ทางสายเอกโดยพระราชพรหมยาน ตอน การถวายสังฆทาน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 23 พฤศจิกายน 2015.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    ทางสายเอกโดยพระราชพรหมยาน ตอน การถวายสังฆทาน
    [​IMG]
    ตอนนี้มาคุยกันเรื่องของผีดีกว่านะ เรื่องของผีก็มีอยู่ว่า เรื่องสังฆทาน สังฆทานที่จัดให้มีพระพุทธรูป ผ้าไตร ของที่มีอาหารบ้างเล็กน้อย ก็มีเหตุมาจากผี คือว่าสมัยก่อนผีขอ ขณะที่ผีตะกละมาขอแกขอแบบนี้ ขอพระพุทธรูปหนึ่งองค์ หน้าตักไม่น้อยกว่า ๔ นิ้ว ให้เกิน ๔ นิ้วขึ้นไป ผ้าหนึ่งผืน หรือผ้าไตรหนึ่งผืนก็ได้ และก็มีอาหารเล็กน้อย อาหารแห้งอาหารสดก็ได้ทั้งนั้นนะ

    ต่อมาหลายปีเข้าทุกหน่วยที่มาขอ ขอเหมือนกันหมด มีพระพุทธรูป มีผ้า มีอาหาร ผ่านมาประมาณ ๑๐ ปีกว่า มันขอเกินเรียกว่าหลายพันคน ขอเหมือนกันหมด ใครมาขอก็ขอเหมือนกัน ฉันก็ทำเรื่อยมา หนักเข้าตอนหนึ่งฉันไปจังหวัดอุทัยธานี กำลังจะไปฉันเพลเขา ผีมันมาขออีก ไม่ได้หลับนะ ไม่ต้องหลับ ฉันนั่งๆ ผียังมา

    ถามว่า “...เธอต้องการอะไร...”
    เขาบอก “...ต้องการพระพุทธรูป ต้องการผ้า อาหารเล็กน้อย...”
    วันนั้นมันมีเวลาว่างอยู่ เลยถามว่า “...ไหนลองบอกอานิสงส์ซิ ฉันเห็นว่าขอแบบนี้มาเกินสองสามพันคนแล้ว ฉันก็ทำให้มามาก ฉันไม่ทราบถึงอานิสงส์...”

    ผีนั้นแกเลยบอกว่า “...การได้อาหารนิดหนึ่งเป็นเหตุให้ผมได้ร่างกายเป็นทิพย์ การได้ผ้าเป็นเหตุให้ผมได้เครื่องประดับเป็นทิพย์ การได้พระพุทธรูปไปมีอานิสงส์ทำให้ร่างกายแกมีแสงสว่างมาก...” ที่มีพระพุทธรูป เทวดากับพรหม นางฟ้าก็ตาม เขาถือว่าองค์ไหนมีแสงสว่างมาก องค์นั้นมีบุญมากที่สุด เขาถือว่ามีแสงสว่างมาก เทวดาก็ดี พรหมก็ดี นางฟ้าก็ตาม เขาไม่ถือเครื่องแต่งตัว เขาถือแสงสว่างเป็นสำคัญ

    ถึงแม้ของน้อยก็อานิสงส์มาก

    การถวายสังฆทานนี่ถึงแม้จะมีของน้อยก็มีอานิสงส์มาก ก็ดูตัวอย่างพระสารีบุตรถวายสังฆทานให้แม่ของท่าน แม่คนละชาตินะ แม่ชาตินี้ของท่านก่อนที่ท่านจะนิพพาน ท่านแนะนำให้แม่ของท่านเป็นพระโสดาบัน แต่ถอยหลังไปอีกร้อยชาติมีแม่อีกคนหนึ่ง คนละชาติ แม่ชาติโน้นเป็นเปรตอยู่

    วันหนึ่งพระสารีบุตรท่านเจริญพระกรรมฐาน แล้วท่านก็ไปเที่ยวแดนนรก ออกจากแดนนรกท่านเข้าสู่แดนเปรต เข้าใจว่าท่านรู้ ไม่รู้ท่านคงไม่ไป ก็เดินผ่านคณะเปรตมา มาถึงเปรตผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ ก็มีผ้าดึงไปดึงมา ดึงผ้าไม่หยุด หยุดดึงไม่ได้ไฟไหม้ตัว แล้วท่านก็หยุดยืนข้างๆ หญิงคนนั้นก็มองหน้าท่าน

    พระอยู่ใกล้ไฟก็ไม่ไหม้ เมื่อท่านมองหน้า เธอมองหน้าพระสารีบุตร
    หญิงเปรตก็ถามว่า “..ท่าน จำฉันได้ไหม...” พระสารีบุตรความจริงรู้ ไม่ใช่ไม่รู้ แต่ลีลาของพระทุกองค์เหมือนกัน รู้แล้วต้องทำเป็นไม่รู้ ไอ้นี่มันเป็นปกติของพระ
    พระสารีบุตรถามว่า “...เธอกับฉันเคยรู้จักกันมาหรือ...”

    เธอก็บอกว่า “...เมื่อร้อยชาติโน้นที่ผ่านมาฉันเคยเป็นแม่ท่าน ท่านเป็นคนมีเมตตา ใจบุญสุนทาน ชอบทำบุญชอบให้ทาน แต่ฉันเป็นแม่ เป็นคนที่มีใจร้าย มีความตระหนี่มาก ไม่ทำบุญไม่ให้ทาน เป็นคนโหดร้าย ท่านตายจากความเป็นคนท่านก็เกิดเป็นเทวดาบ้าง เป็นพรหมบ้าง ฉันต้องมาเป็นเปรตถึงชาตินี้ ตั้งแต่เวลานั้นถึงเวลานี้ฉันยังไม่พ้นจากความเป็นเปรต...”

    พระสารีบุตรเกิดมาร้อยชาติแล้วนะ พระสารีบุตรก็ถามว่า “...เธอต้องการให้ช่วยอะไรบ้าง...”
    หญิงเปรตก็บอกว่า “...ถ้าท่านจะช่วยฉัน ขอให้ท่านถวายสังฆทานกับพระสงฆ์ที่เป็นสาวกของพระสมณโคดม. ..”
    พระสารีบุตรก็รับว่าจะทำ ท่านก็ขึ้นมา พอตอนเช้าท่านไปบิณฑบาตเสร็จ เวลานั้นท่านอยู่ป่า มีลูกศิษย์อยู่ประมาณ ๕๐๐ รูป

    ท่านฉันนอกวง คือท่านฉันองค์เดียว พระคณะของท่านฉันรวมกัน ก่อนที่พระจะฉันท่านก็นำข้าวหยิบเท่าที่บิณฑบาตมาได้เล็กน้อย แบ่งไปหยิบมือหนึ่งใส่ใบไม้แล้วก็ส่งไปให้พระ และก็เอาน้ำส่งให้พระ กับข้าวนิดหนึ่งใส่ใบไม้ส่งให้พระ กับผ้ากว้างคืบยาวคืบส่งให้พระ ถ้าผ้ากว้างคืบยาวคืบ ในพระพุทธศาสนาถือว่าเป็นจีวร เป็นผ้าที่มีความสำคัญ โตกว่านั้นไม่เป็นไร ถ้าเล็กกว่านั้นไม่ถือเป็นจีวร

    ถวายไปในวงพระ เวลาถวายไม่ได้ว่าอะไร เป็นสังฆทานโดยตรง การถวายสังฆทานโยมไม่ต้องว่าอะไรก็เป็นสังฆทาน ถ้าเราเห็นว่าพระนั่งตั้งแต่สี่องค์ขึ้นไปก็ถวายไปปั๊บ ไม่ต้องพูด เป็นสังฆทานเลย อานิสงส์ได้ครบ ถ้าองค์เดียวต้องบอกนี่สังฆทานนะ หลังจากนั้นท่านก็อุทิศส่วนกุศลให้แก่มารดาของท่านในร้อยชาติที่ผ่านมา ที่พบเมื่อตอนกลางคืน

    พอตอนสายท่านไปพบพระโมคคัลลาน์ พระมหากัจจายนะ พระอนุรุทธ ท่านก็บอกว่า “...เมื่อคืนนี้ผมไปพบมารดาของผมในร้อยชาติที่ผ่านมา กำลังเป็นเปรต วันนี้ผมถวายสังฆทานไปให้แล้ว ก็ต้องการให้มารดามีวิมานเป็นที่อยู่ ชวนท่าน ๓ องค์สร้างศาลาคนละหลัง...” ทั้ง ๔ องค์ก็ตัดสินใจร่วมกันสร้างศาลาคนละหลัง ทำเป็นเพิงหมาแหงน

    เสา ๔ เสาเอาไม้พาด เอาใบไม้วางข้างบน อุทิศให้เป็นของสงฆ์ แค่นั้นก็เป็นวิหารทาน และพอเวลากลางคืน เวลาที่พระเจริญกรรมฐาน พระโมคคัลลาน์กำลังเจริญกรรมฐานอยู่ ตามธรรมดาพระโมคคัลลาน์นี่ต้องไปสวรรค์ไปนรกทุกคืน คืนนั้นกำลังรวบรวมกำลังใจให้จิตเป็นสุขก่อน ทีนี้เวลารวบรวมกำลังใจยังไม่ทันจะเคลื่อนจากที่ ปรากฏมีนางฟ้าคนหนึ่ง มีภาพนางฟ้าปรากฏขึ้นสวยงามมาก

    มีเครื่องประดับประดาสวยมาก แสงสว่างทั่วจักรวาล แถมมีวิมานตามมาด้วย มีสระโบกขรณีตามมาด้วย พระโมคคัลลาน์ท่านรู้จักเทวดานางฟ้าทั้งหมด เพราะท่านไปทุกคืน เกิดใหม่จุติใหม่ท่านรู้หมด ท่านเห็นท่านก็แปลกใจ “...เอ๊ะ...นางฟ้าองค์นี้มาจากไหน ทุกวันเราไปไม่เห็นพบ...” จึงถามว่า

    “...ภคินี ดูก่อนน้องหญิง เธอเป็นนางฟ้าตั้งแต่เมื่อไร...”
    นางฟ้าองค์นั้นก็ตอบว่า “...ฉันคือมารดาพระสารีบุตรเมื่อร้อยชาติที่ผ่านมา...”
    พระโมคคัลลาน์ก็ถามว่า “...ที่เธอเป็นนางฟ้าก็ดี มีเครื่องประดับประดาสวยสดงดงามก็ดี มีวิมานทองคำสวยก็ดี มีสระโบกขรณีก็ดี มันได้บุญมาจากไหน...”

    เธอก็บอกให้ฟัง บอกว่า “...เมื่อตอนเช้าพระสารีบุตรได้ถวายสังฆทานกับพระ มีข้าวหยิบมือหนึ่ง มีอาหารหน่อยหนึ่ง ใส่ใบไม้ถวายพระเป็นสังฆทาน เป็นเหตุให้ฉันได้ร่างกายอันเป็นทิพย์
    และประการที่สอง พระสารีบุตรได้ถวายผ้ากว้างหนึ่งคืบยาวหนึ่งคืบแก่พระ เป็นเหตุให้ฉันได้เครื่องประดับอันเป็นทิพย์ พระสารีบุตรเอาน้ำใส่ฝาบาตรหนึ่งฝาบาตรถวายพระเป็นสังฆทาน

    เป็นเหตุให้ฉันได้สระโบกขรณีอันเป็นทิพย์ แล้วที่ได้วิมานสวยสดงดงามเพราะพระคุณเจ้าทั้งสี่สร้างศาลาเพิงหมาแหงนให้ ถวายแก่สงฆ์ เป็นเหตุให้ฉันได้วิมาน...” นี่เห็นไหม รวมความว่าการถวายสังฆทานแม้จะเป็นของเล็กน้อยแต่อานิสงส์มากเหลือเกิน แต่ถ้ามีพระพุทธรูปด้วย แสดงว่าจะมีร่างกายสว่างมาก ผีบอก แต่เรื่องผีบอกนี่ตรงมากกว่าคนเดา เพราะผีได้รับอานิสงส์
    ที่มา http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมบุญสร้างกำแพงถวายวัดกุฏีทอง-รับพระผงกริ่งนาคราช.557837/
     
  2. นาย หวังดี

    นาย หวังดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 เมษายน 2013
    โพสต์:
    395
    ค่าพลัง:
    +1,272
    กราบหลวงพ่อครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...