได้กราบเรียนแจ้งให้หลวงพี่อนันต์ท่านได้ทราบกันเอาไว้แล้ว

ซึ่งท่านได้อนุญาตและให้พวกเรา พักกันที่ อาคาร สามไร่ ชั้นบน

ในระหว่างที่กราบเรียน ท่านได้เมตตาแนะนำ พวกเราว่า

"วันที่มาฝึกมโนมยิทธิกันนั้น ขอจงอย่าได้นอนดึก ตื่นเช้า ตีสาม ตีสี่ กัน เพราะจะเกิดง่วงเหงาหาวนอน การฝึกไม่มีผล ให้รีบนอนแต่หัวค่ำ ตื่นให้สบายหลับให้อิ่มเต็ม แล้วจะได้ผล"

นอกจากนี้ ยังได้กราบเรียนท่านว่าพวกเราจะได้ ตั้งโรงทานขนาดย่อม เพื่อเลี้ยงผู้มาทำบุญ เป็้น การแจกชาเขียว ในคูลเลอร์ โดยงบประมาณโรงทานจะมาจากกองทุนพลังจิตพิชิตภัยพิบัติ เป็้นการตั้งโรงทานง่ายๆ ก่อนก้าวไปสู่โรงทานเต็มรูปแบบต่อไป

โดยเราจะร่วมแจกกับโรงทานของป้าจำเนียรเจ้าของโรงหล่อพระองค์ปฐม ซึ่งผมได้ประสานงานกับคุณป้าแล้ว

เพียงขอแรงอาสาสมัครบ้างตามกำลังและจิตศรัทธา


สำหรับกำหนดการของทริปมีดังนี้
-6.00 น. รถมารับของจัดโรงทานที่ ลาดหญ้า วงเวียนใหญ่

-6.30 น. รถตู้ออกเดินทางจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิบริเวณ ปั๊มป.ต.ท. สนามเป้าใกล้ททบ.5

-10.00 น. ถึงวัดท่าซุง นำข้าวของส่วนตัวเข้าที่พักบริเวณ อาคาร 3 ไร่


(เนื่องจากที่วัดในวันดังกล่าวมีผู้เดินทางมามาก จึงขอให้งดนำสิ่งของมีค่า ติดมาอย่างเด็ดขาด
ขอแนะนำให้อย่านำรองเท้าราคาแพงไปวัด
และที่วัดยุงเยอะมากถึงมากที่สุด ขอแนะนำให้นำมุ้งหรือเต้นท์ไปด้วย
สำหรับห้องน้ำแยกมิดชิด สามารถใช้ผ้าขนหนูได้ตามสะดวก
ปลั๊กไฟอาจไม่เพียงพอสำหรับการชาร์จมือถือสำหรับทุกๆคน)

11.00 น. รับประทานอาหารตามสบายเนื่องจากมีโรงทานเลี้ยง อาหารทั้งสามมื้อตลอดวันงาน

11.30 น. เตรียมตัวเข้าที่เพื่อการฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังกัน ที่ศาลา 12 ไร่

16.00 น. พักผ่อนตามสะดวก ก่อนทำวัตรเย็น

19.00 น. เข้าที่พัก


วันที่ 14 ธค. 2551

3.30 มีทำวัตรเช้ามืดสำหรับท่านปฏิบัติธุดงค์อุกฤต เวลา 3.30 หากไม่ไหวก็ขอให้พักเพื่อสงวนแรงเอาไว้ฝึกได้ตามสะดวกเช่นกัน

5.40 เตรียมตัวตักบาตรพระธุดงค์

7.00 ทำวัตรเช้าถวายข้าวพระ รับพร

จากนั้นรับประทานอาหารเช้า


ช่วงนี้อยากให้ทุกๆท่านเก็บข้าวของเตรียมเอาไว้ก่อน เพื่อที่เสร็จจากฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังในช่วงบ่ายจะได้เดินทางกลับกันได้ สะดวกครับ

จากนั้นพักผ่อน ทบทวนอารมณ์ในการปฏิบัติ ติวเข้มในวิปัสนาญาณกัน

11.00 รับประทานอาหารกลางวันก่อน เตรียมตัวฝึก

11.30 เตรียมตัวฝึกมโนเต็มกำลังกันในรอบที่สอง

16.00 เสร็จจากการฝึก รวมพลบริเวณที่จอดรถก่อนเดินทางกลับ กรุงเทพอย่างสวัสดิภาพและอิ่มบุญ

สำหรับในรถช่วงเช้า ระหว่างเดินทางไปจะมีการติวเข้ม ในการปฏิบัติและ เล่าประสบการณ์การถอดกายทิพย์ และมโนมยิทธิจากท่านที่ได้จริง เพื่อให้ทุกๆท่านได้ประโยชน์และอานิสงค์สูงสุด

โดยจะจัดผู้แนะนำกรรมฐานให้นั่งกระจายกันในแต่ละคันไปครับ

ส่วนค่าใช้จ่ายในการเดินทางนั้น

เราใช้ระบบ หารตามค่าใช้จ่ายจริงครับ

มีที่จองรถเอาไว้ล่วงหน้าไว้แล้ว

เป็นรถตู้โฟค์ค วีไอพี 10 ที่นั่ง แก๊ซ แอลพีจี ค่าเช่า 1800 บาทต่อคันครับ รวมค่าแก๊ซ น่าที่จะไม่เกินท่านละ 450 บาท ครับ

ส่วนท่านที่มีความตั้งใจจริง อยากฝึกเพื่อความดีแต่ติดขัดในบางประการ ส่งพีเอ็มเข้ามาหาผมครับ


http://palungjit.org/showthread.php?t=160628

 

สองถึง สามคันครับ สำหรับรถที่จัดไปให้


ต้องขอดูจำนวนคนด้วยครับ

 

อยากไปจังค่ะ จองยังงัยแล้วต้องจ่ายเงินเท่าไหร่คะ

แล้วหมดเขตจองเมื่อไหร่คะ

 

ประมาณ 450 เฉพาะเป็นค่ารถตู้ตามจริงครับ

อาหาร หลวงพ่อเลี้ยงตลอดครับแล้วแต่ทำบุญ

หากใครมีปัญหาและอุปสรคแต่อยากฝึกกรรมฐานจริงอย่างที่ผมบอกว่าพีเอ็มมาได้ครับ

สำหรับสไตล์พวกเรานั้นเน้น ให้แจ้งความจำนงว่าไปกี่ท่านพร้อมหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อมาครับ

ส่วนใหญ่เราจ่ายกันบนรถ เดินทางไปทริปแบบพี่ๆน้องๆที่เอื้อเฟื้อในธรรมกันครับ

 

จะทะยอยอุ่นเครื่องโหมโรง เรื่องการปฏิบัติไปด้วยเลยครับ

 

ความแตกต่างระหว่าง มโนมยิทธิครึ่งกำลัง และมโนมยิทธิเต็มกำลัง

วิชามโนมยิทธิที่หลวงพ่อท่านเมตตาถ่ายทอดมาให้พวกเราลูกหลานนั้น

แบ่งออกเป็น มโนมยิทธิครึ่งกำลัง อันเป็นการฝึกแบบที่มีครูฝึกคอยช่วยเป็นพี่เลี้ยง ทั้งดึง ทั้งช่วยเช็คช่วยดูจิต ให้ว่าถูกต้องหรือไม่ ที่รู้เห็นจริงหรือเป็นอุปทาน

กำลังญาณทัศนะที่ปรากฏนั้นมีความชัด ใกล้เคียงกับภาพความคิดที่ปรากกในจิตแต่เป็นการเห็นด้วยใจ

กำลังสมาธิที่ใช้ก็อยู่ในระดับของอุปจาระสมาธิ

เมื่อทรงมโนมยิทธิครึ่งกำลังอยู่ ก็ยังปรากฏอาการรู้ตัว รู้สภาวะรอบๆตัวอยู่เสียงรอบข้างก็ได้ยินแต่ค่อยลงไปมาก จิตยังแยกจากกายไม่เต็มที่

สำหรับการฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังนั้น จะไม่มีครูฝึกเข้ามาแนะนำ เราเองต้องใช้กำลังใจของเราเองในการทรงสมาธิขึ้นไปเองโดยการเมตตาช่วยเหลือ จากพระท่านให้ได้

ญาณทัศนะจากมโนเต็มกำลังนั้น จะมีความชัดใสแจ่มยิ่งกว่าตาเนื้อด้วยซ้ำ เป็นการยกอาทิสมานกายหลุดออกไปจากร่างกายเนื้ออย่างสิ้นเชิง เป็นการเอาตัวไปจริงๆ แต่ชัดเจนกว่าตาจริงๆ ชัดเกินจริง

กำลังฌานที่ใช้เป็นฌานสี่่ที่ตั้งมั่นมากๆแล้ว มักไม่มีอาการหลุดขึ้น หลุดลงแบบครึ่งกำลัง

ประโยชน์ที่ได้จาการที่ได้มโนมยิทธิเต็มกำลังก็คือ

-เมื่อเราใช้กำลังอภิญญาแยกอาทิสมานกายออกไปได้จริงๆ ปรากฏชัดเจนใน สวรรค์ พรหม พระนิพพานแล้ว

เราก็จะสิ้นสงสัย ในคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ บาปบุญมีจริงหรือไม่ นรก สวรรค์ นิพพานมีจริงมีลักษณะอย่างไรไปอย่างกระจ่างใจ เราก็จะได้ข้อความมั่นคงในพระรัตนไตรไปเองรวมไปถึงความเป็นสัมมาทิษฐิอีก ด้วย

หลายท่านที่กระจ่างแก่ใจจนกระทั่งจิตหลุดพ้นจากโลกียภูมิเข้าสู่โลกุตรภูมิ เบื้องต้นอันได้แก่ความเป็นพระโสดาปฏิผลต่อหน้าพระท่านก็้มีปรากฏ

-การที่เราต้องตั้งกำลังใจใช้อภิญญามโนมยิทธิเองนั้น เป็นเหมือนข้อสอบ แห่งชีวิตของเรา ว่า หากเรานั้นกำลังจะตาย ต้องตายคนเดียว ไม่มีใครบอกทาง บอกพุทธโธ บอกนิพพาน

เราก็ยังสามารถใช้กำลังใจของเราเลือกภพภูมิของเรา ที่เราตั้งจิตอธิฐานได้

โดยจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ปรารถนาพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้

นอกจากนี้สิ่งสำคัญในการได้มโนมยิทธิเต็มกำลังก็คือ เราเองก็จะรู้ หน้าที่ รู้คำอธิฐาน รู้วิสัยของเราเอง ว่าเราปรารถนาพุทธภูมิหรือสาวกภูมิ ก่อนมาเกิดเราอธิฐานตั้งใจมาสร้างกุศลอะไร ฝึกกรรมฐานกองใดเราถึงจะก้าวหน้า

ที่สำคัญอีกสองประการก็คือ เราจะได้พ้นจากอวิชชา ความไม่รู้ในตัวเราเอง ไม่ต้องไปถูกผู้หนึ่งคอยบอก คอยเช็ค หรืออาศัยความไม่รู้ครอบงำเราเอาไว้ประการหนึ่ง

ประการที่สองก็คือ เพื่อที่เราเองจะได้มีครูบาอาจารย์ที่ไม่มีกายเนื้อมาเมตตาสั่งสอนโดยตรง

ซึ่งหลายต่อหลายท่านที่ได้ตื่นจากภายในแล้ว มีครูบาอาจารย์มาสอนกรรมฐานโดยตรงนั้น ก้าวกระโดดรุดหน้า เจริญในธรรมเป็้นอย่างมาก พิสูจน์ได้ เห็นได้

ดังนั้นการไปฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังแล้วฝึกให้สำเร็จให้ได้จึงเป็นที่ปรารถนาของผู้ฝึกมโนมยิทธิหลายๆท่าน

จากเห็นสลัวๆ มาเป็นเห็นแจ่มชัดกว่าแสงแดดยามตะวันส่อง

 

http://www.palungjit.org/smati/books/index.php?cat=555

เข้าไปหาข้อมูลการฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังได้ครับ

 

รายชื่อผู้ร่วมทริปมโนมยิทธิเ็ต็มกำัลัง วัดท่าซุง
13-14 ธันวาคม 2551

-----------------------------------------

เชิญคลิกไปลงชื่อจองที่นั่งกันได้เลยค่่ะ

-

-
​

 

ถ้าอยู่ใกล้วงเวียนใหญ่ ไปขึ้นรถที่วงเวียนใหญ่ได้ไหมคะ

 

สำหรับท่านที่เดินทางไปฝึกในครั้งนี้ ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ

 

โมทนาบุญครับ สำหรับทุกท่านที่กำลังเดินทางในสายเดียวกันครับ หากคิวว่างจะไปร่วมงานนี้ด้วยคนแน่นอนครับ

 

อนุโมทนาสาธุครับ

เสียดายยังนั่งกรรมฐานไม่เป็น เข่าก็เจ็บอีกต่างหาก

 

ตอนนี้ยังไม่แน่นอนครับ ถ้าอะไร ๆ ลงตัว ผมก็ขอไปด้วยคนครับ

เดี๋ยวถ้าแน่นอน ยังไง ๆ จะ pm ไปบอกนะครับ

 

อนุโมทนา สาธุ อยากไป แต่ไม่มีคุณสมบัติ ดังที่ระบุไว้ข้างต้นเลย แม้แต่หน่อยเดียว

จะพยายามฝึกเยอะๆ เพื่อได้มีโอกาสไปบ้างนะคร้าบ

 

ได้ค่ะคุณ mssuporn

จุดแรกคือที่ลาดหญ้า วงเวียนใหญ่ เวลา 6.00 น. นะคะ
เชิญลงชื่อได้ที่กระทู้นี้เลยค่ะ http://palungjit.org/showthread.php?t=160628

 

ถ้าไม่เคยฝึกไปได้ไหมอะครับ

 

อนุโมทนา ครับ
สาธุ สาธุ สาธุ
___________
ธรรมคือธรรมชาติ

 

โมทนาคับ
------------------------------
ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพแจกของถิ่นทุรกันและผู้ประสบภัยหนาวภาคเหนือ
http://palungjit.org/showthread.php?t=158903